Friday, 29 March 2024
COMPETITION

POP MART แบรนด์ Art Toys หมื่นล้าน บุกประเทศไทย เปิด Flagship Store ครั้งแรกที่ Central World 20 ก.ย.นี้

หลายคนเข้าใจว่า การทำธุรกิจยุคนี้ ต้องเริ่มจากการตามเทรนด์ให้ทัน แต่รู้หรือไม่ว่า สำหรับ POP MART แบรนด์ร้าน Art Toys ชื่อดังที่มีรายได้กว่า 22,000 ล้านบาท สร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ด้วยการสร้างเทรนด์นิยม หรือที่เรียกว่า POP Culture ขึ้นมาเอง

สำหรับ POP Culture ซึ่งย่อมาจาก Popular Culture หมายถึง วัฒนธรรม ที่เป็นที่นิยมของผู้คนในขณะนั้นในด้านต่าง ๆ เช่น อาหาร, แฟชัน, กีฬา, วรรณกรรม รวมทั้ง Art Toys โดยในส่วนของ Art Toys ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็คือ ฟิกเกอร์ตัวการ์ตูนต่าง ๆ ที่เป็นของเล่นและของสะสม ซึ่งต่างจากของเล่นทั่วไป ตรงที่มักจะออกมาเป็นซีรีส์ หรือคอลเลกชัน ท้าทายนักสะสมที่ต้องรวบรวมให้ครบ

ทั้งนี้ จุดกำเนิดกว่าจะเป็น Art Toys แต่ละตัว ล้วนมาจากความสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจของ Designer ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบกับ Art Toys มักจะมาพร้อมกับ Blind Boxes การซื้อของเล่นเพื่อลุ้นการเปิดสินค้าว่าจะได้อะไร ทำให้ยิ่งลุ้น และตื่นเต้นเสียทุกครั้ง ว่าในมือของเราจะเป็น Art Toys ตัวใด

ทั้งหมดนี้ คือเสน่ห์ของ Art Toys ที่กลายมาเป็น POP Culture ในปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่เป็นธุรกิจ Leader ของวงการนี้ ก็คือ POP MART แบรนด์ร้าน Art Toys ชื่อดัง ที่สร้างรายได้กว่า 22,000 ล้านบาท

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ POP MART นั้น คือ การวางตนเองว่าเป็น Art Gallery เพราะได้ทำงานร่วมกับ Designer รังสรรค์ผลงานคุณภาพ โดยผลงานแต่ละชิ้นต้องมาจากแรงบันดาลใจ ผ่านการตีความออกมาอย่างดีที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลาและความละเมียดละไม ไม่ต่างจากงานศิลปะ ทำให้ POP MART Store เสมือนเป็นห้องจัดแสดงผลงาน Art Gallery

***แล้วกระบวนการสร้างงานศิลปะแต่ละชิ้น ที่เรียกว่า Art Toys ของ POP MART เป็นอย่างไร?

>> ค้นหา Designer Toys Phenomenon
เริ่มต้นจาก POP MART เฟ้นหา Artist และ Designer ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ผ่านงาน Largest Art Toys Show in ASIA หลายครั้งจาก เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง หรือสิงคโปร์ เร็วๆ นี้ และยังเคยบรรยายในมหาวิทยาลัยศิลปะชั้นนำต่าง ๆ รวมทั้งงานแข่งขันการออกแบบกับแบรนด์ชั้นนำ

จากจุดนี้ทำให้ POP MART ดึงดูดแบรนด์ระดับโลก และ Designer หน้าใหม่ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Kenny Wong ผู้สร้างสรรค์ Molly, มอลลี่ นิสา ศรีคำดี ผู้สร้างสรรค์ CryBaby และ SKULLPANDA ผู้สร้างสรรค์ SKULLPANDA

>> Collaborate กับแบรนด์ดังต่าง ๆ
เมื่อผลงานของ POP MART เป็นสิ่งที่สนุก ไม่มีขีดจำกัด และสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดได้ แบรนด์ต่าง ๆ จึงอยากมาร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น DC, Disney, Warner, Harry Potter ฯลฯ

>> สร้าง Iconic Crossovers
เสน่ห์ของสะสมจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อเรารู้ว่าคอลเลกชันนั้นเป็น Limited มีจำนวนจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น คือ Surprise ที่เกิดขึ้นได้แบบไร้ขีดจำกัด เช่น Molly x Snoopy, Labubu x Spongebob ฯลฯ

นอกจากนี้ POP MART ยังมีโอกาสร่วมงานกับสตูดิโอ และแบรนด์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Inner Flow, Silent Trick, Gone ฯลฯ เพื่อออกแบบสิ่งใหม่ ๆ ให้ผู้คนได้สนุก และตื่นเต้นไปกับผลงานทุกคอลเลกชัน สะท้อนความเป็น Leader ในวงการนี้ไปแบบเต็ม ๆ

การตีแตกในธุรกิจ Art Toys ของ POP MART ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น หลังจากสร้างคอลเลกชัน Art Toys ต่าง ๆ ที่น่าสนใจแล้ว POP MART ยังเข้าใจความต้องการของลูกค้า โดยพัฒนา Art Toys ให้มี 3 ขนาดแตกต่างกัน คือ ไซซ์ปกติ, ไซซ์ Big, ไซซ์ MEGA และหากสังเกตให้ดี Art Toys ไซซ์ MEGA ตอนนี้ ก็เชื่อว่าน่าจะเข้าไปอยู่ในบ้านของใครหลายคน เรียบร้อยแล้ว

***สำหรับคนไทย Art Toys ไซซ์ MEGA ถือว่ามาแรง และสุดฮิตจริง ๆ แม้จะเป็นไซซ์ที่มีราคาสูง แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าสะสมเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะรุ่น MEGA SPACE MOLLY ที่ตอนนี้กลายเป็น Phenomenon ในไทย ช่วยขยายฐานลูกค้าได้มากทีเดียว

และในอนาคต เราอาจจะได้พบ POP MART ในรูปแบบที่ไปไกลกว่า Art Toys เพราะบนพื้นฐานของความสนุก ซึ่งเป็นพื้นฐานของ Art Toys อยู่แล้วสามารถขยายธุรกิจ POP MART เข้าสู่วงการความบันเทิง หรือ Entertainment ได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็น Animation, Game หรือแม้แต่ Theme Park

พูดง่าย ๆ ว่าโอกาสทางธุรกิจของ POP MART ที่วันนี้สร้างรายได้ 22,000 ล้านบาทจาก Art Toys ยังมีโอกาสที่รออยู่อีกมหาศาล จากอุตสาหกรรม Entertainment ในอนาคต

สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือ POP MART กำลังจะเปิดตัว Flagship Store ในประเทศไทยครั้งแรกที่ Central World ชั้น 1 ในวันที่ 20 กันยายนนี้

จัดเต็มความตื่นเต้น เช่น...
- Blind Box Collection สุด Rare ที่ทุกคนกำลังตามหา
- พิเศษสุดคือ SKULLPANDA Hoar Frost Thailand Limited Edition วางขายที่ Flagship Store Central World ประเทศไทยเพียง 140 ชิ้น เท่านั้น

จากนี้ไป POP MART Thailand จะเขย่าวงการ Art Toys ประเทศไทยแค่ไหน ก็น่าติดตามไม่น้อย..

‘EA’ ผนึก ‘นางสาวถิ่นไทยงาม’ รณรงค์ใช้พลังงานสะอาด-ยานยนต์ไฟฟ้า ลดมลพิษ-ลด PM 2.5 ในแคมเปญ ‘EA Go Green Clean Energy’

(20 ก.ค. 66) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ตอกย้ำสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด พร้อมสนับสนุน Sustainable Beauty รับเทรนด์ความสวยแบบรักษ์โลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Go Green Clean Energy’ โดยมีนางสาวถิ่นไทยงาม ร่วมโปรโมต ปักธงรณรงค์สร้างพฤติกรรมใหม่ กระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ลดมลภาวะชุมชนเมือง ลด PM2.5 แก้ปัญหารถติด สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) พร้อมด้วย นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและคณะผู้บริหาร โปรโมตแคมเปญ EA Go Green Clean Energy เชิญผู้เข้าประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ลงพื้นที่ถ่ายทำ Branding เดินหน้าสร้างพฤติกรรม ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด-ยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ‘รถ-เรือ-ราง’ เชื่อมโยงการเดินทางได้ไกล ไร้มลพิษ

การขับเคลื่อนการใช้ระบบขนส่งสาธารณะพลังงานสะอาด โดยมีนางสาวถิ่นไทยงาม ร่วมโปรโมตจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการรับรู้สู่กลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายยิ่งขึ้น เกิดการกระตุ้นและขยายโอกาสธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ในกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ โดยมีการถ่ายทอด Branding ผ่านผลิตภัณฑ์ EA ที่ตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด ดังนี้

- MINE Bus ยานยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะทางบก ที่มีการส่งมอบสู่ตลาด ให้บริการประชาชน แล้วกว่า 2,000 คัน และคาดว่าจะมีการส่งมอบอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 คัน เพื่อรองรับการขนส่งสาธารณะเชิงพาณิชย์ คาดว่าจะลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซต์ได้กว่า 320,000 Ton Co2 per year 

- MINE Mobility MT30 รถกระบะไฟฟ้า EV Mini Truck ที่ออกแบบด้วยกลยุทธ์ Respect Environment เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจรุ่นใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผู้ประกอบการหลายแห่งสนใจติดต่อเพื่อขอนำรถไปทดลองใช้ ทั้งด้านโลจิสติกส์, ด้านบริการขายอาหาร เป็นต้น

- MINE Smart Ferry มิติใหม่แห่งการโดยสารทางเรือ ที่เปิดให้บริการประชาชนสัญจรทางน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วกว่า 27 ลำ และมีเป้าหมายขยาย 44 ลำ ซึ่งคาดว่าสามารถลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซต์ได้กว่า 8,800 Ton Co2 per year 

- MINE Locomotive หัวรถจักรไฟฟ้าพร้อมตู้แบตเตอรี่แยก (Power Car) นวัตกรรมยกระดับคมนาคมทางราง ตอบโจทย์พลังงานสะอาดยุคใหม่ 

ทั้งนี้ เพื่อสอดรับเทรนด์กระแสความสนใจด้าน Sustainable Beauty ความงามที่ยั่งยืน และกระตุ้นพฤติกรรมใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะมากขึ้น EA จึงได้ร่วมกับพันธมิตรนางสาวถิ่นไทยงามโปรโมต Branding สะท้อนการดำเนินธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ ที่สร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การดูแลสังคม และการดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี อันนำไปสู่การส่งเสริมภาพจำให้กับสาธารณะชน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดแห่งอนาคต (Future Leader)

บัญชีทรัพย์สิน ‘พิธา’ ส่อเค้ามีปัญหา หลังไม่แจ้งถือหุ้นบริษัท ‘พรพนา พลัส’ ต่อป.ป.ช.

เจาะบัญชีทรัพย์สิน ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’  ที่แจ้งป.ป.ช. หลังพ้นตำแหน่งส.ส. พรรคก้าวไกล 20 มี.ค. 2566 ส่อวุ่น พบไม่แจ้งการถือหุ้นในบริษัท ‘พรพนา พลัส’ ธุรกิจครอบครัวของตระกูล ลิ้มเจริญรัตน์

หลังจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 มีทรัพย์สิน 85,023,720.18 บาท หนี้สิน 20,740,176.02 บาท

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า ว่านายพิธาอาจยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินไม่ถูกต้องครบถ้วน เนื่องจากในรายละเอียดประกอบรายการเงินลงทุน 65 รายการ ที่นายพิธายื่นต่อป.ป.ช. ไม่พบว่าได้มีการยื่นการถือหุ้นในบริษัท พรพนา พลัส จำกัด ที่มีชื่อนายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นลำดับที่ 3 จำนวน 1,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 100,000 บาท แต่อย่างใด

สำหรับข้อมูล บริษัท พรพนา พลัส จำกัด จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในแบบ บอจ 5 ได้ระบุการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2566 มีชื่อนายพิธา ถือหุ้นในบริษัท พรพนา พลัส จำนวน 1,000 หุ้น เลขที่หมายเลขหุ้น 02001-03000 ลงวันที่ 9 มกราคม 2550 

บริษัท พรพนา พลัส จำกัด จดทะเบียน เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2550 วัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจการซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเอง เพื่อการพักอาศัย

ผู้ถือหุ้น บริษัท พรพนา พลัส มีจำนวน 6 คน ประกอบด้วย
นางอัญชลี ลิ้มเจริญรัตน์
นางเปล่งศรี ลิ้มเจริญรัตน์
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
นายบรรลือ ลิ้มเจริญรัตน์
นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์
นายแสง ลิ้มเจริญรัตน์

ทั้งนี้ นายพิธา ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช.ว่า มีรายได้เงินเดือน 1,362,720 บาท รายได้จากการขายทรัพย์สิน ขายคอนโดปี 2563 จำนวน 13,673,506 บาท ขายรถ 2 คันปี 2565 จำนวน 936,000 บาท ขายหนังสือ 431,712 บาท

ส่วนค่าใช้จ่ายประกอบด้วย ค่าอุปโภคบริโภค 2,400,000 บาท ค่าเบี้ยประกัน 80,973.4 บาท ค่าท่องเที่ยว 100,000 บาท เงินบริจาค 5,193,000 บาท รวมค่าใช้จ่าย 3,879,223.4 บาท

นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายบุตร  ประกอบด้วย ค่าอุปโภคบริโภค 120,000 บาท ค่าเบี้ยประกัน 28,985.48 บาท ค่าเล่าเรียน 413,000 บาท รวม 561,985.48 บาท

นายพิธา แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช.ว่า มีทรัพย์สิน ประกอบด้วยข้อมูลรายการทรัพย์สินและหนี้สิน เงินสด 1,800,000 บาท เงินฝาก 286,045.70 เงินลงทุน 1,346,698.98 บาท เงินให้กู้ยืม 15,000,000 บาท ที่ดิน 18,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 15,000,000 บาท ยานพาหนะ 2,140,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 19,413,985.50 บาท ทรัพย์สินอื่นๆ 12,036,990 บาท เช่น โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง สูท 16 ตัว เนคไท 76 เส้น รองเท้า 21 คู่ นาฬิกา 10 เรือน พระเครื่อง 8 องค์ รวมทรัพย์สิน 85,023,720.18 บาท

ส่วนหนี้สิน ที่นายพิธา แจ้งต่อป.ป.ช.ประกอบด้วย เงินเบิกเกินบัญชี 807,414 บาท หนี้สินอื่น 19,932,762 02 บาท รวมหนี้สิน 20,740,176.02 บาท

การยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.ครั้งนี้นายพิธาได้แจ้งถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) 42,000 หุ้น มูลค่า 44,100 บาท และบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสทรี จำกัด(มหาชน) 880 หุ้น 41.50 บาท โดยหมายเหตุว่า ผู้ยื่นในฐานะผู้จัดการมรดก ตามคำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 1860/2550 ได้รับมอบหมายจากทายาทผู้มีสิทธิรับมรกดกของนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ตาย ให้รับโอนหลักทรัพย์หุ่นนี้อันเป็นกองมรดกถือครองไว้แทนทายาทอื่น

นอกจากนี้ นายพิธายังแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.ว่าได้ให้เงินกู้ยืมแก่นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ 15 ธ.ค. 2563 จำนวน 15,000,000 บาทอีกด้วย

ปตท. ผนึก นูออโว พลัส ลงนามความร่วมมือโครงการ Battery Technology for All พัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ มุ่งหน้าสู่ Net Zero

ปตท. ผนึกกำลัง นูออโว พลัส ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ โครงการ Battery Technology for All พัฒนาเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ มุ่งสู่ Net Zero

เมื่อไม่นานมานี้ นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ โครงการ Battery Technology for All ซึ่งเป็นการลงนามระหว่าง ดร.ยุทธนา สุวรรณโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สถาบันนวัตกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ในฐานะ กรรมการ บริษัท นูออโว พลัส จำกัด เพื่อร่วมมือกันในการดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการ รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่

รมว.สุชาติ ส่ง ผู้ช่วยฯ เปิดประชุมวิชาการประกันสังคม เร่งขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานทุกมิติ ฟื้นเศรษฐกิจ - ท่องเที่ยว ภาคเหนือ

วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เวลา 09.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการจัดงานประชุมวิชาการประกันสังคม 5 ภาค ประจำปี 2565 (ภาคเหนือ) Modernizing SSO 2022 : ก้าวสู่ระบบประกันสังคมที่ทันสมัย พร้อมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “นโยบายการพัฒนา และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงาน” โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ ให้การต้อนรับ ณ โรงแรม คุ้มภูคำ จังหวัดเชียงใหม่
          
นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และท่านรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้กระทรวงแรงงานช่วยดูแลพี่น้องแรงงาน ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 รวมทั้งนายจ้าง ผู้ประกอบการให้เหมือนคนในครอบครัว พร้อมทั้งสั่งการให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมเป็นกลไกสำคัญของรัฐบาลในการช่วยเหลือนายจ้าง และผู้ประกันตน ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ โครงการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตน โครงการ Factory Sandbox โครงการ ม.33 เรารักกัน โครงการเยียวยานายจ้าง และผู้ประกันตนในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด 29 จังหวัด

'ทิพานันท์' เผย 'บิ๊กตู่' พลิกโฉมนวัตกรรมการเงินไทย โชว์ล้ำธุรกรรมการเงินระหว่างชาติ เอื้อ 'ลงทุน-ท่องเที่ยว-บริการ'

'ทิพานัน' เผยรัฐบาล 'พล.อ.ประยุทธ์' สร้างภูมิทัศน์ใหม่พลิกโฉมนวัตกรรมการเงินไทย โชว์ความก้าวหน้าธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ หนุนการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและบริการ ชี้ไทยได้ประโยชน์ 4 เรื่อง จากนโยบายนวัตกรรม 'การเชื่อมโยงระบบการชำระเงิน' ชูเป็นต้นแบบให้สมาชิกเอเปค 

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ส่งเสริมและมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมทางการเงินเพื่อเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัลโดยเร็ว ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงพัฒนากับธนาคารกลางอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนร่วมกันผลักดันโครงการ ASEAN Payment Connectivity ตั้งแต่ปี 2562 เพื่อให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคมีความสะดวก ปลอดภัย และต้นทุนต่ำ ผลสำเร็จที่เห็นชัดคือ ประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ (cross-border payment) สองรูปแบบคือ (1) การชำระเงินด้วย QR payment และ (2) การโอนเงินระหว่างประเทศ ผ่านบัญชีอย่างสะดวกและรวดเร็ว จนประเทศไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนจากการมีจำนวนการเชื่อมโยงด้านการเงินมากที่สุด

“ในปัจจุบันมี 6 ประเทศนำร่อง การโอนเงินระหว่างประเทศกับไทย (Cross-border QR Payment) คือ ญี่ปุ่น, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนดีกว่าการใช้บัตรเครดิต วิธีการง่าย ๆ เพียงสแกนไทยคิวอาร์โค้ด ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ 5 ธนาคารพาณิชย์ ได้แก่กรุงเทพ, กสิกรไทย, กรุงไทย, ไทยพาณิชย์ และกรุงศรีอยุธยา” น.ส. ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ซึ่งความสำเร็จนั้น เป็นการต่อยอดมาจากการพัฒนา Thai QR payment ภายใต้ระบบ PromptPay ของรัฐบาล พล.อประยุทธ์ จนทำให้ไทยมี QR code ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ และได้กลายมาเป็นบริการชำระเงินที่คนไทยคุ้นเคยในทุกวันนี้ จากโครงการที่ประสบผลสำเร็จทั้งทางด้านนวัตกรรมการเงินดังกล่าว ไทยจึงเสนอแนวปฏิบัติการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่างเขตเศรษฐกิจ ภายใต้ชื่อ "APEC Policy Considerations for Developing Cross-Border Payments and Remittances” ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 29 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา รวมทั้งยังได้จัดแสดงนวัตกรรมการชำระเงินทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Payment) ประกอบด้วย Cross-border QR Payment และ Digital Supply Chain Solution  เพื่อเป็นแนวทางให้กับสมาชิกเอเปคอื่น ๆ นำนวัตกรรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับประเทศสมาชิกเอเปคในอนาคต  ซึ่งการนำเสนอนวัตกรรมการเงินดิจิทัลนี้ จะทำให้คนไทยและธุรกิจไทยได้ประโยชน์ 4 เรื่องคือ...

1. ระบบการชำระเงินไทย จะมีโครงสร้างพื้นฐานและมีโอกาสขยายฐานไปสู่สมาชิกเอเปค ทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ ด้านการชำระเงิน ที่สอดรับกับการพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจการเงินได้รวดเร็ว มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ รองรับการใช้ประโยชน์จากผู้ประกอบการที่หลากหลาย ก่อให้เกิดนวัตกรรมบริการชำระเงินที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ และมีโครงสร้างธรรมาภิบาลด้านการชำระเงินที่เหมาะสม รวมทั้งมีการกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น มีประสิทธิผลและเท่าทันความเสี่ยงใหม่ในยุคดิจิทัล

เฮ!! พรุ่งนี้ราคาดีเซลบี 7 ลด 1 บาท หลังรัฐโดดอุ้ม เล็งตรึงราคาแอลพีจีถึงสิ้นม.ค.

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานคณะกรรมการบริหาร นโยบายพลังงาน หรือ กบง. ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการปรับลดการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดเก็บจากบี7 อัตรา1  บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาบี 7 พรุ่งนี้เช้า (5 ต.ค.) ลดลงประมาณ 1 บาท โดยราคาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะลดจากลิตรละ 31.29 บาท เหลือประมาณลิตรละ 30.29 บาท

พร้อมกันนี้ในวันที่ 11-31 ต.ค. 64 กระทรวงพลังงานจะประกาศลดส่วนผสมดีเซลพื้นฐาน บี 10 เหลือ บี 6 พร้อมทั้งขอความร่วมมือ ผู้ค้าน้ำมันลดค่าการตลาดกลุ่มดีเซล จาก 1.80  บาท เหลือ 1.40 บาทต่อลิตร คาดว่าจะทำให้ ราคาบี 6 จะอยู่ที่ประมาณ 28.29 บาท/ลิตร ขณะที่ภาพรวมการใช้บี 100 เพื่อผลิตน้ำมัน จะลดลงจาก 4 ล้านลิตรต่อวัน เหลือ 3 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งมาตรการที่ออกมานี้จะช่วยดูแลลดค่าครองชีพประชาชนระยะเวลาสั้น ถึงสิ้นเดือนต.ค.นี้ก่อน แต่ถ้าหากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มสูงขึ้นหรือลดลงไปกว่าปัจจุบัน กระทรวงพลังงานก็พร้อมเข้าไปดูแลเพิ่มเติม

“DITP” เลื่อนการประกวดรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เป็นปี 2565 จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ไม่แน่นอน โดยจะประกาศรับสมัครผ่านทางเว็บไซต์อีกครั้ง

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดี กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนของการบริหารจัดการ กรมฯ จึงเลื่อนการจัดประกวดพิจารณามอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT (ไทย ซีเล็คท์) ของผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูป จากวันที่ 9-10 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นเดือนมีนาคม 2565 เนื่องจากกิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่ต้องมีการสาธิตการปรุงอาหารจากผลิตภัณฑ์ที่สมัครขอใช้ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหารคาว อาหารหวาน เครื่องแกงสำเร็จรูป ตลอดจนน้ำจิ้ม เพื่อให้คณะกรรมการชิมรสชาติพร้อมพิจารณาให้คะแนน จึงไม่สามารถปรับการจัดกิจกรรมเป็นการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ได้ หากยังคงจัดกิจกรรมจะเป็นการรวมตัวของคนจำนวนมาก แม้จะมีมาตรการป้องการการติดเชื้อที่ได้มาตรฐาน แต่เพื่อความปลอดภัยของคณะกรรมการและผู้เข้าร่วมประกวด และการไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรมฯ  จึงพิจารณาเลื่อนกิจกรรมดังกล่าวออกไปในปีหน้า โดยจะมีการประชาสัมพันธ์และประกาศรับสมัครผ่านเว็บไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ www.ditp.go.th  และ www.thaiselect.com ในโอกาสต่อไป

สำหรับการพิจารณามอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้แก่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูปนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ อาหารไทยสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน (Thai Food : Ready to Serve/Ready to Eat)  อาหารไทยพร้อมปรุง (Thai Food : Ready to Cook)  และ น้ำจิ้มสำหรับอาหารไทย (Thai Food : Dipping Sauce) คณะกรรมการจะพิจารณาให้คะแนนจากรสชาติอาหาร นวัตกรรมคุณภาพอาหาร ขั้นตอนการเตรียมและปรุงอาหาร มาตรฐานการผลิต และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งคณะกรรมการประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานจากภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป สถาบันอาหาร สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารไทย

สิทธิประโยชน์เมื่อได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ประกอบด้วยการได้รับการพิจารณาคัดเลือกจัดแสดงสินค้าในส่วนนิทรรศการที่ได้รับจัดสรรพื้นที่ภายในงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมทั้งในประเทศหรือต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์ของกรมฯ ตามความเหมาะสม การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ของกรมฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูป ได้รับการบรรจุรายชื่อในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ และ Application Thai SELECT เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เป็นต้น

 

มาสด้าเผยคุณค่า CX-8 ครอสโอเวอร์เอสยูวีพรีเมี่ยม ตอบโจทย์ทุกรูปแบบของชีวิตสะท้อนรสนิยมเหนือระดับ

ปัจจุบัน หลายคนอาจกำลังมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย การขึ้นลงและเข้าออกทำได้สะดวก ขับขี่คล่องตัวทั้งในเมืองและการเดินทางไกล รองรับผู้โดยสารได้มากกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป จึงเกิดเป็นรถประเภทครอสโอเวอร์เอสยูวีขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เฉกเช่น “มาสด้า” ที่ได้พัฒนารถประเภทนี้ขึ้นมาหลายรุ่น ภายใต้ชื่อตระกูล CX-Series ซึ่งรวมถึงการถือกำเนิดขึ้นมาของ CX-8 ครอสโอเวอร์เอสยูวีระดับพรีเมี่ยม ทั้งแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง และแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น หรือกำลังมองหารถที่โดยสารได้มากกว่า 5 ที่นั่ง ห้องโดยสารเงียบสงบ ระบบช่วงล่างมีความนุ่มนวล มีระบบความปลอดภัยสูง ซึ่งในประเทศไทยถือว่ามีตัวเลือกน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทที่ถูกดัดแปลงหรือพัฒนามาจากโครงสร้างพื้นฐานของรถกระบะ หรือ PPV ส่งผลให้ไม่คล่องตัวสำหรับการขับขี่ในเมือง ผนวกกับช่วงล่างสไตล์รถกระบะ และความสูงของรถที่ส่งผลต่อความสะดวกในการขึ้น-ลงของผู้สูงอายุและเด็ก ดังนั้น CX-8 จึงเข้ามาเติมเต็มความต้องการของลูกค้าในสังคมไทย โดยเฉพาะช่วงเวลาที่สำคัญของสมาชิกทุกคนในครอบครัวเพื่อก่อให้เกิดมิตรภาพและความอบอุ่นตลอดการเดินทาง

รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีมาสด้า CX-8 เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อช่วงปลายปี 2562 โดยเป็นรถเจเนอเรชั่นใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟอย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการและตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานของลูกค้ามากที่สุด เพราะถูกวางตำแหน่งให้เป็น “New Era of 3-Row Crossover SUV” เป็นครอสโอเวอร์อเนกประสงค์ระดับพรีเมี่ยมแบบ 3 แถว ที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน มาพร้อมแนวคิด “The Precious Moment for All” ทุกช่วงเวลา...มีค่าไม่สิ้นสุด เป็นยนตรกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจให้ออกไปใช้ชีวิตได้อย่างไร้ขอบเขตและไม่สิ้นสุด และเข้ามาเติมเต็มความต้องการและการใช้ชีวิตของลูกค้าให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

1. คุณค่าด้านความสะดวกสบาย: The Finest Craftsmanship ทุกองค์ประกอบได้รับการออกแบบดุจงานศิลปะขั้นสูง ผ่านการคัดสรรด้วยวัสดุคุณภาพสูงและเปี่ยมไปด้วยความพิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด ซึ่งความโดดเด่นที่สำคัญของมาสด้า CX-8 คือเรื่องความสบายของห้องโดยสาร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 ที่นั่ง ในรุ่น 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์นั่งอย่างแท้จริง เพื่อมอบความสะดวกสบายสูงสุด ทั้งในแง่ของพื้นที่การใช้งาน คุณภาพของห้องโดยสาร สมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือกว่า ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับขี่และความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างผู้ขับขี่กับรถ ตามหลัก “Human-Centric Development” ที่พัฒนาโดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ ที่นั่งในแถวที่ 2 และ 3 ก็สามารถนั่งได้อย่างสะดวกสบาย จึงทำให้มาสด้า CX-8 ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าที่ต้องการความนุ่มนวลและความสะดวกสบายในการขับขี่ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้ทุกการเดินทางไกลและการขับขี่ในเมืองเต็มไปด้วยความสุข นอกจากนี้ ห้องโดยสารก็ยังมีให้เลือกถึง 2 รูปแบบ ได้แก่ ห้องโดยสารแบบ 7 ที่นั่ง ที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางมอบความสะดวกสบายในทุกอิริยาบถ และห้องโดยสารแบบ 6 ที่นั่ง ที่มาพร้อมที่นั่งแถวสองแบบ Captain Seat 2 ที่นั่ง แยกอิสระซ้าย-ขวา ที่ตอบโจทย์ความภูมิฐานและความพรีเมี่ยม รวมถึงมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสารทุกคน

2. คุณค่าด้านการออกแบบที่งดงาม: Elegant and Comfort in Perfect Harmony ในด้านการออกแบบที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานของทุกคนในครอบครัว มาสด้า CX-8 ยังคงความประณีตพิถีพิถัน ภายใต้ปรัชญา Kodo Design: Soul of Motion ที่เน้นความเรียบง่ายแต่งดงาม ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร โดยภายในเลือกใช้แต่วัสดุคุณภาพสูงเพื่อสะท้อนภาพลักษณ์แห่งความภูมิฐาน สง่างามและสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นโทนสีและวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี การเลือกใช้วัสดุแบบ Real Wood และสีเงินซาตินโครม ผสานอย่างลงตัวกับเบาะหนัง Nappa สีแดง Deep Red ที่ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความอบอุ่นให้กับทุกคนในครอบครัว สำหรับภายนอกก็โดดเด่นไม่ซ้ำแบบใคร ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าของรถที่โดดเด่นด้วยซิกเนเจอร์วิง การตกแต่งเสาบีและเสาซีด้วยวัสดุสีดำเปียโนและโครเมี่ยมที่ช่วยเพิ่มรูปลักษณ์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และไฟท้ายที่ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ พร้อมมีสีภายนอกให้เลือกมากถึง 6 สี

3. คุณค่าด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์: Thrilling Performance ที่สุดของสมรรถนะความแรงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ CX-8 มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟอันเลื่องชื่อของมาสด้า ซึ่งมีให้เลือกถึง 2 เครื่องยนต์ ได้แก่ เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 2.2 ลิตร ให้พละกำลังสูงถึง 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบวาล์วไอเสียแปรผันอัจฉริยะ VVT และระบบเทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น ให้การตอบสนองที่รวดเร็วและแม่นยำด้วยนวัตกรรมในการส่งแรงบิดที่ยอดเยี่ยม และการทำงานที่ราบรื่นจนถึงรอบเครื่องยนต์สูง ในขณะที่มีเสียงรบกวนต่ำ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และประหยัดน้ำมันสูงถึง 17.5 กิโลเมตรต่อลิตร และอีกหนึ่งเครื่องยนต์กับสกายแอคทีฟเบนซิน 2.5 ลิตร ให้พละกำลังสูงถึง 194 แรงม้า แรงบิด 258 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual S-VT ที่ถูกพัฒนาให้สามารถตอบสนองอัตราเร่งได้อย่างดีเยี่ยม แม่นยำ และทรงพลัง ให้สมรรถนะการขับขี่ที่คล่องแคล่วและประหยัดน้ำมันได้ถึง 13.2 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งตอบโจทย์ทุกรูปแบบการขับขี่ไม่ว่าจะเป็นการขับในเมืองหรือการขับขี่ทางไกลที่ต้องใช้ความเร็วสูงก็ตาม

4. คุณค่าการควบคุมการขับขี่จากเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE DYNAMIC: More Control with Less Effort เพลิดเพลินกับทุกเส้นทางและมั่นใจในทุกการขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่ผสานและควบคุมการทำงานของรถทั้งคัน ให้ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทั้งความแรง ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงโครงสร้างตัวถังสกายแอคทีฟ ที่ผลิตจากเหล็กกล้าคุณภาพสูง High Tensile Steel น้ำหนักเบาและแข็งแกร่ง ให้การควบคุมรถที่มั่นคง ช่วยลดแรงสะเทือนจากพื้นถนน และกระจายแรงปะทะที่จะเข้าสู่ห้องโดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวที่ยึดเกาะถนนมั่นคง ให้ความนุ่มนวลแก่ห้องโดยสาร พร้อมระบบบังคับเลี้ยวที่ช่วยให้เข้าโค้งได้แม่นยำ รวมถึงระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ (GVC) ที่ช่วยให้ทุกการขับขี่เป็นไปได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

5. คุณค่าด้านความพร้อมของเทคโนโลยีเพื่อความเพลิดเพลิน: Your World, at Your Fingertips ก้าวสู่ความเหนือระดับด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบสุนทรียภาพในการขับขี่ให้กับผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง มาสด้าจึงได้ติดตั้งเทคโนโลยีเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัด Mazda Connect เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ทั้งด้านธุรกิจและครอบครัว ด้วยการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร หรือรับ-ส่ง SMS จากสมาร์ทโฟน ผ่านสัญญาณบลูทูธ พร้อมรองรับระบบ Apple CarPlay และระบบ Android Auto ที่เชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน และสามารถใช้งานฟังก์ชั่นสำคัญได้ โดยแสดงผลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่สามารถควบคุมด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander และสร้างสุนทรียภาพรอบทิศทางด้วยระบบเสียงคุณภาพ Bose® พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง

 

คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธาน บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จัดงาน “INTERLINK MID YEAR SALE 2021” ชอปปิงออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่ !! ลดครั้งสุดท้ายของปี

คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) จัดงาน “INTERLINK MID YEAR SALE 2021” ชอปปิงออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่ !! ลดครั้งสุดท้ายของปีนี้

ยกทัพขบวนสินค้าลดสูงสุด 70% พร้อมแจกทองคำ และของรางวัลอีกมากมายตลอดทั้งงาน ให้กับกลุ่มลูกค้ามากกว่า 400 คน คาดว่าจะได้รับการสั่งจองสินค้า 65  ล้านบาท

???? LIVE จากสนง.ใหญ่ อินเตอร์ลิ้งค์ กรุงเทพฯ

#MIDYEARSALE 

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top