Saturday, 27 April 2024
วิเคราะห์การเมือง

สูตรจัดตั้งรัฐบาล 5 พรรค ‘309 เสียง’ คงไม่พอ อาจต้องบากหน้าง้อ ‘ภูมิใจไทย’ รวมให้เกิน 376 เสียง

เมื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งได้เสียงมากสุด 152 เสียง ประกาศชัดว่าจะจับมือกับฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล 309 เสียง ได้แก่ ก้าวไกล 152 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง ประชาชาติ 9 เสียง ไทยสร้างไทย 6 เสียง เสรีรวมไทย 1 เสียง 

โดย 5 พรรคการเมืองเมื่อรวมเสียงกันแล้วได้แค่ 309 เสียง ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา 750 เสียง คือ 376 เสียง พรรคก้าวไกลยังจะต้องหาเสียงสนับสนุนอีก 67 เสียง ตรงนี้คือประเด็นว่าพรรคก้าวไกลจะเดินเกมอย่างไร ซึ่งก็มีทางเลือกอยู่

-เจรจากับพรรคภูมิใจไทย 70 เสียง ถ้าพรรคภูมิใจไทยตกลงเข้าร่วม ก็จะทำให้เป็นรัฐบาล 6 พรรค 379 เสียง ถ้าเอาแค่นี้ถือว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะเกินกึ่งไปแค่ 3 เสียง จะให้ใครเจ็บใครป่วย ใครเป็นไข้ไม่ได้เลย

-ที่พิธาประกาศว่าปิดทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น ไม่น่าจะจริง เพราะพรรคก้าวไกลเองก็ยังก้าวไม่ผ่าน 376 เสียง เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. มีอยู่แค่ 309 เสียงเอง เพื่อให้รัฐบาลเดินไปได้ พรรคก้าวไกลอาจจะต้องบากหน้าไปคุยกับ ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง หรือรวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง แต่อาจจะยากเพราะทั้งก้าวไกล และเพื่อไทยต่างประกาศไปแล้วว่า “มีเราไม่มีลุง” แต่มีความเป็นไปได้กับการเจรจากับพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง

ถ้าชาติไทยพัฒนาเข้าร่วม อย่างนั้นก็ต้องเอาพรรคภูมิใจไทยมาด้วยอยู่ดี ประเด็นว่า พรรคภูมิใจไทย จะร่วมกับก้าวไกล และเพื่อไทยได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ง่ายเพราะมีอะไรหลายอย่างที่เคมีไม่ตรงกัน แต่การเมืองก็คือการเมือง เมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็สามารถร่วมกันได้หมด

แต่กล่าวสำหรับประชาธิปัตย์ ไม่น่าจะร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้ เพราะมีอะไรมากมายที่เห็นไม่ตรงกัน จะเจรจาร่วมกัน เพื่อลงนามในเอ็มโอยู ก็น่าจะยังยาก พรรคประชาธิปัตย์ จึงควรจะครองตนเป็นฝ่ายค้าน

ยิ่งประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านยิ่งจะเป็นผลดี ผลดีทั้งต่อชาติบ้านเมือง และต่อพรรคเอง ต่อชาติบ้านเมืองเพราะประชาธิปัตย์เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดีเยี่ยมมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ตรวจสอบรัฐบาล อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ทำได้ดี เป็นผลดีต่อพรรค เพราะถ้าเป็นฝ่ายค้านแล้วทำหน้าที่ได้ดี ประชาชนก็จะเห็นผลงานเห็นฝีมือ อาจจะเป็นช่องทางให้ฟื้นฟูพรรคกลับคืนมาได้ ดีกว่าร่วมหัวจมท้ายกับพรรคที่มีเจตนารมณ์-อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ยิ่งจะนำมาซึ่งความเสื่อม

ประชาธิปัตย์ควรจะนำบทเรียนของการเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นข้อสรุปว่า เป็นต้นเหตุให้พรรคได้แค่ 25 เสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่

พรรคประชาธิปัตย์ควรจะมานั่งคิดหาเวลาฟื้นฟูพรรค ดีกว่ามานั่งคิดจะเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อนำนโยบายที่เป่าประกาศไว้ไปสู่การปฏิบัติ เหมือนคราวที่แล้ว สุดท้ายล้มไม่เป็นท่า วันนี้ประชาชนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเปลี่ยน ด้วยการเลือกก้าวไกล เพื่อไทยมาจำนวนมาก จึงควรให้เจตนารมณ์ของประชาชนเป็นจริง

สมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงก็ควรตอบรับให้ความร่วมมือกับเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างไม่มีอิดออด เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก และล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะยิ่งล่าช้าก็จะยิ่งมีผลกระทบ กระทบทั้งการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่น รวมถึงการต่างประเทศ

แม้สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการแต่งตั้งของอดีตหัวหน้า คสช. ก็ตาม แต่ควรใช้ดุลยพินิจพิจารณาเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ที่มา: นายหัวไทร

‘ษฐา-มุกดาวรรณ’ ภท. ได้ใจคนเมืองคอนเขต 7-8 โค่น 2 พ่อลูก ‘ชินวรณ์-ปุณณสิริ’ กอดคอกันสอบตก

ผลการเลือกตั้งนครศรีธรรมราชน่าสนใจยิ่ง เมื่อ ‘ชินวรณ์ บุณยเกียรติ์’ อดีต ส.ส. 9 สมัย ของพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ถูกโค่นลงไม่เป็นท่า จากหน้าใหม่ทางการเมือง ‘ษฐา ขาวขำ’ อดีตนายอำเภอ ที่ลงสมัครในนามพรรคภูมิใจไทย เขตทุ่งใหญ่ บางขัน ถ้ำพรรณรา ชนกับ ‘ชินวรณ์’

เป็นผลการเลือกตั้งที่พลิกเกินความคาดหมาย เพราะไม่คิดว่าจะมีใครโค่นชินวรณ์ลงได้ แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่า การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอนจริง ๆ เมื่อประชาชนต้องการเปลี่ยนประชามติผ่านการลงคะแนนเสียง คือประชาธิปไตยที่เมื่อถึงเวลาประชาชนจะเป็นใหญ่ และผลประโยชน์ของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่นักการเมืองจะต้องยึดถือปฏิบัติ ถ้าใครขาด-ห่างหายไปจากประชาชน ประชาชนก็จะตัดสินชี้ขาดเอง

ไม่ใช่แค่ชินวรณ์ เพราะลูกสาว ‘น้องบีท-ปุณณสิริ บุณยเกียรติ์’ ที่ถูกส่งลงเขต 8 ฉวาง ช้างกลาง ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ก็กอดคอพ่อสอบตกเช่นเดียวกัน จะอ้างกระแสก้าวไกลก็ไม่ได้ เพราะทั้งสองเขตถูกโค่นโดย ‘ภูมิใจไทย’ 

โดยเขต 8 มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล เอาชนะน้องบีทไปได้ ซึ่งมุกดาวรรณ เคยลงสมัครมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2562 ในนามพรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนมา 18,000 กว่าคะแนน อยู่ในลำดับ ‘เกือบได้’ แต่คราวนี้มุกดาวรรณไม่พลาด ได้รับการชูมือให้เดินเข้าสภา ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเต็มภาคภูมิใจ

กล่าวถึงการล้มช้างทางการเมือง เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 นครศรีธรรมราชก็มีศึกล่มช้างเกิดขึ้นเหมือนกัน ในเขตเลือกตั้งที่ 2 หัวไทร-ปากพนัง-เชียรใหญ่ เมื่อ ‘สัญหพจน์ สุขศรีเมือง’ หน้าใหม่ทางการเมืองเหมือนกัน ลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ ผลการเลือกตั้งสัญหพจน์ ชนะ ‘น้อย-วิทยา แก้วภารดัย’ อดีต ส.ส. 8 สมัยของพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเฉยเลย

สัญหพจน์เองก็ยังมึน ๆ ว่าชนะได้อย่างไร แต่มาคราวนี้สัญหพจน์ก้าวพลาด ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐเหมือนเดิม แต่สัญหพจน์ กลับพลาดให้กับ ‘โกเท่ห์-พิทักษ์เดช เดชเดโช’ จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเขาเป็นลูกชายของ ‘กนกพร เดชเดโช’ นายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช และเป็นน้องชายของ’แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส.เขต 5 นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์

นี้เป็นอีกบริบทหนึ่งที่เป็นบทเรียนสำหรับนักการเมือง ที่ต้องทำงานใกล้ชิดประชาชน ทำงานสนองตอบต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน ภาคใต้กรอบของกฎหมาย แต่ถ้าวันหนึ่งวันใดนักการเมืองห่างหายไปจากประชาชน ถึงวันนั้นประชาชนจะพิพากษาเองว่าจะให้คนคนนั้นอยู่ในสถานะอะไร

เรื่อง: นายหัวไทร

การเมืองนครศรีฯ ใครใจถึงกว่า จัดเต็มคาราเบล คนนั้นเข้าเส้นชัย

กล่าวถึงการเมืองในนครศรีธรรมราช เมื่อยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง ยิ่งน่าติดตาม และมีเรื่องน่าจับตามองกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 

กล่าวได้ว่า การเมืองในนครศรีธรรมราช ยังคงเป็นการต่อสู้กันของ 4 พรรคการเมืองใหญ่ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และภูมิใจไทย แต่ในช่วงท้ายๆ ของการหาเสียง เมื่อบวกรวมกับกระแสพรรคก้าวไกล จึงมีคนจับตามองไปยังผู้สมัครพรรคก้าวไกลในบางเขตเลือกตั้งตามผลโพลล์ของบางสำนัก เช่น เขต 1 เริ่มปรากฏชื่อของ 'แมน-ปกรณ์ อารีกุล' คนรุ่นใหม่ที่ขยันลงพื้นที่ เมื่อบวกรวมกับกระแสพรรคจึงดีดตัวขึ้นมาอยู่ในระดับคู่ชิงอีกคนหนึ่ง

จากการเฝ้าติดตามการเมืองในนครศรีธรรมราชมาอย่างใกล้ชิด ยังเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์เจ้าถิ่นเดิมน่าจะคว้าชัยได้ในระดับ 5+ ซึ่งหมายถึง 5 คนน่าจะได้ชัวร์ ๆ และอาจจะได้เพิ่มในบางเขตเลือกตั้ง 1-2 เขต

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ต้องยอมรับความจริงว่า 'อยู่ในช่วงขาลง' จากเดิมที่เคยมี ส.ส.อยู่ 4 คน คือ ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ, สัญหพจน์ สุขศรีเมือง, สายัณห์ ยุติธรรม และอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ แต่คราวนี้สายัณห์ ไปอยู่กับลุงตู่ ที่รวมไทยสร้างชาติ เขตแห่งความหวังจึงเหลืออยู่ที่เขต 1 ดร.รงค์ แต่ต้องสู้กันหนักกับ 'ราชิต สุดพุ่ม' จากพรรคประชาธิปัตย์ แถมยังมี 'จรัญ ขุนอินทร์' จากพรรคภูมิใจไทย มาคอยตอดคะแนนไปด้วย ดร.จึงอยู่ในฐานะน่าหวาดเสียว แม้จะมีสองโกมาช่วย ก็ยังหนักกับเครือข่ายของราชิต แถมยังมี 'สมนึก เกตุชาติ' อดีตนายกเทศมนตรีนครศรีธรรมราช มาช่วยอีกแรง ทำให้ ดร.รงค์ เบาใจไม่ได้เลย

แต่น่าแปลก 'สัญหพจน์ สุขศรีเมือง' อดีต ส.ส.แท้ ๆ กลับไม่ค่อยมีกระแส โพลทุกสำนักไม่มีชื่อสัญหพจน์อยู่ในลำดับที่จะได้เลย เขตนี้กลับมีชื่อของ 'โก้เท่ห์ -พิทักษ์เดช เดชเดโช' คนใหม่จากประชาธิปัตย์ ทายาทของ 'วิฑูรย์ เดชเดโช' อดีตนายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช และเป็นลูกชายของ 'กนกพร เดชเดโช' นายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช คนปัจจุบัน ยืนโดดเด่นกว่า โดยมี 'มานะ ยวงทอง' จากภูมิใจไทย และ 'นนทิวรรตน์ นนท์ภักดิ์' จากพรรครวมไทยสร้างชาติขึ้นมาเป็นคู่ชิง

ส่วนอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ อดีต ส.ส.พลังประชารัฐ สองปี เพราะมาจากการเลือกตั้งซ่อม ยังทำงานได้ไม่เต็ม 100 เจอคู่แข่งเดิม 'พงศ์สิน เสนพงศ์' ที่ย้ายจากประชาธิปัตย์ไปอยู่รวมไทยสร้างชาติ แถมยังมีเจ้าถิ่น 'ณัฐกิตติ์ หนูรอด' จากพรรคภูมิใจไทย มาร่วมชิงด้วย อาญาสิทธิ์จึงอยู่ในฐานะเข็นครกขึ้นเขา

กล่าวสำหรับพลังประชารัฐ ควรให้น้ำหนักกับ 'สุนทร รักษ์รงค์' เขต 8 ที่เขามาฐานอยู่กับชาวสวนยาง ชาวสวนปาล์มไม่น้อย แต่เขาต้องไปสู้กับทายาทของ 'ชิณวรณ์ บุณยะเกียรติ์' น้องบีท-ปุณณสิริ บุณยเกียรติ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ สุนทรก็จะนิ่งนอนใจไม่ได้เหมือนกัน เพราะเขตนี้ยังมี 'มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล' จากพรรคภูมิใจไทย เดินคู่กันมาอีกคนที่ในทางการเมืองไม่ควรมองห้ามกับการเป็น สจ.มาก่อน และเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเธอลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.กับคะแนน 18,000 คะแนน ก็ถือว่าไม่ธรรมดา

สำหรับประชาธิปัตย์ 5 ที่นั่งเป็นตัวตั้ง คือ ชัยชนะ เดชเดโช แต่ให้ระวัง สจ.สนั่น พิบูลย์ ที่คราวนี้สู้จริงในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเขามีฐานที่เหนียวแน่อยู่จุฬาภรณ์ ในฐานะ สจ. และยังมี สจ.ยา จากลานสกา มาช่วยอีกแรง ชัยชนะก็จะชะล้าใจไม่ได้เช่นกัน ชิณวรณ์ บุณยเกียรติ์ ที่ยังลงเขตเหมือนเดิม โดยลงเขต 7 ที่เชื่อกันว่า น่าจะสอบผ่าน แต่อย่าลืมว่า เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ชิณวรณ์ก็ชนะไม่มาก และคราวนี้ พรรคภูมิใจไทย ไปได้ 'ษฐา ขาวขำ' อดีตนายอำเภอ มาลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ทำให้ชิณวรณ์หวั่นไหวได้เหมือนกัน ยิ่งโค้งสุดท้าย ญาติ ๆ จากพัทลุง กระโดดเข้ามาช่วย ส่งท่อน้ำเลี้ยงเข้าใน 'นายอำเภอษฐา' ก็มีกำลังใจขึ้น ยิ่งมีผู้มากบารมีจากปากพนังขนญาติมาช่วยอีกแรง สถานการณ์นี้จึงไม่ควรมองผ่าน 'ษฐา' จากภูมิใจไทย

นอกจากนี้ก็จะมี 'ประกอบ รัตนพันธ์' ที่มีคู่แข่งทั้งจากภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ และพลังประชาธิปัตย์ อีกคนคือ 'โก้เท่ห์ -พิทักษ์เดช' นี้แหละ
 

กระแส 'ลุงตู่' ช่วยดัน ส.ส.เขต 'รทสช.' โดดเด่น เชื่อ!! 'ทำแล้ว-ทำอยู่-ทำต่อ' ช่วยปักธงได้แน่

ในวันที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ เดินทางไปช่วยหาเสียงที่จังหวัดตรัง ซึ่งมี 4 เขตเลือกตั้ง

พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ลงจากเครื่องบินที่สนามบินตรัง นอกจากจะมีผู้สมัครในจังหวัดตรัง เช่น สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล จากเขต 4, อำนวย นวลทอง จากเขต 3 ไปต้อนรับแล้ว ได้มีมวลชนจำนวนมากที่ทราบข่าว เดินทางไปต้อนรับ และให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ถึงสนามบินตรังกันแน่นขนัด

หลังจากนั้นคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีทั้งพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค, อนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางต่อไปยัง อ.กันตัง เพื่อช่วยหาเสียงให้กับสมบูรณ์ ซึ่งมีมวลชนจำนวนมากแห่ไปต้อนรับให้กำลังใจเช่นกัน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้อธิบายถึงแนวทาง 'ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ' ให้ประชาชนเข้าใจ

คณะ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางต่อไปในตลาดทับเที่ยง ช่วยถนอมพงศ์ หลีกภัย หาเสียง ซึ่งต้องเสียเวลาไปมาก เนื่องจากมีผู้คนแห่ต้อนรับหน้าแน่นจนไม่มีเวลาทานข้าว เวลาล่วงมาถึงบ่ายสองถึงจะได้ทานข้าว

เสร็จจากทานข้าวเที่ยงเดินทางต่อไปยังอำเภอนาโยง เพื่อช่วย 'อำนวย นวลทอง' หาเสียง โดยก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปถึง 'อำนวย นวลทอง' ได้กล่าวปราศรัยก่อนแล้วถึงความมุ่งมั่น-ตั้งใจในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้

“ผมลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อชัยชนะ และจะสู้ไม่มีถอย โดยตั้งใจจะเข้าไปแก้ไขปัญหา 3 อย่าง อย่างแรกคือปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำ บ้านเรามีฝนมาก เพราะอยู่ใกล้ภูเขา จึงเกิดปัญหาน้ำท่วมบ่อย แต่น้ำท่วมไม่นานก็จะเกิดปัญหาน้ำแล้งตามมา ที่ผ่านมาไม่มีใครคิดวางโครงสร้างใหญ่ในการแก้ไขปัญหาน้ำ”

อำนวย กล่าวอีกว่า อีกปัญหาที่ต้องการเข้าไปแก้คือปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน ที่ชาวบ้านถูกครหาว่าบุกรุกอุทยานบ้าง บุกรุกทุ่งเลี้ยงสัตว์บ้าง ทั้งๆ ที่สภาพของที่ดิน ไม่มีต้นไม้ไม่มีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์แล้ว ชาวบ้านเข้าไปอยู่อาศัยมานานแล้ว แต่ไม่มีการยกเลิกความเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ และ/หรือเขตอุทยาน ชาวบ้านจึงโดนขับไล่มาโดยตลอด เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข

ชำแหละ!! 5 เขตเลือกตั้ง ‘เมืองคอน’  ใครจะเสยคางใคร หลังรู้เชิงกันแล้ว 

ชำแหละ 5 เขตเลือกตั้งเมืองคอน มวยยก 3 แลกหมัดกันสนุกแน่ หลังรู้เชิงกันแล้ว จับตายกสุดท้ายใครจะเสยคางใคร

หลังมีความสุขกับช่วงเทศกาลมหาสงกรานต์ เรามาทบทวนกันอีกครั้งสำหรับ 10 เขตเลือกตั้งของนครศรีธรรมราช ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 20 กว่าวัน ก็จะได้เวลาประชาชนพิพากษา 14 พฤษภาคม...ถ้าหากเรียกเป็นภาษามวย ก็ถือว่าเข้าสู่ยกที่ 3 เข้าให้แล้ว

>> เขต 1 
เมืองในเขตเทศบาลนคร ที่มี ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ เป็นแชมป์อยู่ในนามพรรคพลังประชารัฐ ถ้ามองผิวเผินเหมือนจะเป็นการแข่งขันกันของ 4 พรรคใหม่ คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ส่ง ‘พูน แก้วภราดัย’ ลูกชายของ ‘น้อย-วิทยา แก้วภารดัย’ ส่วนประชาธิปัตย์ ส่งอดีตผู้ว่าฯ ‘ราชิต สุดพุ่ม’ พรรคพลังประชารัฐ ส่ง ‘ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ’ และ พรรคภูมิใจไทย ส่งอดีตนักการธนาคาร ‘จรัญ ขุนอินทร์’ 

แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปในรายละเอียด น่าจะเป็นการต่อสู้กันระหว่าง ‘ดร.รงค์’ กับ ‘ราชิต’ เป็นหลัก ซึ่งราชิต อาศัยฐานเดิมของประชาธิปัตย์ ที่มีทุนเดิมอยู่บ้างแล้วอย่างน้อยเขตละ 10,000 เพียงแต่จะทำอย่างไรให้คะแนนต่อยอดไปถึง 30,000 นั้น หมายถึงหาเพิ่มอีก 20,000 คะแนน ซึ่งความเป็นอดีตนายอำเภอเมือง และสายสัมพันธ์กับชุมชนในฐานะอดีตนักปกครอง ก็น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับ ดร.รงค์ ที่มีฐานเสียงเดิมในฐานะแชมป์ หลังจากในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา มีทั้งจุดด้อย และจุดเด่น จนเมื่อได้ ‘โกเก้า’ เกรียงศักดิ์ ภู่พันธุ์ตระกูล ผู้กว้างขวางในวงการเมืองเข้ามาจับมือกับ โกจู๋-วิฑูรย์ อิสระพิทักษ์กุล ช่วยกันประสานมือทำคะแนนให้กับ ดร.รงค์ จึงทำ ดร.รงค์ เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวขึ้นมาทันที แต่ราชิตก็ได้ ‘ลุงนึก’ สมนึก เกตุชาติ อดีตนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชเข้ามาช่วย ทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาลุงนึกไม่เอาประชาธิปัตย์เลย แต่คราวนี้หนีไปพ้นเมื่อญาติสนิทลงชิง

ฉะนั้น ราชิต คงต้องหาตัวช่วยที่เข้มแข็งเข้ามาช่วยทำงาน ทั้งคนในและคนนอกพื้นที่ที่มีบารมีพอฟัดพอเหวี่ยงกับสองโกเพื่อเดินไปสู่เป้าหมาย ‘ล้มรงค์’ ซึ่ง ดร.รงค์ก็เป็นนักวิชาการสายรัฐศาสตร์ชั้นเชิงทางการเมืองก็ไม่ธรรมดา เอาเป็นว่า ‘รู้เขารู้เรา’

>> เขต2 
ถือเป็นเขตปลอด ส.ส.เก่า คือ ไม่มีเจ้า แต่ ‘สายัณห์ ยุติธรรม’ ย้ายจากท่าศาลา มาลงเขตนี้ และย้ายพรรคจากพลังประชารัฐมาอยู่กับ ‘ลุงตู่’ ที่รวมไทยสร้างชาติ เพื่อเปิดทางให้น้องชาย ‘อำนวย ยุติธรรม’ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในบ้านเกิดท่าศาลา ซึ่งสายัณห์แม้จะเป็นอดีต ส.ส.แต่คนละเขต แม้เขตใหม่จะเป็นฐานเดิมอยู่บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด สายัณห์ต้องสร้างฐานใหม่ย่านพระพรหม ซึ่งก็มีอัตราเสียงอยู่ไม่น้อย 

ทว่าแม้เจ้าตัวจะยืนยัน 4 ปีมีผลงาน และคนรู้จัก แต่เมื่อมาดูคู่แข่งแล้ว จะพบว่า ประชาธิปัตย์ลงตัวที่ ‘นายกหนึ่ง’ นายทรงศักดิ์ มุสิกอง อดีตนายกฯ ปากนคร ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะได้สร้างขึ้นมาสืบทอดเจตนารมณ์-อุดมการณ์ของประชาธิปัตย์ต่อไป ส่วนด้าน พรรคพลังประชารัฐ ‘สจ.สุภาพ ขุนศรี’ ยอมหลีกให้ ดร.รงค์ มาลงเขตนี้ โดยสจ.สุภาพ ออกจาก เครือข่ายผู้นำท้องถิ่น-ท้องที่แล้ว จะต้องอาศัยเครือข่ายของสามี สายนักเลง นักการพนัน แต่เป็นคนต่างถิ่น เอาเป็นว่าเขตนี้ ‘สายัณห์-สจ.สุภาพ’ หายใจรดต้นคอกันเป็นแน่แท้ ส่วนทรงศักดิ์ อยู่ที่องคาพยพของประชาธิปัตย์ จะช่วยกันหอบหิ้วได้แค่ไหน ถ้าประชาธิปัตย์ตั้งเป้าว่านครศรีฯจะต้องได้ 7+ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ จะต้องออกแรงมากกว่านี้ นายกฯ หนึ่งถึงจะเข้าวิน

กล่าวสำหรับพระพรหมแล้ว ถือว่าทุกคนใหม่หมด สจ.สุภาพ มาจากเขตเมือง นายกฯ หนึ่งมาจากปากนคร สายัณห์มาจากท่าศาลา โอกาสจึงเป็นของทุกคน สายัณห์อยู่ในฐานะได้เปรียบ เพราะมีฐานเดิมอยู่บ้างในบางตำบล

>> เขต 3 (หัวไทร-ปากพนัง) 
แม้ ‘เท่ห์-พิทักษ์เดช เดชเดโช’ ลูกชายของ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ นายกฯอบจ.นครศรีฯ น้องชายของแทน-ชัยชนะ เดชเดโช จะเปิดตัวทีหลัง แต่ก็มาแรงแซงขึ้นที่ 1 อย่างรวดเร็ว วิ่งฉิวนำหน้า ขณะที่ ‘มานะ ยวงทอง’ จากภูมิใจไทย ที่เปิดตัวมาร่วมปี และเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันแล้ว แต่ม้าตีนต้นเริ่มแผ่วปลายกับการบริหารจัดการในบางเขต-บางโซน แม้บางเขตจะยังเหนียวแน่นกับเครือญาติก็ตาม แต่บางองคาพยพเริ่มเปลี่ยนค่ายบ่ายหน้าไปค่ายสีฟ้า 

ส่วนพลังประชารัฐ ส่ง ‘สัณหพจน์ สุขศรีเมือง’ ซึ่งเป็นแชมป์เก่า ดูภาพรวมแล้วไม่หวือหวา กระสุนยังไม่ออก ก็เหนื่อยหน่อย ฐานคะแนนเดิมเริ่มถูกแย่ง-ถูกแบ่งแยก สถานการณ์ปัจจุบันเงียบไปนิดหนึ่ง ส่วนรวมไทยสร้างชาติส่ง ‘นนทิวรรธน์ นนทภักดิ์’ คนสนิทของวิทยาลงประชัน ซึ่งนนทิวรรธ์ มีฐานเสียงที่หน้าแน่นอยู่ในตลาดปากพนัง เป็นด้านหลัก แต่โซนหัวไทรยังเป็นจุดบอด ถ้ามีเวลาให้เตรียมตัวมากกว่านี้ และใช้เครือข่ายวิทยาเดินเครื่อง ก็น่าสนใจ เพราะเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวที่เป็นคนพื้นที่ เกิดที่ปากพนัง ขณะที่ พิทักษ์เดช เกิดที่ร่อนพิบูลย์ แต่มีภรรยาคนปากพนัง, สัณหพจน์ เกิดที่เชียรใหญ่ แต่เคยคลุกคลีกับธุรกิจกุ้งในวัยหนุ่ม, มานะ เกิดที่เชียรใหญ่ ไม่ค่อยได้อยู่ในพื้นที่ทำธุรกิจกล่องกระดาษอยู่สมุทรสาคร และชลบุรี ในช่วงโควิดระบาดหนักเขาจึงบริจาคกล่องกระดาษทำเตียงสนามจำนวนมาก และผันตัวเองมาลง ส.ส.

>> เขต 3 
ไม่ควรมองข้าม ‘มนตรี เฉียบแหลม’ จากเพื่อไทย ที่คนเริ่มเบื่อพรรคโน้นพรรคนี้ และมองหาพรรคใหม่ เพื่อไทยจึงเป็นตัวเลือกอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายว่า เพื่อไทยเปิดตัวเขาให้ลงเขตนี้ช้าไป แต่กระแสเพื่อไทยพอมี คะแนนพรรคมีแน่นอน และตัวเลขไม่น่าเกลียดด้วย ฉะนั้นเขต 3 ด้วยเครือข่ายที่มากกว่า เหนียวแน่นกว่า ถึงกว่า ท้ายที่สุดแล้ว ‘โกเท่ห์’ จะเข้าป้าย แต่ตัองระวัง-หลีกเลี่ยงข้อสุ่มเสี่ยง

>> เขต4 (ชะอวด-เชียรใหญ่-เฉลิมพระเกียรติ)
น่าจะเป็นเขตที่สู้กันดุเดือด มีคู่แข่งหลักอยู่ 5 พรรค แชมป์เก่าคือ ‘อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ’ ยังสังกัดพรรคพลังประชารัฐเหมือนเดิม และมั่นใจในผลงาน บทบาทหน้าที่ที่ผ่านมา สองปี ส่วน ประชาธิปัตย์ ส่ง ‘ยุทธการ รัตนมาศ’  อดีตรองนายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช เคยมีข่าวโด่งดังในตำแหน่งนายกสมาคมกีฬานครศรีธรรมราช

อย่าหยามมวยรอง!! เมืองคอนเขต 3 ไม่ง่าย หลัง ‘เสี่ยอ่าง’ ลั่น!! “ผมมีวิธีจัดการคะแนนตามถนัดในแบบที่คนอื่นไม่มี”

‘สมศักดิ์ เมธา’ เดินอาดๆ เข้ามาในร้านข้าวแกงหลังสถานีรถไฟชะวอด จ.นครศรีธรรมราช พร้อมทีมงานตามหลังมาอีก 7-8 คนบอกว่า “ผมจะลงสมัครผู้แทน”

สิ้นเสียงของสมศักดิ์ก็มีคำถามตามมามากมาย เช่น จะลงพรรคไหน จะมีอะไรไปสู้เขา เป็นต้น

สมศักดิ์ตอบชัดเจนว่า จะลงสมัครรับเลือกตั้งในนาม พรรคเพื่อไทย และวันที่ 3 เมษายน สมศักดิ์ก็ไปยื่นใบสมัครเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าถามว่าจะเอาอะไรไปสู้เขา บอกได้เลยครับว่า ผมเป็นคนในพื้นที่ ทำงานรู้จักชาวบ้าน และชาวบ้านก็รู้จักผมดี ผมช่วยเหลือคนมามาก ศาลาริมถนนผมสร้างด้วยเงินส่วนตัวผมทั้งนั้น”

เขต 4 นครศรีธรรมราช (ชะอวด-เฉลิมพระเกียรติ-เชียรใหญ่) ถือเป็นเขตเลือกตั้งอีกเขตที่จะมีการต่อสู้กันดุเดือด ซึ่งปัจจุบันมีนายกองตรีอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เป็น ส.ส.ในเขตนี้ และยังลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเดิม พรรคพลังประชารัฐเหมือนเดิม พูดได้ว่า เดินแบบนิ่มกับเครือข่ายมากมาย ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

ที่บอกว่าสนามเลือกตั้งนี้จะต้องต่อสู้กันดุเดือดแน่นอน เพราะผู้สมัครแต่ละคนไม่ธรรมดา อย่างอาญาสิทธิ์ นอกจากเป็นแชมป์แล้ว ยังเคยเป็นนายอำเภอ ปลัดอำเภอในโซนนี้มายาวนาน ปลัดณัฐกิตติ์ หนูรอด ในนามพรรคภูมิใจไทย เป็นคนเคร็งโดยกำเนิด อดีตปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง ผ่านประสบการณ์นักปกครองมาโชกโชน 

ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ พงศ์สิน เสนพงศ์ น้องชายของเทพไทย เสนพงศ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ เคยลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งซ่อมมาแล้วกับคะแนน 30,000 กว่าคะแนน เพียงแต่พ่ายให้กับอาญาสิทธิ์เท่านั้นเอง คราวนี้คะแนนเสียงย่านเชียรใหญ่ บ้านเกิดไม่มีใครมาแบ่ง

‘หัวไทร-ปากพนัง’ เขตที่ ‘แทน’ ต้องทำให้ ‘เท่ห์’ ชนะ แต่ต้องจับตา ‘มนตรี-เพื่อไทย’ พร้อมเสียบ

เดินเก็บข้อมูลอยู่ในเขต 3 นครศรีธรรมราช (ปากพนัง-หัวไทร) 3 วัน ได้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ถึงวิธีคิดของชาวบ้านที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะ

เขตหัวไทร-ปากพนัง เดิมเป็นเขตเลือกตั้งที่ 2 แต่ปัจจุบันเป็นเขต 3 ซึ่งมี ‘สัญหพจน์ สุขศรีเมือง’ เป็น ส.ส.อยู่ สังกัดพรรคพลังประชารัฐ และเลือกตั้งคราวนี้ยังอยู่ในสังกัดพลังประชารัฐเหมือนเดิม และเป็นพรรคที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค รวมทั้งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

ตามที่ได้ฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้าน กระแสของ ‘สัญหพจน์’ แผ่วเบามาก และแผ่วเบาพอ ๆ กับเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งสัญหพจน์ได้รับการเลือกตั้ง น่าจะเกิดจากกระแส ‘ลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากกว่า เมื่อบวกรวมกับความต้องการเปลี่ยนของชาวบ้าน และสอนบทเรียนให้ประชาธิปัตย์ ทำให้สัญหพจน์ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปเป็น ส.ส. และถือเป็นเขตล้มช้าง เพราะเอาชนะ ‘วิทยา แก้วภารดัย’ จากพรรคประชาธิปัตย์ ชนิดหักปากกาเซียน

แต่สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ ‘ลุงตู่’ ไม่อยู่แล้ว ย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ กระแสลุงตู่สำหรับสัญหพจน์จึงไม่มี ไม่มีตัวช่วยเหมือนครั้งก่อน ตัวช่วยอย่าง พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล ก็ไม่อยู่แล้ว คราวปี 2562 พ.อ.สุชาติ เป็นตัวช่วยในการทำคะแนนให้สัญหพจน์ไม่น้อย

ถามว่า ถ้าอย่างนั้นกระแสจะไปอยู่ตรงไหน ใครมีโอกาสได้รับเลือกเป็น ส.ส. ย้อนไปเมื่อ 5-6 เดือนก่อน กระแสของ ‘มานะ ยวงทอง’ จากพรรคภูมิใจไทย ค่อนข้างแรงกับคนรุ่นใหม่ กับพรรคที่กำลังมีกระแสแรงในภาคใต้ แต่วันเวลาผ่านไป กระแสของมานะเริ่มจะถดถอย ถดถอยอันเกิดจากหลายเหตุผล ประการแรกเกิดจากตัวมานะเองที่ไม่ชัดเจนในบางเรื่อง ทำงานจัดตั้งไม่เข้มแข็งพอ ได้หน้าลืมหลัง เดินไปข้างหน้า ไม่หันไปมองข้างหลัง หัวคะแนนระดับ ‘หัวกะทิ’ เริ่มถอยห่าง ซึ่งเป็นหัวกะทิในระดับจัดการคะแนนได้ จัดตั้งเป็น รู้จักคนในพื้นที่ดีว่าใครเป็นใคร น่าจะช่วยใคร แต่มานะกลับไม่เห็นคุณค่า ปล่อยให้เขาเคว้งคว้าง และคนอื่นมาคว้าพุงปลามันไปกิน

เมื่อบวกรวมกับกระแสพรรคภูมิใจไทยที่ไม่หวือหวาเหมือนเดิม ถูกโหมกระหน่ำหนักทั้งเรื่องกัญชา เรื่องศักดิ์สยาม ชิดชอบ ถูกศาลสั่งพักงาน ‘เสี่ยชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์’ ก็ตามบี้ไล่หลัง ยังมีเรื่องศาลสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ที่ถูกกล่าวหาบุกรุกที่ดินรถไฟอีก…หนักหน่อยนะ

ใครเข้ามาคว้า ที่เห็นอย่างน้อยสองคน คนแรกคือ ‘เท่ห์’ พิทักษ์เดช เดชเดโช จากพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเขตเลือกตั้งชัด ‘เท่ห์’ ก็ชัดว่า จะลงเขต 3 และเริ่มลุยหัวไทรทันที โดยหลังจากบุกปากพนังมาแล้วหลายเดือนจนลงตัว ‘เท่ห์’ ก็เข้าหัวไทรถี่ยิบ โดยมีพี่ชาย ‘แทน’ ชัยชนะ เดชเดโช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนชี้เป้า ชี้เป้าไปยังผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และผู้นำตามธรรมชาติ และบางคนแทนยกหูคุยเอง และเดินทางไปพบด้วยตัวเอง

ไม่ใช่แค่นั้น หลังแทนบุกเข้าไปชี้เป้าให้เท่ห์ ยังมี ‘เจ๊ต้อย’ กนกพร เดชเดโช นายกฯ อบจ.ผู้เป็นแม่ ตามไปสำทับ ผ่านองค์กรท้องถิ่น ผู้นำสตรีอีกครั้ง กระแสประชาธิปัตย์ที่เดิมไม่ค่อยดีนัก แต่การเข้ามาเองของ ‘แทน-ต้อย’ เริ่มมีคนกล่าวขานถึง กล่าวขานถึงการมีโอกาสได้รับเลือกตั้งสูง และเชื่อว่า ‘ต้อย-แทน’ จะต้องทำให้ ‘เท่ห์’ ชนะในเขตนี้ ไม่งั้นก็ ‘บัดสีคน’

'อำนวย นวลทอง' ผู้ขันอาสา 'รวมไทยสร้างชาติ' เปลี่ยนการเมืองตรัง กร้าว!! สู้ไม่มีถอย ลงสมัครเพื่อชนะ ไม่ใช่เพื่อแพ้

น่าติดตามอย่างยิ่งกับพื้นที่ในจังหวัดตรัง เมื่อ 'อำนวย นวลทอง' ได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจังหวัดตรัง และประกาศศักดา ขอสู้แบบไม่มีถอย มาลงสมัครก็เพื่อชนะ ไม่ใช่เพื่อพบกับความพ่ายแพ้

“30-40 ปีของการเมืองในจังหวัดตรัง พี่น้องประชาชนให้โอกาสกับบางพรรคการเมืองมายาวนาน แต่เมืองตรังกลับย่ำอยู่กับที่ หรือถดถอยด้วยซ้ำ ประชาชนจนลง บ้านเมืองไม่ได้รับการพัฒนา จึงตัดสินใจนำความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่ขันอาสามารับใช้บ้านเกิด บ้านเมืองจะได้เกิดการเปลี่ยนแปลง” อำนวย กล่าว

อำนวย กล่าวอีกว่า ปัญหาใหญ่ของจังหวัดตรังคือปัญหาที่ดินทำกิน อันเกิดจากการที่ภาครัฐไปประกาศเขตอุทยานบ้าง เขตทุ่งเลี้ยงสัตว์บ้าง ทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน จึงไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ใดๆ ได้ ทั้งๆ ที่ชาวบ้านทำกินบนที่ดินแปลงนั้นมาก่อน และสภาพที่ดินก็ควรให้ชาวบ้านได้สิทธิ์ทำกิน แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐโค่นทำลาย

อำนวย กล่าวต่อว่า อีกปัญหาของเมืองตรัง คือการบริหารจัดการน้ำ ถึงหน้าฝนก็เจอน้ำท่วม พอหน้าแล้งก็ขาดน้ำ ไม่มีใครคิดเรื่องการบริหารจัดการน้ำ การทำแหล่งกักเก็บน้ำ ซึ่งถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไปดูแก้ไขปัญหาเหล่านี้ 

ทั้งนี้ หากกล่าวถึง 'อำนวย นวลทอง' แล้ว พี่น้องชาวละมอ อ.นาโยง จ.ตรัง คงรู้จักกันดี เพราะเขาถือกำเนิดบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ โตที่นี้ และเรียนจบการศึกษาระดับมัธยมปลายจากโรงเรียนวิเชียรมาตุ

แต่ด้วยการศึกษาในระบบ 'แพ้คัดออก' ทำให้อำนวยสอบเข้ามหาวิทยาลัยเปิดไม่ได้ เขาจึงบ่ายหน้าเข้าเมืองหลวง เข้าสู่ระบบการศึกษา 'ตลาดวิชา' เป็นลูกพ่อขุนในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง

"รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ" คือคำขวัญของมหาวิทยาลัย ที่ติดตาตรึงใจอำนวยตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่รั้วรามคำแหง และเมื่อเขาเดินทางเข้ากรุงก็มุ่งมั่น ตั้งใจศึกษา มีพ่อขุนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ 

กระนั้น ภายหลังจากจัดแจงเรื่องเอกสาร และมติพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ 'อำนวย นวลทอง' ลงสมัคร ส.ส.เขต 3 จังหวัดตรัง อำนวยจึงได้หอบกระเป๋าเอกสารเดินทางเข้าสู่รั้วรามคำแหง แจ้งต่อพ่อขุนฯ ถึงเจตนารมณ์ และไหว้ขอพร พร้อมกล่าวคำปณิธานให้พ่อขุนฯ ได้รับทราบ ว่า...

"เมื่อครั้งเข้ามาเมืองหลวงใหม่ๆ ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันหอบความเขลาจากบ้านนอก เข้ามาหาความหมายในเมืองหลวง เพื่อหวังแก้ปัญหาอีกมากมายที่สั่งสมบ่มเพาะอยู่ในสังคมไทย สังคมแห่งความเหลื่อมล้ำ สังคมแห่งการเอารัดเอาเปรียบ แม้แต่การศึกษาก็ยังไม่เท่าเทียมกัน" อำนวย กล่าว

ระหว่างศึกษาอำนวยกระโดดเข้าสู่เวทีกิจกรรมนักศึกษา ทำกิจกรรมแนวบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ และการเมือง ออกค่ายอาสา ร่วมเวทีเรียกร้องความเป็นธรรมในนามองค์กรนักศึกษา ชื่อเสียงของอำนวยเป็นที่รู้จักกันของระดับนำของนักศึกษากลุ่มหัวก้าวหน้าในรั้วรามคำแหง

อำนวยเป็นนักศึกษากิจกรรมรุ่นเดียวกับ 'นิพนธ์ บุญญามณี' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รุ่นเดียวกับ 'วิสูตร สุจิรกุล' อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และ สมชาย โล่สภาพิพิธ อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์

หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี อำนวย เข้าสู่ระบบราชการในกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการจัดจำหน่ายน้ำตาลทราย จากนั้นได้ลาออกมาทำงานภาคเอกชนและทำธุรกิจส่วนตัว โดยเข้าไปทำงานในบริษัท หมากหอมเยาวราช ของนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้มีโอกาสได้รู้จักกับ ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. พร้อมกันนี้ 'อำนวย' ยังเป็นหนึ่งในคณะทำงานรณรงค์หาเสียงให้กับเดโช สวนานนท์ ร.ท.เชาวลิต เตชะไพบูลย์ และ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร อีกด้วย

'อำนวย' กระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองในยุคที่สังคมกำลังเปิดทางให้กับคนรุ่นใหม่ อำนวยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 

ในช่วงวัยหนุ่ม ด้วยหวังว่า ตำแหน่งทางการเมืองจะช่วยแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ 'อำนวย' ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานสภาเขตพญาไทถึงสองสมัย และเป็นคณะทำงานของกลุ่มยุวประชาธิปัตย์ เป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ สาขาพญาไท

อำนวยยังวาดฝันว่า วันหนึ่งจะก้าวสู่การเมืองระดับชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างการเมืองได้มากกว่าการเมืองท้องถิ่น แต่เมื่อเหลียวซ้ายมองขวา บ้านเกิดของตัวเองก็ยังมีปัญหาอีกมากที่ควรได้รับการแก้ไข รวมถึงการปูทางไปสู่ความเป็นเมืองท่องเที่ยว สร้างสังคมอุดมธรรม สังคมสร้างสุข

อำนวยตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้ง ทิ้งสิ่งที่สร้างและมีอยู่ในเมืองหลวง บอกภรรยาเก็บกระเป๋ากลับละมอบ้านเกิด และเริ่มต้นทำในสิ่งที่ฝัน เดินตามพ่อ 'เศรษฐกิจพอเพียง' กับที่ดินแปลงมรดก พร้อมขยายแนวคิดไปยังชาวบ้าน เดินหน้าสร้างความอยู่รอด และอยู่เย็นเป็นสุขในชุมชน

'อำนวย' ฝันไกลไปกว่านั้น ฝันเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจังหวัดตรัง เพื่อการพัฒนาในเชิงรุกกับการลงชิง ส.ส.ตรัง เขต 3 แม้จะต้องสู้กับลูกสาวของเพื่อนรัก 'สมชาย โล่สถาพรพิพิธ' ก็ตาม ตามหลักคิด “การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน และต้องมีการแข่งขัน”

วันนี้ชายนักสู้ ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย ล้นไปด้วยประสบการณ์ ผ่านการศึกษา เรียนรู้ ทั้งในระบบและนอกระบบ มาอย่างท่วมท้น พร้อมจะลงสู้ศึกชิงเก้าอี้ ส.ส.เขต 3 จ.ตรัง ศึกคนกันเองกำลังจะระเบิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งของคนประชาธิปัตย์ในจังหวัดตรัง

“ผมพร้อม ทีมงานพร้อม” อำนวยกล่าวอย่างมั่นใจในการเปิดศึกกับคนกันเอง แพ้-ชนะไปว่ากันในสนามเลือกตั้ง ประชาชนจะเป็นคนชี้ขาด แต่งานนี้ 'อำนวย' สู้ไม่มีถอย

'มนตรี เฉียบแหลม' เล็งจองเขต 2 นครศรีฯ สังกัด 'เพื่อไทย' ดีกรี ดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองในเมืองคอนร่วม 20 ปี

มนตรี เฉียบแหลม เปิดเผยกับ #นายหัวไทร ว่า ได้เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 1 และ 2 ในนามพรรคเพื่อไทย

“เขต 1 มีปรีชา แก้วกระจ่าง เสนอตัวด้วย จึงมีการพูดคุยกัน กำนันปรีชา เสนอเงื่อนไขว่า เขตไหนมีตำบลปากนครรวมอยู่ ก็จะลงเขตนั้น ถ้ากำนันปรีชาลงเขต 1 ผมก็จะขอไปลงเขต 2 แทน”

มนตรี เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองในจังหวัดนครศรีธรรมราชมาร่วม 20 ปีแล้ว หลังลาออกจากราชการ ก็มาลงสมัคร ส.ส.เป็นกรรมการบริหารพรรคเสรีธรรม ที่ต่อมาไปรวมกับพรรคไทยรักไทย

“หลังจากนั้นก็อยู่บนเส้นทางการเมืองมาตลอด ไม่กลับเข้ารับราชการอีก และมาจับธุรกิจการบริบาลในภาคใต้มี 8 จังหวัด ทั้งภูเก็ต, พังงา, กระบี่, ตรัง, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช และต่อยอดสถานดูแลผู้สูงอายุอีก 2 จังหวัด คือนครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี”

มนตรี บอกว่า ธุรกิจการบริบาลไปได้ดีมาก เพราะว่าไทยเราเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว 100% มีผู้สูงอายุเกิน 20% ลูกๆ ก็ไม่มีเวลาดูพ่อแม่ ภาคเอกชนก็เข้ามาช่วยดูแลเสริมภาครัฐ มีการพักฟื้น ทำกายภาพบำบัด น้องๆที่จบการบริบาลมาก็มีงานทำ ในการดูแลผู้สูงอายุ

“ตามหลักสูตรการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ จะต้องเรียน 840 ชั่วโมง เป็นภาคทฤษฎี 420 ชั่วโมง ภาคปฏิบัติ 420 ชั่วโมง เด็กจบแล้วมีงานทำ 100%”

อธิการบดี ม.ทักษิณ ไม่ถือโทษ หลัง ‘แทน-ชัยชนะ’ เข้า ‘ขอขมา’

(7 มี.ค. 66) นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายสานันท์ สุพรรณชนะบุรี ได้เดินทางเข้าพบรองศาสตราจารย์ ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ เพื่อขอขมา-ขอโทษ กรณีนายชัยชนะ กล่าวปราศรัย หาเสียงทางการเมืองที่จังหวัดพัทลุงเมื่อวันที่ 4 มี.ค.2566 ซึ่งพาดพิงถึง มหาวิทยาลัยทักษิณ ในทำนองดูแคลนผู้สมัครจากพรรคการเมืองคู่แข่ง ว่าสำเร็จการศึกษาจาก ม.ทักษิณ ไม่ได้จบการศึกษาจากต่างประเทศแบบพรรคของตน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top