Sunday, 3 December 2023
ECONBIZ

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ‘ค่าไฟฟ้า’ จะไม่แพงตามมติ กกพ. ลั่น!! จะดึงราคาลงมาให้ได้ เพื่อไม่ให้ปชช.ลำบาก

(2 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กว่า "ขอให้มั่นใจค่าไฟจะไม่สูงอย่างที่เป็นข่าวครับ ผมเข้าใจถึงความกังวลใจของพี่น้องประชาชนที่ถามกันมามากเรื่องราคาค่าไฟฟ้าภายหลังจากสิ้นสุดระยะเวลามาตรการลดค่าไฟฟ้าในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ว่าราคาอาจกระโดดสูงขึ้นถึงหน่วยละ 4.68 บาท หรือ 17% จากราคาปัจจุบันหน่วยละ 3.99 บาทตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ได้เปิดให้มีการสอบถามและมีมติไป

ผมเองก็รับไม่ได้ถ้าราคาค่าไฟจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างนั้น เพราะถึง กกพ.จะมีมติแบบนั้น แต่เราก็ต้องบริหารจัดการเอาราคาค่าไฟลงมาให้ได้ ซึ่งผมได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ เร่งประสานทุกจุดล่วงหน้าด้วยวิธีการใหม่ๆ หลายรูปแบบแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่แบกรับค่าไฟฟ้าที่มากเกินไป จะพยายามทำให้ใกล้เคียงกับที่จ่ายอยู่ในปัจจุบันให้มากที่สุด

ผมขอให้ความมั่นใจว่ากระทรวงพลังงานยุคนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจและทำงานล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้วเพื่อให้ราคาค่าไฟอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ซึ่งต้องใช้หลายกลไกพร้อมๆ กันภายใต้โครงสร้างในปัจจุบันที่ไม่ได้ให้อำนาจกับฝ่ายนโยบายมากนัก แต่จะพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ การที่ กกพ.ประกาศให้ประชาชนเห็นชอบแนวทางในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ เป็นเงื่อนไขตามกฎหมายที่จะต้องมีการประกาศเพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดก่อนที่จะมีมติ แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นที่สุด จะต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดต่อไป ทั้งหมดนี้จะเตรียมการให้เสร็จสิ้นและประกาศโดยเร็วที่สุด

ผมพูดเสมอว่านี่คือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนภายใต้โครงสร้างแบบปัจจุบัน แต่ที่กำลังดำเนินการแบบเข้มข้นที่สุด และทำงานกันไม่หยุดหย่อนทุกวัน คือการเร่งรวบรวมข้อมูลทุกด้านเกี่ยวกับพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และพลังงานสะอาด ให้ครบทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การ รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานให้มั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนทั้งระบบ

ไม่ยากครับถ้าแค่พูดเอาเท่ ฟังดูดีทรงภูมิ คนทำแบบนั้นมีเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นรูปธรรม พูดไปเรื่อยๆ ใช่ครับ อะไรๆ ก็แก้โครงสร้าง แต่จะแก้อะไร แก้อย่างไรครับ ส่งผลกระทบแบบไหน จะทดแทนด้วยอะไร ทั้งระบบต้องสอดคล้องและไม่ก่อภาระเพิ่มให้กับประชาชน

ย้อนกลับไปดูกันนะครับ กฎหมายแต่ละฉบับ รูปแบบที่ใช้กันอยู่ ใช้มานานเท่าไร ปล่อยกันมาสี่สิบปีแล้วนะครับ

ผมเองหลังแถลงนโยบายมาสองเดือนเศษ ผมไม่พูดมากแต่ลงมือทำ อย่างน้อยผมก็พยายามลดภาระให้ประชาชนไม่ว่าจะตามโครงสร้างแบบไหน ทั้งน้ำมันดีเซล เบนซิน ค่าไฟฟ้า ตรึงราคาค่าแก๊ส ผมดีใจที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เวลาเดียวกันก็เร่งดำเนินการรวบรวมข้อมูลชนิดลงลึกทุกขั้นทุกตอน ทำงานกันหลายคณะ ทำมากกว่าพูดลอยๆ ว่า “ปรับโครงสร้างๆๆ”

เมื่อข้อมูลครบถ้วนแล้ว ไม่นานครับ เพราะผมและคณะจะร่างกฎหมายเอง เป็นชุดและครอบคลุมทั้งหมด ตอบได้ทุกคำถาม เพราะยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ผมศึกษา หาข้อมูล ถกเถียง คิดวิเคราะห์ คืบหน้าไปมากแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะนี่คือการลงมือทำจริง ไม่ใช่เพียงแค่พูดแล้วเสกออกมา ขอให้มั่นใจ ผมเอาจริงแน่นอน"

'อ.เกียรติอนันต์' ชี้!! ความเป็นไปได้ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' กระตุ้นเศรษฐกิจไทย สร้างแรงทวีการจับจ่ายที่หดหาย แต่ต้องดีไซน์ไม่ให้ไปกองแค่กลุ่มทุน

(2 ธ.ค.66) จากรายการ 'ถลกข่าว ถลกปัญหา' ทาง THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.66 ได้พูดคุยกับ อ.ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในประเด็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ดีจริงหรือไหม? ว่า…

“ตัวอย่างแรกเลย…เศรษฐกิจต้องการการกระตุ้นไหม? คำตอบคือ 1.ต้องการ และ 2.หากไปดูอีกฝั่งคือนโยบายการเงินเขาพยายามที่จะเบรก ‘เงินเฟ้อ’ ด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ย แต่เวลาปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อเบรกเงินเฟ้อมันจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและทําให้คนระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้บัตรเครดิตหรือการกู้เงิน เพราะฉะนั้นเงินมันก็หายไป นอกจากนี้ พอมองอีกตัวคือเงินที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งก็เข้ามาแค่ประมาณ 50-60% ของที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้นโจทย์แรกคือในเมื่อคนซื้อของมันหายไปทั้งหมดเลย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจําเป็นไหม คำตอบคือจําเป็น…

ส่วนคําถามต่อมาคือเราจะกระตุ้นแบบไหน? เวลาเรากระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้มันจะผ่าน ‘ตัว C’ หรือ ‘ตัวการบริโภค’ ดังนั้นอะไรก็ตามที่จะทําให้คนบริโภคเยอะขึ้น มันจะเห็นผลเร็ว เพราะว่าตัว C เป็นเงินที่เดินทางเข้าสู่เศรษฐกิจเร็วที่สุด เช่น ออกไปตลาดเพื่อซื้อของอย่างนี้คือได้เงินเลย แต่ถ้าเป็นนักลงทุน อย่างอนุมัติการลงทุนวันนี้อีกปีกว่าเงินลงทุนจะมา ต้องรอหลายเดือน ส่งออก 6 เดือน 8 เดือนกว่าจะเข้า มันจึงไม่มีทางเลือก ดังนั้นเราจําเป็นต้องทำ

ถัดมา มี 2 ประเด็น ที่ต้องคิดคู่กันคือ 1. เครื่องมือในการกระตุ้นมันดีหรือยัง? และ 2. การกระตุ้นแบบนี้ถูกออกแบบมาให้เงินมันฟู หรือที่เรียกว่าตัวคูณทวี (Multiplier Effect) มันมีพลังมากที่สุดหรือเปล่า? เพราะฉะนั้นถ้าเรามองอย่างแรกคือจะรู้เลยว่าต้องกระตุ้น แต่การกระตุ้นมันมีทั้งแบบเดิมคือนโยบายของรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งก็คือ 'โครงการคนละครึ่ง' ซึ่งอันนี้ไม่ใช่คนละครึ่ง ไม่ใช่การเอาเงินต่อเงิน แต่เอาเงินไปเติมเงินด้วยนโยบาย 1 หมื่นบาท โดยตอนแรกเขาออกมาแค่ 1 หมื่นบาท แต่ว่าไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากนั้น จึงทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น จากนั้นรัฐบาลได้เก็บคำวิจารณ์เหล่านี้มาปรับปรุงกระบวนการ อย่างเมื่อก่อนบอกเฉพาะในพื้นที่แต่ตอนนี้ใช้ได้ในอําเภอได้แล้ว หรือจาก 25,000 ก็ขยับเป็น 70,000 แล้ว ดังนั้น จะเห็นได้ว่าอย่างน้อยเสียงด่าถึงหูรัฐบาลซึ่งถือเป็นข่าวดี เพราะมีการปรับปรุงและใช้เงื่อนไขที่ตัดข้อกังวลหลายอย่าง เช่น สามารถใช้ซื้อของได้แค่บางอย่าง โดยมีของที่ใช้ในชีวิตประจําวันเป็นหลัก และข้อดีของสิ่งนี้คือมันช่วยให้เงินไปถึงคนที่ต้องการใช้จริง ๆ เพราะคนที่ต้องการใช้เงินและใช้ได้เร็วที่สุดคือคนที่หาเช้ากินค่ำ เพราะเขาสามารถเอาเงินตัวนี้ไปซื้อข้าวของแทนได้ แต่คนที่อาจจะเอ๊ะ…เขาไม่ได้ลําบากขนาดนั้น แต่ด้วยข้อบังคับตัวนี้ มันบังคับให้เขาไม่จําเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ก็ได้ เพราะว่าสิ่งอื่นที่เขาอยากจะซื้อ มันไม่จําเป็นต้องซื้อ เพราะฉะนั้นมันเหมือนกลยุทธ์ของรัฐบาลที่บอกว่าจะใช้เงิน 500,000 ล้าน แต่เอาเข้าจริงๆ พอใช้มันอาจจะไม่ถึงก็ได้

แต่สิ่งที่กังวลคือ…การบอกว่าตัวคูณทวีจะทรงพลังมากถึง 3 เท่า…ดังนั้น อย่างแรกต้องกลับไปเปิดตํานานเศรษฐศาสตร์มหภาคของปี 1 ก่อน เวลาเราคํานวณตัวคูณทวีมันจะมีสูตรคํานวณ และจะต้องคํานวณเป็นสิบ ๆ บรรทัดกว่าจะได้ตัวเลขมา คือ ฉันจ่ายให้เธอ เธอจ่ายต่อคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ๆ ยาวเป็นกิโล เพราะฉะนั้นสมมติฐานการคํานวณตัวคูณทวีคือเงินมันจะวิ่งหลายสิบทอดมากกว่าที่มันจะฟู อันนี้คือข้อที่กังวล เพราะเงินดิจิทัลบอกว่า ต้นทางเอาไปซื้อของจากพ่อค้า ไม่ต้องอยู่ในระบบก็ได้แต่ซื้อได้ สมมติได้ไป 500 บาท และทีนี้หากพ่อค้าคนนี้ไปซื้อของจากแม็คโคร โลตัส หรือว่าอะไรก็ตามที่เป็นบริษัทใหญ่เงินมันจะจบแค่นั้น… เขาสามารถเอาไปขึ้นเงินได้เลย ดังนั้น มันจะเดินทางเพียงแค่ 2 ต่อ แต่ในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์บอกว่าต้องเดินทางเป็นสิบ ๆ ต่อ แสดงว่าตัวฟูอาจจะไม่ฟูแล้ว ดังนั้น สิ่งนี้คือสิ่งที่กังวลอย่างมาก และคิดว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้…”

รู้จัก ‘น้องไตตั้น’ แชมป์กอล์ฟเยาวชนโลก วัย 12 มุ่งมั่นความฝัน ‘เทิร์นโปร-ก้าวสู่จักรวาล PGA’

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.66 ได้พูดคุยกับ ‘เจษฎา ช่วงประยูร’ หรือ ‘น้องไตตั้น’ หนุ่มน้อยวัย 12 ปี อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเยาวชนไทยที่สามารถกวาดรางวัลมามากมายใน รายการ ‘สิงห์ ไทยแลนด์ จูเนียร์ เวิลด์ กอล์ฟ แชมเปี้ยนชิพ 2023’ ครั้งที่ 14 การแข่งขันระดับนานาชาติ ที่จัดขึ้นในไทย ที่ สนามกอล์ฟหลวงหัวหิน ซึ่งรายการนี้มีนักกีฬากอล์ฟจากนานาชาติเข้าร่วมกว่า 17 ประเทศ รวมนักกีฬาประมาณ 140 คน แบ่งเป็นหลายระดับ ตั้งแต่อายุไม่เกิน 12 ปี และ ไม่เกิน 18 ปี ครับ ซึ่งเด็กไทยกวาดได้ถึง 7 แชมป์ นับเป็นอีกรายการสำคัญที่เปิดโอกาสให้เยาวชนโชว์ฝีมือ และเติมประสบการณ์ ก้าวสู่เส้นทางนักกีฬาในอนาคต ‘ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง’ 

สำหรับผลการแข่งขันในครั้งนี้ปรากฏว่า แชมป์โอเวอร์ออลโลว์กรอสส ซี-ดี ได้แก่ ‘น้องไตตั้น’ ที่มีความชื่นชอบกีฬากอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ โดยได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อ คุณรุ่งโรจน์ บุณยทรัพยากร ผู้บริหารผลิตภัณฑ์เจนิฟู้ด ซึ่งคุณรุ่งโรจน์กล่าวว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ “ต้องหากิจกรรมให้ลูกได้ลองเล่นหลายๆ อย่าง เมื่อชอบแล้วก็สนับสนุนให้เรียนฝึกทักษะอย่างจริงจัง บังเอิญเค้าได้ลองเล่นกอล์ฟตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เลยสนับสนุนมาตลอดจนประสบความสำเร็จ หลายคนถามว่าหาตัวตนของลูกได้อย่างไร คำตอบก็คือ ต้องใช้ลูกเป็นตัวตั้งว่าเค้าชอบอะไรและสนับสนุนในสิ่งที่เค้าเก่ง สิ่งที่เค้าชอบ หาให้เจอว่าเค้าเก่งในด้านไหนจะได้ช่วยสนับสนุนได้”

น้องไตตั้น กล่าวว่า “รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้แชมป์ในครั้งนี้ ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังเรียนในรูปแบบ Home School หลักสูตรของสหรัฐอเมริกาเพื่อจะได้มีเวลาในการฝึกซ้อมกอล์ฟมากขึ้น โดยตอนเช้าเรียนหนังสือ ตอนบ่ายซ้อมกอล์ฟ ซึ่งต้องมีการแบ่งเวลาเป็นอย่างดี”

เมื่อถามว่าทำไมถึงชอบกีฬากอล์ฟ? น้องไตตั้น เผยว่า “เพราะเคยไปลองตีกอล์ฟกับคุณพ่อตอนเด็ก ๆ เลยชอบมาถึงทุกวันนี้ ทุกวันนี้ซ้อมพัตต์อย่างเดียว วันละ 3-4 ชั่วโมง ตั้งแต่วันอังคาร-วันศุกร์ หยุดพักแค่วันจันทร์” 

เมื่อถามถึงเป้าหมายในอนาคต? น้องไตตั้น กล่าวอย่างมุ่งมั่นว่า “ผมตั้งใจจะสอบโปรให้ผ่าน และตั้งใจเข้า PGA ให้ได้ต่อไป”

ทั้งเรียนและเล่นกีฬาอย่างจริงจังในเวลาเดียวกัน ย่อมมีบ้างที่เด็กวัย 12 จะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่เจ้าตัวก็ตอบปนเปื้อนรอยยิ้มว่า “เหนื่อยแต่มีความสุขในการซ้อม เพราะการเล่นกอล์ฟช่วยฝึกร่างกาย ฝึกความคิดและสภาพจิตใจได้ดีครับ” แชมป์กอล์ฟเยาวชนโลก วัย 12 ปีกล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ ประสานช่วยแก้ปัญหาค่าตั๋วเครื่องบินแพง ปมกระทบเป็นลูกโซ่ ฉุดการค้าการลงทุนเมืองคอน

(1 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังจากวันที่เริ่มงานอุตสาหกรรมแฟร์ที่นครศรีธรรมราช พบบุคคลสำคัญในสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวนครศรีธรรมราช, หอการค้านครศรีธรรมราช และอีกหลายภาคส่วน ได้บอกเล่าถึงความคับข้องใจ ไม่สบายใจเรื่องตั๋วค่าโดยสารเครื่องบิน จาก ‘กรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช’ หรือ ‘นครศรีธรรมราช - กรุงเทพฯ’ ที่มีราคาสูงในบางช่วงจนถึงขั้นหลายคนที่ต้องการโดยสารจำเป็นต้องขับรถไปจอดแล้วโดยสารเครื่องบินจากท่าอากาศยานจังหวัดใกล้เคียง ที่ทราบว่ามีราคาที่ต่ำกว่าครึ่งต่อครึ่ง หรือบางคนโดยสารมาลงแล้วต่อรถโดยสารหรือให้ญาติขับรถไปรับมาจังหวัดนครศรีธรรมราช 

จากปัญหาดังกล่าวนี้ ทาง ‘รมว.ปุ้ย’ ซึ่งได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนในหลาย ๆ ส่วน กังวลว่าจะกลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัดไม่มากก็น้อย อีกทั้งยังอาจลามเกี่ยวเนื่องไปอีกหลายส่วนเป็นลูกโซ่ กับภาคการค้าการลงทุนที่จะตามมาอีกเป็นขบวน 

“น้ายูร หรือ คุณประยูร เงินพรหม ประธานหอการค้านครศรีธรรมราช ได้เผยกับปุ้ยว่า ได้เดินทางบ่อยเฉพาะค่าตั๋วแต่ละเดือนสาหัสอยู่เหมือนกัน ขณะที่ พี่อุ้ม ศิริกมล แก้วแสงอ่อน นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวนครศรีธรรมราช ก็ได้เป็นตัวแทนทำหนังสือถึงความไม่สบายใจของหลายภาคส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้ยื่นหนังสือผ่านปุ้ย ซึ่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และยังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครศรีธรรมราช ปุ้ยได้รับหนังสือฉบับนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว และจะนำไปประสานงานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง”

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ปัญหาเหล่านี้จะต้องมีเจ้าภาพหลักในการแก้ปัญหา และตนจะเป็นอีกแรงที่ช่วยเร่งประสานงานให้เร็วที่สุด เพื่อความสะดวกในการเดินทางโดยสายการบินต่าง ๆ ผ่านท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชของพี่น้องประชาชน และไม่เกิดปัญหาลุกลาม ส่งผลกระทบอย่างที่ได้รับข่าวสารตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นต่อไป

'สุวัจน์' ลุ้น!! โคราชเจ้าภาพจัดงาน 'พืชสวนโลก 2029' เชื่อ!! ดัน 'ศก.-การท่องเที่ยว' โคราชและภาคอีสานพุ่ง

(1 ธ.ค.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี จ.นครราชสีมา เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลกในปี 2572 ว่า...

"เป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพจัดงานในระดับโลกอีกครั้ง หลังจากที่เราเคยเป็นเจ้าภาพจัดมาแล้วที่เชียงใหม่ เมื่อปี 2549 ทั้งนี้ จ.นครราชสีมา มีความพร้อมทั้งทางด้านวิชาการ และพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และยังเป็นเมืองเก่าแก่ ที่มีอายุ 555 ปี มีวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามมากมาย ขณะเดียวกันในปี 2572 หรือในอีก 6 ปีข้างหน้า รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ ก็จะเสร็จสมบูรณ์ พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทาง

"ถ้าโคราชได้รับเลือก ก็จะเป็นโอกาสที่ประชาสัมพันธ์ภาพใหญ่ของประเทศว่าเรามีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี เป็นเมืองทันสมัย ที่มีความพร้อมที่จะจัดงานระดับโลกได้ และจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ และ จ.นครราชสีมา จะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจของโคราช และภาคอีสานโดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว" นายสุวัจน์ กล่าว 

ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึง กรณี แอนโทเนีย โพซิ้ว รองนางงามจักรวาล จะเดินทางกลับ จ.นครราชสีมา บ้านเกิด วันที่ 11 ธันวาคม ว่า แอนโทเนีย เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและคนโคราช ที่สามารถสร้างภาพลักษณ์ให้กับประเทศไทย ในฐานะที่ได้ครองตำแหน่งระดับโลก ได้โปรโมตทั้งความสวย และความเก่งของสุภาพสตรีไทย ซึ่งกว่าจะได้มาเธอต้องต่อสู้อย่างเข้มแข็งมาก การได้ตำแหน่งของเธอในครั้งนี้ เป็นประโยชน์ต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมาก เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลเองก็ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว จึงถือว่าแอนโทเนียมาถูกสถานการณ์มาก นอกจากนี้เธอยังมีบทบาทในการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ วัฒนธรรม ประเพณี อันดีงามของชาวโคราช ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกด้วย

‘รมว.พิมพ์ภัทรา’ สั่ง สมอ. คุมเข้มมาตรฐาน ‘คาร์ซีท’ ย้ำ!! เด็กเล็กต้องได้รับการดูแล ขณะโดยสารในรถยนต์

(1 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการควบคุม ‘คาร์ซีท’ หรือ ‘ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก’ เป็นสินค้าควบคุม เมื่อปี 2565 เพื่อให้เด็กเล็กที่ใช้คาร์ซีทได้รับความปลอดภัยในการโดยสารรถยนต์ โดยควบคุมคาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัยก่อน เพราะคาร์ซีทประเภทนี้สามารถใช้กับรถยนต์รุ่นเก่าได้ จะได้ไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน 

และจากการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ควบคุมคาร์ซีทที่ติดตั้งระบบ ISOFIX เพิ่มด้วย เนื่องจากรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้งานในปัจจุบัน จะมีตัวใช้ยึดกับคาร์ซีทที่เรียกว่า ISOFIX กันมากขึ้น ตนจึงสั่งการให้ สมอ. เร่งรัดดำเนินการประกาศบังคับใช้มาตรฐานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อควบคุมคาร์ซีททุกแบบทุกประเภทให้มีความปลอดภัยสำหรับเด็กเล็กในการโดยสารรถยนต์ 

นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘คาร์ซีท’ หรือที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กที่ สมอ. ประกาศเป็นสินค้าควบคุมมี 2 ประเภท คือ 

1) คาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัย 

2) คาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX ซึ่งจะบังคับใช้เร็ว ๆ นี้ 

มาตรฐานคาร์ซีทแบบติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัย จะมีข้อกำหนดที่สำคัญ คือ แบ่งน้ำหนักของเด็กเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 

1) น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม 
2) น้ำหนักไม่เกิน 13 กิโลกรัม 
3) น้ำหนัก 9-18 กิโลกรัม 
4) น้ำหนัก 15-25 กิโลกรัม 
และ 5) น้ำหนัก 22-36 กิโลกรัม 

โดยคาร์ซีทที่ได้มาตรฐานจะต้องผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยด้วยการจำลองสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุ โดยการชนด้านหน้าด้วยความเร็ว 50 กม./ชม. การชนด้านหลังด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. โดยติดเซ็นเซอร์ไว้ที่หุ่นเด็กจำลอง เพื่ออ่านค่าความรุนแรงจากการกระแทก และจะรายงานผลออกมาเป็นความเสียหายหรืออาการบาดเจ็บตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ต้องไม่เกินเกณฑ์ที่มาตรฐานกำหนดไว้ สำหรับคาร์ซีทแบบติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX จะแบ่งขนาดคาร์ซีทตามส่วนสูงของเด็ก และเพิ่มการทดสอบการชนด้านข้าง ที่ความเร็ว 24 กม./ชม. ด้วย ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าคาร์ซีทที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นแบบ ISOFIX หรือแบบเข็มขัดนิรภัย ก็จะช่วยคุ้มครองลูกหลานของท่านให้ได้รับความปลอดภัยในการเดินทาง โดย สมอ. จะเร่งดำเนินการบังคับใช้ให้ได้ภายในปลายปี 2567 ตามข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

'เอสซีจี เซรามิกส์' คว้ารางวัลความเป็นเลิศด้วยนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและ ESG เวที Thailand Corporate Excellence Awards 2023

(1 ธ.ค. 66) นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนบริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) รับมอบ 2 รางวัลดีเด่น สาขาความเป็นเลิศด้านสินค้า-การบริการ Thailand Corporate Excellence Awards 2023 จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเชิดชูองค์กรองค์กรต้นแบบที่มีความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการในสาขาต่าง ๆ โดยมีนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก อะ ลักซ์ซูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล

เอสซีจี เซรามิกส์ ผู้นำอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น กระเบื้องบุผนัง และวัสดุตกแต่งพื้นผิว ในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายและครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกระดับ ภายใต้ 3 แบรนด์หลัก คือ แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) ดำเนินธุรกิจทั้งด้านการผลิต การตลาดและการจัดจำหน่าย รวมถึงส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคและทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศในธุรกิจเซรามิกและตอบสนองลูกค้าเป้าหมาย ในฐานะ ‘Decor Surfaces Leader’ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงในราคายุติธรรม 

ขณะเดียวกันก็บรรลุเป้าหมายทางการเงินของบริษัทและการเติบโตอย่างยั่งยืนจนได้รับการยอมรับจากรางวัลการันตีทั้งในประเทศและภูมิภาค โดยล่าสุด เอสซีจี เซรามิกส์ สามารถคว้ารางวัลดีเด่น Thailand Corporate Excellence Awards 2023 ในสาขาความเป็นเลิศด้านสินค้า-การบริการ สำหรับกลุ่มสินค้า Health & Clean Collection นวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและส่งเสริมคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีผ่านกระบวนการผลิตและการให้บริการที่มุ่งสู่ ESG PLUS อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กระเบื้อง COTTO HYGIENIC ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและแบคทีเรียตลอดอายุการใช้งาน กระเบื้อง COTTO AIR ION ดักจับฝุ่น PM2.5 ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศภายในอาคารโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า กระเบื้องกันลื่น (Anti Slip) COTTO R11 เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุจากการลื่นโดยเฉพาะในพื้นที่เปียก

OR คิกออฟ!! จำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ที่ ‘พีทีที สเตชั่น’ 226 แห่ง ค่ากำมะถันต่ำกว่า 10 PPM ลดการปล่อยไอเสียและฝุ่นขนาดเล็ก

(1 ธ.ค. 66) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ ‘OR’ เปิดเผยว่า OR ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และในฐานะผู้บริหารแบรนด์สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น (PTT Station) ซึ่งเป็นผู้นำการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง OR จึงพร้อมสนองนโยบายภาครัฐในการช่วยลดปัญหาดังกล่าว

โดยปรับสูตรน้ำมันดีเซลทุกชนิด น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และน้ำมันเบนซิน พร้อมจ่ายให้สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งสิ้น 226 สถานี ด้วยน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 โดยปรับลดปริมาณกำมะถันให้มีปริมาณกำมะถันต่ำกว่า 10 ppm (หรือต่ำกว่า 10 ส่วนในล้านส่วน) เพื่อจำหน่ายให้ผู้บริโภคตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 ก่อนการประกาศใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐานยูโร 5 ที่กระทรวงพลังงานได้กำหนดไว้เป็นวันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นเวลา 1 เดือน รวมทั้งจำหน่ายน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 นี้ให้กับกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม หน่วยงานราชการ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซไฮโดรคาร์บอนและออกไซด์ของไนโตรเจน ลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบรายชื่อสถานีบริการ พีทีที สเตชั่นที่มีน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ได้ที่เว็บไซต์ www.pttor.com

นอกจากนี้ OR ยังจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเกรดพรีเมียม ‘ซูเปอร์ พาวเวอร์’ (Super Power) น้ำมันเกรดพรีเมียมสูตรที่ดีที่สุดจาก พีทีที สเตชั่น ซึ่งมีทั้งกลุ่มน้ำมันเบนซินและดีเซล เพิ่มสาร Super Booster สูตรพิเศษจากบริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก

โดยน้ำมัน ซูเปอร์พาวเวอร์ ดีเซล บี7 เป็นน้ำมันที่มีความบริสุทธิ์สูง มีกำมะถันต่ำกว่า 10 ppm รับรองด้วยมาตรฐานยูโร 5 และมีค่าซีเทนสูง ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ เครื่องยนต์สะอาดและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีจำหน่ายใน พีทีที สเตชั่น กว่า 1,400 แห่งทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1365 Contact Center

‘สจล.’ เดินหน้าผลักดันเครือข่าย ‘ไทย-เนเธอร์แลนด์’ นำนวัตกรรม ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ หนุนการเกษตร-อาหาร

(30 พ.ย. 66) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับสถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ระดมเครือข่ายนักวิชาการนานาชาติจากมหาวิทยาลัย ชุมชนธุรกิจ สถาบันวิจัยและพัฒนา และหน่วยงานภาครัฐ ผลักดันความร่วมมือในงาน ‘เนเธอร์แลนด์-ไทย : เทคโนโลยีอวกาศ 2023 เพื่อการเกษตรยั่งยืนและระบบอาหารที่มั่นคง’ (The Netherlands – Thailand Space Technology Forum 2023 : Space Technology for Resilient Agriculture and Food System) เพื่อเป้าหมายยกระดับการทำเกษตรและระบบอาหารที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว พัฒนาการเกษตรดาวเทียม โดยมี รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. และนายแร็มโก ฟัน ไวน์คาร์เดิน เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ร่วมเป็นประธานเปิดงาน ณ ห้อง The Crystal Box เกษตรทาวเวอร์ ราชประสงค์

รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ระบบการเกษตรและอาหารทั่วโลกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากจำนวนประชากรโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว (Climate Change) ความท้าทายของระบบเกษตรกรรมและอาหารของประเทศ ไม่เพียงต้องผลิตอาหารด้วยวิธีที่ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่จะต้องมุ่งเป้าประกันความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security) ได้อย่างเพียงพอสำหรับทุกคนด้วย ‘งานเนเธอร์แลนด์-ไทย: เทคโนโลยีอวกาศ 2023 เพื่อการเกษตรยั่งยืนและระบบอาหารที่มั่นคง’ ตอกย้ำความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ (Space Technology) และ ‘เกษตรกรรมดาวเทียม’ (Satellite Agriculture) เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมของทั้งสองประเทศ นับเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ และผู้มีส่วนกำหนดนโยบาย 140 คน ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยโซลูชั่นที่ก้าวล้ำ และกำหนดภูมิทัศน์ใหม่ของ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ และ ‘เกษตรกรรมที่ชาญฉลาดต่อสภาพภูมิอากาศ’ อาทิ การใช้ข้อมูลและภาพจากดาวเทียมเพื่อการพยากรณ์อากาศ การวิเคราะห์ดิน และการจัดการพืชผลแบบเรียลไทม์ได้ปฏิวัติการเกษตรกรรมสู่ยุคใหม่ เพิ่มขีดความสามารถสร้าง ‘มาตรฐานสากลเกษตรยืดหยุ่นและยั่งยืน’ ในการทำ ‘เกษตรอัจฉริยะ’ ผ่านปัญญาประดิษฐ์ IoT และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ SDG2 - ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security), SDG3 - ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ตลอดจน SDG11 – ชุมชนและเมืองที่ยั่งยืน เราจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศ ด้วยนวัตกรรมและสร้างแรงบันดาลใจของความร่วมมือไทย - เนเธอร์แลนด์ ในการผลักดันขยายองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นความท้าทายระดับโลก

นายแร็มโก ฟัน ไวน์คาร์เดิน (Remco van Wijngaarden) เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ‘วิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ’ มีความสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา การวางแผนการเดินทาง พยากรณ์อากาศ และอื่นๆ ข้อมูลเชิงพื้นที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายภาคส่วน เช่น เกษตรกรรม การวางผังเมือง การจัดการทรัพยากร (ป่าไม้ น้ำ แร่ธาตุ) และเพื่อการออกแบบระบบที่จะลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภัยพิบัติ อันเป็นความท้าทายของโลกปัจจุบัน เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น ภัยแล้ง น้ำท่วม การตัดไม้ทำลายป่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ มลภาวะทางอากาศ ฯลฯ ล้วนเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และต้นกำเนิดและผลที่ตามมามักจะทับซ้อนกันทางภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเราในการคิดค้นวิธีแก้ปัญหาและการตัดสินใจที่ดีขึ้นเพื่อสังคมและโลกอีกด้วย การประชุมเทคโนโลยีอวกาศเนเธอร์แลนด์ - ไทย 2023 ครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การนำ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ เข้ามามีส่วนในการทำ ‘ระบบการเกษตรและอาหาร’ ที่มีความยืดหยุ่นคล่องตัวและยั่งยืนมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิสารสนเทศจึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้

ดร. นพดล สุกแสงปัญญา ผู้เชี่ยวชาญ วิทยาลัยอุตสาหกรรมการบินนานาชาติ สจล. กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์และติดตามสังเกตการณ์ ‘ภัยแล้ง’ ในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1. ภัยแล้งเชิงอุตุนิยมวิทยา 2. ภัยแล้งเชิงอุทกภัย 3. ภัยแล้งเชิงเกษตรกรรม เพื่อให้หน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลและภาพไปใช้ในการวางแผนและบริหารจัดการภัยแล้งได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้องค์ประกอบต่างๆ อาทิ ระดับปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิของหน้าดิน สภาพอากาศความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์พืช ระบบชลประทาน และความชื้นของดิน เพื่อใช้ในการวางแผนทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ผลักดันเครือข่ายในประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์ในการใช้ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ มาช่วยทางด้าน ‘เกษตรแม่นยำ’ และระบบอาหารที่มั่นคงเพียงพอ หากเกษตรกรสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้จริงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพียงแต่ในปัจจุบันยังขาดการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ใช้ นอกจากนี้ควรออกมาตรการเพื่อความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ เสริมสร้างเกษตรกรที่ไม่ทำลายป่าและไม่ทำการเพาะปลูกมากเกินจนล้นความต้องการของผู้บริโภค

ศาสตราจารย์ ดร. วิคเตอร์ เจตเทน คณะวิทยาศาสตร์สารสนเทศภูมิศาสตร์และการสังเกตการณ์โลก (ITC) มหาวิทยาลัยทเวนเต้ (University of Twente) เนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า การวิเคราะห์ความมั่นคงทางอาหารใน ‘สภาพอากาศสุดขั้ว’ (Extreme Climatic Conditions) ด้วยเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล หรือ Remote Sensing จากดาวเทียม สามารถช่วยระบุปริมาณผลิตผลที่ชัดเจน ปัญหาการผลิตในเวลาและสถานที่ได้อย่างแน่นอน เราสามารถระบุพื้นที่มีปัญหาเพื่อวางแผนรับมือกับจุดอ่อนได้ทันท่วงทีและแม่นยำ ทั้งนี้เราต้องเข้าใจความซับซ้อนของระบบการเกษตร ความยืดหยุ่น ความเป็นจริงและข้อจำกัดของเกษตรกร จึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือในทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานครั้งนี้ ประกอบด้วยความร่วมมือของ 11 องค์กร ได้แก่ สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL), คณะวิทยาศาสตร์สารสนเทศภูมิศาสตร์และการสังเกตการณ์โลก (ITC) มหาวิทยาลัย Twente, สำนักงานภูมิภาค FAO ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก, สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ประเทศไทย (GISTDA), กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กรมป่าไม้ ประเทศไทย, ศูนย์ภูมิสารสนเทศสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), คาดาสเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เนเธอร์แลนด์, ปีเตอร์สัน เทคโนโลยี เนเธอร์แลนด์ และชมรมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ - สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

‘ชัยวุฒิ’ ชมรัฐบาลลุงตู่ หลังความสามารถด้านดิจิทัลไทยพุ่ง 5 อันดับ พร้อมให้กำลังใจรัฐบาลปัจจุบันสานต่อให้ดียิ่งขึ้น

จากผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2566 ที่เพิ่งประกาศออกมาล่าสุด ผลปรากฏว่า ปีนี้ไทยมีอันดับดีขึ้น 5 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 35 จาก 64 เขตเศรษฐกิจ โดยปรับตัวดีขึ้นทั้ง 3 ด้าน

ด้านเทคโนโลยี (Technology) เป็นปัจจัยที่มีอันดับดีที่สุด โดยอยู่ในอันดับที่ 15 ดีขึ้นกว่าปี 2565 ถึง 5 อันดับ ในขณะที่ด้านความรู้ (Knowledge) และด้านความพร้อมสำหรับอนาคต (Future Readiness) มีอันดับดีขึ้น 4 และ 7 อันดับ ตามลำดับ แม้ว่าจะยังคงอยู่ในอันดับที่ไม่สูงนัก คือ อันดับที่ 41 และ 42 ตามลำดับ แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โพสต์เฟซบุ๊ก โดยระบุว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่ IMD เผยอันดับขีดความสามารถการแข่งขันไทย ปี 66 ไต่ขึ้น 3 อันดับ พบปัจจัยบวกทุกด้าน เศรษฐกิจ ประสิทธิภาพภาครัฐและภาคธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเป็นบวก เป็นข่าวดีและความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคนครับขอบคุณรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผลักดันโครงการสำคัญมากมายและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขับเคลื่อนประเทศของเรามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยปีนี้ ขยับดีขึ้นครับต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมแรงร่วมใจ ทุ่มเทกำลังช่วยกันทำงานอย่างหนัก 

ที่น่าสนใจคืออันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยดีขึ้นถึง 5 อันดับ World Digital Competitiveness Ranking ปรับดีขึ้นจาก 40 ในปีที่ผ่านมา เป็นลำดับ 35 ในปีนี้ ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่กระทรวงดีอีเอสได้ทุ่มเทกันไปนั้นไม่สูญเปล่า และเชื่อว่า อันดับของประเทศไทยจะดีขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เพราะเราได้มีการวางรากฐานด้านดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่องและเริ่มปรากฎผลลัพธ์ออกมาให้เห็นแล้วครับ

“ผมขอเป็นกำลังใจให้กับผู้บริหารกระทรวงดีอีเอสเเละรัฐบาล ชุดปัจจุบัน รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลให้เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ดีขึ้นทุก ๆ ปีครับ”

ส่อง 3 ยักษ์เทคฯ 'Google-Microsoft-Amazon' ปักหมุดไทย ความฝันสู่ศูนย์กลาง 'เทคโนโลยี-นวัตกรรม' แห่งเอเชีย ไม่ไกล!!

(29 พ.ย. 66) เพจ ‘BOI News’ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้เปิดเผยถึงกรณี ‘ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภูมิภาคเอเชีย’ ระบุว่า…

ด้วยการลงทุนจากยักษ์ใหญ่ของวงการเทคโนโลยีระดับโลก เช่น #Google #Microsoft และ #Amazon Web Services หรือ #AWS ที่อาจพูดได้ว่า เป็นการพาประเทศไทยเข้าสู่ #DigitalTransformation เพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างทันโลก 

#ไทยผนึกกำลังกับ 3 ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีระดับโลก 🌎
1️⃣ #Google

🔺 แผนลงทุน Data Center ในไทย: ประเทศไทยเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ Google กำลังพิจารณาสร้าง Data Center เป็นประเทศที่ 11

🔺Google Cloud Region ในกรุงเทพฯ: แผนก่อตั้ง Cloud Region แห่งแรกในไทย ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้มากกว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1.4 แสนล้านบาท) และสร้างงานได้อีกกว่า 50,000 ตำแหน่งในปี พ.ศ. 2573

🔺การนำเทคโนโลยี Google Cloud ที่รวดเร็วและปลอดภัยมาใช้กับองค์กรภายในประเทศ: ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการก่อตั้ง National CyberShield Alliance เพื่อป้องกันการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศทางไซเบอร์

🔺การพัฒนาด้าน AI ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม: โดยเบื้องต้นบริษัทได้เซ็น MOU เป็นที่เรียบร้อยเพื่อส่งเสริมการใช้งาน AI ในการบริการภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีด้านการเงิน การพัฒนาภาคสาธารณสุข การศึกษา การขนส่งมวลชน

🔺การพัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศไทย: มอบทุนการศึกษา Google Career Certificate ให้กับคนไทย 

โดย Google ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลฯ และบีโอไอมอบทุนการศึกษาสำหรับใบรับรองทักษะอาชีพของ Google เพิ่มเติมจำนวน 12,000 ทุน ภายใต้โครงการ Samart Skills เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพในสาขาที่มีความต้องการสูง อาทิ การรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ อีคอมเมิร์ซและหลักสูตร ‘Introduction to Generative AI Path’ จาก Google Cloud Skills Program ที่เปิดให้เรียนออนไลน์ฟรี

2️⃣ #Microsoft

🔹โครงการ Microsoft Data Center ไทย: ศึกษาความเป็นไปได้ของแผนการลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ในไทยเพื่อสนับสนุนการให้บริการภาครัฐสาธารณะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

🔹การพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ในประเทศไทย: พัฒนาทักษะทางดิจิทัลผ่านโครงการและการฝึกอบรมต่าง ๆ

🔹การสนับสนุนด้านพลังงานสะอาดและ ESG: สนับสนุนพลังงานสะอาดและนโยบาย ESG ในการดำเนินธุรกิจ และปรับปรุงการให้บริการสาธารณะด้วยเทคโนโลยีที่ยั่งยืน

3️⃣ #Amazon Web Services (#AWS)

🔸AWS Asia Pacific (Bangkok) Region: สร้างศูนย์ข้อมูล #Hyperscale ระดับโลกแห่งแรกในไทยด้วยงบประมาณกว่า 190,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 15 ปี เพื่อให้เกิดการใช้ Cloud ให้ครบในทุกภาคส่วนของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาการบริการด้านดิจิทัลให้แก่ประชาชน

🔸 การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล: เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

🔸 การพัฒนาเทคโนโลยี AI, Machine Learning, Data Analytics และ IoT: ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลที่สำคัญที่จะสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ และพัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจ 

#บีโอไอ ได้มีส่วนในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและส่งเสริมการลงทุน รวมถึงยังสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมทั้งมุ่งเน้นที่จะส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลของคนไทยเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงงานที่อาศัยทักษะทางดิจิทัลให้กับคนไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีให้กลายเป็นแรงดึงดูดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องจากทั่วโลกมาลงทุนในไทย

‘อีอีซี’ ผนึกกำลัง ‘บิทคับ เวิลด์เทค’ ลงนาม MOU พัฒนาพื้นที่อีอีซี ก้าวสู่ศูนย์กลางแข่งขัน e-Sport

(30 พ.ย. 66) ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 
(สกพอ.) หรืออีอีซี ได้ร่วมลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ระหว่าง สกพอ. และบริษัท บิทคับ เวิลด์เทค จำกัด โดย นายวิชัย ทองแตง ผู้ร่วมก่อตั้ง บิทคับ เวิลด์เทค และ นายสกลกรย์ สระกวี ประธานบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ร่วมลงนาม โดยมีนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และนายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ อีอีซี เป็นพยาน พร้อมด้วยผู้บริหารจากทั้งสองฝ่ายเข้าร่วม ณ สำนักงานอีอีซี ชั้น 25 อาคารโทรคมนาคม กรุงเทพฯ

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี เปิดเผยว่า การลงนาม MOU กับ บิทคับ เวิลด์เทค ในครั้งนี้ อีอีซี ได้สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีศักยภาพ และความเชี่ยวชาญด้านการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หรือ Digital Transformation เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นฐานสำคัญผลักดันการลงทุนคลัสเตอร์ดิจิทัล ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักของอีอีซี โดยเกิดความร่วมมือ 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับกีฬา e-Sport ซึ่งเป็นที่นิยมสูงของโลก สนับสนุนให้อีอีซีโดยเฉพาะในโครงการศูนย์ธุรกิจและเมืองใหม่อัจฉริยะ เป็นพื้นที่ศึกษาและส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันระดับสากล ที่จะดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมกีฬา และ e-Sport การส่งเสริมระบบนิเวศการลงทุนที่เหมาะสมให้กลุ่มธุรกิจ Startup เพื่อให้เกิดกลุ่มธุรกิจแห่งอนาคต (Future Business Cluster) และการสนับสนุนให้ความรู้ด้านดิจิทัลให้แก่ผู้ประกอบกิจการในพื้นที่อีอีซี ซึ่งจะส่งเสริมให้อีอีซี เป็นพื้นที่แห่งอนาคต ดึงดูดและรับกิจกรรมการลงทุนด้านดิจิทัลได้อย่างต่อเนื่อง  

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า Digital Transformation เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงการประกอบธุรกิจให้มีศักยภาพในการแข่งขันในสภาพตลาดในปัจจุบัน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดและรวดเร็ว รวมถึงมีความสำคัญอย่างมากต่อผู้ประกอบธุรกิจที่จำเป็นต้องปรับตัวตาม เพื่อช่วงชิงโอกาสและสามารถใช้พัฒนาการประกอบธุรกิจให้เติบโตได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ อีอีซี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและมีศักยภาพในรองรับการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ จึงมีความสำคัญต่อการช่วยพัฒนาและยกระดับธุรกิจการค้าการลงทุนในเขตพื้นที่นี้ให้ขยายขีดความสามารถ รวมถึงส่งเสริมให้คนในประเทศมีความสามารถที่จะแข่งขันในระดับสากล และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

นายวิชัย ทองแตง ผู้ร่วมก่อตั้ง บิทคับ เวิลด์เทค กล่าวว่า บิทคับ เวิลด์เทค เป็นบริษัทที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของคนไทยให้มีความรู้และมีทักษะที่เหมาะสม สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งความร่วมมือระหว่างบิทคับ เวิลด์เทค กับ สกพอ. ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) รวมถึงความเชี่ยวชาญทางด้านกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Sport) เข้ามาพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจและวางระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นการนำดิจิทัลมาใช้เปลี่ยนแปลงการประกอบธุรกิจ (Digital Transformation) เพื่อให้เศรษฐกิจภาคตะวันออกเกิดการขยายตัวมากยิ่งขึ้น

ด้านนายสกลกรย์ สระกวี ประธานบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป กล่าวว่า ความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบิทคับ เวิลด์เทค ที่มีเป้าหมายเพื่อ ‘สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สู่โลกอนาคต’ โดยใช้ความเชี่ยวชาญและความพร้อมด้านเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายด้านดิจิทัลภายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Digital Transformation ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น และจะได้ใช้องค์ความรู้ที่บิทคับ เวิลด์เทคมีร่วมพัฒนาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติไปพร้อมกับหน่วยงานภาครัฐ โดยพร้อมให้การสนับสนุนความร่วมมือนี้อย่างเต็มที่ รวมถึงความร่วมมืออื่นๆ ที่จะมีขึ้นต่อไปในอนาคต 

‘แม็คโคร’ ยัน!! รับซื้อหมูถูกต้อง ตรวจสอบย้อนหลังได้ 100% พร้อมจ่อเอาผิดสื่อรายงานข่าวคลาดเคลื่อน เหตุทำเสื่อมเสีย

(30 พ.ย. 66) รายงานข่าวจาก บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ออกแถลงการณ์เรื่องหมูเถื่อนว่า บริษัทขอยืนยันถึงจุดยืนที่ชัดเจนในการไม่สนับสนุนและประณามการซื้อ-ขายสินค้าที่ผิดกฎหมาย กรณีข่าวที่ปรากฎในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขอเข้าตรวจสอบเอกสารการซื้อ-ขาย บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการตรวจสอบด้วยความโปร่งใส ทั้งที่สำนักงานใหญ่และคลังสินค้าทุกแห่ง มิได้เป็นการเข้าจับกุม ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในบางสื่อแต่อย่างใด

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่า การรับซื้อสินค้ามีกระบวนการที่รัดกุม โดยการตรวจสอบเอกสารจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคู่ค้าต้องนำมาแสดงเมื่อนำส่งสินค้าทุกครั้ง จึงมั่นใจได้ว่าเป็นการรับซื้อโดยเปิดเผย ถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าเถื่อนแต่อย่างใด

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีขั้นตอนการคัดเลือกและประเมินคู่ค้า การตรวจสอบคุณภาพก่อนการรับสินค้า รวมถึงการมีมาตรการในการหยุดรับซื้อและยกเลิกสัญญา หากพบว่าสินค้าไม่ได้คุณภาพ ที่สำคัญ บริษัทฯ ยึดมั่นในการสนับสนุนเกษตรกรไทย และให้ความสำคัญกับการรับซื้อสินค้าที่ผลิตจากเกษตรกรในประเทศ ดังนั้นจะเห็นได้จากปริมาณสินค้ากลุ่มเครื่องในสุกรแช่แข็งนำเข้า เป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับปริมาณสินค้ากลุ่มเนื้อสุกรและเครื่องในสุกรโดยรวมที่บริษัทมีการจัดจำหน่าย

อย่างไรก็ตาม การที่มีการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงจากบางสื่อ ทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบ และความเสียหายต่อชื่อเสียง ภาพลักษณ์องค์กร ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดจากสาธารณชนและนักลงทุน บริษัทจึงขอชี้แจงและจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทฯ

ทั้งนี้ เรายึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล และยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการตรวจสอบอย่างเต็มที่

พร้อมกันนี้ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยหนังสือฉบับดังกล่าวลงนามโดยนางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้แม็คโครได้มีแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องหมูเถื่อนมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2566 โดยระบุใจความสำคัญว่า “แม็คโคร ร่วมประณามการนำเข้าหมูเถื่อนทำลายเกษตรกร ย้ำความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้ 100% พร้อมสนับสนุนภาครัฐเต็มที่”

และถัดมาเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2566 ออกแถลงการณ์โดยระบุว่า “แม็คโครให้ความร่วมมือ DSI เข้าตรวจหลังหน่วยงานภาครัฐเข้าตรวจคลังสินค้า พบการรับซื้อสินค้าถูกต้อง ยืนยันไร้หมูเถื่อน ขั้นตอนมีมาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับได้ 100%”

เปิดภารกิจ ‘ILINK’ ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำเชื่อม ‘เกาะพะงัน-เกาะเต่า’ ผลักดันไฟฟ้าทั่วถึง อีกหนึ่งแรงหนุนพัฒนาพิกัดท่องเที่ยวระดับโลก

ภายหลังจากกลุ่ม INTERLINK Consortium ได้เซ็นสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี ไปยังเกาะเต่า มูลค่าโครงการ 1,786 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2565 โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือนนั้น 
.ล่าสุด (30 พ.ย. 66) นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เปิดเผยว่า ทาง EGAT ได้ให้เกียรติ ส่งทีมวิศวกร กว่า 15 ท่าน ไปเยี่ยมชมวิธีการติดตั้งสายไฟฟ้าเคเบิลใต้น้ำ ของ INTERLINK ซึ่งฝังสายจากเกาะพะงัน ไปยังเกาะเต่าของ PEA มูลค่าโครงการ 1,786 ล้านบาท เพื่อเตรียมการจะวางสายไฟฟ้าเคเบิลใต้น้ำของตัวเอง จากแผ่นดินใหญ่ไปจ่ายในเกาะสมุย ด้วยงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันผ่านขั้นตอนการอนุมัติของ ครม. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับความคืบหน้าในปัจจุบันกับภารกิจการลากสาย Submarine Cable จากเกาะพะงันไปยังเกาะเต่า ดำเนินไปได้อย่างลุล่วง สามารถผลักดันให้เกาะเต่ามีไฟฟ้าใช้ อันจะช่วยส่งเสริมให้เกาะเต่า เป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลกเหมือนเกาะสมุยและเกาะพะงัน จนเป็นเพชรเม็ดงามด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยต่อไปในอนาคต 

‘กทม.-มูฟมี’ เปิดหลักสูตร ‘พนง.ขับรถยนต์สามล้อไฟฟ้า’ รุกพัฒนาทักษะ - หวังผลิตแรงงานเข้าสู่ตลาดมากขึ้น

(30 พ.ย. 66) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) แถลงข่าวเปิดตัวหลักสูตร ‘พนักงานขับรถยนต์สามล้อไฟฟ้าในสำนักงานและบริการสาธารณะ’ ระหว่าง กทม.กับ บริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด ภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานในพื้นที่กรุงเทพฯ ระหว่าง บริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด กับ กทม. โดยมีผู้บริหารสำนักพัฒนาสังคม ผู้บริหารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กรมการขนส่งทางบก สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ร่วมลงนาม

นายศานนท์ กล่าวว่า กทม.มีโรงเรียนฝึกอาชีพ และศูนย์ฝึกอาชีพ รวมแล้วกว่า 20 แห่ง มีความตั้งใจที่จะ Re skills, Up skills ปัจจุบันแรงงานขาดตลาด แต่โรงเรียนและศูนย์ฝึกอาชีพ กทม.ยังเป็นหลักสูตรเดิมๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุมาเรียนเป็นงานอดิเรก ก็ต้องมาดูบทบาทของโรงเรียนฝึกอาชีพเราว่าจะเป็นอย่างไร

นายศานนท์ กล่าวว่า การร่วมมือกับมูฟมี เป็นความตั้งใจเอาอุตสาหกรรมที่ขาดแรงงานมาเป็นโจทย์ ให้กับโรงเรียนและศูนย์ฝึกอาชีพ ที่ผ่านมา กทม.ได้ร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย อบรมหลักสูตรพนักงานโรงแรม เพื่อป้อนเข้าสู่โรงแรมที่ขาดแรงงาน ต่อมา กทม.ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และโรงพยาบาลรามาธิบดี อบรมหลักสูตรผู้บริบาลผู้สูงอายุ (Caregiver)

นายศานนท์ กล่าวว่า ทางมูฟมียังขาดคนขับจำนวนมากกว่า 1,000 คน ถ้าสามารถเทรนคนเข้าสู่ระบบได้ก็จะดีมาก จึงได้เกิดความร่วมมือนี้ขึ้น ตนมองว่ามีอีก 2 เรื่องสำคัญของมูฟมี คือ เป็นทางออกของอนาคต เป็นรถไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอน และการดำรงอัตลักษณ์ของประเทศเราไว้ ซึ่งเป็นรูปแบบรถตุ๊กๆ เชื่อว่าจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา

“วันนี้เป็นอีกหนึ่งการต่อยอด ทางมูฟมีได้ทำในหลายเขตเป็นรถ Feeder ช่วยการเดินทางเส้นเลือดฝอย แก้ปัญหาการขนส่งสาธารณะในเมือง อย่างที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติเคยพูดไว้ว่าเส้นเลือดใหญ่รถไฟฟ้าดีแล้ว แต่พอจะเข้าบ้านยังต้องใช้การเดิน การขี่จักรยาน นั่งวินมอเตอร์ไซต์” นายศานนท์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า หลักสูตร ‘พนักงานขับรถยนต์สามล้อไฟฟ้าในสำนักงานและบริการสาธารณะ’ มีผู้เชี่ยวชาญจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กรมการขนส่งทางบก และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เข้าร่วมพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะในการจัดทำหลักสูตร เป็นหลักสูตร 30 ชั่วโมง โดยเรียนที่โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (ดินแดง 1) จำนวน 2 วัน (12 ชั่วโมง) และฝึกภาคปฏิบัติที่มูฟมี จำนวน 3 วัน (18 ชั่วโมง) เมื่อเรียนจบแล้วจะได้รับใบประกาศนียบัตรจากโรงเรียนฝึกอาชีพ กทม. และมูฟมี

เมื่อได้ใบประกาศนียบัตรแล้วสามารถเข้าทำงานกับบริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด หากมีคุณสมบัติครบตามที่บริษัทกำหนด ทั้งแบบประจำ รายได้ 19,000 - 22,000 บาท/เดือน ประกันอุบัติเหตุคุ้มครองทันที รับสิทธิประกันสังคม หรือพาร์ทไทม์ รายได้เฉลี่ย 27,000 บาท/เดือน

ผู้สนใจสมัครผ่านระบบ Google Form ได้ถึงวันที่ 14 ธ.ค.66 รายงานตัวสอบสัมภาษณ์ วันที่ 15 ธ.ค. 66 เวลา 09.00 น. เปิดการเรียนการสอน วันที่ 18 - 22 ธ.ค. 66 เรียนวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00-16.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-247-9496 ปัจจุบันมีผู้สมัครเรียนแล้ว 161 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top