Tuesday, 1 April 2025
ECONBIZ

‘พีระพันธุ์’ สั่งตรวจปั๊มใกล้ตึก สตง. ถล่ม เตรียมความพร้อมบริการประชาชนโดยไม่สะดุด

จากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณประเทศเมียนมา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับผลกระทบแรงสั่นไหวในหลายพื้นที่ของประเทศรวมถึงกรุงเทพมหานคร จนทำให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างเกิดเหตุถล่ม บริเวณถนนกำแพงเพชร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

(31 มี.ค. 68) เวลา 10.00 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้ นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน และเจ้าหน้าที่กรมธุรกิจพลังงาน ลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง จากกรณีเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น จำนวน 2 แห่ง ที่ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ในเขตจตุจักร ประกอบด้วย 

1. สถานีบริการน้ำมันบางจาก และสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ (NGV) ถนนกำแพงเพชร 2 
2. สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ถนนกำแพงเพชร 2 (ด้านหลังนิคมการรถไฟ กม.11)

ทั้งนี้ นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ระบุว่าจากผลการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบ ถัง ท่อ และอุปกรณ์ภายในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว ไม่ได้รับความเสียหายจากกรณีเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นและสามารถเปิดให้บริการเป็นปกติ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้กรมธุรกิจพลังงานประสานกับพลังงานจังหวัดทั่วประเทศให้มีการกำหนดมาตรการสุ่มตรวจสอบสถานีบริการตามมาตรฐานสากลของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ เพื่อสร้างความปลอดภัยและความพร้อมในการให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงแก่ประชาชนผู้เข้ามารับบริการ

นอกจากนี้ นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ยังได้เน้นย้ำว่ากรมธุรกิจพลังงาน ได้ให้ความสำคัญกับการติดตามตรวจสอบด้านความปลอดภัยของกิจการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีต่อกิจการพลังงานและประชาชน โดยปลัดกระทรวงพลังงานก็ได้สั่งการให้กำกับดูแลกิจการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบท่อ คลัง สถานีบริการ โดยปัจจุบันยังไม่พบรายงานผลกระทบใดๆ ที่มีนัยสำคัญอันจะก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อประชาชน โดยได้ประสานติดตามสำนักงานพลังงานจังหวัดในการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานีบริการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั่วประเทศในด้านความปลอดภัยของกิจการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป 

‘ปตท.’ ยืนยัน!! แผ่นดินไหวเมียนมา ไม่กระทบพลังงานไทย ตรวจสอบพื้นที่ปฏิบัติการทั้งระบบแล้ว ยังเดินเครื่องได้ตามปกติ

(29 มี.ค. 68) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ยืนยันเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ กลุ่ม ปตท. มั่นใจสามารถรองรับความต้องการใช้พลังงานของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ

กลุ่ม ปตท. ได้ตรวจสอบพื้นที่ปฏิบัติการทั้งหมด ตั้งแต่แท่นผลิตก๊าซธรรมชาติ ระบบรับส่งก๊าซธรรมชาติในทุกพื้นที่ โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานผลิตปิโตรเคมี โรงไฟฟ้า คลังน้ำมันและคลังปิโตรเลียมทั่วประเทศ ตลอดจนสถานีบริการน้ำมันและสถานีบริการ NGV โดยได้รับยืนยันว่าสามารถเดินเครื่องดำเนินงานและให้บริการได้ตามปกติ และไม่ได้รับความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและส่งจ่ายพลังงาน

ทั้งนี้ ปตท. ให้ความสำคัญในการดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยง มีแผนบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรักษาความเสถียรของระบบพลังงานของประเทศ ปตท. จะติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคงต่อไป

บีโอไอ บุกแดนภารตะ ดึงลงทุนการแพทย์ – อีวี – เซมิคอนดักเตอร์ หลายบริษัทสนใจปักฐานในไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

บีโอไอเผยผลการเยือนอินเดีย รุกดึงการลงทุน 3 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เปิดโต๊ะเจรจากลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ชั้นนำแดนภารตะ เสริมแกร่ง 'เมดิคัล ฮับ' ของภูมิภาค พร้อมเจรจา TATA Motor ดึงลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ขณะที่ผู้ให้บริการออกแบบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงสนใจตั้งฐานในไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงผลการนำคณะบีโอไอเยือนเมืองไฮเดอราบัด และเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 24 – 27 มีนาคม ที่ผ่านมา เพื่อพบหารือและเจรจาแผนการลงทุนเป็นรายบริษัทกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่อินเดียในอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวม 15 บริษัท โดยบีโอไอได้นำเสนอศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในฐานะแหล่งลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 3 กลุ่มหลัก ซึ่งบริษัทอินเดียมีความเชี่ยวชาญ และเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก โดยบริษัทเหล่านี้มีความสนใจขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย

- กลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์  บีโอไอได้จัดประชุมร่วมกับผู้ประกอบการอินเดียที่อยู่ในเขต Medical Device Park เพื่อนำเสนอข้อมูลการลงทุนและมาตรการสนับสนุนด้าน Medical Hub นอกจากนี้ ยังได้หารือรายบริษัท เช่น บริษัท Sahajanand Medical Technologies (SMT) ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดอันดับ 1 ของอินเดีย มีแผนลงทุนในไทยเพื่อผลิตลิ้นหัวใจเทียมและอุปกรณ์ขดลวดถ่าง (Stent) สำหรับการรักษาหลอดเลือดหัวใจและการทำบอลลูน และมีแผนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทย  บริษัท MSN Laboratories ผู้ผลิตยารายใหญ่ของโลก ปัจจุบันมีฐานการผลิตและวิจัยในหลายภูมิภาค ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรปและเอเชีย โดยมีแผนลงทุนทำวิจัยในไทย และขยายตลาดเข้าสู่อาเซียน  บริษัท ACG Capsules ผู้ผลิตแคปซูล ยาเม็ด และเครื่องจักรบรรจุยารายใหญ่ของโลก ได้ลงทุนสร้างโรงงานที่จังหวัดระยอง มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท เพื่อผลิตแคปซูลจากเจลาตินและพืชด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมีแผนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทยด้วย และบริษัท Natural Remedies ผู้ผลิตอาหารเสริมจากสมุนไพรสำหรับปศุสัตว์อันดับ 1 ของอินเดีย และอันดับ 3 ของโลก มีแผนลงทุนทำวิจัยและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยในไทย และศูนย์วิจัยของบริษัทผลิตเนื้อสัตว์ชั้นนำ เช่น ซีพี, เบทาโกร และสหฟาร์ม เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารสัตว์  

- กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ คณะบีโอไอได้หารือกับบริษัท TATA Motor ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของอินเดีย มีแผนรุกขยายธุรกิจด้านรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (รถบรรทุก และรถบัส) ในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวา โดยเพิ่งมีการดึงผู้บริหารชาวอินเดียจากค่ายรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย ให้ไปคุมทัพด้านการขยายธุรกิจรถยนต์นั่งของกลุ่ม TATA Motor ในต่างประเทศด้วย

- กลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ คณะบีโอไอได้หารือกับนายกสมาคมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ของอินเดีย (India Electronics and Semiconductor Association: IESA) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 400 บริษัท โดยได้นำเสนอนโยบายรัฐบาลไทยและการจัดตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ แผนพัฒนาบุคลากร และความพร้อมของระบบนิเวศ โดยบีโอไอจะจับมือสมาคมฯ จัดกิจกรรมดึงดูดการลงทุนร่วมกันที่เมืองบังกาลอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังได้หารือแผนลงทุนของ บริษัท Tessolve Semiconductor ซึ่งทำตั้งแต่การออกแบบชิป (IC Design) การทดสอบชิป การออกแบบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และการให้บริการอบรมด้านวิศวกรรมแก่บริษัทผลิตชิปชั้นนำของโลก โดยภายในปีนี้ บริษัทมีแผนลงทุนจัดตั้งศูนย์ทดสอบชิปและให้บริการทางวิศวกรรมแก่บริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ในไทยด้วย

“อินเดียเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดของโลก และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหลายสาขา เช่น ยาและอุปกรณ์การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และเคมีภัณฑ์ ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุนอินเดียกำลังขยายการลงทุนในต่างประเทศ ภายใต้นโยบาย Act East Policy ของรัฐบาลอินเดีย ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับประเทศในอาเซียน การเยือนอินเดียครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อทำให้นักลงทุนอินเดียมองเห็นศักยภาพและความพร้อมของไทยในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และพิจารณาเลือกไทยเป็นฐานการลงทุนหลักในอาเซียน ทั้งด้านการผลิต การวิจัยและพัฒนา ศูนย์โลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมถึงสร้างความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - 2567) มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนอินเดียจำนวน 161 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 13,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยา อุปกรณ์การแพทย์ เคมีภัณฑ์ และเครื่องประดับ

กรมพัฒน์ฯ ดีเดย์ปิดเคาน์เตอร์ Walk In 1 ก.ค.68 เตรียมเปิดบริการจดทะเบียนบริษัทแบบดิจิทัล 100%

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เดินสายแนะนำ/ให้คำปรึกษาภาคธุรกิจใช้ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล : DBD Biz Regist พร้อมทำความเข้าใจ..ระบบเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน สะดวก รวดเร็ว ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ช่วยให้การจดทะเบียนนิติบุคคลรวดเร็วขึ้น ก่อนเดินตามแผนที่กำหนด...ปิดเคาน์เตอร์ Walk In รับคำขอจดทะเบียนนิติบุคคลแบบกระดาษทั่วประเทศ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ประเดิมสอนใช้งานระบบ DBD Biz Regist ธุรกิจพลังงานใหญ่ ปตท.ที่มีนิติบุคคลในเครือกว่า 500 บริษัท พูดเสียงเดียวกัน ‘ระบบใช้งานง่ายจริง’

(28 มี.ค. 68) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าตั้งเป้าปิดเคาน์เตอร์ Walk In ยื่นจดทะเบียนนิติบุคคลแบบกระดาษทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป โดยกำหนด 4 มาตรการหลักเพื่อรองรับและเตรียมความพร้อมก่อนปิดเคาน์เตอร์ Walk In จดทะเบียนธุรกิจทั่วประเทศ ได้แก่ 1) จัดเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและช่วยสอนใช้งานระบบ ทั้งส่วนกลาง (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สนามบินน้ำ) สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าในกรุงเทพมหานครทั้ง 6 เขต และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ 2) จัดทำคลิปสั้นสอนวิธีการใช้งานทั้งการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ และการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการทางทะเบียน การจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชี 3) เปิดอบรมและสอนวิธีการใช้งานระบบแก่สำนักงานบัญชี/สำนักงานกฎหมาย ภาคธุรกิจ และผู้สนใจเดือนละ 2 ครั้งผ่านระบบออนไลน์ หรือหากหน่วยงานใดต้องการให้กรมฯ ส่งวิทยากรไปบรรยายรายละเอียดการใช้งานระบบดังกล่าวสามารถประสานงานกรมฯ ได้ 4) เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบธุรกิจและผู้เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องถึงการเปลี่ยนแปลงการให้บริการที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้ภาคธุรกิจเข้าใจถึงขั้นตอนการปฏิบัติและมีความพร้อมสู่การเข้าใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านระบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ

ล่าสุด กรมฯ ได้รับการประสานงานจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (สำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย) ขอให้จัดส่งเจ้าหน้าที่กรมฯ เข้าสอนใช้งานระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล : DBD Biz Regist แก่ตัวแทนของบริษัทในเครือ จำนวน 70 ราย เพื่อพัฒนาเสริมศักยภาพในการจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านระบบ DBD Biz Regist ร่วมกันผลักดันให้บริษัทในเครือของ ปตท.กว่า 500 บริษัท สามารถจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านระบบ DBD Biz Regist ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยเจ้าหน้าที่กรมฯ ได้บรรยายวิธีการใช้งาน และลงมือปฏิบัติกรอกข้อมูลในระบบ ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ระบบ DBD Biz Regist ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก และได้รับความสะดวกมากกว่าการเดินทางไปจดทะเบียนที่สำนักงานของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่ต้องรอคิว และที่สำคัญ คือ สามารถเลือกวันที่ต้องการจดทะเบียนได้ตามฤกษ์ยามที่กำหนด ช่วยสร้างความสะดวกสบายให้แก่ภาคธุรกิจ’  

นอกจากนี้ ได้มีหน่วยงานต่างๆ ขอให้กรมฯ จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าสอนใช้งานระบบฯ เช่น สมาคมสำนักงานบัญชีคุณภาพ (ACTAP) สมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากรแห่งประเทศไทย ฯลฯ เป็นต้น ขณะเดียวกัน กรมฯ มีกำหนดการลงพื้นที่เพื่ออบรมการใช้งานระบบฯ แก่ภาคธุรกิจจังหวัดต่างๆ เช่น นนทบุรี ชลบุรี  ขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ พิษณุโลก สงขลา ภูเก็ต ฯลฯ และมีการจัดอบรม ณ ศูนย์ประชุมกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สนามบิน จ.นนทบุรี ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน 2568 ด้วย   

อธิบดีอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางดิจิทัล : DBD Biz Regist เป็นระบบจดทะเบียนนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีความเป็นมิตรและสะดวกต่อผู้ใช้บริการมากขึ้น ใช้งานได้ง่าย โดยเริ่มต้นจากการลงทะเบียนยืนยันตัวตนที่ง่ายและทำได้หลายช่องทาง การกรอกข้อมูลรายละเอียดนิติบุคคลในรูปแบบ e-Form ที่สะดวก รวดเร็ว มีข้อความสำเร็จรูปให้เลือกใช้โดยไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์เอง รวมถึงมีการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบความถูกต้องกับหน่วยงานต่างๆ เช่น ข้อมูลบุคคลกับกรมการปกครอง ข้อมูลที่อยู่กับไปรษณีย์ไทย ฯลฯ เป็นต้น 

DBD Biz Regist มี 4 ข้อดี คือ ดีแรก : อำนวยความสะดวกและรวดเร็ว ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอจดทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต หรือ หน่วยจดทะเบียน สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ดีที่สอง : ลดการใช้เอกสาร ระบบจดทะเบียนดิจิทัล ช่วยลดการใช้เอกสาร และกระบวนการที่ต้องใช้กระดาษทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดีที่สาม : การันตีความปลอดภัยสูง มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล และรักษาความโปร่งใสในกระบวนการจดทะเบียนนิติบุคคล และ ดีที่สี : ช่วยลดต้นทุน ระบบดิจิทัลช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของผู้ประกอบการ และหน่วยงานภาครัฐ

นับตั้งแต่วันที่เปิดให้บริการระบบ DBD Biz Regist ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 - 16 มีนาคม 2568 มีภาคธุรกิจและประชาชนเข้าใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทั้งจัดตั้งใหม่ เปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูลทางทะเบียนผ่านระบบ DBD Biz Regist เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดมีผู้ใช้บริการในส่วนกลางคิดเป็นร้อยละ 40 ของจำนวนผู้ใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคล (ส่วนกลาง) และมีผู้ใช้งานทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 36 ของจำนวนผู้ใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทั้งหมด ซึ่งคำขอที่ยืนผ่านระบบฯ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจความถูกต้องและอนุมัติคำขอจดทะเบียนได้ภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและผู้ใช้บริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

กบง. ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 423 บาทต่อถังอีก 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 เม.ย. - 30 มิ.ย. 68 ช่วยบรรเทาค่าครองชีพประชาชน

(27 มี.ค.68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาการทบทวนการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภายหลังจากการประชุม นายพีระพันธ์ฯ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติให้คงราคาขายส่งก๊าซ LPG หน้าโรงกลั่นที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยมีกรอบเป้าหมายให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.)พิจารณาบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับแนวทางการทบทวนการกำหนดราคาก๊าช LPG ต่อไป

นายพีระพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม กบง. ยังได้มีการพิจารณาแนวทางการลดค่าไฟฟ้าจากค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ (Policy Expense) ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เสนอให้ทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการสนับสนุนการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งในรูปแบบ Adder และ Feed -in Tarff เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งจะส่งผลให้ข้อเสนอการปรับลดค่าไฟฟ้าของ กกพ. สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และไม่ขัดต่อกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Non-Firm เพื่อลดผลกระทบค่าไฟฟ้า และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอร่างคำสั่งต่อประธาน กบง. พิจารณาลงนามต่อไป

ILINK สร้างปรากฏการณ์นำเทรนด์จัดงานอัปเดตนวัตกรรมใหม่ พลิกโฉมโลกการสื่อสารพร้อมก้าวสู่เทคโนโลยีแห่งอนาคต

ครั้งแรกในไทย กับที่สุดของโซลูชั่น ด้วย INNOVATION ที่ล้ำสมัย บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น ตอกย้ำคุณภาพจากการเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน และเป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของ LINK AMERICAN CABLING และ 19” GERMANY EXPORT RACK ประกาศอัปเดตนวัตกรรมขั้นสุดแห่งปี 2025 ที่พร้อมพลิกโฉมโลกแห่งการสื่อสาร ในงาน NEW PRO TECH INTERLINK BASE UPDATE: NEW & NEXT INNOVATION ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด รองรับความต้องการของอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจในยุคดิจิทัล ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้พบกับโซลูชั่นที่ครบวงจรทั้งในปัจจุบัน และอนาคต อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ยกระดับไปอีกขั้น ล่าสุดได้ตั้งใจพัฒนา นำนวัตกรรมใหม่ที่จะมาขับเคลื่อนอนาคต เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น และเพื่อรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะมาถึง ในฐานะที่บริษัทฯ เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน พร้อมทั้งเป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ LINK จากสหรัฐอเมริกา และ 19”GERMANY EXPORT RACK มากว่า 38 ปี โดยได้ประกาศศักดิ์ดา นำเสนอ 12 โซลูชั่น ที่เป็นขั้นสุดแห่งโครงสร้างพื้นฐาน “THE UNRIVALED OF INFRASTRUCTURE” ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรับใช้ได้ง่าย และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี ผู้เชี่ยวชาญของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ เป็นผู้บรรยายรายละเอียดนวัตกรรมแบบเจาะลึก พร้อมทั้งได้รับเกียรติจาก ดร.เตชทัต บูรณะอัศวกุล ประธานคณะกรรมการสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมเสวนาในหัวข้อ พลังงานแสงอาทิตย์ ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นพลังงานหลักของโลกอนาคต ในงานนี้อีกด้วย 

โดยนายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ EXCLUSIVE AUTHORIZED DISTRIBUTOR จาก LINK และเจ้าของลิขสิทธิ์ 19”GERMANY EXPORT RACK กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อินเตอร์ลิ้งค์ฯ พร้อมขับเคลื่อนวงการเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล ดังนั้น การนำผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่เข้ามาจะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการพัฒนาเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารให้มีความล้ำหน้า จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่ง LINK ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกงานระบบ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งในภาคธุรกิจ และลูกค้าทั่วไป ตั้งแต่ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่สำหรับองค์กร ไปจนถึงโซลูชั่นที่เหมาะกับการใช้งานภายในที่พักอาศัย นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับมาตรฐานคุณภาพสูงสุด เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากผลิตภัณฑ์ และบริการ"

สำหรับนวัตกรรมใหม่จาก LINK AMERICAN CABLING & 19” GERMANY EXPORT RACK ภูมิใจเสนอผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่นใหม่ที่ล้ำสมัย ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างครบวงจร โดยการผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้การเชื่อมต่อ และการสื่อสารในทุกระดับเป็นไปอย่างราบรื่น ตอบโจทย์การใช้งานในระบบเครือข่ายที่มีความซับซ้อน และมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้ 

• SUPER S SERIES มาพร้อมกับ UTP CAT6A และ FTTR SOLUTIONS ซึ่งเป็นเทคโนโลยีนวัตกรรมขั้นสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโครงสร้างสายสัญญาณแบบเปิด (OPEN CABLING) โดยมีแนวคิดหลัก "SMART, SMALL, SAVE"
o SMART : ล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ
o SMALL : ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา แต่ให้ประสิทธิภาพสูง
o SAVE : ประหยัดพื้นที่ติดตั้ง ลดต้นทุนค่าบำรุงรักษา 
• LINK SOLAR CABLING SOLUTION: พลังงานที่สำคัญสำหรับอนาคต เป็นโซลูชั่นที่ดีที่สุดสำหรับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้มาตรฐาน และสะดวกในการติดตั้ง ทั้งผู้ใช้งาน และผู้ติดตั้ง ซึ่งสามารถใช้งานกับ SOLAR ROOF, SOLAR FARM และ FLOATING SOLAR และยังทดสอบผ่านมาตรฐาน AD8 สามารถจมน้ำได้ 1 เมตรโดยที่ยังนำไฟฟ้าได้สมบูรณ์ 

• LINK TRANSCEIVER CLINIC FOR ALL : SFP (SMALL FORM-FACTOR PLUGGABLE) MODULE เป็นส่วนสำคัญของชั้น PHYSICAL LAYER ในระบบสื่อสารผ่านไฟเบอร์ออปติก โดยทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมต่อที่ช่วยให้การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านเทคโนโลยีไฟเบอร์ออปติกเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูง LINK เข้าใจถึงความสำคัญของการเชื่อมต่อที่ราบรื่นระหว่างอุปกรณ์สวิตช์ แต่ด้วยความหลากหลายของแบรนด์ และรุ่นของสวิตช์ในตลาด อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้ (COMPATIBILITY) ซึ่งทำให้การเชื่อมต่อเกิดความไม่เสถียร ดังนั้น LINK TRANSCEIVER CLINIC FOR ALL จึงเป็นคำตอบ พร้อมให้บริการช่วยเหลือ และแก้ไขทุกปัญหา เพื่อให้การเชื่อมต่อของเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่มีสะดุด

จุดเด่นของบริการ LINK TRANSCEIVER CLINIC FOR ALL:
ALL COMPATIBILITY : LINK เป็นเจ้าของสิทธิ์ในการเข้ารหัสสวิตช์ของทุกแบรนด์ ซึ่งหมายความว่า ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของแบรนด์หรือความยาวสายไฟเบอร์ นอกจากนี้เรายังมีบริการ การสาธิตการใช้งาน เพื่อให้คุณมั่นใจในสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ จัดส่งภายใน 3 วัน : มั่นใจได้แน่นอนว่าการดำเนินงานของคุณจะไม่สะดุด ด้วยบริการจัดส่งสินค้ารวดเร็วภายใน 3 วัน รับประกัน 3 ปี : มอบความมั่นใจในคุณภาพ ด้วยการรับประกันที่ยาวนานที่สุดในตลาด 

หากพบปัญหา รับประกันการเปลี่ยนสินค้าใหม่ 100% ทันที

19” GERMANY EXPORT RACK : นวัตกรรมใหม่ของ GERMAN RACK แข็งแกร่งที่สุดที่เคยมีมาGERMAN RACK ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นมาตรฐานสูงสุดของตู้แร็ค ซึ่งถูกนำไปใช้ในโครงการขนาดใหญ่ทั่วโลก วันนี้ NEW GERMAN RACK ได้พัฒนาขีดจำกัดไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยี จากวิศวกรรมขั้นสูงจากเยอรมนี สู่การสร้างตู้แร็คที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนี้

ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 2 เท่า : ผลิตจากเหล็กอีเล็คโตร-กัลวาไนซ์หนา 2.5 มม. ซึ่งมีความทนทานมากกว่าถึง 2 เท่า

เทคโนโลยีการออกแบบขั้นสูง : การออกแบบ MODULAR KNOCKDOWN ที่ล้ำสมัย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของโครงสร้าง พร้อมทั้งยังติดตั้งง่ายกว่าเดิม

ZEROGAP ZEAL – ระบบปิดผนึกอากาศ : เทคนิค ZEROGAP ZEAL ช่วยปิดผนึกประตูได้อย่างแน่นหนา พร้อมทั้งระบายอากาศร้อนออกด้านบนได้อย่างรวดเร็ว ปกป้องอุปกรณ์ภายในจากความร้อน

การออกแบบเพื่อการใช้งานที่เต็มประสิทธิภาพ : ดีไซน์ใหม่ ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการติดตั้งอุปกรณ์ได้สูงสุด โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง ทำให้ใช้พื้นที่เต็มตาม U ที่ระบุ และใช้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

NEW & NEXT นวัตกรรมที่จะขับเคลื่อนอนาคต การก้าวสู่อนาคต LINK ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนา และคิดค้น ซึ่งในอนาคตอันใกล้ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจะกลายเป็นส่วนสำคัญยิ่งของทั้งธุรกิจ และการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ในปี 2025 กระแส ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น (DIGITAL TRANSFORMATION) จะผลักดันให้ ดาต้าเซ็นเตอร์ (DATA CENTER) มีบทบาทที่สำคัญยิ่งขึ้น และในยุคที่ DATA CENTER มีความซับซ้อน ร่วมกับความต้องการในการขยายระบบที่สูงขึ้น และต้องประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่มากขึ้น รวมไปถึงการเติบโตของ AI และ CLOUD COMPUTING ที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ โซลูชันที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องสามารถจัดการได้ง่าย ปรับเปลี่ยนได้สะดวก และยังคงรักษาความน่าเชื่อถือ ความยืดหยุ่น และความพร้อมใช้งานที่สูงสุดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ LINK ตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนา "LINK DATA CENTER INTERCONNECT CABLING SYSTEM" เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้แก่ 

• DOUBLE Q SERIES : LINK FIBER OPTIC ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ PIGTAIL, PATCH CORD, CONNECTOR และ ADAPTER ออกแบบมาเพื่อความทนทาน ประสิทธิภาพสูงในสภาวะสุดขั้ว และวัสดุคุณภาพเยี่ยม 

ล่าสุด LINK ได้เปิดตัว DOUBLE Q SERIES ซึ่งมีจุดเด่น ดังนี้
วัสดุคุณภาพสูง (HIGH-QUALITY COMPONENTS)
LINK คัดสรรวัสดุพรีเมียม เช่น แกนเซรามิก (CERAMIC FERRULES) เพื่อลดการสูญเสียสัญญาณ และเพิ่มความทนทานสูงสุด โดย DOUBLE Q SERIES ผลิตภายใต้มาตรฐานอุตสาหกรรมที่เข้มงวด การจัดส่งที่รวดเร็ว (QUICK RESPONSE)

LINK มีสต็อกสินค้าจำนวนมาก และมีแผนโลจิสติกส์ขั้นสูง เพื่อให้สามารถจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ตรงเวลา และรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รองรับทุกการเชื่อมต่อด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจร

LINK มีสายไฟเบอร์ PIGTAIL & PATCH CORD หลากหลายรุ่น เช่น SC, LC, ST, FC, MTRJ, MTP และ MPO รองรับทั้ง SINGLE MODE และ MULTI-MODE โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นไปตามมาตรฐาน FOCIS และ ANSI/TIA-568.3-D

BAS CONTROL CABLE: ระบบอัตโนมัติ (AUTOMATION SYSTEMS) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว LINK จึงใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต สายควบคุม BAS (BUILDING AUTOMATION SYSTEM) ที่มีความทนทาน และประสิทธิภาพสูง ดังนี้ 

การออกแบบที่คำนึงถึงทุกรายละเอียด
ใช้ SPIRAL WAY FOIL SHIELD ที่ช่วยป้องกันสัญญาณรบกวน EMI/RFI ได้ถึง 120% มีสายกราวด์ (DRAIN WIRE) ทำจากทองแดงเคลือบดีบุก เพื่อเพิ่มความทนทาน
ผลิตตามมาตรฐาน และผ่านการทดสอบจากสถาบัน UL เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด

• LIYCY CONTROL CABLE เป็นสายควบคุมที่มีความยืดหยุ่นสูง และมีการป้องกันสัญญาณ ซึ่งออกแบบมาเพื่อการส่งสัญญาณในโรงงานอุตสาหกรรม แผงควบคุม และอาคารที่มีสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เหมาะสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร ระบบการวัด และระบบควบคุมอื่น ๆ

LIYCY CONTROL CABLE : LINK ได้พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ LIYCY CONTROL CABLE เพื่อตอบสนองต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรมที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รองรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพ และความมั่นคงให้กับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ระบบอุตสาหกรรมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ทั้ง รองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ และเพื่อระบบที่เสถียร และยืดหยุ่น มีความสำคัญต่อการดำเนินงานในภาคอุตสาหกรรม

กกพ. ประกาศตรึงค่าเอฟที 36.72 สตางค์/หน่วย ส่งผลค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 68 อยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 12/2568 (ครั้งที่ 954) วันที่ 26 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 คงเดิมที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งสอดคล้องกับอัตราที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอมา เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน

ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. ได้เปิดรับฟังความเห็นผลการคำนวณค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 11 - 24 มีนาคม 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็นจำนวนทั้งสิ้น 33 ความเห็น แบ่งเป็นการแสดงความเห็นต่อค่าเอฟทีตามกรณีศึกษาที่ กกพ. เสนอรวมทั้งสิ้น 29 ความเห็น แสดงความเห็นโดยเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือจากกรณีศึกษารวม 3 ความเห็น และความเห็นในลักษณะข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟทีจำนวน 1 ความเห็น 

โดยสามารถสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นเป็นสัดส่วนร้อยละได้ ดังนี้
สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ผ่านช่องทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กกพ. 
- เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 1 (ค่าเอฟที 137.39 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 21%
- เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 2 (ค่าเอฟที 116.37 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 18%
- เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 3 (ค่าเอฟที 36.72 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 49%
- ข้อเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือกรณีศึกษา จำนวน 9%
- ข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟที จำนวน 3%
รวมทั้งสิ้น (33 ความเห็น) เป็น 100%

ในปีนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สิ้นสุด กลางเดือนพฤษภาคม สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆ 5 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิก ใช้งาน ปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 5 ป. จะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองด้วย

‘เอ็กซอนโมบิล’ ขายกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกในไทย หลังขายโรงกลั่น - คลังน้ำมัน - ปั๊มน้ำมันให้ ‘บางจาก’ ไปแล้วก่อนหน้านี้

(26 มี.ค.68) เอ็กซอนโมบิล ลงนามขายกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกในประเทศไทย ทั้งหุ้นในแหล่งสินภูฮ่อมและการดำเนินการในแหล่งน้ำพอง ให้ฮอไรซอน ออยล์และมาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่ หลังขายกิจการโรงกลั่นน้ำมัน คลังน้ำมัน และเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันให้ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไปทั้งหมดในปี 2566 โดยฮอไรซอน ออยล์และมาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่เตรียมเข้าดำเนินการแหล่งน้ำพองในนามของกลุ่มบริษัทร่วม

บริษัท มาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่ (Matahio Energy) ประกาศว่าได้ร่วมมือกับบริษัท ฮอไรซอน ออยล์ ลิมิเต็ด (Horizon Oil Limited) ลงนามในข้อตกลงกับบริษัท เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น (Exxon Mobil Corporation) เพื่อเข้าซื้อผลประโยชน์ 100% ในบริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพรเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ (ExxonMobil Exploration and Production Khorat Inc. หรือ EMEPKI) โดยสินทรัพย์ดังกล่าวรวมถึงหุ้นในแหล่งก๊าซธรรมชาติสินภูฮ่อม (Sinphuhorm) (ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการโดยตรง) และแหล่งน้ำพอง (Nam Phong) (เป็นผู้ดำเนินการโดยตรง) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติบนบกในประเทศไทย ทั้งสองแหล่งมีการจัดการที่ดีและมีรากฐานที่แข็งแกร่ง

ฮอไรซอน ออยล์ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย (ASX) และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซิดนีย์ ส่งหนังสือแจ้งต่อ ASX ว่าฮอไรซอน ออยล์ จะเข้าซื้อหุ้น 75% ใน EMEPKI โดยมาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่ (ดำเนินกิจการในมาเลเซีย สิงคโปปร์ นิวซีแลนด์ และฟิลิปปินส์) จะเข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ 25% และตกลงที่จะจัดการพนักงานของ EMEPKI และการดำเนินการแหล่งน้ำพองในนามของกลุ่มบริษัทร่วม โดยฮอไรซอน ออยล์ ระบุว่า การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจ เนื่องจากต้องการเงินทุนขั้นต่ำในการเข้าถึงสินทรัพย์ผลิตก๊าซที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนที่ดึงดูดใจและการคืนทุนอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโอกาสในการเติบโต

ด้านมาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่ ระบุว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์จากเอ็กซอนโมบิลครั้งนี้เป็นการปูทางให้บริษัทเข้าสู่ภูมิศาสตร์ที่สาม นอกเหนือจากนิวซีแลนด์และฟิลิปปินส์ และเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตและการกระจายความเสี่ยงของบริษัท อีกทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทในการดำเนินกิจการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทีมงานของมาตาฮิโอและฮอไรซอนมุ่งมั่นที่จะทำให้การถ่ายโอนการดำเนินการแหล่งน้ำพองเป็นไปอย่างราบรื่น

ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพรเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ และ กระทรวงพลังงาน ได้ร่วมลงนามในสัญญาขยายสัมปทานการดำเนินธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติ ในเขตอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น สัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช) หรือ แหล่งก๊าซธรรมชาติน้ำพอง โดยต่อระยะเวลาสัมปทานให้บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพรเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ออกไปอีก 10 ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2564 – 2574 ซึ่งก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในปริมาณ 8  ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน จะจัดจำหน่ายให้แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งต่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนและธุรกิจในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

PEA แจง งดจ่ายกระแสไฟฟ้าในเมียนมา ไม่ได้ล่าช้า!! ยัน ตัดกระแสไฟฟ้าทันทีหลัง สมช. มีมติ

(25 มี.ค.68) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ชี้แจงกรณีที่มีการอภิปรายพาดพิงถึงการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ประเด็นปัญหากระบวนการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าเป็นไปด้วยความล่าช้ามีการเกี่ยงกันดำเนินงาน 

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคชี้แจงว่ากระบวนการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าไม่ได้เป็นไปด้วยความล่าช้า แต่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยหลังจากสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติให้งดจ่ายกระแสไฟฟ้าจากการประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็งดจ่ายกระแสไฟฟ้าทันที เมื่อเช้าวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ในพื้นที่ 5 จุดซื้อขาย ประกอบด้วย อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 1 จุด อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 2 จุด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 2 จุด เพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ ในช่วงปี 2566 - 2567 PEA ระงับการจำหน่ายไฟฟ้าให้ประเทศเมียนมาแล้ว 3 จุด   

ทั้งนี้ การจำหน่ายไฟฟ้าของ PEA ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2539 โดยมีวัตถุประสงค์ด้านสิทธิมนุษยชน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งการจะดำเนินการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าหรือยกเลิกสัญญา สามารถดำเนินการได้ใน 2 กรณี คือ 

1. คู่สัญญาดำเนินการผิดสัญญา 
2. กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ 

กระทรวงมหาดไทยเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ดูแลด้านความมั่นคงภายในประเทศ ดังนั้น ในกรณีที่เป็นเรื่องความมั่นคงระหว่างประเทศ จึงต้องสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อความรอบคอบและให้เป็นไปตามสัญญา โดยหลังจากที่หน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีมติให้งดจำหน่ายไฟฟ้า กระทรวงมหาดไทยก็ดำเนินการทันที

‘เอกนัฏ’ ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ ตรวจเครือข่ายลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงกว่า 10,000 ตัน สั่ง! ตั้งกรรมการสอบ หลังพบปลอมแปลงเอกสารราชการเปิดทางนำเข้า

‘เอกนัฏ’ ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ ตรวจสอบเครือข่ายลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงกว่า 10,000 ตัน อึ้ง! พบปลอมแปลงเอกสารราชการเพื่อเปิดทางนำเข้า คาดทำเป็นขบวนการ สั่ง! ตั้งกรรมการสอบ ลงโทษขั้นเด็ดขาด

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่า พบการปลอมแปลงเอกสารของทางราชการเพื่อใช้เป็นใบเปิดทางในการนำเข้าฝุ่นแดงจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จึงได้สั่งการให้ “ทีมตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม” นำโดย นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายเตมีย์ พันธุวงค์ราช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบ 

จากการตรวจสอบบริษัท เคเอ็มซี 1953 จำกัด พบว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำเข้าและยอมรับว่ามีการนำเข้าฝุ่นแดงจริง พร้อมแสดงข้อมูลใบขนสินค้าระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึง มกราคม 2568 จำนวนการนำเข้า 33 ใบขน โดยสำแดงเป็นฝุ่นสังกะสี (Zinc dust) และผงสังกะสี (Zinc concentrate) จำนวน 10,262 ตัน จากประเทศอินโดนีเซีย เม็กซิโก แอฟริกาใต้ โรมาเนีย โมร็อคโก และตุรกี โดยจากการตรวจสอบพบว่าสินค้าที่สำแดงว่าเป็นฝุ่นและผงสังกะสีนั้นคือ 'ฝุ่นแดง' เป็นกากอุตสาหกรรมที่เกิดจากกระบวนการหลอมเหล็ก มีการปนเปื้อนด้วยโลหะหนัก เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ที่เป็นของเสียเคมีวัตถุตามบัญชี 5.2 ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 รวมทั้งเข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล การนำเข้ามาในประเทศไทยต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้มีอำนาจ (Competent Authority : CA) ของประเทศไทยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่มีการขออนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าฝุ่นแดงดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้ กลับพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ด้วยการแก้ไขและดัดแปลงข้อความว่า สินค้าที่นำเข้านั้นไม่เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 และไม่เข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล โดยการนำหนังสือที่ปลอมแปลงนั้นไปแสดงเพื่อใช้เป็นใบเปิดทางในการนำเข้าฝุ่นแดงจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยโดยไม่ต้องขออนุญาต ซึ่งผิดกฎหมาย คาดว่าการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวมีการวางแผนทำกันเป็นขบวนการ โดยอาจมีเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวด้วย

ทีมตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า หนังสือราชการที่ออกโดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ตอบข้อหารือของกรมศุลกากร ในประเด็นสินค้าที่จะนำเข้า เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายหรือของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซลหรือไม่ มีความผิดปกติในหลายประเด็น อาจส่งผลให้มีการนำเข้าขยะและของเสียอันตรายเข้ามาสู่ประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจึงสั่งการให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้รายงานผลการตรวจสอบภายใน 15 วัน หากพบว่า เจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดให้ดำเนินการลงโทษขั้นเด็ดขาด พร้อมทั้งสั่งการให้ขยายผลขบวนการปลอมแปลงเอกสารราชการเพื่อใช้ในการลักลอบนำเข้าของเสียอันตรายโดยไม่ถูกต้อง หากเชื่อมโยงถึงผู้ใดให้ดำเนินคดีทั้งหมด

กบน.ประกาศ ลดราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล 1 บาท/ลิตร มอบเป็นของขวัญให้ประชาชนช่วงสงกรานต์

กบน. มีมติปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ลง 1 บาท/ลิตร เพื่อบรรเทาค่าครองชีพ รองรับกลับภูมิลำเนา ท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลสงกรานต์ เผยสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ทิศทางอ่อนตัว ส่งผลดีต่อ  ฐานะกองทุนฯ ภาระหนี้ลดลง 

(24 มี.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กบน. ได้ประชุมเพื่อกำหนดแนวทางดูแลราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้สอดรับกับสถานการณ์ และความเหมาะสม โดยพิจารณาจากแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เริ่มมีรายรับเพิ่มขึ้น ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลงสำหรับกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลงรวม 1 บาทต่อลิตร ซึ่งการปรับลดราคาดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 2 ระยะ ครั้งละ 50 สตางค์ต่อลิตร ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 28 มีนาคม 2568 และครั้งที่ 2 วันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชน 

“การปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันเบนซิน-ดีเซล ครั้งนี้ เพื่อเป็นของขวัญให้ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน โดยเฉพาะกลุ่มดีเซล คิดเป็น 2 ใน 3 ของปริมาณการใช้น้ำมันทั้งหมด เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนา และเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัว กระตุ้นการเดินทาง เพื่อการท่องเที่ยวในประเทศช่วงเทศกาลสงกรานต์”

สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) รายงานถึงสถานการณ์ และฐานะของกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงต้นปี (มกราคม 2568 - วันที่ 23 มีนาคม 2568) พบว่า ฐานะกองทุนน้ำมันฯ มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านราคาน้ำมันดิบดูไบช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเฉลี่ยกว่า 8,000 ล้านบาท/เดือน ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ จากเดิมเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 กองทุนฯ ติดลบอยู่ที่ 75,945 ล้านบาท (บัญชีน้ำมันติดลบ 64,066 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 47,597 ล้านบาท) ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันฯ ปรับลดลงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 เหลือติดลบ 60,052 ล้านบาท (บัญชีน้ำมันติดลบ 14,063 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 45,989 ล้านบาท

“กบน.ยืนยันความมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานให้กับประชาชน ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะยังคงทำหน้าที่ดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสมและเป็นธรรม พร้อมมุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้หลักการ “เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้” เพื่อประโยชน์ของประชาชน และทุกภาคส่วน” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าว

OR เปิด Café Amazon Concept Store แห่งแรกในกัมพูชา ปักหมุดขยายธุรกิจนอนออยล์ในต่างประเทศ

(24 มี.ค. 68) OR เปิด Café Amazon Concept Store แห่งแรกในประเทศกัมพูชา ณ ย่านตวลโก๊ก (Toul Kork) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจในกรุงพนมเปญ นำเสนอประสบการณ์ด้วยรูปแบบร้านที่โดดเด่น พร้อมเมนูเครื่องดื่มและอาหารที่รังสรรค์มาเป็นพิเศษให้แก่ผู้บริโภคชาวกัมพูชา อีกทั้งยังได้เปิดสถานีบริการ PTT Station Neak Vorn (พีทีที สเตชั่น เนียกกะวอน) ซึ่งเป็นสถานีบริการในรูปแบบ Flagship ครบวงจร ใจกลางกรุงพนมเปญ ต่อยอดการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาด้วยแนวคิด “They Grow – We Grow”

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ นายตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ร่วมพิธีเปิดร้าน Café Amazon Concept Store สาขาตวลโก๊ก (Toul Kork) ซึ่งถือเป็น Café Amazon ในรูปแบบ Concept Store แห่งแรกในประเทศกัมพูชา พร้อมก้าวสู่การเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงพนมเปญ นอกจากนี้ คณะผู้บริหาร OR ยังได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิดสถานีบริการ PTT Station Neak Vorn (เนียกกะวอน) หนึ่งในสาขาสถานีบริการ Flagship ครบวงจรซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองพนมเปญอย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายเฉียบ ซาว (Cheap Sour) ผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงเหมืองแร่และพลังงานกัมพูชา ร่วมงานด้วย

หม่อมหลวงปีกทอง เปิดเผยว่า OR เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศกัมพูชา ทั้งด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและโอกาสทางธุรกิจ OR จึงวางกลยุทธ์ให้ประเทศกัมพูชาเป็น “บ้านหลังที่สอง” (Second Homebase) ด้วยการนำธุรกิจของ OR จากประเทศไทยสู่ตลาดกัมพูชา โดยดำเนินธุรกิจที่ประเทศกัมพูชาภายใต้บริษัท PTT Cambodia Limited (PTTCL) พร้อมเสริมสร้างความเจริญเติบโตที่ยั่งยืนร่วมกับประเทศกัมพูชาตามแนวคิด "They Grow - We Grow" ซึ่งเป็นแนวทางที่ OR ยึดถือในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ สำหรับ Café Amazon Concept Store สาขาตวลโก๊ก (Toul Kork) เป็นร้านรูปแบบ Concept Store ร้านแรกในประเทศกัมพูชา โดยใช้แนวคิด People Concept ที่ต้องการให้ Café Amazon ที่ตั้งอยู่ในท้องถิ่นตามพื้นที่ต่างๆ สามารถเป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราว โดยได้นำไอเดียและความหลากหลายทาง Lifestyle ของคนแต่ละวัย รวมถึงที่ตั้งของร้านมาผสานกับการดำเนินธุรกิจ และออกแบบพื้นที่นั่งหลากหลายรูปแบบเพื่อรองรับทุกกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงครอบครัว

ทั้งนี้ Café Amazon Concept Store จะมีเมนูพิเศษประจำร้านที่แตกต่างกันออกไป โดยจะเป็นเครื่องดื่มแนวผสมผสาน (Fusion) ที่หยิบยกวัฒนธรรมท้องถิ่นขึ้นมาเป็นจุดเด่น มีเครื่องดื่มสูตรพิเศษ (Signature Menu) ที่นำเอาวัตถุดิบจากชุมชนที่ตั้งของร้านมารังสรรค์เป็นเมนูพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะสาขานั้นๆ  โดย Café Amazon สาขา ตวลโก๊ก (Toul Kork) ได้หยิบเอาวัตถุดิบจากชุมชนที่ตั้งของร้านมารังสรรค์เป็นเมนูพิเศษที่จำหน่ายเฉพาะสาขานี้เท่านั้น ได้แก่ "Komlos Srok Yerng" (กัมเลาะ สรก เยิง) เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากข้าวต้มมัดกล้วยซึ่งเป็นขนมประจำงานมงคลของกัมพูชา โดยใช้กาแฟ Amazon House Blend ผสมผสานกับไซรัปกล้วย และท็อปปิ้งด้วยข้าวต้มมัดกล้วย และ "Nary Smai Thmey" (นารี สมัย ทไม) เมนูปั่นที่ใช้ฝรั่งชมพูซึ่งเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของกัมพูชาเป็นส่วนประกอบ โรยด้วยผงบ๊วย ทานแล้วได้ความเปรี้ยวหวานและสดชื่น ที่นี่ยังมี Concept Bar ให้บริการกาแฟจากเมล็ดคัดพิเศษและเมล็ดกาแฟเฉพาะฤดูกาล ซึ่งจะให้บริการเฉพาะร้านรูปแบบ Concept Store เท่านั้น นอกจากเมนูเครื่องดื่มแล้ว Café Amazon สาขาตวลโก๊ก (Toul Kork) ยังมีบริการอาหารหลากหลาย ตอบโจทย์ต่อผู้ทำงานย่าน Toul Kork ทั้งอาหารพื้นเมือง เช่น Lok Lak (ลกลัก) เนื้อ Bay Sach Chrok (เบ แซค ชุก) อาหารไทย เช่น ผัดไทย ผัดกระเพรา รวมทั้ง Light Meal และเบเกอรี นอกจากนี้ สาขานี้ยังเป็นสาขาแรกในกัมพูชาที่มีไอศกรีม Soft Serve อีกด้วย ส่วนการตกแต่งร้าน เน้นความร่มรื่นแบบ Lifestyle Oasis ที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของธรรมชาติ ที่สำคัญคือ เฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งภายในร้านเป็นวัสดุ ใช้วัสดุ Upcycling ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งคาเฟ่ อเมซอนใส่ใจเสมอ ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน “เพื่อโลกที่ดีกว่าเดิม” สะท้อนความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจทั้งสิ่งแวดล้อม 

ปัจจุบัน Café Amazon มีสาขารวมกว่า 4,879 สาขาใน 11 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศกัมพูชามีจำนวนสาขามากเป็นอันดับ 1 มีจำนวนสาขารวม 254 สาขา และสาขานี้ถือเป็นลำดับที่ 254 การเปิด Concept Store แห่งแรกในกัมพูชานี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ OR ในการนำพาแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล มุ่งสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชั้นนำระดับโลกอย่างเต็มภาคภูมิ

สำหรับสถานีบริการ PTT Station Neak Vorn (เนียกกะวอน) เป็นสถานีบริการในรูปแบบ Flagship ครบวงจร ตั้งอยู่ใจกลางกรุงพนมเปญ ที่นอกเหนือจากการให้บริการน้ำมันคุณภาพสูงตามมาตรฐาน Euro 5 แล้ว ยังได้รวมธุรกิจที่หลากหลายไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ Café Amazon ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ร้านสะดวกซัก Otteri และร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อให้บริการที่ครบครันแก่ผู้บริโภคชาวกัมพูชา โดยปัจจุบันมีสถานีบริการ PTT Station ในกัมพูชาทั้งสิ้น 186  สาขา

‘หอการค้าไทย’ ประกาศ!! สนับสนุนผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร–ระนอง ชี้!! ไม่เพียงท้องถิ่นจะได้ประโยชน์ แต่ยังส่งผลดีต่อ เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

(23 มี.ค. 68) ที่ศาลากลางจังหวัดชุมพร นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายอภิชาติ สาราบรรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร ได้ให้การต้อนรับ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คุณภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายสลิล โตทับเที่ยง รักษาการประธานหอการค้าภาคใต้ และคณะผู้บริหารระดับสูงหอการค้าไทย เพื่อประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการหอการค้าไทย คณะกรรมการหอการค้าจังหวัดชุมพร และ YEC หอการค้าจังหวัดชุมพร ณ ห้องเกาะเสม็ด ศาลากลางจังหวัดชุมพร ชั้น 4

ช่วงบ่าย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายสลิล โตทับเที่ยง รักษาการประธานหอการค้าภาคใต้ นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร นายไพบูลย์ ลิ้มเลิศวาที ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดชุมพร และคณะกรรมการหอการค้าไทย เดินทางไปหาดแหลมริ่ว ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร เพื่อลงพื้นที่ที่จะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกชุมพร(แหลมริ่ว)ในโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อรับฟังข้อมูลในการดำเนินงานของโครงการจากทาง ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข) และผู้แทนการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตลอดจนข้อมูล

ของประชาชนในพื้นที่ นำโดย นายจีรศักดิ์ แสงหอย นายอำเภอหลังสวน นายสุชาติ ตังสุรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาในทุกมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมให้มีความสอดคล้องกัน อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี

นายสนั่น อังอุบลกุล กล่าวว่า ได้รับฟังปัญหาในหลายๆด้าน โดยทางหอการค้าไทยให้การสนับสนุนการสร้างโครงการ แลนด์บริดจ์ ชุมพร –ระนอง ซึ่งคิดว่าถ้าโครงการออกมาแล้วจะสร้างประโยชน์ไม่เพียงแต่ให้ท้องถิ่นเท่านั้น แต่โครงการโดยรวมแล้วเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ประโยชน์ เรายินดีที่จะสนับสนุนเต็มที่

นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวเพิ่มเติม เป็นโครงการสมัยท่านนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งหอการค้าเราก็ได้ให้การสนับสนุนและเพื่อที่จะแก้ไขปรับปรุงเพื่อจะให้มีโครงการแลนด์บริดจ์ขึ้นอย่างสมบูรณ์โดยควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะเป็นโครงการระหว่างจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง ทั้งสองจังหวัดจะต้องพร้อมโครงการก็จะดำเนินเดินหน้าไปได้หากจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งไม่พร้อมโครงการก็อาจจะเกิดการสะดุดได้จึงลงมาดูพื้นที่และแก้ไขปัญหาให้กับจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนองเพื่อที่จะดำเนินการต่อไป 

นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า โครงการแลนด์บริดจ์ นอกจากส่วนท่าเรือน้ำลึกแล้ว ส่วนที่สำคัญมากที่ทำให้เกิดgame changer คือ พื้นที่หลังท่าเรือชุมพร ที่มีจำนวนมากหลายหมื่นไร่ ที่จะพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขนาดใหญ่ คำนึงถึงพลังงานสะอาดและสิ่งเเวดล้อม จะเปลี่ยนทิศทางsupply chain ประเทศไทยจากผู้ซื้อเป็นผู้ผลิตได้เลย เช่น ด้านเกษตร เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองเกษตร โดยเฉพาะชุมพรและภาคใต้เป็นแหล่งวัตถุดิบทางการเกษตรและประมงมหาศาลพร้อมแปรรูป หรือด้านอาหารฮาลาล หรือ ด้านอุตสาหกรรมไฮเทค หรือ ผลิตภัณฑ์ด้านอื่นๆที่สามารถขนส่งผ่านทางรางจากเหนือลงใต้(รถไฟรางคู่ปัจจุบันถึงชุมพรแล้ว)และทางหลวงแผ่นดิน(อนาคตจะขยายเป็น8เลน) จะทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพสูงในการหาวัตถุดิบป้อนแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หากมีการพัฒนาจัดสรรใช้ประโยชน์พื้นที่อย่างเต็มที่ เช่น โครงการของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ นิคมอุตสาหกรรมของเอกชนขนาดใหญ่ สินค้าที่สำเร็จรูปผลิตแล้วจัดส่งที่ท่าเรือน้ำลึกชุมพรหรือระนองเพื่อส่งตลาดโลกได้ทันที ทำให้มีการใช้ประโยชน์ท่าเรืออย่างคุ้มค่า ไม่ต้องหวังลูกค้าจากสายเรืออย่างเดียว อีกส่วนที่สำคัญ คือ เส้นทางวางท่อส่งน้ำมัน หากพิจารณาให้ดีจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับประเทศ ดังนั้น หากจะมองความคุ้มค่าของโครงการ อย่ามองเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดจะทำให้หลงทาง บางส่วนอาจขาดทุนก่อน บางส่วนอาจกำไรเร็วกว่า บางส่วนไม่หวังกำไรแต่ต้องมี ต้องถอยมามองภาพใหญ่ให้ครอบคลุมทุกมิติแล้วจะเห็นทั้งหมด หากโครงการแลนด์บริดจ์เสร็จสมบูรณ์ในทุกส่วนแล้ว ยามที่เครื่องจักรทางเศรษฐกิจของไทยอ่อนแรงแทบทุกตัวแล้ว เชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นหัวรถจักรตัวใหม่ที่จะฉุดเศรษฐกิจของไทยให้กลับทะยานไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง สร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวไทยได้ครั้งใหญ่อีกครั้ง 

อนึ่ง วันนี้จึงนับเป็นข่าวดีมากสำหรับชาวไทย ที่ทางหอการค้าไทยได้ประกาศชัดเจน เดินหน้าสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์อย่างเต็มที่ ตามนโยบายรัฐบาล

‘กฟผ.’ ชวนอัพเดท!! เทรนด์เทคโนโลยี โอกาสทางธุรกิจ ‘สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า’

(23 มี.ค. 68) นายสายัณห์ ปานซัง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารธุรกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานเปิดงาน EGAT EV : Charge Up Your Business งานสัมมนาสำหรับผู้สนใจในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยนำเสนอข้อมูลทางธุรกิจ แนวคิด เทคโนโลยี และโอกาสความร่วมมือที่จะสามารถต่อยอดให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าสู่การให้บริการในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เช่น การขายเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้ง ดูแล บำรุงรักษา ตลอดจนผู้ประกอบการที่ต้องการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเพื่อสร้างรายได้เพิ่มต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่ โดยมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 300 คน ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 

นายสายัณห์ ปานซัง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารธุรกิจ กฟผ. เผยว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา กฟผ. ได้ร่วมขับเคลื่อนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EleX by EGAT การให้บริการแอปพลิเคชัน EleXA เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการพัฒนาระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า BackEN EV เพื่อร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของประเทศ ผ่านการนำเสนอข้อมูล แนวคิด เทคโนโลยี และแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน รวมถึงสนับสนุนภาคธุรกิจที่มองหาโอกาสในการลงทุนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน 

ด้านนางณิศรา ธัมมะปาละ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน กฟผ. เสริมว่า กฟผ. มีความตั้งใจที่จะส่งมอบความรู้ ข้อมูล และประสบการณ์ รวมถึงขยายผลนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการ EGAT EV Business Solutions โดยเฉพาะระบบ BackEN EV ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสถานีและใช้ผ่านแอปพลิเคชัน EleXA เจ้าของสถานีสามารถควบคุมและตรวจสอบการทำงานของสถานีชาร์จแบบเรียลไทม์ รองรับเครื่องชาร์จได้หลากหลายยี่ห้อและการใช้งานพร้อมกันได้จำนวนมาก ชาญฉลาดด้วยระบบแสดงผลและวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะ พร้อมรายงานข้อมูลการใช้งานและรายงานทางบัญชี ทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์และดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง สร้างรายได้และการเติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันจึงมีผู้ประกอบกิจการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้ามาใช้บริการ BackEN EV มากกว่า 110 ราย และตั้งเป้ารุกขยายตลาดไปยังกลุ่มบริษัท องค์กร ผู้ประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจติดตั้งโซลาร์เซลล์ สถานีบริการน้ำมัน และบริษัทที่ติดตั้งระบบไฟฟ้า

นอกจากนี้ กฟผ. ยังเตรียมเปิดตัวโครงการ EGAT Academy เพิ่มขีดความสามารถบุคลากรในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อออกใบรับรองมาตรฐานอาชีพสาขาวิชาชีพบริการยานยนต์ สาขายานยนต์ไฟฟ้า อาชีพช่างเทคนิคติดตั้งและซ่อมบำรุงสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความมั่นคงเชื่อถือได้ให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า 

สำหรับผู้สนใจธุรกิจในการประกอบธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในด้านต่าง ๆ สามารถติดต่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ EGAT EV Business Solutions กฟผ. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook Page: EGAT EV เว็บไซต์ egatev.egat.co.th และ Line OA: @BackenEV

‘สรรพากร’ เตือน!! อินฟลูฯ – ค้าออนไลน์ ยื่นแบบภาษี หลีกเลี่ยง!! โดนค่าปรับ อ่วม!

(22 มี.ค. 68) การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้มีรายได้ปี 2567 กรมสรรพากร ได้กำหนดให้ผู้มีเงินได้ทุกอาชีพยื่นแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด. 90/91 ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2568 หากยื่นผ่านระบบออนไลน์ เช่น D-MyTax หรือ e-Filing สามารถยื่นได้ถึง 8 เมษายน 2568

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ปัจจุบันการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือว่าเป็นรายได้อันดับ 3 ของกรมฯ โดยจัดเก็บอยู่ประมาณปีละ 4 แสนล้านบาท โดยในปีนี้หลังจากมีการเปิดให้ยื่นแบบภาษีแล้วประมาณ 3 เดือน

ปัจจุบันข้อมูลถึงวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมามีการยื่นแบบเข้ามาประมาณ 7.4 ล้านแบบสูงกว่าปีก่อน 13% มีการขอคืนประมาณ 3.5 ล้านแบบ หรือประมาณ 46.9% โดยกรมมีการคืนภาษีไปแล้วประมาณ 82% ส่วนที่เหลืออีก 18% ยังติดเกณฑ์ตรวจของกรมสรรพากรอาจเป็นเรื่องของเอกสาร หรือขั้นตอนที่กรมฯตรวจสอบพบว่ามีรายได้อื่น ๆ ส่วนที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมนั้นคาดว่าส่วนใหญ่จะทยอยยื่นเข้ามาเพิ่มขึ้นหลังจากนี้

อธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า ในภาพรวมคนที่ยื่นแบบภาษีอยู่แล้วแบบที่เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่น่าห่วงเท่ากับกลุ่มที่ไม่ยื่นภาษี คือมีเงินได้แต่ไม่เคยยื่นแบบภาษีเลย โดยจากข้อมูลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มที่ไม่ยื่นภาษีคือกลุ่มที่เป็นคนรุ่นใหม่ หรือเพิ่งเริ่มประกอบอาชีพ โดยเป็นกลุ่มอาชีพที่สอดคล้องกับกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับดิจิทัล เช่น การขายของออนไลน์ การทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อินฟลูเอนเซอร์ รับรีวิวสินค้า ซึ่งกรมฯก็มีการหารือกันว่าต้องให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ

ทั้งนี้ จนถึงขณะนี้ก็เหลือเวลาประมาณ 10 กว่าวันในการยื่นแบบภาษีขอให้ยื่นแบบภาษี ส่วนยื่นผิดถูกนั้นยังสามารถคุยกันได้ แต่ถ้าไม่ได้ยื่นเลยอีก 2-3 ปี กรมฯตรวจเจอแน่เพราะในเรื่องของธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทิ้งร่องรอยไว้อยู่แล้ว ขณะที่กรมฯเองในโครงสร้างก็มีหน่วยงานที่ตามเรื่องนี้โดยตรง

กลุ่มที่เป็นห่วงคือการขายของออนไลน์ การทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อินฟลูเอนเซอร์ รับรีวิวสินค้า เพราะดูข้อมูลแล้วไม่ยื่นกันเลย เราอยากให้มีการยื่นภาษีให้ถูกต้องและให้ความสำคัญมากเพราะการมาเรียกปรับทีหลังไม่มีประโยชน์ต่อทั้งกรมฯและผู้เสียภาษี

กลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ขายของออนไลน์ และรับรีวิวสินค้า ในการยื่นภาษีต้องดูว่าประเภทของรายได้เป็นอย่างไร ดังนี้

1.กรณีรับเป็นค่าจ้างก็เหมือนการยื่นแบบรายได้ปกติ 

2.กรณีมีต้นทุนในการรีวิวสินค้าก็หักค่าใช้จ่ายและยื่นรายได้ตามจริง 

3.กรณีเป็นผู้มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษี VAT ที่ต้องนำภาษีส่งให้รัฐ 

4.กรณีรายได้ที่รับในรูปแบบสินค้า เช่น ที่พัก อาหารในโรงแรม ต้องคิดเสมือนเป็นเงินได้ และประเมินเป็นรายได้ที่นำส่งรายได้และต้องยื่นแบบให้ถูกต้องเช่นกัน

ทั้งนี้ อาชีพอินฟลูฯ ต้องยื่นรายได้กลางปีด้วยไม่ใช่แค่ยื่นภาษีต้นปีแล้วจบ รวมทั้งค่าลดหย่อนภาษีมีเช่นเดียวผู้มีเงินได้อื่น โดยขอลดหย่อนภาษีได้กว่า 20 รายการ คิดเป็นค่าลดหย่อนเต็มจำนวนสูงสุดมากกว่า 1 ล้านบาทต่อปี ซึ่งต้องบริหารจัดการการลดหย่อนภาษี โดยปรึกษาได้ที่กรมสรรพากรทั้งในสำนักงานสรรพากรพื้นที่และช่องทางออนไลน์

ในส่วนของการลงโทษคนที่ไม่เสียภาษีเงินได้ อธิบดีกรมสรรพากรระบุว่า จะมีทั้งโทษแพ่งและอาญาซึ่งในปัจจุบันมักจะใช้โทษทางแพ่งโดยมีทั้งส่วนของเบี้ยปรับและเงินเพิ่มโดยค่าปรับนั้นมีตั้งแต่ 0 – 2 เท่าของภาษีที่ต้องจ่าย นอกจากนั้นยังมีส่วนเงินเพิ่มคิดที่อัตรา 1.5% ต่อเดือน ซึ่งหากปรับกันเต็มที่นั้นอาจเกินกว่ามูลค่าภาษีที่ต้องเสียจริงกว่า 4 เท่า  ตรงนี้เชื่อว่าไม่มีใครอยากจ่าย ส่วนโทษทางอาญากรมฯก็ไม่อยากจะใช้โทษทางอาญายกเว้นว่าเป็นการกระทำที่มีความผิดร้ายแรงมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top