Sunday, 6 October 2024
COLUMNIST

‘Nieves Fernandez’ ผู้นำกองโจรต้านทัพญี่ปุ่น ผู้สังหารทหารญี่ปุ่นกว่า 200 นาย ในสงครามโลกครั้งที่ 2

รู้จักคุณครู Nieves Fernandez วีรสตรีแห่งฟิลิปปินส์ ผู้นำกองกำลังต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้สังหารทหารญี่ปุ่นมากกว่า 200 นาย

ในช่วงทศวรรษที่ 1930 จักรวรรดิญี่ปุ่น ได้เริ่มบุกรุกขยายดินแดนในทวีปเอเชียเพื่อเพิ่มพลังอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศตะวันตกและเอเชียหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาซึ่งมีดินแดนอาณานิคมขนาดใหญ่ในทวีปนี้ ต่อมาเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเหตุให้มีเริ่มสงครามระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่น เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพสหรัฐฯในภูมิภาคแปซิฟิกที่อ่าวเพิร์ลในปี 1941 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแปซิฟิกซึ่งเป็นพื้นที่ของความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าและรู้จักกันในชื่อสงครามโลกครั้งที่สอง

ในช่วงเวลานั้น ฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลเครือจักรภพแห่งฟิลิปปินส์ (ภายใต้สหรัฐฯ) พึ่งจัดตั้งขึ้น แต่เนื่องจากการที่ยุทธศาสตร์ทางการทหารของสหรัฐฯเน้นไปที่พื้นที่สงครามในยุโรปมากกว่า ทำให้กำลังทางทหารของสหรัฐฯและรัฐบาลเครือจักรภพแห่งฟิลิปปินส์จึงที่ด้อยกว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น จึงทำให้กองทัพญี่ปุ่นสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศฟิลิปปินส์ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีการต่อต้านอย่างหนักจากกองกำลังของสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์แล้วก็ตาม

คุณครู Nieves Fernandez น่าจะแต่งงานแล้วเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่คาดว่าเป็นของเธอ

พื้นที่แห่งหนึ่งที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครองก็คือเมือง Tacloban ที่ซึ่งคุณครู Nieves Fernandez อาศัยอยู่ ก่อนสงคราม เธอทำงานเป็นคุณครูของโรงเรียนในพื้นที่ มีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของเธอ นอกเหนือไปจากการเกิดในราวปี 1906 ซึ่งอาจเป็นเชื้อสาย Waray (ชนพื้นเมืองชาติพันธุ์หนึ่งในฟิลิปปินส์) และน่าจะแต่งงานแล้วเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่คาดว่าเป็นของเธอ ‘Nieves’ ชื่อของเธอเป็นภาษาสเปนแปลว่า ‘หิมะ’ และเธอเป็นที่รู้จักในฐานะ “ผู้หญิงผิวขาวกว่าผู้หญิงพื้นเมืองส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้” นักเรียนของเธอมักเรียกเธอว่า ‘Miss Fernandez’ ซึ่งเป็นชื่อที่เธอใช้ต่อไปหลังสงครามสิ้นสุดลง

ปืน 'Paltik'

ในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครอง ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และเขตเมืองโดยรอบของเกาะ Leyte ได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายจากทหารญี่ปุ่น รวมถึงการกดขี่ ขูดรีด ปล้น ฆ่า และข่มขืน คุณครู Fernandez กล่าวด้วยคำพูดของเธอเองว่า “ไม่มีใครสามารถเก็บอะไรไว้ได้ พวกเขาเอาทุกอย่างที่พวกเขาต้องการไป” คุณครู Fernandez เป็นหนึ่งในอีกหลาย ๆ คนที่ต่อสู้กับการยึดครองของญี่ปุ่นในฟิลิปปินส์ เธอเดินเท้าเปล่าและสวมชุดคลุม เธอเริ่มคัดเลือกชาวพื้นเมืองที่มีจำนวน 110 คน ในตอนแรกกลุ่มของเธอมีปืนเล็กยาวอเมริกันเพียงสามกระบอก โดยส่วนใหญ่ใช้ ปืน 'Paltik' (ปืนลูกซองทำเองจากแป๊บน้ำ) ระเบิดแสวงเครื่อง (จากปลอกกระสุนที่บรรจุตะปูเก่า ๆ ) และมีด Bolo ต่อมาพวกเขาได้หาซื้ออาวุธปืนของญี่ปุ่นและอเมริกันเพิ่มเติม แล้วทางใต้ของเมือง Tacloban ก็กลายเป็นสมรภูมิของคุณครู Fernandez และกองโจรของเธอกับกองทัพญี่ปุ่น

มีด Bolo

เธอได้รับฉายาว่า 'ผู้กอง Fernandez' และ 'ฆาตกรเงียบ (Silent killer)' ด้วยผลงานของเธอ โดยเธอได้ทำการฝึกฝนลูกน้องของเธออย่างแข็งขันทั้งในการผลิต-ดัดแปลงอาวุธ และการซุ่มโจมตี ตัวเธอเองมีความรู้ในการใช้มีด Bolo ระหว่างการซ่อนเร้นทั้งยังได้สาธิตให้ทหารอเมริกันที่พบเธอดูด้วย ปฏิบัติการของเธอทำให้กองทัพญี่ปุ่นต้องสูญเสียทหารไปกว่า 200 นาย และบังคับให้กองทัพญี่ปุ่นตั้งค่าหัวของเธอเป็นเงิน 10,000 เปโซ เธอได้รับบาดเจ็บสามครั้ง และได้ทิ้งรอยแผลเป็นบนหน้าผากอีกด้วย

ภาพประวัติศาสตร์ คุณครู Fernandez สาธิตการใช้มีด Bolo สังหารทหารญี่ปุ่น
ให้พลทหาร Andrew Lupiba ดู

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฟิลิปปินส์ก็ได้รับการปลดปล่อยจากการยึดครองของญี่ปุ่นในปี 1945 แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณครู Fernandez ในช่วงหลายปีหลังจากนั้น แม้ว่าจะมีข่าวว่า เธออาศัยอยู่ที่เมือง Tacloban จนอายุ 90 ปีกับลูกชายและหลาน ๆ ของเธอ 

ประวัติการต่อสู้ของคุณครู Fernandez ได้รับการบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ The Lewiston Daily Sun และ Associated Press ในปี 1944 เมื่อทหารอเมริกันมาเยี่ยมเธอหลังสงคราม Stanley Troutman หนึ่งในนั้น ได้ถ่ายรูปเธอขณะสอนพลทหารอเมริกัน Andrew Lupiba ฆ่าคนด้วยมีด Bolo ปัจจุบันภาพถ่ายประวัติศาสตร์นี้ถูกจัดเก็บโดยองค์กร Rare Historical Photos และ Dustin Koski จาก Top Tenz จัดให้คุณครู Fernandez อยู่ในอันดับที่ 8 ในรายชื่อ '10 สตรีที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์'

เปิดพอร์ต 'Man U' VS 'Spur' ในโลกแห่งการลงทุน 5 แพลตฟอร์มเด่น โกยรายได้สู่สโมสรขนานโม่แข้ง

คืนวันที่ 29 ก.ย.67 ที่ผ่านมาตามเวลาอังกฤษได้มีการแข่งขันฟุตบอลแมตช์สำคัญระหว่าง 'ผีแดง' แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด และ 'ไก่เดือยทอง' ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ผลการแข่งขันออกมา 0-3 ประตู ในเกมส์ว่าเดือดแล้ว ในโลกการลงทุนของทั้งสองทีมนี้ก็เดือดไม่แพ้กันค่ะ 

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Man Utd) และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (Tottenham Hotspur) เป็นสองสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่จากพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่มีศักยภาพ โดยแต่ละสโมสรก็มีลักษณะเด่นและช่องทางการลงทุนที่แตกต่างกันโดยแยกออกมาได้เป็น 5 หัวข้อ ดังนี้ค่ะ...

1.การลงทุนในหุ้นของสโมสร

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีการเปิดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ภายใต้ตัวย่อ 'MANU' ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นและเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของสโมสรได้ การซื้อขายหุ้นของแมนยูนั้นเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนทั่วโลกที่สนใจในอุตสาหกรรมกีฬา โดยราคาหุ้นของแมนยูอาจได้รับอิทธิพลจากผลงานการแข่งขันและรายได้จากการขายสินค้าและสปอนเซอร์ ในทางกลับกันสเปอร์ยังไม่มีการเปิดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้นักลงทุนไม่สามารถซื้อหุ้นได้โดยตรง แต่การลงทุนที่เกี่ยวข้องอาจผ่านทางบริษัท ENIC Group ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสรแทน

2.การลงทุนในสนามกีฬา

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดเป็นหนึ่งในสนามที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในโลก การลงทุนในธุรกิจรอบสนาม เช่น ร้านอาหาร, โรงแรม, และร้านขายสินค้าที่ระลึก จะได้รับผลประโยชน์จากการที่แฟนบอลเข้าชมการแข่งขันเป็นจำนวนมากทุกฤดูกาล ส่วน Tottenham Hotspur Stadium เป็นสนามใหม่ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีความสามารถในการจัดอีเวนต์ขนาดใหญ่ เช่น การแข่งขัน NFL จากอเมริกา นอกจากฟุตบอลแล้ว สถานที่นี้ยังสร้างโอกาสในการลงทุนในธุรกิจบันเทิงและกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย

3.การลงทุนในแบรนด์และลิขสิทธิ์สินค้า

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีสินค้าลิขสิทธิ์ที่ขายทั่วโลก เช่น เสื้อทีม, หมวก, และอุปกรณ์กีฬาต่าง ๆ การลงทุนในธุรกิจที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ในระยะยาว เนื่องจากแมนยูมีฐานแฟนบอลทั่วโลก ส่วนท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์เองก็มีการขายสินค้าที่ได้รับความนิยมเช่นกันค่ะ โดยเฉพาะสินค้า Nike ที่เป็นผู้สนับสนุนเสื้อแข่ง การลงทุนในสินค้าลิขสิทธิ์ของสเปอร์สเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้จากการเติบโตของแบรนด์

4.การลงทุนในพันธมิตรทางธุรกิจและสปอนเซอร์

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีพันธมิตรทางธุรกิจมากมาย เช่น Adidas, TeamViewer, และบริษัทระดับโลกอื่นๆ การลงทุนในบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ทางอ้อมจากความสำเร็จของสโมสร ส่วนท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์มีสปอนเซอร์หลักคือ AIA บริษัทประกันชีวิตขนาดใหญ่ รวมถึง Nike ที่เป็นพันธมิตรทางการตลาด และ

5.การลงทุนใน e-Sports และสื่อดิจิทัล

เนื่องจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีฐานแฟนบอลทั่วโลกที่เชื่อมโยงผ่านสื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย การลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือการถ่ายทอดสดออนไลน์ อาจช่วยขยายการเข้าถึงฐานแฟนบอลและสร้างรายได้ในอนาคตส่วนท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์เองเริ่มมีการเข้าสู่โลก e-Sports เช่นเดียวกับทีมใหญ่ทีมอื่นๆ การลงทุนในแพลตฟอร์มเกมหรือการสตรีมมิ่งการแข่งขันฟุตบอลเสมือนจริงสามารถสร้างรายได้จากวงการที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วค่ะ 

ทั้งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ต่างก็เป็นโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมกีฬา ขณะที่แมนยูมีช่องทางการลงทุนที่หลากหลายผ่านตลาดหุ้นและการเป็นสโมสรระดับโลก สเปอร์สก็ไม่ได้น้อยหน้าค่ะ ด้วยโครงสร้างสนามกีฬาทันสมัยและการขยายตัวในวงการบันเทิง ทำให้นักลงทุนอย่างพวกเราสามารถเลือกลงทุนตามความเหมาะสมของตนเองและสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจของทั้งสองทีมค่ะ 

โรงเรียนไทยเพียงแห่งเดียวที่เข้ารอบ 3 ทีมสุดท้าย การชิงรางวัลโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024

‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ตอนเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายรางวัลโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลก (ด้าน Innovation) ประจำปี 2024

อีกหนึ่งข่าวดีที่ไม่ได้มีการความแพร่หลายในสังคมไทย จนทำให้เราต่างก็ไม่ได้รับรู้ก็คือ ข่าวของ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ที่สามารถเข้ารอบ 3 ทีมสุดท้ายในการชิงรางวัลโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 (the World’s Best School Prizes 2024) 

‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ เป็นโรงเรียนเอกชนประเภทศึกษาสงเคราะห์ (การกุศล) สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดการศึกษาในระดับอนุบาล และประถมศึกษา ตั้งอยู่ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ มีภารกิจเพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันตามขีดความสามารถของปัจเจก เพื่ออุดช่องว่างทางการศึกษาของรัฐผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน โดยมีการจัดการศึกษาสมัยใหม่ในแบบเชิงรุก (Active Learning)

ภารกิจเพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันตามขีดความสามารถของปัจเจก เพื่ออุดช่องว่างทางการศึกษาของรัฐผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน โดยมีการจัดการศึกษาสมัยใหม่ในแบบเชิงรุก (Active Learning)

‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ตั้งขึ้นเพื่อให้โอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ แก่เด็กและครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนและบุคคลากรทางการศึกษาให้มีทักษะและสมรรถนะในศตวรรษที่ 21 ด้วยการที่โรงเรียนทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ และเผยแพร่ การจัดการเรียนแบบ Problem Based Learning (PBL) ในการเรียนรู้โดยใช้โครงงานและปัญหาเป็นฐาน, Makerspace ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตนเอง และ นวัตกรรม 3R (Reading, Writing and Arithmetic) ที่เน้นให้นักเรียนสามารถอ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนเตรียมพร้อมสู่โลกภายนอก

'มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม' (เจ้าของ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2548 โดย ดร.Richard Paul Haugland (ลุง Dick) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน นักประดิษฐ์ และนักสังคมสงเคราะห์ที่อุทิศตัวช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากผ่านโครงการและองค์กรต่าง ๆ ทั่วเอเชีย และเป็นผู้ซึ่งที่มีชื่อเสียงจากผลงานการวิจัยและการนำสีย้อมเรืองแสง (Fluorescent dyes) มาใช้ในเชิงพาณิชย์ และเป็นผู้ก่อตั้ง Molecular Probes เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ตั้งอยู่ในเมืองยูจีน มลรัฐโอเรกอน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านสีเรืองแสงประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในห้องทดลองทั่วโลก 

ในปี 1975 ดร.Haugland ได้ขาย Molecular Probes ให้กับ Invitrogen ในปี 2003 ด้วยเงินสดประมาณ 325 ล้านเหรียญ และได้โอนทรัพย์สินจำนวนมหาศาลเข้ามูลนิธิ Richard P. Haugland หลังจากนั้น ดร.Haugland ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในประเทศไทย โดยเป็นอาสาสมัครที่หมู่บ้านเด็ก ซึ่งเป็นบ้านและโรงเรียนสำหรับเด็กกำพร้าและเด็กยากไร้ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดกาญจนบุรี โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เขายังคงเป็นที่ปรึกษาให้กับ Invitrogen/Molecular Probes อีกด้วย

ดร.Richard Paul Haugland (ลุง Dick) (17 กรกฎาคม 1943 - 5 ตุลาคม 2016)

ความสนใจในประเทศไทยของดร.Haugland เริ่มต้นจากการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยกับกลุ่มสมาคมศิษย์เก่าแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 1988 เขา และ ดร.Rosaria ภรรยา ได้อุปถัมภ์เด็กในสถานสงเคราะห์ที่ยากจนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และในประเทศอื่น ๆ เป็นเวลาเกือบ 40 ปีผ่านทาง Plan International และได้ไปเยี่ยมเด็กในสถานสงเคราะห์เหล่านี้เกือบทุกปี 

จากประสบการณ์และความสนใจในด้านการศึกษาปฐมวัยที่ย้อนไปถึงสมัยที่เขาเป็นอาสาสมัครที่ Pine Point Indian School (ปี 1970 ถึง 1972) ดร.Haugland จึงตัดสินใจพัฒนาวิธีการและสื่อการสอนแบบมัลติมีเดียที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ความสนใจนี้ในที่สุดส่งผลให้เกิดการพัฒนาหลักสูตรการสอนคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ (ไทย-อังกฤษ) และภาษาไทยให้กับเด็กก่อนวัยเรียนและประถมศึกษา อันเป็นที่มาของ ‘มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม’ และ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ในเวลาต่อมา โดย ดร.Richard (ลุง Dick) ได้ใช้ชีวิตในประเทศไทยเพื่อทำงานตามเจตนารมณ์ในการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้คนโดยเฉพาะเด็ก ๆ จนกระทั่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมองเมื่อ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559)

สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งของ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ประกอบไปด้วย...

1. ให้โอการทางการศึกษาที่มีคุณภาพแก่เด็กในชุมชน
2. ให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านความรู้ ทักษะ สมรรถนะ และ เจตคติตามขีดความสามารถแห่งตน
3. มีระบบการบริหารตามอัตลักษณ์เชิงพื้นที่โดยเน้นสิ่งแวดล้อม การบูรณาการและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
4. มีนวัตกรรมการศึกษาด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนและการจัดการศึกษารวมทั้งขยายผลไปใช้สถานศึกษาอื่น
5. มีมาตรฐานวิชาชีพให้ครูและบุคคลากรทางด้านการศึกษาในศตวรรษที่ 21

‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 โดย ‘มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮมง เป็นผู้รับใบอนุญาต เริ่มแรกได้อนุญาตเป็นโรงเรียนประเภทการศึกษาสงเคราะห์ มาตรา 15(3) ระดับอนุบาล (ปฐมวัย) ชื่อ ‘โรงเรียนอนุบาลบ้านปลาดาว’ ในปี พ.ศ. 2551 ได้รับอนุญาตขยาย ชั้นเรียนเพื่อเปิดสอน ระดับประถมศึกษา ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ซึ่งเป็น โรงเรียนที่เปิดรับนักเรียน ไปกลับ มีอาคารเรียนจำนวน 2 หลัง อาคารประกอบการ 2 หลัง เปิดสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (ป.6)

‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ มีการสร้างนวัตกรรมการศึกษาของโรงเรียน ซึ่งสามารถครอบคลุมเรื่องหลักสูตร เช่น สร้างนวัตกรรมการศึกษานวัตกรรม 3R เพื่อช่วยให้เด็กได้อ่านออก เขียนได้ นวัตกรรม Makerspace เพื่อมุ่งเน้นให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตนเอง และเป็นโรงเรียนต้นแบบที่เปิดโอกาสให้หน่วยงาน ภายนอกเข้ามาศึกษาดูงาน ในเรื่องการจัดการเรียน การสอนแบบสมัยใหม่ และทำ ข้อตกลง (MOU) เพื่อนำนวัตกรรมการศึกษาของโรงเรียนไปใช้ ซึ่งในปัจจุบันมีมากกว่า 200 แห่ง ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ ได้รับรองมาตรฐานการศึกษา จาก สมศ. อยู่ในระดับ 'ดีเยี่ยม' ทั้งระดับปฐมวัย และระดับประถมศึกษา

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ มาจาก ความร่วมมือของทุนคนในทีม, เงินทุน, การบริหารจัดการ, การเข้าถึงข้อมูล และการปรับเป้าหมายและทิศทาง นอกจากนี้แล้วยังโครงการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาอื่น ๆ อาทิ...

1. สตาร์ฟิชเอ็ดดูเคชั่น (Starfish Education) เป็นโครงการริเริ่มที่เปิดตัวพร้อมกับภารกิจเพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันโดยผ่านโปรแกรมการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมใหม่และวิธีแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลยีในการพยายามอุดช่องว่างทางการศึกษาของรัฐผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน

2. สตาร์ฟิชเอ็ดดูเคชั่น แลป (Starfish Labz) ห้องปฏิบัติการสตาร์ฟิชเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์สำหรับครูและผู้ปกครอง ซึ่งพยายามที่จะแก้ไขช่องว่างการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จัดหาหลักสูตรออนไลน์ วิดีโอ และเวิร์กชอป แบบตัวต่อตัวให้กับผู้ปกครองและครู โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

สำหรับรางวัลโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 (the World’s Best School Prizes 2024) นั้นก่อตั้งโดย T4 Education ร่วมกับ Accenture, American Express, และ Lemann Foundation ซึ่งเป็นรางวัลทางการศึกษาที่มีเกียรติสูงสุดในโลก โรงเรียนที่ชนะในปีนี้จะได้รับเงินรางวัล $50,000 ดอลลาร์โดยแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่...

1. ด้าน Community Collaboration (ความร่วมมือกับชุมชน) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Colegio María de Guadalupe, Argentina., Salomé Ureña Leadership Academy MS 322, United States of America. และ Escola Estadual Deputado Pedro Costa, Brazil.

2. ด้าน Environmental Action (การดําเนินการด้านสิ่งแวดล้อม) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Ryan International School, Vasant Kunj, India., Dubai International Academy Emirates Hills, United Arab Emirates. และ 
Sint-Paulus, Belgium.

3. ด้าน Innovation (นวัตกรรม) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Starfish School (‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’), Thailand., CM RISE School Vinoba, Ratlam, India. และ Grange School, United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland.

4. ด้าน Overcoming Adversity (การเอาชนะต่ออุปสรรค) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Rising Academy Waterloo, Sierra Leone., The First Ukrainian School in Poland by the Unbreakable Ukraine Foundation, Poland. และ E-ACT Venturers’ Academy, United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland.

5. ด้าน Supporting Healthy Lives (การเสริมสร้างชีวิตที่มีสุขภาพดี) 3 โรงเรียนที่เข้ารอบ ได้แก่ Rising Istituto Galilei-Costa-Scarambone, Italy., Middleton International School, Singapore. และ Avanti House Secondary School, United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland.

นับเป็นความภูมิใจของประชาชนชาวไทยที่ ‘โรงเรียนบ้านปลาดาว’ สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยเป็น 1 ใน 3 โรงเรียนสุดท้ายสำหรับรางวัลโรงเรียนยอดเยี่ยมระดับโลกปี 2024 รางวัล (World’s Best School Prizes 2024) ซึ่งรางวัลนี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์โควิดในปี พ.ศ. 2565 เพื่อเป็นเวทีให้กับโรงเรียนที่กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษาทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน โดยแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดของแต่ละโรงเรียน เพื่อช่วยปรับปรุงการศึกษาจากทุกมุมโลก 

สำหรับผู้ชนะและผู้เข้ารอบสุดท้ายของรางวัลโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลก จะได้รับเชิญให้เข้าร่วม การประชุมสุดยอดโรงเรียนโลก ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 23-24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ซึ่งงานนี้จะเป็นงานที่ผู้นำด้านการศึกษาระดับโลกและโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลกมารวมตัวกันเพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้สอดรับกับบริบทของโลกในอนาคตข้างหน้าต่อไป

ขอบเขตสุดซับซ้อนแห่ง 'โลกนรก' ใต้ความเชื่อตามหลักศาสนาพุทธ 'หลากขุม-คลุมหลากบาป' เตือนใจยามดำรงชีวี ให้หมั่นทำแต่ความดี

(22 ก.ย. 67) วันนี้ขอนำเข้าเรื่องจากการเข้าวัดของผม โดยอุปนิสัยส่วนตัวผมเป็นคนชอบเข้าวัด แต่ช่วงหลัง ๆ เข้าวัดน้อยลงไปมาก เนื่องจากภารกิจส่วนตัว ทีนี้ได้มีโอกาสได้อ่านถึงเรื่องราวของวัดที่มีรูปปั้นจำนวนมากที่แสดงถึง นรก สวรรค์ เช่น วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี, วัดแสนสุข ฯ จ.ชลบุรี และ วัดป่าหลักร้อย จ.นครราชสีมา อย่าง 2 วัดหลังนี้ ทั้งชลบุรีและนครราชสีมา ผมได้เคยไปมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ถ้าไม่นับเรื่องของการหยอดทำบุญที่มีให้หยอดเยอะไปหมด ก็ไปอยู่หลายครั้ง 

ผมว่าสิ่งหนึ่งที่พอจะยกมาเป็นอนุสตินั่นก็คือ การได้ระลึกถึงศีล การได้ระลึกถึงความดี การได้ระลึกถึงความตาย เพราะรูปปั้นเหล่านั้นได้แสดงให้เห็นถึงผลจากกรรมต่าง ๆ ย้ำด้วยการนำเอาภาพทัศน์ของ 'นรก' มาเป็นกุศโลบายในการ 'ทำดี' ละเว้น 'ชั่ว' เพราะการ 'ทำชั่ว' มันเป็นหนทางไปสู่ 'นรก' 

จากตรงนี้แหละ ที่ผมอยากจะยกเอาเรื่องของ 'นรก' มาขยาย เล่าให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อให้เราได้รู้จัก 'นรก' กันมากขึ้น...

เริ่มต้นกับคำที่คุ้นเคย นั่นคือคำว่า 'นรกอเวจี' ผมเชื่อว่าคำนี้หลายคนคงรู้จัก แต่คุณรู้หรือไม่? ความจริงแล้ว 'อเวจี' เป็นแค่ส่วนหนึ่งของนรกเท่านั้น (ก่อนอื่นต้องบอกว่า 'นรก' ที่ผมยกมาเป็นความเชื่อทางพุทธศาสนา ส่วนใครจะมีนรกแบบไหน หรือเชื่อ / ไม่เชื่ออย่างไรแล้วแต่วิจารณญาณนะครับ) 

ทีนี้ถ้าอเวจีคือ ส่วนหนึ่งของนรก แล้วโลกของ 'นรก' หรือ 'นรกภูมิ' ในศาสนาพุทธนั้นเป็นอย่างไร ? 

'นรกภูมิ' คือ ดินแดนหนึ่งที่เชื่อกันว่าผู้ที่ทำบาปตอนยังเป็นมนุษย์เมื่อเสียชีวิตแล้วจะต้องไปเกิดในนรก และถูกลงโทษตามคำพิพากษาของพญามัจจุราช จาก 'ไตรภูมิกถา' นรกภูมิเป็นดินแดนหนึ่งในกามภพ อันเป็นหนึ่งในภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ รวมเรียกว่า 'ไตรภพ' หรือ 'ไตรภูมิ'

นรกของพระพุทธศาสนาต่างจากนรกของศาสนาอื่นๆ อยู่บ้าง เช่น ในศาสนาฝั่งตะวันตกนั้นเชื่อว่าเมื่อเราตายไป ทุกคนจะต้องไปรับคำพิพากษาในนรกภูมิ ซึ่งเป็นไปตามคำพิพากษาของพระเจ้า ไม่ใช่แค่เป็นเพราะบาปกรรมที่ตนได้กระทำเมื่อมีชีวิต หรืออย่างเรื่องระยะเวลาในการถูกลงโทษในนรก จะเป็นไปตามโทษานุโทษซึ่งอาจจะกินเวลานาน แต่ไม่ได้ยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ เมื่อพ้นโทษจากนรกแล้วจะได้กลับไปเกิดในโลกที่สูงขึ้นตามแต่กรรมดีที่ได้กระทำไว้หรือตามแต่ผลกรรมที่เหลืออยู่ แล้วแต่กรณี 

สำหรับ คติไตรภูมินั้น 'โลกนรก' หรือ 'นิรยภูมิ' เป็นส่วนหนึ่งของอบายภูมิหรือทุคติภูมิ 4 อันประกอบด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา มีนรกอีกหลายขุมซ้อนทับกันหลายชั้น แต่ละชั้นก็มีนรกบริวารรวมอีกนับร้อย โดยมี 'นิรยบาล' เป็นผู้ควบคุมการลงทัณฑ์ 

นิรยภูมิจะแบ่งออกเป็น 'มหานรก' หรือ 'นรกขุมใหญ่' ทั้งหมด 8 ขุม ตั้งซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ และแยกกันอย่างชัดเจนอยู่ลึกลงไปใต้โลกมนุษย์ เรียงจากชั้นบนสุดลงไปยังชั้นล่างสุด แต่ละขุมของมหานรกสามารถแบ่งตามโทษจากเบาสุดไปจนถึงหนักสุดได้ดังนี้...

1.) 'สัญชีวนรก' หรือ 'นรกไม่มีวันแตกดับ' เป็นนรกสำหรับผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่น สัตว์นรกจะถูกทรมานจากนิรยบาลด้วยสารพัดวิธีจากคมอาวุธจนตาย ก่อนที่ 'ลมกรรม' พัดมา ทำให้คืนชีพมารับโทษทัณฑ์ต่อ ต้อง เกิด-ตาย วนเวียนอยู่เช่นนั้นจนครบอายุขัย อายุของสัตว์นรกในสัญชีวนรก คือ 500 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์

2.) 'กาฬสุตตนรก' หรือ 'นรกเส้นด้ายดำ' เป็นนรกสำหรับผู้ที่ทำร้ายผู้มีพระคุณหรือทำลายชีวิตสัตว์โลก สัตว์นรกในขุมนี้จะถูกตีด้วยด้ายดำจนเป็นเส้นตามร่างกาย ก่อนจะถูกเฉือนด้วยคมอาวุธตามรอยนั้น อายุของสัตว์นรกในกาฬสุตตนรก คือ 1,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 3 โกฏิ (1 โกฏิ เท่า 10 ล้าน) กับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์

3.) 'สังฆาฏนรก' หรือ 'นรกบดขยี้' เป็นนรกสำหรับผู้ที่ไร้ความเมตตา ชื่นชอบการทารุณกรรม สัตว์นรกในขุมนี้จะถูกกระหน่ำตีด้วยค้อนเหล็กแล้วบดทับด้วยลูกไฟกับภูเขาเหล็ก อายุของสัตว์นรกในสังฆาฏนรก คือ 2,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 14 โกฏิกับอีก 5 ล้านปีโลกมนุษย์

4.) 'โรรุวนรก' หรือ 'นรกแห่งเสียงคร่ำครวญ' เป็นนรกสำหรับเหล่าคนโลภ ฉ้อโกง ร่างของสัตว์นรกขุมนี้ จะถูกตรึงให้นอนคว่ำหน้า หัว มือ และเท้าจมอยู่ในดอกบัวเหล็กที่เปลวเพลิงลุกท่วม ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ตาย อายุของสัตว์นรกในโรรุวนรก คือ 4,000 ปี โดย 1 วันของนรกขุมนี้เท่ากับ 23 โกฏิกับอีก 4 ล้านปีโลกมนุษย์ 

5.) 'มหาโรรุวนรก' หรือ 'นรกแห่งเสียงคร่ำครวญอย่างยิ่งยวด' เป็นนรกสำหรับคนจิตใจโหดเหี้ยม อำมหิต ทำความชั่วทั้งหลายด้วยจิตอาฆาตพยาบาท ดอกบัวเหล็กของนรกขุมนี้จะเพิ่มคมตามกลีบดอก โดยสัตว์นรกต้องจมอยู่ในดอกบัวเหล็กทั้งตัว อายุของสัตว์นรกในมหาโรรุวนรก คือ 8,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 921 โกฏิกับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์

6.) 'ตาปนรก' คือ 'นรกแห่งความร้อนรุ่ม' เป็นนรกสำหรับคนบาปที่เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ และความเห็นแก่ได้ สัตว์นรกขุมนี้จะถูกหลาวเหล็กแท่งใหญ่ราวต้นตาลเสียบพร้อมเปลวไฟพวยพุ่ง ก่อนถูกสุนัขนรกฉุดกระชากลงมากิน อายุของสัตว์นรกในตาปนรก คือ 16,000 ปี โดย 1 วันนรกเท่ากับ 1,842 โกฏิกับอีก 12 ล้านปีโลกมนุษย์

7.) 'มหาตาปนรก' คือ 'นรกแห่งความร้อนรุ่มอย่างยิ่งยวด' เป็นนรกสำหรับผู้ที่เคยฆ่าคนและฆ่าสัตว์เป็นหมู่มาก ๆ โดยไม่คำนึงถึงชีวิตผู้อื่น สัตว์นรกในขุมนี้ต้องอยู่ในกำแพงและภูเขาเหล็กที่เต็มไปด้วยหนามแหลม พร้อมลมกรดพัดพาร่างไปโดนหนามเสียบ อายุของสัตว์นรกขุมนี้คือ ครึ่งกัลป์ (1 กัลป์ เท่ากับระยะเวลาที่อายุของมนุษย์ไขลงจากอสงไขยปี จนถึง 10 ปี แล้วไขขึ้นจาก 10 ปี จนถึงอสงไขยปีอีกรอบ ครบ 1 คู่ เรียกว่า 1 กัลป์ ซึ่งอสงไขยปีเท่ากับเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว)

8.) 'อเวจีนรก' คือ 'นรกอันแสนสาหัสไร้ความปรานี' เป็นมหานรกที่ลึกและกว้างใหญ่ที่สุด เป็นนรกสำหรับผู้ทำกรรมหนักอย่างหาที่สุดมิได้ เช่น ฆ่าบุพการี ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต และยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก ขุมนรกขุมนี้ ล้อมด้วยกำแพงเหล็กที่เปลวไฟลุกท่วม สัตว์นรกจะถูกเพลิงเผาผลาญตามกรรมของตน ด้วยอิริยาบถต่างๆ ทั้ง นั่ง ยืน หรือนอน อยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม โดยมีหลาวเหล็กเสียบทะลุร่างตรึงให้อยู่กับที่ ไม่สามารถขยับร่างกายได้ อายุของสัตว์นรกในอเวจีนรก คือ 1 กัลป์

นอกจาก 'มหานรก' ทั้ง 8 ขุมแล้ว ในแต่ละขุมยังมี 'ยมโลกนรก' อยู่อีก 320 ขุม ใน 4 ทิศ ของมหานรก แบ่งไปทิศละ 10 ขุม เรียกว่า 'อุสสทนรก' ดังนี้... 

1.) 'คูถนรก' คือนรกที่เต็มไปด้วยหนอนตัวใหญ่คอยกัดกินสัตว์นรกที่ผ่านเข้ามา
2.) 'กุกกุฬนรก' คือนรกที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่านคอยเผาสัตว์นรกให้กลายเป็นจุณ
3.) 'อสิปัตตนรก' คือนรกที่มีต้นมะม่วงใหญ่หลอกล่อให้สัตว์นรกมาพักพิง แต่อย่าหวังจะได้พัก เพราะใบมะม่วงจะกลายเป็นหอกหล่นลงมาแทงสัตว์นรกเบื้องล่าง พอจะหนี ก็จะมีกำแพงเหล็กติดเปลวเพลิงขวางกั้นพร้อมสุนัขนรกและแร้งนรกคอยรุ่มฉีกกินสัตว์นรก
4.) 'เวตรณีนรก' คือนรกที่เต็มไปด้วยน้ำเค็มและเครือหวายหนามเหล็กล้อมสัตว์นรก ซึ่งหนามจะทิ่มแทงให้เกิดแผล นอกจากนั้นยังมีไฟลุกท่วมอยู่กลางน้ำกับดอกบัวกลีบคมที่มีเปลวเพลิงติดอยู่ตลอด โดยมีนิรยบาลใช้เบ็ดเกี่ยวลากขึ้นมาบนฝั่งเพื่อทำทัณฑ์ทรมานไปเรื่อย ๆ 

นอกจาก 'นรก' ที่อยู่ใต้โลกมนุษย์อย่าง 'นรกอเวจี' แล้วนั้น ยังมีนรกที่อยู่ไกลออกไปจากโลก ติดเชิงเขาจักรวาลอันไกลโพ้นเรียกว่า 'โลกันตนรก' เป็นมหานรกอีกขุมหนึ่ง ซึ่งเปิดรับผู้ที่กระทำทรมานบุพการีหรือทำร้ายผู้ทรงศีลโดยเฉพาะ 

ใน 'โลกันตนรก' มีสภาพมืดสนิท ไม่มีแสงดาว แสงเดือน หรือแสงตะวัน สัตว์นรกจะมีสภาพเสมือนคนหลับตาในเดือนดับข้างแรม สัตว์นรกที่มาเกิดในโลกันตนรก จะมีสภาพแปลกประหลาด มีสรีระร่างกายใหญ่โต มีเล็บมือและเล็บเท้ายาว ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวลงมาข้างล่างชั่วนิรันดร์และต้องทรมานอยู่ในความมืด หากพลัดตกลงจากเขา ก็จะไปตกในทะเลดำซึ่งเป็นน้ำกรดอันเย็นเฉียบ ทำให้ต้องรีบตะเกียกตะกายปีนกลับขึ้นไปห้อยโหนเช่นเดิม

จะเห็นได้ว่า 'นรก' ในทางศาสนาพุทธที่ผมเล่ามานั้น มีความซับซ้อนมากมายหลากหลายขุม ครอบคลุมสัตว์นรกผู้กระทำบาปแตกต่างกันไป แม้เรื่องของ 'นรก' อาจจะเป็นเพียงกุศโลบายที่ถูกบันทึกไว้เตือนใจ ในการดำรงตนให้อยู่ในศีลอันปกติ แต่อย่างน้อยการเตือนใจนี้ ก็ทำให้ชาวพุทธอย่างเราได้ระลึกอยู่เสมอว่า ในยามมีชีวิตอยู่นั้น เราควรกระทำแต่ความดี เมื่อจากไปแล้วจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกนรก ไม่ว่าจะขุมไหนก็ตาม

กรณีศึกษา 'สิงคโปร์' ประเทศที่ทายาททางการเมืองต้องมีคุณสมบัติสุดยอด ผ่านการ 'คัดเลือก-ฝึกฝน-บ่มเพาะ-ขัดเกลา-พิสูจน์ตน' จนไร้ข้อกังขา

เรื่องราวของการสืบทอดอำนาจเกิดขึ้นมานานนับพันปีแล้ว ตั้งแต่มีการกำเนิดก่อเกิดของรัฐชาติ (Nation State) ต่าง ๆ บนโลกใบนี้ เหล่าบรรดาผู้ปกครองในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ต่างก็มีการกำหนด วางตัว ผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการสืบทอดอำนาจต่อ ซึ่งมักจะเป็นลูกหลาน พี่น้อง วงศ์วานว่านเครือ หรือผู้ที่สนิทสนมใกล้ชิด 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว ผู้ปกครองที่ฉลาด มีความสามารถ และมีคุณธรรม จะพิจารณาถึง ความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมของทายาทผู้ที่จะสืบทอดก่อนเป็นเรื่อง แรก ๆ ส่วนเหตุผลอื่น ๆ เป็นเรื่องรองลงไป

ด้วยเพราะการดำรงคงอยู่รอดต่อไปได้ของรัฐชาตินั้น ๆ ผู้ปกครองต้องมี ความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปกครองนำพาบ้านเมืองให้สามารถดำรงคงอยู่และมีความเจริญก้าวหน้าต่อไปได้

'สิงคโปร์' ประเทศเกาะเล็ก ๆ ซึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นไม่ถึง 60 ปี แต่ความเจริญกลับก้าวข้ามมาเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาค ASEAN และเป็น 1 ใน 5 อันดับของประเทศที่เจริญที่สุดในทวีปเอเชีย และเป็นประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ ของโลกในการจัดอันดับอีกมากมายหลายประเภท ทั้ง ๆ ที่ทรัพยากรที่มากที่สุดของประเทศเกาะแห่งนี้คือ ‘ประชาชนพลเมืองชาวสิงคโปร์’ ราว 3,600,000 คนเท่านั้น

ทั้งนี้ การที่จะขับเคลื่อนผลักดันประเทศเล็ก ๆ อย่างสาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งแยกตัวออกจากสหพันธรัฐมาเลเซียเมื่อปี ค.ศ. 1959 และประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1965 จนกลายเป็นประเทศที่มีความทันสมัยก้าวหน้าจนติดอันดับโลกได้นั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวต้องมีวิสัยทัศน์ที่เยี่ยมยอด กอปรด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างมากล้น มีอุดมการณ์เสียสละเพื่อประเทศชาติอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ และเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพเป็นเลิศ

เริ่มที่ ‘Lee Kuan Yew’ (ลี กวนยู) อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกและรัฐบุรุษของสิงคโปร์ ผู้ที่ทำหน้าที่ ฟูมฟัก ก่อร่าง สร้างประเทศนี้ และดูแลจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต เป็นตัวอย่างที่ยากยิ่งที่จะหานักการเมืองคนอื่นใดในโลกมาเทียบเคียงได้ในทุก ๆ ด้าน ที่สำคัญคือ ยอมและกล้าที่จะก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นมายาวนานถึง 31 ปี (ตั้งแต่สิงคโปร์แยกตัวออกจากสหพันธรัฐมาเลเซีย) ด้วยวัย 67 ปีเท่านั้น และส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับ ‘Goh Chok Tong’ (โก๊ะ จ๊กตง) อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 2

ผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์คนต่อมา อย่าง ‘Goh Chok Tong’ (โก๊ะ จ๊กตง) สำเร็จการศึกษาเศรษฐศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์ ปริญญาโทด้านการพัฒนาเศรษฐกิจจากวิทยาลัย Williams มลรัฐ Massachusetts สหรัฐอเมริกา และกลับมาทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายแผนงานและโครงการของ Neptune Orient Lines Limited (NOL) บริษัท Container shipping สัญชาติสิงคโปร์ ก่อนที่จะเข้าสู่แวดวงการเมืองโดยเป็นสมาชิกรัฐสภา เขต Marine Parade ในปี ค.ศ. 1978 และอีก 3 ปีต่อมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรองนายกรัฐมนตรี ก่อนเข้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวัย 49 ปี ต่อจาก ‘Lee’ ในปี ค.ศ. 1990 

ต่อมาสำหรับ ‘Lee Hsien Loong’ (ลี เซียนลุง) ผู้เป็นบุตรชายของ ‘Lee Kuan Yew’ ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากบิดาตัวจริง ก็ได้ผ่านการ ฝึกฝน บ่มเพาะ ขัดเกลา และพิสูจน์ตัวเอง มาอย่างยาวนาน โดย ‘Lee’ ผู้ลูก สำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) สาขาคณิตศาสตร์จากวิทยาลัย Trinity มหาวิทยาลัย Cambridge สหราชอาณาจักร โดยทุนของคณะกรรมาธิการภาครัฐ (Public Service Commission) ประกาศนียบัตรชั้นสูง (เทียบเท่าปริญญาโท) สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน

Denis Marrian อาจารย์ผู้สอนของ ลี เซียนลุง อธิบายว่า 'Lee' เป็น 'นักคณิตศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดที่เคยมีในวิทยาลัย' และ Béla Bollobás อาจารย์ผู้สอนของเขาอีกคน กล่าวว่า “Lee คงจะเป็นนักคณิตศาสตร์วิจัยระดับโลก แต่พ่อของเขาไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ และให้ Lee กลับสิงคโปร์เพื่อเป็นนายทหารของกองทัพสิงคโปร์”

‘Lee’ ผู้ลูกเข้าเป็นทหารในปี ค.ศ. 1971 ก่อนที่จะเป็นนายทหารสัญญาบัตรระหว่างปี ค.ศ. 1974-1984 เขารับตำแหน่งต่าง ๆ ในกองทัพมากมาย รวมทั้งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการในปฏิบัติการช่วยเหลือในเหตุภัยพิบัติรถกระเช้า Sentosa เมื่อ 29 มกราคม ค.ศ. 1983 ซึ่งเป็นปีที่เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นพลจัตวา (เทียบเท่ากับพันเอกพิเศษ) ก่อนลาออกจากกองทัพเพื่อเข้าสู่วงการเมืองในปี ค.ศ. 1984 

สำหรับ ‘Lee Hsien Loong’ เป็นสมาชิกรัฐสภาสมัยแรกในเขต Teck Ghee ในปี ค.ศ. 1986 เขาได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ในปี ค.ศ. 1987 เขาได้เข้าเป็นสมาชิกคณะรัฐมนตรีเต็มรูปแบบในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และขึ้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของ ‘Goh Chok Tong’ ในปี ค.ศ. 1990 แล้วรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของสาธารณรัฐสิงคโปร์เมื่อ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2004 และก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นมา 19 ปีเศษในวัย 72 ปี แล้วส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับ ‘Lawrence Wong’ นายกรัฐมนตรีคนที่สี่ของสาธารณรัฐสิงคโปร์ วัย 52 ปี เมื่อ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2024

ต่อกันที่ นายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ‘Lawrence Wong’ (ลอว์เรนซ์ หว่อง) สำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) สาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Wisconsin วิทยาเขต Madison สหรัฐอเมริกา โดยทุนของคณะกรรมาธิการภาครัฐ (Public Service Commission) เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ‘Lee Hsien Loong’ ปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ประยุกต์จากมหาวิทยาลัย Michigan มลรัฐ Michigan สหรัฐอเมริกา และปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard University มลรัฐ Massachusetts สหรัฐอเมริกา

‘Lawrence Wong’ เริ่มต้นชีวิตการทำงานโดยเข้าทำงานในกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ย้ายมาอยู่กระทรวงการคลัง เป็นเลขานุการส่วนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรี ‘Lee Hsien Loong’ ระหว่างเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2005 ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 เขาดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสำนักงานตลาดพลังงาน และขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2009 และลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2011 เพื่อเข้าสู่วงการเมือง 

ในปี ค.ศ. 2011 ‘Wong’ เป็นสมาชิกรัฐสภาสมัยแรกในเขต West Coast และรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในปีเดียวกัน ต่อมาเขาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ชุมชน และเยาวชน พร้อมกับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศ 

หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 2015 ‘Wong’ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาประเทศ พร้อมกับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 2020 ‘Wong’ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ 14 เมษายน ค.ศ. 2022 เขาเข้ารับตำแหน่งแทนรองนายกรัฐมนตรี ‘Heng Swee Keat’

‘Lawrence Wong’ ได้เข้าพิธีสาบานตนอย่างเป็นทางการเมื่อเวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของประเทศ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก ‘Lee Hsien Loong’ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่เกิดหลังสิงคโปร์ได้ประกาศเอกราชในปี 1965 

โดยสุนทรพจน์ครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีของ ‘Wong’ มีความว่า “นี่คือคำสัญญาของผมที่มีต่อชาวสิงคโปร์ทุกคน ผมจะรับใช้พวกคุณด้วยหัวใจทั้งหมด ผมจะไม่ยอมรับสภาพเดิม ผมจะแสวงหาวิธีที่ดีกว่าเสมอเพื่อทำให้วันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้” และเขายังกล่าวอีกว่า ภารกิจของเขาในฐานะนายกรัฐมนตรีคือ “การฝ่าฟันอุปสรรคและรักษาปาฏิหาริย์ที่เรียกว่า ‘สิงคโปร์’ นี้ไว้ต่อไป” 

โดยสรุปแล้ว การที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประเทศเกาะเล็ก ๆ ซึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1965 ยังไม่ครบ 60 ปี สามารถสร้างความเจริญเติบโต จนมาเป็นประเทศอันดับหนึ่งของภูมิภาค ASEAN จึงไม่ได้มีการสืบทอดทายาททางการเมืองอย่างไร้ทิศทาง โดยไม่มีการเตรียมการหรือเตรียมพร้อม ทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของ ‘ประชาชนพลเมืองชาวสิงคโปร์กว่า 3,600,000 คน ซึ่งสะท้อนผ่านผลการเลือกตั้งที่เลือกนักการเมืองคุณภาพเข้ามาบริหารสิงคโปร์ได้อย่างแท้จริง 

ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ คงต้องมีสักวันหนึ่งที่พี่น้องประชาชนคนไทยจะได้ตระหนักรู้และเลือกนักการเมืองที่ถึงพร้อม ทั้งคุณภาพ และคุณสมบัติ มีวิสัยทัศน์ที่เยี่ยมยอด มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างล้นเหลือ เป็นคนดีมีศีลธรรม มีอุดมการณ์เสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหมดทั้งมวล 

ที่สำคัญ ต้องไม่มีแนวคิดบ่อนทำลายเซาะกร่อนความมั่นคงของชาติ ยึดมั่นใน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของชาติ เช่นนี้แล้วประเทศชาติจึงจะเดินหน้าไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างผาสุกและยั่งยืนตลอดไป...

ทึ่ง!! 'ไวรัลหมูเด้ง' เพิ่มมูลค่า 'เศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวไทย' ยอดเข้าชมสวนสัตว์พุ่ง สื่อระดับโลกสนใจ แบรนด์ใหญ่ๆ ร่วมไทอิน

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก 'หมูเด้ง' ฮิปโปฯ แคระจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ยิ่งในโลกที่การสื่อสารและการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมาก 'หมูเด้ง' จึงได้กลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านไวรัลคอนเทนต์ 

ความโด่งดังของหมูเด้งไม่เพียงส่งผลให้เกิดกระแสการท่องเที่ยวอย่างมหาศาลในท้องถิ่น แต่ยังช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจท้องถิ่นแถมยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในหลากหลายรูปแบบ

ปรากฏการณ์หมูเด้งนี้ได้นำไปเราสู่...

1. การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว กระแสไวรัลของหมูเด้งดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายให้เข้าชมสวนสัตว์ เปิดโอกาสให้สวนสัตว์เขาเขียวสามารถเพิ่มรายได้จากค่าบัตรเข้าชม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงวันธรรมดาเพิ่มขึ้นเป็น 3,000-4,000 คนจากปกติที่มีเพียง 800-1,200 คนต่อวัน การเติบโตนี้ยังต่อยอดไปถึงการส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นรอบ ๆ สวนสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ที่พัก และของที่ระลึก

2. การขยายโอกาสทางการตลาด นอกจากการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว หมูเด้งยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ ๆ เช่น การผลิตแฟนอาร์ต และเครื่องสำอางที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผิวพรรณของหมูเด้ง แบรนด์เครื่องสำอางใหญ่ ๆ เช่น SEPHORA ยังออกคอนเทนต์โฆษณาที่นำเสนอเทรนด์การแต่งหน้าแบบ 'แก้มอมชมพู' จากหมูเด้ง ทำให้การตลาดสามารถขยายตัวไปสู่หลายภาคส่วนอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน รวมถึงมีการผลิตสินค้าที่ระลึกน้องหมูเด้งมาเพื่อตอบรับกระแสความนิยมที่มีในตัวน้องทั้งกางเกงหมูเด้ง เสื้อหมูเด้ง เป็นต้น

3. การดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ หมูเด้งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ความนิยมในประเทศไทย แต่ยังได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศ เช่น TIME และ CNN ก็ได้กล่าวถึงเสน่ห์ของหมูเด้งและความน่ารักที่ทำให้น้องมีแฟนคลับทั่วโลก ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชมสวนสัตว์เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดรายได้จากภาคการท่องเที่ยวในระดับชาติที่สูงขึ้นด้วย

การปรากฏตัวของ 'หมูเด้ง' จึงได้แสดงให้เห็นถึงพลังของไวรัลคอนเทนต์ที่ไม่เพียงสร้างความสนใจ แต่ยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศได้อย่างมหาศาลอีกด้วยค่ะ 

'พระนิรันตราย' พระผู้ 'ปราศจากอันตราย' พระพุทธรูปสำคัญสมัย 'รัชกาลที่ ๔'

‘พระนิรันตราย’ พระสำคัญของชาติอีกองค์หนึ่ง ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในหอพระสุราลัยพิมาน ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง เป็นพระพุทธรูปโบราณสององค์ซ้อนกัน 'องค์เดิม' (องค์เดิมอยู่ด้านในก่อนสร้างอีกองค์ใหม่ / องค์นอก) เป็นพระพุทธรูปทองคำ ศิลปะแบบทวารวดี ราวพุทธศตวรรษ ๑๔-๑๕ ขนาดหน้าตักกว้าง ๓ นิ้ว องค์สูง ๔ นิ้ว ขัดสมาธิเพชร ข้อพระบาทไขว้กันอย่างหลวม ๆ พระหัตถ์ประสานกันบนพระเพลา โดยพระหัตถ์ขวาซ้อนเหนือพระหัตถ์ซ้าย 

ส่วนพระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงเป็นเส้นติดต่อกันคล้ายปีกกา พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกป้าน พระโอษฐ์ค่อนข้างกว้าง พระกรรณยาวเกือบจรดพระอังสะ พระเศียรประกอบด้วยขมวดพระเกศา มีเกตุมาลาอยู่เบื้องบนปราศจากรัศมี องค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์เรียบ ไม่มีริ้ว ห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวาของอุตราสงค์พาดผ่านข้อพระกรซ้าย ประทับนั่งบนปัทมาสน์ (ฐานดอกบัว) มีกลีบบัวคว่ำบัวหงายประกอบทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ซึ่งฐานปัทมาสน์นี้ได้สร้างเพิ่มเติมในภายหลัง

ใน 'ตำนานพระพุทธรูปสำคัญ' พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า เป็นพระพุทธรูปที่กำนันอินและนายยังบุตรชาย ไปพบขณะขุดหามันนกในบริเวณชายป่าห่างจากดงศรีมหาโพธิ์ประมาณสามเส้น พบเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองคำ จึงได้นำมามอบให้ 'พระเกรียงไกรกระบวนยุทธ' ปลัดเมืองฉะเชิงเทรา โดยขุดพบเมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๙๙ พระเกรียงไกรกระบวนยุทธจึงบอกกรมการเมืองและ 'พระยาวิเศษฤๅไชย' เจ้าเมืองฉะเชิงเทรา กรมการเมืองฉะเชิงเทราทั้งหลายจึงพร้อมใจกันนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จากนั้นพระองค์ก็ได้สอบถามที่ไปที่มาและได้พระราชทานเงินตรากับกรมการเมือง และ ๒ พ่อลูก โดยมีบันทึกไว้ว่า...

“สองพ่อลูกมีกตัญญูต่อพระพุทธศาสนาและพระเจ้าแผ่นดิน ขุดได้พระทองคำแล้วไม่ทำลาย หรือซื้อขายเป็นประโยชน์ส่วนตัว แล้วยังมีน้ำใจมาทูลเกล้าฯ ถวาย…” พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดฯ พระราชทานเงินตราให้เป็นรางวัล ๗ ชั่ง แล้วมีพระบรมราชโองการดำริให้ช่างทำฐานเงินกะไหล่ทองประดิษฐานไว้

จากนั้นจึงโปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธรูปทองคำไปประดิษฐาน ณ หอพระเสถียรธรรมปริตรคู่กับพระกริ่งทองคำองค์น้อย และพระพุทธรูปสำคัญอื่น ๆ อีกหลายองค์ โดยที่พระทองคำองค์นี้ยังไม่มีพระนามใด ๆ 

ที่มาแห่งชื่อ 'นิรันตราย' นั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ เกิดมีขโมยได้มาลักเอาพระกริ่งทองคำองค์น้อยไปถึงในหอพระ แทนที่จะลักพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่กว่า และอยู่คู่กัน พระองค์ทรงมีพระราชดำริความว่า “พระพุทธรูปซึ่งกำนันอินทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นทองคำทั้งแท่งและใหญ่กว่าพระกริ่ง ควรที่คนร้ายจะลักเอาองค์ใหญ่ไป แต่กลับละไว้ เช่นเดียวกับผู้ที่ขุดได้ไม่ทำอันตราย เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่แคล้วคลาดถึง ๒ ครั้ง” พระองค์จึงทรงถวายพระนามพระพุทธรูปทองคำว่า 'พระนิรันตราย' แปลว่า 'ปราศจากอันตราย' และโปรดเกล้าฯ ให้ หล่อองค์ใหม่ครอบองค์เดิมมาจนถึงทุกวันนี้ 

โดยรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ พระราชทานแบบส่วนให้ 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' และกลุ่มช่างในพระองค์ หล่อพระพุทธรูปประทับสมาธิเพชรให้ต้องตามพุทธลักษณะด้วยทองคำบริสุทธิ์ ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้วครึ่ง สวมครอบพระพุทธรูปนิรันตรายองค์เดิมอีกชั้นหนึ่ง และให้หล่อด้วยเงินบริสุทธิ์อีกองค์เป็นคู่กัน โปรดเกล้าฯ ให้ถวายพระนามว่าพระนิรันตรายทุกองค์ เฉพาะองค์ทองคำให้เชิญไปประดิษฐานในพระแท่นมณฑลในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ อาทิ พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ (พิธีทำบุญตรุษตัดส่งปีเก่า) พระราชพิธีสงกรานต์ 

ปัจจุบันเจ้าพนักงานภูษามาลายังคงรักษาแบบแผนโบราณราชประเพณี โดยอัญเชิญพระนิรันตรายไปประดิษฐานในพระราชพิธีสำคัญ ๆ ต่าง ๆ อาทิ ในการบำเพ็ญพระราชกุศลวันเฉลิมพระชนมพรรษา และงานพระราชกุศลที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัด ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นต้น  

กลับมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ กันต่อ นอกจากพระองค์จะทรงหล่อ พระองค์ใหม่ / องค์นอก ครอบพระองค์เดิมแล้วนั้น ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูปพิมพ์เดียวกันพระนิรันตราย (องค์นอก) เนื้อทองเหลือง มีลักษณะเพิ่มเติมจากพระนิรันตรายเดิม คือ ประดับด้วยซุ้มเรือนแก้ว ทำเป็นพุ่มพระศรีมหาโพธิ์ประกอบ ยอดซุ้มประดับลายพระมหามงกุฎ และจารึกบท 'อิติปิโส ภควา' ๙ วรรค เป็นอักษรขอมประดับตามซุ้ม ส่วนฐานประดับรูปโค เจาะรูบริเวณปากโค น้ำสรงพระนิรันตรายจะไหลออกทางปากโค ซึ่งศีรษะโค แสดงเครื่องหมายพระสกุล 'โคตมะ' ของพระพุทธเจ้า จัดสร้างขึ้นจำนวน ๑๘ องค์เท่ากับปีที่ครองราชย์ เพื่อพระราชทานพระอารามฝ่ายธรรมยุต จำนวน ๑๘ แห่ง แต่ยังไม่กะไหล่ทองก็สวรรคตเสียก่อน 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างดำเนินการต่อจนแล้วเสร็จและนำไปพระราชทานยังวัดธรรมยุตตามพระราชประสงค์ของพระบรมราชชนก โดยวัดทั้ง ๑๘ แห่ง ได้แก่...

๑.วัดบวรนิเวศวิหาร 
๒.วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม 
๓.วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม 
๔.วัดเสนาสนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา 
๕.วัดนิเวศธรรมประวัติฯ จ.พระนครศรีอยุธยา 
๖.วัดบรมนิวาส 
๗.วัดมกุฏกษัตริยาราม 

๘.วัดเทพศริรินทราวาส 
๙.วัดโสมนัสวิหาร 
๑๐.วัดราชาธิวาส 
๑๑.วัดเขมาภิรตาราม จ.นนทบุรี 
๑๒.วัดปทุมวนาราม 
๑๓.วัดราชผาติการาม 
๑๔.วัดสัมพันธวงศาราม 
๑๕.วัดเครือวัลย์ 
๑๖.วัดบุปผาราม 
๑๗.วัดบุรณศิริมาตยาราม 
๑๘.วัดยุคันธราวาส จ.นนทบุรี

สำหรับท่านที่อยากไปสักการะพระนิรันตรายนั้นสามารถไปได้ตามรายชื่อวัดดังกล่าว เพียงแต่อาจจะต้องสอบถามก่อนว่าเปิดให้เข้าสักการะหรือไม่ 

เชื่อว่าถ้าท่านผู้อ่าน ๆ ได้เข้าไปสักการะองค์พระแล้ว ก็จะได้ 'ปราศจากอันตราย' เช่นเดียวกับนามขององค์พระ

‘รอยยิ้มกังฉิน’ สิ้นชื่อ!! เมื่อชาวเน็ตจีนลุกฮือล้วงอดีตฉาว สะท้อน!! คอร์รัปชันเหนือความดี แม้กฎหมายจะแรง...แต่กล้าเสี่ยง

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 ที่มณฑลซานซี ประเทศจีน เมื่อมีการเผยแพร่ภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ยืน ‘ยิ้ม’ ท่ามกลางสาธารณชนอยู่ในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุรถชนครั้งใหญ่ ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าวมากถึง 36 ราย ใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงทำให้ชาวเน็ตชาวจีนที่มี ‘อารมณ์อ่อนไหว’ ได้พากันเร่งรีบตรวจสอบประวัติส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รายนี้

ในเวลาไม่ถึง 5 วัน ชาวเน็ตชาวจีนได้รวบรวมนาฬิกายี่ห้อต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนนี้สวมใส่ในที่สาธารณะ รวมทั้งหมด 11 ยี่ห้อ โดยมีราคาตั้งแต่ 10,000 หยวนถึง 500,000 หยวน ซึ่งเป็นราคาที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนทั่วไปไม่น่าที่จะซื้อหามาครอบครองได้

2 วันต่อมา นักศึกษาวิทยาลัยในท้องถิ่นได้ยื่นคำร้องขอการเปิดเผยข้อมูลของรัฐบาลต่อกรมการคลังของจังหวัด โดยขอรายการเงินเดือนประจำปี 2011 และการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของ ‘เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้ยิ้มแย้ม’ จากอุบัติเหตุรถชนครั้งใหญ่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ยิ้มแย้มได้ปฏิเสธ โดยอ้างว่านาฬิกาทั้งหมดของเขาซื้อโดยใช้รายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย (นั่นคือตอนที่รัฐบาลกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง)

หลังจากที่ ‘เจ้าหน้าที่ผู้ที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม’ ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี ผู้คนจึงได้ตระหนักว่าเขามีใบหน้าที่ยิ้มแย้มโดยธรรมชาติ รอยยิ้มของเขาเป็นการแสดงออกบนใบหน้าตามปกติธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว ชายคนนี้เป็นที่รู้จักในประเทศจีนในนามของ ‘ไอ้หนุ่มนาฬิกา’

ภาพนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่คิดว่าเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุดของการทุจริตของรัฐบาล เมื่อ ‘หลี่เค่อเฉียง’ นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมเดินทางไปด้วย การแสดงออกของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้นี้เป็นการบอกว่า "ไม่ ผมไม่ได้ใส่นาฬิการาคาแพง" ซึ่งทำให้ชาวเน็ตจีนก็พากันขุดเอาภาพเก่า ๆ ของเขาขึ้นมา และพบว่าเขามีนาฬิการาคาแพงจริง ๆ หลายเรือน ต่อมาชายคนนี้ก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีเช่นกัน ซึ่งเขาเป็นที่รู้จักในประเทศจีนในนามของ ‘ไอ้หนุ่มไม่มีนาฬิกา’

หากแบ่งแบบคร่าว ๆ แล้ว การทุจริตคอร์รัปชันที่พบได้ทั่วไปในประเทศจีน มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ การทุจริต / การแสวงหาผลประโยชน์ และ การยักยอกเอาทรัพย์สินของชาติ (หาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่)

>> การทุจริตเป็นพฤติกรรมที่พบบ่อยที่สุด ประกอบไปด้วย การติดสินบน คือ การให้สินบนที่ผิดกฎหมาย / การยักยอกทรัพย์และการขโมยเงินของรัฐ / การทุจริตเกี่ยวข้องกับสิ่งของมีค่าที่มอบให้และยอมรับโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อจุดประสงค์ที่ไม่ซื่อสัตย์หรือผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ใช้จ่ายเงินของรัฐอย่างฉ้อฉลหรือใช้เงินของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง

>> ส่วนการแสวงหาผลประโยชน์ หมายถึง พฤติกรรมทุจริตทุกรูปแบบ โดยบุคคลที่มีอำนาจผูกขาด-เจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้รับ ‘ส่วย’ ซึ่งเป็นรายได้เพิ่มเติมอันเป็นผลจากตลาดที่ถูกจำกัด ด้วยการให้ใบอนุญาตหรือการผูกขาดแก่ลูกค้า และการแสวงหาผลประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่มอบค่าเช่าให้กับผู้ที่สนับสนุนพวกเขา ซึ่งกรณีนี้จะคล้ายกับการคอร์รัปชันของจีน ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นทั้งผู้หาผลประโยชน์และผู้แสวงหาผลประโยชน์ โดยทั้งคู่จะมีลักษณะของการสร้างโอกาสในการหาผลประโยชน์ให้กับผู้อื่น และแสวงหาโอกาสดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของตนเอง ซึ่งอาจรวมถึงการแสวงหากำไรโดยเจ้าหน้าที่หรือบริษัทของเจ้าหน้าที่ การกรรโชกในรูปแบบของการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ผิดกฎหมาย

>> การหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ หมายถึง เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะได้รับสิทธิพิเศษและ

ผลประโยชน์ผ่านตำแหน่งนั้น ด้วยตำแหน่งหน้าที่ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าหรือการชำระเงินสำหรับกิจกรรมจริงหรือปลอม และองค์กรต่าง ๆ จะถูกเปลี่ยนจากสถานที่ทำงานเป็น ‘ธนาคารทรัพยากร’ ซึ่งบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ แสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง คอร์รัปชันนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเงิน แต่รวมถึงการแย่งชิงสิทธิพิเศษของทางการ การทำข้อตกลงลับ การอุปถัมภ์ การเล่นพรรคเล่นพวก การใช้เส้นสาย

ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียที่ทำให้ชาวเน็ตจีนยังคงเฝ้าติดตามการทุจริตต่อไป

8 วิธีการลงโทษสตรีที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ การกดขี่จากบุรุษเพศ ที่ ‘สตรีต้องนิ่งเฉยและเชื่อฟัง’

ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านมา 'สตรี' มักเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษอย่างรุนแรงและน่าสยดสยอง ซึ่งสะท้อนถึงความเหยียดเพศและเกลียดชังที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมต่าง ๆ 

ที่สำคัญการลงโทษสุดโหดร้ายเหล่านี้ ถูกวางให้เป็นเครื่องมือในการรักษาและจัดระเบียบทางสังคมโดยมีบุรุษเป็นใหญ่ เพื่อใช้ในการควบคุม ป้องปราม และเข้มงวดต่อพฤติกรรมของสตรี 

บทความนี้จะเจาะลึกประวัติศาสตร์อันมืดมนของการลงโทษเหล่านี้ โดยตรวจสอบต้นกำเนิด วิธีการ และทัศนคติของสังคมที่สนับสนุนความโหดร้ายที่รุนแรงดังกล่าว ที่กลายมาเป็นมรดกอันมืดมนตลอดห้วงประวัติศาสตร์ ภายใต้บรรทัดฐานทางสังคม ที่มักจะมีอคติต่อสตรีมาเป็นตัวตัดสินอย่างชัดเจน 

ทั้งนี้ วิธีการลงโทษที่ใช้กับสตรี มักถูกออกแบบมาเพื่อมุ่งเป้าไปยัง ร่างกาย พฤติกรรม และบทบาทของพวกเธอในสังคม โดยการลงโทษเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้แค้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาโครงสร้างสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ ซึ่งสตรีถูกคาดหวังให้ต้องยอมจำนนและเงียบเฉย ตั้งแต่ยุโรปในยุคกลาง ไปจนถึงการล่าแม่มดในโลกยุคใหม่ 

แล้วการลงโทษที่เลวร้ายที่สุดบางส่วนที่สตรีต้องเผชิญ มีอะไรบ้าง?

1. ‘บังเหียนสำหรับหญิงปากมาก’ (The Scold’s Bridle) : อุปกรณ์ที่ทำให้สตรีที่พูดตรงไปตรงมาเงียบเสียง อังกฤษและสกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 16 และ 17 สตรีที่ถูกมองว่า พูดตรงไปตรงมาหรือชอบแสดงความคิดเห็น มักจะถูกลงโทษด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า 'หน้ากากโลหะ' หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘Branks’ ออกแบบมาเพื่อทำให้ผู้ถูกสวมใส่เงียบเสียงโดยการล็อกศีรษะและใส่ที่ปิดปากที่มีหนามแหลมคมเข้าไปในปาก ซึ่งสามารถเจาะลิ้นได้หากสตรีผู้นั้นพยายามที่จะพูด ซึ่งไม่เพียงแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้สวมใส่ได้รับความอับอายอีกด้วย เนื่องจากสตรีเหล่านั้นมักจะถูกพาเดินไปตามท้องถนนพร้อมกับสวมมัน 

สำหรับการลงโทษนี้ เป็นความพยายามที่ชัดเจนในการบังคับใช้บรรทัดฐานทางสังคมที่กำหนดว่าสตรีควรได้รับการมองเห็น แต่ไม่ควรได้รับการได้ยิน เป็นเครื่องมือที่ทั้งในการสร้างความเจ็บปวดทางร่างกายและการควบคุมทางสังคม ช่วยให้สตรีที่พูดจาไม่สมควรได้รับความอับอายต่อหน้าธารกำนัล ผลกระทบของการลงโทษนี้ขยายออกไปไกลเกินกว่าความเจ็บปวดทางร่างกาย เนื่องจากตอกย้ำความเชื่อของสังคมในยุคนั้นที่ว่า ‘สตรีต้องนิ่งเฉยและเชื่อฟัง’

2. ‘ไวโอลินของหญิงปากร้าย’ (The Shrew’s Fiddle) : เครื่องมือสำหรับควบคุมสตรีที่ 'ดื้อรั้น' เช่นเดียวกับ ‘บังเหียนสำหรับหญิงพูดมาก’ โดย ‘ไวโอลินของหญิงปากร้าย’ เป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่ใช้ลงโทษสตรีที่ถูกมองว่าดื้อรั้นหรือเป็นอิสระเกินไป ซึ่งอุปกรณ์นี้จะล็อกศีรษะและมือของสตรีไว้ในโครงสร้างไม้เพียงอันเดียว ทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่ได้และถูกบังคับให้ต้องทนกับการล้อเลียนในที่สาธารณะ 

ทั้งนี้ คำว่า 'Shrew' มักใช้เพื่ออธิบายถึงสตรีที่ไม่ปฏิบัติตามบทบาทที่ต้องยอมจำนนตามที่สังคมคาดหวัง Shrew's Fiddle เป็นการลงโทษทั่วไปในบางส่วนของยุโรป โดยเฉพาะในเยอรมนีและออสเตรีย ซึ่งใช้เพื่อบังคับให้สตรีต้องยอมจำนน เป็นการเน้นย้ำถึงความพยายามที่สังคมในยุคนั้นจะดำเนินการเพื่อรักษาการกดขี่และบังคับควบคุมสตรี

3. ‘การล่าแม่มดและการเผา’ (Witch Hunts and Burnings) : การข่มเหงทางเพศขั้นสุดยอด บทหนึ่งในประวัติศาสตร์การลงโทษสตรีที่โหดที่สุดคือ การล่าแม่มดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 18 สตรีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มักถูกทรมานอย่างโหดร้าย เพื่อให้รับสารภาพก่อนจะถูกประหารชีวิต โดยปกติแล้วจะถูกเผาโดยผูกไว้กับเสา 

ทั้งนี้การล่าแม่มด ยังเป็นการแสดงออกถึงการเกลียดชังสตรีที่หยั่งรากลึก โดยสตรีที่เบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานทางสังคมหรือผู้ที่เปราะบาง (เช่น แม่ม่ายหรือหมอแผนโบราณ) จะถูกมองว่าเป็นพวกแม่มด ความกลัวและความเกลียดชังสตรีที่ถูกมองว่ามีอำนาจเหนือโครงสร้างสังคมที่บุรุษครอบงำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตด้วยสาเหตุนี้หลายหมื่นคนทั่วทั้งยุโรปและอเมริกาในยุคอาณานิคม 

โดยวิธีการที่ใช้ในการทรมานสตรีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนั้นหลากหลายและน่าสยดสยอง ด้วยเทคนิคต่าง ๆ ได้แก่ การยืดแขนขาของเหยื่อให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ และการแช่น้ำ โดยให้สตรีแช่น้ำเย็นเพื่อตัดสินความผิดของตนเอง และผู้ที่ลอยน้ำถือเป็นแม่มด ส่วนผู้ที่จมน้ำถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะที่การพิจารณาคดีก็ใช้วิธีพิสดารและป่าเถื่อน โดยมักมีการบังคับให้สารภาพภายใต้การบังคับทารุณอย่างหนัก จนผู้ถูกทรมานต้องรับสารภาพและไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประหารชีวิตได้

4. ‘เก้าอี้คุกเข่าและเก้าอี้ก้มตัว’ (The Cucking and Ducking Stools) : จากความอับอายสู่ความตาย ‘เก้าอี้คุกเข่า’ (The Cucking Stools) เป็นเก้าอี้ไม้ที่ใช้สำหรับมัดสตรีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด เช่น ดุด่า ล่วงประเวณี หรือทำผิดกฎหมาย ต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล สตรีผู้นั้นจะถูกมัดกับเก้าอี้และต้องเดินไปตามถนน โดยถูกล้อเลียนและข่มเหงจากประชาชน ซึ่ง ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ (The Ducking Stools) เป็นรูปแบบที่โหดร้ายมาก โดยสตรีผู้นั้นจะผูกติดกับเก้าอี้ซึ่งผูกติดกับคันโยกยาว และถูกจุ่มลงไปในแม่น้ำหรือบ่อน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเก้าอี้ก้มตัวนั้น ถือเป็นการทรมานที่อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากหากทำซ้ำ ๆ อาจทำให้สตรีผู้นั้นจมน้ำจนเสียชีวิตได้ 

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงจาก ‘เก้าอี้คุกเข่า’ เป็น ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ แสดงถึงความรุนแรงของการลงโทษสตรีที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่า แต่เดิม ‘เก้าอี้คุกเข่า’ จะเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับการทำให้ขายหน้าในที่สาธารณะเป็นหลัก แต่ ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ ยังเพิ่มองค์ประกอบของความรุนแรงทางกายภาพอีกด้วย วิธีนี้มักใช้กับสตรีที่ถูกกล่าวหาว่าทำพิธีกรรมเวทมนตร์หรือก่ออาชญากรรม 'ทางศีลธรรม' อื่น ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเต็มใจของสังคมที่จะทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมในยุคนั้น

5. การทำร้ายร่างกายและการตีตรา (Mutilation and Branding) : ตราบาปตลอดชีวิต ในบางวัฒนธรรม สตรีที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดี เช่น ล่วงประเวณีหรือค้าประเวณี จะถูกทำร้ายร่างกายเพื่อเป็นการลงโทษ ที่อาจรวมถึงการตัดจมูกหรือหู ซึ่งเป็นการกระทำที่ตั้งใจจะทำเครื่องหมายให้สตรีผู้นั้นเป็นคนนอกสังคมอย่างถาวร โดยในยุคกลาง ตัวอย่างเช่น ในฝรั่งเศส สตรีที่ถูกกล่าวหาว่าล่วงประเวณีอาจถูกตัดจมูก ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ดำเนินมาในรูปแบบต่าง ๆ จนกระทั่งถึงยุคสมัยใหม่ตอนต้น โสเภณีมักถูกตีตราด้วยเหล็กเผา มักจะตีที่ใบหน้าหรือไหล่ เพื่อให้พวกเธอได้รับการตราหน้าว่าทำผิดตลอดชีวิต หรือนายทาสมักจะตีตราเครื่องหมายบนตัวทาส

ทั้งนี้ การทำร้ายร่างกายมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เป็นการลงโทษที่สร้างความเจ็บปวดในทันที ซึ่งจะส่งผลตามมาในระยะยาว และยังเป็นการเตือนใจถึงการกระทำผิดของสตรีผู้นั้นด้วย ที่สำคัญการตีตราโสเภณี ไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการควบคุมอีกด้วย โดยการตีตราสตรีเหล่านี้ เป็นการสร้างสถานะที่ถูกละเลยของพวกเธอของสังคมในสมัยนั้น และรับรองว่าพวกเธอจะไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างสมบูรณ์

6. วงล้อทำลายล้างและความน่ากลัวอื่น ๆ ในยุคกลาง (The Breaking Wheel and Other Medieval Terrors) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า 'วงล้อแคทเธอรีน' เป็นอุปกรณ์ที่น่ากลัวซึ่งใช้ในยุโรปยุคกลางเป็นหลัก โดยการมัดเหยื่อไว้กับวงล้อไม้ขนาดใหญ่ จากนั้นหักแขนขาของเหยื่อด้วยค้อนหรือแท่งเหล็ก 

สำหรับวิธีการทรมานนี้ บางครั้งใช้กับสตรี โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น เป็นพวกนอกรีต หรือฆ่าเด็ก ซึ่งตัววงล้อทำลายล้างไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อฆ่าคนอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานนานขึ้น โดยเหยื่อบางคนอาจถูกปล่อยให้ตายอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายวัน เพื่อเป็นการเตือนสติผู้อื่น และแม้ว่าสตรีจะถูกกระทำในลักษณะนี้น้อยกว่าบุรุษ แต่ก็ไม่ได้พ้นจากความโหดร้ายนี้ ดังนั้นวงล้อจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของมาตรการสุดโต่งที่สังคมจะใช้ลงโทษผู้ที่ละเมิดขอบเขตอันเข้มงวดที่กำหนดโดยศาสนาและบรรทัดฐานทางสังคมในสมัยนั้น

7. การถลกหนังทั้งเป็น (Flaying Alive) : ชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย เป็นรูปแบบการลงโทษแบบโบราณที่ยังคงใช้มาจนถึงยุคกลาง แม้ว่าจะนิยมใช้กับบุรุษมากกว่า แต่ก็มีกรณีของการลงโทษอันน่าสยดสยองนี้ที่สตรีต้องเผชิญ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น กบฏหรือทำเวทมนตร์ 

ทั้งนี้ การถลกหนังมีจุดประสงค์เพื่อให้เจ็บปวดและอับอายมากที่สุด โดยบางครั้งเหยื่อจะถูกปล่อยให้มีชีวิตอยู่ระหว่างการถลกหนังสัตว์ เพื่อยืดเวลาการทนทุกข์ทรมาน การถลกหนังมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมอัสซีเรียโบราณ แต่ยังคงใช้กันมาจนถึงยุคกลางในยุโรปและตะวันออกกลาง ซึ่งบันทึกทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากระบวนการทรมานนี้จะดำเนินไปอย่างช้ามาก เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อให้เจ็บปวดมากที่สุด และส่วนใหญ่เหยื่อมักจะเสียชีวิตจากอาการช็อกหรือเสียเลือด แต่ไม่ใช่ก่อนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ... สำหรับสตรี การลงโทษนี้ไม่ใช่แค่การล้างแค้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการลิดรอนความเป็นมนุษย์ในความหมายที่แท้จริงที่สุดอีกด้วย

8. เสื้อคลุมคนเมา (The Drunkard’s Cloak) : เป็นการทำให้ผู้ถูกลงโทษขายหน้าต่อสาธารณะและถูกล้อเลียน เป็นการลงโทษที่แปลกประหลาดและน่าอับอาย ซึ่งใช้กันในอังกฤษในศตวรรษที่ 17 เป็นส่วนใหญ่ และบางครั้งก็ใช้ในส่วนอื่น ๆ ของยุโรป การลงโทษนี้มักสงวนไว้สำหรับบุคคลทั้งสตรีและบุรุษที่ถือว่าเป็นคนขี้เมาเป็นประจำ โดยผู้กระทำความผิดจะถูกบังคับให้เข้าไปในถังไม้ขนาดใหญ่ที่เจาะรูไว้สำหรับหัว แขน และขา ทำให้ดูเหมือนเป็นถังไม้ขนาดเท่าคน เมื่อถูกขังแล้ว ผู้กระทำความผิดจะถูกพาเดินไปทั่วถนน ทำให้ชาวเมืองที่พบเห็นพากันล้อเลียนและหัวเราะ เพื่อทำให้ผู้กระทำความผิดอับอายต่อสาธารณะสำหรับนิสัยการดื่มสุราที่มากเกินไป ด้วยใช้การล้อเลียนเป็นเครื่องป้องกัน 

สำหรับการลงโทษนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความอึดอัดทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีของชุมชนนั้น ๆ อีกด้วย ถือเป็นการตอกย้ำมาตรฐานทางศีลธรรมของชุมชนที่แสดงออกผ่านความอับอายของผู้ถูกลงโทษ

โดยสรุปแล้ว การที่สตรีต้องเผชิญกับการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ เพราะสังคมส่วนใหญ่มักเป็นสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ ดังนั้นการลงโทษเหล่านี้จึงใช้เป็นเครื่องมือในการบังคับใช้บรรทัดฐานทางสังคม ปราบปรามความเห็นต่าง และควบคุมพฤติกรรมของสตรี การเบี่ยงเบนจากบทบาทที่คาดหวัง เช่น การพูดจาตรงไปตรงมา การสำส่อน หรือความเป็นอิสระ มักจะได้รับการปฏิบัติที่รุนแรงเพื่อสร้างความกลัวและรักษาสถานะเดิมเอาไว้ 

ในขณะที่การลงโทษบางอย่าง ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับสตรี การลงโทษอื่น ๆ เช่น การหักล้อหรือการถลกหนัง ใช้กับทั้งบุรุษและสตรี อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้กับสตรี การลงโทษเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับองค์ประกอบเพิ่มเติมของการดูหมิ่นหรือเหยียดหยามทางเพศ ซึ่งสะท้อนถึงอคติทางเพศในสมัยนั้น 

ทว่า การลงโทษที่รุนแรงส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงนั้นถูกยกเลิกไปในศตวรรษที่ 18 และ 19 เมื่อบรรทัดฐานทางสังคมพัฒนาขึ้นและมีการปฏิรูปกฎหมาย 

อย่างไรก็ตาม การทำให้ขายหน้าต่อสาธารณะและความรุนแรงทางเพศในรูปแบบต่าง ๆ ยังคงเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก แม้ว่าจะไม่ใช่รูปแบบที่รุนแรงเหมือนในอดีตก็ตาม หรือสตรีบางคนก็เลือกต่อต้านการลงโทษเหล่านี้ด้วยการหลบหนี ท้าทาย หรือใช้ความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษ เพียงแต่การต่อต้าน ก็ถือเป็นเรื่องยากและมักประสบกับผลกระทบที่รุนแรงกว่า ทำให้เกิดขึ้นได้ยากและอันตราย และสังคมในยุคสมัยนั้นให้เหตุผลสำหรับการลงโทษเหล่านี้ผ่านกรอบทางศาสนา กฎหมาย และศีลธรรม เพื่อแสดงให้เห็นว่า สตรีเป็นคนบาปโดยกำเนิด อ่อนแอ หรือเป็นอันตราย จนสังคมในยุคสมัยนั้นมองว่า สตรีเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงมีเหตุผลในการใช้มาตรการที่รุนแรงเพื่อควบคุมและแก้ไขพวกเธอ

การลงโทษสตรีอย่างเหี้ยมโหดในประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องเตือนใจที่น่าหดหู่ใจถึงความพยายามของสังคมในการควบคุมและกดขี่ประชากรครึ่งหนึ่ง วิธีการอันโหดร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ มิใช่เพียงการกระทำอันโหดร้ายเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือกดขี่ที่จงใจใช้เพื่อรักษาลำดับชั้นทางสังคมที่เข้มงวด ซึ่งให้สตรีอยู่อันดับล่างสุด และถึงแม้ว่าการปฏิบัติเหล่านี้หลายอย่างจะถูกละทิ้งไปนานแล้ว แต่มรดกของการปฏิบัติเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่ จึงยังคงมีการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศและการต่อต้านความรุนแรงทางเพศ

ดังนั้น การทำความเข้าใจในบริบทที่มืดมนจากประวัติศาสตร์เหล่านี้ จึงถือเป็นความสำคัญที่ไม่เพียงแต่เพื่อรับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยอมรับอคติที่หยั่งรากลึก ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อทัศนคติของสังคมที่มีต่อสตรีในปัจจุบัน ภายใต้การหันมาร่วมพินิจไตร่ตรองถึงความอยุติธรรมในอดีต ที่จะช่วยส่งต่อให้ผู้คนในยุคสมัยใหม่ลุกขึ้นมาท้าทายและรื้อระบบที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเพศอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

September Effect เดือนแห่งการขายสินทรัพย์เสี่ยง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจากสถิติในรอบ 10 ปี

(6 ก.ย. 67) หนึ่งในเดือนที่บรรดานักลงทุนจะต้องจับตามองถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างมาก ไม่ว่าจะในวงการเทรดหุ้น ทองคำหรือคริปโตเคอร์เรนซี คงหนีไม่พ้นเดือนกันยายนของทุกปี 

เพราะในเดือนกันยายนของแทบจะทุกปี มักจะเกิดปรากฏการณ์หนึ่งขึ้นมา และปรากฏการณ์ที่นักลงทุนมักจะพูดถึงนั้นก็คือ 'September Effect' หรือปรากฏการณ์การขายสินทรัพย์เสี่ยงในเดือนกันยายน

ถ้าเราย้อนกลับไปดูสถิติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นตัวเลขค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับตัวลงในเดือนนี้เสมอค่ะ ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้น S&P ของสหรัฐอเมริกาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีแค่เดือนกันยายนที่ติดลบ หรือตลาด Nasdaq ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 8 ปีใน 10 ปีที่ให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนกันยายน หรือจะตลาดหุ้นบ้านเราอย่าง SET ที่ให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนนี้ถึง 7 ปีใน 10 ปี โดยในเดือนกันยายนปี 2023 ตลาดหุ้นไทยติดลบเฉลี่ยไปถึง -94 จุด และติดลบเฉลี่ย -49 จุดในเดือนกันยายนปี 2022 ค่ะ

ข้ามมาทางตลาดทองคำที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบในเดือนนี้ถึง 9 ปีใน 10 ปีที่มีการเก็บสถิติโดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบอยู่ที่ 2.95% และหลายปีก็ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบเยอะค่ะ ส่วน Bitcoin ให้ผลตอบแทนเป็นลบถึง 7 ปีใน 10 ปี ผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 5.9%

หลายคนอาจสงสัยว่าปรากฏการณ์นี้คืออะไร?

ถึงแม้จะไม่มีเหตุผลยืนยันที่แน่ชัด แต่มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์นี้ 

>> หนึ่งในทฤษฎีที่ได้รับความนิยมคือ ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาของนักลงทุนค่ะ 

นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าช่วงเดือนกันยายนเป็นเวลาที่นักลงทุนมักจะปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หรือเตรียมเงินสดสำหรับใช้จ่ายในช่วงปลายปี และการปรับพอร์ต หรือการขายหุ้นในจำนวนมาก ก็อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดลดลง 

>> อีกหนึ่งทฤษฎีคือ การปรับตัวตามฤดูกาลของบริษัทและนักลงทุน โดยช่วงเดือนกันยายน จะเป็นเวลาที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มเตรียมรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนเริ่มทบทวนการลงทุนของตนและอาจทำการขายหุ้นที่คาดว่าอาจจะมีผลประกอบการไม่ดีค่ะ

พอความเชื่อเรื่อง September Effect เป็นที่แพร่หลาย ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการขายหุ้นเป็นจำนวนมากในเดือนนี้ ซึ่งเราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น 'Self-fulfilling prophecy' หรือคำทำนายที่เกิดขึ้นจริงเพราะคนเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนอาจเตรียมขายหุ้นในเดือนกันยายนเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนตามแนวโน้มในอดีต ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดการเทขายและราคาหุ้นลดลงตามมาค่ะ

แต่ในทางกลับกัน ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนบางคนค่ะ ที่จะใช้เวลานี้เป็นโอกาสในการสะสมสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อถือครองระยะยาวและรอไปขายทำกำไรในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการลงทุนค่ะ 

ถึงแม้ว่าจากตัวเลขทางสถิติจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในฐานะนักลงทุน เราก็ไม่ควรนำมาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจลงทุน การลงทุนควรพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานของบริษัทที่เราลงทุนและการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดในภาพรวม และแม้ว่า September Effect จะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกปี ดังนั้นนักลงทุนควรใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและพิจารณาปัจจัยหลาย ๆ ด้านก่อนตัดสินใจลงทุนค่ะ 

ยิ่งปีนี้ในไทยเองจะมีการใช้นโยบายหลายอย่างในการกระตุ้นเศรษฐกิจและพยุงตลาดหุ้นอย่างเช่น การใช้กองทุนวายุภักษ์เข้ามาช่วย ก็อาจจะทำให้ปีนี้เป็นอีกปีที่ไม่ติดลบก็ได้ค่ะ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top