‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ตอนเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายรางวัลโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลก (ด้าน Innovation) ประจำปี 2024
อีกหนึ่งข่าวดีที่ไม่ได้มีการความแพร่หลายในสังคมไทย จนทำให้เราต่างก็ไม่ได้รับรู้ก็คือ ข่าวของ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ที่สามารถเข้ารอบ 3 ทีมสุดท้ายในการชิงรางวัลโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 (the World’s Best School Prizes 2024)
‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ เป็นโรงเรียนเอกชนประเภทศึกษาสงเคราะห์ (การกุศล) สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดการศึกษาในระดับอนุบาล และประถมศึกษา ตั้งอยู่ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ มีภารกิจเพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันตามขีดความสามารถของปัจเจก เพื่ออุดช่องว่างทางการศึกษาของรัฐผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน โดยมีการจัดการศึกษาสมัยใหม่ในแบบเชิงรุก (Active Learning)
ภารกิจเพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันตามขีดความสามารถของปัจเจก เพื่ออุดช่องว่างทางการศึกษาของรัฐผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน โดยมีการจัดการศึกษาสมัยใหม่ในแบบเชิงรุก (Active Learning)
‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ตั้งขึ้นเพื่อให้โอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ แก่เด็กและครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนและบุคคลากรทางการศึกษาให้มีทักษะและสมรรถนะในศตวรรษที่ 21 ด้วยการที่โรงเรียนทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ และเผยแพร่ การจัดการเรียนแบบ Problem Based Learning (PBL) ในการเรียนรู้โดยใช้โครงงานและปัญหาเป็นฐาน, Makerspace ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตนเอง และ นวัตกรรม 3R (Reading, Writing and Arithmetic) ที่เน้นให้นักเรียนสามารถอ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนเตรียมพร้อมสู่โลกภายนอก
'มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม' (เจ้าของ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2548 โดย ดร.Richard Paul Haugland (ลุง Dick) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน นักประดิษฐ์ และนักสังคมสงเคราะห์ที่อุทิศตัวช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากผ่านโครงการและองค์กรต่าง ๆ ทั่วเอเชีย และเป็นผู้ซึ่งที่มีชื่อเสียงจากผลงานการวิจัยและการนำสีย้อมเรืองแสง (Fluorescent dyes) มาใช้ในเชิงพาณิชย์ และเป็นผู้ก่อตั้ง Molecular Probes เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ตั้งอยู่ในเมืองยูจีน มลรัฐโอเรกอน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านสีเรืองแสงประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในห้องทดลองทั่วโลก
ในปี 1975 ดร.Haugland ได้ขาย Molecular Probes ให้กับ Invitrogen ในปี 2003 ด้วยเงินสดประมาณ 325 ล้านเหรียญ และได้โอนทรัพย์สินจำนวนมหาศาลเข้ามูลนิธิ Richard P. Haugland หลังจากนั้น ดร.Haugland ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในประเทศไทย โดยเป็นอาสาสมัครที่หมู่บ้านเด็ก ซึ่งเป็นบ้านและโรงเรียนสำหรับเด็กกำพร้าและเด็กยากไร้ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดกาญจนบุรี โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เขายังคงเป็นที่ปรึกษาให้กับ Invitrogen/Molecular Probes อีกด้วย
ดร.Richard Paul Haugland (ลุง Dick) (17 กรกฎาคม 1943 - 5 ตุลาคม 2016)
ความสนใจในประเทศไทยของดร.Haugland เริ่มต้นจากการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยกับกลุ่มสมาคมศิษย์เก่าแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 1988 เขา และ ดร.Rosaria ภรรยา ได้อุปถัมภ์เด็กในสถานสงเคราะห์ที่ยากจนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และในประเทศอื่น ๆ เป็นเวลาเกือบ 40 ปีผ่านทาง Plan International และได้ไปเยี่ยมเด็กในสถานสงเคราะห์เหล่านี้เกือบทุกปี
จากประสบการณ์และความสนใจในด้านการศึกษาปฐมวัยที่ย้อนไปถึงสมัยที่เขาเป็นอาสาสมัครที่ Pine Point Indian School (ปี 1970 ถึง 1972) ดร.Haugland จึงตัดสินใจพัฒนาวิธีการและสื่อการสอนแบบมัลติมีเดียที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ความสนใจนี้ในที่สุดส่งผลให้เกิดการพัฒนาหลักสูตรการสอนคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ (ไทย-อังกฤษ) และภาษาไทยให้กับเด็กก่อนวัยเรียนและประถมศึกษา อันเป็นที่มาของ ‘มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม’ และ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ในเวลาต่อมา โดย ดร.Richard (ลุง Dick) ได้ใช้ชีวิตในประเทศไทยเพื่อทำงานตามเจตนารมณ์ในการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้คนโดยเฉพาะเด็ก ๆ จนกระทั่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมองเมื่อ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559)
สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งของ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ประกอบไปด้วย...
1. ให้โอการทางการศึกษาที่มีคุณภาพแก่เด็กในชุมชน
2. ให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านความรู้ ทักษะ สมรรถนะ และ เจตคติตามขีดความสามารถแห่งตน
3. มีระบบการบริหารตามอัตลักษณ์เชิงพื้นที่โดยเน้นสิ่งแวดล้อม การบูรณาการและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
4. มีนวัตกรรมการศึกษาด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนและการจัดการศึกษารวมทั้งขยายผลไปใช้สถานศึกษาอื่น
5. มีมาตรฐานวิชาชีพให้ครูและบุคคลากรทางด้านการศึกษาในศตวรรษที่ 21
‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 โดย ‘มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮมง เป็นผู้รับใบอนุญาต เริ่มแรกได้อนุญาตเป็นโรงเรียนประเภทการศึกษาสงเคราะห์ มาตรา 15(3) ระดับอนุบาล (ปฐมวัย) ชื่อ ‘โรงเรียนอนุบาลบ้านปลาดาว’ ในปี พ.ศ. 2551 ได้รับอนุญาตขยาย ชั้นเรียนเพื่อเปิดสอน ระดับประถมศึกษา ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ซึ่งเป็น โรงเรียนที่เปิดรับนักเรียน ไปกลับ มีอาคารเรียนจำนวน 2 หลัง อาคารประกอบการ 2 หลัง เปิดสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (ป.6)
‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ มีการสร้างนวัตกรรมการศึกษาของโรงเรียน ซึ่งสามารถครอบคลุมเรื่องหลักสูตร เช่น สร้างนวัตกรรมการศึกษานวัตกรรม 3R เพื่อช่วยให้เด็กได้อ่านออก เขียนได้ นวัตกรรม Makerspace เพื่อมุ่งเน้นให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตนเอง และเป็นโรงเรียนต้นแบบที่เปิดโอกาสให้หน่วยงาน ภายนอกเข้ามาศึกษาดูงาน ในเรื่องการจัดการเรียน การสอนแบบสมัยใหม่ และทำ ข้อตกลง (MOU) เพื่อนำนวัตกรรมการศึกษาของโรงเรียนไปใช้ ซึ่งในปัจจุบันมีมากกว่า 200 แห่ง ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ได้รับรองมาตรฐานการศึกษา จาก สมศ. อยู่ในระดับ 'ดีเยี่ยม' ทั้งระดับปฐมวัย และระดับประถมศึกษา
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ มาจาก ความร่วมมือของทุนคนในทีม, เงินทุน, การบริหารจัดการ, การเข้าถึงข้อมูล และการปรับเป้าหมายและทิศทาง นอกจากนี้แล้วยังโครงการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาอื่น ๆ อาทิ...
1. สตาร์ฟิชเอ็ดดูเคชั่น (Starfish Education) เป็นโครงการริเริ่มที่เปิดตัวพร้อมกับภารกิจเพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันโดยผ่านโปรแกรมการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมใหม่และวิธีแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลยีในการพยายามอุดช่องว่างทางการศึกษาของรัฐผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน
2. สตาร์ฟิชเอ็ดดูเคชั่น แลป (Starfish Labz) ห้องปฏิบัติการสตาร์ฟิชเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์สำหรับครูและผู้ปกครอง ซึ่งพยายามที่จะแก้ไขช่องว่างการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จัดหาหลักสูตรออนไลน์ วิดีโอ และเวิร์กชอป แบบตัวต่อตัวให้กับผู้ปกครองและครู โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สำหรับรางวัลโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 (the World’s Best School Prizes 2024) นั้นก่อตั้งโดย T4 Education ร่วมกับ Accenture, American Express, และ Lemann Foundation ซึ่งเป็นรางวัลทางการศึกษาที่มีเกียรติสูงสุดในโลก โรงเรียนที่ชนะในปีนี้จะได้รับเงินรางวัล $50,000 ดอลลาร์โดยแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่...
1. ด้าน Community Collaboration (ความร่วมมือกับชุมชน) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Colegio María de Guadalupe, Argentina., Salomé Ureña Leadership Academy MS 322, United States of America. และ Escola Estadual Deputado Pedro Costa, Brazil.
2. ด้าน Environmental Action (การดําเนินการด้านสิ่งแวดล้อม) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Ryan International School, Vasant Kunj, India., Dubai International Academy Emirates Hills, United Arab Emirates. และ
Sint-Paulus, Belgium.
3. ด้าน Innovation (นวัตกรรม) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Starfish School (‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’), Thailand., CM RISE School Vinoba, Ratlam, India. และ Grange School, United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland.
4. ด้าน Overcoming Adversity (การเอาชนะต่ออุปสรรค) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Rising Academy Waterloo, Sierra Leone., The First Ukrainian School in Poland by the Unbreakable Ukraine Foundation, Poland. และ E-ACT Venturers’ Academy, United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland.
5. ด้าน Supporting Healthy Lives (การเสริมสร้างชีวิตที่มีสุขภาพดี) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Rising Istituto Galilei-Costa-Scarambone, Italy., Middleton International School, Singapore. และ Avanti House Secondary School, United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland.
นับเป็นความภูมิใจของประชาชนชาวไทยที่ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยเป็น 1 ใน 3 โรงเรียนสุดท้ายสำหรับรางวัลโรงเรียนยอดเยี่ยมระดับโลกปี 2024 รางวัล (World’s Best School Prizes 2024) ซึ่งรางวัลนี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์โควิดในปี พ.ศ. 2565 เพื่อเป็นเวทีให้กับโรงเรียนที่กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษาทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน โดยแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดของแต่ละโรงเรียน เพื่อช่วยปรับปรุงการศึกษาจากทุกมุมโลก
สำหรับผู้ชนะและผู้เข้ารอบสุดท้ายของรางวัลโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลก จะได้รับเชิญให้เข้าร่วม การประชุมสุดยอดโรงเรียนโลก ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 23-24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ซึ่งงานนี้จะเป็นงานที่ผู้นำด้านการศึกษาระดับโลกและโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลกมารวมตัวกันเพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้สอดรับกับบริบทของโลกในอนาคตข้างหน้าต่อไป