Sunday, 6 October 2024
ECONBIZ

'ททท.' คาด โค้งสุดท้ายปี 67 นทท.แห่เข้าไทย 12.22 ล้านคน หนุนยอดทั้งปีนี้เฉียด 36 ล้านคน สร้างรายได้ประเทศ 1.8 ลลบ.

(2 ก.ย. 67) ช่วงเวลาที่ผ่านมา นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศ 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 (ก.ย.-ธ.ค.) เดินทางเข้าประเทศไทย มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คาดว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 12,226,500 คน หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 20% สร้างรายได้ 652,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เทียบช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนด 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 คิดเป็นสัดส่วน 97% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปีที่รายได้ 673,738 ล้านบาท

สำหรับ คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้าย ยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดหลักจากเอเชียตะวันออก รองลงมาคือกลุ่มภูมิภาคยุโรป และเอเชียใต้ ส่วนที่เหลือจากตลาดในภูมิภาคอื่นๆ เช่น โดย 10 อันดับแรกของประเทศที่เดินทางเที่ยวไทยมากที่สุด ได้แก่ จีน 2.03 ล้านคน มาเลเซีย 1.83 ล้านคน อินเดีย 7.07 แสนคน เกาหลีใต้ 7.4 แสนคน รัสเซีย 6.98 แสน ลาว 4.34 แสนคน สิงคโปร์ 4.28 แสนคน ไต้หวัน 3.77 แสนคน ญี่ปุ่น 3.46 แสนคน และสหรัฐ 3.41 แสนคน

“แนวโน้มปี 2567 คาดมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยจำนวน 35.99 ล้านคน เพิ่มขึ้น 28% ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ ททท. กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน ส่วนรายได้ทางการท่องเที่ยวคาดประมาณ 1.818 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า”

สำหรับปัจจัยบวกต่อภาคการท่องเที่ยวไทย มีทั้งนโยบายผลักดันการเดินทางผ่านมาตรการ Ease of Traveling ของประเทศไทย อาทิ การผ่อนคลายวีซ่าประเภทท่องเที่ยว การขยายเวลาพำนักในไทยนานขึ้น การยกเว้นยื่นใบ ตม.6 บริเวณด่านชายแดนทางบกทั่วประเทศ เพื่อจูงใจและอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังวางแผนจะเดินทางให้สามารถตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวไทยง่ายขึ้น
รวมถึงปัจจัยจำนวนที่นั่งโดยสาร (Seat Capacity) เส้นทางระหว่างประเทศ มีจำนวนรวม 46 ล้านที่นั่ง คิดเป็นการฟื้นตัว 82% ของจำนวนที่นั่งโดยสารระหว่างประเทศเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด และเติบโตขึ้น 24% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีจำนวนที่นั่งโดยสารประมาณ 37 ล้านที่นั่ง

สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเทศกาลและกิจกรรมสำคัญ อาทิ วันชาติจีน (1 ต.ค.) เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ และการเดินทางท่องเที่ยวตามรอยอินฟลูเอนเซอร์ ศิลปินชื่อดังของชาวไทยและต่างชาติ ผ่านการนำเสนอคอนเทนต์ สถานที่ถ่ายทำซีรีส์ คอนเสิร์ต หรือแฟนมีตติงศิลปินไทยและต่างชาติ

ส่วนปัจจัยท้าทายที่คาดว่าจะกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย อาทิ การส่งเสริมตลาดเชิงรุกของคู่แข่งในตลาดเอเชียแปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และเวียดนาม ที่จัดโปรโมชันดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มเดียวกับไทย รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงเศรษฐกิจขนาดใหญ่ชะลอตัว ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ได้แก่ สงครามอิสราเอลกับปาเลสไตน์ อิหร่านกับอิสราเอล รัสเซียกับยูเครน หากยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบต่อราคาบัตรโดยสารเครื่องบินแพงขึ้น

นอกจากนี้ ภัยคุกคามจากภัยพิบัติธรรมชาติและภัยก่อการร้าย มีแนวโน้มเพิ่มความถี่เกิดบ่อยครั้งหรือรุนแรง โดยเฉพาะอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นจากผลของวิกฤติคลื่นความร้อน (เอลนีโญ) แผ่นดินไหว น้ำท่วมใหญ่ จนอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน แผนการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวออกต่างประเทศ หรือมาตรการความปลอดภัยในการเดินทาง

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดในประเทศ 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 (ก.ย.-ธ.ค.) มีการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือน 72.47 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 6% หรือคิดเป็น 92% ซึ่งเข้าใกล้เป้าหมายจำนวน 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 ที่ตั้งไว้ และมีรายได้รวม 335,240 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นสัดส่วน 83% ของเป้าหมายรายได้ 4 เดือนสุดท้ายของ ปี 2567 ที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มทั้งจำนวนและรายได้ตลาดในประเทศปี 2567 จะยังคงเป็นไปตามคาดการณ์ไว้ โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ มาตรการการกระตุ้นท่องเที่ยวจัดผ่านอีเวนต์ การท่องเที่ยวโดยซอฟต์พาวเวอร์ อาทิ อาหาร ภาพยนตร์และซีรีส์ แฟชั่น มวยไทย และเฟสติวัล โดยนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยวในประเทศภายใต้แคมเปญ “สุขทันที...ที่เที่ยวไทย” และโครงการ “365 วันมหัศจรรย์เมืองไทย ...เที่ยวได้ทุกวัน” 

'อีเลคโทรลักซ์' เปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ตั้งเป้า 'เพิ่มกำลังการผลิต-ขยายตลาด' ดึงดูดลูกค้ากลุ่มพรีเมี่ยม

(2 ก.ย. 67) เมื่อไม่นานมานี้ นายอเล็กซิส ริชาร์ด ผู้จัดการทั่วไป อีเลคโทรลักซ์ประเทศไทย กล่าวว่า อีเลคโทรลักซ์ กรุ๊ป ประกาศเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันออกกลางแอฟริกาอย่างเป็นทางการที่กรุงเทพมหานคร เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นตลาดหลักของอีเลคโทรลักซ์กรุ๊ปในภูมิภาค ทำให้สำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้มีบทบาทสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ของบริษัท ในฐานะประตูสู่การดำเนินธุรกิจการค้าต่างๆ ของเอเชีย อีกทั้งยังตั้งอยู่ใกล้โรงงานผลิตที่ระยองและตลาดอื่นๆ ในเอเชียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงมีศูนย์วิจัย R&D ที่สิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจอีเลคโทรลักซ์ ตลอดจนสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ได้อย่างรวดเร็ว

โดยในปี 2567 อีเลคโทรลักซ์ เปิดตัวสินค้าใหม่ถึง 85 ชนิดในปีนี้ ครอบคลุมเครื่องใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะตลาด premium โดยปัจจุบัน มีสินค้า highlight คือ เครื่องซักผ้าฝาหน้าขนาด 9-11 กิโลกรัม โดยตั้งเป้า market share ตลาดเครื่องซักผ้าฝาหน้าอยู่ที่ 25% ภายในปีนี้ ส่วนเครื่องดูดฝุ่นตั้งเป้า market share อยู่ที่ 15% ภายในปีนี้ สำหรับตู้เย็นเน้นจำหน่ายตู้เย็นหลายประตู หรือ multi door  โดยตั้งเป้า market share อยู่ที่ 5% ของตลาดตู้เย็นทั้งหมด ตั้งเป้าว่าจะขยายฐานลูกค้าตู้เย็นหลายประตูและเครื่องใช้ไฟฟ้าบิ้วท์อินในครัว การเปิดสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันออกกลางแอฟริกา อีเลคโทรลักซ์มองว่าประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญและมีความพร้อมเป็นอย่างมาก ด้วย location เป็นศูนย์กลางของเอเชีย ทั้งการมีความพร้อมในด้านฐานการผลิต โรงงานที่จังหวัดระยอง ศูนย์วิจัย Global R&D และยังเป็นประเทศที่เป็นศูนย์รวมของนานาชาติ มีศักยภาพในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลายสัญชาติให้มาทำงานที่ประเทศไทยได้ และทำให้พนักงานของเราทั้งจากโรงงานที่ระยอง ศูนย์วิจัย Global R&D และสำนักงานใหญ่ ทำงานได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกด้วย

นายวิเทอร์ มายอา รองประธานฝ่ายการขายภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันออกกลางแอฟริกา อีเลคโทรลักซ์กรุ๊ป กล่าวว่า จังหวัดระยองเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับอีเลคโทรลักซ์กรุ๊ป และตลาดในประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ที่อันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการทำตลาดในประเทศไทยมานานกว่า 47 ปี ถือว่ามีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรงมากเมื่อเทียบกับแบรนด์จากประเทศอื่นๆ การก่อตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในกรุงเทพฯจะช่วยให้ใกล้ชิดกับโรงงานผลิตได้มากขึ้น และสามารถมองโอกาสการเติบโตในด้านของทรัพยากรบุคคลด้วย

ปัจจุบัน โรงงานที่ระยองสามารถผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ 1.5 ล้านหน่วยต่อปี โดยมีสัดส่วนในการส่งออก 70% ไปยัง 56 ประเทศทั่วโลกและภายในปี 2026 มีการวางแผนขยายการผลิต โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 20% โดยแผนการเติบโตของอีเลคโทรลักซ์ คือ การเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีเป้าหมายในการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีอยู่เดิม และดึงดูดลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะลูกค้าใน premium market และลูกค้าที่สนใจด้านความยั่งยืน และลูกค้าที่ต้องการใช้สินค้าที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“การเปิดสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคของเราในกรุงเทพฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของกลยุทธ์สร้างการเติบโตทางธุรกิจของอีเลคโทรลักซ์ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนอันยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้าและผู้บริโภคตอกย้ำถึงความสำคัญของประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งประเทศไทยมีอัตราการแข่งขันสูง สามารถดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพในการทำงานหลากหลายสัญชาติ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับการตั้งสำนักงานและใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น” ทั้งนี้ อีเลคโทรลักซ์กรุ๊ปที่ได้ร่วมสร้างการเติบโตให้ประเทศไทยมายาวนานตลอด 47 ปี โดยจะช่วยให้เกิดการสร้างงานหรือเพิ่มพนักงานที่ทำงานในระดับภูมิภาคมากถึง 130 ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นสายงานการตลาด สายงานบริหารผลิตภัณฑ์ หรือสายงานฟังก์ชั่นสนับสนุนการดำเนินงาน อีเลคโทรลักซ์ ประเทศไทย ส่งมอบนวัตกรรมจากสวีเดนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิตผู้คนมากมาย ด้วยความทุ่มเทของพนักงาน 2,800 คน จาก 26 ประเทศ ซึ่งมาประจำการอยู่ที่กรุงเทพฯ และโรงงานผลิตของบริษัทที่ระยอง 

นอกจากความสำเร็จทางด้านธุรกิจและการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง อีเลคโทรลักซ์ยังเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ตามแนวคิด ”Shape living for the better” ให้กับผู้คนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยผ่านการดำเนินงานในหลายมิติ อาทิ 

•    โรงงานที่ระยองเป็นหนึ่งในฐานการผลิตเชิงกลยุทธ์ของอีเลคโทรลักซ์ ผลิตเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า ตู้เย็น และเตาประกอบอาหาร เพื่อส่งออกไปยัง 56 ประเทศทั่วโลก โดยจัดจำหน่ายภายใต้ 10 แบรนด์ ซึ่งรวมถึงแบรนด์ อีเลคโทรลักซ์ (Electrolux) เวสติ้งเฮ้าส์ (Westinghouse) และฟริจิแดร์ (Frigidaire)
•    ในปี 2566 ร้อยละ 25 ของพลังงานที่โรงงานระยองใช้มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ โรงงานยังได้การรับรองจากสถาบันระดับสากล “การบริหารจัดการของเสียไปสู่การฝังกลบเป็นศูนย์” (Zero Waste to Landfill) ซึ่งหมายถึงการส่งของเสียไม่เกินร้อยละ 1 จากโรงงานไปสู่การฝังกลบ
•    โรงงานระยองได้เปลี่ยนรถโฟล์คลิฟท์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันดีเซลหรือก๊าซแอลพีจี เป็นรถโฟล์คลิฟท์ระบบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน จำนวนมากถึง 133 คัน ซึ่งถือว่าช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 500 ตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 21,000 ต้น 

 อีเลคโทรลักซ์ตอกย้ำจุดยืนในฐานะผู้นำด้านการดูแลเสื้อผ้าอย่างยั่งยืน ด้วยการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ Electrolux UltimateCare รุ่นใหม่ล่าสุด นอกจากนี้ยังมีเครื่องดูดฝุ่นรุ่นด้ามจับน้ำหนักเบาผลิตจากวัสดุรีไซเคิล
•    โครงการจัดอบรมเยาวชนเพื่อให้เป็นฮีโร่ด้านอาหาร หรือ “Food Heroes” ของมูลนิธิอีเลคโทรลักซ์ฟู้ด ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนในแต่ละประเทศในการเลือกทำและทานอาหารตามแนวทางยั่งยืนม
“การตั้งสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคแห่งใหม่นี้ จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางที่สำคัญของอีเลคโทรลักซ์กรุ๊ป มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพและความเชี่ยวชาญของพนักงานระดับภูมิภาคที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานระดับโลก และสนับสนุนโอกาสเติบโตในการทำงาน” นายวิเทอร์ กล่าว

1 ปี 'พีระพันธุ์' ใต้หมวกเจ้ากระทรวงพลังงาน อะไรทำแล้ว? เรื่องไหนทำอยู่? แล้วไทยจะก้าวสู่ 'ความมั่นคง-เป็นธรรม-ยั่งยืน' ด้านพลังงานได้อย่างไร?

ครบวาระการทำงาน 1 ปี ในฐานะเจ้ากระทรวงพลังงานของ 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' ประชาชนได้รับการดูแลแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอย่างไร? มิติใหม่ในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของไทยคืบหน้าไปมากน้อยแค่ไหน? กฎหมายกำกับดูแลราคาพลังงานให้เป็นธรรมจะได้ใช้เมื่อไหร่? ราคาน้ำมัน-ค่าไฟ จะลดลงได้อย่างไร? 

แล้วการทำงานในปีที่ 2 จะไปต่อแบบไหน? และมีอะไรใหม่ในการดูแลประชาชนด้านพลังงาน? ไปพบกับคำตอบทั้งหมดนี้ได้ในบทสัมภาษณ์พิเศษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เจ้าของแนวคิด 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' เพื่อความมั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน ของระบบพลังงานไทย เพื่อคนไทยทุกคน ดังนี้...

>> ลุยหาช่องทางแก้ปัญหาหมักหมม
"จากประสบการณ์ทํางานในราชการทางการเมือง ผมคิดว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผมทํางานได้เยอะและเร็วพอสมควร ฟังดูเหมือนนาน 12 เดือน 1 ปี แต่ในความเป็นจริง ช่วง 2-3 เดือนแรก ผมต้องศึกษาข้อมูล ศึกษาปัญหา แล้วก็ศึกษาวิธีการแก้ไข ปัญหาของกระทรวงพลังงานซึ่งรับผิดชอบทั้งเรื่องน้ำมัน เรื่องค่าไฟฟ้า เรื่องของราคาแก๊ส แล้วก็อีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนในเรื่องของพลังงาน มันเยอะมาก และเป็นปัญหาที่หมักหมมมา ไม่ใช่แค่ 5 ปี 10 ปี 

"กระทรวงพลังงานปีนี้จะเริ่มปีที่ 22 แต่ปัญหาที่พูดมาทั้งหมด เกิดมาก่อนกระทรวงพลังงาน โดยเฉพาะเรื่องปัญหาน้ำมัน ไม่ต่ำกว่า 40-50 ปี ผมเองใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนแรก ในการศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไข ผมคิดว่าผมพอใจในการทํางานของผมเองที่ 2-3 เดือนแรกก็สามารถที่จะศึกษาทั้งหมดได้ครับ"

>> ออกประกาศให้ผู้ค้าแจ้งต้นทุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
"หลังจากศึกษาก็หาวิธีแก้ไข โดยเฉพาะอันดับแรกเลยก็คือเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งประหลาดมากที่เราไม่เคยรู้ต้นทุน และก็ไม่เคยขอให้ผู้ค้าบอกต้นทุนได้ ผมก็ต้องใช้เวลาในการหาวิธีที่จะดําเนินการ เพราะทุกฝ่ายมาบอกกับผมหมดเลยว่า 'ไม่มีอํานาจ' ซึ่งการจะมีอํานาจก็ต้องแก้ไขกฎหมายนะครับ และนอกจากแก้ไขกฎหมายธรรมดา ยังต้องแก้ไขกฎหมายอีกหลายอย่างซึ่งจะใช้เวลา ผมก็ต้องกลับมาใช้กฎหมายที่เป็นกฎหมายปัจจุบันมาศึกษาช่องทาง และผมทําเองทั้งหมด 

"สุดท้ายก็เจอช่องทางตามกฎหมายปัจจุบัน ผมจึงหารือกับทางสํานักงานกฤษฎีกา ซึ่งก็เห็นตรงกัน เลยยกร่างเบื้องต้นขึ้นมา แล้วก็ให้คณะไปร่างต่ออีกทีนึง ก็ออกมาเป็นประกาศกระทรวงพลังงานที่กําหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุน จากนั้น ก็มาเจอกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า การจะประกาศได้ต้องผ่านกระบวนการ พูดง่าย ๆ ภาษาง่าย ๆ ประชาชนเข้าใจง่าย คือต้องประชาพิจารณ์อีก เพราะฉะนั้นก็ทําให้กระบวนการที่จะออกประกาศใช้เวลาอีก 3-4 เดือน สุดท้ายก็มีผลบังคับเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถทําให้ผมรู้ต้นทุนราคาน้ำมัน และรู้ปัญหาที่จะต้องแก้ไขต่อไป"

>> ร่างกฎหมายกำกับดูแลการขึ้นลงของราคาน้ำมัน สกัดผู้ค้าปรับราคาตามอำเภอใจ
"ต่อมา ผมก็คิดว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำมันของบ้านเรา ในเรื่องของการใช้ระบบที่เรียกว่า ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ มารักษาระดับหรือพยุงราคา ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งนอกจากจะเป็นภาระของประเทศแล้ว ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตรงจุด ขณะเดียวกัน ผมก็พบว่าประเทศไทยไม่มีสํารองน้ำมันของ

ประเทศ ที่ว่ามี ๆ กันวันนี้ ไม่ใช่สํารองน้ำมันของประเทศ แต่เป็นสํารองของผู้ประกอบการ และวัตถุประสงค์หลักก็คือ เป็นการสํารองด้านการค้า ขั้นต่ำของการสํารองเพื่อความมั่นคงและปลอดภัยประเทศต้องอย่างน้อย 90 วันตามมาตรฐานสากล แต่ของเราไม่มี ที่มีอยู่ก็แค่ 20 วัน 

"เพราะฉะนั้นเราก็ตกมาตรฐานสากล เป็นมาแบบนี้ 40-50 ปี ไม่เคยมีใครทํา ผมก็ต้องมานั่งคิดอีก แล้วก็มานั่งคิดว่า ตรงนี้จะแก้ปัญหาเรื่องกองทุนน้ำมันยังไง ก็ปรากฏว่ากองทุนน้ำมันไม่เคยมีกฎหมาย เพิ่งมีกันครั้งแรกเมื่อปี 2562 ซึ่งก็เป็นกฎหมายที่ไม่สมบูรณ์อีก ผมก็ต้องมานั่งคิดว่าจะวางระบบเรื่องสํารองน้ำมันประเทศยังไง แล้วก็มาเจอปัญหาเรื่องราคาน้ำมันขายปลีก 

"ผมเองก่อนมาเป็นรัฐมนตรีก็สงสัย ทําไมราคาน้ำมันมันขึ้นลงกันได้ง่ายเหลือเกิน วันนี้อ้างราคาตลาดโลกขึ้น แต่เวลาลงทําไมมันไม่ลงง่ายเหมือนตอนขึ้น ก็ปรากฏว่าไม่มีกฎหมายอีกครับ กลายเป็นว่าการขึ้นลงของราคาน้ำมัน ชาวบ้านก็ไม่เข้าใจเหมือนผมในอดีต ก็หาว่าทําไมกระทรวงพลังงานปล่อย มันไม่ปล่อยได้ไงครับ มันไม่มีกฎหมายให้อํานาจทําอะไรเลย เพราะฉะนั้น ผมก็เลยเร่งทำกฎหมายในเรื่องนี้

"ที่ผมเคยบอกไว้ว่า ผมมีบันได 5 ขั้น ผมก็ไล่มาทีละขั้นนะครับ หลังจากเรื่องของต้นทุนราคาน้ำมันซึ่งเป็นบันไดขั้นที่ 2 ผมก็ต้องรีบมาแก้ปัญหาเรื่องการที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันสามารถทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจ ไม่มีกฎหมาย  ผมก็มาแก้กฎหมายเพื่อกํากับดูแลการประกอบธุรกิจการค้าน้ำมัน ซึ่งเป็นบันไดขั้นที่ 3 และตอนนี้ผมยกร่างกฎหมายนี้เสร็จแล้วครับ

"ผมขออนุญาตทําความเข้าใจนิดนะครับว่า การขออนุญาตค้าน้ำมันกับการกํากับดูแลนี่ไม่เหมือนกัน ทุกวันนี้เรามีแต่กฎหมายที่มาขออนุญาตค้าน้ำมัน แต่เมื่อเราให้อนุญาตไปแล้ว ก็อิสระเลยครับ ในขณะที่ทางด้านไฟฟ้า มีคณะกรรมการ กกพ. หรือคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน เป็นผู้กํากับเรื่องของการประกอบกิจการ เรื่องของราคา เรื่องอื่น ๆ แต่น้ำมันไม่มี การกํากับดูแลสื่อก็ยังมี กสทช. แต่น้ำมันไม่มีครับ อันนี้เป็นเรื่องที่ประหลาด ปล่อยมาอย่างนี้ 40-50 ปี ผมคิดว่าอันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้เกิดปัญหากับพี่น้องประชาชน 

"ดังนั้น ผมก็เลยยกร่างกฎหมายที่ว่า ซึ่งตอนนี้เสร็จแล้ว และจะประชุมคณะทํางานเพื่อจะตรวจร่างที่ผมร่างขึ้นมา กฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายใหม่ในการกํากับดูแลไม่ให้การประกอบกิจการน้ำมันของผู้ที่ได้รับใบอนุญาตค้าน้ำมันอยู่แล้ว สามารถทําอะไรได้เองตามอําเภอใจทั้งหมด แล้วสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เราจะมีการกํากับดูแล แล้วก็จะวางระบบเรื่องกองทุนน้ำมันฯ ใหม่ ซึ่งระยะเวลาการทํากฎหมายนี้จนถึงวันนี้ ผมคิดว่าเร็วพอสมควรแล้วกับการแก้ไขปัญหาในระยะต่อไปครับ"

>> จัดตั้งระบบสำรองน้ำมันแห่งชาติ พลิกภาระหนี้สินกองทุนน้ำมันฯ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของชาติ
"ผมกำลังทําเรื่องกฎหมายเรื่องสํารองน้ำมันของประเทศ ซึ่งผมจะเอาน้ำมันตัวนี้มาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันฯ เราจะมีน้ำมันมาดูแลน้ำมัน ผมจะเปลี่ยนกองทุนที่ใช้เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้เป็น Asset หรือทรัพย์สินของประเทศ ต่อไปกองทุนน้ำมันฯ ที่มีน้ำมันสํารองของประเทศ จะเป็นทรัพย์สินของประเทศไม่ใช่ภาระหนี้สินอีกต่อไป ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มต้นทําแล้วครับ”

>> ตรึงค่าไฟสุดกำลัง!! ยับยั้งความเดือดร้อนประชาชน
"เรื่องของค่าไฟฟ้า ในช่วงแรกที่ผมเข้ามาเป็นรัฐมนตรีพลังงานในรัฐบาลชุดนี้ ก็เป็นไปตามนโยบายของพรรคผม และของรัฐบาลตรงกัน คือลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้พี่น้องประชาชน มาถึงปั๊บเราก็แก้ไขปัญหาราคาไฟฟ้าให้อยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ทั้งประชาชนทั่วไป และประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 300 หน่วยต่อเดือน แต่ว่าเราสามารถตรึงตรงนี้อยู่ได้ช่วงหนึ่ง เพราะว่าราคาแก๊สในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น พอมาช่วงที่ 2 ก็คือ ช่วงต้นปีนี้ ก็มีข่าวทันทีครับว่าไฟฟ้าจะพุ่งขึ้น

"สิ่งที่ผมพยายามทําก็คือ 'ถ้าลดไม่ได้ ก็ไม่ขึ้นครับ ต้องตรึง' แต่ว่าในช่วงแรกเรามีความจําเป็นต้องขยับราคา เนื่องจากภาระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่รับภาระหนี้แทนพี่น้องประชาชนในการที่ช่วยตรึงค่าไฟในช่วงแรกไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย เขาเพิ่มสูงขึ้น เราเลยจําเป็นต้องอนุญาตขยับราคาขึ้นมาเป็น 4.18 

บาท ก็ขึ้นมานิดเดียวครับ จาก 3.99 บาท ซึ่งตอนแรกมีข่าวลือออกมาว่าจะขึ้นเยอะแยะ แต่ว่าในส่วนของพี่น้องประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ก็ยังคงตรึงไว้ที่ 3.99 บาท เหมือนเดิมครับ

"หลังจากครบระยะ 4 เดือนตรงนี้ ก็มีข่าวขึ้นราคาอีก ซึ่งผมไม่อยากให้ขึ้น รัฐบาลก็ไม่อยากให้ขึ้น หรืออย่างน้อยเมื่อเราลดราคาไม่ได้ ก็ต้องตรึงไว้ที่เดิม นโยบายของเราก็ตรึงไว้ที่ 4.18 บาท ซึ่งการตรึงราคาครั้งที่สองนี้เหนื่อยกว่าครั้งแรกเยอะมากครับ เพราะอะไรครับ เพราะราคาก๊าซขึ้น ในขณะเดียวกันแก๊สในอ่าวไทยที่เราเคยผลิตได้ก็หายไปวันละ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต แล้วยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง ผมก็ได้ไปกําชับเรื่องการขุดแก๊สจากอ่าวไทยเพิ่ม ทำให้แก๊สปริมาณ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันที่หายไปก็สามารถกลับมาได้แล้ว และมีบริหารจัดการในอีกหลายเรื่องที่ทําให้เราสามารถตรึงราคาค่าไฟไว้ที่ 4.18 บาท ได้อีกเหมือนเดิม

"พอมาครบ 4 เดือน ในงวดที่เพิ่งผ่านมา ก็มีข่าวมาอีกแล้วว่าจะขึ้นไป 4 บาท 50-60 สตางค์ หรือไปถึง 6 บาทเลยนะครับ ตรงนี้เราก็มาบริหารจัดการ สุดท้ายผมก็ยังสามารถตรึงราคาไว้ได้ที่ 4.18 บาท แล้วคณะรัฐมนตรีก็อนุมัติให้ดูแลกลุ่มเปราะบางที่ 3.99 บาท โดยใช้เงินงบประมาณมาเหมือนเดิม  นี่ก็เป็นสิ่งที่เราทํามาในช่วงหนึ่งปีในการตรึงค่าไฟฟ้า ผมสามารถพูดได้เลยครับว่า ราคาค่าไฟในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรีพลังงาน อย่างน้อยไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนนะครับ"

>> สร้างหนทางหลุดพ้นปัญหาค่าไฟแพงอย่างยั่งยืน
"ทําอย่างไรที่จะให้พี่น้องประชาชนสามารถใช้ไฟได้ถูกลง มีทางเดียวก็คือต้องใช้พลังงานที่เขาเรียกว่าพลังงานสะอาด ซึ่งก็มี 3 อย่าง คือ ลม, แดด, น้ำ ซึ่งสําหรับพี่น้องประชาชนทั่วไป วันนี้คงคุ้นเคยกับเรื่องของ Solar Rooftop หรือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคานะครับ 

"เพียงแต่สิ่งที่เป็นปัญหาและทําให้เกิดปัญหามาตลอดคือ ความยุ่งยากในเรื่องของการติดตั้งและการขออนุญาต ซึ่งผมกําลังจะออกกฎหมายฉบับใหม่ ตอนนี้ยกร่างเสร็จแล้วเหมือนกัน เพื่อที่จะกํากับดูแลเรื่องของการติดตั้งให้ง่ายและสะดวกขึ้น ส่วนที่ผ่านมา ทําไมมันยุ่งยาก ก็เพราะมันไม่มีกฎหมาย พอไม่มีกฎหมาย ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน ก็บอกว่าเป็นอํานาจของตนเองหมดเลย ประชาชนก็วิ่งไปทั่วเลย ไปหาหน่วยงานนั้น ไปหาหน่วยงานนี้ กว่าจะติดตั้งได้ 

"เพราะฉะนั้นผมจะออกกฎหมายฉบับนี้ ภายในปลายปีนี้ ผมคิดว่ากฎหมายนี้ก็จะเสร็จตามกฎหมายน้ำมันนะครับ ก็จะทําให้พี่น้องประชาชนสามารถติดตั้งระบบ Solar บนหลังคา หรือในพื้นที่บ้านได้สะดวกและง่ายขึ้นครับ"

>> แสวงหานวัตกรรมพลังงานราคาถูกเพื่อประชาชน
"แต่ว่าเมื่อติดตั้งแล้วก็มีประเด็นต่อไปครับ วันนี้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะเป็นระบบหลังคา Solar หรือระบบไฟฟ้า มันแพงครับ สิ่งที่ผมได้ดําเนินการในส่วนนี้ ก็คือ ให้คนที่เป็นนักประดิษฐ์คิดค้นมาดําเนินการวางระบบ Solar Rooftop ให้ประชาชนในราคาถูกครับ ปกติพลังงานแสงแดดที่มาผลิตไฟฟ้าจะใช้ได้เฉพาะกลางวัน เพราะกลางคืนไม่มีแดด ถ้าจะใช้กลางคืนจะต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า แบตเตอรี่เก็บสํารอง ซึ่งแบตเตอรี่นี่แพงมากครับ อย่างน้อยก็เป็นหลักแสน 

"ดังนั้น สิ่งที่กระทรวงพลังงานโดยผมได้ดําเนินการไปก็คือ เราได้ทําการประดิษฐ์คิดค้นแบตเตอรี่ขึ้นมา ตอนนี้อยู่ระหว่างทดลอง ซึ่งเบื้องต้นผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ แบตเตอรี่นี้สามารถใช้กับเครื่องปรับอากาศได้ 3 เครื่อง ใช้กับตู้เย็นได้ 1 เครื่อง ในงบประมาณเพียงแค่ไม่เกิน 20,000 บาทเท่านั้น ระบบ Inverter ที่ต้องมาควบคุมระบบไฟฟ้าขายกัน 4-5 หมื่นบาท โดยเราสามารถประดิษฐ์ได้อยู่ที่ราคา 7-8,000 บาท ไม่เกินหมื่นบาท 

"ส่วนแผงโซลาร์อย่างต่ำ 160 โวลต์ ปกติจะใช้ 4 แผง แต่เราสามารถดัดแปลงใช้แค่ 2 แผง ทั้งหมดนี้น่าจะอยู่ในวงเงินประมาณ 30,000 บาท ก็สามารถใช้ไฟได้ทั้งกลางวัน กลางคืน ตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนที่ผมสั่งการให้มีการทดสอบทดลองอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งผมมั่นใจว่าในรอบปีที่ 2 ที่ผมดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีพลังงาน ผมจะทําตรงนี้ออกมา และจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายให้กับพี่น้องประชาชนในราคาที่ถูก ซึ่งจะช่วยพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากปัญหาค่าไฟแพง โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟ แต่ใช้แสงแดดของเราแทน

>> โยกระบบแก๊สแก้ปัญหาค่าไฟ
"ส่วนเรื่องค่าแก๊สนะครับ แก๊สที่ขุดจากอ่าวไทยผมขออนุญาตเรียนว่าไม่ได้ขุดมาแล้วใช้เป็นแก๊สหุงต้มสําหรับประชาชนได้หมดนะครับ มันต้องมาแยกก่อนและส่วนหนึ่งจะเป็นแก๊สหุงต้ม แต่ที่ผ่านมามีปัญหาว่า มีการนำแก๊สจํานวนหนึ่งไปใช้ในอุตสาหกรรม แต่ใช้ราคาเดียวกับราคาของแก๊สหุงต้ม ซึ่งเป็นการกําหนดราคาแบบไม่ถูกต้อง โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้ แต่ไม่เคยมีใครลงมือทํา แต่ผมได้แก้ไขปัญหานี้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2566 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2567 นั่นคือ การโยกระบบแก๊สให้อยู่ถูกที่ถูกทาง โดยแก๊สที่ใช้เพื่ออุตสาหกรรมต้องอยู่ในราคาที่ถูกต้องเหมาะสม และตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้ผมสามารถยันราคาค่าไฟไว้ได้ที่ 4 บาท 18 สตางค์ ด้วยการปรับโยกการใช้แก๊สจากอ่าวไทยให้อยู่ในราคาที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปใช้ราคาแก๊สหุงต้มของพี่น้องประชาชน"

>> ร่างกฎหมายกำกับดูแลราคาแก๊สหุงต้ม
“ในเรื่องแก๊สหุงต้ม เราก็ตรึงราคามาตลอดนะครับ 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 423 บาท ต่อ 15 กิโลกรัม มีคนร้องเรียนว่า บางร้านขายเกินราคา ซึ่งนี่ก็เป็นอีกปัญหาที่ว่า กระทรวงพลังงานไม่มีอํานาจไปกํากับดูแลตรงนี้

เพราะฉะนั้นพอย้อนกลับไปสิ่งที่ผมพูดก่อนหน้านี้ว่า ผมกําลังออกกฎหมายใหม่ในเรื่องของการกํากับดูแลเรื่องราคาน้ำมัน ก็จะครอบคลุมมาดูแลเรื่องราคาแก๊สนี้ด้วย ซึ่งจะทำให้ต่อจากนี้ไปกระทรวงพลังงานจะมีอํานาจตามกฎหมายใหม่ในการเข้าไปกํากับดูแล ไปตรวจสอบการขายแก๊สหุงต้มให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้อยู่ในระดับที่ไม่มีการไปโกงพี่น้องประชาชนก็ได้อีก อันนี้ก็เป็นเรื่องของกฎหมายใหม่ที่จะทําออกมา"

>> เขียนกฎหมายเอง ทำงานทุกวันถึงตี 3
"การจะเขียนกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเข้าใจเรื่อง และคนที่เข้าใจเรื่องก็ต้องเขียนกฎหมายเป็น  ซึ่งต้องถือว่าเป็นโชคดีอย่างนึงที่เผอิญผมเขียนกฎหมายเป็น และเข้าใจเรื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นกฎหมายที่ผมพูดเมื่อสักครู่ ผมเขียนเองหมดเลย ผมใช้เวลากลางคืนทุกคืน กฎหมายที่ผมบอกว่าจะกํากับดูแลกิจการพลังงานไม่ให้มีการปรับราคากันทุกวัน แล้วก็จะดูแลไม่ให้มีการเอาเปรียบพี่น้องประชาชนในเรื่องของน้ำมัน 

"ผมเริ่มเขียนมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 หลังจากที่ผมได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นทุนราคาน้ำมัน ผมทํางานทุกวันทั้งวัน งานประจํา งานต้องเซ็น ผมไม่เคยค้าง ผมเซ็นทุกวัน ผมใช้เวลาเที่ยงคืนถึงตี 3 ทุกคืน ตั้งแต่เดือนเมษายน เพื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ วันนี้ผมร่างเสร็จแล้ว และผมกำลังจะเชิญประชุมของคณะทํางานด้านกฎหมายของผม เพื่อตรวจสอบต่อไป กฎหมายนี้ผมร่างเองทั้งฉบับ ด้วยมือผมเอง ใช้เวลาเที่ยงคืนถึงตีสามทุกคืน"

>> ลงลึกตัวบทกฎหมายให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
"อันดับแรกของกฎหมายก็คือ 'บทนิยาม' บทนิยามสําหรับกฎหมายอื่นไม่มีปัญหา เป็นเรื่องเบสิก แต่กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เลยครับ บทนิยามจะเป็นตัวกําหนดหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนราคาน้ำมันแบบไหน อย่างไร คิดอย่างไร 

"จากบทนิยามก็จะมีเรื่องของการกําหนดว่า การประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและแก๊สจะต้องอยู่ภายในกฎหมายนี้อย่างไร กฎหมายนี้จะมีการกําหนดราคามาตรฐานอ้างอิง ว่าแต่ละเดือนราคาน้ำมันควรจะเป็นเท่าไร ถ้าหากผู้ประกอบการมีต้นทุนที่สูงกว่าราคากลางที่กําหนดออกมาตรงนี้จะต้องมาพิสูจน์อย่างไรว่า เขามีต้นทุนที่สูงขึ้นถึงจะปรับราคาได้ ไม่ใช่นึกจะปรับก็ปรับนะครับ เพราะฉะนั้นตรงนี้จะเป็นธรรมทุกฝ่าย ประชาชนก็ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้ประกอบการก็ไม่ขาดทุน ขณะเดียวกันภาครัฐก็เข้าไปปรับดูแลได้

"สำหรับรูปแบบของกองทุนน้ำมันที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ก็จะมีวางระบบใหม่เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและบรรลุเป้าหมายมากขึ้นกว่าเดิม และจะมีเรื่องของการให้ความเป็นธรรมเกี่ยวกับการร้องเรียนต่างๆ เพราะคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอาจกําหนดอะไรออกมาแล้วไม่ถูกต้อง ก็มีระบบที่จะสามารถตรวจสอบได้"

>> เปิดช่องน้ำมันเสรีสำหรับผู้ประกอบการ
"ที่สําคัญ ผมจะอนุญาตให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ รวมไปถึงสหกรณ์ต่าง ๆ สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง ที่ผมเคยตอบไปในสภาว่าโครงสร้างราคาน้ำมันที่ทําให้น้ำมันประเทศเราแตกต่างจากประเทศอื่น ไม่ใช่อยู่ที่เนื้อน้ำมัน แต่อยู่เรื่องนโยบายและภาษี ภาษีส่วนหนึ่งคือ ภาษี VAT ภาษี VAT อย่างน้อย 7% นะครับ ภาษี VAT จะเก็บจากการค้า แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นการค้า เป็นการใช้ของเราเอง เอาเข้ามามันไม่มี VAT เมื่อไม่มี VAT อย่างน้อยราคาน้ำมันลดไปเลยครับ

"ผมยกตัวอย่างกลุ่มของผู้ประกอบการขนส่ง ทุกวันนี้ ผู้ประกอบการขนส่งจะต้องเติมน้ำมันก็ไปที่ปั๊ม ดูราคาขึ้นลง แต่ที่ผมเคยบอกไว้ว่าผมจะเปิดเรื่องการค้าน้ำมันเสรี ผมก็เอามาลงอยู่ตรงนี้ คําว่าเสรีของผมหมายความว่า เราจะต้องไม่ปิดกั้นประชาชน ถ้าเขาสามารถหาน้ำมันมาใช้ได้เอง ก็ต้องเปิดโอกาส แต่เขาจะหาได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของเขา รัฐต้องไม่ห้าม เพราะนี่คือการค้าเสรี ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเองด้วย ตรงนี้จะทําให้ต้นทุนถูกลงและประหยัดเลยครับ เพราะฉะนั้น เงื่อนไขส่วนหนึ่งของกฎหมายฉบับนี้จะเปิดโอกาสให้พี่น้องเกษตรกร ซึ่งถ้ารวมตัวกันเป็นสหกรณ์ เป็นสมาคม ก็จะสามารถไปหาซื้อน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาถูกลง

"ที่สำคัญคือเรื่องของการขนส่ง ซึ่งเป็นต้นทุนของการผลิตสินค้าหลายเรื่อง และเป็นต้นทุนการดํารงชีวิตของคน ก็จะเปิดโอกาสให้มีการตั้งเป็นสมาคม และสามารถไปหาน้ำมันมาใช้เอง ตรงนี้ก็จะหลุดพ้นจากเรื่องของการที่ต้องไปซื้อน้ำมันตามราคาที่คนนู้นประกาศ คนนี้ประกาศ เพราะฉะนั้นถ้าท่านสามารถหาน้ำมันที่ถูกกว่าในประเทศมาใช้ได้ เอาเลยครับ ผมอนุญาต เพราะตรงนี้จะช่วยลดภาระของพี่น้องประชาชนในเรื่องของต้นทุนสินค้า ลดภาระของผู้ประกอบการขนส่ง เพราะไม่ต้องไปจ่ายระบบภาษีเยอะ  

"นี่เป็นสิ่งที่ผมได้เห็นทางออกจากปัญหาที่ว่า ทําอย่างไรจะให้หลุดจากปัญหาเรื่องภาษีได้ โดยที่เราก็ไม่ได้ไปแก้กฎหมายอะไร เพียงแต่ใช้ช่องที่ว่า เมื่อไม่มีการค้า ก็ไม่ต้องเสีย VAT อย่างน้อยตรงนี้ก็ลดภาษี VAT ไปได้ 2 ช่วงนะครับ ที่ผ่านมาโครงสร้างราคาน้ำมันวันนี้โดน VAT 2 ช่วง 

"เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ประกอบการขนส่งสามารถหาน้ำมันมาเองในราคาถูกอยู่แล้ว และไม่ต้องมาเสีย VAT ต้นทุนของผู้ประกอบการขนส่งในเรื่องน้ำมันจะลดลงไปทันที แล้วเมื่อลดภาระเรื่องราคาน้ำมันแล้ว ก็ต้องลดราคาสินค้าให้ประชาชนด้วย ลดต้นทุนการผลิตด้วยนะครับ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมดำเนินการอยู่ แต่ยังไม่จบ"

>> คุมค่าไฟหอพักให้เหมาะสมเป็นธรรม
"เมื่อกี้เราคุยกันว่า ค่าไฟเราตรึงไว้ที่ 4 บาท 18 สตางค์ ส่วนประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน คิดค่าไฟ 3.19 บาท แต่ปรากฏว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมได้รับการร้องเรียนเข้ามาก็คือ ผู้ประกอบการที่เอาไฟ 4.18 บาท ไปขายต่อ เช่น หอพัก หรือกิจการอื่น ๆ ที่ไปเก็บค่าไฟเกินกว่า 4 บาท 18 สตางค์ 

"ตามกฎหมายต้องถือว่าท่านเป็นผู้ค้าไฟฟ้านะครับ เอาไฟฟ้าหลวงไปขายถือว่าเป็นการทําการค้า แล้วก็สร้างปัญหา ไม่มีใครมาคุมในส่วนนี้ บางรายขายจาก 4.18 บาท เป็น 8 บาท หรือ 9 บาท 12 บาทก็มี อันนี้ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงนะครับ ผมเข้าใจว่าผู้ประกอบการก็ต้องทํา แต่ขณะเดียวกันประชาชนก็เดือดร้อน ทําอย่างไรจะอยู่ในราคาที่เหมาะสม เรื่องนี้ผมได้หารือกับทางสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน ก็คงจะออกเป็นมาตรการต่อไปในการช่วยดูแลปัญหาเรื่องการเอาค่าไฟไปเก็บแพงในหอพัก หรือในกิจการอื่น ๆ ซึ่งจะต้องมีการควบคุมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชนกลุ่มนี้เพิ่มเติมต่อไปอีกด้วยครับ"

>> ทำทันที!! ไม่เคยกลัวอิทธิพลกลุ่มทุน 
"ผมเคยเจอคําถามว่า 8 ปีที่แล้ว 9 ปีที่แล้วทําไมถึงไม่ทํา ผมฟังแล้ว ผมรู้สึกตลกนะ 8 ปี 9 ปีที่แล้ว ผมเป็นรัฐมนตรีพลังงานหรือเปล่าล่ะครับ ผมไม่ได้เป็น ผมเพิ่งมาเป็นได้แค่ปีเดียว แล้วคนที่ถามไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้ว่าผมไม่ได้เป็น แต่เมื่อเป็นปั๊บ ผมก็ทําทันทีนะครับ และถ้าผมอยู่ภายใต้อิทธิพลกลุ่มทุน 1 ปีที่ผ่านมา ที่ผมพูดมาทั้งหมดเมื่อกี้ คิดว่าผมทําได้ไหมครับ ผมไม่เคยกลัวครับ ผมทํางานในทางการเมืองมา 30 ปี ผมไม่เคยกลัว และไม่เคยมีผลประโยชน์ ผมทําทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติบ้านเมืองเท่านั้น ไม่เคยกลัว ทําได้ก็ทํา ทําไม่ได้ก็จะทํา ทําให้ถึงที่สุดครับ ผมไม่เคยกลัวอิทธิพลอะไรทั้งนั้น ถ้าผมทําไม่ได้นั่นแหละครับ คือสิ่งที่ผมกลัว กลัวไม่ได้ทํา"

>> ทำงานเยอะ ไม่เครียด ถ้าเครียด ก็เริ่มใหม่ได้
"มันเป็นเรื่องปกติของคนนะ ถ้าจะบอกว่าไม่เครียด มันเป็นไม่ได้หรอก มันก็มีปัญหาที่ทําให้เราเกิดความเครียดนะครับ แต่ความเครียดของผม ส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่บางครั้งคิดไม่ออก คิดไม่ออกว่าปัญหานี้จะแก้ยังไง ไม่ได้เครียดจากการทํางานเยอะนะครับ แต่จะเครียดจากการคิดไม่ออก ผมก็มีวิธีแก้ให้เราลดความเครียดลง เพราะผมคิดว่า เครียดไปมันก็ไม่มีประโยชน์ มันเป็นธรรมชาติของคน มันเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อเกิดแล้วเราต้องมีวิธีแก้ปัญหาให้เราลดความเครียดลง เพื่อจะเดินหน้าต่อไปได้ ถามว่าแก้ความเครียดยังไง ก็แล้วแต่สถานการณ์นะ บางครั้งผมก็ไปเช็ดรถ ล้างรถ ขัดรถ ทําบ้าน ก็ว่ากันไป นั่งดูยูทูบบ้าง ดูเว็บไซต์เรื่องที่เราสนใจ จะได้เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนอารมณ์ ให้สิ่งที่มันทําให้เกิดปัญหาในความคิดในสมองมันลดระดับมา แล้วก็เริ่มต้นใหม่ได้ครับ"

>> ทำให้ดีที่สุดเพื่อประชาชน
"ผมอยากเรียนว่าทั้งหมดนี้ ในระยะเวลา 12 เดือน ผมทําได้แค่นี้ ผมคิดว่าผมพอใจ และจะพอใจมากกว่านี้ถ้าทําให้เสร็จหมดภายใน 1 ปีถัดไป ผมก็จะพยายามทําให้ดีที่สุด จะพยายามปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของพี่น้องประชาชนในเรื่องของพลังงานให้มากขึ้น"

"สุดท้าย ต้องขอบพระคุณพี่น้องประชาชนนะครับ เพราะว่าที่ผ่านมาในอดีตทั้งหมดที่ผมทํางานการเมืองมา ไม่เคยมีคนมาเชียร์หรือมาช่วยอะไรมาก ผมเป็นคนทํางานแบบทําในสิ่งที่ต้องทํา ไม่ใช่ทําเพราะว่าคนเชียร์ หรือว่าทําเพราะคนด่า ผมไม่เคยสนใจ แต่ในช่วงที่ผ่านมา ผมรู้สึกแปลกใจ แล้วก็ดีใจ ที่มีคนเชียร์ผมเยอะ แล้วก็สนับสนุนการทํางานผมเยอะ ส่วนหนึ่งผมจําได้ ผมเคยไปออกรายการอาจารย์ยิ่งศักดิ์ ตั้งแต่แรก ๆ ที่ผมเป็นรัฐมนตรี ผมก็บอกว่าผมจะทําเพื่อประโยชน์ประชาชน ขอให้พี่น้องประชาชนเป็นผนังกําแพงให้ผมพิง ก็ต้องขอบพระคุณทุกท่านครับ" เจ้ากระทรวงพลังงานกล่าวทิ้งท้าย

ข้อเสนอแก้หนี้ครัวเรือน กับผลงานชิ้นโบแดงของแบงก์ชาติ

(1 ก.ย. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ

ในบรรดาหลายมาตรการที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เสนอในเวที Vision for Thailand เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน โดยแบ่งเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ครึ่งหนึ่ง (0.23% ของฐานเงินฝากของธนาคารพาณิชย์) มาสมทบกับเงินของสถาบันการเงินเอง เพื่อ Haircut หนี้ของลูกหนี้ที่มีปัญหา เป็นข้อเสนอที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษและมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติสูง

ข้อเสนอดังกล่าวเป็นการคิดนอกกรอบอีกครั้งหนึ่งของท่านนายกทักษิณ ซึ่งหากทำสำเร็จ ก็จะผ่อนคลายความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องแบกรับภาระหนี้ที่มีจำนวนสูงถึงกว่า 16 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 91% ของ GDP และเป็นตัวเหนี่ยวรั้งการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยมายาวนาน

ทันทีที่ข้อเสนอถูกเผยออกมา ผู้บริหารแบงก์ชาติถึงกับเกิดอาการอึ้ง เมื่อถูกสื่อสอบถามความเห็น แต่ก็ได้ให้ลิ่วล้อออกมาส่งเสียงคัดค้านว่าจะเกิดผลเสียต่อการบริหารหนี้ FIDF (Financial Institutions Development Fund) ต่าง ๆ นานา ทั้ง ๆ ที่หนี้ FIDF ก้อนนี้ ซึ่งยังคงค้างอยู่ประมาณ 600,000 ล้านบาท เป็นหนี้สาธารณะที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง ไม่ใช่หน้าที่ของ ธปท. แต่ ธปท. ในฐานะธนาคารกลางที่เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างขึ้นมาจากน้ำมือของ ธปท. เองล้วน ๆ

ย้อนหลังไปเมื่อปี 2540 หลายท่านอาจจำไม่ได้แล้วว่า ประเทศไทยมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate) ธปท. ในฐานะผู้รับผิดชอบนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน จึงออกไป Defend ค่าเงินบาท ปกป้องไปปกป้องมาจนผลาญเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเสียเกลี้ยง จึงต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 พร้อม ๆ กับการเข้าโปรแกรม IMF การปิดสถาบันการเงิน และการให้รัฐบาลประกาศรับประกันเงินฝากของประชาชนที่สถาบันการเงิน จึงเป็นที่มาของหนี้จำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งในที่สุด ธปท. ต้องร้องขอให้รัฐบาลแปลงจากหนี้ของกองทุน FIDF มาเป็นหนี้สาธารณะ (Fiscalization)

เนื่องจากหนี้ FIDF มีที่มาจากระบบสถาบันการเงิน จึงไม่เหมาะสมที่จะให้คนไทยผู้เสียภาษีทั้งประเทศรับภาระหนี้ก้อนนี้ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท จึงมีความตกลงกันให้ ธปท. รับผิดชอบชดใช้เงินต้น และกระทรวงการคลังรับภาระดอกเบี้ย แต่จนแล้วจนรอด ธปท. ก็ไม่ทำตามสัญญา โดยอ้างว่าไม่มีกำไร ในขณะที่ยังคงจ่ายโบนัสพนักงานอยู่เป็นปกติ 

เมื่อหนี้ไม่ลด การชำระดอกเบี้ย จึงไม่ลดไปด้วย โดยกระทรวงการคลังต้องขอตั้งงบประมาณชำระดอกเบี้ยเป็นจำนวนสูงถึงปีละกว่า 60,000 ล้านบาท

เมื่อ ธปท. ไม่ชำระหนี้เงินต้นตามที่ตกลงกันไว้ จึงเป็นที่มาของการออกกฎหมายกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำส่งเงินเพื่อชำระหนี้ FIDF จำนวน 0.46% ของฐานเงินฝาก ในสมัยที่คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาหนี้ FIDF อย่างเบ็ดเสร็จและตรงจุด และผลจากการดำเนินการดังกล่าวได้ทำให้รัฐบาลสามารถลดภาระงบประมาณได้อย่างมากและลดยอดหนี้ FIDF คงค้างเหลือไม่ถึง 600,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

ดังนั้นข้อเสนอของอดีตนายกทักษิณ แม้จะทำให้การชำระหนี้ FIDF ล่าช้าไปบ้าง แต่ก็เป็นทางออกที่เหมาะสมในการบรรเทาปัญหาหนี้ภาคประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รุมเร้าสังคมไทยอยู่ทุกวันนี้ ส่วนคนที่ควรรักษามารยาท ก็น่าจะเป็น ธปท. เพราะเป็นผู้สร้างปัญหามาแต่ต้น และก็ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นได้

CATL ผนึกกำลังเครือ ปตท. เดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศพลังงานไทย ชูเป้าหมายใหญ่ เปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด

เมื่อวานนี้ (28 ส.ค. 67) บริษัท เอ ซี เอนเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด A C Energy Solution (ACE) และ Contemporary Amperex Technology Co., Ltd. (CATL) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อศึกษาและพัฒนาระบบนิเวศพลังงานไทย ณ สำนักงานใหญ่ CATL เมืองหนิงเต๋อ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วย Mr. LiBin Tan Chief Customer Officer & Co-President of the Market System CATL, นายเอกชัย ยิ้มสกุล กรรมการผู้จัดการ ACE และ Mr. See Tzu Cheng (ขวาล่าง) General Manager of APAC & Strategic Projects CATL ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

🚗#กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) จากนโยบายการสนับสนุนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทำให้ปริมาณการใช้ EV มีการเติบโตอย่างเนื่อง โดยปัจจุบัน ACE และ CATL ได้มีความร่วมมือในการจัดตั้งโรงงานประกอบ EV battery pack โดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำจาก CATL และ EV value chain จากกลุ่ม ปตท. โดยมุ่งเน้นการผลิต ประกอบ battery pack ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังมีแผนในการศึกษาการพัฒนา ระบบ green factory เพื่อรองรับ Net Zero ในอนาคต เพื่อลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การพัฒนาระบบ Green factory โดยการนำ Renewable energy และ ระบบ battery มาประยุกต์ใช้ ยังสามารถต่อยอดธุรกิจไปได้หลากได้ด้าน ทั้ง PPA และ Private PPA ภายในประเทศในอนาคตอันใกล้

⚡#กลุ่มการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging) การเติบโตอย่างรวดเร็วของยานยนต์ไฟฟ้า จำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถชาร์จไฟได้สะดวกและรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามสถานีชาร์จปัจจุบัน ยังพึ่งพาระบบโดยทั้งหมดจากการไฟฟ้า ทำให้เกิดปัญหาในหลายมิติ อาทิเช่น Grid stability, Low priority power เป็นต้น โดยความร่วมมือดังกล่าวจะร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการพลังงานในสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการติดตั้งระบบ BESS ร่วมกับ Solar system เพื่อลดภาระการใช้งานพลังงานจาก Grid เพิ่มความเสถียรของระบบไฟฟ้าในสถานีชาร์จ โดยการจัดการกับความผันผวนของการใช้พลังงานและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนพลังงาน และรองรับการชาร์จเร็ว (Super-fast charging) ได้ถึง 4C - 6C เป็นต้น

🔋#กลุ่มระบบกักเก็บพลังงานและพลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานของประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ความร่วมมือนี้มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเก็บและจัดการพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และนำมาใช้ในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง ระบบ ESS นี้จะช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มความเสถียรของระบบไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานในช่วงเวลาที่มีค่าไฟฟ้าสูง (peak hours) โดยการใช้พลังงานที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่แทน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพลังงานและลดภาระการใช้พลังงานจาก Grid นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในการศึกษาการสร้าง ESS production line และ Battery cell production line เพื่อรองรับการเติบโตและเป็นการสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทย

🚉#กลุ่มระบบการขนส่ง การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่แค่รองรับรถยนต์ส่วนบุคคลเท่านั้น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการขนส่งที่ยั่งยืน (Sustainable Transportation) เนื่องจากการขนส่งเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือดังกล่าวได้ร่วมศึกษาพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยี การวางแผนเมืองโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ให้รองรับการขนส่ง อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น ระบบบริหารจัดการพลังงาน ระบบการชาร์จ ระบบ renewable energy ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

40 ปีบางจากโรงกลั่น-น้ำมันแลกข้าว สู่ธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน ตั้งเป้าปี 2023 โต 10 เท่าตัว

เป็นเรื่องที่น้อยคนนักจะทราบว่า ‘บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)’ จะมีจุดเริ่มต้นจาก ‘พลเอกเปรม ติณสูลานนท์’ 

เมื่อ พ.ศ. 2527 รัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้มีมติอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาบริหารงานโรงกลั่นที่มีอยู่แล้ว  

จึงได้จัดตั้ง บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (ชื่อในขณะนั้น) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ โดยได้มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 โดยมี ‘เกษม จาติกวณิช’ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และโสภณ สุภาพงษ์ เป็นผู้จัดการใหญ่ 

ก่อนต่อมาในปี พ.ศ. 2533 บางจากได้ร่วมกับสหกรณ์การเกษตรศรีประจันต์ จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งสถานีบริการน้ำมันหรือปั๊มน้ำมันชุมชนแห่งแรก และมีโครงการที่โดดเด่นอย่างน้ำมันแลกข้าว ถัดจากนั้นอีก 1 ปี ‘บางจาก’ ได้เป็นรายแรกของไทยที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วและบางจากดีเซล 357 กำมะถันต่ำ

พ.ศ. 2558 บางจากได้พลิกโฉมผ่านการลงทุน ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และเหมืองแร่ลิเทียม ก่อนได้มีการขายเหมืองแร่ลิเทียมในเวลาต่อมาโดยมีกำไรมากกว่า 4,000 ล้านบาท

พ.ศ. 2560 ‘บางจาก’ ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท บางจาก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 

และใน พ.ศ. 2566 ‘บางจาก’ ประกาศดีลใหญ่ด้วยการซื้อกิจการของเอสโซ่ประเทศไทย ทำให้บางจากมีโรงกลั่นน้ำมันระดับโลก 2 แห่ง สถานีบริการน้ำมันรวมมากกว่า 2,200 แห่งขึ้นเป็นแท่นจำนวนสถานีบริการน้ำมันเป็นเบอร์ 2 ของประเทศ

เจาะกลุ่มธุรกิจในมือ ‘บางจาก’

จากรายงานประจำปีและ Opportunity Day ในไตรมาสที่ 1 พบว่า บางจากมีการดำเนินกิจการใน 6 กลุ่ม ได้แก่ 

1. ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและการค้าน้ำมันดิบ ปัจจุบันมี 2 แห่ง ได้แก่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง และโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชาหรือโรงกลั่นน้ำมันของเอสโซ่เดิม มีกำลังการผลิตรวม 294,000 บาร์เรลต่อวันเป็นกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 

2. กลุ่มธุรกิจการตลาด มีสถานีบริการน้ำมันรวมมากกว่า 2,219 แห่ง มีส่วนแบ่งการตลาด 29 เปอร์เซ็นต์ ถ้านับเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ‘บางจาก’ จะมีปั๊มน้ำมันรวมอันดับ 1 นอกจากนี้ในกลุ่มธุรกิจนี้ยังมีร้านกาแฟอินทนิล ที่มีสาขาจำนวนมากถึง 1,020 สาขา 

3. กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาดใน 7 ประเทศรวม มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 1,200 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 780 เมกะวัตต์

4. กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีการผลิตธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพเอทานอล มีกำลังการผลิต 80 ตันต่อวัน 

5. กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ บริษัทได้มีการถือสิทธิ์โดยอ้อมในแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติและถือสิทธิ์การสำรวจปิโตรเลียมหลายแปลงผ่านสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติในประเทศนอร์เวย์ 

6. ธุรกิจแห่งอนาคต กลุ่มนี้บางจากมี 2 ธุรกิจหลัก คือ  

ธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน หรือ SAF ธุรกิจส่วนนี้ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโรงงานภายใต้งบประมาณ 8.5 พันล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 หากเปิดให้บริการแล้วคาดว่าจะมีกำลังการผลิตถึง 1 ล้านลิตรต่อวัน 

โดยจะมีการใช้วัตถุดิบจำพวกไขมัน จากน้ำมันเหลือใช้ น้ำมันจากสัตว์ และอื่น ๆ เพื่อผลิต HEFA เพื่อผสมกับน้ำมันเจ็ท ซึ่ง ICAO ได้รับรองให้ HEFA นำมาผสมถึง 50%

ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (CDMO) โดย BBGI ร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Fermbox Bio บริษัทผู้นำด้านการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ชีววิทยาสังเคราะห์ด้วยกระบวนการหมักแม่นยำขั้นสูง และก่อตั้งบริษัทร่วมทุน BBFB (BBGI Fermbox Bio) ซึ่งเป็นโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง (Precision Fermentation) เชิงพาณิชย์แห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โดยระยะแรกจะผลิตเอนไซม์ และขยายการผลิตไปยังผลิตภัณฑ์ด้านชีววิทยาสังเคราะห์ (Synbio) ที่ล้ำสมัยอื่น ๆ ต่อไป

ในเฟสแรกโรงงานมีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ 2,000 ตันต่อปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดแล้วเสร็จปลายปีนี้ และเริ่มผลิตช่วงต้นปี 2568 พร้อมขยายเป็นเฟสต่อเนื่องด้วยจุดแข็งคือ การมีพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่ง จะทำให้เราเติบโตในธุรกิจนี้ได้ และมีตลาดรองรับ พร้อมส่งออกไปจำหน่ายภายในภูมิภาค

เจาะลึกเป้าหมาย ธุรกิจในมือ ‘บางจาก’ ก่อนประกาศกลยุทธ์ 1 ก.ย. นี้ 

เป้าหมาย 10X New Growth Chapter 2023 คือมี EBITDA (กำไรก่อนภาษี ต้นทุนทางการเงิน ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์) ที่ 100,000 ล้านบาท จาก EBITDA เฉลี่ยในปี 2015-2021 คือช่วงปี 2558-2564 อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท หรือโตขึ้น 10 เท่าตัว 

จากงบการเงินปี 2566 ทางบางจากมี EBITDA รวม 41,680 ล้านบาท มีที่มาของแหล่งกำไรตามกลุ่มธุรกิจ ดังนี้ 

45% Refinery and Oil Trading Business ที่ประกอบด้วยโรงกลั่น และธุรกิจการตลาดในเครือของบางจาก
43% Natural Resources จากกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติที่มีแหล่งรายได้จาก OKEA ถือสัมปทานแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในนอร์เวย์หลายแห่ง

10% Clean Power Business
2% Bio-Base Products Business

นอกจากการตั้งเป้าหมายให้ EBITDA เติบโต 10 เท่าตัวแล้ว เป้าหมายนี้ของบางจากยังจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ EBITDA เป็น 

49% Natural Resources สัดส่วนเพิ่มขึ้น 6%
36% Refinery and Oil Trading Business ลดสัดส่วนลง 9%
8% Clean Power Business ลดสัดส่วนลง 2%
4% Bio-Base Products Business เพิ่มสัดส่วนขึ้น 2%
4% New Business กลุ่มนี้จะมีอัตรา EBITDA ถึง 4%

EA เคลียร์หนี้ระยะสั้นได้หมด เร่งจัดหาแหล่งเงินทุน พร้อมไปต่อยานยนต์ไฟฟ้า-น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน

 

EA เคลียร์หนี้ระยะสั้นหมด ขอบคุณผู้ถือหุ้นกู้ทุกคนและสถาบันการเงินทุกแห่งที่เชื่อมั่นในศักยภาพ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ - น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนเพิ่มสภาพคล่องในการทำธุรกิจ เร่งเดินหน้าหาแหล่งเงินทุน เจรจา Strategic Partner 
ที่มีศักยภาพพร้อมเติบโตต่อเนื่อง

(28 ส.ค. 67) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ได้มีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 12 รุ่น รวมวงเงินทั้งสิ้นประมาณ 24,000 ล้านบาท การประชุมกับผู้ถือหุ้นกู้ที่จัดขึ้นครั้งนี้เพื่อเป็นการขอให้ยอมรับว่ามีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของหุ้นกู้รุ่นอื่นที่เป็นข้อกำหนดสิทธิ โดยในที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้โหวตยินยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ส่งผลให้บริษัทสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ระยะสั้นได้จบทั้งหมด พร้อมเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนที่วางไว้ 

โดยในรายละเอียดการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ที่จัดขึ้นนี้เพื่อพิจารณาวาระ“การขอผ่อนผันให้ (1) การเปลี่ยนแปลงวันครบกำหนดไถ่ถอนตั๋วแลกเงิน ระยะสั้นรุ่น EA24723A และ EA24801A และ (2) การขอขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ EA248A และ EA249A รวมถึงการเสนอปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย การให้หลักประกันและการเข้าทำสัญญาใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อ 11.1 (ญ) ของข้อกำหนดสิทธิ” โดยแบ่งการประชุมเป็น 4 กลุ่ม ช่วงเช้าและบ่าย ในช่วงเช้าเป็นการประชุมผู้ถือหุ้นกู้  รุ่น EA249A EA269A EA289A มีผู้ถือหุ้นกู้ร้อยละ 97.5 ได้ลงมติอนุมัติเห็นด้วย และมีเพียงร้อยละ 2.5  ไม่เห็นด้วย และในช่วงบ่ายเป็นการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 3 กลุ่มด้วยกันดังนี้ กลุ่มที่ 1 รุ่น EA257A,  มีผู้ถือหุ้นกู้ร้อยละ 100.00 ได้ลงมติอนุมัติเห็นด้วย กลุ่มที่ 2 รุ่น EA259A, EA279A, EA299A, EA329A มีผู้ถือหุ้นกู้ร้อยละ 63.79 ได้ลงมติอนุมัติเห็นด้วย และมีเพียงร้อยละ 36.21 ไม่เห็นด้วย และกลุ่มที่ 3 EA261A, EA281A, EA301A, EA331A มีผู้ถือหุ้นกู้ร้อยละ 61.19 ได้ลงมติอนุมัติเห็นด้วย และมีเพียงร้อยละ 38.81 ไม่เห็นด้วย 

การจัดประชุมครั้งนี้ถึงแม้จะไม่สามารถจัดแบบ Hybrid แต่ก็ได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ถือหุ้นสามารถเข้ามาร่วมประชุมที่สถานที่จัดประชุมและสอบถามข้อกังวลได้

นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (CFO) ของ EA กล่าวว่า “ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นกู้ทุกรุ่นที่ให้ความร่วมมือและไว้วางใจลงมติอนุมัติให้บริษัทเดินหน้าต่อไป ขอขอบคุณสถาบันการเงินทุกแห่งที่เกี่ยวข้อง วันนี้ EA เคลียร์ปัญหาหนี้ได้ ช่วงเวลาต่อจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา ด้วยธุรกิจของบริษัทยังคงดำเนินตามปกติ ผู้บริหารชุดใหม่พร้อมเดินเครื่องการทำงานเต็มที่และมั่นใจว่าจะขับเคลื่อนบริษัทให้เติบโตต่อไป”

“ก้าวต่อไปบริษัทกำลังเดินหน้าจัดหาแหล่งเงินทุนทั้งจากสถาบันการเงินในและต่างประเทศ รวมถึงกำลังเจรจาหา Strategic Partners ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน เพิ่มศักยภาพในการชำระหนี้และพัฒนาธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ยังดำเนินการนำรายได้ในอนาคตเข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เสนอขายให้กับนักลงทุน คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ก็จะมีความคืบหน้าที่ชัดเจน” นายวสุกล่าวเพิ่มเติม 

“ช่วงเวลานับจากนี้เป็นช่วงเวลาของการเดินหน้าธุรกิจที่เป็นเมกะแทรนด์โลก ทั้งด้านแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าขนส่งเชิงพาณิชย์ที่พร้อมในการส่งมอบรถหัวลากไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้า รวมถึงการลงทุนโครงการใหม่ได้แก่ การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) เพื่อขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมที่ไร้มลพิษตามพันธกิจของบริษัท” นายวสุกล่าวทิ้งท้าย

‘OR’ ร่วมพัฒนาพื้นที่บริเวณสำนักงานใหญ่ ‘ไปรษณีย์ไทย’ จัดตั้ง ‘ศูนย์บริการธุรกิจ-สถานีบริการพลังงานทางเลือก-สวนป่ายั่งยืน’

(27 ส.ค. 67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัดร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน ในบริเวณพื้นที่สำนักงานใหญ่ของไปรษณีย์ไทย โดยมีนายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR และ นายพิษณุ วานิชผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร และรักษาการในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจองค์กร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมลงนามเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 อาคารไปรษณีย์ไทย สำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ

นายดิษทัต กล่าวว่า "ความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญยิ่งในการร่วมกันพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเหมาะสมที่สุด ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์ การดำเนินธุรกิจ และประโยชน์ต่อชุมชน โดย OR จะให้การสนับสนุนด้านพลังงานทางเลือก ได้แก่ การให้บริการ EV Charger และการติดตั้ง Solar Cell บนหลังคาเกาะจ่าย อาคารไปรษณีย์ และอาคารร้านค้า ซึ่งที่ผ่านมา OR ได้ให้ความสำคัญในการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านทาง platform ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV Station PluZ หรือการสร้างสถานีบริการต้นแบบแห่งอนาคต ‘Green Station’ ซึ่งใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดผ่านการใช้พลังงานจาก Solar Rooftop เป็นต้น"

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่าเพื่อตอกย้ำกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจความยั่งยืน ‘ESG + E’ ตามกรอบนโยบายของบริษัทฯ ล่าสุดไปรษณีย์ไทยได้ทำความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาพื้นที่บริเวณสำนักงานใหญ่ของไปรษณีย์ไทย ในการจัดตั้งโครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน โดยภายในโครงการจะประกอบด้วยอาคารศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ โดยมีสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) สถานีบริการน้ำมัน ซึ่งมีความพิเศษที่มีจำนวนแท่นชาร์จมากกว่าสถานีบริการน้ำมันอื่น ๆ อีกทั้งยังมีสถานีสลับแบตเตอรี่ (Swap Battery)ร้านกาแฟร้านจำหน่ายสินค้า และสวนสุขภาพ ทั้งนี้ อาคารภายในโครงการอาจมีการพิจารณานำระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานร่วมกันระหว่าง ไปรษณีย์ไทย กับ OR มีความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ และประโยชน์ต่อชุมชน

“ไปรษณีย์ไทยตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์สื่อสารและขนส่งหลักของชาติที่จะเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ เข้าถึงทุกเจนเนอเรชัน ทุกช่วงชีวิต โดยปัจจุบันได้พัฒนาหลากโซลูชันให้ทันกับบริบทการเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ การจับมือกับ OR ในการจัดตั้งโครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน เพื่อเป็นสถานที่สำหรับให้คนมานัดพบปะ นัดเพื่อน ใช้บริการสะดวก คล่องตัว สิ่งสำคัญคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานทั้งในส่วนของระบบการขนส่ง รวมถึงสำนักงานที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในระบบงานไปรษณีย์ในระยะแรกจำนวน 250 คัน ในพื้นที่นครหลวงและภูมิภาค และมีแผนที่จะติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (SOLAR PV ROOFTOP) ที่อาคารไปรษณีย์ไทยสำนักงานใหญ่ สำนักงานไปรษณีย์นครหลวง สำนักงานไปรษณีย์เขตศูนย์ไปรษณีย์ ให้ได้ 60% ภายในปี 2573 และครบทั้งหมด 100% ภายในปี 2583”

โครงการนี้ จึงไม่เพียงแต่จะเป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างคุ้มค่า แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีต่อชุมชนและสังคมโดยรวม และยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้กับทั้งสององค์กร โดยการผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเข้าด้วยกัน อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับแนวทาง OR SDG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ‘GREEN’ ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมตลอดทั้งการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 อย่างมีประสิทธิภาพ

'ฮาร์เลย์-เดวิดสัน' ดึง 3 รุ่นดัง ย้ายฐานมาผลิตในไทย เริ่มปี 2025 ท่ามกลางเสียงต่อต้าน การเสียเอกลักษณ์แบรนด์ 'เมดอินอเมริกา'

(27 ส.ค.67) เว็บไซต์เดลีเมลรายงานว่า 'ฮาร์เลย์-เดวิดสัน' (Harley-Davidson) ได้เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า บริษัทจะย้ายฐานการผลิตรถมอเตอร์ไซค์จำนวนหนึ่งไปยัง 'ประเทศไทย' ซึ่งได้สร้างความกังวลต่อคนในพื้นที่รัฐวิสคอนซินว่าอาจจะทำให้เกิดการเลิกจ้างงานตามมา ในขณะที่หลายคนแสดงความไม่พอใจว่าแบรนด์ไอคอนนิกที่ขึ้นชื่อในความภูมิใจเรื่อง 'เมดอินอเมริกา' มาตลอด จะไม่ใช่แบรนด์ที่ผลิตในประเทศแล้ว

โฆษกของฮาร์เลย์-เดวิดสันยืนยันในแถลงการณ์ว่า บริษัทจะย้ายการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ 3 รุ่น ไปผลิตในต่างประเทศเป็นการชั่วคราวเริ่มตั้งแต่ปี 2025 โดยรถทั้ง 3 รุ่นเป็นกลุ่มเครื่องยนต์ Revolution Max ที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หลักของแบรนด์ ได้แก่รุ่น Pan America, Sportster S และ Nightster

อย่างไรก็ตาม บริษัทระบุว่าการย้ายการผลิตดังกล่าวจะเป็นเพียงการย้ายชั่วคราวเท่านั้น และเป็นเพียงแค่รุ่นปี 2025 เท่านั้น และบริษัทยังมีแผนจะลงทุนเพิ่มอีก 9 ล้านดอลลาร์ในโรงงานหลายแห่งที่สหรัฐอเมริกาด้วย

"การโยกย้ายครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสำหรับรถรุ่น Grand American Touring และรถรุ่นอื่นๆ ที่ถือเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ เช่น รุ่น Softail และ Trike ที่โรงงานในเมืองยอร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย "โฆษกของฮาร์เลย์-เดวิดสัน ระบุพร้อมเผยต่อว่า...

"การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อการจ้างงานในโรงงานที่สหรัฐฯ"

อย่างไรก็ตาม บรรดาพนักงานในพื้นที่และสหภาพแรงงานของฮาร์เลย์-เดวิดสันต่างยังคงแสดงความกังวลและไม่เห็นด้วย โดยสหภาพแรงงาน The International Association of Machinists & Aerospace Workers (IAM) ระบุว่ารู้สึกเหมือน "ถูกแทงข้างหลัง" โดยถูกทรยศด้วยการย้ายฐานการผลิตดังกล่าวไปต่างประเทศ แล้วส่งกลับมาขายในประเทศให้ผู้บริโภคชาวอเมริกัน 

"การประกาศล่าสุดของฮาร์เลย์-เดวิดสันที่จะโยกย้ายงานและตำแหน่งงานของเราไปยังประเทศไทย สร้างความผิดหวังอย่างมากให้คนงานชาวอเมริกันและยังเป็นการทรยศต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาในฐานะอเมริกัน ไอคอน”

ก่อนหน้านี้ในปี 2019 ฮาร์เลย์-เดวิดสันเคยประกาศย้ายฐานการผลิตจักรยานยนต์สำหรับตลาดจีนออกจากสหรัฐมาไทย เพื่อหนีการรีดภาษีรถสัญชาติอเมริกันจากจีน โดยปัจจุบันโรงงานในประเทศไทยตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง  

‘ILINK’ พบนักลงทุน โชว์รายได้ครึ่งปีแรกแตะ 3.3 พัน ลบ. พร้อมปักธงครึ่งปีหลัง ดันทุกธุรกิจเติบโตตรงตามเป้า

(27 ส.ค. 67) คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ หรือ ILINK ร่วมนำเสนอให้ข้อมูลสรุปผลประกอบการบริษัทฯ ประจำไตรมาส 2/67 ภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้น ทั้ง 3 ธุรกิจ ทำฟอร์มดี ไม่มีตก รักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้โตแกร่งไปพร้อมกับทำรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สะสมรายได้รวมครึ่งแรกของปี 67 อยู่ที่ 3,318.66 ล้านบาท กำไรสุทธิโต 379.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 62.93 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 19.86% โดยมี อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 11.45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ก้าวหน้าตามความคาดหมาย ซึ่งเป็นผลที่สืบเนื่องจากการขับเคลื่อนของทั้ง 3 ธุรกิจ โดยใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังดำเนินอยู่ในแต่ละส่วนธุรกิจ จึงทำให้สามารถสร้างผลงานไว้ได้บรรลุผลตามเป้าหมาย มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งมีแนวโน้มจากการเติบโตผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในนวัตกรรมที่ต้องการปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยที่ในอนาคตจะสามารถส่งต่อให้การเติบโตของ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในช่วงครึ่งปีหลังสืบเนื่องความยั่งยืนได้อย่างก้าวกระโดดต่อไป

ขณะที่การขับเคลื่อนของธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ทำรายได้ในไตรมาส 2/67 จากการขาย 6 เดือนแรก รวมอยู่ที่ 1,500.59 ล้านบาท ทำกำไรครึ่งปีแรกรวม 165.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.03 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 4.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จากโลกที่เปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคอุตสาหกรรม ยุคแห่งการสื่อสาร และยุคพลังงาน จึงผลักดันให้แวดวงของเทคโนโลยีด้านสายสัญญาณต้องมีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้ง อิทธิพลของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นับว่า LINK® AMERICAN CABLING และ 19" GERMANY EXPORT RACK นี้ เข้ามาตอบโจทย์ และเป็นแนวทางเปิดโอกาสให้ธุรกิจจำหน่ายสายสัญญาณจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เป็นแรงหนุนชั้นดีจากปัจจัย อันได้แก่ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นโยบายพลังงานแสงอาทิตย์ และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ 

ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดถึงแนวโน้มการเติบโต คู่กับความโด่ดเด่นต่อเนื่องเรื่องการดำเนินงาน ที่จะทำให้ธุกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ทำตัวเลขเชิงบวกได้อย่างเป็นรูปธรรม และคาดว่ากลุ่มธุรกิจนี้ จะยังเติบโตรับรายได้จากยอดขายที่ล้นทะลัก และทำกำไรเพิ่มขึ้นได้อีกในครึ่งปีหลังนี้

ในด้านของธุรกิจวิศวกรรมโครงการ ดำเนินการโดยบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เน้นการประมูลโครงการภาครัฐที่สำคัญ ๆ และมีเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ โครงการเคเบิลใต้น้ำแรงสูง และโครงการสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งกลุ่มธรุกิจนี้ประสบความสำเร็จจากการอาศัยหลักความเชี่ยวชาญ และการมีประสบการณ์ที่เหนือกว่า นำมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับหน่วยงานภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่มากมาย และยังได้รับการรับรองจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และหน่วยงานสำคัญอื่น ๆ ที่การันตีได้จากผลงานอันโดดเด่นอย่างต่อเนื่องที่ทำให้รับรู้รายได้รวม 6 เดือนแรก จากผลประกอบการไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 462.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.77 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 7.13% มีกำไรสุทธิรวมรวม 53.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.31 ล้านบาท หรือ โตถึง 52.02% 

ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิ ครึ่งแรกของปี 11.57% เพิ่มขึ้น41.91% ซึ่งมีรายได้รวมประจำไตรมาส 2/67 พุ่งแรง 282.69 ล้านบาท รับกำไรโตสำหรับงวดของไตรมาสนี้ 27.52 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่ธุรกิจนี้ ในครึ่งปีหลังคาดการณ์จะมีแนวโน้มเติบโตเพิ่ม และได้รับแรงหนุนดีขึ้นจากการลงทุนของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ร่วมกับต้องการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่กลุ่มธุรกิจนี้สามารถสร้างความประทับใจไว้ให้กับหลายหน่วยงาน และได้รับความเชื่อถือจากองค์กรชั้นนำของประเทศได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมกันนี้ คาดว่าจะมีโครงการที่ได้รับสัญญาต่อเนื่องระหว่างปี 2567 - 2568 เพื่อเติม Backlog ให้แข็งแกร่ง นำทัพธุรกิจนี้เติบโตไปตามเป้าหมาย

สำหรับธุรกิจของ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม หรือ ITEL ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นต์เตอร์ เผยตัวเลขครึ่งแรกของปี 67 กวาดรายได้ 1,355.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.56% พร้อมทำกำไรครึ่งปีแรก 160.88 ล้าน เพิ่มขึ้น 30.49% โดยทำอัตรากำไรสุทธิครึ่งปีแรก 11.87% เพิ่มขึ้น 13.90% ซึ่งเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 มี Backlog 2,253.00 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ที่มั่นคง และเปิดตัวโครงการใหม่ นับว่าธุรกิจนี้ เริ่มเห็นภาพที่มีการเติบโตอย่างมาก ผลจากความต้องการบริการข้อมูลความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้น ITEL ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะผู้เล่นหลัก ในการเป็นผู้ให้บริการสายเคเบิลใยแก้วนำแสง สำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคม รวมทั้ง ITEL ยังได้ใช้จุดแข็ง และขยายเครือข่ายใยแก้วนำแสง เพื่อรองรับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนอย่างต่อเนื่อง มั่นใจครึ่งปีหลังจากนี้ คว้ากำไร พร้อมทำรายได้ รับกำไรจากการเป็นผู้เล่นหลักบนเส้นทางธุรกิจนี้ได้สำเร็จ ดั่งการขึ้นแท่นครองแชมป์ด้านนี้ตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ 

“นับว่าทุกธุรกิจในเครือของ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ประสบความสำเร็จทั้งรายได้ และกำไรนั้น เป็นผลจากหลักการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยนำจุดแข็งที่เป็นความเชี่ยวชาญ และเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนับว่าเป็นที่ยอมรับจากการใช้งานจริง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศทั่วโลก ที่เชื่อมั่นในคุณภาพ และศักยภาพของทุกธุรกิจที่ทำให้มีแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีเป็นเชิงบวก ตรงตามการวางแผนเป้าหมายไว้ โดยครึ่งปีหลังมั่นใจ ภาพรวมทั้ง 3 ธุรกิจ เตรียมความพร้อมมาดี และสามารถปรับตัวดีขึ้นได้อีกจากเดิม ปักธงชัดเร่งเครื่องแรง ผลักดันเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ให้ก้าวทันยุคสมัย เตรียมรับมือกับตัวเลขแห่งความสำเร็จ เห็นผลยอดขาย ทำรายได้ และสร้างกำไรแตะจุดสูงสุดกว่าที่เคยมีตามที่คาดการณ์ไว้ได้แน่นอน” คุณสมบัติ กล่าวเสริมตอนท้าย

GAC Aion Hyper เปลี่ยนชื่อเป็น HYPTEC โชว์หรูด้วยประตูปีกนก จัดเต็มทุกเทคโนโลยี

‘HYPER’ แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่เป็น HYPTEC และไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนชื่อแบรนด์เท่านั้น แต่เป็นการปรับปรุงภาพลักษณ์และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ครอบคลุมมากขึ้น สะท้อนถึงการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีล้ำสมัยและการขยายตัวในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ

>>ความหมายและแรงบันดาลใจของ HYPTEC

การเปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก HYPER เป็น HYPTEC เกิดจากการศึกษาวิจัยตลาดและความต้องการของลูกค้าทั่วโลกอย่างละเอียดลึกซึ้ง ชื่อ ‘HYPTEC’ ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัลอย่างเต็มที่ โดยชื่อแบรนด์มีที่มาจาก ‘Hyper’ สื่อถึงความสุดยอดและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และ ‘Technology’ สื่อถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแค่หรูหรา แต่ยังล้ำหน้าด้วยคุณสมบัติทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่โดดเด่น

HYPTEC ตั้งเป้าที่จะเป็นสัญลักษณ์ของ ‘Hyper Technology Life’ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่และเทคโนโลยีที่เหนือระดับให้กับผู้บริโภคทั่วโลก โดยมุ่งมั่นในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเทคโนโลยีที่ทันสมัยและความสะดวกสบาย ทั้งในแง่ของการใช้งานและความรู้สึกที่ได้รับจากการขับขี่

>>‘สีส้ม HYPTEC’ สัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่

เพื่อเป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ HYPTEC ยังได้เปิดตัวสีแบรนด์ใหม่คือ ‘สีส้ม HYPTEC’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานและความสดใส สีนี้ถูกเลือกมาเพื่อสะท้อนถึงการเริ่มต้นใหม่และการมองไปข้างหน้า นอกจากนี้ สีส้ม HYPTEC ยังหมายถึง ‘สิ่งดี ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น’ ซึ่งเป็นการสื่อถึงพลังบวกและความมั่นคงในอนาคต

สีส้ม HYPTEC ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถสร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อผู้บริโภคและตลาดโดยรวม โดยสีดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำในระดับสากล และเป็นสัญลักษณ์ของการเดินหน้าสู่ความสำเร็จในอนาคต
ขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและพัฒนา

หนึ่งในจุดแข็งของ HYPTEC คือความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ซึ่งไม่เพียงแต่จะตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบัน แต่ยังเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต ในระยะเวลาเพียงสองปี HYPTEC ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการในวงการยานยนต์ไฟฟ้า โดย HYPTEC ได้คิดค้น วิจัย และพัฒนา มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยี ‘นาโนคริสตัล-อโมฟอร์ม’ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มระยะทางการเดินทางได้ถึง 100 กิโลเมตรต่อการชาร์จ รวมถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Magazine Battery 2.0 ที่มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล HYPTEC OS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่ในทุกสถานการณ์ 

HYPTEC ยังมีการปรับปรุงในด้านการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่หรูหราและทันสมัย รถยนต์ไฟฟ้าของ HYPTEC ไม่เพียงแค่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ในตลาด แต่ยังถูกออกแบบให้มีความหรูหราสูงสุด ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่เพียงต้องการรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังต้องการรถยนต์ที่สามารถสะท้อนถึงสถานะและรสนิยมของตนเอง

การพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้ทำให้ HYPTEC สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอระยะทางการขับขี่ที่ยาวนาน การชาร์จที่รวดเร็ว หรือการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ล้ำสมัย HYPTEC ได้รับการยอมรับในฐานะแบรนด์ที่สามารถสร้างความประทับใจและความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้บริโภค

>>เปิดตัวสู่ตลาดโลก

HYPTEC ไม่ได้มองเพียงแค่การสร้างชื่อเสียงในตลาดภายในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นที่จะขยายไปยังตลาดโลกอย่างจริงจังและยั่งยืน บริษัทได้วางแผนในการเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการเปิดตัวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประเทศไทย และ อินโดนีเซีย) และจะขยายตลาดไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ และยุโรป โดยมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ HYPTEC จะเข้าร่วมงาน Paris Motor Show ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่ HYPTEC จะได้นำเสนอแบรนด์สู่ตลาดภูมิภาคยุโรป เพื่อแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นอกจากนี้ยังเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ HYPTEC ในการสร้างชื่อเสียงและขยายตลาดในระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ

>>จาก HYPER สู่ HYPTEC ก้าวสู่อนาคตแห่งเทคโนโลยี

การเปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก HYPER เป็น HYPTEC ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนชื่อเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการขยายตัวในตลาดโลก HYPTEC จะยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เหนือระดับในทุก ๆ การขับขี่ ด้วยความตั้งใจที่จะนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีคุณภาพสูงสุดให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก HYPTEC มุ่งหวังที่จะสร้างความประทับใจและความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้บริโภค และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

สำหรับลูกค้าที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้า AION รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่มาพร้อมกับฟีเจอร์และเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก สามารถเข้าไปทดลองขับได้ที่ศูนย์บริการ AION ทั่วประเทศ และสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.aionauto.com/
Facebook : https://www.facebook.com/AIONthailand
Instagram : https://www.instagram.com/aion_thailand/
X (Twitter) : https://x.com/AION_TH
Tiktok : https://www.tiktok.com/@aion_thailand
เลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เลือกแพลตฟอร์ม EV AION

'ราชตฤณมัยสมาคมฯ' ประกาศลุย Entertainment Complex 2 แสนล้าน ดึงดูด 'ต่างชาติท่องเที่ยว-เสริมสร้าง ศก.-ช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียน'

(26 ส.ค. 67) ฐานเศรษฐกิจ รายงานว่า นายปฐวี สุรินทร์ กรรมการบริหารราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงการลงนามในเอ็มโอยูกับกลุ่มนักลงทุนที่จะเข้ามาร่วมทุน ‘The Royal Siam Haven’ เรียบร้อยแล้ว ส่วนพื้นที่ที่จะใช้ในการจัดทำโครงการนั้นขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียด เพราะเป็นพื้นที่ใหญ่มาก

แผนการลงทุน 'The Royal Siam Haven' ครั้งนี้ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2567 ในการประชุม วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2567 ในวาระครบรอบ 108 โดยมี พลเอกจำลอง บุญกระพือ ประธานกรรมการอำนวยการราชตฤณมัยสมาคมฯ ซึ่งมีสมาชิกสามัญประจำปี 2567

ที่ประชุมได้เปิดตัวโครงการ Entertainment Complex มูลค่าการลงทุนกว่า 2 แสนล้าน ด้วยแนวคิดทันสมัยเข้ากับธุรกิจบันเทิงและการท่องเที่ยวเพื่อเชิญชวนให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวเสริมสร้างเศรษฐกิจและเม็ดเงินหมุนเวียน โดยมีแนวคิดที่สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบันในชื่อ 'The Royal Siam Haven'

ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการเปิดตัว Project แบบครบวงจร World Class ระดับเอเชียซึ่งจะเป็นทั้งสนามม้าแห่งใหม่ที่เป็นสนามม้าเพื่อการแข่งขันระดับสากล โรงแรมระดับ 6 ดาว สนามกอล์ฟที่กว้างขวาง ยอร์ชคลับ ภัตตาคารหรู โรงละคร โรงพยาบาล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ศูนย์การเรียนรู้ และกิจกรรมกีฬาและบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อความสมบูรณ์แบบ

การเปิดตัวภายในงานมีนักลงทุนจากทั่วโลกมาร่วมประชุมปรึกษาหารือพร้อมทั้งร่วมลงทุนภายในโครงการ The Royal Siam Haven ทั้งนี้การดำเนินงานดังกล่าวมีภาคเอกชนเป็นหลักในการขับเคลื่อนโครงการภายใต้ชื่อ บริษัท Royal Sport Complex จำกัด หรือ RSC ซึ่งเป็น Partner ร่วมกับราชตฤณมัยสมาคมฯ 

โครงการ The Royal Siam Haven ถือเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งยังเป็นการยกระดับภาพลักษณ์ของสนามม้าไทยสู่มาตรฐานสากล

‘เคทีซี’ รวมพลังพนักงานจิตอาสาจัดกิจกรรม ‘ภาพนี้ให้คุณยายหัวใจฟู’ ‘ส่งต่อ-เสริมสร้าง’ ความสุขแก่ผู้สูงอายุไร้ที่พึ่ง เนื่องในเดือนแห่งวันแม่

(26 ส.ค. 67) บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ 'เคทีซี' เปิดเผยถึงแนวทางในการให้ความสำคัญกับการร่วมพัฒนาบุคลากรและดูแลคนไทยในสังคมให้มีความสุขทั้งกายและใจ และเมื่อประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ จึงได้จัดกิจกรรม 'ภาพนี้ให้คุณยายหัวใจฟู' เพื่อส่งต่อกำลังใจและความห่วงใยเนื่องในเดือนแห่งวันแม่ โดยได้นำพนักงานเคทีซีจิตอาสาเดินทางไปเยี่ยมและทำกิจกรรมสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้สูงอายุไร้ที่พึ่งกว่า 60 ชีวิต ณ สถานสงเคราะห์หญิงชราไร้ที่พึ่ง บ้านสุทธาวาส เฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดนครนายก

กิจกรรม 'ภาพนี้ให้คุณยายหัวใจฟู' เริ่มต้นด้วยการที่พนักงานเคทีซีชวนคุณยายร่วมกันวาดภาพระบายสีเพื่อทำการ์ดอวยพร ซึ่งช่วยส่งเสริมสมาธิและผ่อนคลายจิตใจ โดยพนักงานจิตอาสาของเคทีซีได้เรียนรู้การวาดภาพจาก ครูอ๋อ พิศิษฐ์ เอกสินสมบูรณ์ พนักงานเคทีซีที่เกษียณอายุและผันตัวเองเป็นครูสอนศิลปะเต็มตัว เพื่อมาถ่ายทอดการวาดภาพระบายสีแบบง่าย ๆ ให้กับคุณยาย และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นกับเหล่าผู้สูงวัยอีกด้วย 

ในขณะที่คุณยายเองได้ฝึกกล้ามเนื้อและคลายความเหงาไปกับกิจกรรมในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเพลิดเพลินกับมินิคอนเสิร์ตโดยวงเคทีซี อะคูสติกจากพนักงานจิตอาสา พร้อมรับประทานอาหารว่างและมอบเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่จำเป็น ซึ่งผู้บริหารและพนักงานร่วมกันบริจาคและนำมามอบให้กับมูลนิธิฯ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับผู้สูงอายุภายใต้การดูแลของมูลนิธิฯ 

นางสาวปิยะสุดา แคว้นนนทรีย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานทรัพยากรบุคคล 'เคทีซี' หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขและผ่อนคลายความกังวลให้ผู้สูงอายุผ่านกิจกรรม 'ภาพนี้ให้คุณยายใจฟู' เป็นหนึ่งพันธกิจที่เคทีซีให้ความสำคัญในการช่วยเหลือสังคมในมิติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมเป็น 'ผู้ให้' ในกิจกรรมต่าง ๆ ตามความถนัดและความสนใจ นอกเหนือจากการส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาเสริมทักษะตนเองในด้านต่าง ๆ และหวังว่าโครงการนี้จะมีส่วนช่วยเติมรอยยิ้มและเสริมสร้างกำลังใจที่แข็งแรงให้กับผู้สูงอายุไร้ที่พึ่งอีกทางหนึ่ง และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนเคทีซีในการทำความดีและทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป" 

นางสาวปิยฉัตร วงศาโรจน์ ผู้จัดการส่วนดูแล สถานสงเคราะห์หญิงชราไร้ที่พึ่ง บ้านสุทธาวาส เฉลิมพระเกียรติฯ เผยว่า "บ้านสุทธาวาส เฉลิมพระเกียรติฯ ดำเนินการช่วยเหลือดูแลที่พักพิงให้แก่หญิงชราที่ยากไร้ โดยได้รับความเห็นชอบให้เป็นหนึ่งในโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ซึ่งได้เปิดรับคุณยายท่านแรกตั้งแต่ปี 2557 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปี  โดยกิจกรรม 'ภาพนี้ให้คุณยายหัวใจฟู' ที่ทางเคทีซีได้จัดขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มความสุขและความอบอุ่นให้กับผู้สูงอายุในมูลนิธิฯ อย่างมาก การได้รับการสนับสนุนจากเคทีซีเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญในการช่วยดูแลและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุในมูลนิธิฯ ได้เป็นอย่างดี"

โดยคุณยายบ้านสุทธาวาสฯ ได้เผยถึงการเข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ว่า "รู้สึกดีใจมากที่มีหน่วยงานหรือองค์กรให้ความสำคัญ มีคนมาหาและทำกิจกรรมด้วยกัน รู้สึกอบอุ่นหัวใจ มีกำลังใจ ขอบคุณทุกคนที่ทำให้วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่มีความสุขมาก"

 

'สุริยะ' แจงปมแนวคิด 'ซื้อคืนรถไฟฟ้า-ลุยจ้างเอกชนเดินรถ' หวังให้รัฐมีอิสระในการกำหนดนโยบาย โดยเฉพาะ 20 บาทตลอดสาย

(26 ส.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงแนวคิดการซื้อสัมปทานการบริหารโครงการรถไฟฟ้าจากภาคเอกชนคืนกลับมาเป็นของรัฐบาลว่า แนวคิดดังกล่าวกระทรวงคมนาคมได้ทำการศึกษาอยู่แล้ว โดยศึกษาจากต่างประเทศหลาย ๆ ประเทศ เพื่อให้รัฐบาลสามารถควบคุมอัตราค่าโดยสาร สอดคล้องนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาลที่ต้องการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางให้กับประชาชน

ทั้งนี้ ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ยึดสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าโดยไม่คำนึงถึงสัญญาที่จัดทำไว้กับเอกชน ผู้ประกอบการแต่อย่างใด โดยจะยึดถือสัญญาที่ได้ทำไว้กับเอกชนเป็นหลัก แต่ยังเป็นเพียงแนวคิดที่รัฐบาลอาจจะพิจารณาถึงแนวทางความเป็นไปได้ในการซื้อ คืนระบบการเดินรถที่เอกชนได้ลงทุนไป รวมถึงสิทธิ์ในส่วนการให้บริการเดินรถตามสัญญาที่รัฐบาลได้ทำไว้กับเอกชนกลับคืนมา ซึ่งรัฐบาลจะยังคงจ้างเอกชนรายเดิมเป็นผู้เดินรถต่อไป อย่างไรก็ตาม จะทำให้รัฐบาลมีอิสระในการกำหนดนโยบายในเรื่องอัตราค่าโดยสาร และสามารถกำหนดอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายได้โดยไม่กระทบกับสัญญาสัมปทานเดิม

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันกระทรวงคมนาคมเตรียมหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาถึงแนวทางที่จะสามารถดำเนินการผ่านการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) โดยยึดภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ พร้อมทั้งมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์การจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการดังกล่าว และนำรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด ส่งเข้ากองทุนฯ ที่จะจัดตั้งขึ้น เพื่อสนับสนุนในการรณรงค์ให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น รวมถึงยังเป็นการแก้ปัญหาจราจรจิดขัดอีกด้วย

สำหรับรูปแบบการซื้อสัมปทานการบริหารโครงการรถไฟฟ้านั้น จะเจรจาร่วมกับเอกชนเพื่อปรับสัญญาสัมปทานจากรูปแบบ PPP Net Cost หรือเอกชนได้รับสิทธิ์ในการลงทุน ระบบเดินรถ และให้บริการเดินรถ พร้อมทั้งเป็นผู้จัดเก็บรายได้ รวมถึงจัดสรรผลตอบแทนบางส่วนให้แก่ภาครัฐตามข้อตกลงในสัญญา โดยเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบ PPP Gross Cost ที่ภาครัฐเป็นผู้จัดเก็บรายได้เองทั้งหมด และรัฐชดเชยค่าใช้จ่ายลงทุนระบบเดินรถใน ส่วนที่เอกชนได้ลงทุนไปในระบบเดินรถคืนให้บริษัทเอกชนคู่สัญญาและรัฐจะจ้างเอกชนคู่สัญญารายเดิมเป็นผู้ให้บริการเดินรถจนกว่าสัญญาสัมปทานเดินจะสิ้นสุดลง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะไม่กระทบกับสัญญาของเอกชนอย่างแน่นอน

“ข้อเท็จจริงของแนวคิดเป็นเพียงต้องการจะสื่อให้เห็นว่า เป็นการทำเพื่อแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน โดย ประชาชนจะได้รับบริการรถไฟฟ้าในราคาที่ถูกลง สอดคล้องกับนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในทุกสีทุกเส้นทาง และเมื่อราคาค่าโดยสารถูกลง มั่นใจว่า จะมีผู้โดยสารมาใช้มากขึ้น ดังเช่น สายสีแดง และสายสีม่วงที่ได้มีการลดราคาไปแล้ว ซึ่งก็จะทำให้ส่งผลถึงสภาพการจราจรในถนนตามแนวเส้นทางนั้น ๆ ก็จะติดขัดน้อยลง โดยผมขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้เป็นการยึดสัมปทานคืนจากเอกชนแต่อย่างใด แต่เป็นการซื้อคืนระบบเดินรถและสิทธิ์การเดินรถ แล้วจ้างเดินรถ โดยเปลี่ยนสัญญาจากรูปแบบ PPP Net Cross เป็น PPP Gross Cost ซึ่งประชาชนได้ประโยชน์ ผมอยากสร้างความเชื่อมั่นว่า เราไม่ได้ไปยึดสัมปทาน อาจจะมีการตีความผิด เพราะถ้าพูดแบบนั้น ต่อไปใครจะกล้าเข้ามาลงทุนกับรัฐอีกในอนาคต” นายสุริยะ กล่าว

‘รมว.สุชาติ’ กระตุ้น SMEs มอบรางวัลให้บุคคลต้นแบบ ผู้สร้างแรงบันดาลใจ เผย!! ‘ไทย’ มีศักยภาพพร้อมแข่งขันในตลาดใหญ่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ไกลทั่วโลก

(24 ส.ค. 67) ที่ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงาน 'Thailand Trade Exponential Fest 2024' ซึ่งจัดขึ้นโดย สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ว่า “วันนี้ผมได้รับมอบหมายจากท่านภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้มาเป็นประธานในการเปิดงาน 'Thailand Trade Exponential Fest 2024' ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลทุกท่าน เป็นที่ทราบกันดีว่าธุรกิจ SME มีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งธุรกิจ SME คิดเป็น 99.5 เปอร์เซนต์ของจำนวนธุรกิจทั้งหมด เป็นแหล่งรองรับการจ้างงานกว่า 70 เปอร์เซนต์ ของจำนวนแรงงานทั้งประเทศ"

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์และทุกหน่วยงานในสังกัดมีหน้าที่ร่วมกันสนับสนุนและขับเคลื่อนการค้าให้เติบโต ช่วยแก้ไข ลดปัญหาและอุปสรรคให้ธุรกิจ SME โดยมีเป้าหมายหลักคือการผลักดันให้ธุรกิจ SME มีมูลค่าทางเศรษฐกิจในสัดส่วนที่ โตขึ้นจาก 35.2 เปอร์เซนต์ เป็น 40 เปอร์เซนต์ ต่อ GDP ภายในปี 2570”

“ผู้ประกอบการ SME ไทยล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถมีศักยภาพพร้อมที่จะแข่งขันในตลาดใหญ่ได้ โดยการจัดงาน“Thailand Trade Exponential Fest 2024” ในวันนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่  ได้เข้ามาร่วมเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมถึงการให้คำปรึกษา SME โดยเป็นการรวมพลัง ติดอาวุธและสร้างโอกาสให้ SME ไทย เพื่อขับเคลื่อนมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศ  จากวิทยากรชั้นนำของประเทศ อินฟลูเอนเซอร์ และ Key Opinion Leaders ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนและสร้างสรรค์ธุรกิจไทยให้เติบโต และการจัดงานครั้งนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเป็นแรงกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้ SMEs ไทยสามารถสร้างธุรกิจให้เจริญก้าวไกลและสามารถส่งออกไกลไปทั่วโลก” นายสุชาติฯ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับงานนี้ ผู้ประกอบการ SMEs รุ่นใหม่ได้รับฟังประสบการณ์ตรงจากรุ่นพี่ที่ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจกว่า 20 ชีวิต, Soft power ของไทย 6 หนุ่ม วง PROXIE, โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ จากมันนีโค้ช, ศรุต ทับลอย Game Director ผู้สร้างเกม Home Sweet Home นักแสดงซีรีส์ที่มีกระแสที่โด่งดังไกลไปทั่วเอเชีย, เอิร์ท พิรพัฒน์ วัฒนเศรษสิริ, มิกซ์ สหภาพ วงศ์ราษฎร์ - จิรพิสิษฐ์ รุจน์เจริญ นักธุรกิจรุ่นใหม่ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ 'กางเกงแมวโคราช', ธีระพงศ์ ระบือธรรม ผู้ผลิตยาดมหงส์ไทย, ธี ศิวโรจณ์ คงสกุลผู้กำกับซีรีส์สืบสันดาน, แก๊ป ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล นักแสดงซีรีส์สืบสันดาน และทิป มัณฑิตา จินดา Founder & MD of Digital Tips ที่จะมาเป็น Expert ให้คำปรึกษา SME โดยเป็นการรวมพลัง ติดอาวุธและสร้างโอกาสให้ SME ไทย เพื่อขับเคลื่อนมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ ITD ได้ถ่ายทอดสดภาพและเสียงผ่านระบบแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับชมทั่วประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Hybrid Business Matching การนำเสนอสินค้าหรือแผนธุรกิจบนเวทีสดๆ และมีการจัดเตรียมผู้ซื้อที่เป็นนักธุรกิจจากต่างประเทศ เป็นหนึ่งใน Business Matching ที่ไม่ควรพลาด และ SME Virtual Clinic on Stage ที่ ITD ภูมิใจนำเสนอกับกิจกรรมที่ให้ผู้ประกอบการ SME ขอรับคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญผ่านแพลตฟอร์ม ITD Expert Anywhere โดยหน้าบริเวณงานยังมีตัวอย่างแบรนด์สินค้า SMEs ที่ประสบความสำเร็จของออกบูธมากกว่า 20 ร้านค้าอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top