Tuesday, 17 September 2024
POLITICS

‘รวมไทยสร้างชาติ’ เตรียมชง ‘กม.สุรารวมไทย’ เข้าสภาฯ ปลดล็อก ‘การผลิตสุราสี’ เพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตร

(17 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า

จากการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งนำโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ  

การประชุมในครั้งนี้พรรครวมไทยสร้างชาติได้มีการหารือเพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณากฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์นี้ 

โดยเฉพาะกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 

กฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายมีสาระสำคัญคือการอนุญาตให้วิสาหกิจชุมชนสามารถผลิตสุราสีได้ จากเดิมที่สามารถผลิตได้เพียงสุราขาวเท่านั้น 

การเพิ่มส่วนของการผลิตสุราสีเช่นนี้ จะทำให้สินค้าทางการเกษตรมีมูลค่าที่สูงยิ่งขึ้น และเชื่อได้ว่าในแต่ละพื้นที่แต่ละชุมชนจะมีการนำผลผลิตในชุมชนมาผลิตเป็นสุราสีประเภทนี้ อาทิ สุราลำไย จาก จ.ลำพูน / สุราสับปะรด จาก จ.ราชบุรี และสุรามะยงชิด จาก จ.นครนายก 

นอกจากนี้การเสนอกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการเพิ่มอุปทานในอุตสาหกรรมปลายน้ำให้แก่สินค้าทางการเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าทางการเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย 

ท้ายที่สุดกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการเพิ่มผู้ผลิตสุราสีในประเทศ เป็นการทำลายทุนผูกขาดในกลุ่มสุรา และพรรครวมไทยสร้างชาติหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการสนับสนุนหลังจากการเสนอร่างกฎหมาย

'ปิยบุตร' ลั่น!! ใครยกเราเป็น 'นักปฏิวัติ' ให้ถือเป็น 'คำชม-เป็นเกียรติ' แต่มอง 'อนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน' ยังไม่ใช่พรรคปฏิวัติ

(17 ก.ย. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการคณะก้าวหน้า มีข้อเขียนทางเฟซบุ๊กและ X กรณี นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พาดพิงพรรคประชาชนเป็นพรรคที่มีแนวความคิดปฏิวัติ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันเป็นพรรคที่มีแนวความคิดปฏิรูปว่า… 

[กรณีความเห็นของ จักรภพ เพ็ญแข (1)]

ผมชอบ ศึกษา สนใจ เรื่องการปฏิวัติในที่ต่าง ๆ ทั้งในแง่ทฤษฎี และประวัติศาสตร์

จนวันนี้ ก็ยังคงอ่าน ค้น เขียน อยู่ตลอด

ใครกล่าวหาว่า เราเป็น ‘นักปฏิวัติ’ ก็คือ คำชม เป็นเกียรติ แต่จะรู้สึกว่าชมกันเกินจริง เพราะ นักปฏิวัติ การปฏิวัติ ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ไม่ใช่นึกอยากอุปโลกน์เป็นก็เป็น ไม่ใช่ใส่หมวก ใส่ชุด ใส่พร็อพ ก็เป็นกันง่าย ๆ และด้วยภาววิสัย/อัตวิสัย เราอาจไปไม่ถึงเช่นนั้น

แต่ถ้าคนที่ช่วงเวลาหนึ่ง คิดเรื่อง ‘ถอนรากถอนโคน’ จนลี้ภัยไป และได้กลับมา ใช้ชีวิตปกติ มีโอกาสกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นนี้ แต่กลับมาจัดประเภทคนอื่น ๆ ว่าคนนี้ ‘ปฏิวัติ’ คนนี้ ‘ปฏิรูป’ อันนี้น่าสนใจ พิจารณา

พี่เอก จักรภพ ใช้ความคิดวิชาการ นิยามคนนั้นคนนี้ว่าเป็น ปฏิรูป เป็นปฏิวัติ

เรื่องนั้น เรื่องเล็ก ดีเบตกันได้

แต่ที่ผมติดใจมากกว่านั้นคือ พี่เอก จักรภพ เคยนิยามตัวเองและขบวน ช่วงที่ลี้ภัยตอนปี 52 จนกลับมาประเทศไทย หรือไม่ว่า ช่วงนั้นตนเองเป็นอะไร คิดอ่านอะไร วันนี้ คิดอ่านอะไร เปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะอะไร

ผมไม่คิดว่าการมาฟื้นฝอยหาตะเข็บ 20 ปี ไล่เรียงมาจนถึงปัจจุบัน จะเป็นประโยชน์อะไร แต่อยากให้พี่เอก จักรภพ คิดดูเสียบ้างว่า สมัยหนึ่งพี่เอกแค่พูดภาษาอังกฤษ คำว่า ระบบอุปถัมภ์ จนโดนฝ่ายตรงข้ามในเวลานั้นไล่ล่าว่าเป็นพวกล้มเจ้า หัวรุนแรง จนต้องลาออกจาก รมต. จนไปเป็นแกนนำ ปราศรัย เขียนบทความในนิตยสาร จำนวนมาก จนต้องลี้ภัย จนพี่สมยศในฐานะบรรณาธิการ ต้องติดคุก 112 แบบนี้ พี่เอกจะมาเที่ยวนิยาม แปะป้าย คนอื่น ๆ ในบริบท สถานการณ์แบบนี้เพื่ออะไร

ผมเข้าใจเรื่องข้อจำกัดแต่ละบุคคล เรื่องการตัดสินใจในชีวิต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่วันนี้ รอดแล้ว จะมาแปะป้ายคนอื่น เพื่อให้ตนเองและพวกรอดจากคมหอกคมดาบของระบบ

ถ้าวันนี้ ไม่คิดถึงสิ่งที่ตนเองแสดงออกมาในอดีต ก็คิดถึงวีรชน บูรพาจารย์ที่เราเคารพนับถือและฝากความหวังไว้กับพี่เอกในอดีตบ้าง

ถ้าพี่จะเป็นแบบนี้ในวันนี้ พี่ไม่ต้องลี้ภัย ไม่ต้องแสดงออกเป็นตัวแทนความก้าวหน้าก็ได้ สยบยอมตั้งแต่วันนั้น ดีกว่าครับ

[กรณีความเห็นของจักรภพ เพ็ญแข (2)]

ผมศึกษาเรื่องการปฏิวัติมาเกือบครึ่งชีวิต

การบอกว่า พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน เป็น ‘พรรคปฏิวัติ’ น่าจะให้ราคาพวกเขามากเกินความเป็นจริงไปเสียหน่อย

พวกเขาไปได้ไกลที่สุด ก็คือ พรรคที่ต้องการปฏิรูป รักษาสิ่งที่มีอยู่ พัฒนา ปรับปรุงให้เท่าทันยุคสมัย พร้อมเผชิญหน้าความท้าทายใหม่ ๆ

เช่นกัน การบอกว่าพรรคเพื่อไทย คือ พรรคปฏิรูป ก็เป็นการโฆษณาเกินจริง เพราะจนถึงวันนี้ สิ่งที่คนจำนวนมากเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยกล้าหาญปฏิรูป ตั้งแต่ 2554 ตั้งแต่ปฏิรูปกองทัพ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร การกระจายอำนาจ ทลายทุนผูกขาด ปฏิรูปที่ดินทำกิน หรือ การเอาคนฆ่าประชาชนมารับผิด ก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย เพราะ พรรคเพื่อไทยมีข้ออ้างที่ทำให้พวกเราหลงเชื่อ ตั้งแต่ปี 2554 ว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังทำไม่ได้ กินข้าวทีละคำ ต้องค่อยเป็นค่อยไป ฯลฯ

การแปะป้ายว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคปฏิรูป เพื่อจะอ้างว่า วันนี้ กูไม่ทำ เพราะ กูต้องเคลียร์เรื่องอื่นก่อน จึงเป็นการโฆษณาเกินจริง

การบอกว่า พรรคประชาชน เป็นพวกปฏิวัติ คือ การโฆษณาให้เครดิตเกินจริง พอ ๆ กับบอกว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคปฏิรูป

ถ้าหากบอกว่า ข้อเสนอที่กดดันไปที่พรรคเพื่อไทย คือ ปฏิวัติ นั่นก็หมายความว่า พรรคเพื่อไทยทำอะไรไม่ได้นอกจากรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มก้อนชนชั้นนำทั้งระบบ

ถ้าเป็นเช่นนี้ อย่าใช้คำว่า ‘ปฏิรูป’ มาทำให้คำว่า ‘ปฏิรูป’ เสียหาย สู้ยอมรับไปเลย โดยไม่ต้อง ‘ประดิษฐ์วาทกรรม’ (คำของ พี่อ้วน ภูมิธรรม) ว่า พรรคเพื่อไทยจะทำเท่านี้โว้ยยยย จบ

อาชีพ ‘นักการเมืองไทย’ มีไว้เพื่อช่วยพัฒนาชาติ มิใช่เพื่อ ‘รวมหัวซุกหาง’ มุ่งแต่ ‘ล้มล้างสถาบัน’

(17 ก.ย. 67) น้ำป่าไหลทะลักมาครั้งนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยในหลายจังหวัดก็เปียกโชกไปด้วยความใจร้ายของธรรมชาติ เมื่อภูเขาร้างต้นไม้ หน้าดินไร้ความเขียวของหญ้าปกคลุม ป่าทั้งป่าถูกข้าราชการ นักการเมือง และคนใจร้ายตัดจนเหลือแต่ตอเพียงเพื่อ ‘ความเห็นแก่ตัว’ และ ‘บ้องตื้น’ ก็ถึงเวลาที่ ‘อุทกภัยใจเหี้ยม’ โกรธจัด จึงซัดเอาผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องหนีตายกันแทบไม่ทัน 

ลำบากไปถึงคนทั้งชาติ ที่ต้องลงแรงลงใจเข้าช่วยเหลือ ยามนี้จึงเห็น ‘น้ำใจคนไทย’ ที่ไหลเย็น และแรงยิ่งกว่าสายน้ำป่า แม้เป็นภาพที่น่าข่มขืน แต่ก็พอยิ้มได้เต็มหน้าที่เห็นแสงสว่างส่องรอดมาจากหัวใจของคนไทยเรา

แต่กระนั้นก็ตาม ขณะที่ทุกแรงบนผืนแผ่นดินไทย มุ่งตรงไปสู่การช่วยเหลือ ‘ผู้ประสบอุทกภัย’ อย่างจริงจัง แข็งขัน และเร่งด่วน ใครมีเงินช่วยเงิน ใครมีเสบียงก็ช่วยจัดส่งไปให้ ด้วยยังขาดแคลนจำนวนมาก ก็ยังมี ‘คนใจมาร’ จำนวนหนึ่ง ห่อหุ้มด้วย ‘เปลือกส้มชั่ว’ แสดงความคิดที่เป็นพิษ หยาบหนา และน่าอดสูยิ่ง นอกจากมือพายไม่เป็น ยังยึดโยงความคิดเข้าเหน็บกัดทหารอาสา ที่มาช่วยชีวิตประชาชนที่โดนสายน้ำล้อมบ้านจนหนีออกมาไม่ได้

ทหารกล้าชั้นผู้น้อย ไปจนถึงชั้นสูงระดับบัญชาการรบทุกนาย ทุกเหล่า สมัครใจมาทำหน้าที่แทนพี่น้องคนไทย ยอมเสี่ยง ยอมสละเวลาแห่งความสุขสบายส่วนตัว ขนเอายุทโธปกรณ์ที่มีพร้อมกว่าองค์กรใด ๆ เพื่อมาช่วยให้อีกหลายชีวิตรอดปลอดภัย ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมี ‘นักการเมืองชั่ว’ ฉวยใช้เวลาแห่ง ‘ความเป็นความตาย’ เช่นนี้ กระทบชิ่ง หวังสะกิดให้ ‘สถาบันเบื้องสูง’ ต้องมีตำหนิ จึงไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาเปรียบกับพฤติกรรมเลว ๆ ที่นับวันก็ยิ่ง ‘เผยอความกักขระ’ ที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจออกมาให้สังคมเห็น 

คนอาชีพ ‘นักการเมือง’ ที่ดีงามจริง เมื่อประชาชนเลือกเข้ามาให้กินเงินภาษีจากความเหนื่อยยาก ก็ควรต้องช่วยชาติบ้านเมือง เสียสละแรงกายใจ ทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศ ไม่ต่างจากสุนัขที่เลี้ยงไว้ที่บ้านยังรู้ว่าก็ต้องซื่อสัตย์กับเจ้าของ มิใช่ไปไล่กัดคนที่คอยให้ข้าวให้น้ำเรากิน

คงมีแต่ ‘เดรัจฉาน’ เท่านั้น ที่มีจิตใจต่ำกว่าสัตว์ จึงพูดไม่รู้ฟัง เตือนกี่ครั้งก็ไม่สำนึก ท่องอยู่ไม่กี่คำในกะโหลกหนา ๆ คือ ‘ล้มเจ้า’, ‘ล้มสถาบัน’, ‘แก้ 112’ , ‘ล้มล้างการปกครอง’

มีนักการเมืองเลว ๆ แบบนี้ในประเทศไทย เสียดายเงินภาษีของเราจริง ๆ 

'ลิซ่า' อัด 'ประชาธิปัตย์' กระอักเลือดกลางสภา ไร้เงา สส.ปชป.ใช้สิทธิ์พาดพิง ชี้แจงข้อเท็จจริง

ผมไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ในประชาธิปัตย์จำนวนมาก ทั้งนิพนธ์ บุญญามณี, สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล, สมชาย โล่สถาพรพิพิธ เหล่านี้เป็นต้น ไม่อยากนับ เทพไท เสนพงศ์ ที่ทุกวันนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ก็ยังไม่ชัดว่า อนาคตจะเดินไปทางไหน 'ส้ม' หรือ 'ฟ้า' หรือ 'น้ำเงิน'

แต่บอกตามตรงว่า 'เจ็บลึก' หรือเจ็บแสบเข้าไปในทรวง แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กับคำอภิปรายของ 'ลิซ่า' นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งเป็นคนถิ่นฐานบ้านเดิมอยู่พัทลุง ลุกขึ้นอภิปรายในฐานะที่เป็นคนใต้คนหนึ่ง เมื่อวันที่13 กันยายน ที่ผ่านมา

เนื้อหาการอภิปรายตอนหนึ่ง ลิซ่าได้กล่าวพาดพิงถึงพรรคการเมืองหนึ่ง โดยไม่ระบุชื่อว่าเป็นพรรคการเมืองใด แต่คนที่ฟังการอภิปรายก็สามารถรับรู้ได้ว่า หมายถึงพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ เพราะลิซ่าได้กล่าวถึงพรรคการเมืองน้องใหม่ล่าสุดเข้าร่วมรัฐบาลและเป็นพรรคการเมืองที่เคยเป็นคู่ต่อสู้กับระบอบทักษิณ และพรรคเพื่อไทยมาเป็นเวลาร่วม 20 ปี ได้ชวนคนภาคใต้ร่วมการต่อสู้กับระบอบทักษิณ แต่มาวันนี้ได้ละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยมี ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่ได้อยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นเพียงพรรคพลอยรัฐบาล ความหมายก็คือ ขออาศัยชายคาของพรรคเพื่อไทย เพื่อขอเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย

แหม…มันเจ็บในทรวง เจ็บเข้ากระดองใจกับคำว่า 'พลอยร่วม' ไม่รู้ว่าคนพรรคประชาธิปัตย์คิดอย่างไร แต่บางคนอาจจะกระอักเลือด เช่น ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน และแฟนคลับสายผู้อาวุโส

ตอนท้าย ลิซ่า ได้ขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ทำให้คนภาคใต้หูตาสว่างขึ้น และการเลือกตั้งในครั้งหน้า คนไทยทั้งประเทศและคนภาคใต้จะเลือกพรรคการเมืองที่มีสัจจะวาจา ตรงไปตรงมา หรือเลือกพรรคที่เอาประชาชนมาบังหน้า หรือพรรคสับปลับกลับไปกลับมา ก็ไม่รู้หมายถึงพรรคการเมืองไทย แต่น่าจะไม่ใช่ประชาธิปัตย์

ผมไม่ทราบว่าคนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบัน และได้โหวตให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะในที่ประชุมรัฐสภาไม่มีสส.พรรคประชาธิปัตย์คนใด ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิง อภิปราย ชี้แจงข้อเท็จจริง และตอบโต้ลิซ่าเลย หรือเพราะว่าลิซ่าพูดความจริงจนจุกอก ไม่สามารถหาเหตุผลมาชี้แจงได้

คนในพรรคประชาธิปัตย์จะเจ็บจะปวดหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เราในฐานะคนนอก มันรับไม่ได้จนแทบกระอักเลือดตาย

‘อัครเดช’ ชี้!! ‘การเลือกตั้ง’ เท่ากับประชาชนได้ใช้อำนาจตาม รธน. ติง!! ‘หัวหน้าพรรคส้ม’ ไม่ควรสร้างวาทกรรมทำให้สังคมแตกแยก

(16 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณี ผลการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 ว่า ก่อนอื่นขอแสดงความยินดี กับ ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 หลังจากที่ได้รับเสียงจากพี่น้องประชาชนให้มาทำงานในฐานะตัวแทนของพี่น้องประชาชนในสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ขณะเดียวกัน ตนขอชื่นชมในสปิริตของพรรคประชาชน ที่ออกมาแสดงความยินดีและยอมรับในผลการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้

แต่อย่างไรก็ดี ขอติงและฝากข้อเสนอแนะไปถึง ‘นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หัวหน้าพรรคประชาชน กรณีออกมาระบุว่า "หนทางในการเปลี่ยนแปลงการเมือง เพื่อทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนนั้นไม่ง่าย" นั้น ตนมองว่าไม่เหมาะสม ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็บัญญัติไว้อยู่แล้วว่า อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนชาวไทย 

ดังนั้นการที่ประชาชนได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถือว่าเป็นการใช้อำนาจของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง การแสดงวาทกรรมของหัวหน้าพรรคประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการบ่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่ เป็นการแสดงออกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก กับวาทกรรมแบบนี้

"ดังนั้น พรรคประชาชนควรยอมรับว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่ามาจากอำนาจประชาชนอย่างแท้จริง อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอยู่แล้วในปัจจุบันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดและขอให้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ไม่สร้างวาทกรรมให้แตกแยกกันในสังคม ควรมุ่งเน้นทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจะดีกว่า” นายอัครเดช กล่าว

'ดร.เสรี' ชี้ชัด!! แทบทุกพื้นที่คนไม่เอาพรรคส้มมีมากกว่าคนที่เอาพรรคส้ม สะท้อนสูตรการเมือง 1 ต่อ 1 ล้มพรรคส้มได้ แต่ถ้าเสียงแตก ‘ส้มจะชนะ’

(16 ก.ย. 67) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊ก ถึงผลการเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลกว่า…

เห็นชัดกันแล้วยังว่าถ้าหากพรรคส้มสู้กับฝ่ายตรงกันข้าม จะเป็นพรรคไหนก็แล้วแต่ พรรคส้มจะแพ้ในทุกพื้นที่

แต่หากพรรคต่าง ๆ ที่สู้กับส้มลงมาแข่งทุกพรรค แล้วแย่งคะแนนกันจนเสียงแตก พรรคส้มก็จะชนะ ทั้ง ๆ ที่พรรคตรงกันข้ามกับส้ม เอาคะแนนมารวมกันจะมากกว่าส้ม

แสดงว่าแทบทุกพื้นที่คนไม่เอาพรรคส้มมีมากกว่าคนที่เอาพรรคส้ม แต่คนกลุ่มนี้มีพรรคให้เลือกหลายพรรคที่แย่งคะแนนกัน

ตัวเลขก็ชัดขนาดนี้แล้วว่าสู้แบบ 1 ต่อ 1 ส้มแพ้ แต่ถ้าสู้แบบ 1 ต่อหลายพรรคที่แย่งคะแนนกัน ส้มจะชนะ

เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ มองคณิตศาสตร์การเมืองกันไม่ออกหรือไร เมื่อไรจะถอดบทเรียนกันออกมาสักที สู้กันแบบนี้ ระวังส้มจะครองเมือง

หรือมันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีที่พรรคต่าง ๆ ที่สู้กับส้มยอมกันไม่ได้ ถ้ายังคิดแบบนี้ เลือกตั้งคราวหน้าส้มมาแน่ ลองคิดอ่านกันหน่อยนะ จะสู้กับส้มย้งไง

คนที่ลงสมัครจะเข้ามาหาหัวหน้าพรรคแล้วบอกตัวเองมีฐานเสียงดีกันทั้งนั้น แล้วหัวหน้าพรรคก็เชื่อ หวังว่าจะชนะก็ส่งลงแข่งขัน

และต้องยอมรับว่าทุกคนที่บอกว่าตัวเองฐานเสียงดี มันก็ดีจริง ๆ แต่เมื่อฐานเสียงดีกันหลายคน คะแนนมันก็เลยแตก

สุดท้ายก็ต้องแพ้ส้มที่เสียงไม่แตก เมื่อเป็นเช่นนี้จะเปลี่ยนแนวทางสู้กันอย่างไร ถึงจะหยุดชัยชนะส้มให้ได้

รวมพรรคกันได้ไหม? ถอยให้กันได้ไหม? รู้ว่าลงไปก็สู้ไม่ได้ ลงไปก็ตัดคะแนนกันเปล่า ๆ ไม่ส่งในบางพื้นที่ได้ไหม

ได้แต่คิด แต่สิ่งที่คิดได้ คงไม่เกิดขึ้นอย่างที่คิด คงต้องทำใจยอมรับชัยชนะของส้ม เพราะพรรคที่สู้กับส้มทุกพรรคต่างมีศักดิ์ศรี

หัวหน้าพรรคทุกพรรคต่างก็อยากเป็นนายกรัฐมนตรียังยอมกันไม่ได้ เลยต้องตกที่นั่งผู้แพ้ไปด้วยกัน เศร้าจัง

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' วิเคราะห์!! เหตุผลที่บางพรรคมักแพ้แล้วแพ้อีก ชี้!! ใช้วิธีคิดผิดๆ สนแต่ปกป้องต่างด้าว น้ำท่วมเหนืออีสานไม่สน

(16 ก.ย. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ‘ผิดที่วิธีคิด’ ระบุว่า…

“พรรคการเมืองแพ้แล้วแพ้อีก ได้คิดบ้างไหม มันเกิดอะไรผิดพลาดจากการสื่อสารกับประชาชน คิดไม่ออกจะบอกให้ พรรคนี้มีวิธีคิดที่ไม่ใช่ไทยแต่ลอกฝรั่ง ปกป้องแรงงานต่างด้าวเสนอให้อยู่ไทยนานขึ้น เสนอให้แรงงานต่างด้าวขายของได้ สนใจแต่จะช่วยแรงงานต่างด้าว ไม่เสนอให้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเสียเลย…

“น้ำท่วมเหนืออีสานไม่พูดถึงเลย ไม่สนใจ เท่านั้นยังไม่พอ น้ำท่วมแทนที่จะลงไปดูแล กลับออกมาต่อว่า คนไทยเสียภาษีทำไม แต่ต้องพึ่งอาสาสมัครและเงินบริจาค ชัด ๆ เลยก่อนนี้ สส.เยอรมันตั้งประเด็นคำถาม ทำไมไทยถึงต้องพึ่งอาสาสมัครทำงาน…

“ฝรั่งไม่เคยทำงานฟรี ไม่มีความคิดจิตอาสา ทำงานต้องได้เงิน เสียภาษีแล้วรัฐต้องบริการ แต่อาสาสมัครทุ่มเทด้วยจิตอาสา ไม่คิดถึงเงิน หากอาสาสมัครไม่ช่วย กำลังจนท.เพียงพอหรือ ส่วนเงินบริจาค ท่าน สส.ไม่บริจาคก็ไม่มีใครว่า คนบริจาคด้วยหลักทานมัย แบ่งเบาภาระคนอื่น ไม่มีใครถูกบังคับให้บริจาค เป็นการช่วยเหลือพึ่งพากันเฉพาะหน้าให้ประทังชีวิตได้ไม่อดอยาก ไม่อยากบริจาคก็ควรเฉย ๆ เงียบ ๆ ไว้ อย่าพูด อายเขา…

“วิธีคิดอย่างนี้ ขอให้แพ้เลือกตั้ง ดีแต่ตอ…ไปวัน ๆ talk only no action”

‘ช่อ’ แก้เกี้ยว!! ความพ่ายแพ้ ‘พรรคประชาชน’ ที่พิษณุโลก เพราะไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า คนจึงมาใช้สิทธิน้อยกว่าเดิม

(16 ก.ย. 67) น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ หรือ X เกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 ซึ่งนายจเด็ศ จันทรา หรือบู้ จากพรรคเพื่อไทย (พท.) คว้าชัยชนะเหนือ นายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ หรือโฟล์ค จากพรรคประชาชน (ปชน.) ระบุว่า...

“สำหรับท่านที่สงสัยว่าทำไมพรรคประชาชนแพ้ คะแนนหายไปไหน 10,000 เพราะ หมออ๋อง เมื่อปี 2566 ได้ถึง 40,000 คะแนน…

“ข้อเท็จจริง คือ เมื่อเทียบเป็น % กับผู้มาใช้สิทธิ์ โดยคิดเป็นสัดส่วนคะแนนที่ได้ เทียบกับคะแนนบัตรดีทั้งหมด…

“หมออ๋องได้ 41.3%
คุณโฟล์คได้ 40.25%
คุณบู้ได้ 48.71%...

“เพราะฉะนั้น ปัจจัยของความพ่ายแพ้ มาจาก 2 สาเหตุหลัก..

“1. เนื่องจากไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า คนมาใช้สิทธิน้อยกว่าเดิม (เลือกตั้ง 66 คนใช้สิทธิ 70% ครั้งนี้ 54%) หมายความว่าเราล้มเหลวในการรณรงค์ให้คนกลับบ้านไปเลือกตั้ง…

“2. พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้นจาก 18% เป็น 48% (ไม่ใช่ 2 เท่าตามที่เห็นจากคะแนนดิบ)”

สภาฯ เดือด!! 'สว.สรชาติ' ชำแหละนโยบายรัฐบาลฯ

ที่ประชุมรัฐสภาฯ นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดหนองบัวลำภู ได้อภิปรายคณะรัฐมนตรีที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตาม ม. 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ

​​​​​​

ในฐานะสมาชิกรัฐสภา วันนี้รู้สึกดีใจที่ทางฝ่ายรัฐบาลยังพอมีเหลือนั่งฟังอยู่บ้าง ความเป็นจริงวันนี้ เพื่อนสมาชิกพูดคุยกันมาเยอะแล้ว 

แต่วันนี้จะขออนุญาตเอาสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ในนโยบายของท่านในหน้า 7 และหน้า 12 มาพูดคุยกับท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากจะให้เห็นภาพว่าการกำหนดนโยบายรัฐบาลนั้นมีใน 3 ส่วน ตั้งแต่การก่อร่างนโยบาย การกำหนดนโยบาย และการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ  

นโยบายเรือธงของท่านประธาน ฝากไปยังรัฐบาลมีประเด็นสำคัญ 3 ส่วนหลักๆ ที่สุด อยากจะพูดถึงสามนโยบายหลักๆ เพื่อที่จะให้เห็นภาพนั่นคือ นโยบายแรก Digital Wallet ซึ่งซ่อนในหน้าที่ 7 ได้การกระจายอำนาจในหน้าที่ 12 ส่วนมากทั้งหมดเป็นเรื่องของการคลัง เพราะคงไม่พูดเรื่องการคลัง คงไม่ใช่เพราะทั้งหมดนี้คือการคลังเข้ามาเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายของรัฐบาลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมเห็นการกำหนดก่อร่างนโยบาย Digital Wallet เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่จะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งฯ นำเสนอว่าอยากจะทำ หลายๆท่านสงสัยว่านโยบายเหล่านี้ผ่านนโยบายรัฐบาลแล้วมาหาเสียงได้อย่างไร สุดท้ายก็ผ่าน กกต. รับรองให้ก็ดีใจด้วยที่สิ่งเหล่านี้ใด้เกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นมาถึง ณ วันนี้ได้เกิดขึ้น 

ส่วนนโยบายเรือธงที่สอง เป็นนโยบายทางด้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งบอกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้มากมายมหาศาลทุกอย่างลงมาที่เรื่องเศรษฐกิจทั้งหมด รวมไปถึงนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่เกิดขึ้น แต่นโยบายนี้ซ่อนเร้นเอาไว้ ตอนรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผมไม่ได้เห็นว่ารัฐบาลกล้าที่จะเอามาพูดคุยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยประชาชนไม่ได้รับทราบมาก่อน แต่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นมา ถามว่าเกิดขึ้นมา ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่สมัย ปี 2546 หรือปี 2547 

พี่น้องชาวหนองบัวลำภู เตรียมพื้นที่รองรับเอาไว้แล้วที่บนภูเขา ที่หนองบัวลำภู สร้างถนนลาดยางขึ้นไปรองรับเพราะมุ่งหวังตั้งใจว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ของเมืองไทย นั้นคงจะไม่แตกต่างจากมาเลเซีย อยู่ที่เก็นติ้งลักษณะอย่างนั้น เช่นเดียวกันวันนี้ผมเห็นกลับมาอีกครั้งหนึ่งในนโยบายเรือธงที่อยากจะทำหน้าที่ ที่ดีที่สุด 

และอีกนโยบายหนึ่งซึ่งไปซ่อนหน้า 12 ก็คือการกระจายอำนาจ การกระจายอำนาจเป็นแนวนโยบายแห่งรัฐแล้วท่านประธานไม่ใช่เป็นนโยบายที่ท่านบอกว่าท่านจะมาทำหน้าที่ตรงนี้ นโยบายแห่งรัฐตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 40 แล้วมาเป็นกฎหมายเมื่อปี 2542 นั่นก็คือการกำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ      

วันนี้ท่านมีหน้าที่อยู่ในส่วนของการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ท่านจะเสริมต่อนโยบายกระจายอำนาจอย่างไรต่างหาก ซึ่งผมเองก็ต้องขออนุญาตพูดถึงเรื่องคลังท้องถิ่น ในวันนี้ 3 ส่วน เพื่อจะได้เห็นภาพว่าการกำหนดนโยบายของท่านเป็นมาอย่างไรทั้ง 3 ส่วนนี้และจะนำไปแก้ปัญหาอย่างไรที่จะเกิดขึ้น 

นโยบายแรกนโยบาย Digital Wallet ในขณะที่รณรงค์กันนั่นพรรคการเมืองอื่นๆ เสนอแนวทางบัตรประชารัฐ ท่านก็นำเสนอตามมา แต่ก็ได้ผล เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ท่านนำเสนอขึ้นมา ไม่เป็นไรเพราะเป็นสิ่งที่ท่านคิดเอาไว้ก่อนแล้วท่านก็มากำหนดเป็นนโยบาย แต่ในการก่อร่างนโยบายนั้น ได้กลับไปมองดูพื้นฐานของสภาพัฒน์ฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือกระทรวงการคลัง หรือไม่ ว่าเป็นขบวนการในการก่อร่างก่อนที่จะกลับมาเป็นการกำหนดนโยบาย

ขบวนการก่อร่างไม่ได้เห็นด้วยตั้งแต่เริ่มต้น หลายคนสงสัยมาตลอดสุดท้ายท่านบอกว่าจะแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบางก่อนและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ท่านบอกตรงตรงก็ได้ว่าต้องการเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสิ่งนี้มีอยู่แล้ว 14 ล้านคน คือ สิ่งที่ถูกต้องเพราะเชื่อว่าการจดทะเบียนบัตรประชารัฐในรอบสุดท้ายเป็นการกลั่นกรองที่ดีที่สุดของประชาชนกลุ่มเปราะบางและคนที่มีรายได้เพียงพอที่อยากจะเป็น   

ส่วนการที่ท่านจะเพิ่มสวัสดิการแห่งรัฐขึ้นมากับกลุ่มอื่นท่านก็สามารถกำหนดรายได้เนื่องจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมี 14 ล้านคน เพราะเราจำกัดที่ว่ามีปริมาณที่ดินเท่าไหร่ มีรายได้เท่าไหร่ ได้ 14 ล้านคน ส่วนท่านจะขยายกรอบขึ้นมามากขึ้นท่านสามารถเพิ่มรายได้ ได้แต่ไม่เห็นด้วยกับการที่ท่านต้องไปแจกทุกท่านแล้วทุกท่านก็ไม่อยากจะเห็นเรื่องพวกนี้ที่จะเกิดขึ้น

สุดท้ายเป็นนโยบายคลังท้องถิ่นที่อยากจะเสนอ วันนี้ ท่านมีหน้าที่ทำต่อจากกฎหมายแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจซึ่งเป็นแนวนโยบายแห่งรัฐ มีรัฐธรรมนูญมีในกฎหมายแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจอยู่แล้ว ท่านเมื่อไหร่จะออกกฎหมายคลังท้องถิ่นเพื่อจะแก้เงินท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้น 

เมื่อท่านมีโครงการขนาดใหญ่อย่างสนามบินสุวรรณภูมิ วันนี้รอบรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งตอนนั้นท่านคิดว่าจะเป็นรัฐสุวรรณภูมิเกิดขึ้น ซึ่งร่างกฎหมายขึ้นมาไม่ผ่าน เงินเหล่านี้ไปตกที่รอบสุวรรณภูมิไม่รู้จะเอาไปทำปั้นวัวปั้นควายหรือสายไฟเทวดาต่างๆ เพียงพอเกินกว่าเหตุแต่ท่านมีกฎหมายว่าด้วยคลังท้องถิ่นเกิดขึ้น

โดยเฉพาะเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เกิดขึ้น 4-5 แห่งรอบๆ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ต้องทำหน้าที่ให้ท้องถิ่นรับเงินส่วนนั้น เพราะรัฐไปลงทุนให้ ออกกฏหมายเพื่อเก็บภาษีรอบๆ ท้องถิ่น แต่ไม่ส่งรัฐบาลกลาง แต่ส่งให้กับคลังท้องถิ่นกลาง เพราะคลังท้องถิ่นกลางทำหน้าที่กระจายเงินเหล่านี้ไปให้กับท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกลซึ่งท้องถิ่นเหล่านี้ เขาไม่มีโอกาสใช้เงิน จากการที่รัฐบาลลงทุน เขาต้องได้รับเงินจากส่วนนี้เข้าไปทำ อมก๋อย หนองบัวลำภู สุวรรณคูหา ซึ่งท่านประธานทำหน้าที่เป็นนายอำเภอมาก่อน จึงรู้ว่าเขาไม่สามารถเก็บภาษีบำรุงท้องถิ่นได้อยู่แล้ว เพราะต้องอาศัยเงินจากคลังกลางท้องถิ่น 

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมอยากจะเสนอให้ท่านประธาน ไปยังรัฐบาลให้รีบออกกฎหมายคลังท้องถิ่นเพื่อกระจายเงินเหล่านี้รองรับเมกะโปรเจกต์ ของรัฐบาลเพื่อให้กับคนที่อยู่รอบรอบนอกได้มีโอกาสได้เงินไปพัฒนาไม่ใช่มีเงินเฉพาะการไปจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่ทั้งหมด แต่เงินไปสู่การพัฒนาไม่มีเลย นั่นคือสิ่งที่ผมนายสรชาติ สุวรรณพรหม สมาชิกวุฒิสภาในฐานะสมาชิกรัฐสภา ฝากถึงรัฐบาลชุดนี้...

นายกฯ อิ๊งค์ 'ผ่าน' แต่อนาคตน่าห่วง รุ่นใหม่ พท. ยกระดับเบียดขยี้พรรคส้ม

มีสถานการณ์ที่เกี่ยวกับเหตุบ้าน 'การเมือง' มากมายหลายประเด็นที่อยากจะเขียนเป็นรายงานสัก 3-4 หน้ากระดาษ  แต่ด้วยพื้นที่เล็กๆ ของ 'เลียบการเมือง' ขอใช้วิธีสรุปไฮไลต์ที่อยากหมายเหตุเอาไว้โดยเฉพาะการแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อ 12-13 ก.ย.ที่ผ่านมาให้เป็นที่ประจักษ์ ณ วันนี้ ดังนี้...

1) กรณีแถลงนโยบาย
- นโยบายเร่งด่วน 10 ประการของรัฐบาลไม่มีอะไร 'ว้าว' กลางสภาฯ เพราะทักษิณ ชินวัตร เปิดว้าวไปก่อนแล้วเมื่อ 22 ส.ค.67 แต่ที่น่าจับตานโยบายเร่งด่วนร้อนๆ อย่าง เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์, พลังงาน และพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา, แลนด์บริดจ์...จะเป็นองศาเดือดทางการเมือง ทำให้รัฐบาลเอียงกะเท่เร่หรือไม่? อย่างไร?

- กรณีนโยบาย ดิจิทัล วอลเล็ต แจก 1 หมื่นบาท ได้บทสรุปว่าจะแจกเฟสแรก 14.2 ล้านคนกลุ่มเปราะบาง จากงบฯ 2567 จำนวน 1.45 แสนล้านบาทที่มีอยู่ภายในวันที่ 25 ก.ย.67 ส่วนเฟสสองคำตอบจากในสภาและนอกสภาพอจะอนุมานสรุปได้ว่า...ไม่น่าจะมี รัฐจะช่วยเหลือในรูปแบบอื่น กรณีนี้จะกลายเป็นการ 'เสียรังวัด' ครั้งสำคัญของรัฐบาลนายกฯ อิ๊งค์

- ภาพรวมการแถลงนโยบาย นายกฯ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร สอบผ่านแบบหวุดหวิด ถ้าไม่มีเหตุต้องไปตรวจอุทกภัยภาคเหนือต้องอยู่ในสภาฯ สองวันอาจสอบตกก็เป็นได้...และน่าเสียดายที่ยังไม่ใช้เวลาสภาในวันแรกให้เป็น 'นาทีทอง' ในการโชว์กึ๋น โชว์วิสัยทัศน์แบบชัดๆ ให้ขาเชียร์ได้กรี๊ดซักกรี๊ด...การพูดถึง...วาทกรรมเกลียดชัง ฝ่ายค้านเป็นฝ่ายแค้น...นั้น ถึงที่สุดมันก็คือ 'การเมืองเรื่องวาทกรรม' เหมือนกัน...

- ซีก สส.ฝ่ายค้าน พรรคประชาชน ที่นำโดยณัฐวุฒิ เรืองปัญหาวงษ์ หน.พรรค, ศิริกัญญา ตันสกุล รองหน.พรรค อภิปรายได้ตามมาตรฐานของตัวเองและพยายามเชื้อเชิญนายกฯ อิ๊งค์ ออกมาทำยุทธหัตถี (แต่ไม่ประสบความสำเร็จ) ฝ่ายค้านอีกหลายคนก็ได้ยกระดับฝีมือของตัวเองได้อย่าง น่าจับตา เช่น ศุภโชติ ไชยสัจ (เรื่องพลังงาน), ภคมน หนุนอนันต์ (เรื่องแลนด์บริดจ์) ฯลฯ

- ขณะที่ซีกรัฐบาล ต้องยอมรับว่ารอบนี้ สส.คนรุ่นใหม่พรรค เพื่อไทย ได้ยกระดับ-ทำการบ้านมาอภิปรายได้น้ำได้เนื้อดีกว่าอภิปรายเรื่องงบประมาณฯหรือรอบอื่นๆ ไม่ว่า นิกร โสมกลาง  สส.โคราช, ขัตติยา สวัสดิผล (บัญชีรายชื่อ), รวี  เล็กอุทัย (อุตรดิตถ์), ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ (บัญชีรายชื่อ) ฯลฯ ... จากนี้ไปน่าจะได้เห็น 'รุ่นใหม่เพื่อไทย' ประชันขันแข่ง 'รุ่นใหม่พรรคส้ม' ได้แบบน่าดูชม เหลือแต่ 'รุ่นใหม่ภูมิใจไทย' ที่จะต้องรีบโชว์กึ๋นอีกหน่อย...

- ในขณะที่พรรคอื่นๆ เช่น รวมไทยสร้างชาติ บทบาทเด่น กลับไปโฟกัสอยู่ที่คนรุ่นใหม่อย่าง เอกนัฏ พร้อมพันธ์ เลขาธิการพรรค ในฐานะรมว.อุตสาหกรรม และสส.บัญชีรายชื่อ...ที่ประกาศนโยบายและปณิธานการทำงาน...

2) สงครามสองบ้าน-อนาคตอิ๊งค์...
- สรุปสั้นๆ ได้เพียงว่า กรณี 'คลิปลุง' หลุดออกมานั้น เป้าหมายหลักก็เพื่อหยุดและบดขยี้แนวรบบ้านในป่าที่เป็นเสมือนเสี้ยนหนามในรองเท้ารัฐบาลให้สิ้นซาก...เป็นสงครามบ้านจันทร์ส่องหล้า-บ้านในป่า ภาคสุดท้าย...หมัดเด็ดของบ้านในป่าคือ การใช้กฎหมายที่เรียกว่า 'นิติสงคราม'...ล่าสุดไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พรรคพลังประชารัฐ ตอบโต้เรื่องคลิปด้วยการฟ้องเรียกค่าเสียหาย 50 ล้าน และให้ กสทช.ยุบรายการ 'เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์' ทางช่อง 9 อสมท.ของ 'หมาแก่'...

- แม้ขณะนี้จะมีเรื่องร้องเรียน กล่าวหารัฐบาล-ตัวนายกฯ และพรรคเพื่อไทยสารพัดสารพัน แต่กว่าเรื่องราวต่างๆ จะตั้งแฟ้มตั้งเรื่องว่าจะปัดตกหรือเดินหน้าต่อไป อย่างเร็วก็อีก 3-4 เดือนข้างหน้า...นายกฯ ไม่ต้องมาเสียสมาธิกับเรื่องราวเหล่านี้ เพราะมีทีมงานที่จะดำเนินการอยู่แล้ว...โจทย์ใหญ่ของนายกฯ อิ๊งค์คือ ใน 2-3 เดือนนี้ ต้องแสดงฝีมือการทำงาน-โชว์กึ๋นให้เป็นที่ประจักษ์สักเรื่องสองเรื่อง...แม้ว่ารอบนี้เข้ามาทำงานโดยไม่มีกติกา 'ทดลองงาน' หรือ Probation ก็ตาม...

- 'เล็ก เลียบด่วน' ทำโพลส่วนตัวมาแล้ว...พบว่านับจากวันถวายสัตย์ปฏิญาณตน จนถึงวันที่ 14 ก.ย.ที่เขียนต้นฉบับ...หากใช้ระบบทดลองงานโอกาสที่จะผ่านโปรฯ อยู่ที่ 50/50...ต้องฮึดและปรับกระบวนท่ามีสมาธิอีกพอประมาณ !!

งานหนัก!! ‘บิ๊กอ้วน’ แต่งตั้งโยกย้ายทหารระดับนายพล ‘บิ๊กปู-ทัพบก’ ไม่น่าพลิก ส่วน ‘บิ๊กแมว-ทัพเรือ’ รอลุ้น

ในจันทร์ที่ (16 ก.ย. 67) เวลา 10.00 น. คงเป็นทั้งฤกษ์งามยามดีและฤกษ์สะดวกที่ ‘บิ๊กอ้วน’ หรือ ‘สหายใหญ่’ - ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหม เจ้าของรหัสเรียกขาน ‘สนามไชย 1’ จะไปสักการะศาลหลักเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกระทรวงกลาโหม ก่อนจะไปรับฟังบรรยายสรุป-มอบนโยบายและรับประทานอาหารกับปลัดกลาโหม ผบ.เหล่าทัพ     

แน่นอนภาพการตรวจแถวกองทหารเกียรติยศของ ‘บิ๊กอ้วน’ จะถูกโฟกัสและใครหลายคนที่ยังมีอารมณ์ค้าง ปมประเด็นความเป็น ‘สหายใหญ่’ ก็คงจะนำไปเม้าท์มอยตามประสา...ซึ่งภูมิธรรมก็คงจะทำใจปลงใจเอาไว้แล้ว คงไม่หนักใจเท่ากับการบ้านที่จะต้องทำให้บรรลุนโยบายและวัตถุประสงค์…

เฉพาะหน้า…มีโจทย์ร้อนที่ ‘สนามไชย 1’ จะต้องถอดสลักก็คือ โผทหารร้อน ๆ ที่รมว.กลาโหม คนก่อน (สุทิน คลังแสง) ประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพล หรือ ‘บอร์ดโยกย้าย’ 6 คน ได้เคาะเอาไว้เป็นเบื้องต้นแล้ว ซึ่งน่าสนใจก็คือในส่วนของกองทัพบก และ กองทัพเรือ…

เอาเฉพาะไฮไลต์ขอแปะโผร้อน ๆ ไว้ดังนี้ 

>>กองทัพบก
-พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) เสธ.ทบ. เป็น ผบ.ทบ.
-พล.อ.ณัฐวุฒิ นาคะนคร (ตท.24) ที่ปรึกษาพิเศษทบ.เป็น รอง ผบ.ทบ.
-พล.อ.วสุ เจียมสุ (ตท.25) รองผอ.สนง.รมน.เป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ.
-พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ (ตท.26) แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้ช่วย ผบ.ทบ.
-พล.ท.ธงชัย รอดย้อย (ตท.25) รองเสธ.ทบ.เป็น เสธ.ทบ. 
-พล.ท.อมฤต บุญสุยา (ตท.27) แม่ทัพน้อยที่ 1 เป็นแม่ทัพภาคที่ 1
-พล.ท.บุญสิน พาดกลาง (ตท.26) แม่ทัพน้อยภาคที่ 2 เป็น มทภ.2
-พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ (ตท.23) แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3
-พล.ต.ไพศาล หนูสังข์  รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็น แม่ทัพภาคที่ 4

>>กองทัพเรือ
-พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ (ตท.23) ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. เป็น ผบ.ทร.

สั้น ๆ ที่อยากจะขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ในส่วนของกองทัพบกแม้จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังให้เจาะลึก โดยเฉพาะการ (จะ) ผงาดของพล.อ.พนา หรือ ‘บิ๊กปู’ นั้นสาหัสยิ่ง...และคาดว่าท่าน ‘บิ๊กอ้วน’ ไม่น่าจะกล้าปรับเปลี่ยนใด ๆ อีก

ที่อาจจะเปิดช่องให้ ‘บิ๊กอ้วน’ คิดใหม่จัดใหม่ได้ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นกรณี ผบ.ทร.ที่ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.(ตท.23) ยืนยันว่าต้องเป็น ‘บิ๊กแมว’ พล.ร.อ.จิรพล ที่เรียนจบนอก (โรงเรียนนายเรือเยอรมันเมอร์วิค) ไม่ได้มาจาก 5 ฉลามเสือ ถือว่าแหวกม่านประเพณีและหลักนิยมเดิม ๆ ทำให้ตัวเต็งอีก 3 คนคือ พล.ร.อ.ชลทิศ นาวานุเคราะห์ ผช.ผบ.ทร. (ตท.23), พล.ร.อ.วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง เสธ.ทร. (ตท.24) และพล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข (ตท.25) รองผบ.ทร. ได้แต่นั่งมองหน้ากันตาปริบ ๆ และไม่กี่วันก่อนปรากฏว่าหลังโผออกได้มีใบปลิวโจมตีบิ๊กแมวทั้งเรื่องปัญหาการทำงานและเรื่องจริยธรรมส่วนตัว…

เรียกกันว่าเล่นกันแรง...สมควรที่ท่านบิ๊กอ้วนจะได้หยุดศึกทหารน้ำในขณะนี้...ไม่ว่าจะเลือกบิ๊กแมวหรือบิ๊กใดก็ตาม…เพราะปัญหาในกองทัพเรือที่จะต้องแก้นั้นมีเพียบ...!!

‘อนุทิน’ เผย!! นายกฯ ให้ผู้ว่าฯ จังหวัดขยายวงเงินช่วยเหลือน้ำท่วมได้ทันที ยัน!! ทุกฝ่ายทำงานเต็มที่ องคาพยพแห่งการช่วยเหลือมุ่งสู่พื้นที่หมดแล้ว

(13 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ ถึง กรณีที่มีการอ้างว่าจังหวัดเชียงรายยังไม่มีการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติทั้งที่ประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก ว่า ได้ประกาศให้จังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่ภัยพิบัตินานแล้ว ยิ่งภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหนักขนาดนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ต้องประกาศเป็นเขตภัยพิบัติอยู่แล้วเป็นสิ่งแรก ไม่ต้องห่วง ทั้งนี้ตนขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในระบบราชการว่าไม่พลาดเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว และถ้าไม่มีการประกาศให้เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ จะนำเงินทดลองจ่ายมาใช้ได้อย่างไร นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้กำชับในการประชุมเมื่อวานนี้ว่าถ้าเงินทดลองจ่ายดังกล่าวไม่เพียงพอ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถขยายวงเงินได้เลย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มวลน้ำจากภาคเหนือตอนบนดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้าไปยังภาคอีสาน เช่นจังหวัดหนองคายและนครพนม? นายอนุทิน กล่าวว่า "เราต้องเร่งระบายให้ลงแม่น้ำโขงให้เร็วที่สุด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่รายงานว่า น้ำที่ท่วมในจังหวัดเชียงใหม่จะต้องไหลผ่านอำเภอแม่อาย ที่กำลังเกิดปัญหาดินถล่ม ซึ่งน้ำดังกล่าวจะไหลผ่านจังหวัดเชียงราย และลงสู่แม่น้ำโขง เราจึงต้องพยายามเร่งระบายน้ำให้ลงแม่น้ำโขงให้เร็วที่สุด"

เมื่อถามว่า ขณะนี้ประเทศจีนจะมีการปล่อยน้ำลงมาในแม่น้ำโขง จะส่งผลต่อสถานการณ์น้ำท่วมในไทยหรือไม่อย่างไร? นายอนุทิน กล่าวว่า "เราก็ต้องติดตามสถานการณ์ตรงนั้น ขณะเดียวกันเราต้องแก้ไขปัญหาในส่วนของเรา"

เมื่อถามอีกว่า จะดำเนินการรับมือน้ำที่จะท่วมภาคอีสานโดยเฉพาะบริเวณตะเข็บชายแดนอย่างไร? นายอนุทิน กล่าวว่า "ตนมั่นใจว่าผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆที่อยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงว่าจะเกิดน้ำหลาก ก็ต้องมีแผนเผชิญเหตุรองรับไว้อยู่แล้ว ขณะที่กระทรวงมหาดไทยได้เตรียมความพร้อม เรื่องการส่งความช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความปลอดภัยการอพยพประชาชน รวมถึงเรื่องการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคอาหารข้าวสาร และศูนย์พักพิง ซึ่งตนเห็นว่ากรณีของจังหวัดเชียงรายจะใช้เป็นโมเดลได้ดี เพราะที่นั่งประชาชนมีน้ำใจซึ่งกันและกัน มีเจ้าของโรงแรมหลายแห่งในอำเภอแม่สาย เปิดให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมเข้ามาพักพิงในโรงแรม โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งตรงนี้นายกรัฐมนตรีระบุว่าจะสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไปจัดทำบัญชีและชดเชยให้กับโรงแรมเหล่านั้น อย่างไรก็ตามการที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายในวันนี้ ก็จะมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย เป็นตัวแทนกระทรวงมหาดไทยเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีด้วย"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ในอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายกำลังจะเข้าสู่ระยะฟื้นฟู แต่พบว่าร้านค้าต่างๆ ได้รับความเสียหายอย่างมาก จำนวนเงินเยียวยาที่รัฐบาลจะจ่ายให้ จะเป็นเงินประมาณเท่าไหร่? นายอนุทิน กล่าวว่า "นายกรัฐมนตรีจะของบกลางลงไปเอง ขณะที่ของกระทรวงมหาดไทยก็จะมีทั้ง น.ส.ธีรรัตน์ ร่วมลงพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ยังมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สายอยู่แล้ว ดังนั้นทุกฝ่ายก็จะเร่งหาวิธีช่วยเหลือเยียวยาอยู่แล้ว และยิ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงไปเห็นหน้างานด้วยตัวเอง ท่านก็ต้องตัดสินใจได้ทันทีอยู่แล้ว"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้จะต้องส่งความช่วยเหลือเพิ่มเติมอะไรเป็นพิเศษให้กับพื้นที่ภาคเหนือตอนบนหรือไม่? นายทิน กล่าวว่า "องคาพยพทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการกู้ภัยและการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยได้ถูกนำส่งไปแล้ว ขณะที่ศูนย์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัยในทุกพื้นที่ ก็ยังมีการสแตนด์บายพร้อมเข้าช่วยเหลือหากมีการร้องขอเข้ามา และเรื่องอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ ถ้ามีการร้องขอเข้ามาก็พร้อมจะส่งช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน แต่เท่าที่ตนเห็นในขณะนี้คิดว่าทุกอย่างยังมีเพียงพอ โดยเฮลิคอปเตอร์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจำนวนสองลำก็ถูกส่งไปแล้ว ได้ไปช่วยนำตัวประชาชนที่ติดอยู่ในบ้านออกมาจากพื้นที่"

เมื่อถามถึงกรณีที่มีเสียงจากประชาชนในพื้นที่บางส่วนระบุว่า ยังขาดศูนย์บัญชาการสถานการณ์ในพื้นที่ ที่ประสบภัยน้ำท่วม? นายอนุทิน กล่าวว่า "ขอยืนยันว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำงานกันทุกคน เมื่อวานนี้ก็มีการประชุมกันอย่างที่ทุกคนได้เห็น จึงขออย่าถามคำถามแบบนี้ เพราะจะทำให้คนที่ทำงานเสียกำลังใจ วันนี้ไม่ควรมาบอกว่าใครถูกหรือใครผิด เพราะทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ อย่างในวันนี้นายกรัฐมนตรีก็รีบลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ทั้งที่วันนี้ก็ยังมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอยู่ แต่นายกฯ ก็ยังเดินทางไปลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ความเดือดร้อนของประชาชน"

อีกด้าน!! ความจริงที่ว่า “ทำไมไม่ค่อยเห็น ‘รมต.-สส.’ ลงน้ำท่วม?” เพราะ 'สั่งการ-ประสานทีมพื้นที่' ช่วยประชาชนไว้แล้ว

(13 ก.ย. 67) จากเฟซบุ๊ก 'KUL' โดย กุลวิชญ์ สำแดงเดช ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ทำไม ไม่ค่อยเห็น รมต. สส. ลงน้ำท่วม

ช่วงนี้มันเป็นการแถลงนโยบาย อันนี้ ต้องให้ความเป็นธรรม มันมีการถามตอบกันอยู่ตลอด

แล้วถามมา ก็ต้องตอบ 

คนอื่นตอบแทนไม่ได้

ดังนั้น รัฐมนตรี ใช้การสั่งการ แทนลงจริง ไปก่อน

และ สำหรับ เหล่า สส. จากที่พูดคุย ทีมงานของทุกท่าน ประจำอยู่ในพื้นที่ มีการประสานช่วยเหลือแล้ว 

เพียงแต่เป็นทีมประสานงาน ทีมเฉพาะกิจ ก็ไม่มีข่าวปรากฏ แต่ไม่ได้หมายถึงนักการเมืองทิ้งประชาชนแบบที่ มีการพยายามสื่อ

ถ้าจำกันได้ ที่ผ่านมา ช่วงน้ำท่วม ซึ่งมันไม่ติดงานแถลงนโยบาย รมต. สส. ก็ลงกันไปเยอะ 

ผมมั่นใจว่า หลังแถลงนโยบาย 

จะมีการลงพื้นที่อย่างอึกทึกครึกโครมแน่นอน

‘ไอซ์ รักชนก’ เปิดศึกน้ำลายแซะปมน้ำท่วม 'นายกฯ แพทองธาร' ชีวิตคงไม่เคยเจอความลำบาก เลยไม่เข้าใจความรู้สึกคนอื่น

(12 ก.ย. 67) นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า…

“อยากรู้ว่าคนเชียงใหม่เชียงรายที่กำลังประสบภัยน้ำท่วมจนออกจากพื้นไม่ได้ ทั้งความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งอาหารและน้ำไปไม่ถึงในตอนนี้ กดดูสตอรี่บนอินสตาแกรม (ไอจี) ของนายกฯ อิ๊งค์แล้วรู้สึกยังไงบ้าง อยากให้อธิบายความรู้สึก เพราะส่วนตัวเราเชื่อว่าเค้าไม่รู้จริงๆ ว่าประชาชนรู้สึกยังไง ชีวิตคงไม่เคยเจอความลำบาก มันเลยไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้”

“เอาจริงๆ ไม่ต้องให้พ่อมาคอยสอนตลอดก็ได้ แค่คิดให้เยอะกว่านี้หน่อย ก็คงไม่มีอารมณ์จะไม่มานั่งรีโพสต์สตอรี่อวยตัวเองในช่วงเวลาแบบนี้หรอก ใจคอคนเรานะ ประชาชนรอความช่วยเหลืออยู่เป็นแสนเป็นล้าน”

'สามารถ' แจง!! คลิปหลุด บ้านป่าฯ ไม่ใช่ของจริง ชี้!! เทคโนโลยี AI ไปไกลมาก ยกตัวอย่างใช้ AI ทำคลิปเสียง 'ลุงป้อม' ร้องเพลงข้ามกำแพง ก็มีมาแล้ว

(11 ก.ย. 67) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปเสียงสนทนาคล้ายเสียงของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หลุดออกมาเผยแพร่ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีไปไกลมาก ทั้งในเรื่องจัดทำคลิปเสียง หรือปลอมคลิปเสียง พร้อมเปิดคลิปตัวอย่างที่มีการใช้ AI ทำคลิปเสียง พล.อ.ประวิตร ร้องเพลงข้ามกำแพงกับนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 

แต่ข้อเท็จจริง พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ไปร้องเพลง และคนก็ไม่เชื่อว่าเป็น พล.อ.ประวิตร ทั้งที่มีภาพเงารูปร่างคล้าย พล.อ.ประวิตรมาก แล้วคลิปเสียงที่หลุดออกมาจะไปเชื่อว่าเป็นเสียง พล.อ.ประวิตรจริงได้อย่างไร แต่คนที่ปล่อยคลิปมีเจตนาชัดเจนว่าต้องการให้คนเข้าใจผิด ซึ่งส่วนตัวมองว่า ไม่เป็นธรรมกับ พล.อ.ประวิตร และกระบวนการตรวจสอบมีอยู่แล้ว 

ส่วนจะเป็นการดิสเครดิต พล.อ.ประวิตรหรือไม่นั้น นายสามารถ ยอมรับว่า การดิสเครดิตทางการเมืองมีทุกวันอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงนี้ แต่การโจมตี ให้ร้าย ใส่ร้าย สะท้อนว่า พล.อ.ประวิตรสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ใช่หรือไม่ จึงมีกระบวนการนี้ออกมา แต่ส่วนตัวเชื่อว่า พล.อ.ประวิตรคงจะไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่ใช่เรื่องจริง 

ส่วนความเป็นไปได้ที่คนอัดคลิปเสียงจะเป็นคนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตรหรือไม่นั้น นายสามารถ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ทราบ แต่โดยปกติ พล.อ.ประวิตรเป็นคนเปิดกว้างต้อนรับทุกคนที่ต้องการจะเข้าหาอยู่แล้ว ไม่ได้ปิดกั้นใคร แต่สิ่งที่อยากจะเน้นย้ำ คือจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคลิปเสียงนั้นเป็นของจริง 

ส่วนกรณีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยอมรับว่า เป็นเสียงของตัวเองจริงนั้น นายสามารถ บอกว่า ส่วนตัวไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่ทราบ และคงต้องไปถามนายสุทธิพงษ์เองว่า ท่านคุยเรื่องอะไร แต่ในส่วน พล.อ.ประวิตร เชื่อว่า ไม่ได้รับความเสียหายจากคลิปดังกล่าว เพราะไม่ใช่คลิปจริง จะไปถือเป็นสาระได้อย่างไร คงต้องไปพิสูจน์ก่อน ทางที่ดีต้องให้สื่อที่นำคลิปมาเปิดเผย บอกถึงกระบวนการได้มาซึ่งพยานหลักฐานเหล่านี้ได้มาจากใคร และได้มาอย่างไร 

“ส่วนตัวเชื่อว่า บ้านจันทร์ฯ น่าจะมีคลิปมากกว่า ไม่น่าจะเป็นที่บ้านป่าฯ แต่กระบวนถ้าไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ก็คงต้องมีการไต่สวนหาข้อเท็จจริงอยู่แล้ว และมองว่าประชาชนน่าจะสนใจคลิปที่บ้านจันทร์ฯ มากกว่า”

นายสามารถ กล่าวย้ำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มองว่า พล.อ.ประวิตรเป็นคนดี ที่ไม่ได้สกรีนอะไรเลย อย่าไปมองว่าคนรอบข้าง พล.อ.ประวิตรจะไว้ใจไม่ได้ เพราะท่านมองทุกคนเหมือนลูกเหมือนหลาน และเป็นจิตใจดีเหมือนท่าน ไม่ได้ระแวดระวังใครเลย จึงควรนับถือหัวใจ พล.อ.ประวิตร และทุกครั้งที่ พล.อ.ประวิตรโดนกระทำ รังแก ก็ไม่เคยออกมาตอบโต้ แต่อาศัยความเป็นชายชาติทหาร เป็นนักรบ เป็น ผบ.ทบ. ใช้เกียรติของท่านรับเองทั้งหมด 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้รอบตัวของ พล.อ.ประวิตร อาจจะเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้นั้น นายสามารถ กล่าวว่า ขอให้มองว่าท่านเป็นคนดี ไม่ได้มีการคัดกรองอะไร ท่านเป็นบุคคลที่ควรนับถือหัวใจ ทุกครั้งที่โดนกระทำก็ไม่เคยออกมาตอบโต้ ใช้ความเป็นชายชาติทหารนักรบ โดยที่ไม่ได้ออกมาบอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนจะไปตรวจสอบอะไรหรือไม่ คิดว่าพล.อ.ประวิตรคงไม่ได้รู้สึก เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง ส่วนอนาคตถ้าเป็นคลิปเรื่องคอขาดบาดตาย ก็ขอให้ค่อยว่ากัน อย่าคาดเดาเหตุที่ยังไม่เกิด 

นายสามารถ ยังมองการลาออกของสมาชิกพรรคพลังประชารัฐว่าเหมือนกับนักฟุตบอล เพราะนักการเมืองก็เป็นอาชีพที่ไม่ใช่ว่าใครก็จะจับต้องไม่ได้ อาชีพที่มีเข้าออก ฟุตบอลเมื่อมีการเปิดฤดูกาลก็จะเห็นว่านักเตะหลายทีมไปเข้ากับทีมที่มีเงื่อนไขดีกว่า เราจึงควรเคารพการตัดสินใจ อย่างตระกูลรัตนเศรษฐ์ ที่ขอลาออกไปแบบนั้น ส่วนจะออกไปกันไปด้วยดีหรือไม่ตนไม่ทราบ แต่ไม่อยากให้มาเป็นประเด็นทางการเมือง 

ส่วนการลาออกของสมาชิกพรรคคนอื่น ๆ แม้ว่ายังจะไม่ถึงระยะเวลาเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะพรรคจะได้เริ่มใหม่ ไม่ใช่มีแต่คนตระกูลใหญ่บ้านใหญ่ จะได้มีบุคคลใหม่ใหม่มาทำเพื่อชาติบ้านเมือง หากจะเอาแต่คนรุ่นเก่าไว้ก็จะการเมืองไม่ได้ ส่วนเหตุผลที่หลายคนลาออก เพราะไม่ชอบนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นั้น นายสามารถคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว อย่าเอามาตัดสินภาพรวม ในฐานะที่ตนอยู่ในพรรคมาตั้งแต่ปี 2561 เลขาธิการพรรคก็มีมาหลายคน ส่วนตัวก็เห็นว่านายไพบูลย์มีความเหมาะสมสำหรับช่วงนี้ที่พรรคต้องการจะปรับรูปแบบการดำเนินการ และย้ำว่าต้องเคารพความคิดเห็นของทุกคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top