Tuesday, 18 March 2025
LITE

17 มีนาคม ของทุกปี ‘วันมวยไทยแห่งชาติ’ ระลึกวีรกรรม ‘นายขนมต้ม’ บิดามวยไทย

วันที่ 17 มีนาคม ของทุกปี กำหนดเป็น ‘วันมวยไทยแห่งชาติ’ หรือ วันนักมวย (National Muay Thai Day) :ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทย เพื่อย้อนรำลึกถึง ‘นายขนมต้ม’ บิดามวยไทย ที่ได้ขึ้นชกมวยต่อหน้าพระที่นั่งพระเจ้ามังระ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2317

โดยวีรกรรมครั้งประวัติศาสตร์ดังกล่าว เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 ในวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2317 โดยที่ นายขนมต้ม นักมวยชาวกรุงศรีอยุธยา สามารถล้มคู่ชกได้ถึง 10 คน บนสนามมวยต่อหน้าพระที่นั่งพระเจ้ามังระ ส่งผลให้มวยไทยโด่งดังขจรไปไกล และมีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบันนั่นเอง

จากวีรกรรมความกล้าในครั้งนี้ ทำให้มีการกำหนดให้วันที่ 17 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันมวยไทยแห่งชาติ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีและฝีมือเชิงมวยของ นายขนมต้ม และยังเป็นการยกย่องให้เกียรติแก่นักมวยไทย ทั้งนี้ ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์นายขนมต้ม ที่สนามกีฬากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกด้วย

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 16 มีนาคม 2568

รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท
757563

รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
595  927

รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
457  309

รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท
32

รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท
757562  757564

ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 2 จำนวน 5 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท
989893  041134  465815  875925  748827

ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 3 จำนวน 10 รางวัล รางวัลละ 80,000 บาท
571016  750873  472259  455376  633053  
139119  141267  347605  246223  909970  

ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 4 จำนวน 50 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท
853348  802025  865801  074040  248923  
209713  247158  116520  532411  415164  
342135  492265  124537  964672  113275  
572952  074509  347176  252613  231327  
649727  856757  579180  427466  168423  
544466  546436  205246  120687  519010  
661839  344622  782028  883412  466815  
175231  214933  395960  369661  961506  
122064  830000  468063  295987  262297  
874836  566906  636983  408506  824008

16 มีนาคม พ.ศ. 2424 งานออกพระเมรุพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทา กุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี

ย้อนกลับไปเมื่อวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมี พระบรมราชโองการให้แต่งเรือพระที่นั่งเพื่อเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอินพร้อมพระมเหสีทุกพระองค์ เจ้าจอมมารดา เจ้าจอม และข้าราชบริพาร โดยก่อนวันเสด็จพระราชดำเนินนั้น พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงพระสุบิน (ฝัน) ว่า พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ฯ ทรงพระดำเนินข้ามสะพานแห่งหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ฯ ทรงพลัดตกน้ำลงไป พระองค์สามารถคว้าพระหัตถ์เอาไว้ได้ แต่พระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ก็ลื่นหลุดจากพระหัตถ์พระองค์ไป พระองค์ทรงคว้าพระหัตถ์พระเจ้าลูกเธอจนทรงตกลงไปในน้ำด้วยกันทั้ง 2 พระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงหวั่นพระทัย แต่ก็มิได้ทรงกราบบังคมทูลให้พระราชสวามีทรงทราบ และได้ตามเสด็จฯ ประพาสพระราชวังบางปะอินตามพระราชประสงค์

ในวันเสด็จฯ นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เคลื่อนขบวนเรือต่าง ๆ ออกไปก่อนในเวลาประมาณ 2 โมงเช้า โดย พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ ประทับบนเรือเก๋งกุดัน โดยมีเรือปานมารุต ซึ่งเป็นเรือกลไฟจูงเรือพระประเทียบ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสร็จพระราชกิจแล้ว จึงได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งโสภาณภควดีตามไป เมื่อขบวนเรือพระที่นั่งไปถึงบางตลาดนั้น จมื่นทิพเสนากับปลัดวังซ้ายลงมากราบทูลว่า “เรือพระที่นั่งพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งเรือปานมารุตจูงไปนั้นล่มที่บางพูด องค์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ แลพระชนนีสิ้นพระชนม์”

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงไล่เลียงกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช พระยามหามนตรี และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยพระยามหามนตรีทูลว่า “เรือราชสีห์ซึ่งจูงเรือพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรีนั้น นำหน้าไปทางฝั่งตะวันออก โดยมีเรือโสรวาร ซึ่งพระยามหามนตรีไปจูงเรือพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรีตามไปเป็นที่สองในแนวเดียวกัน ส่วนเรือยอร์ชของกรมหลวงวรศักดาพิศาล ซึ่งจูงเรือกรมพระสุดารัตนราชประยูรไปทางฝั่งตะวันตกแล่นตรงกันกับเรือราชสีห์ หลังจากนั้น เรือปานมารุตแล่นสวนขึ้นมาช่องกลางห่างเรือโสรวารประมาณ 10 ศอก พอเรือปานมารุตแล่นขึ้นไปใกล้ เรือราชสีห์ก็เบนหัวออก เรือพระประเทียบเสียท้ายปัดไปทางตะวันออก ศีรษะเรือไปโดนข้างเรือโสรวารน้ำเป็นละลอกปะทะกัน กดศีรษะเรือพระประเทียบจมคว่ำลง”

อย่างไรก็ตาม กรมหมื่นอดิศรอุดมเดชกล่าวว่า “เป็นเพราะเรือโสรวารหนีตื้นออกมา จึงเป็นเหตุให้เรือปานมารุตแล่นห่างกว่า 10 ศอก” ซึ่งกรมหมื่นอดิศรอุดมเดชและพระยามหามนตรีต่างซัดทอดกันไปมา โดยในขณะที่เรือล่มนั้น พระยามหามนตรีก็ได้ออกคำสั่งห้ามผู้ใดลงไปช่วยเหลือ ด้วยเป็นการขัดต่อกฎมณเฑียรบาลที่ห้ามให้ผู้ใดแตะต้องพระวรกายของพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งตระกูล 

หลังจากนั้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายขึ้นไปไล่เลียงคนอื่น ๆ ดู แล้วจึงได้ความว่า พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ก็สวรรคตพร้อมด้วยพระราชบุตรในพระครรภ์พระชนม์  เดือนเต็ม ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสียพระทัยยิ่งนัก และเนื่องจากเหตุการณ์นี้ทำให้มหาชนถวายพระนามพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ว่า “สมเด็จพระนางเรือล่ม” พระศพของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ฯ ตั้งบำเพ็ญพระราชกุศลที่หอธรรมสังเวชภายในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันสวรรคต โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระโกศทองใหญ่ ซึ่งเป็นพระโกศสำหรับทรงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระอัครมเหสีและพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ ให้ทรงพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ซึ่งถือเป็นการพระราชทานพระเกียรติยศแก่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ เป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้น ได้มีการจัดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพทั้ง 2 พระองค์ขึ้น ณ กลางทุ่งพระเมรุ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2424 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระราชทานเพลิงพระศพ ในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2424

ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้จัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์รวมพระสูตร และพระปริตต่าง ๆ สำหรับพระราชทานแด่อารามต่าง ๆ เพื่อเป็นพระราชกุศลในวันถวายพระเพลิงพระศพ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดพิมพ์หนังสือแจกในงานศพ และยังคงเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน

แหล่งที่มา - พิพิธภัณฑ์ออนไลน์ ตอนที่ 24 : เกร็ดประวัติศาสตร์ อันเกี่ยวเนื่องกับ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

15 มีนาคม พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการให้เลิกเล่นการพนัน

วันนี้ เมื่อ 110 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราชโองการให้มีการเลิกเล่นการพนัน ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2458 โดยถือว่าการเล่นการพนันเป็นของต้องห้ามและเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2459 

จากพระบรมราชโองการดังกล่าว ทำให้มีการลดจำนวนโรงหวยและเบี้ยให้ลดน้อยลง ในการพนันกลุ่มที่ถูกยกเลิกนี้ รวมถึงอากรหวยจีน หรือ หวย ก ข ที่เป็นการเสี่ยงโชค เป็นความหายนะสู่ผู้มัวเมาหลงเล่นนำความเสื่อมโทรมแห่งราษฎร

ทั้งนี้ ก่อนปีพุทธศักราช 2459 ประชาชนพลเมืองโดยมากได้พากันลุ่มหลงในการเสี่ยงโชคลาภด้วยหวย ก.ข. ในคราวเทศกาลออกพรรษาปีหนึ่งๆ จะได้เห็นชาวชนบทพากันหลั่งไหลนำเงินเข้ามาโปรยปรายแทงหวย ก.ข. ในกรุงเทพมหานครอย่างล้นหลาม แต่การเสี่ยงโชคด้วยหวย ก.ข. และบ่อนเบี้ยนั้นนำความหายนะสู่ผู้มัวเมาหลงเล่นโดยไม่ค่อยรู้สึกเลย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาถึงความเสื่อมโทรมแห่งราษฎรของพระองค์ดำเนินไปในทำนองนี้จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศยกเลิกอากรหวยเสีย และเลิกอากรบ่อนเบี้ยที่ยังมีอยู่ในพระนครในปี พ.ศ. 2460 รายได้ในอากรบ่อนเบี้ยและหวย ก.ข. จากขุนบาล 2 ประเภทนี้นำเงินเข้าสู่ท้องพระคลังได้ปีหนึ่งๆ นับจำนวนร่วม 10 ล้านบาท แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังได้ทรงสละเสียอย่างง่ายดาย ซึ่งพระองค์ได้ทรงเห็นภยันตรายแก่ทวยราษฎร์สยามนั่นเอง

ค่ายแถลงยอมรับแล้ว 'คิมซูฮยอน' คบกับ 'คิมแซรน' จริง แต่เป็นช่วงที่บรรลุนิติภาวะแล้ว เผยพระเอกดังเครียดและกดดันหนัก

(14 มี.ค.68) หลังจากที่วานนี้ต้นสังกัด'คิมซูฮยอน' (KimSooHyun) อย่าง GOLD MEDALIST ออกแถลงการณ์ถึงประเด็นดราม่าร้อน ระบุว่า "เราขอชี้แจงเกี่ยวกับคอนเทนต์ล่าสุด ที่พาดพิงถึง 'คิมซูฮยอน' ซึ่งออกอากาศทางช่อง YouTube HoverLab Inc ทางบริษัท GOLD MEDALIST จะชี้แจงข้อเท็จจริงและตอบโต้ข่าวลือที่ปราศจากความจริงเหล่านั้น ด้วยข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และมีเหตุผลในสัปดาห์หน้า"

ความคืบหน้าล่าสุด ต้นสังกัดคิมซูฮยอน GOLD MEDALIS ออกแถลงการณ์เร่งด่วนในวันนี้ว่า โดยระบุว่าตอนแรกจะแถลงสัปดาห์หน้าทีเดียว แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของ'คิมซูฮยอน'ไม่เป็นปกติ เพราะถูกสังคมประณามว่าเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตของ'คิมแซรน' ทางค่ายจึงต้องออกมาแถลงเร่งด่วนในบางประเด็น 

- 'คิมซูฮยอน' นักแสดงชื่อดัง ออกมายอมรับว่าเคยคบหากับ 'คิมแซรน' จริง แต่เป็นหลังจากที่เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้ง 2 เคยคบกัน ช่วงปี 19-20 ซึ่ง คิมแซรนบรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาที่ว่าเขาคบกับเธอตั้งแต่ยังเป็นผู้เยาว์นั้นไม่เป็นความจริง ทางต้นสังกัดยังชี้แจงเกี่ยวกับ ภาพถ่ายของทั้งสองที่ถูกเปิดเผยโดยช่อง YouTubeว่าภาพทั้งหมดถูกถ่ายหลังจากที่คิมแซรนบรรลุนิติภาวะแล้ว

- ภาพถ่ายอีกชุดที่ยูทูบเบอร์ได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2025 ว่า ภาพนี้ถูกถ่ายในวันที่ 24 ธันวาคม 2019 (วันคริสต์มาสอีฟ) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองคบหากัน ส่วนภาพที่ยูทูบเบอร์อ้างว่าเป็นภาพจากปี 2016 นั้นไม่มีอยู่จริง เนื่องจากในเวลานั้นทั้งสองไม่ได้คบหากัน
- จดหมายรัก และภาพถ่ายช่วงที่คิมซูฮยอน เข้าเกณฑ์ทหารนั้น เป็นแค่จดหมายเขียนเล่าสารทุกข์สุขดิบ ตอนเขาฝึกทหารธรรมดา ๆ เท่านั้น ตอนนั้นยังไม่ได้คบกัน ที่เขียนในจดหมายว่า "ผมคิดถึงคุณนะ" ไม่ได้เขียนถึงคนรัก แต่เขียนบอกว่าคิดถึงเพื่อนคิดถึงคนรู้จักแค่นั้นเอง  ทางต้นสังกัดยังอธิบายเกี่ยวกับ คำว่า 'แซโรแนโร (새로네로)' ที่ถูกใช้ในจดหมาย โดยระบุว่า 'แซโรแนโร' เป็นชื่อที่คิมแซรนใช้เป็นฉายาของตัวเองบนโซเชียลมีเดียตั้งแต่ปี 2016 ไม่ใช่คำที่ใช้เรียกระหว่างเธอกับคิมซูฮยอน

- ข้อกล่าวหาว่า 'คิมซูฮยอน' เพิกเฉยต่อปัญหาทางการเงินของ 'คิมแซรน' นั้นไม่เป็นความจริง เรื่องหนี้สินเป็นปัญหาระหว่าง'คิมแซรน'กับทางค่าย gold medalist (ซึ่งคิมซูฮยอนเป็นผู้ก่อตั้งและถือหุ้น) เท่านั้น ต้นสังกัดอธิบายว่าในช่วงหลังจากที่คิมแซรนถูกฟ้องร้องจากกรณีเมาแล้วขับ บริษัทได้ช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย รวมถึงค่าเสียหายที่ต้องจ่ายให้กับร้านค้าต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุของเธอ พร้อมกันนี้ทาง gold medalist ยังบอกอีกว่า บริษัทพยายามอย่างเต็มที่ในการลดภาระของ 'คิมแซรน' และหลังจากมีการเจรจา เราสามารถลดจำนวนหนี้ที่เหลือได้เหลือประมาณ 700 ล้านวอน

- ต้นสังกัดยังกล่าวอีกว่า 'คิมแซรน' นั้นพยายามอย่างเต็มที่ในการชำระหนี้ แต่เนื่องจากเธอประสบปัญหาในการกลับมาทำงานในวงการบันเทิง จึงทำให้การชำระหนี้เป็นไปได้ยาก เนื่องจากเธอไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ที่เหลือ ทางบริษัทจึงตัดสินใจรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เหลือทั้งหมด และได้ดำเนินการปิดบัญชีค่าใช้จ่ายในเดือนธันวาคม 2023 การกล่าวหาว่า 'คิมซูฮยอน' มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง หรือเรียกร้องเงินจากเธอนั้นไม่เป็นความจริง

- ตอนที่ 'คิมซูฮยอน' ได้รับข้อความจาก'คิมแซรน'ขอให้เขาผ่อนปรนหนี้ ทางค่าย gold medalist เองที่เป็นผู้ห้ามปรามเขาไม่ให้ตอบข้อความกลับไปเอง

- Gold Medalist เปิดเผยว่า คิมซูฮยอนกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางจิตใจอย่างรุนแรงจากข่าวลือดังกล่าว โดยเดิมทีทางบริษัทวางแผนที่จะออกแถลงการณ์ในสัปดาห์หน้า แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงต้องรีบออกแถลงการณ์ก่อนกำหนด 

14 มีนาคม พ.ศ. 2422 วันเกิด ‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ สุดยอดนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะของโลก

14 มีนาคม พ.ศ. 2422 เป็นวันเกิด อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพและสูตรอันโด่งดัง E=mc2 เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เมื่อปี 2465 

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) หรือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักฟิสิกส์ทฤษฎี ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ไอน์สไตน์เป็นชาวยิวที่เกิดในเยอรมนี เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจตัดสินใจอพยพจากเยอรมนีไปอเมริกา และคัดค้านการขยายอิทธิพลของลัทธินาซี มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้สหรัฐสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม กลศาสตร์สถิติ และจักรวาลวิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ใน 2464 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และจาก 'การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี'

หลังจากที่ไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ในปี 2458 เขาก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยธรรมดานักสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ในปีต่อ ๆ มา ชื่อเสียงของเขาได้ขยายออกไปมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของความฉลาดหรืออัจฉริยะความนิยมในตัวของเขาทำให้มีการใช้ชื่อไอน์สไตน์ในการโฆษณา หรือแม้แต่การจดทะเบียนชื่อ 'อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์' ให้เป็นเครื่องหมายการค้า

ตัวไอน์สไตน์เองมีความระลึกถึงผลกระทบทางสังคม ซึ่งมีผลมาจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่เขาได้เป็นปูชนียบุคคลแห่งความบรรลุทางปัญญา เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุดในยุคปัจจุบัน ทุกการสร้างสรรค์ของเขายังคงเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งในความเชื่อในความสง่า ความงาม และความรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล (คือแหล่งเสริมสร้างแรงบันดาลใจในวิทยาศาสตร์ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่) เป็นสูงสุด ความชาญฉลาดเชิงโครงสร้างของเขาแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของจักรวาล ซึ่งงานเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านผลงานและหลักปรัชญาของเขา ในทุกวันนี้ ไอน์สไตน์ยังคงเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุด ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์และนอกวงการ

‘ครูเงาะ’ แชร์เรื่องราวสุดประทับใจหลังได้สอนการแสดง ‘ลิซ่า’ ยกเป็นต้นแบบให้เด็กรุ่นใหม่ มีสัมมาคารวะ - อ่อนน้อมถ่อมตน - กตัญญู

(13 มี.ค.68) 'ครูเงาะ - รสสุคนธ์ กองเกตุ' ครูสอนการแสดงชื่อดัง เปิดเผยเรื่องราวสุดประทับใจหลังได้มีโอกาสสอนการแสดงเพิ่มเติมให้กับ ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล ศิลปินสาวไทย ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า

เคยคิดอยู่เสมอว่าจะทำยังไงที่จะได้เจอลิซ่า แล้วได้พูดคำว่าขอบคุณในสิ่งที่น้องทำ ขอบคุณที่เป็นต้นแบบที่ดีให้กับเด็กรุ่นใหม่ ขอบคุณที่เป็นพลังให้กับประเทศ

แล้วบุญเก่าก็ส่งผลทันทีตอนที่ ผู้จัดการของน้องติดต่อเข้ามาเพื่อที่จะให้น้องมาเรียนการแสดงในเรื่อง White Lotus

พูดได้คำเดียวว่าพอได้เจอน้องแล้ว  นอกจากคำว่าเป็นเด็กมีความสามารถแล้ว น้องมีมายด์เซ็ทของคนที่ประสบความสำเร็จอยู่ในตัวครบทุกข้อ 

1. ไม่กลัวที่จะเริ่มต้นในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้
2. ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สุดๆ ไม่ว่าตัวเองจะงานเยอะแค่ไหนก็จะหาเวลามาเรียน
3. ทำงานเพื่องาน ส่วนชื่อเสียงเป็นเพียงผล เพราะไม่ว่าบทจะมากน้อยแค่ไหน เธอก็ทุ่มเทเต็มที่ 
4. น้องสามารถหัวเราะได้กับทุกความผิดพลาดของตัวเอง อันนี้คือมายด์เซ็ทคนที่รู้อยู่ในใจว่า ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะฉันเรียนรู้จากมันได้ เค้าเลยไม่ซีเรียสถ้าตัวเองผิด แต่จริงจังในการเรียนรู้
5. และที่สำคัญที่สุดเป็นเด็กที่มีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน และกตัญญูเป็นที่สุด 

วันนี้ครูไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้องถึงพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่สู่ระดับโลกอย่างในทุกวันนี้

นอกจากนี้ครูเงาะยังได้เผยความในใจลงในอินสตาแกรมอีกว่า "วันที่ได้รับการติดต่อมาว่าน้องลิซ่า @lalalalisa_m จะมาเรียน ดีใจมากกก เพราะชอบน้องมากกกก ในทุกตรง ทั้งความสามารถ ความคิด จิตใจของน้อง ตอนมาเจอขอบอกเลยว่าไม่ผิดหวังเลย

ลิซ่าเป็นเด็กที่สดใสน่ารัก อ่อนน้อมถ่อมตน หัวไวมาก มาตอนแรกด้วยความกังวลว่าไม่เคยเล่น ไม่รู้จะวางตัวยังไง พอลองให้เล่นดู ตอนแรกน้องก็ติดออกไปทาง show มากกว่า act ด้วยความที่มีจังหวะที่คมของการเป็นนักเต้น การเป็นศิลปิน

ครูเลยปรับด้วย exercise repetition ที่จะช่วยให้น้อง Connect กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า รับส่งจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่ง exercise นี้ กว่าคนจะทำได้จะใช้เวลา แต่น้องทำได้ตั้งแต่ครั้งแรก

สิ่งที่ท้าทายต่อมาคือการทำให้ซุปเปอร์สตาร์เป็นพนักงานธรรมดาที่มีเสน่ห์ ซึ่งพอได้สอนเรื่องการตีความและที่มาที่ไปของตัวละคร พอน้องเข้าใจเท่านั้นแหละ คราวนี้เสน่ห์ในแบบสาวชาวบ้านของมุกก็แพรวพราว ขนาดเราเล่นรับส่งกับน้อง ยังเผลอยิ้มกับลูกตาระยิบระยับของเธอ

ถ้าจะให้สาธยายตรงนี้คงไม่หมดกับสิ่งที่ครูประทับใจในตัวน้อง อยากให้ทุกคนลองไปดูใน White Lotus แล้วคุณจะเห็นเอง 

13 มีนาคม ของทุกปี กำหนดเป็นวันช้างไทย ยกย่องสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทย

อย่างที่ทราบกันดีว่า ช้าง เป็นสัตว์ที่มีความสัมพันธ์และผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยมาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยโบราณ ช้างเป็นพระราชพาหนะเคียงคู่พระบารมีพระมหากษัตริย์ไทยทุกยุคทุกสมัยเลยทีเดียว แต่สมัยปัจจุบัน คนไทยกลับเห็นคุณค่าและความสำคัญของช้างไทยลดลงไปทุกขณะ จนช้างถูกนำไปเร่ร่อนหาผลประโยชน์.โดยควาญช้าง และล้มตายเป็นจำนวนมากขึ้นทุกที 

ดังนั้น เพื่อให้คนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญ และการดำรงอยู่ของช้างไทย รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนทุกคนหันมาช่วยกันอนุรักษ์ช้าง ทางคณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบกำหนดให้ทุก ๆ วันที่ 13 มีนาคมของทุกปีเป็นวันช้างไทย ทั้งนี้ วันช้างไทยริเริ่มขึ้นจากคณะอนุกรรมการประสานงานการอนุรักษ์ช้างไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานงาน องค์การภาครัฐและเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์ช้างไทยคณะกรรมการ เอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเนื่องจากเล็งเห็นว่าหากมีการสถาปนาวันช้างไทยขึ้น จะช่วยให้ประชาชนคนไทยหันมาสนใจช้าง รักช้าง หวงแหนช้าง ตลอดจนให้ความสำคัญต่อการให้ความช่วยเหลืออนุรักษ์ช้างมากขึ้น

คณะอนุกรรมการฯ จึงได้พิจารณาหาวันที่เหมาะสม ซึ่งครั้งแรกได้พิจารณาเอาวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทำยุทธหัตถีมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา แต่วันดังกล่าวถูกใช้เป็นวันกองทัพไทยไปแล้ว จึงได้พิจารณาวันอื่น และเห็นว่าวันที่ 13 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมการคัดเลือกสัตว์ประจำชาติ มีมติให้ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยนั้นมีความเหมาะสม จึงได้นำเสนอมติตามลำดับขั้นเข้าสู่คณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 เห็นชอบให้ วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปี เป็น "วันช้างไทย" และได้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2541

ผลจากการที่ประเทศไทยมีวันช้างไทยเกิดขึ้น นับเป็นการยกย่องให้เกียรติว่าเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญอีกครั้ง นอกเหนือจากเกียรติที่ช้างเคยได้รับในอดีต ไม่ว่าจะเป็นช้างเผือกในธงชาติ หรือช้างเผือกที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ หรือสัตว์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์

ความสำคัญของช้างไทย

- ช้างเป็นสัตว์คู่บารมีของพระมหากษัตริย์ไทย ช้างเป็นสัตว์ที่ดำรงอยู่คู่กับประเทศไทยมาเป็นเวลานานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สยามประเทศเคยใช้ธงชาติเป็น รูปช้างเผือก ชาวไทยเชื่อกันว่าช้างเผือกเป็นสัตว์คู่บารมีของพระมหากษัตริย์ ช้างเผือกจึงได้รับการยกย่องเสมือนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า

- ช้างเป็นผู้ปกป้องเอกราชแห่งชาติไทย ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้ จารึกไว้ว่าช้างได้เข้ามามีส่วนในการปกป้องเอกราชและความเป็นชาติให้แก่ชาวไทยหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทำยุทธหัตถี จึงทรงประกาศเอกราชและความเป็นชาติ ซึ่งช้างทรงในสมเด็จพระนเรศวรนับว่าเป็นช้างไทยที่ได้รับเกียรติอันสูงสุด โดยได้รับพระราชทานยศให้เป็นถึง "เจ้าพระยาปราบหงสาวดี"

- ช้างสร้างความสัมพันธ์ไมตรีระหว่างประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสสิงคโปร์ และเบตาเวีย (จาการ์ตา) ประเทศอินโดนีเซีย ได้พระราชทานช้างสำริดให้แก่ทั้ง 2 ประเทศนี้

- ช้างใช้เป็นพาหนะในการคมนาคม ในยุคสมัยที่การคมนาคมยังไม่เจริญเทียบเท่ากับในปัจจุบัน มนุษย์ยังไม่ได้มีการพัฒนาเครื่องจักรต่างๆ สำหรับนำมาใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงเพื่อการขนส่งของ ช้างคือพาหนะที่ดีและมีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับมนุษย์ เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ใหญ่มีความเฉลียวฉลาดและมีพละกำลังมหาศาล ช้างจึงสามารถขนส่งสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในปริมาณมากได้อย่างอดทน

สวทท. ประกาศ ยกย่องเชิดชู 'องค์กรต้นแบบ-คนวงการสื่อ' เตรียมเข้ารับ 'พระราชทานรางวัลเทพทอง' ครั้งที่ 23

เมื่อวันที่ (11 มี.ค.68) ที่สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.) ซอยอารีย์ พหลโยธิน 7 กรุงเทพมหานคร นางสาวชุติพันธุ์ ลิมปะพันธุ์ นายกสมาคม และ นายสมชาย จรรยา อุปนายกฝ่ายโทรทัศน์และสื่อดิจิทัล พร้อมคณะกรรมการบริหาร ร่วมแถลงข่าวงานพระราชทานรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23

นางสาวชุติพันธุ์ ลิมปะพันธุ์ นายกสมาคมฯ กล่าวว่า สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินการจัดงานพระราชทานรางวัลเทพทองมาแล้วรวม 22 ครั้ง และในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 23 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและสร้างความภาคภูมิใจแก่องค์กรดีเด่น ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่เป็นผู้มีส่วนสนับสนุนให้บุคลากรในวงการวิทยุโทรทัศน์วิทยุกระจายเสียงและสื่อออนไลน์ ผลิตผลงานที่ดีมีคุณภาพ ให้ประโยชน์ทั้งด้านการศึกษา การปกครอง สิ่งแวดล้อม และความบันเทิง ตลอดจนบุคคลดีเด่นด้านวิทยุโทรทัศน์ และวิทยุกระจายเสียง ที่ถือเป็นแบบอย่างที่ดีต่อเยาวชนของชาติ และส่งเสริมการใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องชัดเจน

ปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลทั้งสิ้น 72 รางวัล ประกอบด้วย องค์กรดีเด่น 26 รางวัล บุคคลดีเด่นด้านโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ 16 รางวัล บุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง 11 รางวัล และผู้ให้การสนับสนุนการจัดงานเทพทองครั้งนี้รับโล่เกียรติยศ จำนวน 19 รางวัล

ด้าน นายสมชาย จรรยา กล่าวว่า สำหรับรางวัลองค์กรดีเด่น ได้แก่ สถาบันพระปกเกล้า บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โค้ช เชโรงเรียนสอนเทควันโด้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บริษัท เทรนด์ วีจี 3 จำกัด ผู้ผลิตเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ มูลนิธิธรรมดี องค์การบริหารส่วนตำบลโพนสว่าง จังหวัดหนองคาย หน่วยทหารพรานกองทัพบก องค์การบริหารส่วนตำบลกุดค้า อำเภอทุ่งฝน จังหวัดอุดรธานี สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดศรีสะเกษ บริษัท ฮิลล์คอฟฟ์ จำกัด จังหวัดเชียงใหม่ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดอุบลราชธานี ละครชาตรี คณะเพชรสุมาพร จังหวัดเพชรบุรี มูลนิธิยังมีเรา บริษัท ปิรามิด โซลูชั่น จำกัด จังหวัดภูเก็ต สำนักประชาสัมพันธ์เขต 4 จังหวัดพิษณุโลก วัดต้นพยอม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ผู้ใหญ่บ้าน ชุมชนบ้านปากช่อง หมู่ที่ 3 อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี สมาคมข้าราชการบำเหน็จบำนาญ กระทรวงสาธารณสุข (สาขากรุงเทพมหานคร) สมาคมสโมสรวัฒนธรรมหญิง ในพระบรมราชินูปถัมภ์ สโมสรไลออนส์ พัทยา-บางละมุง จังหวัดชลบุรี บริษัท เอ็ม.เจ.บางกอกวาล์วและฟิตติ้ง จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ สถานีข่าวเอทีวี บริษัท ทีวีนิวส์ จำกัด จังหวัดอยุธยา โรงแรมอาร์อัส โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น บริษัท โมเดิร์นโกลด์เยาวราช จำกัน 

สำหรับบุคคลดีเด่นด้านโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ได้แก่ นายสุวิกรม อัมระนันทน์ กรรมการผู้จัดการและพิธีกรรายการ รายการเปอร์-สเปกทิฟ (PERSPECTIVE)สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี หมายเลข 30 นายอดิศักดิ์ ศรีสม ผู้ผลิตและผู้บรรยายสารคดี รายการประวัติศาสตร์นอกตำรา ทางสื่อออนไลน์ (YouTube) นางสาวอุมาพร ธำรงวงศ์โสภณ บรรณาธิการข่าว และผู้ประกาศข่าว รายการสดข่าวเที่ยง สถานีโทรทัศน์ช่องเวิร์คพอยท์ หมายเลข 23 นางสาวประภาศรี สภานนท์ ผู้ช่วยบรรณาธิการออนไลน์ และผู้ประกาศข่าวรายการตลาดข่าว และรายการตลาดข่าวสุดสัปดาห์ สถานีโทรทัศน์ช่องเวิร์คพอยท์ หมายเลข 23 นายสันติสุข มะโรงศรี ผู้ผลิตรายการและผู้ดำเนินรายการ รายการข่าวเป็นข่าว สถานีโทรทัศน์ ท็อปนิวส์ หมายเลข 18 เจเคเอ็น นางสาวอัจฉรา ชูสว่าง โปรดิวเซอร์และผู้สร้างสรรค์การผลิตรายการ รายการลายกนกยกสยามสถานีโทรทัศน์ ท็อปนิวส์ หมายเลข 18 เจเคเอ็น นายวารินทร์ สัจเดว พิธีกร ผู้ประกาศข่าว และผู้ดำเนินรายการข่าวรายการ TNN World Today สถานีโทรทัศน์ทีเอ็นเอ็น ช่อง 16 นางสาวตะวันรุ่ง ปริสุทธิธรรม ผู้ประกาศข่าว และผู้ดำเนินรายการข่าว รายการ MONO ข่าวเช้า สถานีโทรทัศน์โมโน 29 ว่าที่ร้อยตรีภคพงศ์ อุดมกัลยารักษ์ ผู้ประกาศข่าว และผู้ดำเนินรายการข่าวรายการข่าวพร้อมบวก สถานีโทรทัศน์โมโน 29 นางรัสรินทร์ ปริยไชยพงศ์ ศิลปินนักแสดงอิสระ ฉายานางเอกหนังตลกร้อยล้าน(ชื่อในวงการ ปิยะมาศ โมนยะกุล) เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม นางสาวจิตรฉรีญา บุญธรรม นักร้องแนวลูกทุ่ง นักร้องหมอลำหญิงชาวไทย (ชื่อในวงการ บิว จิตรฉรีญา) เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม นายสุรพล ทองด้วง นักร้องหมอลำ แชมป์หมอลำไอดอลคนแรกจากรายการหมอลำไอดอล(ชื่อในวงการ อ๊อฟ สุรพล) สถานีโทรทัศน์ช่องเวิร์คพอยท์ หมายเลข 23 นายวีระพงษ์ วงศ์ศรี ศิลปิน หมอลำต้นแบบ และนักประพันธ์ (ชื่อในวงการ บิ๊ก ภูมารินทร์) เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม นายภาณุภัทร์ สุกัลยารักษ์ พิธีกร วีเจ ศิลปินนักแสดง นักดนตรี และ เจ้าของเพจท่องเที่ยว Go Went Go นายจิตกร บุษบา ผู้ดำเนินรายการ กู๊ดมอร์นิ่งแนวหน้า ทางแนวหน้าออนไลน์ นางสาวกนกวรรณ ขวัญอ่อน นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการพิเศษและนักจัดรายการสื่อออนไลน์ เพจ 'กลุ่มช่วยด้วยใจ' ผู้ให้การปรึกษาตามแนวพุทธจิตวิทยา 

บุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง ได้แก่ นายวิชัย วรธานีวงศ์ นักจัดรายการวิทยุรายการ ซีอีโอ วิชชั่น พลัส คลื่นความคิด เอฟเอ็ม 96.5 เมกะเฮิรตซ์ นางสาวมลฤดี ลูกอินทร์ นักสื่อสารมวลชนชำนาญการ และนักจัดรายการ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดศรีสะเกษเอฟเอ็ม 100.25 เมกะเฮิรตซ์ นางสาวปิยาภรณ์ กสิกรรมเมธากุล นักสื่อสารมวลชนปฏิบัติการ และนักจัดรายการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดยโสธร เอฟเอ็ม 90.0 เมกะเฮิรตซ์รองศาสตราจารย์พนิดา จงสุขสมสกุล นักจัดรายการวิทยุ สถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยนเรศวร เอฟเอ็ม 107.25 เมกะเฮิรตซ์นางสาวสุพัตรา พรหมศร นักประชาสัมพันธ์เชี่ยวชาญ สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา เอฟเอ็ม 87.5 เมกะเฮิรตซ์ นายอานันท์ จันทร์ศรี นักประชาสัมพันธ์ชำนาญการพิเศษ สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภาเอฟเอ็ม 87.5 เมกะเฮิรตซ์ นางสาวอาทิตยา ปักกะทานัง นักประชาสัมพันธ์ สถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เอฟเอ็ม 89.5 เมกะเฮิรตซ์ นางสาวณัชชา โขมพัฒน์ ศิลปินนักร้องลูกทุ่ง ชื่อในวงการ นุจรี ศรีราชา นางสาวอรอุมา เกษตรพืชผล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเค แมส จำกัด และผู้ดำเนินรายการวิทยุ รายการไอดอล สตอรี่ ทางสถานีวิทยุกองบัญชาการกองทัพไทย เอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิรตซ์ นางสาวสาลี่ อินทร์โพธิ์ ศิลปินนักร้อง ชื่อในวงการ สาลี่ ขนิษฐา นายไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวออนไลน์ The States Times และผู้ดำเนินรายการ NAVY TIME สถานีวิทยุกระจายเสียงจากทหารเรือ(ส.ทร.) วังนันทอุทยาน เอฟเอ็ม 93.0 เมกะเฮิรตซ์

พระราชทานโล่เกียรติยศ อาทิ นางสุกานดา พันธุ์เสือ เจ้าของกิจการ บริษัท กานตนาทัวร์ จำกัด จังหวัดหนองคาย นางอารยา กุลธัญวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ร้านวีที แหนมเนือง จังหวัดหนองคาย นางสาวนฤมล รักษาภักดี กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด นฤมลทัวร์ จังหวัดหนองคาย นายจิรายุ สีกะมุท กำนันตำบลโนนสว่าง จังหวัดหนองคายว่าที่พันตรี รุ่งโรจน์ โพธิ์ทอง ข้าราชการบำนาญ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม นายสุรเดช มณีไพศาลสกุล ที่ปรึกษาตลาดมหาชัยเมืองใหม่ จังหวัดสมุทรสาคร พระครูโสภณสาโรภาส (อภิวัฒน์ บางข่า) เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม นางสาวกนิษฐรินทร์ วามะศิริภัทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกร เดอะ เบสท์ จำกัด นางจริยา รอดเที่ยง ที่ปรึกษาสถานีโทรทัศน์ BMC TV ONLINE และที่ปรึกษาหน่วยเผยแพร่ศีลธรรม กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม นางสาวประภารัตน์ เชื้อเวียง ผู้บริหาร บริษัท ดับเบิ้ลเอ็มอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จังหวัดขอนแก่น แพทย์หญิงณัฐฐาภณิตา รพีพงษ์พัฒนา กรรมการ บริษัทเอเบิ้ล ทูบี จำกัด นายพีรณัฐ นาคสุวรรณ์ ประธานบริษัท แพรวาออยล์ จำกัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายมหพล ฉันทสหวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มณีพาวเวอร์ จำกัด เรืออากาศตรี กวิน สุยะนันทน์ กรรมการบริหาร บริษัท คิวเอ กรุ๊ป จำกัด นายวสันต์ พัดทอง ผู้ดำเนินรายการมิราเคิลพลังมู และผู้บริหารเพจเดี๋ยวรู้เรื่อง

12 มีนาคม พ.ศ. 2553 พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา 'วีรบุรุษแห่งเทือกเขาบูโด' ถูกกลุ่มคนร้ายลอบวางระเบิดเสียชีวิต

ย้อนกลับไปในวันนี้ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว เป็นวันจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ 'จ่าเพียร ขาเหล็ก' พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็น 'วีรบุรษแห่งเทือกเขาบูโด มือปราบแห่งบันนังสตา'

พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เข้ารับราชการครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2513 และเป็น ผบ.หมู่ สภ.บันนังสตา มาตลอด ขณะปฏิบัติราชการนั้น พ.ต.อ.สมเพียร ผ่านสมรภูมิรบ กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนับร้อยครั้ง วิสามัญคนร้ายได้นับร้อยศพ จนเป็นที่กลัวเกรงของกลุ่มคนร้าย และทำให้ พ.ต.อ.สมเพียร มีชื่อเสียงในแวดวงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

ในปี พ.ศ.2519 พ.ต.อ.สมเพียร ซึ่งยศในขณะนั้นคือ จ.ส.ต.สมเพียร ถูกกับระเบิดที่ขาซ้ายจนเกือบขาด ขณะต่อสู้กับกลุ่มโจรก่อการร้าย แต่ก็เอาชีวิตรอดมาได้ นี่จึงเป็นที่มาของฉายา 'จ่าเพียร ขาเหล็ก'

ต่อมาในปี พ.ศ.2526 พ.ต.อ.สมเพียร ถูกคนร้ายยิงในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา จนได้รับบาดเจ็บกระสุนฝังใน ด้วยความฉกาจฉกรรจ์ และจัดเป็นตำรวจชั้นฝีมือเยี่ยม ส่งผลให้ พ.ต.อ.สมเพียร ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รามาธิบดี และเหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมร..

จนกระทั่งกรมตำรวจ (ในสมัยนั้น) อนุมัติให้ พ.ต.อ.สมเพียร เข้าอบรมหลักสูตร นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร โดยไม่ต้องสอบคัดเลือก และได้เลื่อนขั้นเป็น ร.ต.ต. ก่อนจะย้ายให้ไปประจำการอยู่ที่ จ.สงขลา

กระทั่งในปี พ.ศ. 2550 พ.ต.อ.สมเพียร ถูกเรียกตัวกลับมาเป็น ผกก.สภ.บันนังสตา เพื่อปราบปรามกลุ่มโจรใต้ ที่ก่อเหตุรายวัน ซึ่ง พ.ต.อ.สมเพียร ก็ใช้ประสบการณ์ที่มี พร้อมกับพรสวรรค์บวกพรแสวงปราบคนร้าย และวิสามัญได้ถึง 19 ราย และยึดอาวุธสงครามได้อีกเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.สมเพียร ก็ถูกกลุ่มคนร้ายลอบโจมตีมาโดยตลอดเช่นกัน 

กระทั่งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 คนร้ายได้วางแผนลอบวางระเบิดหลายจุด เพื่อล่อให้ พ.ต.อ.สมเพียร นำกำลังเดินทางเข้าไปที่เกิดเหตุ ก่อนที่คนร้ายจะลอบวางระเบิดรถกระบะที่นั่งอยู่ แต่เดชะบุญ ครั้งนั้น พ.ต.อ.สมเพียร ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

จากเหตุการณ์นั้นเอง ทางครอบครัวของ พ.ต.อ.สมเพียร เกิดความหวั่นวิตกกังวล ถึงความปลอดภัยต่อชีวิต จึงได้ถือเคล็ดเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น 'ภูวพงษ์พิทักษ์' เพื่อความแคล้วคลาดจากภัยและอันตราย และเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ พ.ต.อ.สมเพียร ก็ขอกลับมาใช้นามสกุลเดิม

ต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 พ.ต.อ.สมเพียร จึงตัดสินใจเดินทางมา ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนกับ 'นายกรัฐมนตรี' โดยขอความเป็นธรรม จากใบคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง เพื่อขอย้ายเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างอยู่ ในปีสุดท้าย ก่อนจะเกษียณอายุราชการ แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณา....

และในที่สุดวันที่ 12 มีนาคม 2553 ตำนาน 'จ่าเพียร ขาเหล็ก' มือปราบแห่งเทือกเขาบูโด ก็ต้องรูดม่านลงอย่างน่าเศร้า เมื่อถูกคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม จำนวน 5-8 คน ลอบวางระเบิด รถกระบะ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา พร้อมลูกน้อง 3 นาย และ อส.คนสนิท อีก 1 นาย

ส่งผลให้ พ.ต.อ.สมเพียร ขาหักทั้งสองข้าง ได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่ โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ในที่สุด โดยสิริอายุ 59 ปี ท่ามกลางความเสียใจของ ประชาชนชาวบันนังสตา และความเสียใจจากครอบครัว

หลังจาก พล.ต.อ.สมเพียร เสียชีวิต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เลื่อนให้ขั้น 7 ขั้นยศ เป็น พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา และมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พร้อมเงินสวัสดิการตำรวจอีก 3 ล้านบาท

11 มีนาคม พ.ศ. 2484 ‘ไทย-ฝรั่งเศส’ เจรจาลงนามเพื่อสันติภาพ กรณีพิพาทอินโดจีนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

วันนี้ในอดีต 11 มีนาคม 2484 'ประเทศไทย-ฝรั่งเศส' ทำพิธีเจรจาลงนามเพื่อสันติภาพในข้อตกลงกรณีพิพาทอินโดจีน วันที่ชาติไทยได้ดินแดนที่เสียไปในยุคล่าอาณานิคมคืนกลับมา (ชั่วคราว)

11 มีนาคม เป็นอีกวันสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยในอดีต โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2484 ประเทศไทยและฝรั่งเศส ได้มี พิธีเจรจาลงนามเพื่อสันติภาพ ในข้อตกลงกรณีพิพาทอินโดจีน หรือ 'สงครามอินโดจีน' ระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส ณ กรุงโตเกียว 

เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเหตุความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส ที่เกิดขึ้นระหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินการรบติดพันอยู่ในทวีปยุโรป แต่ยังไม่ขยายมาสู่ทวีปเอเชีย และยังมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจาก ประเด็นการอ้างสิทธิ เหนือดินแดนอินโดจีนบางส่วน ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส คือ ดินแดนลาวและกัมพูชา ซึ่งเคยเป็นของไทยมาก่อน ก่อนที่จะสูญเสียให้ฝรั่งเศสไป ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่เป็นยุคล่าอาณานิคม ของมหาอำนาจโลกตะวันตก ช่วงปี พ.ศ. 2410-2449 

ครั้งนั้นประเทศไทย จำต้องยอมทำสัญญา และเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสรวม 5 ครั้ง โดยประเทศไทยได้เสียจำนวนเนื้อที่ที่เสียไปประมาณ 467,000 ตารางกิโลเมตร เกือบเทียบเท่ากับเนื้อที่ของประเทศไทยในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังเสียพี่น้องไทยในแคว้นเขมร 2,900,000 คน ในแคว้นลาว 940,000 คน เพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ไว้ 

ต่อมา ในช่วงระหว่างเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสเกิดความห่วงใย ต่ออาณานิคมของตนเอง ในภูมิภาคอินโดจีน เพราะเกรงว่าประเทศไทย จะส่งกำลังเข้ายึดครองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ที่ถูกฝรั่งเศสยึดครองไป เนื่องจากท่าทีของญี่ปุ่น ที่มีท่าทียอมรับไทยเป็นพันธมิตร ในฐานะกลุ่มเอเชีย ที่ยังไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติใดมาก่อน

เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสได้มาทาบทามกับไทย เพื่อเจรจาทำสัญญาไม่รุกรานกัน รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ 'พล.ต.หลวง พิบูลสงคราม' หรือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ตอบไปในวันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2483 ว่า

"ยินดีจะรับข้อเสนอของฝรั่งเศส แต่ใคร่ขอให้ฝ่ายฝรั่งเศสตกลงดังนี้คือ"
1. วางแนวเส้นเขตแดนลำแม่น้ำโขง ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือถือหลักร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์
2. ให้ปรับปรุงเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือ ให้ถือว่าแม่น้ำโขง เป็นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีน ตั้งแต่ทิศเหนือมาจดทิศใต้ จนถึงเขตแดนกัมพูชา โดยให้ฝ่ายไทยได้รับดินแดนทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับหลวงพระบาง และตรงข้ามกับปากเซ (ซึ่งเป็นจุดที่มีปัญหาเขตแดนบ่อย ๆ) คืนมา
3. ให้ฝรั่งเศสรับรองว่า ถ้าอินโดจีนของฝรั่งเศส เปลี่ยนจากอธิปไตยฝรั่งเศสไป ฝรั่งเศสจะคืนอาณาจักรลาวและกัมพูชาให้ไทยตามเดิม

ซึ่งต่อมาในวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสได้ตอบบันทึกของไทย เรื่องการปรับปรุงเส้นเขตแดนดังนี้

1. รัฐบาลฝรั่งเศสจะจัดผู้แทนอินโดจีนมาประชุม (ซึ่งเดิมตกลงไว้ว่าจะส่งเจ้าหน้าที่ชั้นระดับเอกอัครราชทูตมาประชุม)

2. ฝรั่งเศสไม่ยอมเจรจาปัญหาดินแดนอื่น ๆ นอกจากปัญหาเรื่องเกาะในลำน้ำโขง

3. ฝรั่งเศสยืนยันการรักษาสถานภาพทางการเมือง และบูรณภาพแห่งดินแดนอินโดจีนไว้ ต่อการอ้างสิทธิทั้งปวง และการรุกรานไม่ว่าจะมีกำเนิดมาจากทางใด

หลังได้รับคำตอบดังกล่าว วันที่ 8 ตุลาคม 2483 พล.ต.หลวง พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ได้ขอ มติสนับสนุนการเรียกร้องดินแดนไทยคราวที่เสียให้แก่ฝรั่งเศสไปเมื่อ ร.ศ. 112 คืน ประชาชนชาวไทยเกือบทั้งประเทศ พร้อมใจกันเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส นับเป็นการเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สุด หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

จากนั้นสถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างจัดหน่วยกำลังทหาร เผชิญหน้ากันตามชายแดน จนเกิดการปะทะกันในที่สุด เมื่อฝรั่งเศสได้ส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ก่อนที่เหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้ จะกลายเป็นสงครามที่รุนแรง โดยหนึ่งในการรบที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักคือ การรบที่เกาะช้างวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามอินโดจีนฝรั่งเศส ได้สงบลงด้วยข้อตกลงพักรบ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2484 ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชียขณะนั้น เข้ามาเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ย กรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่ไซ่ง่อน บนเรือรบญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2484 

มีการตกลงทำสัญญาเลิกรบกันที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2484 มีนายโซสุเกะ มัดซูโอกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายไทยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศไทยเป็นหัวหน้าคณะ และฝ่ายฝรั่งเศสมี อาร์เซน อังรี เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงโตเกียวเป็นหัวหน้า

"ข้อความในสนธิสัญญา ระบุว่า ฝรั่งเศสจะยอมเสียดินแดนแขวงหลวงพระบางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แคว้นจำปาศักดิ์ และแคว้นเขมร ให้แก่ไทย ข้อตกลงดังกล่าว จึงทำให้กรณีพิพาทจบลงด้วยดี" 

และในวันถัดมา 12 มีนาคม พ.ศ.2484 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ และประดับธงชาติญี่ปุ่นคู่กับธงชาติไทยเป็นเวลา 3 วัน พร้อมกับให้มีการสวนสนามฉลองชัยที่พระนคร ในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2484 ก่อนจะมีการลงนามในอนุสัญญาโตเกียว ซึ่งเป็นอนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 โดยมีกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นหัวหน้าคณะลงนาม

นอกจากนี้ รัฐบาลได้แต่งตั้งนายควง อภัยวงศ์เป็นประธานกรรมการรับมอบดินแดนคืนจากรัฐบาลฝรั่งเศส ดินแดนที่ได้กลับคืนมาครั้งนี้ รัฐบาลไทยได้แบ่งออกเป็น 4 จังหวัด คือ พระตะบอง พิบูลสงคราม จำปาศักดิ์ และลานช้าง 

และภายหลังจากที่กองทัพไทย มีชัยชนะต่ออินโดจีนฝรั่งเศส พล.ต.หลวงพิบูลสงคราม ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศจอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 โดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม หรืออดีตพล.ต.หลวงพิบูลสงคราม ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่เสียชีวิตไปในการรบจากสงครามครั้งนี้

เหตุการณ์ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทย สามารถได้สิทธิประโยชน์จากมหาอำนาจยุโรปได้ แต่อย่างไรก็ตาม หลังการทำพิธีลงนามเพื่อสันติภาพ ในข้อตกลงกรณีพิพาทอินโดจีน ชาวไทยได้ชื่นชมยินดีกับดินแดนที่ได้กลับคืนมาไม่นานนัก เมื่อฝรั่งเศสพลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีเสียงทางการเมืองระหว่างประเทศมากขึ้น ในที่สุดฝรั่งเศสจึงบีบบังคับให้ไทย ต้องคืนดินแดนดังกล่าวกลับไปให้ฝรั่งเศสอีก

10 มีนาคม พ.ศ. 2539 พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

วันนี้เมื่อ 29 ปีก่อน วันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ ของปวงชนชาวไทย ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 มีพระนามเดิมว่า สังวาล ตะละภัฏ ทรงเป็นพระชายาในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเป็นพระอัยยิกาในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

ตลอดพระชนม์ชีพ สมเด็จย่า ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างมากมาย อาทิ ทรงให้การอุปถัมภ์ราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มีอาชีพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเป็นที่มาของ ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ นอกจากนี้ยังทรงเป็นแบบอย่างของความพอเพียง ทรงสอนพระโอรสและพระธิดา ให้รู้จัก ‘การให้’ มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์

โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน’ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี’ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือน สมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อตรัสว่า จะนำเงินในกระป๋องไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระประชวร โดยมีพระอาการทางพระหทัยกำเริบและทรงเหนื่อยอ่อน โดยเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2538 จนกระทั่งในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ทรงมีพระอาการทรุดลง เนื่องด้วยมีพระอาการแทรกซ้อนทางพระยกนะ (ตับ) และพระวักกะ (ไต) ไม่ทำงาน พระหทัย (หัวใจ) ทำงานไม่ปกติ ความดันพระโลหิตต่ำทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในพระโลหิต

คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาความผิดปกติของระบบต่าง ๆ แต่พระอาการคงอยู่ในภาวะวิกฤต จนเมื่อเวลา 21.17 น. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต สิริพระชนมายุ 94 พรรษา ต่อมาจึงมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2539 ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง

ลือสะพัด!! ‘ลิซ่า’ อาจได้รับบทนำ ในภาพยนตร์ ‘James Bond’ ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า 2026 กํากับโดย Christopher Nolan

(9 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก

‘Lali Lloud’
ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

มีข่าวลือว่า ‘LISA’ จะเข้าแสดงใน Bond 26 ภาพยนตร์ James Bond ที่กําลังจะมาถึง ในปีหน้า 2026

จากการกล่าวอ้างบางอย่าง ‘ลิซ่า’ จะเล่นบทนําในภาพยนตร์ James bond เรื่องใหม่ของ amazon ว่ากันว่าหนังจะกํากับโดย Christopher Nolan 

ที่จริงแล้ว ลิซ่าเคยกล่าวไว้ว่า ‘เธอจะดําเนินอาชีพการแสดงต่อไป’ และ บัญชีทางการ @007 แชร์เกี่ยวกับ LISA ทำให้ข่าวลือนี้ น่าจะเป็นความจริง!! 

9 มีนาคม พ.ศ. 2459 วันเกิด ‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ ผู้ที่ยูเนสโกยกเป็นบุคคลสำคัญของโลก

9 มีนาคม 2459 วันเกิด 'ป๋วย อึ๊งภากรณ์' นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญ อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ผู้ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็น บุคคลสำคัญของโลก เมื่อปี 2558

ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดีใน ฐานะนักเศรษฐศาสตร์สำคัญของประเทศไทย อดีตเคยเป็นทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเคยเป็นสมาชิกของขบวนการเสรีไทย

ขณะที่บทบาททางการเมืองนั้น มีส่วนสำคัญในเหตุการณ์ทางการเมือง 'ตุลาคม' ทั้งปี 2516 และ 2519 โดยแสดงความกล้าหาญ ในการส่งจดหมายในนาม 'นายเข้ม เย็นยิ่ง' ถึงจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับสังคม จุดประกายสำคัญๆให้กับขบวนการ 14 ตุลาคม 2516 

ทั้งนี้ สเตฟาน คอลินยองส์ (Stefan Collingnon) นักวิชาการร่วมสมัยชาวเยอรมัน ได้กล่าวยกย่อง ดร.ป๋วยว่าเป็น 'บิดาของเมืองไทยสมัยใหม่' (Founding Father of Modern Thailand) ในฐานะผู้วางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย

นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2508 ดร.ป๋วย ได้รับ รางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ และได้รับการยกย่องจาก องค์กรยูเนสโกให้เป็น บุคคลสำคัญของโลก ในปี พ.ศ. 2558

เปิดประวัติ 'ป๋วย  อึ๊งภากรณ์' 

ดร.ป๋วย เกิดวันที่ 9 มีนาคม 2459 ที่ตลาดน้อย เขตสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพฯ บิดาชื่อ นายซา เป็นชาวจีนอพยพ มารดาชื่อ นางเซาะเซ้ง สำเร็จการศึกษาแผนกภาษาฝรั่งเศส จากโรงเรียนอัสสัมชัญ พระนคร ในปี พ.ศ. 2476 และได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูสอนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ระหว่างนั้นก็ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และในปี 2480 ได้ปริญญา ธรรมศาสตรบัณฑิต 

ดร.ป๋วย เริ่มเป็นล่ามให้แก่อาจารย์ฝรั่งเศส ในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จนได้สอบแข่งขันจนได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อทางเศรษฐศาสตร์และการคลังที่ ลอนดอน สคูล ออฟ อีโคโนมิกส์ ของมหาวิทยาลัยลอนดอนประเทศอังกฤษจนจบปริญญาเอก

ในช่วงที่ศึกษาที่อังกฤษนี้เอง ที่ ดร.ป๋วย ได้เข้าร่วมขบวนการเสรีไทยกับคนไทยในอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (ขบวนการเสรีไทยจัดตั้งขึ้นใน 3 ประเทศ คือ ประเทศไทย ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษ) โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในประเทศไทย และดร.ป๋วย เคยเข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทยหลายครั้งแบบเป็นความลับ 

เส้นทางงานด้านเศรษฐกิจ  

ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ เข้ารับราชการในกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เมื่อปีพ.ศ. 2492  และอีก 4 ปีต่อมาได้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของสภาพเศรษฐกิจแห่งชาติ  และได้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ 7 เดือน ก่อนถูกปลดจากเพราะเหตุการณ์ทางการเมือง 

กระทั่งปีพ.ศ. 2499 ดร.ป๋วย ได้เข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการคลัง ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในอังกฤษระหว่างนี้ได้มีส่วนช่วยให้ไทยขายดีบุกและยางพาราแก่อังกฤษและประเทศในยุโรปได้มากขึ้น เมื่อไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสภาดีบุกระหว่างประเทศ ดร.ป๋วย ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนไทย ได้รับเลือกเป็นประธานสภาดีบุกระหว่างประเทศ

กระในเวลาต่อมา ดร.ป๋วย ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง ในปลายปี 2502 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งยาวนาน ถึง 12 ปี 

ผลงานของ ดร.ป๋วย ในขณะเป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ ถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงแก่ระบบธนาคารพาณิชย์ โดยสามารถรักษาเสถียรภาพเงินตราทำให้เงินบาทได้รับความเชื่อถือทั้งในและนอกประเทศอย่างมาก

'ป๋วย อึ้งภากรณ์' วางรากฐานการศึกษา

ดร. ป๋วย เข้ารับตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปีพ.ศ. 2507 โดยจะลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ถูกนายกรัฐมนตรียับยั้งไว้ ซึ่งขณะนั้นคณะเศรษฐศาสตร์ มีอาจารย์ประจำเพียง 4 คนเท่านั้น ทำให้ดร.ป๋วย ได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการศึกษา โดยได้ปฏิรูปงานสำคัญ 4 ด้าน 
1. การปรับปรุงหลักสูตรปริญญาตรี 
2. การผลิตอาจารย์ 
3. เริ่มหลักสูตรปริญญาโท สอนเป็นภาษาอังกฤษ 
4. ริเริ่มโครงการบัณฑิตอาสาสมัคร

ดร.ป๋วย เร่งผลิตอาจารย์ โดยประกาศรับสมัครคนรุ่นใหม่ แล้วหาทุนส่งไปเรียนต่างประเทศ ทำให้คณะเศรษฐศาสตร์เติบโตขึ้น ภายในเวลาไม่นาน ผลงานที่เป็นรูปธรรมก็ปรากฎ จำนวนอาจารย์ประจำคณะที่มีเพียงไม่กี่คน เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีอาจารย์เพิ่มขึ้นนับร้อยในปี 2518 โดยส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาโทและเอก

จุดพลิกผันของชีวิต 

วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ดร.ป๋วย เผชิญกับเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญ เมื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกบุก นักศึกษาถูกสังหาร ดร.ป๋วยถูกกล่าวหาว่าเป็น 'คอมมิวนิสต์' จนต้องเดินทางออกจากประเทศไปอยู่ประเทศอังกฤษ 

ในช่วง ดร.ป๋วย อยู่นอกประเทศ ได้เดินทางไปพบคนไทยในต่างประเทศ และบุคคลสำคัญในประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน เดนมาร์ก ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพื่อให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เหตุการณ์บ้านเมืองในประเทศไทยเวลานั้น เพื่อเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยในไทยอย่างสันติวิธี

กระทั่งปีพ.ศ. 2520 ได้เดินทางไปให้การต่อ คณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสืบพยาน เรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ 6 ตุลา

กระทั่งวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ถึงแก่อนิจกรรมที่บ้าน ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เนื่องจากเส้นโลหิตใหญ่ในช่องท้องโป่งแตก (aortic aneurysm) สิริอายุได้ 83 ปี ทางครอบครัวได้ทำการเผาศพและบรรจุอัฐินำกลับมาเมืองไทย วันที่ 16 สิงหาคม ก่อนที่ครอบครัวอึ้งภากรณ์ นำอังคารของ ดร.ป๋วยไปลอยทะเล ส่วนอัฐิบางส่วนนำไปบรรจุที่วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร

‘แบงค์ ศรราม น้ำเพชร’ นำทัพลิเก!! ร่วมแถลงข่าว ‘LONG LIKE LIKAY : ลอง รัก ลิเก’ เตรียมโชว์พิเศษ เน้น!! เสน่ห์ลิเกร่วมสมัย ผสมความเป็นไทย กับศิลปะสมัยใหม่ให้ลงตัว

(8 มี.ค. 68) มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ผนึกกำลัง ล้อมวงมันส์ Fun Network และ ศูนย์การค้ายูเนี่ยนมอลล์ สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้ลิเกไทยกับงาน ‘LONG LIKE LIKAY : ลอง รัก ลิเก’ จะพาผู้ชมสัมผัสเสน่ห์ลิเกร่วมสมัยที่ผสมผสานความเป็นไทยเข้ากับศิลปะสมัยใหม่อย่างลงตัว พร้อมเปิดพื้นที่ให้ลิเกไทยก้าวสู่สากล รายได้สมทบทุนโครงการ ‘หนึ่งใจ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย’ ของมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ โดยจะจัดแสดงที่ศูนย์การค้า ยูเนี่ยน มอลล์ ชั้นจี ยูเนี่ยน โคอีเวนท์สเปซ โซนเอ (UNION MALL G FL., UNION CO-EVENT SPACE ZONE A) ระหว่างวันที่ 26 – 27 เมษายน 2568 เท่านั้น

โดยคณะลิเกเงินล้าน ศรรามน้ำเพชร  นำโดย แบงค์ - ศรราม เอนกลาภ พร้อมทีมนักแสดงชั้นนำของคณะ และนักแสดงรับเชิญ ก้าวหน้า - กิตติภัทร แก้วเจริญ มาร่วมถ่ายทอดความงดงามของศิลปะการแสดงไทยให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง พร้อมสัมผัสบรรยากาศโรงลิเกร่วมสมัยสุดอลังการ งานนี้จะเนรมิตรห้างใจกลางเมือง ยูเนี่ยนมอลล์ ยูเนี่ยน โคอีเวนท์ สเปซ ให้กลายเป็น เวทีลิเกแห่งอนาคต!! ผสมผสานแสง สี เสียงสุดตระการตา ให้แฟน ๆ ได้สัมผัสเสน่ห์ลิเกแบบใกล้ชิด

อย่าพลาด!! มาร่วมอิ่มสุข อิ่มบุญ ในงานที่ทุกคนรอคอย ‘LONG LIKE LIKAY : ลอง รัก ลิเก’ ในวันเสาร์ที่ 26 – อาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568 ที่ศูนย์การค้า ยูเนี่ยน มอลล์ ชั้นจี ยูเนี่ยน โคอีเวนท์สเปซ โซนเอ ตั้งแต่เวลา 13.00-18.00 น. พบกับกิจกรรมบนเวที 2 วัน 2 สไตล์ 

โดยวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 พบกับ การแสดงจากคณะลิเก ศรรามน้ำเพชร, การแสดงโขนจากทีม MeRich กล้าโขน, และโชว์แดร็กควีน (Drag Queen) บัตรที่นั่งโซน VIP ใกล้ชิดติดเวที ราคา 1,500 บาท, บัตรปกติราคา 700 บาท, และรับชมทางไลฟ์(กลุ่มปิด)ราคา 199 บาท 

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568 ฟรีตลอดวันกับโชว์แดร็กควีน (Drag Queen) และไฮไลท์มินิคอนเสิร์ตนำทีมโดย แบงค์ ศรราม พร้อมศิลปินจิตอาสา ปอย ธนัชชา, เฮ็น น้ำเพชร, เจน เจนจิรา, เบล พิสิษฐ์, เอส ปราชญา, และ เต๋า อโนทัย พร้อมศิลปินรับเชิญพิเศษ ก้าวหน้า-กิตติภัทร แก้วเจริญ สนใจติดตามและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ Facebook : Long Like Likay ลอง รัก ลิเก มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสุข และสร้างกุศลร่วมกัน!!

สถานที่: ศูนย์การค้า ยูเนี่ยนมอลล์ ชั้น G ยูเนี่ยน โคอีเวนท์ สเปซ โซน A

จองบัตรและติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

Facebook: Long Like Likay ลอง รัก ลิเก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top