Wednesday, 15 May 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

'Arab Street' ถนนสายอาหรับ ณ กรุงเบอร์ลิน...มรดกมีชีวิตที่ ‘Angela Merkel’ มอบให้

เหตุการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือนำมาซึ่งผู้อพยพเข้าสู่ยุโรปจำนวนมหาศาล ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีนโยบายทั้งรับและไม่รับผู้อพยพเหล่านั้น แต่สหพันธรัฐเยอรมันภายใต้ ‘Angela Merkel’ นายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบายรับผู้อพยพด้วยการเปิดพรมแดนของเยอรมนีสำหรับผู้ลี้ภัย 1 ล้านคนในปี พ.ศ. 2558 จนทำให้เกิดความแตกแยกในยุโรป และทำให้เห็นถึงความไม่พอใจสำหรับฝ่ายต่อต้านการอพยพเข้าเมือง 

นอกจากนี้ยังเป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบทางวัฒนธรรมของเมืองหลวงของเยอรมันในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่การเข้ามาของคนงานจากตุรกีในทศวรรษ 1960 จึงมีผู้อพยพจำนวนมากเข้ามาอาศัยพำนักในเยอรมัน และเป็นที่มาของ 'Arab Street' ถนนสายอาหรับ ณ กรุงเบอร์ลิน

'Arab Street' สิงคโปร์

'Arab Street' เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ และที่เป็นที่รู้จักมาก่อนคือ 'Arab Street' ในสิงคโปร์ ซึ่งเคยเป็นย่านที่พ่อค้าชาวอาหรับเคยทำมาค้าขายมาในอดีต ปัจจุบัน 'Arab Street' ของสิงคโปร์ยังคงวางขายสินค้าและข้าวของที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวอาหรับและชาวมุสลิม ซึ่งถนนเส้นนี้จะมีบรรยากาศเป็นตึกแถว 2 ชั้นสไตล์ Colonial ทาสีสดใส ใกล้ ๆ กันมีแหล่งท่องเที่ยวที่อีกหลายอย่าง เช่น ตรอกฮาจิ (Haji Lane) อีกหนึ่งถนนแห่งการจับจ่ายของชาวสิงคโปร์ และมัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque) อันเป็นมัสยิดสำคัญและสวยงามของชาวสิงคโปร์มุสลิม 

สำหรับบ้านเราแล้ว 'Arab Street' หมายถึงซอยที่ตั้งอยู่ทางเหนือของซอยนานา (ซอยสุขุมวิท 3) ระหว่างซอยสุขุมวิท 3 และ ซอยสุขุมวิท 5 หรือ ซอยสุขุมวิท 3/1 'Arab Street' ประกอบไปด้วย ร้านอาหาร - ร้านค้ามากมาย จึงเป็นถนนท่องเที่ยวที่ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

'Arab Street' กรุงเทพฯ

ส่วน 'Arab Street' ถนนสายอาหรับ ณ กรุงเบอร์ลิน อยู่ที่ถนน Sonnenallee (“Sun Avenue”) ซึ่งเชื่อมระหว่างเขต Neukölln และ Treptow-Köpenick ยาว 5 กิโลเมตร ข้ามถนน Baumschulen ที่ปลายด้านตะวันออกเฉียงใต้ และสิ้นสุดที่ จัตุรัส Hermann ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ถนนสายนี้ถูกสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งบริเวณรอบ ๆ ถนน Sonnenallee ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการเดินทางระหว่างชนบทกับเมืองในสมัยนั้น ถนนสายนี้ตัดผ่านจัตุรัสกลางเมืองหลายแห่ง เช่น จัตุรัส Hermann, จัตุรัส Hertzberg และ จัตุรัส Venus เดิมทีตลอดถนนมีต้นไม้สองข้างทาง จนถึงปี พ.ศ. 2508 ได้มีการวางรางรถรางไว้ ต่อมาในทศวรรษ 1980 ต้นไม้สองข้างทางถูกรื้อออกเพื่อให้เป็นช่องจราจรเพิ่มเติม หรือที่จอดรถ 

'Arab Street' ถนนสายอาหรับ ณ กรุงเบอร์ลิน

ปัจจุบันถนน Sonnenallee กลายเป็นถนน 6 เลน และเป็นเส้นทางสายสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเบอร์ลิน แต่เดิมถนน Sonnenallee เป็นที่รู้จักในชื่ออื่น ๆ เริ่มต้นด้วย Straße 84 (ถนนหมายเลข 84) ในปี พ.ศ. 2436 ห้าปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของ ‘Kaiser Friedrich Wilhelm’ ถนนสายนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศ และในปี พ.ศ. 2563 ถนนถูกขยายไปทางตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งชื่อว่า Sonnenallee ในยุคสงครามเย็นเยอรมนียังไม่ได้รวมชาติ ถนนสายนี้ถูกกำแพงเบอร์ลินตัดผ่านเพื่อปิดกั้นทางข้ามพรมแดน

กระเป๋ามหาประลัย ที่กุมชะตาชีวิตของชาวโลก!! “Football & Cheget”

ประชากรกว่าเจ็ดพันล้านคนบนโลกใบนี้ ส่วนใหญ่แล้วไม่รู้ว่า ชะตากรรมของโลกขึ้นอยู่กับกระเป๋าเพียงสองใบ ใบแรกคือ “Football” อีกใบคือ “Cheget” ครั้งนี้จึงขอเล่าเรื่องราวของกระเป๋ามหาประลัยที่กุมชะตาชีวิตของชาวโลกทั้งสองใบนี้!!

“Football” (Nuclear Football) เป็นชื่อเรียก กระเป๋าฉุกเฉินติดตั้งปุ่มสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นกระเป๋าเอกสารซึ่งจะใช้โดยประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่ออนุญาตให้มีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ในขณะที่อยู่ห่างจากศูนย์บัญชาการคงที่ เช่น ทำเนียบขาว ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้านอุปกรณ์เคลื่อนที่ในระบบการป้องกันทางยุทธศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกนำพาและรักษาโดยนายทหารคนสนิทประจำตัวประธานาธิบดีฯ

จากข้อมูลของเว็บไซต์ businessinsider.com ได้อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ Bill Gulley เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่เคยผ่านงานอารักขาและการรักษาความปลอดภัยในทำเนียบขาว ซึ่งเปิดเผยว่า กระเป๋าสีดำที่ทั่วโลกเฝ้าสงสัยใบนี้คือสิ่งสำคัญที่ส่งมอบให้ประธานาธิบดีคนแล้วคนเล่าเพื่อใช้มันในภาวะฉุกเฉินและประกอบด้วยของสำคัญ 4 อย่างคือ

1.) หนังสือปกสีดำจำนวน 75 หน้า ซึ่งบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับนิวเคลียร์ และเงื่อนไขสำหรับการตอบโต้ในกรณีฉุกเฉิน โดยรายละเอียดจะถูกพิมพ์ด้วยหมึกสีดำและแดง
2.) หนังสือสีดำอีกหนึ่งเล่มที่รวบรวมรายชื่อสถานที่หลบภัยที่มีการป้องกันระดับสูงสุดซึ่งเข้าได้เฉพาะประธานาธิบดีสหรัฐฯ เท่านั้น
3. เอกสารจำนวน 10 หน้า ที่อธิบายเกี่ยวกับการวางตัวของประธานาธิบดีเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งสิ่งที่ควรสื่อสารเมื่อทำการถ่ายทอดสดแบบฉุกเฉินด้วยตัวเอง
4. การ์ดสำหรับเข้าถึงข้อมูลรหัสระดับสูงของกระทรวงความมั่นคง (‘Biscuit’ การ์ดพลาสติกขนาด 3 คูณ 5 นิ้ว ซึ่งมีรหัสลับเพื่อยืนยันตัวตนประธานาธิบดี)

นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าอีกแบบหนึ่งที่มีเสาอากาศยื่นออกมา ซึ่งมีคำกล่าวอ้างว่า กระเป๋าใบนั้นมีอุปกรณ์สื่อสารระดับสูงติดอยู่ และภายในมีคำสั่งยิงนิวเคลียร์ติดอยู่ด้วย และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด กระเป๋าใบนี้จึงไม่ได้ถูกถืออยู่ในมือของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยตรง แต่จะมีนายทหารติดตามรับหน้าที่ดูแลกระเป๋าใบนั้นแทน และคนที่จะมารับตำแหน่งนี้ได้ ก็ต้องผ่านฝึกงานด้านอารักขามาโดยเฉพาะ และต้องมีทักษะพิเศษที่สามารถดำเนินการยิงนิวเคลียร์ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น

Football มาจากรหัสปฏิบัติการสงครามนิวเคลียร์ ‘Operation Dropkick’ เพราะการ Dropkick ต้องใช้ Football เป็นอาวุธ กระเป๋าหนังใบนี้จะอยู่กับทหารองครักษ์ของประธานาธิบดี ซึ่งต้องเดินเป็นเงาตามตัวตลอดเวลาเมื่อออกนอกสถานที่ ทั้งในเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี Air Force One, เฮลิคอปเตอร์ประจำตำแหน่งประธานาธิบดี Marine One และการเดินทางด้วยพาหนะอื่น ๆ โดยนายทหารติดตามนี้จะเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามกำหนดครบถ้วน

Nuclear Football เริ่มมีใช้ตั้งแต่สมัย ประธานาธิบดี John F. Kennedy ในช่วงวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา Football รุ่นปัจจุบันเป็นกระเป๋าโลหะ Zero-Halliburton หนัก 20 กิโลกรัม หุ้มด้วยหนังสีดำ กระเป๋านี้เปลี่ยนมาหลายใบแล้ว Nuclear Football ที่ปลดระวางแล้วจะนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Smithsonian’s National Museum of American History ในวอชิงตัน เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงอำนาจและความรับผิดชอบของประธานาธิบดี 

ประธานาธิบดี George W. Bush และ Donald H. Rumsfeld รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในขณะนั้นเดินออกศูนย์บัญชาการทหารแห่งชาติ (National Military Command Center) ณ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2546

มีข้อมูลระบุอีกว่า จริง ๆ แล้ว Nuclear Football มีทั้งหมดสามใบ หนึ่งอยู่ที่ประธานาธิบดี ใบที่สองอยู่กับรองประธานาธิบดี และสามอยู่ที่ทำเนียบขาว เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เมื่อมีเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้มาตรการตอบโต้การโจมตีด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดจะออกคำสั่งและส่งรหัสบนการ์ด Biscuit ไปยังศูนย์บัญชาการทหารแห่งชาติ (National Military Command Center) ณ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (อาคาร Pentagon) โดยมีหน้าที่เฝ้าระวังภัยคุกคามนิวเคลียร์จากทั่วโลก

จากนั้นรหัสนี้จะส่งไปยังกระทรวงกลาโหม (สามารถทำการตัดสินใจแทนได้ในกรณีที่ประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร) ตามด้วยศูนย์บัญชาการฐานทัพอากาศในมลรัฐ Nebraska และตามกฎ Two-man rule ของสหรัฐฯ ผู้ดำเนินการยิงขีปนาวุธต้องยืนยันรหัสว่า รหัสที่ประธานาธิบดีส่งมาตรงกับรหัสที่เก็บรักษาไว้ โดยการยิงขีปนาวุธนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถสั่งให้ยิงไปยังเป้าหมายศัตรูทั้งหมด หรือเลือกยิงเป็นบางเมืองได้ เช่น กรุงเปียงยาง กรุงปักกิ่ง และกรุงมอสโคว์

เหล่าบรรดานายทหารที่ทำหน้าที่ถือกระเป๋า ล้วนแต่ถูกฝึกมาให้สามารถเปิดคำสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ได้ภายในระยะเวลา 2-3 นาทีเท่านั้น!!! Robert Patterson อดีตนายทหารระดับสูงที่เคยถือกระเป๋าฟุตบอลให้กับประธานาธิบดี Bill Clinton ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Associated Press ว่า “คุณจะเหมือนว่ามีความกังวลอยู่ตลอด บางครั้งผมก็เปิดมันขึ้นมาเพื่อดูว่ามันมีอะไรอยู่ภายใน เพื่อความแน่ใจ และเป็นการ Refresh ตัวเองเท่านั้น ที่สำคัญราวกับเป็นการเตรียมตัวและฝึกซ้อม เมื่อถึงสถานการณ์ฉุกเฉินที่ท่านประธานาธิบดีต้องตัดสินใจบางเรื่องสำคัญ คุณสามารถทำมันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” เพราะฉะนั้นกระเป๋าฟุตบอลนี้จะอยู่ติดตัวกับท่านประธานาธิบดีตลอด บนเครื่องบินลำเดียวกัน รถคันเดียวกัน และพออยู่ในทำเนียบขาว ก็จะอยู่ในตู้ลับปลอดภัยที่เก็บล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา!!! ตามคำบอกเล่าของ Patterson เขาเคยต้องถือกระเป๋านี้วิ่งไปรอบ ๆ ทำเนียบขาว เพราะประธานาธิบดี Clinton มักจะวิ่งออกกำลังกายรอบ ๆ ทำเนียบขาว เป็นภาพที่ทุลักทุเลพอสมควรเลยทีเดียว

ด้วยประธานาธิบดีสหรัฐฯ จำเป็นและต้องการอำนาจการสั่งยิงหัวรบอย่างรวดเร็ว และได้ยกเรื่องนี้ขึ้นในที่ประชุมของประเทศ กระเป๋าใบนี้ จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงแสนยานุภาพทางการทหาร และหัวรบนิวเคลียร์ ที่ติดตามประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจากรุ่นสู่รุ่นไปในทุก ๆ ที่ คนทั่วไปก็คงจะนึกว่าเป็นกระเป๋าเอกสาร หรือของใช้อะไรพวกนั้น ไม่คิดเลยว่า กระเป๋าใบนี้จะสำคัญขนาดนี้ ประมาทสิ่งของเล็ก ๆ ไม่ได้จริง ๆ ถึงจะเป็นของประจำตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะติดตามตัวไปในทุกที่ เพราะอย่างน้อยเมื่อเดินทางกลับบ้าน กระเป๋าใบนี้จะยังคงถูกเก็บไว้ในทำเนียบขาว และถูกคุ้มกันเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือ ไม่เคยมีใครเปิดเผยว่า กระเป๋าใบนี้ถูกเก็บเอาไว้ที่ไหน?

Cheget (ชีเกท) หรือกระเป๋าใส่รหัสยิงอาวุธนิวเคลียร์ประจำตัวประธานาธิบดีรัสเซีย ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 25 มกราคม ปี พ.ศ. 2538 เจ้าหน้าที่เรดาร์ของรัสเซียที่ Olenegorsk กับงานอันน่าเบื่อในการนั่งจ้องมองกับจอเรดาร์ทั้งวันทั้งคืน แต่ทว่าวันนี้แตกต่างจากวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา เพราะสัญญาณเตือนบางอย่างแสดงขึ้นมาให้เห็นบนจอเรดาร์ว่า มีการตรวจพบวัตถุบางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความเร็วสูงในทะเล Barents และมันกำลังมุ่งหน้าตรงดิ่งเข้ามาทางภาคเหนือของรัสเซีย

เมื่อพบสัญญาแจ้งการมาของวัตถุบางอย่างบนจอเรดาร์ เจ้าหน้าที่เรดาร์ของรัสเซียที่เข้าเวรอยู่ในเวลานั้น ทำการวิเคราะห์ถึงลักษณะของวัตถุและที่มาของมัน ใช้เวลาไม่นานนัก พวกเขาก็ทราบว่า วัตถุลึกลับนั้นมันคือ Missile ไม่ทราบประเภทและขนาดของมัน ข้อสันนิษฐานแรกในวินาทีนั้นของรัสเซีย พวกเขาเชื่อว่า เจ้า Missile นี้มันน่าจะถูกยิงมาจากเรือดำน้ำของกองทัพเรืออเมริกัน ที่มักจะเข้ามาลาดตระเวนในบริเวณนั้นเป็นประจำ เพื่อสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของกองเรือรบรัสเซีย และจากระยะทางที่มันถูกยิงออกมา มันจะเข้าถึงแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียได้ภายในเวลา 10 นาที

ประธานาธิบดี Boris Yeltsin กับ ประธานาธิบดี Putin

ข่าวการตรวจพบ Missile นี้ ถูกแจ้งไปยังกองบัญชาการกองทัพรัสเซียในกรุงมอสโกทันทีว่า รัสเซียกำลังถูกโจมตีจาก Missile ที่ถูกยิงออกมาจากเรือดำน้ำของอเมริกัน ข้อมูลทั้งหมดถูกรีบแจ้งไปยังประธานาธิบดี Boris Yeltsin (ประธานาธิบดีรัสเซียในขณะนั้น) ว่า พวกเขามีเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น ที่ต้องรีบในการตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวิกฤตินี้ 5 นาทีผ่านไป มีคำสั่งไปยังกองทัพเรือรัสเซีย ให้เรือดำน้ำรัสเซียทุกลำ รวมทั้งเรือดำน้ำที่ติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ ที่ลอยลำอยู่ในน่านน้ำใกล้ ๆ กับแผ่นดินสหรัฐอเมริกา ให้เริ่มดำเนินการเตรียมยิงขีปนาวุธ และรอคำสั่งยิง เพื่อทำการโต้ตอบต่อแผ่นดินสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเน้นย้ำไปยังเรือทุกลำว่า “นี่ไม่ใช่การซ้อมรบ” 4 นาทีผ่านไป ผู้บัญชาการกองทัพรัสเซีย ทุกเหล่าทัพรอฟังคำสั่งยิงจากประธานาธิบดี Yeltsin โดยมีการนำ Cheget หรือกระเป๋าใส่รหัสยิงอาวุธนิวเคลียร์ประจำตัวประธานาธิบดีรัสเซียมาเตรียมไว้ให้

ขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำของรัสเซีย

เรือดำน้ำบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ดำเนินขั้นตอนการยิงจรวดพร้อมแล้ว เหลือแค่รอคำสั่งยิงเท่านั้น ความตึงเครียดก่อตัวไปทั่วห้องบัญชาการที่มอสโก นายทหารและเจ้าหน้าที่ทุกคน จับจ้องมาที่ตัวของประธานาธิบดี Yeltsin เพราะเขาคือผู้เดียวเท่านั้นในรัสเซียที่จะออกคำสั่งยิงได้ แต่ประธานาธิบดี Yeltsin เลือกที่จะยังไม่ออกคำสั่งใด ๆ เขากลับรอเวลาเพื่อดูท่าทีอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงเร่งเร้าและเตือนของบรรดานายทหาร แต่หลังจาก 9 นาทีผ่านไป Missile ลึกลับนั้นก็ได้หายไปจากจอเรดาร์ สัญญาณสุดท้ายที่ตรวจพบ Missile ลูกนี้ คือบริเวณเหนือท้องทะเล

กองทัพรัสเซียรีบทำการตรวจสอบเมืองทุกเมืองในรัสเซีย หรือแม้กระทั่งหมู่บ้านที่ห่างไกลในทุก ๆ มุมของรัสเซีย ตั้งแต่ไครเมีย จนถึง ไซบีเรีย ว่ามีสถานที่แห่งใดในรัสเซียบ้างที่เสียหายจากการโจมตี หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีรายงานกลับมาว่า “ไม่มีเมือง หรือ พื้นที่ใด ๆ ในรัสเซีย เสียหายจากการโจมตีแต่อย่างใด” Missile ลูกนั้นมันมาไม่ถึงแผ่นดินรัสเซีย ทุกคนในห้องต่างโล่งอก เมื่อแน่ชัดว่า Missile นั้นหายไปแล้วประธานาธิบดี Yeltsin จึงออกคำสั่งไปยังกองทัพรัสเซีย ให้ยกเลิกคำสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ และกองกำลังที่เตรียมพร้อมอยู่นั้น ให้ลดระดับการเตรียมพร้อมรบลงมาในระดับปกติ

Black Brant XII จรวดสำรวจชั้นบรรยากาศ

หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงต่อมา ทางการรัสเซียจึงได้ทราบข้อเท็จจริงว่า แท้จริงแล้ว Missile ลึกลับนั้นคือ Black Brant XII จรวดสำรวจชั้นบรรยากาศของทีมนักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์และอเมริกัน เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ การเกิดแสงออโรร่า (Aurora) ในชั้นบรรยากาศโลก เหตุการณ์ที่เกือบนำพาโลกเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์นี้ ได้ทำให้ประธานาธิบดีของอเมริกาและรัสเซีย ต้องหันมาวางมาตรการการป้องกันการเกิดเรื่องเข้าใจผิด ที่เกือบจะเลยเถิดจนกลายเป็นสงครามในครั้งนี้

“หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน” เกาะสวรรค์ของธุรกิจสีเทา (The British Virgin Islands : BVI)

หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน หรือ หมู่เกาะเวอร์จินของอังกฤษ (BVI) เป็นดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 50 เกาะ ตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียน ทางตะวันออกของประเทศจาเมกา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และทางตะวันตกเฉียงเหนือของแองกวิลลา หมู่เกาะเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเวอร์จิน และตั้งอยู่ในหมู่เกาะลีวาร์ดของเลสเซอร์แอนทิลลิส และเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะอินเดียตะวันตก

BVI ประกอบด้วยเกาะหลัก ๆ คือ Tortola, Virgin Gorda, Anegada และ Jost Van Dyke พร้อมด้วยเกาะที่มีสันดอนเล็ก ๆ อีกกว่า 50 เกาะ มีเกาะที่มีผู้อาศัยอยู่ประมาณ 16 เกาะ เมืองหลวงคือ กรุง Road Town ตั้งอยู่บนเกาะ Tortola ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีความยาวประมาณ 20 กม. (12 ไมล์) และกว้าง 5 กม. (3 ไมล์) หมู่เกาะมีประชากร 28,054 คน ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2010 โดย 23,491 คนอาศัยอยู่บน Tortola ประมาณการเมื่อกรกฎาคม 2018 จำนวนประชากรอยู่ที่ 35,802 คน ชาวเกาะบริติชเวอร์จินเป็นพลเมืองของดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 จึงกลายเป็นพลเมืองอังกฤษด้วย

BVI เป็นเกาะที่รับจดทะเบียนของบริษัทกว่า 600,000 แห่ง ที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ (49.5ล้านล้านบาท) และต้องการมาตรการในการ เคลื่อนไหว ปรับปรุง แก้ไขต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เมื่อเดินผ่านใจกลางกรุง Road Town เมืองหลวงของหมู่เกาะแคริบเบียนแห่งนี้ มีไก่นานาชนิดขันแข่งขันกันเต็มไปหมดกับรถยนต์บนถนนแคบ ๆ สายเดียว ซึ่งเป็นถนนสายหลัก มีบริษัทกฎหมายที่ตั้งและให้บริการบริษัทนอกอาณาเขตหลายพันแห่ง มีอาคารขนาดเล็กติดกับบ้านไม้สีสดใส ซึ่งมีร้านเสริมสวยราคาถูก และร้านเสื้อผ้าชื่อดังอย่าง “GoodFellas”

นอกจากป้ายถนนสีเขียวบางจุดบนถนนสายหลักแล้ว ยังมีถนนอีกหลายสายที่ทำเครื่องหมายไว้ BVI ไม่มีการจัดส่งทางไปรษณีย์ ธุรกิจ และผู้อยู่อาศัยกว่า 35,000 คน ใช้ตู้ไปรษณีย์เป็นที่อยู่ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ที่ทำการไปรษณีย์ที่มีตู้จดหมายหนึ่งแห่งในกรุง Road Town สามารถเป็นที่อยู่ของ บริษัทหลายพันแห่งจากทั่วโลก ทนายความ นักบัญชี และตัวแทนบริษัทหลายร้อยคน ทำงานจากอาคารที่กระจายอยู่รอบเกาะ Tortola จากประเทศที่รูปแบบให้บริการคล้ายกันอย่าง ลักเซมเบิร์ก โมนาโก หรือแม้แต่บางส่วนของหมู่เกาะเคย์แมน เงินลงสู่ทุกซอกทุกมุมใน BVI ความมั่งคั่งของบริษัทสีเทาผ่านไปชนิดที่แทบจะไร้ร่องรอยให้ตรวจสอบ

กฎหมาย Business Ownership Secure Search System หรือ BOSS ซึ่ง BVI เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2560 เพื่อตอบสนองความต้องการของหน่วยงานระหว่างประเทศที่ต้องการติดตามเจ้าของบริษัท แต่จะมีเพียงเจ้าหน้าที่นิรนามสองคนของสำนักงานสืบสวนทางการเงินของ BVI เท่านั้นที่สามารถสืบค้นหาทั้งระบบได้ ซึ่งในระบบมีรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าของธุรกิจกว่า 600,000 รายที่มีบริษัทที่ควบคุมโดยตรงหรือโดยอ้อมใน BVI คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของบริษัทนอกอาณาเขตทั้งหมดทั่วโลกที่มาจดทะเบียนใน BVI

BOSS ใช้การเข้ารหัสที่ไม่เคยถูกแฮ็กและไม่สามารถแฮ็กได้ ถ้ามีใครพยายามเข้าถึง BOSS จากที่ไหนสักแห่งที่ผิดปกติ เช่น เกาหลีเหนือ ระบบจะถูกปิดทันที ข้อมูลถูกเก็บไว้ในสถานที่ลับในประเทศ G-7 แต่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นกับ BVI เมื่อรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรได้ลงมติให้บังคับใช้มาตรการความโปร่งใสใน BVI และดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษอีก 13 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มอดีตอาณานิคมที่สมเด็จพระราชินีทรงแต่งตั้งผู้ว่าการ เพื่อควบคุมดูแลงานด้านการต่างประเทศและการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนระบบตุลาการให้เป็นไปตามกฎหมายทั่วไปของอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขอฉันทมติข้ามพรรคในหมู่สมาชิกรัฐสภาอังกฤษได้ยาก ด้วยอยู่ในภาวะติดขัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จากมาตรการ Brexit เพื่อออกจากสหภาพยุโรป ส่วนสำคัญของกฎหมายเพื่อความโปร่งใส คือ ข้อกำหนดที่แต่ละดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรต้องจัดทำมาตรการที่โปร่งใสบางอย่างเช่น BOSS และเผยแพร่สู่สาธารณะ

ข้อตกลง “AUKUS” ความมั่นคงไตรภาคี ระหว่างสหรัฐฯ - อังกฤษ - ออสเตรเลีย ที่ต้านแสนยานุภาพจีน!!

AUKUS เป็นข้อตกลงที่ประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564 ภายใต้ข้อตกลงนี้ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร จะช่วยออสเตรเลียในการพัฒนา และปรับปรุงเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ และเพิ่มการประจำการของกองกำลังด้านตะวันตกของภูมิภาคแปซิฟิก แม้ว่าการแถลงการณ์ร่วมของ “Scott Morrison” นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย “Boris Johnson” นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ “Joe Biden” ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จะไม่ได้เอ่ยถึงชื่อประเทศอื่นใดเลยก็ตาม แหล่งข่าวของทำเนียบขาวที่ไม่ระบุนามได้กล่าวว่า AUKUS ถูกออกแบบมาเพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก อย่างไรก็ตาม Boris Johnson กล่าวต่อรัฐสภาอังกฤษในเวลาต่อมาว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับจีนแต่อย่างใด

ข้อตกลงนี้ครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ สงครามไซเบอร์ เทคโนโลยีใต้น้ำ และความสามารถในการโจมตีระยะไกล นอกจากนี้ยังรวมถึงส่วนประกอบนิวเคลียร์ ซึ่งอาจจำกัดอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการป้องกันนิวเคลียร์ ข้อตกลงดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่ความสามารถทางทหาร โดยแยกออกจากกลุ่มพันธมิตรแบ่งปันข่าวกรอง (Five Eyes : ชุมชนข่าวกรองที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก 5 ชาติ ได้แก่ อังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2564 ฝรั่งเศสซึ่งเป็นพันธมิตรของสามประเทศได้เรียกเอกอัครรัฐทูตกลับจากออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา Jean-Yves Le Drian รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เรียกข้อตกลงนี้ว่าเป็นการ "แทงข้างหลัง" เพราะเป็นการขัดขวางแผนยุทธศาสตร์ของฝรั่งเศสในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และนำไปสู่การยกเลิกข้อตกลงเรือดำน้ำฝรั่งเศส-ออสเตรเลียมูลค่า 56 พันล้านยูโร (90 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย) ของออสเตรเลียเพียงฝ่ายเดียว

ในปี พ.ศ. 2552 สองปีหลังจากการเริ่มต้นของโครงการที่ขับเคลื่อนตามอัตภาพเพื่อหาเรือดำน้ำแทนที่เรือดำน้ำ Collins class ของกองทัพเรือออสเตรเลีย Australian Defense White Paper กล่าวว่า "รัฐบาลได้ตัดขาดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์สำหรับเรือดำน้ำเหล่านี้" ดังนั้นจึงถอดเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ Suffren class ของฝรั่งเศส ขับเคลื่อน ออกจากความขัดแย้ง

พ.ศ. 2559 นายกรัฐมนตรี Malcolm Turnbull ของออสเตรเลียได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (31 พันล้านยูโร) กับบริษัท Naval Group ของฝรั่งเศส (รู้จักกันในชื่อ DCNS จนถึงปี พ.ศ. 2560) เพื่อออกแบบเรือดำน้ำรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Attack class ภายใต้โครงการเรือดำน้ำ "อนาคต" โดยกำหนดให้แทนที่เรือดำน้ำ Collins class ของกองทัพเรือออสเตรเลียในปัจจุบัน เรือดำน้ำจำนวน 12 ลำ จะถูกสร้างขึ้นทั้งในออสเตรเลียและฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามโครงการถูกรุมเร้าด้วยความล่าช้าและต้นทุนที่สูงมาก นำไปสู่ความไม่แน่นอนและความตึงเครียด เบื้องหลังค่าใช้จ่ายที่ต้องแก้ไข รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อตลอดระยะเวลาของโครงการ มูลค่าจึงเพิ่มเป็นที่ 90 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (56 พันล้านยูโร)

เนื่องจากพลังงานนิวเคลียร์เป็นเรื่องต้องห้ามในออสเตรเลีย จึงได้มีการตัดสินใจเปลี่ยนการออกแบบเรือดำน้ำจู่โจมโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ล่าสุดของฝรั่งเศส Barracuda class เป็นแบบขับเคลื่อนด้วยดีเซล-ไฟฟ้า ข้อแตกต่างอีกประการหนึ่งคือ ออสเตรเลียเลือกที่จะติดตั้งระบบอาวุธของ Lockheed Martin โดยทั่วไปแล้วออสเตรเลียกำหนดให้มีการสร้างเรือบางส่วนในประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ในกรณีนี้คิดเป็นร้อยละ 60 ของมูลค่าสัญญา โดยฝรั่งเศสจะสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี

เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 แผนการออกแบบเบื้องต้นถูกปฏิเสธเนื่องจากมีราคาแพงเกินไป และกองทัพเรือออสเตรเลียได้รับมอบหมายให้ปรับปรุงข้อเสนอจนถึงเดือนกันยายน ในการไต่สวนของวุฒิสภาเมื่อต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 โดยมีความล่าช้าอย่างต่อเนื่อง Greg Moriarty รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ภายใต้คำถามที่ว่า เขาได้พิจารณาจัดทำแผนฉุกเฉินหากโครงการของฝรั่งเศสล้มเหลว โดยยอมรับว่ามีปัญหาต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว สองสัปดาห์ต่อมา Scott Morrison นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียได้พบกับประธานาธิบดี Emmanuel Macron ในกรุงปารีส และแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการที่ดำเนินไปอย่างล่าช้า ซึ่งประธานาธิบดี Macron ตอบว่า ฝรั่งเศสให้คำมั่น "อย่างเต็มที่และสมบูรณ์" และจะดำเนินการ "ต่อไปและเร็วขึ้นเท่าที่เป็นไปได้" 

ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 Hervé Grandjean โฆษกกระทรวงกลาโหมของฝรั่งเศสระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลวงกลาโหมของฝรั่งเศสและออสเตรเลียได้ออกแถลงการณ์ร่วมยืนยันโครงการดังกล่าว โดยระบุว่า "รัฐมนตรีฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงการเรือดำน้ำในอนาคต"

ออสเตรเลียตัดสินใจยกเลิกสัญญากับ Naval Group สำหรับเรือดำน้ำ Attack class แม้ว่าจะใช้เงินไปแล้วประมาณ 2.4 พันล้านดอลลาร์ในโครงการของฝรั่งเศส คาดว่า ออสเตรเลียจะต้องจ่ายเงินอีกหลายร้อยล้านยูโรเป็นค่าปรับสำหรับการยกเลิกสัญญา

มีการเปิดเผยว่าในวันที่โครงการถูกยกเลิก ออสเตรเลียได้เขียนจดหมายถึงฝรั่งเศสโดยระบุว่า "พวกเขาพอใจกับประสิทธิภาพที่ทำได้ของเรือดำน้ำและความคืบหน้าของโครงการ"

พลเรือโท Michael Noonan ผู้บัญชาการกองทัพเรือออสเตรเลีย ได้พบกับพลเรือเอก Tony Radakin ผู้บัญชาการกองทัพเรือแห่งสหราชอาณาจักร

การเจรจาระหว่างออสเตรเลีย-สหราชอาณาจักร-สหรัฐฯ The Telegraph รายงานว่า ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 พลเรือโท Michael Noonan ผู้บัญชาการกองทัพเรือออสเตรเลีย ได้พบกับพลเรือเอก Tony Radakin ผู้บัญชาการกองทัพเรือแห่งสหราชอาณาจักรที่กรุงลอนดอน และขอความช่วยเหลือจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสำหรับการจัดหาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ The Telegraph รายงานอีกด้วยว่า Dominic Raab รัฐมนตรีต่างประเทศของสหราชอาณาจักร "ทำหน้าที่เป็นตัวแทนตามข้อตกลง"

The New York Times ระบุว่า Boris Johnson นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Joe Biden ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้หารือกันในการประชุมสุดยอด G7 เมื่อมิถุนายน พ.ศ. 2564 ในเมืองคอร์นวอลล์ สหราชอาณาจักร The Guardian รายงานว่า มีการเจรจาไตรภาคีระหว่าง Johnson กับ Biden และ Morrison ในการประชุมสุดยอด G7 การเจรจาเกิดขึ้นโดยไม่มีประธานาธิบดี Macron ร่วมด้วย ซึ่งแนวทางนี้เป็นไปได้เนื่องจากสหราชอาณาจักรจะไม่เข้าสู่นโยบายต่างประเทศอย่างเป็นทางการและสนธิสัญญาความมั่นคงในข้อตกลงหลัง Brexit กับสหภาพยุโรป (EU) เป็นผลให้สหราชอาณาจักรมีอิสระที่จะแสวงหาความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นกับพันธมิตรอื่น ๆ The Guardian ยังรายงานว่า ออสเตรเลียกำลังพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อตกลงเรือดำน้ำ Attack class ต่อไปอีก 18 เดือน

ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ และออสเตรเลียได้ประกาศการพัฒนาขีปนาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียงร่วมกัน ทั้งออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ต่างเป็นสมาชิกของโครงการ Joint Strike Fighter (F-35)

ข้อตกลง AUKUS จะรวมถึงข้อกำหนดที่ทำให้ออสเตรเลียสามารถจัดหาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ได้ เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์มีความเร็วมากกว่า สามารถอยู่ใต้น้ำได้นานขึ้น และสามารถบรรทุกอาวุธได้มากกว่าเรือดำน้ำทั่วไป ปัจจุบันมีเพียง 6 ประเทศเท่านั้นที่มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ได้แก่ สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา) และอินเดีย สหรัฐฯ จะจัดหายูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง (HEU) ให้กับออสเตรเลียเพื่อเป็นพลังงานให้กับเรือดำน้ำ ออสเตรเลียตกลงที่จะไม่ผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงเอง

หมายเหตุ เครื่องปฏิกรณ์ทางเรือของสหรัฐอเมริกาล้วนแต่เป็นเครื่องปฏิกรณ์แรงดันน้ำ (PWR) ทั้งหมด Rolls-Royce PWR3 ของสหราชอาณาจักรเป็นระบบใหม่ที่มีพื้นฐานมาจากการออกแบบของสหรัฐฯ แต่ใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์ของสหราชอาณาจักร

ออสเตรเลีย Lloyd Austin รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ

การปรับใช้เครื่องปฏิกรณ์ของสหรัฐอเมริกาสำหรับออสเตรเลีย ในการเจรจาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างสหรัฐฯ กับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและการต่างประเทศของออสเตรเลีย Peter Dutton รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของออสเตรเลียกล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ จะ "ส่งเสริมความร่วมมือด้านท่าทีของกองกำลังของเราอย่างมีนัยสำคัญ" ซึ่งรวมถึง "ความร่วมมือทางอากาศที่มากขึ้นผ่านการส่งเครื่องบินทหารของสหรัฐฯ ทุกประเภท ไปประจำการในออสเตรเลีย" Dutton ยังระบุด้วยว่า อาจมีการเพิ่มในการหมุนเวียนจำนวนของกำลังทหารสหรัฐที่ถูกส่งไปประจำการที่นครดาร์วิน และการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกับสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคอื่น ๆ และฐานทัพและที่เก็บอุปกรณ์เพิ่มเติมในออสเตรเลีย

Lloyd Austin รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ กล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ จะมองหาโอกาสที่มากขึ้นในการปฏิบัติการรบร่วมกัน โดยระบุว่า จะมีกำลังทหารและเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ในออสเตรเลียมากขึ้น Austin ยังไม่การคาดว่า สหรัฐฯ จะคาดหวังให้ออสเตรเลียให้ผลประโยชน์เพื่อแลกกับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เช่น ขีปนาวุธพิสัยกลาง

สาธารณรัฐตุรกีแห่งไซปรัสเหนือ รัฐที่มีเพียงตุรกีเท่านั้นที่รับรองเอกราช!

เราท่านคงได้ยินชื่อประเทศไซปรัส หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐไซปรัส อันเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออก อยู่ทางใต้ของประเทศตุรกี ทางตะวันตกของประเทศซีเรีย และทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรีซ 

ไซปรัส ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ต่อมาในปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวไซปรัสเชื้อสายกรีกและชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกี โดยชาวไซปรัสเชื้อสายกรีกมีอำนาจรัฐบาล แต่ถูกแทรกแซงจากประเทศตุรกี ทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นไซปรัสกรีกและไซปรัสตุรกี ซึ่งต่อมาไซปรัสตุรกีได้เข้าควบคุมพื้นที่ 36.2% ของเกาะไซปรัส

ส่วนสีแดงคือ พื้นที่ของสาธารณรัฐตุรกีแห่งไซปรัสเหนือ

ทางเหนือของไซปรัสทอดยาวจากปลายคาบสมุทร Karpass ทางตะวันออกเฉียงเหนือไปยังอ่าว Morphou แหลม Kormakitis และจุดตะวันตกสุดของเกาะ Kokkina exclave ทางทิศตะวันตก จุดใต้สุดของมันคือหมู่บ้าน Louroujina เขตกันชนภายใต้การควบคุมของสหประชาชาติ ทอดยาวระหว่างไซปรัสเหนือและส่วนที่เหลือของเกาะ และแบ่งกรุงนิโคเซีย ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเกาะ และเป็นเมืองหลวงของทั้งสองฝ่าย

กองกำลังตุรกีในไซปรัสเหนือ พ.ศ. 2517

การทำรัฐประหารในไซปรัส เมื่อปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของชาวไซปรัสเชื้อสายกรีกอันเป็นชนส่วนใหญ่ซึ่งพยายามที่จะผนวกเกาะไซปรัสเข้ากับประเทศกรีซ กระตุ้นให้ตุรกีส่งกำลังทหารบุกโจมตีไซปรัส อันมีผลให้มีการขับไล่ประชากรชาวไซปรัสเชื้อสายกรีกทางตอนเหนือ (พื้นที่ของชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกี) จำนวนมากต้องอพยพหนีลงทางใต้ และนำไปสู่การแยกตัวและการประกาศเอกราชฝ่ายเดียวโดยทางเหนือในปี พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) เนื่องจากไม่ได้รับการรับรองให้เป็นรัฐเอกราช ไซปรัสเหนือจึงต้องพึ่งพาตุรกีอย่างมากในทุก ๆ ด้าน โดยตุรกีให้การสนับสนุนไซปรัสเหนือทั้งทาง เศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร

ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาข้อพิพาทในไซปรัสไม่ประสบผลสำเร็จ กองทัพตุรกียังคงกองกำลังขนาดใหญ่ในไซปรัสเหนือ ในขณะที่การปรากฏตัวของกองกำลังดังกล่าวได้รับการสนับสนุน และอนุมัติจากรัฐบาล TRNC สาธารณรัฐไซปรัส สหภาพยุโรปโดยรวม และประชาคมระหว่างประเทศถือว่า กองกำลังของตุรกีดังกล่าวเป็นกองกำลังยึดครอง และถูกประณามตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหลายฉบับ

ไซปรัสเหนือเป็นสาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดีที่มีมรดกทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานอิทธิพลที่หลากหลายและเศรษฐกิจที่ถูกครอบงำโดยภาคบริการ เศรษฐกิจมีการเติบโตในช่วงทศวรรษ 2000 และ 2010 โดย GNP ต่อหัวเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าในช่วงทศวรรษ 2000 แต่ถูกระงับด้วยการห้ามส่งสินค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากการปิดท่าเรืออย่างเป็นทางการในไซปรัสเหนือ โดยสาธารณรัฐไซปรัส ภาษาราชการ คือ ภาษาเตอร์กิช มีการพูดภาษาถิ่นชัดเจน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวมุสลิมสุหนี่ ขณะที่ทัศนคติทางศาสนาส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง

ปี พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) ไซปรัสเหนือพยายามสถาปนาตนเองขึ้นเป็นรัฐเอกราช โดยเรียกพื้นที่ในการครอบครองว่า Turkish Republic of the Northern Cyprus (TRNC) แต่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลตุรกีแต่เพียงชาติเดียว ปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) สหประชาชาติได้ดำเนินความพยายามให้ไซปรัสกรีกและไซปรัสตุรกีเจรจาเพื่อการรวมประเทศแต่ยังคงไม่ประสบผลสำเร็จจนทุกวันนี้

ไซปรัสเหนือเป็นรัฐผู้สังเกตการณ์ของ ECO (องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Economic Cooperation Organization)) และ OIC (องค์การความร่วมมืออิสลาม (Organization of Islamic Cooperation)) ภายใต้ชื่อ "รัฐไซปรัสตุรกี" และของ PACE (สมัชชารัฐสภาแห่งสภายุโรป (Parliamentary Assembly of the Council of Europe)) ภายใต้ชื่อ "ชุมชนไซปรัสตุรกี"

ไซปรัสเหนือมีพื้นที่ 3,355 ตารางกิโลเมตร (1,295 ตารางไมล์) ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของเกาะ 75 กิโลเมตร (47 ไมล์) ไปทางเหนือของไซปรัสเหนืออยู่ที่ตุรกีกับซีเรียนอน 97 กิโลเมตร (60.3 ไมล์) ไปทางทิศตะวันออก อยู่ระหว่างละติจูด 34° ถึง 36° N และลองจิจูด 32° ถึง 35° E

อ่าว Morphou

ชายฝั่งทางตอนเหนือของไซปรัสประกอบด้วยอ่าว 2 แห่ง ได้แก่ อ่าว Morphou และอ่าว Famagusta และมีแหลมสี่แห่ง ได้แก่ Cape Apostolos Andreas, Cape Kormakitis, Cape Zeytin และ Cape Kasa โดยมี Cape Apostolos Andreas เป็นจุดสิ้นสุดของคาบสมุทร Karpaz เทือกเขา Kyrenia ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งทางตอนเหนือ และจุดที่สูงที่สุดในไซปรัสเหนือคือ Mount Selvili ซึ่งอยู่ในแนวเทือกเขาที่มีความสูง 1,024 เมตร (3,360 ฟุต) ที่ราบ Mesaoria ซึ่งขยายจากเขต Güzelyurt ไปยังแนวชายฝั่งตะวันออก ที่ราบเมซาโอเรียประกอบด้วยทุ่งราบและเนินเขาเล็ก ๆ และข้ามด้วยลำธารตามฤดูกาลหลายสาย ภาคตะวันออกของที่ราบใช้สำหรับการเกษตรแบบแห้ง เช่น การเพาะปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ดังนั้น ส่วนใหญ่เป็นสีเขียวในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ ในขณะที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีน้ำตาลในฤดูร้อน 56.7% ของที่ดินในไซปรัสเหนือมีศักยภาพทางการเกษตร 

ปัจจุบันไซปรัสเหนือแบ่งออกเป็นหกเขตได้แก่ : Lefkoşa, Gazimağusa, Girne, Güzelyurt, İskele และ Lefke โดยเขต Lefke ก่อตั้งขึ้นโดยแยกจาก Güzelyurt District ในปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) นอกจากนี้ยังมีเขตย่อยอีก 12 ตำบลที่ถูกแบ่งระหว่างห้าเขตที่ใหญ่กว่า อำเภอ และเทศบาลอีกยี่สิบแปดแห่ง

การเมืองของไซปรัสเหนืออยู่รูปแบบของสาธารณรัฐประชาธิปไตยกึ่งตัวแทนกึ่งประธานาธิบดี โดยที่ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล และพรรคการเมืองระบบหลายพรรค รัฐบาลใช้อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติเป็นของทั้งรัฐบาลและสมัชชาแห่งสาธารณรัฐ ตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้ง มีวาระในการดำรงตำแหน่งเป็นเวลาห้าปี และประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ Ersin Tatar นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ Ersan Saner สภานิติบัญญัติคือ สภาแห่งสาธารณรัฐ ซึ่งมีสมาชิก 50 คนมาจากการเลือกตั้งตามสัดส่วนจากหกเขตเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) พรรคเอกภาพแห่งชาติฝ่ายขวาชนะได้ที่นั่งมากที่สุดในสมัชชา และรัฐบาลปัจจุบันเป็นพันธมิตรของพรรคเอกภาพแห่งชาติและพรรคประชาชนศูนย์กลาง

เนื่องจากไซปรัสเหนือถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ และพึ่งพาการสนับสนุนจากประเทศตุรกีอย่างมากมาย ตุรกีจึงมีอิทธิพลในระดับสูงต่อการเมืองของไซปรัสเหนือ สิ่งนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางคนระบุว่า ไซปรัสเหนือเป็นรัฐหุ่นเชิดของตุรกี อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะที่เป็นอิสระในการเลือกตั้ง และการแต่งตั้งในไซปรัสเหนือ และข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไซปรัสเหนือกับรัฐบาลตุรกี โดยสรุปว่า "รัฐหุ่นเชิด" ไม่ใช่คำอธิบายที่ถูกต้องสำหรับไซปรัสเหนือ

ไม่มีประเทศอื่นใดนอกจากตุรกีที่ให้รับรองอย่างเป็นทางการว่า ไซปรัสเหนือเป็นรัฐอธิปไตย สหประชาชาติระบุว่า ไซปรัสเหนือเป็นดินแดนของไซปรัสภายใต้การยึดครองของตุรกี ปากีสถานและบังกลาเทศได้ประกาศในเบื้องต้นว่า ให้การรับรองไซปรัสเหนือเป็นรัฐอธิปไตย แต่หลังจากไซปรัสเหนือประกาศเอกราชได้ไม่นาน ทั้งสองประเทศก็ถอนการรับรอง อันเป็นผลมาจาก แรงกดดันของสหรัฐฯ หลังจากสหประชาชาติถือว่า การประกาศนั้นผิดกฎหมาย โดยสหประชาชาติถือว่า การประกาศเอกราชโดยไซปรัสเหนือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

หลังจากการลงประชามติในเดือนเมษายน พ.ศ. 2547 เกี่ยวกับแผนการ Annan ของสหประชาชาติ (ซึ่งตั้งตามชื่อของ Kofi Annan เลขาธิการองค์การสหประชาชาติในขณะนั้น) และชุมชนชาวไซปรัสตุรกีให้การสนับสนุนแผนการนี้ สหภาพยุโรปได้ให้คำมั่นที่จะยุติการแยกตัวของไซปรัสเหนือ ซึ่งรวมถึงมาตรการสำหรับการค้าและเงินยูโร คำมั่นสัญญาของสหภาพยุโรปที่จะยกเลิกการคว่ำบาตรต่อไซปรัสเหนือ หลังจากการลงประชามติ แต่แผนการ Annan ได้ถูกขัดขวางโดยรัฐบาลไซปรัส โดยคะแนนในการเลือกได้รับการสนับสนุนจากชาวไซปรัสตุรกี 65% แต่มีเพียง 24% ของชาวไซปรัสกรีกที่ให้การสนับสนุนแผนการนี้

ในปี พ.ศ. 2547 องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ได้ยกระดับคณะผู้แทนชุมชนมุสลิมไซปรัสตุรกีจาก "ชุมชนผู้สังเกตการณ์" (พ.ศ. 2522) เป็นรัฐโดยมีชื่อเป็น "รัฐไซปรัสตุรกี" ทำให้ไซปรัสเหนือเป็นสมาชิกในฐานะรัฐผู้สังเกตการณ์ขององค์กร มีการประชุมอย่างเป็นทางการที่มีการเผยแพร่หลายครั้งถึงการพบปะหารือระหว่างประธานาธิบดีไซปรัสเหนือกับผู้นำและนักการเมืองต่างประเทศหลาย ๆ คน

ในปี พ.ศ. 2547 สภาผู้แทนราษฎรแห่งสภายุโรปได้ให้สถานะผู้สังเกตการณ์แก่ตัวแทนของชุมชนไซปรัสตุรกี ตั้งแต่นั้นมาผู้แทนของไซปรัสเหนือได้เข้าร่วมในกิจกรรม PACE ทั้งหมดอย่างแข็งขัน โดยที่ไม่มีสิทธิออกเสียง สหภาพยุโรปถือว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของสาธารณรัฐไซปรัส เป็นดินแดนของสหภาพยุโรปภายใต้การยึดครองทางทหารของตุรกี และได้รับการยกเว้นอย่างไม่มีกำหนดจากกฎหมายของสหภาพยุโรปจนกว่าจะบรรลุข้อตกลง สถานะของไซปรัสเหนือได้กลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผ่านมาการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปของตุรกี ซึ่งการแบ่งแยกของเกาะไซปรัสถูกมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในเส้นทางสู่การเป็นสมาชิกของตุรกี

สาธารณรัฐปกครองตนเอง Nakhichevan ในอาเซอร์ไบจานได้ออกมติรับรองความเป็นอิสระของไซปรัสเหนืออันเป็นผลมาจากปัญหา Nagorno-Karabakh อย่างไรก็ตาม อาเซอร์ไบจานเองก็ไม่ยอมรับอธิปไตยของไซปรัสเหนือ

ชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกีต้องยื่นขอหนังสือเดินทางที่ออกโดยสาธารณรัฐไซปรัสมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว เมื่อช่องทางเข้าสาธารณรัฐไซปรัสปิดลง การสมัครจะดำเนินการผ่านพ่อค้าคนกลาง หรือผ่านสถานกงสุล และสถานทูตของไซปรัสในประเทศอื่น ๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี มีการยื่นขอหนังสือเดินทางดังกล่าว 10-15% ในแต่ละปีก่อนปี พ.ศ. 2544 และมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมาก และมีการออกถึง 817 เล่ม ในช่วงแปดเดือนแรกของปี พ.ศ. 2544 เมื่อเทียบกับ 448 เล่มในปี พ.ศ. 2543 ทั้งหมด หลังจากการเปิดพรมแดนกับ สาธารณรัฐไซปรัส ชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกีเริ่มเข้าแถวยื่นขอหนังสือเดินทางไซปรัสโดยไปเยือนสาธารณรัฐไซปรัส และแสดงหลักฐานการสืบเชื้อสายของไซปรัส มีจุดผ่านแดนเจ็ดแห่งระหว่างไซปรัสเหนือและสาธารณรัฐไซปรัส ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2547 นักท่องเที่ยวบางส่วนได้บินไปยังสาธารณรัฐไซปรัสโดยตรงแล้วข้ามเส้นสีเขียวเพื่อไปพักผ่อนในไซปรัสเหนือ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554 ตุรกีและไซปรัสเหนือได้ลงนามในข้อตกลงชายแดน EEZ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ไขบทบาท “ตำรวจมะกัน” ‘ผู้บังคับใช้กฎหมาย – กระบวนการยุติธรรม’ แห่งสหรัฐอเมริกา

อย่างที่ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า ผมมีเพจ FB ชื่อว่า “ดร.โญ มีเรื่องเล่า” พยายามโพสต์เล่าเรื่องทุกวัน อย่างน้อยวันละหนึ่งเรื่องครับ ก็มี เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ติดตามอยู่ เรื่องนี้ อ้าย (พี่ ภาษาเหนือ) ดิษย์ ศาสตราวุธวิทยา รุ่นพี่โรงเรียนมงฟอร์ต request มาว่า “อยากทราบเกี่ยวกับระบบ ข้าราชการตำรวจ Police , Sheriffs, FBI ,CIA ต่าง ๆ ว่าแบ่งชั้นกันแบบไหน หน้าที่การทำงาน หรือ ขอบเขตการทำงานครับ” ความจริงแล้วเพื่อนร่วมรุ่นมงฟอร์ตของท่านพี่เอง น่าจะเล่าได้ดีกว่าผม เพราะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาก ๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่เมื่อท่านพี่กรุณาให้เกียรติถามแล้ว รุ่นน้องก็ยินดีจัดให้ จึงขอนำมาเล่าใน THE STATES TIMES ครับ

ด้วยความที่คนไทยเราคุ้นชินแต่ตำรวจหน่วยเดียวของบ้านเราคือ ตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (National police) ซึ่งตำรวจไทยทุกคนเป็นตำรวจแห่งชาติ เพราะบ้านเรามีรูปแบบการปกครองเป็นแบบรัฐเดี่ยว ดังนั้น ตำรวจไทยทุกคนจึงสามารถจับกุมผู้ที่กระทำความผิดซึ่งหน้าหรือมีหมายจับได้ตั้งแต่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเหนือสุดของประเทศไปจนถึงใต้สุดอำเภอสุไหงโกลกจังหวัดนราธิวาส สำหรับระบบตำรวจสหรัฐฯ แล้ว มีความแตกต่างกันด้วยระบอบการเมืองการปกครอง เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นสหพันธรัฐ ซึ่งประกอบด้วย 50 รัฐ ดังนั้นการปกครองจึงประกอบด้วย 

(1) รัฐบาลกลาง (Federal government) ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียว

(2) รัฐบาลมลรัฐ (State government) ซึ่งมี 50 มลรัฐ

และ (3) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Local administration) ภายใต้มลรัฐต่าง ๆ ทั้ง 50 รัฐ

รัฐบาลกลางทำหน้าที่กำกับดูแล : 
- การพิมพ์ธนบัตรและผลิตเหรียญกษาปณ์ 
- การจัดตั้งและบัญชาการกองทัพแห่งชาติ
- การประกาศสงคราม
- การทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
- กำกับดูแลการค้าระหว่างรัฐและต่างประเทศ
- กิจการไปรษณีย์และออกดวงตราไปรษณียากร (แสตมป์)

รัฐบาลมลรัฐทำหน้าที่กำกับดูแล :
- องค์กรปกครองท้องถิ่น
- การออกใบอนุญาตต่าง ๆ ใบขับขี่ ทะเบียนสมรส ใบอนุญาตล่าสัตว์ ฯลฯ
- กฎหมายและธุรกิจการค้าภายในมลรัฐ
- จัดการเลือกตั้ง
- การให้สัตยาบันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
- การให้บริการสาธารณสุขและความปลอดภัย
- การใช้อำนาจในส่วนที่ไม่ได้มอบให้กับรัฐบาลกลาง
- การออกกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญ เช่น การจำกัดอายุผู้ที่จะซื้อหรือบริโภคสุราและบุหรี่

รัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐทำหน้าที่กำกับดูแลเหมือนกัน :
- การจัดตั้งศาล
- การกำหนดอัตราและการจัดเก็บภาษี
- การเวนคืนทรัพย์สินจากเอกชนอย่างยุติธรรม
- การใช้จ่ายเงินเพื่อทำให้สวัสดิการดีขึ้น
- การออกและบังคับใช้กฎหมาย
- การออกกฎหมายและธุรกิจการเงิน
- การกู้ยืม
- การสร้างถนนหนทาง

การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในสามองค์ประกอบหลักของระบบยุติธรรมทางอาญาของสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยศาลและงานรัฐทัณฑ์ แม้ว่าองค์ประกอบแต่ละส่วนจะทำงานกึ่งอิสระ แต่ทั้งสามส่วนรวมกันเป็นห่วงโซ่ที่นำไปสู่การสอบสวนคดีที่ต้องสงสัยในคดีอาญา เพื่อดำเนินการลงโทษทางอาญา

ระบบยุติธรรมทางอาญาของสหรัฐอเมริกา
1.) ข้อมูลทั่วไป ไม่มีระบบยุติธรรมทางอาญาเดียวในคดีอาญาของสหรัฐฯ ที่อาจได้รับการจัดการที่แตกต่างกันในเขตอำนาจศาลต่าง ๆ แต่การตัดสินของศาลตามกระบวนการรับรองของรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา กำหนดให้มีการดำเนินการตามขั้นตอนเฉพาะในการบริหารกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เพื่อให้บุคคล ได้รับการคุ้มครองจากการแทรกแซงโดยมิชอบจากรัฐ

2.) โครงสร้างและองค์กร ระบบตุลาการของสหรัฐอเมริกาเป็นแบบลำดับชั้นทั้งในระดับสหพันธรัฐและระดับรัฐ ศาลสูงสุดในสหรัฐอเมริกาและเป็นศาลเดียวที่รัฐธรรมนูญกำหนดคือศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกา โดยคำตัดสินของศาลถือเป็นที่สิ้นสุด

3.) การดำเนินคดี ภายหลังการจับกุม หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคดีและผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการตัดสินว่าจะมีการฟ้องคดีอย่างเป็นทางการต่อศาลหรือไม่ ถ้าไม่มีการฟ้อง จำเลยต้องได้รับการปล่อยตัว อัยการยังสามารถยกฟ้องได้ หลังจากพยายามดำเนินคดีแล้ว

เมื่อมีการตัดสินให้ดำเนินคดีจำเลยมีกำหนดรับคำฟ้อง ในการดำเนินคดี ผู้ต้องหาได้รับแจ้งข้อกล่าวหา ปรึกษาเรื่องสิทธิของจำเลยทางอาญา และขอคำให้การตามข้อกล่าวหา 

การบังคับใช้กฎหมายส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านหน่วยงานตำรวจของรัฐ มีหน่วยงานตำรวจถึง 17,985 หน่วยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงกรมตำรวจของแต่ละนครและเมือง สำนักงานตำรวจภูธรของแต่ละเทศมณฑล ตำรวจ/สายตรวจทางหลวงของแต่ละรัฐ และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลาง วัตถุประสงค์ในการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานเหล่านี้คือ การสอบสวนกิจกรรมที่ต้องสงสัยทางอาญา การส่งต่อผลการสอบสวนไปยังอัยการของรัฐ หรือรัฐบาลกลาง และการกักขังชั่วคราวของผู้ต้องสงสัยอาชญากรที่รอการพิจารณาคดี 

หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายยังมีส่วนร่วมในการให้การตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน และภัยคุกคามอื่น ๆ ต่อความปลอดภัยสาธารณะก่อน การคุ้มครองสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานบางอย่าง การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน การคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการดำเนินการอำนวยความสะดวกในการควบคุมตัว (โดยปกติในระดับท้องถิ่น)

ประเภทของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมีหลายประเภท ตั้งแต่กรมตำรวจเมืองเล็กไปจนถึงหน่วยงานของรัฐบาลกลางขนาดใหญ่ ประเภทของงานที่มีจะขึ้นอยู่กับประเภทของหน่วยงาน ภารกิจ ขนาด และเขตอำนาจศาล 

การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐอเมริกามีลักษณะการกระจายอำนาจ หน่วยงานของรัฐบาลกลางจัดการกับการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางที่อยู่ภายในเขตอำนาจศาลเฉพาะของตน มีหน่วยงานตำรวจของรัฐบาลกลางที่แตกต่างกันประมาณ 65 หน่วย ในระดับท้องถิ่น แต่ละรัฐอธิปไตย 50 รัฐมีหน่วยงานของตนเอง สภานิติบัญญัติแห่งรัฐที่ออกกฎหมายอาญาภายใต้รัฐธรรมนูญของรัฐ ส่วนใหญ่ สหรัฐฯ มีตำรวจในทุกระดับตั้งแต่ เมือง เทศบาล เทศมณฑล และระดับรัฐ

สหรัฐอเมริกา มีหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายราว 17,985 หน่วย โดยราว 15,000 หน่วยอยู่ภายใต้รัฐบาลมลรัฐและองค์กรปกครองระดับท้องถิ่น มีเจ้าหน้าที่กว่า 500,000 นาย ประมาณ 10-12% ของเจ้าหน้าที่ซึ่งได้สาบานตนและทำงานเต็มเวลาในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเป็นสตรี

ในเขตอำนาจศาลบางแห่ง การบรรจุตำรวจนายใหม่แต่ละนายจะต้องผ่านการฝึกอบรมโดยเฉลี่ยประมาณ 1,500 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ 800 ชั่วโมงสำหรับบุคลากรในหน่วยบังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ โดยเฉลี่ย กฎหมายของรัฐกำหนดให้ใช้เวลาฝึกอบรมประมาณสามในสี่ โดยที่เหลือเป็นข้อกำหนดของหน่วยงาน โดยรวมแล้ว มีเพียง 3% ของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่มีสถาบันฝึกอบรม อย่างไรก็ตาม หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเกือบทั้งหมดที่ให้บริการประชากร 300,000 คนขึ้นไปทำเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ 45% ได้รับการคัดเลือกเข้าทำงานจากผู้ที่ผ่านการฝึกฝนอบรมที่ดำเนินการโดยสถาบันการฝึกอบรมผู้รักษากฎหมายต่าง ๆ ที่ไม่ใช่หน่วยงานในสังกัด ภารกิจของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายส่วนใหญ่ถูกกำหนดเป็นนโยบายในหัวข้อที่ละเอียดอ่อนต่าง ๆ เช่น การใช้กำลัง การจัดการกับเยาวชน และการร้องเรียนของพลเมือง

หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ 65 แห่ง และสำนักงานผู้ตรวจการทั่วไป 27 แห่งที่มีบุคลากรเต็มเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ทำการจับกุมและพกพาอาวุธปืน จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติยุติธรรม ในปี พ.ศ. 2551 หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่ใหญ่ที่สุดที่มีเจ้าหน้าที่ในสังกัด ได้แก่ สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนแห่งสหรัฐอเมริกา (US Customs and Border Protection) สำนักงานรัฐทัณฑ์แห่งรัฐบาลกลาง สำนักงานสืบสวนกลาง (FBI) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และการบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ แต่ละหน่วยมีเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเต็มเวลามากกว่า 15,000 นาย หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางรวมถึงการตอบโต้และการลาดตระเวน การสอบสวนและการบังคับใช้ทางอาญา การตรวจสอบ การรักษาความปลอดภัยและการป้องกัน การดำเนินการตามคำสั่งของศาล มีภารกิจและหน่วยงานในสังกัดครอบคลุมทั้งประเทศ ขอยกตัวอย่างพอสังเขปของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรับบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ดังนี้

(1.) สำนักงานสืบสวนกลางแห่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกา (FBI) ดำเนินงานภายใต้กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา 
มีหน้าที่และภารกิจคือ : การปกป้องสหรัฐอเมริกาจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย การปฏิบัติการข่าวกรองต่างประเทศ และการจารกรรม ตลอดจนอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีขั้นสูง ต่อต้านการทุจริตสาธารณะในทุกระดับ ปกป้องสิทธิพลเมือง ต่อสู้กับองค์กรและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ/ระดับชาติ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจรายใหญ่ และอาชญากรรมที่มีความรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ สนับสนุนหน่วยงานของรัฐบาลกลาง รัฐบาลมลรัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น และองค์กรระหว่างประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานให้ประสบความสำเร็จ

ณ วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2549 FBI มีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 30,626 นาย ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่พิเศษ 12,617 นาย และเจ้าหน้าที่สนับสนุน 18,009 นาย เช่น นักวิเคราะห์ข่าวกรอง ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เจ้าหน้าที่พิเศษของ FBI จะต้องสำเร็จการศึกษา 4 ปี (ปริญญาตรี) จากวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรองจากสมาคมสถาบันการศึกษาระดับภูมิภาคหรือระดับชาติที่รับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐอเมริกา และต้องมีประสบการณ์การทำงานเป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายมืออาชีพอย่างน้อยสามปี เมื่อผ่านการรับสมัครแล้ว เจ้าหน้าที่พิเศษของ FBI จะได้รับการฝึกอบรมที่ FBI Academy ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Quantico มลรัฐเวอร์จิเนีย

(2.) สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA) ดำเนินงานภายใต้กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา 
ภารกิจของ DEA คือ : การบังคับใช้กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการควบคุมของสหรัฐอเมริกาและนำไปสู่ระบบยุติธรรมทางอาญาและทางแพ่งของสหรัฐอเมริกาหรือเขตอำนาจศาลที่มีอำนาจอื่น ๆ องค์กรเหล่านั้นและสมาชิกหลักขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการเติบโต การผลิต หรือการจำหน่ายสารควบคุมที่ปรากฏในหรือถูกกำหนดไว้สำหรับการลักลอบขนส่งในสหรัฐอเมริกา และเพื่อแนะนำและสนับสนุนโครงการไม่บังคับใช้ที่มีเป้าหมายเพื่อลดความพร้อมของสารควบคุมที่ผิดกฎหมายในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 4,400 นาย สถาบันฝึกอบรมของ DEA ตั้งอยู่ที่เมือง Quantico มลรัฐเวอร์จิเนีย เช่นเดียวกับ FBI Academy

ขุดโคตรยิว! 124 ปี “ขบวนการไซออนิสต์” (Zionism) ฤๅจะเป็นลัทธิการก่อการร้ายซ่อนรูป!!

ปกติแล้วผมจะโพสต์และ Live ใน FB วันละหนึ่งเรื่องครับ มีเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ติดตามมากมายหลายท่านอยู่ แล้วก็มี request มาให้เล่าเรื่องราวของ “ขบวนการไซออนิสต์” ขอจัดให้ใน Weekly Column ตามนี้เลยครับ

หลังจากชนชาติยิวได้กระจัดกระจายออกจากมาตุภูมิไปอยู่ตามประเทศต่าง ๆ โดยไม่มีรัฐชาติของตนเกือบสองพันปี ชาวยิวต้องตกอยู่ในสภาพระหกระเหเร่ร่อนไปทั่วทั้งแผ่นดินยุโรป หลังจากถูกกวาดล้างโจมตีโดยจักรวรรดิโรมันซึ่งยกทัพเข้าถล่มนครเยรูซาเล็มจนราบคาบ จากสภาวะที่ต้องอพยพอยู่ตลอดเวลา และการถูกจำกัดสิทธิ์ต่าง ๆ นานา ก็มาถึงยุคที่ชาวยิวเริ่มมีอิสรภาพมากขึ้น นั่นคือในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในสมัยของนโปเลียนปกครองฝรั่งเศส นโปเลียนยกศาสนายิวให้เป็นศาสนาประจำชาติร่วมกับคริสต์นิกายต่าง ๆ เมื่อนโปเลียนขยายอาณาเขตออกไปถึงไหนก็จะปลดปล่อยชาวยิวในเขตนั้น ๆ ด้วย ชาวยิวจึงได้เริ่มที่จะมีสถานะแบบชนปกติขึ้นมา 

ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์ (Theodor Herzl)

แม้จะเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นแล้ว แต่ปัญหาการเหยียดชาวยิวก็ยังคงมีอยู่ จึงทำให้ ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์ (Theodor Herzl)นักหนังสือพิมพ์ชาวยิวในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (สมัยนั้น)เชื้อสายยิว ผู้ตีพิมพ์นิตยสาร Die Welt (The World) รายสัปดาห์ เห็นว่า ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาของชาวยิวได้ คือการให้ชาวยิวมีประเทศของตนเอง เฮิร์ซล์จึงเริ่มเผยแพร่แนวคิดนี้ออกไป ซึ่งต่อมาแนวคิดนี้คือรากฐานของอุดมการณ์ “ไซออนนิสต์” นั่นเอง

เมื่อปี ค.ศ. 1897 การประชุมใหญ่ผู้นำยิวคนสำคัญ ๆ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เฮิร์ซล์ ได้จัดประชุมใหญ่ผู้นำยิวคนสำคัญ ๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีผู้เข้าร่วมมากกว่าสามร้อยคน และที่ประชุมครั้งนั้นได้มีมติให้จัดตั้งองค์การหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า “องค์การไซออนิสต์สากล” (The world Zionist Organization) การประชุมสภาคองเกรสไซออนิสต์จัดขึ้นทุกปีจนถึงปี ค.ศ. 1901 และหลังจากนั้นเป็นทุก ๆ สองปี (หลังจากก่อตั้งประเทศอิสราเอลแล้ว การประชุมสภาคองเกรสไซออนิสต์จัดขึ้นที่นครเยรูซาเล็ม ทุก 4 หรือ 5 ปี ครั้งล่าสุดจัดขึ้นในปี ค.ศ. 2020 โดยในปี ค.ศ. 1960 เปลี่ยนชื่อเป็น “World Zionist Congress”)

ปฏิญญาสากลของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” (The Protocol of The Elder of Zion)

ภายหลังการประชุมของผู้นำขบวนการไซออนิสต์ มีเอกสารที่รู้จักกันว่า “ปฏิญญาสากลของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” (The Protocol of The Elder of Zion) เผยแพร่ออกมา ปฏิญญาดังกล่าวแสดงถึงอุดมการณ์บางอย่างที่ต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษยชาติให้เป็นไปในเชิงการรับใช้วัตถุประสงค์ของผู้นำขบวนการ เป็นอุดมการณ์ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติทางความเชื่อ สังคม-การเมือง และเศรษฐกิจ

แม้การมีประเทศ (รัฐชาติ) ของตนเองนับเป็นความฝันของชาวยิวมาตลอด แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย เพราะชาวยิวนั้นบางส่วนก็ต้องการที่จะผสมกลมกลืนอาศัยอยู่ร่วมกับสังคมที่ตนอยู่ หรือบางส่วนก็เชื่อว่า การกลับอิสราเอลเป็นการฝ่าฝืนพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม เฮิร์ซล์ก็ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากนายทุนใหญ่ต่าง ๆ ทำให้เขาตัดสินใจจัดตั้ง “องค์กรไซออนนิสต์ (Zionist Organization หรือ ZO)” อย่างเป็นทางการขึ้นในปี ค.ศ.1897 ขบวนการไซออนิสต์ได้ให้ความหวังให้ชาวยิวรุ่นใหม่ เพื่อที่จะนำพาไปสู่การตั้งรัฐยิวในพื้นที่ดินแดนที่พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าทรงประทานให้กับพวกเขา คือ ดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนภายใต้จักรวรรดิออตโตมัน อันถือเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาโบราณ และขบวนการดังกล่าวจึงส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวยิวอพยพไปยังดินแดนปาเลสไตน์

องค์กรไซออนนิสต์ ได้ทำการกำหนดยุทธศาสตร์ขององค์กร เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเอาไว้อย่างชัดเจน 
อันประกอบไปด้วย แผน 3 ขั้น คือ
1. ก่อนตั้งรัฐอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์
2. ระหว่างตั้งรัฐอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์
3. หลังตั้งรัฐอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์ 

>> 1. ก่อนตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์ ด้วยความที่ในปาเลสไตน์เองก็มีประชากรชาวยิวอาศัยอยู่บ้าง ซึ่งในยุคนั้นปาเลสไตน์อยู่ใต้การปกครองของชาวเติร์ก ชาวยิวจึงเริ่มต้นด้วยการ "ซื้อที่ดิน" จากชาวอาหรับ โดยไม่เกี่ยงว่าที่ตรงนั้นจะเป็นทะเลทรายเพาะปลูกอะไรไม่ขึ้นก็ตาม จุดมุ่งหมายมีเพียงการเพิ่มพื้นที่ให้ชาวยิวให้ได้มากที่สุด อันที่จริงรัฐบาลเติร์กเองก็รู้ว่าชาวยิวกำลังเข้ามากว้านซื้อที่ดินประเทศตัวเอง แต่ด้วยความที่ต้องรับศึกหลายทาง เกิดการรัฐประหารในประเทศบ่อยครั้ง จึงไม่ได้มีเวลามาใส่ใจกับชาวยิวแต่อย่างใด

จุดเปลี่ยนสำคัญจริง ๆ อยู่ในช่วงสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนปาเลสไตน์ตกอยู่ในอาณัติของประเทศอังกฤษ โดยที่อังกฤษได้ทำข้อตกลงกับไซออนนิสต์ไว้ก่อนหน้านั้น ว่าจะช่วยสร้างถิ่นอาศัยของชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์ เพื่อจูงใจให้ไซออนนิสต์เข้ามาช่วยทำสงคราม แน่นอนว่าเมื่ออังกฤษชนะสงคราม จึงตั้งยิวไซออนนิสต์คนหนึ่งขึ้นเป็นข้าหลวงใหญ่ปกครองแดนปาเลสไตน์ทันที อังกฤษได้ประกาศให้ปาเลสไตน์เป็น "บ้านแห่งชาติของคนยิว" (a national home for the Jewish people) โดยกำหนดไว้ว่าจะต้องไม่เลือกปฏิบัติต่อสิทธิทางศาสนาและพลเมืองของชุมชนที่ไม่ใช่ชาวยิวที่อยู่ที่นั่น

หลังจบสงครามปาเลสไตน์ต่างเป็นหนี้ท่วมหัว จนสุดท้ายต้องยอมขายที่ดินให้กลุ่มทุนชาวยิวเพื่อยังชีพ ชาวยิวก็กว้านซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นได้อีกมากมาย บ่มเพาะความเกลียดชังของชาวอาหรับที่มีต่อยิวมากขึ้น ซึ่งสำหรับอังกฤษแล้วนี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะยิ่งอาหรับเกลียดยิวมากเท่าไร ก็ยิ่งปกครองง่ายขึ้นเท่านั้น

การอพยพชาวยิวจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลกไปสู่ปาเลสไตน์ ภายใต้การอำนวยการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้เริ่มมีการอพยพชาวยิวระลอกแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1897-1902 และระลอกล่าสุดคือเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนการประกาศสถาปนารัฐอิสราเอลในปี ค.ศ.1948

นอกจากเหตุผลหลัก ๆ สองข้อที่กล่าวแล้ว สถานการณ์ที่ผลักดันให้ชาวยิวจากที่ต่าง ๆ อพยพสู่ปาเลสไตน์มากขึ้นคือ ลัทธิเกลียดชังยิว (Anti-Semitic) ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปในยุโรปและการทารุณกรรมชาวยิวของนาซีเยอรมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งได้ทำให้เกิดภาวะตื่นตระหนกในหมู่ชาวยิวและนำไปสู่จำนวนผู้อพยพที่เพิ่มมากขึ้น ลัทธิไซออนนิสต์จึงกลายเป็นแนวคิดกระแสหลักของสังคมชาวยิวไปในที่สุด

>> 2. ระหว่างตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์ การจัดตั้ง “รัฐอิสราเอล” หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการตั้งองค์การสหประชาชาติ หรือ UN ขึ้นมา โดยมีเจตนาให้เป็นองค์กรที่ชาติทั้งหลายมาประชุมกัน เพื่อออกประชามติตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ ในโลก แน่นอนว่าปัญหาการแบ่งแยกดินแดนของยิวกับอาหรับในปาเลสไตน์ก็เป็นหนึ่งในปัญหานั้น ฝ่ายอาหรับไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกดินแดน เพราะคิดว่าผู้อพยพใหม่อย่างชาวยิวไม่ควรมีสิทธิใด ๆ ด้านยิวนั้นมุ่งมั่นสนับสนุนให้มีการแบ่งแยก เพราะนี่เป็นโอกาสที่จะได้จัดตั้งประเทศที่เป็นของตนเองจริง ๆ เสียที 

ในที่สุด คณะกรรมการของสหประชาชาติแบ่งดินแดนออกมา ให้ยิวได้แผ่นดิน 54% ของทั้งหมด ส่วนอาหรับได้ 46% โดยในดินแดนส่วนของยิวนั้นมีชาวอาหรับอาศัยอยู่เกือบครึ่ง และทำการโหวตกันในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ได้ผลออกมาคือ สนับสนุนแผนการแบ่งแยกดินแดน 33 เสียง โหวตค้าน 13 เสียง ไม่ออกเสียง 10 เสียง และไม่โหวต 1 เสียง ส่งผลให้ชาวยิวได้รับแผ่นดินแห่งพันธสัญญาในที่สุด (สำหรับประเทศที่ไม่โหวต 1 เสียง คือ ประเทศไทย) 

ชาวปาเลสไตน์ราว 750,000 คนถูกขับไล่ออกจากถิ่นฐานบ้านเกิด

เมื่อฝ่ายอาหรับเป็นผู้เสียประโยชน์โดยตรงจากการแบ่งแยกดินแดนในครั้งนี้ จึงเกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นในทันที ชาวอาหรับปาเลสไตน์นับแสนพากันหนีออกนอกประเทศ ขณะที่ไซออนนิสต์ก็ลำเลียงชาวยิวพลัดถิ่น รวมถึงชาวยิวที่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุโรปอีกนับแสนเข้ามาอยู่แทนที่ หลังจากการสถาปนาอิสราเอลขึ้นเป็นรัฐในปี ค.ศ. 1948 ก็เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ขึ้น โดยขบวนการชาตินิยมยิวไซออนิสต์ได้ขับไล่ชาวปาเลสไตน์ราว 750,000 คนออกจากถิ่นฐานบ้านเกิด และทำลายบ้านเรือน จนในที่สุดกลุ่มชาติอาหรับที่อยู่รายล้อม ไม่ว่าจะอียิปต์ จอร์แดน ซีเรีย ก็เข้ามาร่วมวงโจมตียิวจากทุกทิศ ขยายกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศในที่สุด

แต่สุดท้ายสงครามจบลงด้วยชัยชนะของชาวยิว และยึดดินแดนได้มากกว่าที่ UN ให้มาตอนแรกที่ 54% ส่วนอาหรับปาเลสไตน์ถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วน ฉนวนกาซา ที่อียิปต์ยึดครองทางตะวันตก และส่วน เวสต์แบงก์ ที่จอร์แดนยึดครองทางตะวันออก ทางด้านองค์กรไซออนนิสต์จึงประกาศการตั้งรัฐของยิวขึ้นอย่างเป็นทางการ เป็นประเทศ “อิสราเอล”และเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติด้วยคะแนนเสียงข้างมากในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1949

หลังการสู้รบสิ้นสุดในปี 1949 มีการตกลงแบ่งพรมแดนระหว่างอิสราเอลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการสร้างพรมแดนของพื้นที่ที่รู้จักกันในชื่อ ฉนวนกาซา (อียิปต์ยึดครอง) เยรูซาเลมตะวันออกและเขตเวสต์แบงก์ (จอร์แดนยึดครอง) เท่ากับว่าอิสราเอลครอบครองพื้นที่ 78% ของปาเลสไตน์ ส่วนที่เหลือ 22% อยู่ภายใต้การปกครองของอียิปต์และจอร์แดน

นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 1953 อิสราเอลยังลงมือสังหารหมู่ที่อ้างว่าเป็นการแก้แค้นครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน Qibya ในเขตเวสต์แบงก์ ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 69 ราย บ้านเรือน 45 หลังพังเสียหาย

>> 3. หลังตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์ แต่แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อพรมแดนอิสราเอลอีกครั้งในปี ค.ศ. 1967 อิสราเอลสู้รบกับอียิปต์ จอร์แดน และซีเรียในสงครามที่รู้จักกันในชื่อ สงคราม 6 วัน (Six-Day War) อิสราเอลสร้างความช็อกให้ชาวโลกด้วยการเข้ายึดครองเขตเวสต์แบงก์ที่เหลือของปาเลสไตน์ เยรูซาเลมตะวันออก ฉนวนกาซา รวมทั้งที่ราบสูงโกลันของซีเรียและคาบสมุทรไซนายของอียิปต์ภายในเวลาเพียง  6 วัน

ถึงจุดนี้อิสราเอลได้ขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่อีกราว 300,000 คน ส่งผลให้พื้นที่ของดินแดนภายใต้การควบคุมของอิสราเอลเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัว และอิสราเอลยังผนวกเยรูซาเลมตะวันออกและอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเมืองเยรูซาเลมทั้งเมืองให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก รวมทั้งจากชาวปาเลสไตน์ที่ต้องการใช้เยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของรัฐในอนาคต

อิสราเอลเริ่มก่อตั้งชุมชนชาวยิวในพื้นที่ที่ตัวเองไม่มีกรรมสิทธิ์เหนือซึ่งขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยหลังจากสงครามในปี ค.ศ. 1967 เพียง 1 ปี อิสราเอลก่อตั้งชุมชนชาวยิวบนที่ราบสูงโกลันของซีเรีย 6 แห่ง ในปี ค.ศ. 1973 ก่อตั้ง 17 ชุมชนชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ และ 7 แห่งในฉนวนกาซา ปี ค.ศ. 1977 อิสราเอลราว 11,000 คนอาศัยอยู่ในเขตเวสต์แบงก์ ฉนวนกาซา ที่ราบสูงโกลัน และคาบสมุทรไซนาย

โครงการก่อสร้างชุมชนชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอิสราเอลดำเนินการโดยฝ่ายการตั้งถิ่นฐานขององค์การไซออนิสต์สากลที่สนับสนุนให้ชาวยิวเข้าไปตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์

ที่น่าสังเกตคือ เมื่ออิสราเอลผนวกรวมเยรูซาเลมตะวันออกแล้วก็กำหนดนโยบายที่แบ่งแยกชนชาติอย่างชัดเจน โดยชาวยิวที่เกิดในเยรูซาเลมตะวันออกถือเป็นพลเมืองของอิสราเอล ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ได้สิทธิ์เพียงผู้พำนักถาวรซึ่งจะถูกเพิกถอนหากบุคคลดังกล่าวอาศัยอยู่นอกเยรูซาเลมตะวันออกเกินกำหนด ซึ่งไม่ต่างจากการจำกัดการเดินทางของชาวปาเลสไตน์

จนถึงวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2020 มีชุมชนชาวยิวที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอิสราเอล 130 แห่ง และที่ไม่ได้รับอนุญาตอีก 100 แห่ง ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวอิสราเอลราว 400,000 คนในเขตเวสต์แบงก์ และอีก 200,000 คนในเยรูซาเลมตะวันออก ทำให้ชาวปาเลสไตน์ไม่สามารถขยับขยายชุมชนของตัวเอง และต้องอยู่ในพื้นที่นั้นด้วยความแออัด

กำแพงเวสต์แบงก์ (West Bank barrier)

ความเห็นของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่าด้วยกำแพงเวสต์แบงก์ (West Bank barrier) เมื่อปี ค.ศ. 2004 ระบุว่า การตั้งชุมชนชาวยิวของอิสราเอลในปาเลสไตน์ผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับนานาชาติที่มองว่าชุมชนดังกล่าวขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และองค์การสหประชาชาติที่ย้ำหลายครั้งว่าการก่อสร้างชุมชนชาวยิวของอิสราเอลฝ่าฝืนอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4

ขณะที่สหรัฐมีความเห็นเช่นเดียวกันนี้มานานหลายทศวรรษ จนกระทั่งสมัยของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (ผู้มีบุตรเขยเป็นอเมริกันเชื้อสายยิว)และ ได้ลงนามรับรองนครเยรูซาเล็ม ให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลในปี ค.ศ. 2017 และเปลี่ยนท่าทีเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019 ด้วยการประกาศว่า การก่อสร้างชุมชนชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ไม่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ

เมื่อขบวนการไซออนิสต์ สามารถเดินตามแผนที่ได้วางเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยใช้คน ที่มีศักยภาพ เพื่อการนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือ การนำเอาเยาวชนที่มีศักยภาพ เข้าสู่ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพให้มากที่สุด ส่งเสริมให้เข้าศึกษาในสถาบันชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หรือว่ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เป็นต้น

“จอร์จ โซรอส” พ่อมดทางการเงิน ผู้ก่อหายนะ วิกฤต “ต้มยำกุ้ง”

หลังจบการศึกษา ก็จะผลักดันให้คนเหล่านี้ เข้าทำงานในสถานประกอบการระดับโลก ที่ควบคุมด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม ในทุกภูมิภาคของโลก ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินของโลก หน่วยงานความมั่นคงอย่าง FBI, CIA หรือแม้แต่องค์การสหประชาชาติ หลังจากนั้นก็จะใช้สายงานที่ตนเองนั้นรับผิดชอบสร้างอิทธิพล ต่อประเทศต่าง ๆ สร้างเครือข่ายมหาอำนาจ อย่างเป็นกระบวนการเป็นระบบ มากยิ่งขึ้น และสิ่งดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นมารุ่นต่อรุ่น จวบจนถึงปัจจุบันนี้นอกจากนั้นแล้วองค์กรแห่งนี้จะเข้าไปจัดการ ควบคุมกระบวนการทางการเงิน การธนาคาร และการคลังของโลก แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการฟื้นฟูบูรณะและการพัฒนา หรือธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่ม ไซออนิสต์ สิ่งดังกล่าวไม่ได้เพียงเพื่อการกล่าวอ้างเลื่อนลอย อาทิเช่น “จอร์จ โซรอส” ที่เรียกกันว่า พ่อมดทางการเงิน ก็เป็นยิวโดยแท้ หรือแม้แต่ “อลัน กรีนสแปน” อดีตผู้ว่าธนาคารชาติสหรัฐฯ ก็เป็นชาวยิว เช่นเดียวกัน

“อลัน กรีนสแปน” อดีตผู้ว่าธนาคารชาติสหรัฐฯ อเมริกันเชื้อสายยิว

นอกจากนั้นแล้ว ขบวนการไซออนิสต์ ยังมีองค์กรแบบเปิดเผย และ องค์กรลับในการจัดการทุกอย่างเป็นกระบวนการ มีสื่อที่อยู่ในมือ เพื่อสร้างภาพ สร้างกระบวนการรับรู้ โฆษณาชวนเชื่อ อย่างเป็นกระบวนการ สื่อในตะวันตกมากมายหลายสำนัก อยู่ภายใต้กระบวนการ และ ทุนของชาวยิว แทบทั้งสิ้น ดังนั้นจากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ในทุกยุคทุกสมัยของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของขบวนการไซออนิสต์ (Zionism) 

ตราบใดที่ความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอลยังไม่สิ้นสุดด้วยสันติ และการตกลงยินยอมร่วมกัน ตราบนั้นทั้งปาเลสไตน์และอิสราเอลก็จะยังไม่มีความสงบสุข


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ในปัจจุบันที่โลกมีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ส่วนประกอบสำคัญที่จะเป็นแรงผลักดัน ชิ้นส่วนต่าง ๆ ต้องมีการค้นพบและวิจัยอย่างมาก อย่าง “สินแร่โลหะ (Rare Earth)” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในเทคโนโลยีต่าง ๆ ประเทศไทยยังเป็นประเทศสำคัญในการผลิตอีกด้วย

การผลิตสินแร่โลหะหายากเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 2020 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 240,000 เมตริกตัน (MT) ทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 220,000 MT ในปี ค.ศ. 2019 และ 190,000 MT ในปี ค.ศ. 2018

องค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบัน “สินแร่โลหะหายาก” จึงกลายเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้กันทางเศรษฐกิจ ในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ “สินแร่โลหะหายาก” (Rare Earth) ถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่ เส้นใยแก้วนำแสง และแม่เหล็ก ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนอยู่อย่างมากมายในระดับเปลือกของโลก แต่ด้วยคุณสมบัติทางธรณีเคมี ทำให้สินแร่โลหะหายากนั้นอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และไม่เข้มข้นพอที่จะสกัดออกมาได้ในราคาถูก

กระบวนการที่สกัดสินแร่โลหะหายากออกจากหินนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะธาตุต่าง ๆ ในก้อนหินนั้นมีประจุไฟฟ้าเดียวกัน และมีขนาดใกล้เคียงกัน ซึ่งในการสกัดและทำบริสุทธิ์สินแร่โลหะหายากนั้น ต้องใช้ขั้นตอนต่าง ๆ หลายพันขั้นตอน ในตารางธาตุของวิชาเคมีจะเห็นชื่อของสินแร่โลหะหายากปรากฏในอนุกรมแลนทาไนด์ (Lanthanide Series) จำนวน 15 ธาตุ ได้แก่ 
แลนทานัม (Lanthanhanum) 
ซีเรียม (Cerium) 
พราซีโอดิเมียม (Praseodymium) 
นีโอไดเมียม (Neodymium) 
โปรเมเธียม (Promethium) 
ซามาเรียม (Samarium) 
ยูโรเปียม (Europium) 
กาโดลิเนียม (Gadolinium) 
เทอร์เบียม (Terbium) 
ดิสโพรเซียม (Dysprosium) 
โฮลเมียม (Holmium) 
เออร์เบียม (Erbium) 
ธูเลียม (Thulium) 
อิทเทอร์เบียม (Ytterbium) 
ลูเทเทียม (Lutetium) 

และยังมีอีก 2 ธาตุ คือ สแกนเดียม (Scandium) และอิทเทรียม (Yttrium) ซึ่งไม่ได้อยู่ในอนุกรมนี้ แต่จัดเป็นสินแร่โลหะหายากเช่นกัน เพราะมักพบในองค์ประกอบแร่เดียวกับที่พบในธาตุแลนทาไนด์ และแสดงคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกัน

สินแร่โลหะหายากนั้นเป็นโลหะจึงมีคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ อย่าง เช่น ทนความร้อนสูงจัดได้เยี่ยม มีคุณสมบัติแม่เหล็กแรงสูง นำไฟฟ้าได้ดี และเป็นมันเงา ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นธาตุหลักที่ใช้ผลิตสารประกอบเพื่อผลิตวัสดุในชีวิตประจำวัน เช่น หลอดแอลอีดี (LED) เส้นใยแก้วนำแสง หลอดฟลูออเรสเซนต์ ตัวเร่งปฏิกิริยา สารประกอบเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ

สำหรับสินแร่โลหะหายากที่ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นประจำ ได้แก่ แลนทานัม ซีเรียม นีโอดีเมียม ซามาเรียม ยูโรเปียม เทอร์เบียม และดิสโพรเซียม และความต้องการสินแร่โลหะหายากนี้ก็เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้อุปกรณ์ที่ต้องพึ่งพาสินแร่โลหะหายาก โดยข้อมูลจากอุตสาหกรรมการสื่อสารทางไกลนานาชาติ เผยว่า เมื่อปี ค.ศ. 1998 มีการใช้โทรศัพท์มือถือที่ต้องอาศัยแบตเตอรีที่ใช้สินแร่โลหะหายากเพียง 5.3% ของจำนวนประชากรทั้งโลก แต่เมื่อถึงปี ค.ศ. 2017 ปริมาณโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเป็น 103.4% ด้วยประชากรส่วนหนึ่งมีโทรศัพท์มากกว่าคนละ 1 เครื่อง

จากการประเมินของ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (United States Geological Survey) ในปี ค.ศ. 2018 ทั่วโลกมีสินแร่โลหะหายากประมาณ 120 ล้านตัน ในจำนวนนั้นเป็นของจีน 44 ล้านตัน บราซิล 22 ล้านตัน และรัสเซีย 18 ล้านตัน

การผลิตแร่หายากยังต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในปริมาณมหาศาล และการเร่งขุดแร่หายาก เพื่อตอบสนองความต้องสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นั้น ยังส่งผลให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงมลพิษทางน้ำด้วย
ความต้องการโลหะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพลังงานหมุนเวียนมีความสำคัญมากขึ้นทั่วโลก สินแร่โลหะหายากอย่างนีโอไดเมียม (อยู่ในประเภทมีโครงสร้างสารประกอบเป็นธาตุที่หายาก เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า แร่แลนทาไนด์ ซึ่งแร่โลหะชนิดนี้มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งทนทาน และมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กชนิดถาวรในตัวเอง เมื่อนำมาผ่านกระบวนการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปทรงให้กลายเป็นแม่เหล็กแรงสูงนีโอไดเมียมขนาดต่าง ๆ สามารถนำไปใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านเครื่องยนต์กลไก สำหรับอุตสาหกรรม หรืองานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ และพราซีโอไดเมียม ซึ่งมีความสำคัญในการใช้งานพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมไฮเทค อยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยม

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังทำให้ความสนใจในแร่หายาก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตวัสดุรายใหญ่ที่สุดของโลก ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศต่าง ๆ จึงมุ่งความสนใจไปที่ปัญหาห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแร่หายาก

ด้วยเหตุนี้ จึงควรทราบตัวเลขการผลิตสินแร่โลหะหายากสิบประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากที่สุดในปี 2020 ตามข้อมูลล่าสุดจาก US Geological Survey

1.) ประเทศจีน กำลังการผลิตจากเหมือง : 140,000 ตัน ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในการผลิตสินแร่โลหะหายาก ดังที่กล่าวไว้ ประเทศจีนได้ครอบครองการผลิตแร่หายากเป็นเวลาหลายปี ในปี 2020 ผลผลิตในประเทศ 140,000 ตันเพิ่มขึ้นจาก 132,000 ตันในปีที่แล้ว

จีนเป็นประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยผลิตได้มากกว่า 95% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั่วโลก และสหรัฐฯ ก็นำเข้าสินแร่โลหะหายากจากจีนมากถึง 80% ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน สหรัฐฯ และอีกหลายประเทศก็ผลิตสินแร่โลหะหายากได้ จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1990 ที่จีนเริ่มพัฒนาการผลิตสินแร่โลหะหายากอย่างจริงจัง ทำให้หลายประเทศไม่สามารถผลิตได้ถูกกว่าจนต้องล้มเลิกกิจการไป

ผู้ผลิตจีนต้องปฏิบัติตามระบบโควตาสำหรับการผลิตแร่หายาก โควตาครึ่งปีสำหรับการขุดแร่หายากในปี ค.ศ. 2021 ตั้งไว้ที่ 84,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.2% จากปีก่อนหน้า) ในขณะที่โควตาสำหรับการถลุงแร่และการแยกส่วนอยู่ที่ 81,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.6 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า) ที่น่าสนใจคือ ระบบนี้ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำเข้าแร่หายากอันดับต้น ๆ ของโลกในปี ค.ศ. 2018

ระบบโควตาเป็นการตอบสนองต่อปัญหาอันยาวนานของจีนเกี่ยวกับการขุดแร่หายากที่ผิดกฎหมาย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อทำความสะอาด รวมถึงการปิดเหมืองสินแร่โลหะหายากที่ผิดกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และการจำกัดการผลิตและการส่งออกแร่หายาก

รอยเตอร์ระบุว่า จีนเป็นผู้นำโลกในการส่งออกสินแร่โลหะหายาก ส่วนหนึ่งมาจากการกล้าเผชิญความเสี่ยงด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมเนื่องจากมีผลพลอยได้เป็นขยะพิษ และกากแร่ก็ยังปล่อยรังสีที่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ ทำให้บางประเทศยุติการขุดสินแร่โลหะหายากของประเทศออกมา โดยปัจจุบัน มีบริษัทของรัฐ 6 รายรับผิดชอบอุตสาหกรรมสินแร่โลหะหายากของจีน ในทางทฤษฎีจึงทำให้จีนสามารถจัดการกับการผลิตได้อย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การสกัดแร่หายากอย่างผิดกฎหมายยังคงเป็นเรื่องท้าทาย และรัฐบาลจีนยังคงดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อควบคุมกิจกรรมนี้

2.) สหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตจากเหมือง : 38,000 ตัน สหรัฐอเมริกาผลิตแร่หายาก 38,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 28,000 ตันในปี ค.ศ. 2019

แหล่งแร่หายากในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากเหมือง Mountain Pass ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งกลับไปสู่การผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี ค.ศ. 2018 หลังจากได้รับการดูแลและบำรุงรักษาในไตรมาสที่ 4 ปี ค.ศ. 2015 Molycorp ดำเนินการก่อนที่มันจะล้มละลาย และถูกซื้อโดย Oaktree Capital Management และปัจจุบันกลายเป็น Neo Performance Materials 

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าวัสดุโลหะหายากรายใหญ่ โดยมีความต้องการสารประกอบและโลหะมูลค่า 110 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งลดลงจาก 160 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2019 สหรัฐฯ ได้จำแนกสินแร่หายากให้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อันเนื่องจากปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

3.) เมียนมาร์ (พม่า) กำลังการผลิตจากเหมือง : 30,000 ตัน เมียนมาร์ขุดแร่หายากได้ 30,000 ตันในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 22,000 ตันในปีที่แล้ว 

มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแหล่งแร่โลหะหายาก และโครงการขุดแร่ของประเทศ แต่เมียนมาร์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยในปี ค.ศ. 2020 เมียนมาร์ได้จัดหาวัตถุดิบสำหรับโลหะหายากขนาดกลางถึงหนัก 50 เปอร์เซ็นต์ของจีน การทำรัฐประหารโดยกองทัพเมียนมาร์ในปี ค.ศ. 2021 ทำให้เกิดความกังวลว่าการนำเข้าแร่หายากเหล่านั้นอาจถูกตัดออก แต่ ณ ต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 ยังไม่มีปรากฏการหยุดชะงักทางการค้าของสินแร่หายากในเมียนมาร์แต่อย่างใด

4.) ออสเตรเลีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 17,000 ตัน การผลิตแร่หายากในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตลดลงเหลือ 17,000 MT จาก 20,000 MT ในปี ค.ศ. 2019

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีแหล่งแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และพร้อมที่จะเพิ่มผลผลิต Lynas ซึ่งมีฐานอยู่ในออสเตรเลีย (ASX:LYC,OTC Pink:LYSCF) ดำเนินการเหมือง Mount Weld และโรงงานผลิตความเข้มข้นในประเทศ และเพิ่งประกาศแผนการที่จะเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์นีโอไดเมียม-แพรซีโอไดเมียมเป็น 10,500 ตันต่อปีภายในปี ค.ศ. 2025

Northern Minerals (ASX:NTU) เปิดเหมืองแร่โลหะหายากหนักแห่งแรกของออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2018 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เทอร์เบียมและดิสโพรเซียม ซึ่งใช้ในเทคโนโลยีเช่น แม่เหล็กถาวร

5.) มาดากัสการ์ กำลังการผลิตจากเหมือง : 8,000 ตัน มาดากัสการ์บันทึกการสกัดแร่หายาก 8,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นสองเท่าของปีก่อน มีโครงการโลหะหายากแทนทาลัสซึ่งมีออกไซด์ของโลหะหายาก 562,000 ตัน

6.) อินเดีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 3,000 ตัน ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 2014 Indian Rare Earths และ Toyota Tsusho Exploration ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการสำรวจและผลิตแร่หายากผ่านการขุดในทะเลลึก

แม้จะมีข้อตกลงนี้ แต่อุตสาหกรรมการผลิตแร่หายากของอินเดียยังต่ำกว่าศักยภาพมาก ประเทศถือครองแร่ทรายชายหาดเกือบร้อยละ 35 ของโลก ซึ่งเป็นแหล่งแร่หายากที่สำคัญ แต่การผลิตในปี ค.ศ. 2020 ในอินเดียมีเพียง 3,000 ตัน เพิ่มขึ้นเพียง 100 ตันจากปี ค.ศ. 2019

7.) รัสเซีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,700 ตัน รัสเซียผลิตแร่หายาก 2,700 ตันในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อสองปีก่อน รัฐบาลของประเทศถูกกล่าวหาว่า "ไม่พอใจ" กับการจัดหาแร่หายาก มีรายงานว่ารัสเซียกำลังลดภาษีการขุดและเสนอสินเชื่อลดราคาให้กับนักลงทุนในโครงการ 11 โครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากทั่วโลกของประเทศจากปัจจุบัน 1.3% เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี ค.ศ. 2030

8.) ประเทศไทย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,000 ตัน การผลิตแร่หายากของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 1,900 ตันในปี ค.ศ. 2019 และ 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2018 ปัจจุบันยังไม่ทราบปริมาณสำรองแร่หายากของประเทศ แต่ประเทศนี้ยังคงเป็นผู้ผลิตสินแร่โลหะหายาก 10 อันดับแรกนอกประเทศจีน

9.) เวียดนาม กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน การผลิตแร่หายากของเวียดนามลดลงจาก 1,300 ตันในปี ค.ศ.2019 เป็น 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตสำหรับปีนั้นเทียบเท่ากับการผลิตแร่หายากในบราซิล ซึ่งหมายความว่าทั้งสองจริง ๆ แล้วทั้งสองอยู่ในอันดับที่เก้า

มีรายงานว่าประเทศดังกล่าว เป็นแหล่งสะสมแร่หายากหลายแห่งที่มีปริมาณมากแถบบริเวณชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือกับจีน และตามแนวชายฝั่งตะวันออก เวียดนามสนใจที่จะเสริมสร้างกำลังการผลิตในพลังงานสะอาด ซึ่งรวมถึงแผงโซลาร์เซลล์ และได้รับการกล่าวขานว่ากำลังมองหาการผลิตแร่หายากมากขึ้นสำหรับห่วงโซ่อุปาทานของตนด้วยเหตุผลดังกล่าว

10.) บราซิล กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2012 มีการค้นพบแหล่งแร่หายากมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในบราซิล จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่า ยังไม่มีการทำเหมืองดังกล่าว แม้ว่าในปี ค.ศ. 2020 ปริมาณแร่หายากที่ขุดได้ในประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นจาก 710 MT ในปี ค.ศ. 2019 เป็น 1,000 MT ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งมีปริมาณการผลิตเท่ากับเวียดนาม

สำหรับประเทศไทยของเรานั้นในอดีต “แร่ดีบุก” เป็นทรัพยากรสำคัญที่สร้างรายได้หลักให้กับภูเก็ตมาตลอด แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ราคาดีบุกในตลาดโลกเริ่มต่ำลง การค้าดีบุกจึงซบเซา พร้อม ๆ กับปริมาณ “ดีบุก” ที่มีการขุดพบมีปริมาณลดลง ระหว่างที่อุตสาหกรรมการผลิตและการค้าดีบุกชะลอตัว ก่อนหน้านั้นชาวภูเก็ต ได้รับรู้และพบว่า 'ขี้ตะกรันดีบุก' หรือ 'สะแหลกดีบุก' เป็นแร่ที่สามารถขายได้ในราคาดี เพราะมีแร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ ซึ่งเป็นแร่ยุทธปัจจัยใช้สำหรับทำยานอวกาศ หรือหัวจรวดนำวิถี ตลอดจนขีปนาวุธต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะมีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เสียดสีของอากาศได้สูงมาก แร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ มีราคากิโลกรัมละ 60-70 บาท และเมื่อนำมาผ่านกระบวนการสกัดต่อจนได้ “แร่แทนทาลัม” จะมีราคาสูงกว่าแร่แทนทาไลต์หรือขี้ตะกรันดีบุกประมาณ 40-50 เท่า 

เมื่อชาวบ้านทราบว่า “ขี้ตะกรัน” เป็นของมีราคาจึงแตกตื่น ส่งผลให้บรรดานายทุนต่าง ๆ ยื่นประมูลต่อทางการ โดยขอขุดถนนเก่า ๆ ทุกสายในตัวเมืองภูเก็ต โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อขุดเสร็จแล้วจะสร้างถนนใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่ปลูกสร้างอยู่บนเตาถลุงที่มีขี้ตะกรันฝังอยู่มาก ๆ ก็จะถูกรื้อหรือทุบพื้นทิ้งเพื่อขุดเอาขี้ตะกรันดังกล่าวขึ้นมา ในขณะนั้นคนภูเก็ตสามารถทำรายได้จากการขุดขาย “ขี้ตะกรันดีบุก” หรือรับจ้างขุด สูงถึงวันละ 180 บาท (ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในขณะนั้นอยู่ที่วันละห้าสิบกว่าบาท)

ผลจากการตื่นตัวใน “แร่แทนทาลัม” ส่งผลให้เกิดแนวคิดที่จะสร้าง “โรงงานถลุงแทนทาลัม” ขึ้น โดยในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2522 บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทฯ โดยมีโครงการก่อสร้างโรงงานที่อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ต่อมาได้รับใบอนุญาตให้สร้างโรงงานในปี พ.ศ. 2526 จนก่อสร้างแล้วเสร็จ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2529 แต่โรงงานไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เพราะประสบปัญหาการคัดค้านจากหลายภาคส่วนทั้งในระดับจังหวัดและประเทศอย่างรุนแรง เนื่องจากชาวภูเก็ตได้รับข้อมูลจากฝ่ายคัดค้านการเปิดโรงงานว่า โรงงานแทนทาลัมจะก่อให้เกิดมลพิษต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมของภูเก็ต จนนำมาสู่ความขัดแย้งแผ่ขยายตัว 

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.อุตสาหกรรมในขณะนั้น ได้เดินทางไปยังจังหวัดภูเก็ตเพื่อรับฟังความคิดเห็นตามความต้องการของตัวแทนกลุ่มคัดค้าน โดยนัดหมายที่ศาลาประชาคม แต่เมื่อไปถึงผู้ชุมนุมกลับแสดงทีท่าต่อต้านรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและคณะด้วยความรุนแรง โดยผู้ชุมนุมจำนวนหลายพันคนพยายามเข้าประชิดและขว้างปาและทุบรถ แม้ว่านายจิรายุ ได้ชี้แจงให้ผู้ชุมนุมทราบว่า รัฐบาลฯ กำลังดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา และจะให้คำตอบแก่ชาวภูเก็ตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ตามที่ผู้ชุมนุมกำหนด และระหว่างนี้ได้ให้โรงงานยุติการดำเนินการชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ผล

การประท้วงได้รุนแรงขึ้น และมีการเผาโรงงานแทนทาลัมและโรงแรมภูเก็ตเมอร์ลินซึ่งเป็นที่พักของนายจิรายุและคณะ จนรัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดภูเก็ต และมีการประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ กว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ปกติต้องใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ และประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 การจลาจลครั้งนั้น ได้สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท และสุดท้าย บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด มีมติให้ย้ายโรงงานแทนทาลัมจากภูเก็ตไปตั้งที่อื่น เหตุการณ์จลาจลกรณี “แร่แทนทาลัม” สินแร่โลหะหายาก เมื่อ 35 ปีก่อน จึงเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสินแร่โลหะหายากที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา 


เขียนโดย: ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

ด้วยความเจริญของเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้การรักษาโรคภัยไข้เจ็บถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ทำให้มนุษย์สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว แต่การรักษาในอดีตก็ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้เหมือนกันอย่างการรักษาแบบ “โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)”

การระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านในเมืองของเราเวลานี้ การรักษาโดยกระบวนการทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียวคงจะไม่พอเพียงและทันต่อเหตุการณ์แล้ว การรักษาด้วยกระบวนการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ด้วยวิธีการรักษาแบบผสมผสาน (Complementary Medicine) จึงเป็นทางเลือกอีกกระบวนการหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และควรที่จะนำมาใช้ในการรักษาภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

National Center of Complementary and Alternative Medicine (NCCAM) ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการจำแนกตามกลุ่มของการแพทย์ทางเลือกออกเป็น 5 กลุ่ม

การแพทย์ทางเลือกที่นำไปใช้เสริมหรือใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Complementary Medicine” ส่วนการแพทย์ทางเลือกที่สามารถนำไปใช้ทดแทนการแพทย์แผนปัจจุบันได้ โดยไม่ต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Alternative Medicine” โดย ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กำกับดูแลการแพทย์ทางเลือก ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในชื่อว่า สำนักงานการแพทย์ทางเลือก (Office of Alternative Medicine : OAM) และเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การแพทย์ผมผสานและการแพทย์ทางเลือก (National Center for Complementary and Alternative Medicine : NCCAM) 

ก่อนที่จะได้รับชื่อปัจจุบันคือ ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ (The National Center for Complementary and Integrative Health : NCCIH) เป็นหนึ่งใน 27 ศูนย์และสถาบันที่ประกอบเป็น สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (National Institutes of Health : NIH) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (Department of Health and Human Services) ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้จำแนกออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้ 

Alternative Medical Systems คือ การแพทย์ทางเลือกที่มีวิธีการตรวจรักษาวินิจฉัยและการบำบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการ ทั้งด้านการให้ยา การใช้เครื่องมือมาช่วยในการบำบัดรักษาและหัตถการต่าง ๆ เช่น การแพทย์แผนโบราณของจีน (Traditional Chinese  Medicine) การแพทย์แบบอายุรเวชของอินเดีย เป็นต้น

Mind-Body Interventions คือ วิธีการบำบัดรักษาแบบใช้กายและใจ เช่น การใช้สมาธิบำบัด โยคะ ชี่กง เป็นต้น

Biologically Based Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ สารชีวภาพ สารเคมีต่าง ๆ เช่น สมุนไพร วิตามิน Chelation Therapy Ozone Therapy หรือแม้กระทั่งอาหารสุขภาพ เป็นต้น โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) จัดอยู่ในอยู่ในกลุ่มนี้

Manipulative and Body-Based Methods คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ หัตถการต่าง ๆ เช่น การนวด การดัด การจัดกระดูก Osteopathy Chiropractic เป็นต้น

Energy Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาที่ใช้พลังงานในการบำบัดรักษาที่สามารถวัดได้และไม่สามารถวัดได้ในการบำบัดรักษา เช่น การสวดมนต์บำบัด พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล เรกิ โยเร เป็นต้น

ในการพิจารณาเลือกใช้การแพทย์ทางเลือก ต้องคำนึงถึงหลัก 4 ประการ คือ

ความน่าเชื่อถือ (Rational) โดยดูจากวิธีการหรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกชนิดนั้น ประเทศต้นกำเนิดให้การยอมรับหรือไม่ หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ ใช้มาเป็นเวลานานเพียงใด มีการบันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น

ความปลอดภัย (Safety) เป็นเรื่องสำคัญมากว่า จะส่งผลกับสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร การเป็นพิษแบบเฉียบพลันมีหรือไม่ พิษแบบเรื้อรังมีเพียงใด อันตรายที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวมีหรือไม่ หรือวิธีการนั้นทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เป็นต้น

การมีประสิทธิผล (Efficacy) เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์หรือมีข้อพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถใช้ได้จริง มีข้อมูลยืนยันได้ว่าใช้แล้วได้ผล ซึ่งอาจต้องมีจำนวนมากพอหรือใช้มาเป็นเวลานานจนเป็นที่ยอมรับจากการศึกษาวิจัยหลากหลายวิธีการ เป็นต้น

ความคุ้มค่า (Cost - Benefit - Effectiveness) โดยเทียบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดด้วยวิธีนั้น ๆ คุ้มค่ากับการรักษาโรคที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานหรือไม่ โดยอาจเทียบกับฐานะทางการเงินของผู้ป่วยแต่ละคน เป็นต้น

โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เป็นการแพทย์ทางเลือกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2339 โดย Christian Friedrich Samuel Hahnemann แพทย์ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเชื่อว่าสารที่ทำให้เกิดอาการของโรคในคนที่มีสุขภาพดีสามารถรักษาอาการคล้ายคลึงกันในคนป่วย ความเชื่อพื้นฐานตามหลักการนี้เรียกว่า similia similibus curentur หรือ "เหมือนการรักษาเหมือน" (like cures like) หรืออาจจะเปรียบได้ว่า เป็นการรักษาแบบ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยในคนที่มีสุขภาพดี สามารถรักษาด้วยการใช้เชื้อของโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกันได้ในขนาดที่เล็กมาก สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อกระตุ้นการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย การเตรียม Homeopathic เรียกว่าการเยียวยา และทำโดยการเจือจาง Homeopathic ในกระบวนการนี้ สารที่เลือกจะถูกเจือจางซ้ำ ๆ จนกว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะแยกไม่ออกจากตัวเจือจางทางเคมี มักไม่มีแม้แต่โมเลกุลเดียวของสารดั้งเดิมที่สามารถคาดหวังให้คงอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ ระหว่าง Homeopaths การเจือจางแต่ละครั้งอาจกระทบและ/หรือเขย่าผลิตภัณฑ์ โดยอ้างว่าสิ่งนี้ทำให้ตัวเจือจางจำสารเดิมได้หลังจากกำจัด 

ทฤษฏีนี้กล่าวว่า การเตรียมการดังกล่าวเมื่อรับประทานเข้าไปสามารถรักษาหรือรักษาโรคได้ ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ : หลักการโฮมีโอพาธีย์ในการผลิตยาปกติสำหรับบำบัด รักษาผู้ที่ได้รับความเจ็บป่วยในอาการเดียวกัน โดยใช้สารที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในคนหนึ่งส่วนมาเจือจางกับน้ำหรือแอลกอฮอล์อีก 9 หรือ 99 ส่วน พร้อมทั้งเขย่าขึ้นลงในแนวตั้ง 10 หรือ 100 ครั้งตามสัดส่วนที่เจือจางซึ่งเรียก ขนาดความแรง เป็น 1D หรือ 1C จากนั้นนำสาร 1D หรือ 1C มาเจือจางต่ออีก 1:10 หรือ 1:100 พร้อมเขย่าเช่นเดิม 10 หรือ 100 ครั้ง จะเรียก ขนาดความแรง 2D หรือ 2C ทำไปเรื่อย ๆ จะมีความแรงในการบำบัดรักษาเพิ่มขึ้นตามความแรงที่เพิ่มขึ้น อันที่จริง ยาเหล่านี้จำนวนมากไม่มีโมเลกุลของสารดั้งเดิมเหลืออยู่อีกต่อไป ยาโฮมีโอพาธีย์มีอยู่ในหลายรูปแบบลักษณะ เช่น ของเหลว ครีม เจล และยาเม็ด โดยระหว่างการรักษา แพทย์ Homeopathic (Homeopaths)จะถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับสุขภาพจิต อารมณ์ และร่างกายของคนไข้ เพื่อจะกำหนดวิธีการรักษาที่ตรงกับอาการของคนไข้มากที่สุด จากนั้นจะมีการปรับแต่งกระบวนการรักษาสำหรับคนไข้ตามแต่อาการเฉพาะราย

อาร์นิกา (ARNICA) เป็นสมุนไพร ดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

ตัวอย่างเช่น หอมแดงทำให้ดวงตามีน้ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางชีวจิต การรักษาโรคอื่น ๆ ด้วยตัวยาจากไม้เลื้อยพิษ สารหนูสีขาว ผึ้งทั้งตัวบด และสมุนไพรที่เรียกว่า อาร์นิกา (ARNICA) เป็นดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ เป็นที่นิยมสำหรับบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากรอยฟกช้ำหรืออักเสบ นอกจากนั้นยังมีคนไข้สมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (anti-aging) และช่วยลดอาการบวมอีกด้วย

การรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) สามารถแก้ปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย รวมถึงโรคเรื้อรังบางอย่าง 
>> โรคภูมิแพ้
>> ไมเกรน
>> อาการซึมเศร้า
>> โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
>> ข้ออักเสบรูมาตอยด์
>> อาการลำไส้แปรปรวน
>> กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้สำหรับปัญหาเล็กน้อย เช่น รอยฟกช้ำ รอยถลอก ปวดฟัน ปวดหัว คลื่นไส้ ไอ และหวัด

ร้านขายยาสไตล์ละตินอเมริกันคาริเบียน (การแพทย์สเปนและโปรตุเกสแบบดั้งเดิม) ซึ่งอาจมีลักษณะเหมือนร้านขายยาที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ปรากฏ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ยามีผลต่อการรักษา

การทำงาน ? การวิจัยมีความหลากหลาย การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) มีประโยชน์ด้วยการรักษาที่การรักษาแบบอื่นไม่ทำกัน นักวิจารณ์กล่าวถึงประโยชน์ของยาหลอก นั่นคือเวลาที่อาการดีขึ้นเพราะคนไข้เชื่อว่าการรักษานั้นได้ผล ไม่ใช่เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สิ่งนี้สามารถกระตุ้นสมองให้ปล่อยสารเคมีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการอื่น ๆ ได้ชั่วครู่ แต่ทฤษฎีบางอย่างที่โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) นำมาใช้อ้างอิงนั้นไม่สอดคล้องกับหลักการของเคมีและฟิสิกส์ โดยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ (ยาหลอก) ไม่ควรมีผลกับร่างกาย

ความเสี่ยงคืออะไร ? สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S Food & Drug Administration (FDA) ได้กำกับดูแลการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) แต่จะไม่ตรวจสอบเพื่อดูว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วพบว่า ส่วนใหญ่รับยาและดื่มน้ำน้อยจนไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ แต่มีข้อยกเว้น กรณียาที่อาจมีสารออกฤทธิ์จำนวนมาก เช่น โลหะหนัก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ กรณีตัวอย่าง : ในปี พ.ศ. 2559 FDA ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดและเจลสำหรับการรักษาตามกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับทารกและเด็ก หากคนไข้กำลังพิจารณาที่จะลองใช้วิธีการรักษาทางเลือกเหล่านี้  ต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน เพื่อความมั่นใจว่า ปลอดภัยและจะไม่มีผลต่อยาอื่น ๆ ที่คนไข้กำลังใช้อยู่

จากการศึกษาวิจัยด้านการแพทย์ทางเลือกในบ้านเราพบว่า ศาสตร์ที่คนไทยรู้จัก และให้ความศรัทธาและมีความนิยมใช้จำนวน 25 ศาสตร์ ดังนี้ 

1.) สมุนไพร 2.) การนวด 3.) สมาธิ/โยคะ 4.) การนวดศีรษะ 5.) การรำมวยจีน/ไทเก็ก 6.) พลังรังสีธรรม 7.) สมาธิหมุน 8.) ชีวจิต 9.) พลังจักรวาล/โยเร 10.) การฝังเข็ม 11.) การฟังดนตรี 12.) การสวดมนต์/ภาวนา 13.) อบสมุนไพร 14.) การใช้เครื่องหอม/ยาดม 15.) การใช้วิตามิน/เกลือแร่/อาหารปลอดสารพิษ 16.) ดื่มน้ำผัก/ผลไม้ 17.) การสวนล้างพิษ 18.) การดูหมอ/รดนำมนต์ 19.) ศิลปะบำบัด 20.) การผ่อนคลายแบบ Biofeedback 21.) การใช้คาถา/เวทมนต์ 22.) การเพ่งโดยการใช้แสง สี เสียง 23.) การเข้าทรงนั่งทางใน 24.) การใช้เก้าอี้แม่เหล็กไฟฟ้า 25.) การใช้วิชาธรรมจักร 

นอกจากนี้ยังมีการนำศาสตร์การแพทย์ทางเลือกรูปแบบต่าง ๆ ไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น มีการนำเอาการแพทย์ทางเลือกทั้งในรูปแบบของอาหารสุขภาพ การนั่งสมาธิ การใช้หินบำบัด ฯลฯ มาใช้ร่วมกันในการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเป็นต้น

ภาพรวมจากรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ จะพบว่า การแพทย์ทางเลือกในบ้านเรามีอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ดังกระทรวงสาธารณสุขจึงมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเร่งจัดการและทำการศึกษาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแก่ประชาชนต่อไป โดยเฉพาะการระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านเมืองของเราเวลานี้ จำเป็นต้องเร่งให้ทำการศึกษาและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการใช้สมุนไพรต่าง ๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว สมุนไพรต่าง ๆ ตลอดจนศาสตร์ทางเลือกต่าง ๆ รวมทั้งการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) ด้วย ซึ่งต่อทำคู่ขนานกันไปในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่รับการรักษาด้วยวิธีการตามกระบวนการแพทย์ทางเลือกจะเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์มากที่สุดในอันที่จะพัฒนาต่อยอดการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลต่อแนวทางการรักษาด้วยศาสตร์ของการแพทย์ทางเลือกต่อไป


เขียนโดย : ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นราว 3,150 ปีก่อนคริสต์ศักราช ด้วยความสวยงาม ความลี้ลับ และ ตำนานที่นำมากล่าวขานกัน ผ่านภาพยนตร์ หนังสือต่าง ๆ ทำให้ผู้คนสนใจและใคร่รู้เกี่ยวกับความลับของแดนอียิปต์แห่งนี้

บทความนี้ พาไปย้อนประวัติศาสตร์ของแดนพีระมิด ในประเทศอียิปต์กันเล็กน้อย โดยผมอยากมาเล่าเรื่องราวของฟาโรห์ที่เชื่อว่าหลายท่านคงพอผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง แต่จริง ๆ แล้วเรื่องของ ‘ฟาโรห์’ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ และความอัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่อีกมากครับ 

ฟาโรห์ (Pharaoh) เป็นชื่อตำแหน่งพระมหากษัตริย์อียิปต์โบราณของทุกราชวงศ์ มีรากศัพท์จากคำว่า ‘pr-aa’ แปลว่า ‘บ้านหลังใหญ่’ อันเป็นคำอุปมาหมายถึง ‘ปราสาทพระราชมนเทียร อียิปต์โบราณ’ หรือ ‘ไอยคุปต์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ โดยปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์

อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นราว 3,150 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมต่อเนื่องเรื่อยหลายพันปี 

ประวัติของอียิปต์โบราณที่เป็นช่วงที่โลกรู้จักกันอย่างมาก เป็นช่วงที่ ‘ราชอาณาจักร’ มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์แบบมากมายไปตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง จนกระทั่งถึงราชอาณาจักรสุดท้าย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘ราชอาณาจักรกลาง’ ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีการพัฒนามากมาย และก็ค่อย ๆ ลดลง อันเป็นเวลาเดียวกันที่ชาวอียิปต์พ่ายในการทำสงครามกับชนชาติอื่น เช่น อัสซีเรีย และเปอร์เซีย จนกระทั่งเมื่อ 332 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก็ถึงกาลสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสามารถยึดครองอียิปต์ และจัดให้อียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดิมาซิโดเนีย

Maat เป็นทั้งเทพธิดาและตัวตนของความจริงและความยุติธรรม โดยขนนกกระจอกเทศของ Maat แสดงถึงความจริง

นอกจากนี้ ในสังคมอียิปต์โบราณ ‘ศาสนา’ เป็นศูนย์กลางของชีวิตประจำวัน โดยบทบาทหนึ่งของฟาโรห์ คือ การทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเทพเจ้าและผู้คน ดังนั้นฟาโรห์ จึงเป็นตัวแทนของเทพเจ้าในบทบาทที่เป็นทั้งผู้ปกครองและผู้นำทางศาสนา รวมถึงเป็นเจ้าของดินแดนทั้งหมดในอียิปต์ สามารถออกกฎหมายเก็บภาษี และปกป้องอียิปต์จากผู้รุกรานในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่วนในทางศาสนาแล้วฟาโรห์ทรงเป็นผู้นำในพิธีกรรมทางศาสนา และทรงเลือกสถานที่ตั้งของวัด มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษา Maat หรือ Maʽat (ระเบียบจักรวาลแห่งความสมดุลและความยุติธรรม) และรวมไปถึงการเข้าสู่สงครามเมื่อจำเป็น เพื่อปกป้องประเทศ หรือโจมตีผู้อื่นเมื่อเชื่อว่า สิ่งนี้จะมีส่วนช่วย Maat เช่น เพื่อการเพิ่มพูนทรัพยากร

ก่อนการรวมกันของอียิปต์ตอนบนและตอนล่าง Deshret หรือ "มงกุฎสีแดง" เป็นตัวแทนของอาณาจักรอียิปต์ตอนล่าง ในขณะที่ Hedjet ซึ่งเป็น "มงกุฎสีขาว" ถูกสวมใส่โดยกษัตริย์ของอาณาจักรแห่งอียิปต์ตอนบน หลังจากการรวมอาณาจักรทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว จึงเป็นการรวมกันของมงกุฎทั้งสีแดงและสีขาวกลายเป็นมงกุฎของกษัตริย์อย่างเป็นทางการ เมื่อมีการเริ่มใช้ผ้าโพกศีรษะในช่วงระหว่างราชวงศ์ต่าง ๆ บางครั้งมีการพรรณนาถึงการสวมใส่เครื่องประดับศีรษะหรือมงกุฎเหล่านี้ด้วย

มัมมี่โบราณจากราชวงศ์ที่ 18 (1550 ถึง 1292 B.C.) เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีจำนวนมากในสุสานที่อยู่ในเมืองลักซอร์ อียิปต์

แน่นอนว่าหากพูดถึงอียิปต์ อีกเรื่องที่ต้องพูดถึง คือ มัมมี่ (Mummy) หรือ ศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษตามความเชื่อของอียิปต์โบราณ ที่มีการพันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของศพ ด้วยเชื่อว่า สักวันวิญญาณของผู้ตายจะกลับคืนร่างของตนเอง 

ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า ‘มัมมี่’ มาจากคำว่า ‘มัมมียะ’ (Mummiya) ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซีย หมายถึง ร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ ชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณสุสาน เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยา 

อียิปต์โบราณนั้นมีความเชื่อในเรื่องของชีวิตหลังความตาย การที่วิญญาณหวนกลับคืนร่าง ด้วยเชื่อว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการรักษาสภาพของร่างเดิมเอาไว้ โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาขี้ผึ้งหรือบีทูมิน (ยางสีดำสูตรเฉพาะในการทำมัมมี่) ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ซากศพเน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา

ค.ศ. 1922 Howard Carter ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก George Herbert, 5th Earl of Carnarvon เป็นผู้ค้นพบสุสาน KV62 ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน

สำหรับ ‘ฟาโรห์’ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดได้แก่ ‘ฟาโรห์ตุตันคาเมน’ (Tutankhamen) ซึ่งเป็นฟาโรห์พระองค์หนึ่งในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ มีพระชนม์อยู่ในราว 1341–1323 ปีก่อนคริสตกาล และเสวยราชย์ราวเก้าปีในช่วง 1332–1323 ปีก่อนคริสตกาลตามลำดับเวลามาตรฐาน อยู่ในช่วงที่ประวัติศาสตร์อียิปต์เรียกว่า ‘ราชอาณาจักรใหม่’ (New Kingdom) หรือ ‘จักรวรรดิใหม่’ (New Empire) นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ผลการตรวจสอบทางพันธุกรรมได้ยืนยันว่า ‘ฟาโรห์แอเคอนาเทิน’ (Akhenaten) มีความสัมพันธ์กับพี่สาวหรือน้องสาวของตน คือ ศพที่ตั้งชื่อว่า The Younger Lady จนมีโอรสด้วยกัน คือ ฟาโรห์ตุตันคาเมน 

ใน ค.ศ. 1922 Howard Carter ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก George Herbert, 5th Earl of Carnarvon เป็นผู้ค้นพบสุสาน KV62 ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ จึงกลายเป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนทั่วโลก ทั้งทำให้สาธารณชนสนใจอียิปต์ และหน้ากากพระศพก็ได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของอียิปต์โบราณมาจนทุกวันนี้ ส่วนข้าวของเครื่องใช้จากสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ยังได้ถูกนำไปจัดแสดงทั่วโลก 

นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงการตายของบุคคลหลายคน นับแต่ค้นพบพระศพของพระองค์เป็นต้นมาว่าเกี่ยวข้องกับคำสาปฟาโรห์ ที่มีความเชื่อว่า สุสานฟาโรห์มีเวทมนตร์ที่ทรงพลังในตัวเอง และเชื่อว่ากษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์แล้วจะมีวิญญาณที่ทรงพลัง โดยการฝังพระศพในหมู่บรรพบุรุษ อาจจะช่วยให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนบรรลุชีวิตหลังความตายได้ 

ถึงกระนั้น ก็ดูเหมือนว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมน จะทรงต้องการถูกฝังไว้ในหลุมฝังพระศพที่สวยงามทั้งในหุบเขาหลักหรือในทุ่งนอกหุบเขาตะวันตกที่ซึ่งเสด็จปู่ของพระองค์ ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 ทรงถูกฝังอยู่ แต่ไม่ว่าพระองค์จะทรงตั้งใจอะไรก็ตาม ก็เป็นที่ทราบกันว่า พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกฝังอยู่ในหลุมฝังพระศพที่คับแคบ ซึ่งลึกลงไปในพื้นของหุบเขาหลัก

ฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดได้แก่ ฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamen)

8 เรื่องที่เรา (อาจ) ไม่รู้เกี่ยวกับฟาโรห์ตุตันคาเมน

1.) พระนามเดิมไม่ใช่ ตุตันคาเมน แต่เป็น ตุตันคาเตน ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า ‘ภาพที่มีชีวิตของเอเทน’ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า พระบิดาและพระมารดาของฟาโรห์ตุตันคาเมนบูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า ‘เอเทน’ หลังจากนั้นไม่กี่ปีในบัลลังก์ ฟาโรห์ตุตันคาเมน กษัตริย์หนุ่มก็ทรงเปลี่ยนศาสนาละทิ้งเอเทน และทรงเริ่มบูชาเทพเจ้าอามุน [ซึ่งเป็นที่เคารพในฐานะราชาแห่งเทพเจ้า] สิ่งนี้ทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระนามเป็น ตุตันคาเมน ซึ่งแปลว่า “รูปชีวิตของอามุน”

2.) สุสานหลวงของฟาโรห์ตุตันคาเมนเป็นสุสานหลวงมีขนาดเล็กที่สุดในหุบเขากษัตริย์ ฟาโรห์พระองค์แรกสร้างปิรามิดที่อลังการจนสามารถมองเห็นกลางทะเลทรายทางตอนเหนือของอียิปต์ อย่างไรก็ตามเมื่อถึงยุคอาณาจักรใหม่ (1550-1069 ปีก่อนคริสตกาล) ความนิยมเช่นนี้สิ้นสุดลง และกษัตริย์ส่วนใหญ่ทรงถูกฝังอยู่อย่างเป็นความลับในสุสานที่สร้างด้วยด้วยหินตัดเป็นก้อน ซึ่งมีการขุดอุโมงค์เข้าไปในหุบเขากษัตริย์ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ที่เมืองธีบส์ทางตอนใต้ (อันเป็นเมืองลักซอร์ในปัจจุบัน) สุสานเหล่านี้มีประตูที่ไม่สะดุดตา แต่ภายในทั้งกว้างขวางและได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี อาจเป็นไปได้ว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์เสียชีวิตตั้งแต่ยังวัยเยาว์เกินไปที่จะทำตามแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้สำเร็จ หลุมฝังพระศพของพระองค์ยังสร้างไม่เสร็จ ดังนั้นพระองค์เขาจึงต้องทรงถูกฝังไว้ในสุสานที่ไม่ใช่ของราชวงศ์แทน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากกษัตริย์พระองค์อื่นทรงสามารถสร้างสุสานที่เหมาะสมได้ในเวลาเพียงสองหรือสามปี และดูเหมือนว่า ฟาโรห์เอย์ (Ay) รัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่สืบทอดบัลลังก์ในฐานะผู้อาวุโสทรงได้ใช้เวลาเพียงสี่ปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ฟาโรห์เอย์เองก็ทรงถูกฝังอยู่ในหลุมฝังพระศพที่สวยงามในหุบเขาตะวันตกใกล้กับหลุมฝังพระศพของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 หลุมฝังพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนที่มีขนาดเล็กอย่างไม่เชื่อ นำไปสู่สมมติฐานที่ว่าอาจมีบางส่วนของสุสานที่ยังไม่ถูกค้นพบ ปัจจุบันนักไอยคุปต์วิทยากำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ที่อาจจะมีห้องลับซ่อนอยู่หลังกำแพงฉาบปูนของห้องฝังพระศพของพระองค์

3.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกบรรจุฝังในโลงศพใช้แล้ว มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนบรรจุอยู่ในโลงศพทองคำสามใบซึ่งประกอบเข้าด้วยกันเหมือนตุ๊กตารัสเซีย ในระหว่างพิธีพระศพจะมีการวางโลงศพไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า น่าเสียดายที่โลงศพด้านนอกมีขนาดใหญ่เกินไปเล็กน้อย และส่วนนิ้วเท้าของโลงโผล่พ้นขอบโลงศพทำให้ไม่สามารถปิดฝาได้ ช่างไม้จึงถูกเรียกมาอย่างรวดเร็ว และส่วนนิ้วเท้าของโลงศพถูกตัดออกไป กระทั่งกว่า 3,000 ปีต่อมา Howard Carter จึงพบเศษชิ้นส่วนของโลงตกอยู่ที่บริเวณฐานโลงศพ

4.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงโปรดการล่านกกระจอกเทศ มีการค้นพบพัดขนนกกระจอกเทศของฟาโรห์ตุตันคาเมนอยู่ในห้องฝังพระศพใกล้ๆ กับพระศพของฟาโรห์ เดิมพัดประกอบด้วยด้ามจับสีทองยาวที่มี 'ที่จับรูปฝ่ามือ' ทรงครึ่งวงกลมรองรับขนนกสีน้ำตาลและสีขาวสลับกัน 42 อัน ขนเหล่านี้ร่วงโรยไปนานแล้ว แต่เรื่องราวของพวกมันถูกเก็บรักษาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรบนด้ามจับของพัด สิ่งนี้บอกว่า ขนมาจากนกกระจอกเทศที่ฟาโรห์ทรงล่าเองในระหว่างการล่าสัตว์ในทะเลทรายทางตะวันออกของเฮลิโอโปลิส (ใกล้กับไคโรในปัจจุบัน) ฉากนูนบนที่จับรูปฝ่ามือแสดงให้เห็นใบหน้าของฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงออกเดินทางบนราชรถเทียมม้าเพื่อล่านกกระจอกเทศ และในทางกลับกันฟาโรห์เสด็จนิวัติอย่างมีชัยพร้อมกับเหยื่อของพระองค์

5.) อวัยวะส่วนหัวใจของฟาโรห์ตุตันคาเมนขาดหายไป ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าสามารถมีชีวิตได้อีกครั้งหลังความตาย แต่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อร่างกายได้รับการรักษาให้อยู่ในสภาพเหมือนจริง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาพัฒนาศาสตร์แห่งการทำมัมมี่ขึ้น โดยพื้นฐานแล้วการทำมัมมี่เกี่ยวข้องกับการผึ่งศพให้แห้งในเกลือเนตรอนจากนั้นพันด้วยผ้าพันแผลหลาย ๆ ชั้นเพื่อรักษารูปร่างให้เหมือนจริง อวัยวะภายในร่างกายถูกนำออกเมื่อเริ่มกระบวนการทำมัมมี่ และเก็บรักษาแยกกัน สมองซึ่งเป็นส่วนที่ไม่รู้จักในเวลานั้นว่าทำหน้าที่อะไรถูกทิ้งไป หัวใจในยุคนั้นถูกมองว่า เป็นอวัยวะแห่งการให้เหตุผลแทนที่จะเป็นสมอง ด้วยเหตุนี้หัวใจจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงถูกเก็บไว้ หรือถ้าเอาออกโดยไม่ได้ตั้งใจก็จะเย็บกลับทันที แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมก็ตาม มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนไม่มีหัวใจ เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นเพียงเพราะ ความประมาทของผู้ทำมัมมี่ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์จากพระราชวัง เมื่อพระศพของพระองค์มาถึงห้องปฏิบัติการในการทำมัมมี่หัวใจของพระองค์อาจจะเน่าสลายจนเกินกว่าจะรักษาไว้ได้

6.) สมบัติชิ้นที่ทรงโปรดของฟาโรห์ตุตันคาเมนคือ กริชเหล็ก Howard Carter ค้นพบกริชสองเล่มที่ห่ออย่างระมัดระวังในผ้าพันแผลมัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน กริชเล่มหนึ่งมีใบมีดสีทอง ส่วนอีกเล่มมีใบมีดที่ทำจากเหล็ก กริชแต่ละเล่มมีปลอกทอง กริชเหล็กทั้งสองมีค่ามากเพราะในช่วงชีวิตของฟาโรห์ตุตันคาเมน (ครองราชย์ตั้งแต่ 1336-1327 ปีก่อนคริสตกาล) เหล็กหรือ "เหล็กจากท้องฟ้า" ตามที่ทราบกันดีว่าเป็นโลหะหายากและมีค่า ตามชื่อของมันคือ "เหล็กจากท้องฟ้า" ของอียิปต์นั้นได้มาจากอุกกาบาตเกือบทั้งหมด

7.) เสียงแตรของพระองค์สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมมากกว่า 150 ล้านคน สมบัติจากหลุมพระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนมี เครื่องดนตรีชิ้นเล็ก ๆ ได้แก่ แคลปเปอร์ (Clappers) งาช้าง 1 คู่ ซิสตร้า (Sistra) 2 ตัว (เครื่องเขย่าแล้วเกิดเสียง) และทรัมเป็ตอีก 2 อัน อันหนึ่งทำจากเงินพร้อมปากเป่าสีทอง และอีกอันหนึ่งทำด้วยทองสัมฤทธิ์หุ้มด้วยทองคำบางส่วน และดูเหมือนว่า ดนตรีจะไม่ได้อยู่ในลำดับความสำคัญของชีวิตหลังความตายของฟาโรห์ตุตันคาเมนมากนัก ในความเป็นจริงแตรของพระองค์ควรได้รับการจัดประเภทให้เป็นยุทโธปกรณ์ทางทหารจะเหมาะกว่า วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2482 แตรทั้งสองได้ถูกเล่นในรายการวิทยุถ่ายทอดสดของ BBC จากพิพิธภัณฑ์ไคโร ซึ่งมีผู้ฟังประมาณ 150 ล้านคน Bandsman James Tappern ใช้กระบอกเป่าแบบปัจจุบันที่ทันสมัย ซึ่งทำให้กับทรัมเป็ตตัวสีเงินเสียงหาย ในปี พ.ศ. 2484 มีการเล่นทรัมเป็ตสำริดอีกครั้ง และคราวนี้ไม่มีกระบอกเป่าแบบปัจจุบัน ที่ทันสมัยแล้ว บางตำนานใน “คำสาปของฟาโรห์ตุตันคาเมน” อ้างว่า ทรัมเป็ตมีพลังอำนาจในการทำให้เกิดสงคราม การออกอากาศในปี พ.ศ. 2482 จึงทำให้อังกฤษต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง

8.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกบรรจุในโลงศพที่แพงที่สุดในโลก สองในสามโลงศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนทำด้วยไม้ปิดด้วยแผ่นทอง แต่เป็นที่ประหลาดใจอย่างยิ่งของ Howard Carter ซึ่งพบว่า โลงศพด้านในสุดทำจากแผ่นทองหนา ๆ โลงศพนี้มีความยาว 1.88 เมตร และหนัก 110.4 กิโลกรัม ราคาในวันนี้จะมากกว่า 1 ล้านปอนด์ 

มัมมี่ในขบวนพาเหรดของผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณเดินผ่านกลางกรุงไคโร

ปรากฎการณ์มัมมี่ในขบวนพาเหรดของผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณที่เดินผ่านกลางกรุงไคโรนั้น ทางฟาโรห์ทั้งแปดและราชินีทั้งสี่จะถูกเชิญขึ้นยานพาหนะที่สั่งทำพิเศษ ซึ่งติดตั้งด้วยโช้คอัพพิเศษ โดยมีชาวอียิปต์ร่วมเป็นสักขีพยานในขบวนแห่ของผู้ปกครองอันเก่าแก่ผ่านกรุงไคโรนครหลวงของอียิปต์ 

มัมมี่ 22 ตัว เป็นของฟาโรห์ 18 พระองค์และราชินี 4 พระองค์ มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ถูกเคลื่อนย้ายจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ไปยังสถานที่ตั้งแสดงแห่งใหม่ที่อยู่ห่างออกไปราว 5 กม. (สามไมล์) ด้วยการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาสมกับเป็นราชวงศ์ และสถานะที่เป็นสมบัติของชาติ ซึ่งมัมมี่ทั้งหมดจะถูกย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งอารยธรรมอียิปต์ของชาติที่ใหม่ ด้วยขบวนพาเหรดทองคำของฟาโรห์ และมัมมี่แต่ละตัวจะถูกเชิญขึ้นรถที่ได้รับการตกแต่งซึ่งติดตั้งโช้คอัพพิเศษ รวมถึงรถศึกที่ลากด้วยม้าจำลอง 

แต่เดิมบรรดามัมมี่จะถูกตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์อียิปต์อันเป็นสัญลักษณ์ และมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมมากมายในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลอียิปต์หวังว่า พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ (Royal Hall of Mummies) ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศที่สำคัญของประเทศ โดยห้องโถงได้รับการออกแบบเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับภาพจำลองเสมือนจริงของหุบเขากษัตริย์ในเมืองลักซอร์ และพิพิธภัณฑ์ Grand Egyptian แห่งใหม่ โดยเป็นที่เก็บของสะสมของฟาโรห์ตุตันคาเมนที่มีชื่อเสียง เปิดให้บริการใกล้ๆ กับมหาปิรามิดแห่งกิซ่า จนกระทั่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของอียิปต์ได้รับความเสียหายจากความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 

'คำสาปของฟาโรห์' (Pharaoh's curse) เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว

คำสาปของฟาโรห์

แม้ว่า ขบวนพาเหรดของฟาโรห์ผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณผ่านกลางกรุงไคโร จะถูกมองว่า เป็นงานที่ยิ่งใหญ่และสนุกสนาน แต่มัมมี่ของอียิปต์มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อโชคลางและลางสังหรณ์ในอดีต ในห้วงเวลานั้นอียิปต์ต้องเผชิญกับภัยพิบัติหลาย ๆ อย่าง เช่น อุบัติเหตุรถไฟชนกันมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนในเมือง Sohag อียิปต์ตอนบน ขณะที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 คนเมื่ออาคารในกรุงไคโรถล่มลงมา จากนั้นเมื่อมีการเตรียมการเพื่อขนย้ายมัมมี่อย่างเต็มที่ คลองสุเอซก็ถูกเรือบรรทุกสินค้า MS Ever Given เกยฝั่งขวางกั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ 

จริยธรรมในการแสดงมัมมี่ของอียิปต์โบราณ จึงกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก โดยนักวิชาการมุสลิมหลายคนเชื่อว่า คนตายควรได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติและด้วยความเคารพ และไม่จัดแสดงเป็นสิ่งสนใจ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2523 อดีตประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต ได้สั่งปิดห้องมัมมี่ที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ โดยอ้างว่าห้องนี้ทำให้ผู้ตายเสื่อมเสีย เขาต้องการให้มัมมี่ถูกฝังใหม่แทน แม้ว่าจะไม่สมปรารถนาก็ตาม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top