Wednesday, 24 April 2024
ECONBIZ

เปิดวิสัยทัศน์ ‘เทพรัตน์ เทพพิทักษ์’ ผู้ว่ากฟผ.คนใหม่ ชู 5 ภารกิจสำคัญ สร้างความมั่นคงให้ระบบไฟฟ้าไทย

เมื่อไม่นานมานี้ นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชนถึงทิศทางการดำเนินงานของ กฟผ. และแนวทางการบริหารงานหลังเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. คนที่ 16 เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า ระยะเวลา 1 ปี 4 เดือน ในฐานะผู้ว่าการ กฟผ. พร้อมเร่งเดินหน้า 5 ภารกิจสำคัญ คือ การรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้า ซึ่งต้องเผชิญความท้าทายทั้งจากการบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความผันผวนสูง รวมถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้ กฟผ. จำเป็นต้องเร่งพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) เพื่อรองรับการบริหารจัดการปริมาณไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าหลัก อาทิ ปรับปรุงโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant) การพัฒนาศูนย์การพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Forecast Center) และศูนย์ควบคุมการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response Control Center) เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากผู้ใช้ไฟฟ้าที่สมัครใจในช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเพื่อสร้างความสมดุลให้ระบบไฟฟ้า และเตรียมพร้อมต่อยอดสู่โรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant) ในการบริหารจัดการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่อง

บริหารจัดการค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรมและแข่งขันได้ โดยเร่งรัดการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติทั้งในประเทศและพื้นที่ทับซ้อนมาใช้ประโยชน์โดยเร็ว พิจารณาการนำเข้า LNG เพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำที่สุด สนับสนุนการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรมตามนโยบายกระทรวงพลังงาน พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย No Net Metering Support Net Billing เพราะผู้ที่ได้รับประโยชน์ควรจ่ายค่าไฟฟ้ามากกว่า ส่วนประชาชนที่เสียประโยชน์ควรได้รับการชดเชย นอกจากนี้ กฟผ. ยังสนับสนุนนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำของ สปป.ลาว เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่มได้รับความเป็นธรรม สามารถเข้าถึงราคาค่าไฟฟ้าได้

ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวต่อไปว่า กฟผ. ยังให้ความสำคัญในการออกแบบระบบไฟฟ้าของประเทศเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศ ทั้งการเดินหน้าพัฒนาโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดในเขื่อนของ กฟผ. และศึกษาพัฒนาเชื้อเพลิงทางเลือกอื่น ๆ โดยเฉพาะไฮโดรเจนซึ่งเป็นได้ทั้งเชื้อเพลิงเผาไหม้เหมือนก๊าซธรรมชาติ และเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) รวมถึงมีแนวโน้มราคาที่ถูกลง โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดยังสามารถนำไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ที่มีอยู่เดิมโดยไม่ต้องปรับปรุงโรงไฟฟ้า รวมถึงศึกษาและนำเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอนมาใช้ด้วย

สำหรับกรณีนโยบายแยกศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator) ให้โปร่งใส เป็นธรรม กฟผ. ในฐานะหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงานต้องดำเนินการตามนโยบายภาครัฐ ในเบื้องต้นจำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงการควบคุมระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคง ทันสมัย พร้อมรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน สามารถควบคุมสั่งการระบบผลิต ระบบส่ง ให้ตอบสนองความผันผวนและเหตุสุดวิสัยแบบอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนการจัดทำระบบเปิดเผยข้อมูลศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าให้มีความเป็นธรรม ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการจัดทำสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า (Internal PPA) ให้ครอบคลุมโรงไฟฟ้าทุกประเภท สามารถดำเนินการได้ทันที

ทั้งนี้ กฟผ. เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจแทนรัฐ จำเป็นต้องมีกำไรเพื่อให้เป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐ สำหรับนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศและรักษาเสถียรภาพด้านการเงินการคลังของประเทศ โดยควบคุมผลตอบแทนการลงทุน (Return of Invested Capital : ROIC) ของ กฟผ. ให้เพียงพอต่อการดำเนินกิจการและการลงทุนพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศให้มีความมั่นคง

“กฟผ. เป็นกลไกของรัฐเพื่อดำเนินนโยบายด้านพลังงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในการพัฒนาประเทศ โดยในช่วงที่ประเทศไทยเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ระบบไฟฟ้าต้องมีประสิทธิภาพและความมั่นคงสูง พร้อมส่งต่อไฟฟ้าที่มีคุณภาพไฟไม่ตก ไม่ดับ ควบคู่กับการดูแลค่าไฟฟ้าให้สามารถแข่งขันได้และเป็นธรรม เพื่อเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ”

‘สนพ.’ เตรียมเปิดรับฟังความเห็น ‘5 แผนพลังงานชาติ’ คาด!! แล้วเสร็จ-พร้อมยื่น ครม.พิจารณาภายใน ก.ย.นี้

‘แผนพลังงานแห่งชาติ’ เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะกำหนดทิศทางว่า ประเทศไทยจะขับเคลื่อนการพัฒนา และวางนโยบายด้านพลังงานไปในทิศทางใด โดยเฉพาะเมื่อโลกให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ‘พลังงานสะอาด’ เป็นกุญแจสำคัญที่พาประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)

รวมทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามเป้าหมายที่วางไว้ ควบคู่กับการเสริมศักยภาพเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ จึงเป็นที่จับตามองว่า แผนพลังงานที่จะออกมาในเดือนกันยายนนี้ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

>> 1 แผนหลัก 5 แผนรอง

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็น ‘แผนพลังงานชาติ’ (National Energy Plan 2024) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 แผน ดังนี้ 1.แผนพัฒนากำลังผลิตพลังไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) 2.แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) 3.แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) 4.แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan)

และ 5.แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan) ซึ่งประเมินว่า จะเปิดรับฟังความคิดเห็นภายในเดือนเมษายน จากนั้นจะมีกระบวนการปรับปรุงแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมยื่นให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ภายในกันยายน 2567

>> PDP 2024 เพิ่มพลังงานสะอาด

สำหรับแผน PDP ฉบับใหม่จะพิจารณาถึง 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1.ความมั่นคงของระบบ 2.ราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้ และ 3.สิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้จึงได้ปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าให้มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอยู่ประมาณ 50% ของกำลังการผลิตไฟทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% จากสัดส่วนเดิมของแผน PDP 2018 เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดของประเทศไทย

โดยพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานโซลาร์จะมีสัดส่วนเยอะที่สุด ตามด้วยพลังงานลม พลังงานน้ำและพลังงานชีวมวล รวมถึงจะบรรจุเรื่องการใช้เทคโนโลยี อย่างการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Utilization and Storage)

ด้าน นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการ สนพ. กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการพูดคุยกับทางสมาคมพลังงานลมบ้าง ถึงการเพิ่มสัดส่วนพลังงานลมในแผน PDP 2024 จากเดิมที่ระบุไว้ในแผน PDP 2018 ที่มีประมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันก็จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 1,500 เมกะวัตต์ และกำลังรอเปิดเพิ่มอีกที่เหลือจนครบ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องระยะความปลอดภัยที่ต้องหารือกัน

นอกจากนี้ แผน PDP ฉบับล่าสุดยังเพิ่มพลังงานทางเลือกใหม่อีก 5% อาทิ พลังงานไฮโดรเจนที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความคุ้มค่า หรือแม้แต่พลังงานนิวเคลียร์ที่หายไปจากแผน PDP 2018 ก็กลับมาอีกครั้งในรูปแบบ Small Modular Reactor (SMR) ซึ่งตั้งกำลังผลิตไว้ประมาณ 70 เมกะวัตต์ พร้อมบรรจุเป้าหมายของโรงไฟฟ้าชุมชนไว้ในแผนฉบับใหม่นี้ด้วย

>> รักษาระดับไฟฟ้า Base Load

แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟที่เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน ณ วันที่ 8 เมษายน 2567 พบว่า ค่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (ไฟพีก) ของปี 2567 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2567 เวลา 20.54 น. มีค่าเท่ากับ 34,656.4 เมกะวัตต์ ซึ่งใกล้เคียงกับไฟพีกระบบที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน มีค่าเท่ากับ 34,826.5 เมกะวัตต์ แต่ทาง สนพ.คาดว่า มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นไปถึง 35,000-36,000 เมกะวัตต์

ดังนั้นกำลังผลิตของพลังงานฟอสซิลที่เป็นโรงไฟฟ้า Base Load ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยรักษาความมั่นคงของระบบ รวมถึงรองรับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปจากในช่วงกลางวันเป็นช่วงกลางคืนมากขึ้น โดยปรับลดสัดส่วนกำลังผลิตลงเหลือประมาณ 30%

“เรายังไม่สามารถระบุกำลังผลิตทั้งหมดของพลังงานหมุนเวียน เพราะไฟฟ้าที่อยู่ในระบบกับไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้จริงต่างกัน ประเมินว่า สามารถผลิตไฟฟ้าได้จริง 1 ใน 3 ของไฟฟ้าที่อยู่ในระบบ ซึ่งเราต้องผลิตให้พอดีกับความต้องการใช้ไฟให้ได้ ถ้าสมมุติว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 10,000 เมกะวัตต์ ก็ต้องทำไฟฟ้าในระบบให้ได้ 30,000 เมกะวัตต์เป็นอย่างน้อย

เนื่องจากพลังงานหมุนเวียนมีข้อจำกัดหลายอย่าง โดยเฉพาะพลังงานโซลาร์ที่ไม่สามารถผลิตไฟได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงต้องอาศัยปัจจัยดินฟ้าอากาศ ทำให้เราต้องมาประเมินว่า ไฟฟ้าที่เราสามารถพึ่งพาได้จากพลังงานหมุนเวียนมีเท่าไหร่” นายวีรพัฒน์ กล่าว

>> จ่อเพิ่มสัดส่วน RE อีก 40%

รายงานสถิติพลังงานประเทศไทย 2566 ระบุสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ ปี 2565 ว่า เชื้อเพลิงที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้ามากที่สุด ได้แก่ 1.ก๊าซธรรมชาติ 114,637 จิกะวัตต์ต่อชั่วโมง หรือคิดเป็น 53% 2.ลิกไนต์/ถ่านหิน 35,523 จิกะวัตต์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 17% 3.การนำเข้า 35,472 จิกะวัตต์ต่อชั่วโมง หรือคิดเป็น 16%

4.พลังงานหมุนเวียน 21,876 จิกะวัตต์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 10% 5.พลังงานน้ำ 6,599 จิกะวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งคิดเป็น 3% และ 6.น้ำมัน 1,731 จิกะวัตต์ต่อชั่วโมง หรือ 0.8% โดยประมาณ

โดยสามารถแยกแหล่งที่มาพลังงานหมุนเวียนในระบบของการไฟฟ้าปี 2565 ดังนี้ ไฟฟ้าจากพลังงานก๊าซ มีกำลังผลิตรวมอยู่ที่ 338.73 เมกะวัตต์

ขณะที่ไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวลอยู่ที่ 2,077.71 เมกะวัตต์ ส่วนไฟฟ้าพลังงานน้ำจากในประเทศอยู่ที่ 123.80 เมกะวัตต์ โดยมีแผนติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งบรรจุไว้ในแผน PDP 2018 กำลังผลิตอยู่ที่ 2,725 เมกะวัตต์ ปัจจุบันติดตั้งสำเร็จแล้วที่เขื่อนสิรินธร กำลังผลิตรวม 45 เมกะวัตต์ ส่วนการนำเข้าพลังงานน้ำอยู่ที่ 4,461.903 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังมีไฟฟ้าจากพลังงานลมมีกำลังผลิตรวม 1,502.31 เมกะวัตต์ และไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์อยู่ที่ 2,917.33 เมกะวัตต์

>> ส่องพลังงานหมุนเวียนรายภาค

จากข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พบว่า สัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียนในปี 2565 รายภูมิภาค มีความแตกต่างกันตามศักยภาพการผลิตและวัตถุดิบที่จะใช้ในการผลิต

โดยสามารถแยกได้ดังนี้ ภาคเหนือมีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนรวม 1,101.80 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานโซลาร์ 48% พลังงานชีวมวล 41% พลังงานลม 5% พลังงานน้ำ 5% และพลังงานก๊าซ 1%

ส่วนภาคกลางและภาคตะวันตก มีกำลังผลิตรวม 2,614.87 เมกะวัตต์ ซึ่ง 72% ของกำลังผลิตรวมมาจากพลังงานโซลาร์ ส่วนพลังงานชีวมวลอยู่ที่ 23% ตามด้วยพลังงานก๊าซ 3% และพลังงานน้ำ 2%

สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีกำลังผลิตรวม 2,575.68 เมกะวัตต์ โดยมีพลังงานลมคิดเป็นสัดส่วน 50% ตามมาด้วยพลังงานชีวมวล 27% พลังงานโซลาร์ 18% พลังงานก๊าซ 4% และพลังงานน้ำ 1%

และสุดท้ายภาคใต้ มีกำลังผลิตรวมอยู่ที่ 661.53 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานชีวมวล 48% พลังงานลม 22% พลังงานก๊าซ 22% พลังงานโซลาร์ 6% และพลังงานน้ำ 2%

ดังนั้น หากแผน PDP 2024 ต้องการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 50% ภายในปี 2580 นั่นหมายความว่า ต้องเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอีก 40% นับเป็นความท้าทายของภาคพลังงานไทยครั้งใหญ่ที่จะเดินหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้ และนี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของการลงทุนผลิตพลังงานหมุนเวียนในแต่ละภูมิภาคด้วย

‘การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ’ หนุนสองล้อไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจ ใต้โครงการแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงครั้งที่ 3

สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย จับมือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี พร้อมเดินหน้าจัดงานแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจแห่งอนาคต ครั้งที่ 3 พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อการผลิตและพัฒนาสมรรถนะกำลังคน ด้านยานยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ระหว่างสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

ไม่นานมานี้ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) นำโดย นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วย นายชัยวุฒิ หลักเมือง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เเละอาจารย์สมมาตร ทองคำ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี จัดงานเเถลงข่าวโครงการแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจแห่งอนาคต ครั้งที่ 3 และ พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อการผลิตและพัฒนาสมรรถนะกำลังคนด้านยานยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กับ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารสปอร์ตคอมแพล็ค มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

นายชัยวุฒิ หลักเมือง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า “ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจแห่งอนาคต ร่วมกับทาง สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยในปีนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้สนับสนุนมาเป็นปีที่ 3 แล้ว ซึ่งการจัดเเข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดเเปลงเเห่งอนาคตในครั้งนี้ เล็งเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะช่วยสร้างบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้แสดงออกถึงศักยภาพการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ที่สามารถต่อยอดในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เพื่อผลักดันเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อสอดรับกับภารกิจมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนตามนโยบายภาครัฐ”

นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวว่า “สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ในปีนี้รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเเห่งประเทศไทย เเละ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ซึ่งในวันนี้เราได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง ด้านความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อการผลิตและพัฒนาสมรรถนะกำลังคนด้านยานยนต์ไฟฟ้า กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ภายใต้การสนับสนุนบุคลากรหรือผู้เชี่ยวชาญ ที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยน องค์ความรู้ วางรากฐาน และแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากนี้ทางสมาคมฯยังได้รับความร่วมมือจากทั้ง 2 ฝ่าย ในการจัดงานการแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจแห่งอนาคต ที่ทางสมาคมฯ ได้ดำเนินการจัดการเเข่งขันขึ้นเป็น ครั้งที่ 3 เเล้ว โดยจะใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นสถานที่จัดงานการเเข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดเเปลง ซึ่งในปีนี้ได้รับความสนใจจากหลายทีมสมัครเข้าร่วมการเเข่งขัน โดยจะมีขึ้นในวันที่ 26 - 27 เมษายน นี้ ณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ซึ่งการจัดงานเเข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดเเปลงเเห่งอนาคตในครั้งนี้ทางสมาคมฯ มีความมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะผลักดันการปลูกฝังเเละผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังมีการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่ สอดรับกับเป้าหมายของรัฐบาลไทยที่ต้องการให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าป้อนสู่ตลาดโลก”

โดยในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นการลงนามระหว่าง 2 ฝ่าย ได้เเก่ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ซึ่งเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการผลิตและพัฒนาสมรรถนะกำลังคนด้านยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้วัตถุประสงค์…

1. เพื่อการร่วมมือกันในการร่างหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
2. เพื่อร่วมมือกันพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาสมรรถนะ กำลังคนให้ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
3. เพื่อการร่วมมือกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วางรากฐานและแนวทางในการ

ส่วนกรอบระยะเวลาดำเนินการนั้น ตามกรอบบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการดังกล่าวนี้ มีระยะเวลา 3 ปี มีผลนับตั้งแต่วันลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการนี้

เกี่ยวกับ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (Electric Vehicle Association of Thailand) เป็นสมาคมที่ไม่เเสวงหาผลกำไร โดยแนวทางของสมาคมมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการเเลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ยังรวมไปถึงการให้คำปรึกษาข้อบังคับมาตรฐาน และการดำเนินงานในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ในปัจจุบันสมาคมมี คุณกฤษฎา อุตตโมทย์ ทำหน้าที่นายกสมาคม และมีสมาชิกที่มาจากภาคเอกชน สถาบันศึกษา รัฐวิสาหกิจ และบุคคลทั่วไปรวมทั้งสิ้นกว่า 379 รายโดยทางสมาคมมีการกำหนดการจัดการประชุม ในทุกๆ เดือน และมีการเเบ่งคณะทำงานในด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุน และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ที่ www.evat.or.th 

'พีระพันธุ์' ลุยรื้อโครงสร้างพลังงาน ดันไอเดียรัฐบาลกำหนดราคาน้ำมันเอง ลั่น!! ตลาดโลกเป็นเรื่องของ 'ผู้ประกอบการ-รัฐบาล' ไม่ควรดึง ปชช.มาร่วมแบก

(21 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงการประกาศราคาน้ำมันที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการเอง ว่า ตนจะทำอย่างนั้น เมื่อไม่สามารถแยกตัวออกจากตลาดโลกได้ แต่สามารถแยกประชาชนออกจากตลาดโลกได้ ตลาดโลกจะเป็นเรื่องของผู้ประกอบการและรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับประชาชน นั่นคือสิ่งที่ตนตั้งเป้าไว้ ซึ่งขณะนี้มีช่องทางในการดำเนินการแล้ว และได้ประชุมอยู่ทุกสัปดาห์ จะดำเนินการได้ในรัฐบาลนี้ในช่วงที่ตนอยู่ในตำแหน่งรมว.พลังงาน

เมื่อถามว่าจะเป็นเรื่องยากหรือไม่เพราะมีกลุ่มนายทุน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถึงจะยาก แต่ก็ต้องทำ เพราะไม่มีอะไรง่ายอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือยากแต่เป็นเรื่องที่มีความตั้งใจจะทำ ดังนั้นถ้าเราตั้งใจจะทำ เรื่องยากก็เป็นเรื่องง่าย ถ้าไม่มีความตั้งใจต่อให้ง่ายแค่ไหนก็ทำไม่ได้

เมื่อถามว่าราคาน้ำมันดีเซลจะมีการตรึงราคาที่ลิตรละ 30 บาทหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นปัญหาของระบบโครงสร้างพลังงานปัจจุบัน ซึ่งตนพูดมาตั้งแต่ตอนแรกที่รับหน้าที่ว่าไม่พอใจกับระบบและโครงสร้างพลังงานเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องแก้ไข แต่ระหว่างที่แก้ไขก็ต้องยอมรับว่าเป็นโครงสร้างเดิมมาถึง 51 ปี และที่ผ่านมา 51 ปีไม่มีใครคิดจะปรับปรุงและแก้ไขเพื่อประชาชน แต่ตนเองจะลงมือทำ และกำลังทำอยู่ ซึ่งจะทำให้ได้

นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงการขยายมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 30 บาทให้ประชาชนและผู้ประกอบการหรือไม่ ว่า เดิม ก่อนรัฐบาลชุดนี้ การรักษาระดับราคาน้ำมัน ใช้กลไกหลักอยู่ 2 กลไกล ถือเป็นอำนาจของกองทุนน้ำมัน กลไก 1 คือการกำหนดเพดานภาษีสรรพสามิต และภาษีต่างๆที่จัดเก็บกับน้ำมัน ถือเป็นอำนาจของคณะกรรมการ ไม่ใช่ของกระทรวงการคลัง แต่เมื่อกำหนดเพดานแล้ว คนมีอำนาจเก็บภาษี คือกระทรวงการคลัง

ส่วนกลไกที่ 2 คือ เงินจากกองทุนน้ำมันฯ แต่เงื่อนไขของกฎหมายปัจจุบัน ไปตัดอำนาจการกำหนดเงินเพดานออก เหลือแต่เพียงอำนาจการใช้เงินกองทุน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มาแบกภาระที่เงินกองทุนน้ำมัน ทั้งๆ ที่เดิมเป็นอำนาจของคณะกรรมการที่กำหนดว่าควรจะปรับภาษีสรรพสามิตขึ้นลงเท่าไหร่ เมื่อถูกตัดอำนาจออกไป ทำให้เป็นภาระกองทุนน้ำมันที่ต้องใช้เงินอย่างเดียว และตอนนี้ตนเองก็กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อยู่ และย้ำว่าจำเป็นต้องแก้กฎหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังร่างฯโดยไม่ต้องกลัวว่าจะร่างกฎหมายช้า ตนเองเป็นผู้ดำเนินการร่างฯเอง

เมื่อถามว่าต้องรออีกนานหรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เมื่อไปถึงขั้นสุดท้ายที่ตนได้วางแนวทางไว้ คือ รัฐบาลมีอำนาจในการกำหนดราคา แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้นก็ต้องค่อยๆปรับ เพราะว่าโครงสร้างรูปแบบเดิม เป็นแบบนี้มา 51 ปีแล้ว ซึ่งไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยตนมาเริ่มเปลี่ยน และกำลังเริ่มทำเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี ที่มีมาตรการให้ผู้ค้าต้องแจ้งต้นทุน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ทั้งที่ผ่านมาไม่มีใครเคยรู้ต้นทุน รู้แค่เพียงขาดทุนแล้วนำเงินกองทุนฯไปชดเชยกับสิ่งไหน ซึ่งก็ไม่เคยมีใครทำ แต่ตอนนี้ตนเองทำแล้ว นี่คือสิ่งที่พยายามทำให้เห็นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติทำงานจริง รื้อสิ่งที่ไม่ดีให้หมด ซึ่งพยายามทำอยู่

เสือปืนไว!! ‘รัฐบาลไทย’ ปรับบทบาทประเทศในเวทีโลก ขานรับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ‘อินเดีย-จีน’ ใต้ผู้นำยุคที่ 3

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM 93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในหัวข้อ ‘อินเดียและจีน กับประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย’ เมื่อวันที่ 21 เม.ย.67 ดังนี้…

อินเดียและจีนเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกที่ประเทศไทยจะต้องให้ความสนใจเพื่อตักตวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งสองประเทศก็มีแนวนโยบายและพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

อินเดีย ซึ่งมีการเลือกตั้งในวันที่ 19 เมษายนนี้ และมีผู้มีสิทธิออกเสียงเกือบ 1,000 ล้านคน ถือเป็นการเลือกตั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ยังผลให้ Narendra Modi กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 อันจะสามารถสานต่อนโยบายเศรษฐกิจเดิม ซึ่งจะนำพาความสำเร็จให้แก่อินเดียได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 5 ของโลก ภายใต้นโยบายเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาล รวมถึงการต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศและการเป็นมิตรกับธุรกิจภายใต้ Modi

ในขณะที่จีนภายใต้ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ซึ่งเข้าสู่วาระที่ 3 เช่นกันนั้น กลับมีนโยบายที่ค่อนข้างจะตรงกันข้าม กล่าวคือ ความแข็งกร้าวและการไม่ยอมรับระเบียบที่กำหนดโดยโลกตะวันตก การแทรกแซงและความไม่เป็นมิตรกับธุรกิจเอกชน การปล่อยปละละเลยให้เกิดฟองสบู่ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนฟองสบู่แตกกลายเป็นปัญหาหนี้สินในปัจจุบัน

แน่นอนว่า Supply Chain ของโลกกำลังย้ายถิ่นฐานกันขนานใหญ่ ภูมิภาคที่จะได้รับอานิสงส์สูงสุดคงไม่พ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และวันนี้ประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นแค่จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนประสงค์จะมาเที่ยวเท่านั้น แต่ประเทศไทยได้เป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนที่กำลังได้รับความสนใจสูงสุดจากนักธุรกิจจีนอีกด้วย 

สังเกตได้ว่าการลงทุนจากจีนกำลังหลั่งไหลเข้าไทยในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ EV และแบตเตอรี อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เป็นต้น และในอนาคตอันใกล้ ก็เป็นไปได้สูงที่จีนจะเข้ามาลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ และอุตสาหกรรมบริการ โดยเฉพาะสถานบันเทิงครบวงจรที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย จึงเป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะต้องเตรียมรับมือกับธุรกิจจีนที่กำลังถาโถมเข้ามา เพราะการลงทุนจีนจะมีรูปแบบและลักษณะแตกต่างจากการลงทุนของญี่ปุ่นและชาติตะวันตก

ดังนั้น ภายใต้เครื่องชี้วัดหลายประการที่เริ่มบ่งบอกถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในโลกนั้น อาจกลายเป็นโอกาสทองทางเศรษฐกิจของไทย และก็ถือเป็นข่าวดีที่ตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมานี้ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน กำลังปรับเปลี่ยนบทบาทประเทศไทยในเวทีโลก เพื่ออ้าแขนรับโอกาสทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นนี้แล้วด้วย

'ภูมิธรรม' ลุยปทุมธานีวันหยุด คุยผู้ประกอบการ คนรุ่นใหม่ 4 จังหวัดใหญ่รอบกรุงฯ รับฟังปัญหา ช่วยกันหาทางออก เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันที่ 20 เมษายน 2567 เวลา 14.30 น. ที่ร้าน Yung 7 Lifestyle&Eatery จ.ปทุมธานี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อพบปะพูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ของจังหวัดปริมณฑล 4 จังหวัดใหญ่(นครปฐม สมุทรปราการ นนทบุรีและปทุมธานี) ถึงปัญหาและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือหาทางออกและส่งเสริมผู้ประกอบการสร้างรายได้ให้ประเทศ ร่วมกับกลุ่ม YEC กลุ่ม Young Smart Farmer หอการค้า สภาอุตสาหกรรม MOC Biz Club และท่องเที่ยว

นายภูมิธรรม กล่าวว่า 4 จังหวัดรอบกรุงเทพฯ(นครปฐม สมุทรปราการ นนทบุรีและปทุมธานี) มีลักษณะพิเศษ ทั้งความเป็นเมืองและชนบท วันนี้ตนได้เจอกับผู้ประกอบการรุ่นใหญ่ทั้งสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และเจอรุ่นเยาว์ YEC  Young Smart Farmer และ MOC Biz Club ที่มีแนวคิดแบบใหม่ ซึ่งอยากให้คนรุ่นใหญ่ที่มีประสบการณ์เดิมรับแนวคิดใหม่มาต่อยอด เมื่อวานนี้ตนได้ให้นโยบายกับผู้ว่าราชการทั้ง 4 จังหวัดช่วยกันหาทางออก ให้เอกชนเป็นทัพหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจทำเงินเข้าประเทศ ส่งเสริมเอกชนให้เขาเดินหน้าได้  ทั้งเรื่องระบบโลจิสติกส์ การคมนาคมต้องเชื่อมต่อกัน ทั้งทางน้ำ ทางบก ทางราง สัมพันธ์กับผังเมืองสอดคล้องกับความเป็นจริงไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในอนาคต

รัฐจะช่วยต้องแก้ไขกฎระเบียบให้เศรษฐกิจฐานรากโต สนับสนุนส่งเสริมให้เอกชนโตได้มากกว่านี้ ตนสนใจที่จะฟังคนรุ่นใหม่ที่เป็นอนาคตของจังหวัด มีองค์ความรู้ มีแนวคิดสร้างสรรค์ เห็นความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาของจังหวัด รัฐจะมาเป็นแบ็คอัพสนับสนุนเอกชนให้เป็นทัพหน้าหารายได้เข้าประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายภูมิธรรมได้ล้อมวงคุยกับผู้ประกอบการ ซึ่งร่วมกันแสดงความเห็นสะท้อนปัญหาในแต่ละจังหวัดปริมณฑล ร่วมกันหาทางออก ซึ่งอยากให้รัฐช่วยอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น จะได้ทำให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศเติบโต ซึ่งนายภูมิธรรมรับข้อเสนอเพื่อดำเนินการส่งเสริมต่อไป

‘รมว.ปุ้ย’ เดินหน้า ‘อุตสาหกรรมฮาลาล’ ย้ำ!! ไทยพร้อมเรื่องวัตถุดิบ ลั่นขอเป็นเจ้าภาพ บูรณาการทั้ง ‘อาหาร-ท่องเที่ยว-สปา’ ให้เป็นระบบ

(20 เม.ย.67) จากรายการอิสรภาพแห่งความคิด ดำเนินรายการโดย สำราญ รอดเพชร เผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊ก 'ไทยโพสต์' ได้สัมภาษณ์พูดคุยกับ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ 'รมว.ปุ้ย' เกี่ยวกับความมุ่งมั่น ตั้งใจของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะผลักดัน อุตสาหกรรมฮาลาลไทยให้เติบโตอย่างเป็นระบบ และเจาะตลาดฮาลาลโลก โดยทางรัฐมนตรีหญิงแกร่งท่านนี้ ได้ยืนยันหนักแน่นในการจัดตั้ง 'กรมอุตสาหกรรมฮาลาล' ได้ระบุว่า ...

"วันนั้นที่เข้ามามอบนโยบาย อยากเห็นที่สุดก็คือเรื่องของอุตสาหกรรมฮาลาล อยากให้เกิดขึ้นในประเทศ สำหรับเรื่อง 'ฮาลาล' หลายคนจะนึกถึงแค่เฉพาะในประเทศมุสลิม หรือประเทศตะวันออกกลางเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ สำหรับตลาดอาหารฮาลาลในตอนนี้กำลังเติบโตใหญ่อย่างมาก และประเทศไทยของเราก็พร้อมมากเพราะประเทศไทยเรามีวัตถุดิบ เรามีแหล่งที่เป็นอุตสาหกรรม เรามีผู้ประกอบการที่มีความมั่นคง แล้วก็พร้อมที่จะทำอุตสาหกรรมพวกนี้ เพียงแต่ว่า คนที่ดูแลเรื่องอาหารฮาลาล กระจัดกระจายอยู่ตามกรมต่าง ๆ กระทรวงต่าง ๆ 

รมว.ปุ้ย กล่าวต่อว่า "ตอนนี้ก็เลยมีการบูรณาการ และตั้งใจว่ากระทรวงอุตสาหกรรมต้องเป็นเจ้าภาพหลัก โดยอยากเห็น 'กรมอุตสาหกรรมฮาลาล' เกิดขึ้นในกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งก็คิดว่าน่าจะทำสำเร็จได้ภายใน 2 ปี ขณะนี้เราเดินหน้า เป็น 'สำนักงานคณะกรรมการอาหารฮาลาลแห่งชาติ' ได้สำเร็จแล้ว กำลังจะผ่านคณะรัฐมนตรี กำลังจะได้งบประมาณมา และเปิดตัวได้ภายในอีกไม่กี่เดือนนี้"

รมว.ปุ้ย ยังกล่าวต่ออีกด้วยว่า "เรื่องฮาลาลไม่ใช่เฉพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจอย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น เครื่องสำอาง เครื่องแต่งกาย อาหาร การท่องเที่ยว สปา สุขภาพ ทั้งหมดนี้อยู่ในอุตสาหกรรมฮาลาล"

"เมื่อก่อนนี้เรื่องของอุตสาหกรรมฮาลาลนั้นไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงกัน แต่ครั้งนี้เราจะทำให้เป็นอุตสาหกรรมที่จับต้องได้เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งทางนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ก็ได้เห็นชอบด้วยแล้ว" รมว.ปุ้ย กล่าวทิ้งท้าย

‘AIS’ จับมือ ‘Apple’ ดูแลความเสียหาย ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ครอบคลุม ‘ตก-แตก-พัง-แบตเสื่อม’ เปลี่ยนอะไหล่แท้ ได้ทั่วโลก

(20 เม.ย.67) นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS เปิดเผยว่านอกเหนือจากการส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลผ่านการใช้งานบนโครงข่ายที่ดีที่สุดแล้ว AIS ยังให้ความสำคัญกับงานบริการและการดูแลลูกค้าแบบ End to End ที่ครบจบในที่เดียว อย่างการเปิดตัวนวัตกรรมการให้บริการลูกค้า AIS Care+ ที่เราได้ร่วมมือกับโบลท์เทค หนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านบริการดูแลสมาร์ทโฟน (Device protection) ระดับโลก ในการให้บริการเครื่องรูปแบบใหม่ ทั้งการเปลี่ยนเครื่องหรือดูแลความเสียหายตัวเครื่อง ที่สร้างความแตกต่างเป็นรายแรกในประเทศไทย ซึ่งได้พลิกโฉมประสบการณ์ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะได้รับความสะดวกสบายและบริการที่ดีที่สุดจากการดูแลปกป้องการใช้งานสมาร์ทโฟน

สำหรับครั้งนี้บริษัทตั้งใจยกระดับสุดยอดประสบการณ์ในการดูแลลูกค้า ผ่านการทำงานร่วมกับ Apple เปิดตัวบริการใหม่ AIS Care+ with AppleCare Services สำหรับลูกค้าที่ซื้อ iPhone กับ AIS และสมัครบริการ จะได้รับการดูแลแบบคูณ 2 ทั้งจาก AIS Care+ และ AppleCare Services พร้อมแก้ Pain Point ของลูกค้าให้หมดความกังวลจากการใช้งานทั้งเรื่องเครื่องเสีย จอแตก ตกน้ำ และดูแลความเสียหายตัวเครื่องได้ไม่จำกัดครั้ง และสามารถใช้บริการได้ไม่จำกัดครั้งเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถรับความช่วยเหลือจากศูนย์บริการ Apple ทั่วโลก ด้วยราคาพิเศษสุดคุ้มที่สามารถเข้าถึงบริการที่ดีที่สุดของ AIS ได้

นายบัลเดฟ ซิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โบลท์เทค กล่าวว่า นับเป็นความร่วมมือที่น่าตื่นเต้นสำหรับเราที่ได้เป็นส่วนหนึ่งเพราะ AIS และ Apple เป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง เราหวังว่าการทำงานร่วมกันครั้งนี้จะช่วยขยายขีดความสามารถงานบริการเพื่อดูแลปกป้องการใช้งานมือถือและสมาร์ทโฟน ด้วยการนำเสนอทางเลือก ความสะดวกสบาย ที่ดีกว่าให้กับลูกค้า

สำหรับบริการ AIS Care+ with AppleCare Services เป็นบริการที่รวมทุกการดูแลแบบคูณ 2 ทั้งจาก AIS Care+ และ AppleCare Services มาไว้ด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ความอุ่นใจและความสะดวกสบายให้ลูกค้ากับโปรแกรมที่ช่วยดูแล iPhone ที่ครอบคลุมครบวงจร ซึ่งความร่วมมือกับ Apple จะทำให้ลูกค้าได้รับความมั่นใจว่า iPhone ของลูกค้าจะได้รับการดูแล แก้ไข ซ่อมแซม ด้วยอะไหล่แท้จากช่างผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์บริการของ Apple หรือ เครื่องที่ให้บริการแลกเปลี่ยน หรือ รับเครื่องทดแทน ลูกค้าจะได้รับตัวเครื่องจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรง (Apple Manufactured Guaranteed Device) รวมถึงลูกค้าจะยังได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่า อาทิ

บริการดูแลตัวเครื่องที่ครอบคลุมความเสียหายทุกด้าน มากที่สุดเท่าที่ผู้ให้บริการด้านนี้มีในตลาด โดยไม่มีข้อจำกัด อาทิ จอแตก เครื่องตกน้ำ ลำโพงดับ ไมค์ไม่ได้ยิน เครื่องเสีย รวมถึงการดูแลแบตเตอรี่คุณภาพความจุต่ำกว่า 80%

บริการเปลี่ยนเครื่องเมื่อใดก็ได้ที่อยากเปลี่ยน หรือ เครื่องเสีย แต่ไม่อยากส่งซ่อม หรือ บริการรับเครื่องทดแทนแม้ไม่มีเครื่องเดิมมาเปลี่ยน

สิทธิพิเศษในการติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญของ Apple ผ่านทางแชตหรือโทรศัพท์ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

ลูกค้า AIS ที่ซื้อ iPhone ทุกรุ่น สามารถสมัครบริการ AIS Care+ with AppleCare Services เพื่อรับความพิเศษกว่าใครได้ทันทีหลังจากซื้อเครื่องใหม่ หรือภายใน 30 วัน นับจากวันที่ซื้อเครื่อง และไม่ต้องตรวจสอบตัวเครื่อง โดยบริการ AIS Care+ with AppleCare Services มีแพ็กเกจให้เลือกทั้งแบบรายเดือนหรือเหมาจ่าย 12  เดือน และดูแลต่อเนื่องนานสูงสุด 48 เดือน โดยลูกค้าสามารถสมัครบริการได้ที่ร้านเอไอเอสช้อป, ร้านเอไอเอส-เทเลวิซ, รวมถึงร้านพันธมิตรอย่าง Jaymart, TG Fone,  iStudio จาก COPPERWIRED, SPVi และ UFicon หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ais.th/service/aiscare-applecare/ 

พิเศษ สำหรับลูกค้าที่ซื้อ iPhone และสมัคร AIS Care+ ระหว่างวันที่ 22 กันยายน 2566 – 20 มีนาคม 2567  สามารถเปลี่ยนมาใช้บริการแพ็กเกจใหม่ AIS Care+ with AppleCare Services เพียงยืนยันสิทธิ์ด้วยตัวเอง โดยกด *534*4# โทรออก ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567 – 30 เมษายน 2567

‘ญี่ปุ่น’ ปลื้มแรงงานไทย เตรียมเพิ่มโควตานำเข้า พร้อมเปิดช่อง ให้เปลี่ยนนายจ้างได้ เมื่อทำงานครบ 1 ปี

(20 เม.ย.67) กระทรวงแรงงาน เดินหน้าขยายตลาดแรงงานไทย ไปทำงานในต่างประเทศ โดยได้ขอให้ทางการญี่ปุ่นส่งเสริมการจ้างแรงงานไทยในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานทักษะสูง แรงงานฝีมือ แรงงานทักษะเฉพาะ พร้อมยืนยันว่าไทยจะเข้มงวดให้แรงงานไทยเดินทางไปทำงานประเทศญี่ปุ่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และจะเตรียมความพร้อมให้มีทักษะด้านภาษาญี่ปุ่นสอดคล้องกับความต้องการของนายจ้างด้วย

ฝ่ายญี่ปุ่น ชื่นชมแรงงานไทย โดยรับปากจะพิจารณาเพิ่มโควตาการนำเข้าแรงงานในภาคท่องเที่ยว อุตสาหกรรมก่อสร้าง งานบริบาล และ Osaka expo 2025 นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องจะนำระบบพัฒนาทักษะแรงงาน SDW มาแทนระบบผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค TITP เพื่อยกระดับแรงงานไทยให้เป็นแรงงานทักษะเฉพาะ สร้างรายได้เพิ่มขึ้น พำนักและทำงานในญี่ปุ่นได้นานสูงสุด 5 ปี สามารถเปลี่ยนนายจ้างได้เมื่อครบ 1 ปี ช่วยให้แรงงานไทยสามารถเลือกทำงานกับนายจ้างที่มีสวัสดิการหรือรายได้มากกว่าได้

ปัจจุบัน ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่แรงงานไทยสนใจเดินทางไปทำงานมากที่สุด มีคนไทยฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคอยู่ 12,087 คน เป็นแรงงานทักษะเฉพาะ 2,875 คน

เจาะกลยุทธ์ ISC สู่ Cash Management ชั้นนำของไทย ‘เทคโนโลยีคุณภาพ-บริการทันใจ’ ดันยอดโตปีนี้แตะ 500 ล้าน

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM 93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับคุณศลีนา ศักดิ์เสรี ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อินติเกรต ซิสเต้ม (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ ISC ซึ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการจัดหา-นำเข้า และจำหน่ายอุปกรณ์นวัตกรรม ด้าน Cash Management มากว่า 35 ปี เมื่อวันที่ 20 เม.ย.67

เริ่มบทสนทนา คุณศลีนา เล่าให้ฟังว่า นวัตกรรมด้าน Cash Management ในระดับโลกนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากยุโรป ส่วนประเทศไทยเริ่มได้รับความนิยมเมื่อ 10 ปีก่อน โดยในส่วนของอุตสาหกรรม Cash Management ในไทย ณ ตอนนี้นั้น ยังถือเป็นการทำตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Marketing) เสียมาก

เมื่อถามถึงการเผชิญหน้ากับยุค Digital Disruption ที่ธนาคารเปลี่ยนมาให้บริการผ่าน Online, Mobile Application ทำให้การใช้ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ลดลง? คุณศลีนา กล่าวว่า “ในอีก 5 ปีข้างหน้า เชื่อว่าธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ จะยังคงอยู่กับคนไทยอยู่กับโลก แต่เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของ Cash Management มีการพัฒนาสอดคล้องกับสังคมไร้เงินสดมากขึ้น (Cashless Society) แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่จำเป็นต้องใช้เงินสดอยู่ เช่น ผู้สูงอายุ เกษตรกร นักท่องเที่ยว เป็นต้น ฉะนั้นอะไรก็ตามที่จะเข้ามาทดแทนเงินสดได้แบบ 100% คงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เนื่องจากยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเป็นตัวแปรอยู่”

ทั้งนี้ คุณศลีนา ได้เผยถึงการทำตลาดของ ISC ซึ่งไม่ได้เจาะกลุ่มสถาบันการเงินเหมือนในอดีต แต่ขยายไปยังกลุ่ม Startup และ SME ที่เริ่มหันมาใช้เครื่องนับธนบัตร เครื่องนับเหรียญ ตู้เซฟเก็บเงินอัจฉริยะ (Cash Box) กันมากขึ้น เพื่อช่วยลดปัญหาความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) และป้องกันการทุจริต 

ส่วนยอดขายของบริษัทฯ เมื่อปี พ.ศ. 2566 ประมาณ 200 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายปีนี้คาดแตะ 500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% เนื่องจากบริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีในช่วง Q1 ที่ผ่านมา  

เมื่อถามถึงจุดเด่นที่ทำให้ ISC ครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน? คุณศลีนา กล่าวว่า “เราให้บริการหลังการขายอย่างรวดเร็ว และกล้ารับประกันสินค้าถ้าเครื่องมีปัญหาเราพร้อมบริการภายใน 24 ชั่วโมง (กทม.) และ 48 ชั่วโมง (ต่างจังหวัด) ซึ่งถ้าต้องหยุดใช้งานจริง ๆ ทางบริษัทฯ มีเครื่องใหม่ทดแทนให้ทันที ปัจจุบันเรามีทีมบริการหลังการขายกว่า 100 คนทั่วประเทศ” 

ส่วนหลักการบริหารองค์กร คุณศลีนา กล่าวว่า “เรามองพนักงานและลูกค้าเป็นคนสำคัญเสมอ เหมือนเป็นคนในครอบครัวของเรา ทุกวันนี้พนักงานในบริษัทฯ ตั้งแต่ระดับผู้จัดการถึงแม่บ้าน เรามีเงินส่วนแบ่งให้ด้วย (Commission) ในวันที่ดีเราแบ่งปันกันอย่างเท่าเทียม ในวันที่แย่เราก็ไม่เคยทิ้งกัน เพราะบุคลากรมีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนมากว่า 35 ปี www.isc.co.th”

‘ส.อ.ท.’ นำเสนอแนวทางแก้ปัญหา ‘กากแคดเมียม’ ย้ำ!! ต้องได้มาตรฐานเพื่อ ‘การผลิต-การบริโภค’ ที่ยั่งยืน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ออกหนังสือข้อเสนอ เพื่อแก้ไขปัญหา ‘กากแคดเมียม’ อย่างยั่งยืน และมีมาตรฐานที่ปลอดภัย โดยได้ระบุว่า ...

1.ผู้ก่อกำเนิดของเสีย (โรงงานถลุงแร่สังกะสีและแคดเมียม จังหวัดตาก) มีภาระความรับผิดตาม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมปี 2566 โดยได้มีการดำเนินงานดังนี้

ในกรณีนี้มีการขออนุญาตนำของเสียออกนอกโรงงานกับอุตสาหกรรมจังหวัดแล้ว มีการขนกากแคดเมียมจากโรงงานถลุงแร่สังกะสีและแคดเมียม จังหวัดตาก ซึ่งขุดขึ้นมาจากหลุมฝังกลบกากอันตราย (Hazardous waste) ของโรงงานต้นทางไปยังปลายทาง โรงงาน 106 ที่ได้รับอนุญาตหลอมหล่ออะลูมิเนียม ที่จังหวัดสมุทรสาคร (ผู้รับบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม (Waste Processor–WP) จำนวน 13,xxx ตัน

ซึ่งในกรณีที่ของเสียยังไม่ได้รับการบำบัดกำจัดแล้วเสร็จ ผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator–WG) จึงยังมีภาระความรับผิดตาม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมปี 2566

ตามรายงานอีไอเอของโรงงานถลุงสังกะสี จังหวัดตาก ได้ระบุว่าเป็นกากอุตสาหกรรมอันตรายให้ฝังกลบแบบถาวร

2.ผู้รับบำบัดจำกัด (โรงงานประเภท 106) และรับหลอมหล่ออะลูมิเนียม (โรงงานประเภท 60) จังหวัดสมุทรสาคร

2.1 กากของเสียต้องมีการจัดการตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรม และต้องทำ Mass Balance เพื่อป้องกันการสูญหายจากกระบวนการรีไซเคิล ซึ่งกรณีนี้แสดงให้เห็นว่า การจัดทำ Mass Balance ควรจะต้องมีระบบรายงานที่ทันเหตุการณ์มากกว่าระบบ offline ดังเช่นในปัจจุบัน

2.2 ในทางกฎหมาย ร้านค้าของเก่าไม่สามารถรับของเสียอันตรายจาก โรงงาน 106 ได้ ในกรณีนี้เกิดจากการขาดความรู้เกี่ยวกับของเสียอันตรายที่ถูกต้อง และการกำกับดูแลร้านค้าของเก่าที่ไม่ทั่วถึง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการสื่อสารและให้ความรู้ที่ถูกต้องมากขึ้น รวมถึงการกำกับดูแลที่ชัดเจนมากขึ้น

2.3 นักลงทุนต่างประเทศ นำกากของเสียฯ นี้ไปหลอมหรือส่งออกไปในช่องทางที่ไม่ถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเป็นโรงงาน กรณีนี้ จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายเรื่องนอกจากเรื่อง กากแคดเมียม ในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นปลายทางให้กับร้านค้าของเก่าในข้อ 2.2

2.4 ในมุมของ 'การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance: CG)' ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาคเอกชนและภาครัฐทุกระดับตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ต้องตระหนักและยึดหลัก Corporate Governance: CG ในการปฏิบัติงานที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เป็นธรรม เพื่อสามารถติดตามเส้นทางและป้องกันการสูญหายระหว่างทาง และสามารถควบคุมผลกระทบที่อาจจะมีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพได้มีประสิทธิภาพขึ้น

3.มาตรการของ ส.อ.ท. เพื่อป้องกันปัญหาระยะยาว

จากบทเรียนนี้ประเด็นสำคัญ คือ โรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม (Waste Generator–WG) มีภาระความรับผิดในระยะยาวตามกฎหมาย ดังนั้น จึงต้องเลือกผู้รับบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม (Waste Processor–WP) ที่น่าเชื่อถือและมีระบบการจัดการที่ได้มาตรฐาน

3.1 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ออกมาตรฐานและมอบตราสัญลักษณ์ Eco Factory for Waste Processor ซึ่งจะช่วยให้ผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรมสามารถแยกแยะผู้ประกอบการโรงงานรับบำบัดกำจัดและรีไซเคิลของเสียที่มีคุณภาพกับไม่มีคุณภาพออกจากกันได้ชัดเจนขึ้น

ปัจจุบันมีโรงงานรับบำบัดกำจัดและรีไซเคิลของเสียได้รับการรับรองมาตรฐาน Eco Factory for Waste Processor แล้วทั้งสิ้น 16 แห่ง และอยู่ระหว่างการเตรียมขอการรับรองอีก 16 แห่ง

ภายในปี 2568 โรงงาน 101, 105 และ 106 ที่เป็นสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (จำนวน 76 แห่ง) และโรงงาน 101, 105 และ 106 ในนิคมอุตสาหกรรม จะเข้าสู่ระบบนี้ทั้งหมด ซึ่งเกินกว่า 80% ของผู้ให้บริการบำบัดกำจัดและรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมในตลาดปัจจุบัน จะทำให้โรงงานผู้ก่อกำเนิดของเสียสามารถคัดเลือกโรงงานปลายทางที่เป็นผู้รับบำบัดกำจัดและรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพได้ง่ายขึ้น และช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้มาก

นอกจากนี้ ส.อ.ท. และ กนอ. ได้เชิญชวนบริษัทชั้นนำในประเทศไทย 4 องค์กร (SCGC, IRPC, PTTGC, TCMA) และสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้ ส.อ.ท. 11 กลุ่มอุตสาหกรรม ร่วมประกาศเจตนารมณ์การสนับสนุนเลือกใช้บริการ Waste Processer ที่ได้รับรองมาตรฐาน Eco Factory for Waste Processor เพื่อให้สอดคล้องนโยบายการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply Chain)

3.2 สนับสนุนการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ให้เป็นสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อรวมศูนย์การพัฒนา สื่อสาร ส่งเสริมและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ

เนื่องจากอุตสาหกรรมประเภท 101, 105 และ 106 มีความอ่อนไหวต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน จึงจำเป็นต้องมีศูนย์กลาง การพัฒนา สื่อสาร การส่งเสริมและการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ

ซึ่งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางในเรื่องนี้

ช่วยลดภาระการกำกับดูแลของภาครัฐลงได้อีกมาก ถ้าได้รับการส่งเสริมให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นศูนย์การจัดการในเรื่องสิ่งแวดล้อมคู่ขนานไปกับกฎหมายและมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ

3.3 ผลักดันการนำแนวคิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้เกิดการหมุนเวียนใช้ประโยชน์จากวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่มีศักยภาพมาพัฒนาเป็นวัสดุหมุนเวียน (Circular Materials) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามคุณสมบัติของการสิ้นสุดความเป็นของเสีย (End of Waste) คือ (1) เป็นวัสดุที่มีวัตถุประสงค์การใช้งานเฉพาะ (2) มีตลาดหรือความต้องการใช้ (3) เป็นไปตามกฎหมายหรือมาตรฐานที่มีคุณสมบัติทางเทคนิคตามข้อกำหนด และ (4) ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ อนามัยหรือสิ่งแวดล้อม โดยการต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อลดการนำกากของเสียไปฝังกลบ

'กบน.' ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ อุ้มราคาดีเซลต่อ แม้สถานะกองทุนติดลบหนักเกินแสนล้านแล้ว

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.67) สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งราคาน้ำมันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง และยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบกับราคาน้ำมันได้ โดยเฉพาะความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางกรณีอิหร่าน-อิสราเอลที่อาจปะทุขึ้นอีก ประกอบกับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาท/ลิตร กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 19 เมษายน 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล สกนช. เห็นว่า เพื่อไม่ให้มาตรการลดภาษีที่สิ้นสุดลงกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลมากนัก จึงจะเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาช่วยดูแลเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนมากจนเกินไปและไม่ให้ราคามีความผันผวนมากจนเกินไปด้วย โดย กบน. จะพิจารณาอัตราการอุดหนุนหรือลดการชดเชยให้เป็นไปตามช่วงเวลาและจังหวะที่เหมาะสม จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงสามารถรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้ผันผวนมากจนเกินไปได้

สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 14 เมษายน 2567 ติดลบ 103,620 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 56,407 ล้านบาท ส่วนบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 47,213 ล้านบาท

‘สุวรรณภูมิ’ ขยับขึ้นสู่อันดับ 58 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก ด้าน ‘ดอนเมือง’ ไม่น้อยหน้า!! ติด Top 10 โลว์คอสต์ดีที่สุด

(18 เม.ย. 67) ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าหมายการผลักดันท่าอากาศยานของไทยให้ติดอันดับ 1 ใน 50 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 1 ปี และติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกภายใน 5 ปี ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว สร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ นั้น

ในปี 2024 นี้ เว็บไซต์ Skytrax ซึ่งเป็นเว็บไซต์จัดอันดับการให้บริการของสนามบินได้ประกาศสนามบินที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Airport) ประจำปี 2024 ซึ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ติดอันดับที่ 58 ขยับขึ้นจากอันดับที่ 68 โดยขึ้นมา 10 อันดับจากปี 2023

ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ติดอันดับ 10 ของสนามบินสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Low-Cost Airline Terminals) ซึ่งผลการจัดอันดับดังกล่าวมาจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้เดินทางด้วยเครื่องบินทั่วโลก ภายใต้การสำรวจที่ชื่อว่า World’s Airport Survey จัดทำโดยบริษัท Skytrax ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาด้านการบินชั้นนำของประเทศอังกฤษที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์คุณภาพการให้บริการของสายการบินและสนามบินทั่วโลก โดยคำนึงถึงหมวดการให้บริการสนามบิน เช่น การเดินทาง สภาพแวดล้อมและการออกแบบ เจ้าหน้าที่สนามบิน สิ่งอำนวยความสะดวก และการให้บริการ เป็นต้น

ทั้งนี้ AOT มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและผลักดันให้บริการท่าอากาศยาน เพื่อให้ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ AOT เป็นท่าอากาศยานที่มีมาตรฐานสากล มีความสะดวกสบาย ผู้โดยสารได้รับการบริการที่รวดเร็ว และปลอดภัย โดยอาคารเทียบเครื่องบินหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) ทสภ.ได้รับการประเมิน 4 ดาว จากด้านสถาปัตยกรรม ความสะอาด บรรยากาศโดยรวม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดจนมีการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากสายการบินในการใช้เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Service: CUSS) เครื่องโหลดกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (Self-Boarding Gate: SBG) และระบบตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร (Passenger Validation System: PVS)

นอกจากนี้ ทสภ.ได้มีการปรับปรุงกระบวนการ ณ จุดตรวจค้น และเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ ณ จุดตรวจหนังสือเดินทาง ทำให้สามารถลดระยะเวลารอของผู้ใช้บริการลง โดยระยะเวลาการใช้บริการในกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 26 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 40 นาทีต่อคน) และกระบวนการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 37 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 55 นาทีต่อคน) ขณะที่กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 15 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 35 นาทีต่อคน) และกระบวนการผู้โดยสารขาออกภายในประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 25 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 40 นาทีต่อคน) สำหรับ ทดม. มีให้บริการด้วยการใช้เทคโนโลยีทำให้การเดินทางปลอดภัยและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ตั้งแต่ระบบ CUSS CUBD SBG และ PVS ทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องรอคิวนาน ตามคอนเซ็ป ‘Fast and Hassle Free Airport’

'คมนาคม' ขีดเส้น พ.ค.นี้ ลุยสร้างไฮสปีด  หาก 'ซีพี' พลาดบัตรส่งเสริม BOI

(18 เม.ย. 67) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย โดยระบุว่า ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) อยู่ระหว่างก่อสร้างรวม 12 สัญญา จากทั้งหมด 14 สัญญา และยังมั่นใจว่าจะแล้วเสร็จเปิดบริการในปี 2571

ส่วนอีก 2 สัญญาที่เหลือ ประกอบด้วย สัญญาที่ 4 - 1 ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง และสัญญาที่ 4 - 5 ช่วงบ้านโพ - พระแก้ว อยู่ระหว่างรอลงนามสัญญา โดยเฉพาะสัญญาที่ 4 - 1 ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับเอกชนคู่สัญญาในโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) เพื่อรับงานก่อสร้างส่วนของพื้นที่ทับซ้อนบริเวณนี้ ซึ่งทราบว่า ร.ฟ.ท.ยังอยู่ระหว่างเจรจารายละเอียด

“ทราบว่าตอนนี้การรถไฟฯ กำลังเจรจากับเอกชนคู่สัญญาไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน และโครงการนี้ก็อยู่ในการดูแลของอีอีซี ซึ่งกำลังเจรจาเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน โดยเงื่อนไขในนั้นจะมีการก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อนช่วงบางซื่อ - ดอนเมืองด้วย และขณะนี้ทางเอกชนก็อยู่ระหว่างขอบัตรส่งเสริม BOI ครั้งสุดท้าย ซึ่งต้องได้รับภายในเดือน พ.ค.นี้ หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็น่าจะกระทบต่อสัญญาไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินด้วย”

อย่างไรก็ดี นโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีกรอบดำเนินงานว่าหากเอกชนคู่สัญญาไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินไม่สามารถออกบัตรส่งเสริมการลงทุน BOI ได้ภายในเดือน พ.ค.นี้ แน่นอนว่าจะทำให้การแก้ไขสัญญาโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบินล่าช้าออกไปอีก ในส่วนของรถไฟไทยจีนที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องอยู่ในเงื่อนไขงานก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อน ก็จำเป็นต้องตัดสินใจดำเนินการเพื่อไม่ให้โครงการรถไฟไทยจีนต้องล่าช้าออกไปด้วย

ทั้งนี้ กระทรวงฯ มีเป้าหมายว่าหากภายในเดือน พ.ค.นี้ เอกชนยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อนช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง ก็จะมอบหมายให้ ร.ฟ.ท.เริ่มดำเนินการเปิดประกวดราคาจัดหาผู้รับเหมาเข้ามาดำเนินการตามแผนงานของรถไฟไทยจีน โดยงานส่วนนี้ประเมินวงเงินก่อสร้างราว 9 พันล้านบาท และก่อนหน้านี้ ร.ฟ.ท.มีกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติในก่อสร้างสร้างงานอยู่แล้วราว 4 พันล้านบาท ดังนั้นจะเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมอีกราว 5 พันล้านบาท เพื่อเริ่มดำเนินการทันที ไม่ให้กระทบต่อภาพรวมโครงการรถไฟไทยจีน

นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า รถไฟไทยจีนตอนนี้เดินหน้างานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นอีก 2 สัญญาที่เหลืออยู่ควรต้องมีทางออกโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อแผนเปิดให้บริการในปี 2571 โดยจากการประเมินภาพรวมในตอนนี้ยังเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามแผน ในเดือน พ.ค.นี้ จะเป็นกรอบเวลาสุดท้ายของการรอความชัดเจนงานก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อน ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง เพราะรัฐบาลก็มีเงินในการลงทุนก่อสร้างเองให้เป็นไปตามแผนงานอยู่แล้ว อีกทั้งโครงการนี้ก็มีความพร้อมทั้งแบบก่อสร้างสามารถเริ่มงานได้ทันที

‘รัดเกล้า’ โชว์ผลสำเร็จจัดงาน ‘เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์’ 5 วัน ปลื้ม!! สร้างงานสร้างรายได้ให้ชุมชน แถมโกยภาษีเข้ารัฐ 742 ลบ.

(18 เม.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าภาพรวมการจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์ 2567 ที่ถนนราชดำเนินกลางและพื้นที่ท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร ระหว่าง 11-15 เมษายน 2567 พบว่า รัฐบาลสามารถมีรายได้จากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 742 ล้านบาท เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทั้งไทย และต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวงานเป็นจำนวนมาก จนทำให้มีกระแสเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 2,886.82 ล้านบาท พร้อมพบว่า มีการสร้างรายได้ต่อชุมชน (พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย) รอบนอกบริเวณงานกว่า 500 ร้าน มีการจ้างงานและเพิ่มรายได้กับอาชีพรับจ้าง กว่า 2,000 คน

ทั้งนี้ ททท.ระบุว่า 8-14 เมษายน 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพื่อร่วมเทศกาลสงกรานต์ ที่มีการจัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรม และบันเทิงในหลายพื้นที่ สำหรับในสัปดาห์ถัดไป (15-21 เมษายน 2567) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การสิ้นสุดเทศกาลถือศีลอด ที่กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียออกเดินทาง การลงนามยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีน และกระตุ้นให้สายการบิน เพิ่มจำนวนเที่ยวบินรวมทั้งการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (วีซ่าฟรี) ให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน

“นับจากนี้รัฐบาล นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว. คลัง พร้อมที่จะดูแลนักท่องเที่ยว ให้มีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ทั้งคนไทยและต่างชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และประทับใจในการท่องเที่ยวเมืองไทย พร้อมกับดูแลโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อรองรับการท่องเที่ยว ตามที่ประกาศไว้ ใน IGNITE THAILAND” รองโฆษกฯ​ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top