Friday, 30 May 2025
ECONBIZ

ปตท. ตั้งวอร์รูมเตรียมรับมือสงครามเศรษฐกิจโลก มั่นใจเดินมาถูกทางพร้อมสร้างการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ

(21 พ.ค. 68) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ปักหมุดความสำเร็จครบรอบ 1 ปี เดินหน้าตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 สะท้อนทิศทางการบริหารใน 2 เรื่องหลัก คือ เน้นธุรกิจ Hydrocarbon ที่ถนัด ปรับพอร์ตธุรกิจสู่สมดุลใหม่ และเร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ จํานวน 23,315 ล้านบาท นำส่งรายได้เข้ารัฐในรูปแบบภาษี จำนวน 7,256 ล้านบาท 

ตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่สำคัญ ประกอบด้วย การมุ่งเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) เพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งอาทิตย์ เป็น 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการสินภูฮ่อม แหล่งปิโตรเลียมบนบกที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ช่วยให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของไทยเพิ่มขึ้น  พร้อมขยายการเติบโตของธุรกิจปัจจุบันในต่างประเทศ โดยเข้าถือหุ้น 10% ใน Ghasha หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้ง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) มีการขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศอินเดียและไต้หวัน สอดรับกับความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่เติบโตพร้อมกันนี้ยังสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจ LNG ให้เกิดประโยชน์สูงสุด วิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค 

โดยใช้จุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมนำเข้า LNG รวมปริมาณ 11 ล้านตันต่อปี ครอบคลุมทั้งสัญญาระยะยาวและสัญญาซื้อขายแบบ Spot LNG Hub ของภูมิภาค ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่มีความท้าทายจาก Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป จึงต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบปิโตรเคมีในระยะยาว โดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) จะนำเข้าอีเทนจากสหรัฐอเมริกา ปริมาณ 400,000 ตันต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ  การสร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ supply & market ร่วมกัน นอกจากนี้ ปตท. ยังเร่งแสวงหา Strategic Partner เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจ ซึ่งจะเป็นผลดีกับ ปตท. และ flagship โดย ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 

ปรับพอร์ตธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยประเมินธุรกิจใน 2 มุม คือ 1) ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractiveness) และ 2) ปตท. มี Right to Play มีความถนัดหรือมีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆ ได้ และมี Partner ที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ทั้งนี้ ปตท. มีแนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้ 1) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV Value Chain ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Horizon Plus และธุรกิจที่มีความเสี่ยง 2) ธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่ง ปตท. ออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของกลุ่ม ปตท. มุ่งเน้นเฉพาะที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก และสามารถสร้าง Synergy ภายในกลุ่มได้  3) ธุรกิจ Life Science ปรับพอร์ตมุ่งเน้นเฉพาะ Pharmaceutical และ Nutrition มีแผนการเติบโตที่ชัดเจนร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ และสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน (Self-funding) ทั้งนี้จากการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ Non-Hydrocarbon ข้างต้น ทำให้สามารถรักษาเงินลงทุน (Capital Preservation) ไว้ได้ แทนที่จะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงและไม่สร้างผลกำไร

การดำเนินงานด้านความยั่งยืน กลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยดำเนินการอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. ทั้งนี้ได้มีการ Reconfirm เป้าหมาย Net Zero 2050 และกำหนดแผนงานชัดเจน มีการพิจารณาปัจจัยรอบด้าน อาทิ ต้นทุนของการลดคาร์บอนด้วยวิธีต่างๆ เทียบกับค่าใช้จ่ายของการปล่อยคาร์บอน เช่น ภาษีคาร์บอนที่จะเกิดขึ้น โดยจะต้องมีความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนได้อย่างยั่งยืน 

ทั้งนี้ยังมีความก้าวหน้าในการศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงพัฒนา CCS Hub Model เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลเทคโนโลยี CCS ระดับประเทศในอนาคต สำหรับการศึกษาด้านธุรกิจไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรทั้งในด้านการจัดหาไฮโดรเจนและแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ และการประยุกต์ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลเชิงธุรกิจ ตลอดจนสนับสนุนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ของประเทศไทยในอนาคต

นอกจากนี้ ปตท. มีการบริหารทางเงินที่เป็นเลิศ โดยมีการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงสุดตั้งแต่ ปตท. เข้าตลาดฯ และ ปตท. ได้มีการขยายระยะเวลาเครดิตทางการค้า (ETC) เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัทในกลุ่ม โดยยังคงยึดหลักการรักษาวินัยทางการเงิน (Financial Discipline) อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ในปี 2568 ปตท. มีการซื้อหุ้นคืนเพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น และเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น

จากสัญญาณสถานการณ์พลังงานที่มีความผันผวน และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย อันเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ปริมาณการผลิตน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลก และความต้องการใช้พลังงานที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปตท. จึงได้ดำเนินเชิงรุกจัดตั้งวอร์รูม เตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอยครอบคลุมการดำเนินงานใน 5 ด้าน ได้แก่ 1. Strategy ทบทวนกลยุทธ์เดิมพร้อมพิจารณาความท้าทายใหม่ที่จะเข้ามากระทบ พบว่ากลยุทธ์กลุ่ม ปตท. มาถูกทาง เหมาะสม สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกและความท้าทายจากเรื่องสงครามการค้าได้ เพียงแต่บางเรื่องต้องเร่งให้เร็วขึ้น เช่น การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. 2. Financial Management รักษาวินัยการเงิน บริหารต้นทุนการเงิน เสริมสภาพคล่องกระแสเงินสด รักษาระดับ Credit Rating 3. Supply Chain & Customer ดูแลคู่ค้า ลูกค้า เพื่อสร้างความต่อเนื่องตลอด Supply Chain พร้อมเร่งดำเนินโครงการสร้างมูลค่าเพิ่ม 4. Project Management ทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการและการลงทุน โดยต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมถึงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Asset Monetization) ของ flagship  5. Communication สื่อสารและสร้างความเข้าใจการดำเนินธุรกิจแก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง 

ดร.คงกระพัน เปิดเผยว่า “1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ ปตท. ได้ปรับกลยุทธ์ มั่นใจว่ากลยุทธ์มาถูกทาง สะท้อนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก นอกจากนี้กลุ่ม ปตท. พร้อมเร่งสร้างความแข็งแรงภายใน สร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการสำคัญได้แก่ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็น PTT Group Synergy บริหารงานแบบ Centralized Supply and Market Management มีเป้าหมาย 3,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2028 โครงการ MissionX ยกระดับ Operational Excellence เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าทั้งกลุ่ม ปตท. ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2027 มีแผนงานชัดเจนและเป้าหมายเป็นรูปธรรมซึ่งเริ่มดำเนินการแล้ว โครงการ Axis นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะสร้างมูลค่าได้อีก 11,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2029 รวมถึงการทำ Asset Monetization ของกลุ่ม ปตท. ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้วยการรักษาวินัยทางการเงินและการลงทุนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนบริหารสภาพคล่องกระแสเงินสดภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน” 

นอกจากภารกิจในด้านพลังงาน กลุ่ม ปตท. ยังคงยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทย โดยส่งเจ้าหน้าที่ PTT Group SEALs ร่วมภารกิจค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว สนับสนุนอาหาร เครื่องดื่ม และอุปกรณ์ที่จำเป็นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนแก่สภากาชาดเมียนมา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาด้วย 

ปตท. ยึดมั่นพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโต ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม และสร้างคุณค่าสู่สังคม เพื่อให้ ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

กระทรวงอุตฯ ผนึกกำลัง กระทรวงดีอี – ส.อ.ท. จัดประชุมด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์นานาชาติ

(21 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จะร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ISO/IEC JTC 1/SC 7 Software and systems engineering ระดับนานาชาติ ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 8 - 13 มิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นเวทีให้ประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในการจัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศสาขาวิศวกรรมซอฟท์แวร์และระบบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลภายในประเทศ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าในการจัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศสาขาดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมและลดอุปสรรคทางการค้าแก่ผู้ประกอบการไทย 

“อุตสาหกรรมดิจิทัล เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในการสร้างเม็ดเงินจากเงินตราต่างประเทศ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านดิจิทัล รวมทั้งเร่งผลักดันภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล มีทั้งการส่งเสริมการลงทุนเรื่อง cloud services และ data centers ตลอดจนการลงทุนที่เกี่ยวข้องด้านดิจิทัล ดังนั้น การที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับนานาชาติในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะแสดงถึงศักยภาพของประเทศในการยกระดับผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย ให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล และยังเป็นการร่วมกันขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล ให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ รวมไปถึงการพัฒนามาตรฐานดิจิทัลในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย” นายเอกนัฏ กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า  การประชุมดังกล่าวจะมีผู้แทนจากประเทศสมาชิก ISO เข้าร่วมกว่า 38 ประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟินแลนด์ มาเลเซีย เยอรมนี สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย อินเดีย และอิสราเอล เป็นต้น โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมในเดือนมิถุนายน สมอ. จะเตรียมการลงนามความร่วมมือ (MoU) กับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมมือกันดำเนินการยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยสู่ระดับสากล โดยใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือหลักในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล และร่วมกันขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ทำให้เกิดการพัฒนามาตรฐานดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมไทยเพิ่มมากขึ้น

ซึ่งปัจจุบัน สมอ. มีมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดิจิทัล มากกว่า 100 มาตรฐาน ครอบคลุมหลากหลายสาขา เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI)  อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) บล็อกเชน และศูนย์ข้อมูล (Data Centers) และในปีนี้จะมีการออกมาตรฐานในสาขาใหม่อย่างเทคโนโลยีควอนตัม (Quantum Technology) เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศในระยะยาว สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยให้ทัดเทียมสากล เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงตลาดโลก และส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ และเป็นไปตามมาตรฐานสากลอย่างเท่าเทียม” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

‘โอ๋-ฐิติภัสร์‘ ลุยตรวจ บ.ลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ พบเป็นลักษณะโรงงานศูนย์เหรียญ เร่งส่งกลับประเทศต้นทาง

(21 พ.ค.68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊กว่า …ประเทศไทยคุ้มมั้ย???

ทีมสุดซอย ร่วมกับ กรมศุลกากร และมูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมเปิดตู้สินค้านำเข้าจากอเมริกาที่ท่าเรือแหลมฉบัง สำแดงเป็นเศษอลูมิเนียม แต่เครือข่ายมูลนิธิบูรณะนิเวศที่ต่างประเทศ แจ้งว่ามีการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์

กรมศุลกากรสกัดกั้น และเปิดตู้สินค้าจำนวน 6 ตู้ พบเป็นเศษอลูมิเนียมปนเปื้อนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 118 ตัน จัดเป็นของเสียอันตรายห้ามนำเข้าเป็นอันขาด 

กรมโรงงานอุตสาหกรรมแจ้งให้ผลักดันกลับประเทศต้นทางภายใน 30 วัน 

กรมศุลกากรดำเนินคดีบริษัท เอ็ม เอช ซี กรุ๊ป ฟรีโซน จำกัด ในฐานะผู้นำเข้าข้อหาลักลอบนำเข้าของเสียวัตถุอันตราย

ทีมสุดซอย ร่วมกับ กรมศุลกากรตรวจสอบบริษัท เอ็ม เอช ซี กรุ๊ป ฟรีโซน จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Zone) อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

ภายในพื้นที่มีโกดังจำนวน 4 หลัง และกำลังก่อสร้างอีก 2 โกดัง แต่ละโกดังแบ่งพื้นที่สำหรับทำคลังสินค้าและโรงงาน

สอบถามผู้ดูแลแจ้งว่า เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลอดอากรจึงให้บริการเป็นพื้นที่ลักษณะคลังพักสินค้าจากจีน เพื่อรอส่งต่อไปอเมริกา

บางครั้งก็พักสินค้าให้กับมณฑลหนึ่งของจีน เพื่อรอส่งต่อไปยังอีกมณฑลหนึ่งของจีน เพราะถ้าทำแบบนี้ภาษีจะถูกกว่า

บางโกดังขออนุญาตจัดตั้งเป็นโรงงานผลิตอลูมิเนียมระบายความร้อนทีวี บางโรงงานฉีดพลาสติกขึ้นรูปบานพับ บางโรงงานบดย่อยและรีดแผ่นยางส่งออก แต่เครื่องจักร วัสดุ อลูมิเนียม เม็ดพลาสติก ยางนำเข้าจากจีน ทำเสร็จแล้วรอส่งประเทศจีนหรืออเมริกา หรือส่งให้โรงงานอื่นที่อยู่ในเขตปลอดอากรเช่นกัน ลักษณะการประกอบกิจการศูนย์เหรียญ!!! อาจจะเพราะด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประเทศไทยมียอดการส่งออกสูง

กระทรวงอุตสาหกรรม รมว. เอกนัฏ สั่งให้จัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ เพราะถือเป็นโรคร้ายกัดกินระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ทีมสุดซอยร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ตรวจสอบโรงงานภายในพื้นที่ทั้งหมด 4 โรงงาน มีใบอนุญาตโรงงาน 3 ใบ 3 โกดัง ออกเมื่อช่วงต้นปี 2567 พบมีการขยายเครื่องจักรเกินโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 2 โรงงานและพบมีการตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก 2 โรงงาน  เจ้าหน้าที่สั่งให้หยุดและดำเนินคดีตาม พรบ.โรงงาน

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมศุลกากรที่ตรวจสอบโรงงานในพื้นที่ปลอดอากร (Free Zone) ร่วมกัน หลังจากนี้จะมีความร่วมมือในการตรวจสอบในพื้นที่อื่น ๆ และจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำเสนอไปยังผู้บริหารกระทรวง ที่อาจจะต้องทบทวนมาตรการ การกำกับดูแล รวมถึงการอนุญาตให้ตั้งโรงงานในพื้นที่ปลอดอากรด้วยค่ะ

#โอ๋สุดซอย #ทีมสุดซอย #ปฏิรูปอุตสาหกรรม

‘เอกนัฏ’ เดินหน้าปราบ “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” ตั้งทีมสกัดกลุ่มสินค้า สายไฟ เหล็ก ยางล้อ พลาสติก

(20 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ และสถานการณ์การค้าของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ซึ่งในวันนี้ต้องยอมรับว่า การใช้วิธีการเดิม ๆ นั้น ไม่ทันต่อการปราบปรามและแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปราบปรามการผลิต นำเข้า และจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์  กำหนดรายการสินค้าที่ต้องเฝ้าระวังการลักลอบสวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทยเพิ่มเติม เร่งปิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อต่อการสวมสิทธิ์ เพิ่มบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด ตรวจสอบโรงงานต่างชาติฝ่าฝืนกฎหมาย ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินทุนจดทะเบียน ทบทวนเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนให้มีการจ้างแรงงานไทยและการใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ และยกระดับการติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด 

“ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2567- มีนาคม 2568) “ชุดตรวจการสุดซอย” ของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ปราบปราม “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นการกระทำความผิดหลากหลายรูปแบบ อาทิ โรงงานต่างชาติที่มีลักษณะเข้าข่ายเป็นนอมินี ซึ่งอยู่ในระหว่างการขยายผลร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน โดยพฤติกรรมผู้กระทำความผิดมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และไม่มีตัวตนในประเทศไทย การลักลอบสวมสิทธิ์ผลิตสินค้าที่กำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน และส่งออกโดยอ้างว่าเป็นสินค้าไทย การจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมโยงกับกลุ่มทุนศูนย์เหรียญ โดยยึดอายัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานกว่า 692.14 ล้านบาท”  นายเอกนัฏ กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา สมอ. ได้เสนอวาระเร่งด่วนให้บอร์ดพิจารณาแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม" ทำหน้าที่ในการศึกษาการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ด้วยการพัฒนากระบวนการทั้งระบบ ตั้งแต่การกำหนดมาตรฐาน การตรวจสอบรับรอง และการกำกับดูแล เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมไทย และคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 

นอกจากนี้ บอร์ดยังได้มีมติเห็นชอบร่างมาตรฐาน จำนวน 46 มาตรฐาน โดยแบ่งเป็นสินค้าควบคุม  2  มาตรฐาน ได้แก่ เคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคมภายนอกอาคารชนิดแขวนในอากาศรับน้ำหนักตัวเองได้ และ เคเบิลเส้นใยนำแสงชนิด ADSS แขวนตามแนวสายไฟฟ้า และมาตรฐานทั่วไป จำนวน 44 มาตรฐาน เช่น ถุงพลาสติกบรรจุอาหาร ถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ ยานยนต์ที่ใช้บนถนน – ส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ระบบการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง อนุภาคนาโนกักเก็บสารสกัดใบกระท่อม รหัสอักษรเบรลล์คอมพิวเตอร์สำหรับประเทศไทย เป็นต้น 

พร้อมทั้งเห็นชอบรายชื่อมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำเพิ่มเติมในปี 2568 อีก 160 มาตรฐาน ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอุตสาหกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการ จากเดิมที่บอร์ดอนุมัติรายชื่อมาตรฐานไปแล้ว 611 มาตรฐาน รวมเป็น 771 มาตรฐาน 

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าว จะประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถจากหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม    การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น และจะเร่งเสนอรายชื่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อให้บอร์ดให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งต่อไป โดยจะนำร่องใน 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ต้องควบคุมกำกับดูแลเป็นพิเศษก่อน เนื่องจากมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศและความปลอดภัยของประชาชนในวงกว้าง ได้แก่ กลุ่มสายไฟ เหล็ก และโครงสร้างเหล็กประกอบสำเร็จ(Prefabrication) ยางล้อ และกลุ่มพลาสติก เพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผล ไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ต่อไป” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

‘กอบศักดิ์’ ชี้ บริโภค – อุตสาหกรรมไทยถดถอย แนะเร่งแก้หนี้ครัวเรือน - ผลัดใบอุตสาหกรรมใหม่

 ‘ดร.กอบ’ ชี้ 2 จุดอ่อนหลักฉุดเศรษฐกิจไทย ทั้งการบริโภค - อุตสาหกรรมถดถอย เครื่องยนต์เศรษฐกิจเริ่มดับ แนะเร่งแก้หนี้ครัวเรือน-ผลัดใบอุตสาหกรรมใหม่

วันที่ (20 พ.ต. 68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก กอบศักดิ์ ภูตระกูล ระบุว่า

ปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทย !!!

เมื่อวานนี้ทางสภาพัฒน์ได้ประกาศ GDP ไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ขยายตัว +3.1% ออกมาได้ดีกว่าที่หลายคนคิด จากการเร่งส่งออก ที่ช่วยให้การส่งออกสินค้า +13.8% ซึ่งจะดีต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2

โดยผู้ประกอบการสหรัฐคงพยายามเร่งนำเข้าก่อนที่จะหมด 90 วัน มีของไว้ก่อน ดีกว่า แม้ว่าจะถูก Tariffs 10% เพราะในอนาคตไม่รู้ว่าจะจบกันอย่างไร

ในข้อมูล GDP ของสภาพัฒน์ที่แถลงออกมา มีตัวเลข 2 ตัวที่น่าจับตามองที่จะกดดันเศรษฐกิจไทยไปในช่วงหลายปีข้างหน้า

1. การบริโภคภาคเอกชน ที่ขยายตัวได้เพียง +2.6% ซึ่งน่ากังวลใจ เพราะปกติแล้ว การบริโภคภาคเอกชนจะมีขนาดประมาณ 55% ของเศรษฐกิจ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย จะคึกคักหรือไม่ ก็จะขึ้นกับว่า คนใช้จ่ายหรือไม่ ซึ่งตัวเลขนี้ควรจะขยายตัวได้ 5-6% แต่ช่วง 4 ไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวได้เพียงประมาณ 3% กว่าๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยโต และอีกส่วนคงมาจากการที่เราเป็นหนี้กันมาก มีหนี้ครัวเรือนสูง มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น

2. ตัวเลขที่ยิ่งน่ากังวลใจไปกว่านั้น ก็คือ การผลิตของภาคอุตสาหกรรม ภาคนี้ คือ ภาคที่สร้างรายได้หลักของประเทศ ล่าสุดมีสัดส่วนประมาณ 28% ของ GDP ในช่วงที่เราขยายตัวดีๆ ภาคนี้จะเป็นหัวหอก เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยผลักเศรษฐกิจไทย ช่วงปี 2000-2007 ขยายตัวที่ +9.5% ช่วงปี 2010-2018 ขยายตัวที่ +4.1% แต่ 5 ไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวเฉลี่ยเพียง +0.5%

เครื่องยนต์ดับ !!!!
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าอุตสาหกรรมไทยกำลังตกรุ่น โรงงานกำลังปิด หรือ ลดกำลังการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มยานยนต์ที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ถ้าเราอยากเห็นเศรษฐกิจไทยคึกคักอีกรอบ นี่คือโจทย์สำคัญที่เราต้องแก้ให้ได้

แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และ สร้างหรือผลัดใบภาคอุตสาหกรรมไทย ที่จะมาเป็นรายได้ใหม่ๆ ให้กับประเทศ ทดแทนการปิดตัวของโรงงานแบบเดิม ๆ

ถ้าเราแก้ไม่ได้ เศรษฐกิจไทยก็ยากจะกลับไปโตอย่างที่เราหวังกัน ถูกเพื่อนบ้านแซง หรือ ทิ้งไว้ข้างหลัง โชคดีช่วงนี้ คลื่นการลงทุนรอบใหม่ในอาเซียนกำลังมา หลายๆ ประเทศกำลังหลั่งไหลเข้ามาลงทุน หลังจากทิ้งเราไปหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง

ถ้าหากว่า เราได้ส่วนแบ่งที่พอสมควร อีก 3-5 ปีให้หลัง เราจะมีภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่จะออกดอกออกผลอีกครั้งเป็นเครื่องยนต์ใหม่ให้เศรษฐกิจไทยไปอีก 15-20 ปี

ขอเป็นกำลังใจให้กับ BOI ที่พยายามต่อสู้ ช่วงชิงโอกาสให้ประเทศไทย ในช่วงเช่นนี้ หาก BOI มีงบ มีคนเพิ่มเติมอนาคตของไทยก็จะสดใสมากขึ้นครับ

‘บอสชาตรี’ ปลื้มบิ๊กอีเวนต์ ONE สร้างเงินสะพัดระดับชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มูลค่ากว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี

(20 พ.ค. 68) ชาตรี ศิษย์ยอดธง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ONE แชมเปียนชิพ แสดงความภาคภูมิใจ หลังรายงานล่าสุดจาก Nielsen ชี้ว่า ONE มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ผ่านการจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา

รายงานระบุว่า 82% ของผู้ชมต่างชาติ ซึ่งมาจากประเทศมีกำลังซื้อสูง เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และแคนาดา เดินทางมาไทยเพื่อชมการแข่งขันของ ONE และกว่า 65% ของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ยังเลือกขยายทริปเที่ยวในจังหวัดอื่น ทำให้ใช้เวลาในประเทศไทยเฉลี่ยมากกว่า 10 วัน

ด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ภาคค้าปลีกและนันทนาการได้รับรายได้สูงสุดจากอีเวนต์ของ ONE รวมกว่า 105 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,675 ล้านบาท) ตามด้วยภาคที่พัก 1,890 ล้านบาท และภาคอาหารเครื่องดื่ม 1,330 ล้านบาท

บิ๊กบอสชาตรี กล่าวย้ำว่า ONE ไม่เพียงเป็นเวทีการต่อสู้ระดับโลก แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังในการส่งเสริมภาพลักษณ์และเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณแฟนคลับ นักกีฬา พันธมิตร และทีมงานทุกคนที่ร่วมผลักดัน ONE ให้เป็นฟันเฟืองสำคัญในแนวคิด 5F ของการท่องเที่ยวไทยอย่างแท้จริง

สกพอ. ผนึกกำลัง กกท. ผุดโปรเจกต์ยักษ์ ยกระดับเมืองอัจฉริยะ EECiti สร้างศูนย์กีฬานานาชาติจ.ชลบุรี บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ หนุนเมืองน่าอยู่รองรับประชากร 3.5 แสนคน ปูทางไทยจัดกีฬาโลก-คอนเสิร์ต-เวทีนานาชาติ ตั้งเป้าสร้างงาน 2 แสนตำแหน่งใน 10 ปี

(19 พ.ค. 68) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จับมือการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ลงนามความร่วมมือ (MOU) สร้าง “ศูนย์กีฬานานาชาติ จ.ชลบุรี” บนพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ ภายในโครงการเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ EECiti หวังยกระดับสู่ศูนย์กลางการจัดการแข่งขันกีฬาและอีเวนต์ระดับโลก พร้อมส่งเสริมสุขภาพและเศรษฐกิจกีฬาไทย

ศูนย์กีฬาแห่งนี้จะได้มาตรฐานระดับนานาชาติ รองรับทั้งการแข่งขัน กีฬาอาชีพ คอนเสิร์ต เทศกาลขนาดใหญ่ พร้อมศูนย์ฟื้นฟูนักกีฬาและนวัตกรรมวิทยาศาสตร์การกีฬาครบวงจร สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติมุ่งพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ สกพอ. เผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา ระบบนิเวศเมืองน่าอยู่ และดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่พื้นที่ EEC ตามแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว คาดว่าโครงการจะรองรับประชากรกว่า 3.5 แสนคน และสร้างงานกว่า 2 แสนตำแหน่งภายในปี 2580

นอกจากศูนย์กีฬานานาชาติแล้ว พื้นที่ EECiti ยังเตรียมพัฒนาเป็นเมืองอัจฉริยะติด 1 ใน 10 ของโลก พร้อมรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รองรับการลงทุนใหม่ในพื้นที่อีอีซีในอนาคต

‘อมตะ ซัมมิท’ เร่งตรวจสอบผนังอาคารถล่ม พร้อมประสานผู้เชี่ยวชาญหาสาเหตุอย่างละเอียด

(19 พ.ค. 68) บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้บิลท์ จำกัด ออกแถลงการณ์กรณีผนังอาคารด้านหน้าอาคารให้เช่า ในนิคมฯอมตะซิตี้ ชลบุรี หลุดร่วงจากตัวอาคารยืนยันเดินหน้าตรวจสอบสาเหตุอย่างเร่งด่วน และยกระดับมาตรการความปลอดภัยในทุกอาคาร

นางสาวจันจิรา แย้มยิ้ม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้บิลท์ จำกัด เปิดเผยถึงกรณีผนังอาคารด้านหน้าอาคารให้เช่าแห่งหนึ่งภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เกิดการหลุดร่วงจากตัวอาคารว่า บริษัทขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงหนึ่งราย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้เช่า ซึ่งบริษัทฯไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด

บริษัทฯให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของผู้เช่าและบุคลากรทุกฝ่าย โดยได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้าง และตัวแทนจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ.เพื่อเร่งตรวจสอบหาสาเหตุของเหตุการณ์อย่างละเอียด พร้อมเพิ่มการตรวจสอบซ้ำด้านความปลอดภัย

นอกจากนี้ บริษัทฯจะนัดหมายเพื่อร่วมประชุมกับผู้เช่าอาคารในลักษณะเดียวกันทุกราย เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง แผนการดำเนินงาน และมาตรการตรวจสอบซ้ำด้านความปลอดภัย พร้อมเปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้เช่า และเชิญผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบโครงสร้างอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความมั่นใจร่วมกัน

บริษัทฯขอยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส มีความรับผิดชอบ และเปิดกว้างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสาธารณะชน เข้าตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เช่า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต

บีโอไอ ปรับเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนรับมือการค้าโลก พร้อมไฟเขียว 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

(19 พ.ค. 68) บอร์ดบีโอไอ อนุมัติมาตรการชุดใหญ่ เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย รับมือการค้าโลกยุคใหม่ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางความผันผวน มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน พร้อมออกมาตรการส่งเสริมกิจการท่องเที่ยวในเมืองรอง ฟื้นเที่ยวไทยทั่วประเทศ อนุมัติส่งเสริมลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับโลกยุคใหม่” โดยมุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย รักษาสมดุลทางเศรษฐกิจ ภายใต้สภาวะตลาดที่มีความผันผวน เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากมาตรการการค้าของสหรัฐอเมริกา และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในหลากหลายอุตสาหกรรมได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ระดับโลก โดยมีมาตรการสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้

1. ส่งเสริมให้ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยออกมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ SMEs ไทย ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล การประหยัดพลังงาน การยกระดับสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ SMEs ไทย จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี ในวงเงินร้อยละ 100

2. งดให้การส่งเสริมกิจการที่อาจมีปริมาณผลิตเกินความต้องการ (Oversupply) หรือกิจการที่มีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ เช่น กิจการผลิตเซลล์และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ แบตเตอรี่กลุ่มตะกั่ว-กรด อุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ กิจการตัดโลหะ กิจการคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วกรณีตั้งนอกนิคมอุตสาหกรรมและไม่มีกระบวนการรีไซเคิล นอกจากนี้ ยังจะงดส่งเสริมกิจการเหล็กขั้นปลายเพิ่มเติมจากเดิม ได้แก่ กิจการผลิตเหล็กทรงยาวทุกชนิด เหล็กทรงแบน (เฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นหนา) และท่อเหล็กชนิดต่าง ๆ

3. เพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ สำหรับบางกิจการที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ และอุตสาหกรรมเบา โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขชัดเจนว่า ต้องมีกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ โดยมีการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอ เช่น มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อยในระดับ 4 หลัก เพื่อให้การผลิตเพื่อส่งออกของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้น

4. ปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานบุคลากรต่างชาติ  สำหรับกิจการผลิตที่ขอรับการส่งเสริมลงทุนและมีการจ้างงานทั้งบริษัทตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด นอกจากนี้ จะกำหนดรายได้ขั้นต่ำของบุคลากรต่างชาติที่จะขอใช้สิทธิด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานกับบีโอไอ เช่น ถ้าเป็นระดับผู้บริหาร ต้องมีรายได้ 150,000 บาทขึ้นไป และระดับผู้เชี่ยวชาญ 50,000 บาทขึ้นไป เพื่อสร้างสมดุลการจ้างงานในประเทศให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการแย่งงานบุคลากรไทย และกระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากรไทยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยได้

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้บีโอไอดำเนินการศึกษาแนวทางการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ และการส่งเสริมการร่วมทุน ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการต่างชาติร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยและช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับคนไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกิจการที่มีความสำคัญต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทาน และให้นำกลับมาเสนอบอร์ดอีกครั้ง

ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการด้านการท่องเที่ยวในเมืองรอง” ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในเมืองรอง เพื่อส่งเสริมการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยสำหรับกิจการด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ กิจการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ สวนสนุก ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ศูนย์หัตถกรรมไทย พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์เปิด ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ หอประชุมขนาดใหญ่ ท่าเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) บริการที่จอดเรือท่องเที่ยว สนามแข่งขันยานยนต์ กระเช้าไฟฟ้าและรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยว หากเป็นการลงทุนตั้งสถานประกอบการในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 5 ปี เป็น 8 ปี  และสำหรับกิจการโรงแรม หากตั้งในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 3 ปี เป็น 5 ปี

ปรับปรุงกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service

บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติการปรับปรุงการส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service ให้มีความเหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน โดยจะเน้นให้สิทธิประโยชน์ระดับสูงกับกิจการที่ใช้อุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูง (Advanced Computing Capabilities) และมีการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้เพิ่มเงื่อนไขให้โครงการที่จะขอรับการส่งเสริม ต้องเสนอแผนพัฒนาบุคลากรไทย เช่น การจัดทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษา การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs หรือการใช้อุปกรณ์ที่ผลิตในประเทศ โดยต้องดำเนินการตามแผนที่เสนอให้แล้วเสร็จก่อนการใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การลงทุนในกลุ่มธุรกิจนี้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลแก่ประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ไฟเขียวลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียดแสนล้าน

ที่ประชุมได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center และพลังงานหมุนเวียน รวม 7 โครงการ มูลค่าลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท ประกอบด้วย กิจการ Data Center 5 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท วิสตัส เทคโนโลยี จำกัด เงินลงทุน 6,854 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (2) บริษัท บริดจ์ ดาต้า เซ็นเตอร์ ไอไอไอ (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 14,452 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (3) บริษัท กาแล็คซี่ พีค ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 23,553 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (4) บริษัท กาแล็คซี่ ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 22,313 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และ (5) บริษัท ดิจิทัล เอดจ์ ดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 24,522 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี

กิจการพลังงานหมุนเวียน 2 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท อัลฟ่า วัน โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 3,195 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชุมพร และ (2) บริษัท อัลฟ่า ทู โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 4,838 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

‘อรรถวิชช์’ เผยร่าง กม.ส่งเสริมอุตฯปาล์มน้ำมันเสร็จแล้ว ดูแลจัดการทั้งระบบตั้งแต่ชาวสวนถึงอุตสาหกรรมการผลิต

‘อรรถวิชช์’ เผย ยกร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเสร็จแล้ว ชู "สำนักงานอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน" ดูแลโครงสร้างแบบครบวงจร ช่วยเกษตรกร-ผู้ประกอบการ มีรายได้อย่างมั่นคงเป็นธรรมทุกฝ่าย 

(19 พ.ค. 68) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะกรรมการยกร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เป็นประธานยกร่างกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน โดยนายพีระพันธุ์ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับเป็นที่ปรึกษาและผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับนี้

ซึ่งล่าสุดตนได้ดำเนินการยกร่างกฎหมายเสร็จสิ้น และส่งมอบต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นการเตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาสังคม ก่อนนำร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) และสภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาเห็นชอบร่างกฎหมายเพื่อบังคับใช้ต่อไป

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวถึงสาระสำคัญของร่างกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ว่า จะบัญญัติให้มีสำนักอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ที่จะเป็นหน่วยงานหลักในการควบคุมดูแลร่างกฎหมายนี้และอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งจะใช้ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ โดยเกษตรกร จะได้ผลประโยชน์จากการขายผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มที่แปรรูป ทั้งจะมีระบบประกันรายได้และการสร้างระบบซื้อขายอย่างเป็นธรรม ที่สำคัญ จะทำให้เกษตรกรไม่ต้องเร่งขายปาล์มที่ยังไม่สุกเต็มที่ควบคู่ไปกับมีการควบคุมการชั่งน้ำหนัก คำนวณเปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มอย่างเป็นธรรม ซึ่งถือได้ว่าจะช่วยสร้างผลประโยชน์ให้กับเกษตรกรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมโดยแท้จริง

ส่วนผู้ประกอบการก็จะมีการควบคุมจำนวนของผู้ประกอบการ การสร้างมาตรฐานที่เท่าเทียม มีระบบส่งเสริม รวมทั้งการได้วัตถุดิบชั้นดี โดยไม่ต้องแย่งกันซื้อปาล์ม แต่ก็ยังได้ปาล์มสุก มีคุณภาพ ได้น้ำมันสูง

“ตนใช้ระบบการกำกับคล้ายกับพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย ที่ยึดนโยบายหลักที่ว่า อุตสาหกรรมนำเกษตร มาเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาและขับเคลื่อน อันจะสร้างผลประโยชน์ที่เป็นธรรมได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ที่สำคัญเกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างมั่นคงและเป็นธรรม โดยไม่มีใครถูกเอาเปรียบด้วย” ดร.อรรถวิชช์ กล่าวทิ้งท้าย

‘แพทองธาร – นายกฯ เวียดนาม’ ร่วมเปิดงานใหญ่ แสดงวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ในทุกระดับ

(17 พ.ค. 68) นายฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม พร้อมด้วยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ได้เข้าร่วมงาน Vietnam–Thailand Business Forum 2025 พร้อมทั้งแสดงวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศในทุกระดับ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ นโยบาย และประชาชน ณ โรงแรม Melia กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวานนี้ (16 พ.ค. 68) 

ทั้งนี้ คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ SVP & General Manager ธนาคารกรุงเทพ สาขาเวียดนาม ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ดำเนินรายการในช่วงเสวนา ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูง ตัวแทนภาคเอกชนจากทั้งประเทศไทย และเวียดนาม อาทิ WHA Amata FPT และ Vietjet มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และแนวทางการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว เพื่อร่วมกันยกระดับเศรษฐกิจไทย–เวียดนาม สู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน

‘อพท.’ ผลักดัน!! ชุมชนท่องเที่ยว ในพื้นที่พิเศษ ชวนออฟฟิศ ยกทีมนอกกรอบ ไปรอบเมืองไทย

(17 พ.ค. 68) นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “ยกทีมประชุม รุมรักเมืองไทย ซีซั่น 2 ชวนชาวออฟฟิศ ยกทีมนอกกรอบ ไปรอบเมืองไทย” และกล่าวถึงประโยชน์ของการจัดงานในครั้งนี้ว่า ในฐานะที่ อพท. เป็นองค์กรกลางในการประสาน ส่งเสริมและพัฒนาให้ชุมชนท้องถิ่นและพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวมีศักยภาพและมีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในแคมเปญฯ ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาจากปี 2567 ซึ่งได้นำชุมชนในพื้นที่พิเศษที่มีศักยภาพเข้าร่วมแคมเปญถึง 25 ชุมชน สำหรับในซีซั่น 2 ในปี 2568 นี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ อพท. ได้ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนนักเดินทางคุณภาพกลุ่มไมซ์ ให้มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่จากการเดินทางท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีเสน่ห์และอัตลักษณ์โดดเด่น ผ่านภูมิปัญญา เรื่องเล่าและได้ทดลองกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ของชุมชน โดย อพท. ได้คัดสรรชุมชนที่มีศักยภาพเข้าร่วมแคมเปญเพิ่มขึ้นเป็น 32 ชุมชน และสนับสนุนค่าจัดกิจกรรมขององค์กรใน ชุมชนมูลค่า 10,000 บาทต่อกลุ่ม ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเชื่อมโยงชุมชนท่องเที่ยวสู่ตลาดมูลค่าสูง และเปิดโอกาสให้ชุมชนได้แสดงศักยภาพ อัตลักษณ์ สินค้าและกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ พร้อมได้ประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ของชุมชน นำมาสู่การสร้างและกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น และเชื่อว่า “การท่องเที่ยวโดยชุมชน จะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้เรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรมองค์กรให้กับทุกๆ คน”

ความร่วมมือดังกล่าวนั้นตอบโจทย์การดำเนินงานของ อพท. ซึ่งเป็นองค์กรกลางในการประสาน ส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาและบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในเชิงบูรณาการ ตลอดจนการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้มีศักยภาพตามมาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT Thailand) สามารถบริหารจัดการการท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง และพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Tourism) ที่นำเสนออัตลักษณ์ที่โดดเด่นและเชื่อมโยงชุมชนท่องเที่ยวสู่ตลาดมูลค่าสูง นำมาสู่การสร้างและกระจายรายได้มาสู่ท้องถิ่นต่อไป  

’กรณ์‘ มอง 'G-token' หวังดัน digital asset ในไทย แนะรัฐบาลป้องกันหวั่นกลายเป็น ’เงินตรานอกระบบ’

เมื่อวันที่ (15 พ.ค.68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ โพสต์เฟซบุ๊ก 'นายกรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ระบุ  ว่าด้วยเรื่อง G-token: good or bad?

ปัจจุบันรัฐบาลสามารถกู้จากประชาชนได้ผ่านการขายพันธบัตรในแอปเป๋าตังที่คนไทยกว่า 40 ล้านคนมีในโทรศัพท์

ประชาชนสามารถลงทุนได้ด้วยเงินเพียงแค่ 100 บาท คิดจะขายก็ขายได้ ต้นทุนของรัฐบาลในการออกพันธบัตรผ่านช่องทางนี้ต่ำมาก ไม่น่าจะมีช่องทางไหนที่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่านี้อีกแล้ว

คราวนี้รัฐบาลจะออกสิ่งที่เรียกว่า G-token แทน นั่นคือการกู้ผ่านการออกเหรียญคริปโตในระบบ blockchain นั่นเอง 

จริง ๆ ก็คือการ tokenise พันธบัตรรัฐบาลนั่นแหละ

ที่รัฐบาลบอกว่าไม่กระทบหนี้สาธารณะ ถ้าจะพูดให้ชัดขึ้นต้องบอกว่า ’ไม่กระทบมากกว่าถ้าออกเป็นพันธบัตร’ คือหนี้สาธารณะจะเพิ่มเท่ากัน นี่คือเพียงอีกวิธีที่จะกู้เงิน

ถามว่ากฎหมายให้ทำหรือไม่ รัฐบาลบอกว่าได้ มีบางคนออกมาบอกว่าไม่ได้ ส่วนตัวผมพูดได้แค่ว่ากฎหมายไม่ได้เขียนรองรับโดยตรงเพราะตอนร่างกฎหมายยังไม่มีคริปโต แต่ผมก็ไม่เห็นว่าทำไมจะทำไม่ได้ ตราบใดที่ G-token นี้มีสถานะเหมือนเป็นพันธบัตร ซึ่งซื้อขายได้ แต่ใช้ในการชำระเงินไม่ได้ 

ปัญหาคือ พอมันเป็นเหรียญ มันก็สามารถถูกเอาไปใช้ชำระเงินได้ง่ายขึ้น รัฐบาลก็ควรต้องอธิบายว่ามีมาตรการอย่างไรที่จะป้องกันไม่ให้คนไทยหรือต่างชาติใช้ G-token เสมือนเป็นเงินบาท (เพราะมีรัฐบาลคำ้ประกัน) สุดท้ายก็จะเป็นเงินอีกประเภทหนึ่งที่รัฐบาลเป็นคนออกหรือไม่? (หรือนั่นคือความตั้งใจ?)  ต้องฟังความเห็นของแบงก์ชาติในประเด็นนี้

ถามว่าการเข้าถึง G-token โดยประชาชนจะสะดวกกว่าการซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือไม่ คำตอบคือ ’ไม่‘  เพราะคนไทยยังคงจะมี digital wallet น้อยกว่าแอปเป๋าตัง

ถามว่าแล้วรัฐบาลทำไปเพื่ออะไร ผมเชื่อว่าเหตุผลหลักคือต้องการเพิ่มความนิยมใน digital asset ในประเทศไทย พวก crypto exchange เช่น Bitkub หรือ Binance ต้องชอบเพราะทำให้มีสินค้าในตลาดของตนมากขึ้น และลูกค้าใหม่ก็อาจจะหันมาสนใจลงทุนใน Bitcoin หรือ digital asset ตัวอื่น ๆ มากขึ้นในอนาคต รัฐบาลก่อนหน้านี้อยากให้ประชาชนมีแอปเป๋าตัง รัฐบาลนี้อยากให้มี digital wallet

ทั้งหมดนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ค่ากับคริปโตแค่ไหน และรัฐบาลจะสามารถป้องกันไม่ให้ G-token กลายเป็นเงินตรา ‘นอกระบบ’ หรือไม่

นายกฯ เตรียมไลฟ์ขายทุเรียน ส่งตรงจากจันทบุรี หวังดัน Soft Power เกษตรไทย-ช่วยชาวสวนในพื้นที่

(16 พ.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมร่วมไลฟ์สดขายทุเรียนกับกลุ่ม Young Smart Farmer ณ สวนรักตะวัน จ.จันทบุรี วันที่ 17 พฤษภาคมนี้ เพื่อส่งเสริมผลไม้ไทยและกระตุ้นการตลาดช่วงฤดูทุเรียน พร้อมรณรงค์การบริโภคผลไม้ตามฤดูกาล และชมบูธร้านอาหารที่ได้รับเครื่องหมาย Thai SELECT

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะรับฟังปัญหาของเกษตรกรภาคตะวันออกทั้งเรื่องต้นทุน การผลิต และการส่งออก พร้อมให้นโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการสนับสนุนภาคเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องร่วมคณะลงพื้นที่ด้วย

โดยในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมขั้นตอนการส่งออกผลไม้ ณ บริษัท ดรากอน เฟรช ฟรุท อ.มะขาม จ.จันทบุรี และชมการคัดแยก แพ็กกิ้งทุเรียนมังคุด รวมถึงโมเดลความร่วมมือกับสายการบินแอร์เอเชีย ในการนำเมนูผลไม้ขึ้นให้บริการบนเครื่องบิน

ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันเดินหน้าสนับสนุนการส่งออกผลไม้ไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฤดูทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร กระจายตลาดสู่เมืองหลัก-เมืองรอง และผลักดันให้ 'ผลไม้ไทย' เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่คนทั่วโลกต้องรู้จักและจดจำ

รายงานชี้ ONE ทำรายได้กว่า 1.6 หมื่นล้านต่อปี ดันเศรษฐกิจไทยพุ่งแรง พร้อมยกระดับ Soft Power

(16 พ.ค. 68) รายงานล่าสุดของสถาบัน Nielsen เผยว่า วัน แชมเปียนชิพ (ONE) องค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ผ่านการแข่งขันในหลายประเภท โดยเฉพาะรายการ ONE ลุมพินี ที่กลายเป็นจุดหมายใหม่ด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา

ผลการสำรวจพบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 82% ที่เข้าชมการแข่งขัน ONE เดินทางมาไทยโดยเฉพาะ และมากกว่า 80% เลือกพักในกรุงเทพฯ อย่างน้อย 3 คืน ขณะที่ 65% ขยายการเดินทางไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปสูงขึ้นและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง

โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักมาจากประเทศออสเตรเลีย สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และแคนาดา ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพการใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะในการเดินทางระยะไกล ทั้งนี้ ONE ยังช่วยยกระดับ Soft Power ไทย ด้วยการถ่ายทอดสดไปยังกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ทำให้มวยไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Nielsen ประเมินว่าแต่ละอีเวนต์ของ ONE สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 238–721 ล้านบาท โดยเฉพาะศึก ONE ลุมพินี และ ONE Fight Night ซึ่งจัดประจำทุกสัปดาห์และทุกเดือนตามลำดับ การเติบโตของ ONE จึงไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จของอุตสาหกรรมบันเทิงด้านกีฬา แต่ยังตอกย้ำบทบาทของไทยในเวทีโลกในฐานะผู้นำด้านศิลปะการต่อสู้และจุดหมายปลายทางของแฟนกีฬาทั่วโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top