Friday, 30 May 2025
ECONBIZ

นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ตอบโจทย์เกษตรกรรมอัจฉริยะ

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน "Green Tech" หรือ "เทคโนโลยีสีเขียว" เป็นแนวคิดที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานสะอาด การลดมลพิษ หรือการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งเสริมเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาว

โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน การลดของเสีย และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร แนวคิดนี้ครอบคลุมไปถึงหลากหลายสาขา เช่น พลังงานหมุนเวียน ระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีการรีไซเคิล และเกษตรกรรมอัจฉริยะ เป็นต้น ซึ่งแนวปฏิบัติเหล่านี้สามารถบริหารจัดการได้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ผ่านมา ทางกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) ได้ให้การสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในการส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว (Green Tech) เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมการใช้ พลังงานสะอาด เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน, ส่งเสริมพลังงานทดแทน ด้วย เทคโนโลยีแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวลสามารถใช้แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ ลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งที่ไม่ยั่งยืน รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2566 ทางกองทุนดีอี ได้มุ่งเน้นส่งเสริมเทคโนโลยี Green Tech อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมเกษตรกรรมอัจฉริยะ (Smart Farming) ทั้งการใช้เทคโนโลยี IoT และ AI เพื่อลดการใช้สารเคมีและเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืน โดยได้ให้ทุนสนับสนุนกับ กรมประมง เพื่อดำเนินโครงการ “ระบบดิจิทัลต้นแบบการตรวจ วินิจฉัยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรค ของสัตว์น้ำระยะไกล (Telemedicine for Aquaculture Animal Health)” ด้วยการนำเทคโนโลยี AI Visual Inspection มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคของสัตว์น้ำโดยการใช้ภาพถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหว (VDO) จากโทรศัพท์มือถือหรือ Tablet ในการจับภาพสัตว์น้ำที่มีความผิดปกติและส่งภาพถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหว (VDO) นั้น ๆ ผ่าน Web Application ของระบบ" ไปยังกรมประมงที่มีระบบ AI ที่ผ่านกระบวนการนำข้อมูล Training set สอนให้กับคอมพิวเตอร์แล้วได้ Model (AI Model) เอาไว้อย่างแม่นยำเพื่อให้สามารถตรวจสอบคัดกรองโรคของสัตว์น้ำเบื้องต้น ซึ่งกระบวนการทั้งหมดสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากรในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน ยังทำให้สามารถวิเคราะห์และคัดกรองได้ทันทีว่าภาพของสัตว์น้ำแต่ละภาพที่ส่งมานั้นเข้าข่ายการวินิจฉัยเบื้องต้น ว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคใด ประกอบกับมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลประกอบต่าง ๆ เช่น 1)
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 2) ประวัติข้อมูลการเลี้ยง 3) ผลการตรวจร่างกาย 4) ผลการตรวจสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาช่วยให้สัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถวิเคราะห์และคัดกรองโรคเหล่านั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าโรคของสัตว์นั้นจะเกิดจากปัจจัยแวดล้อมแบบใดและปัญหาอยู่ที่ส่วนใด และเมื่อได้รับข้อมูลที่วิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มจะเป็นโรคประเภทใดแล้วเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงก็จะสามารถทราบได้ถึงการวินิจฉัยเบื้องต้นของสัตว์น้ำชนิดนั้น ๆ พร้อมกับคำแนะนำเบื้องต้นของการเริ่มต้นรักษาและแก้ไข ดังนั้น เกษตรกรสามารถพิจารณาจากคำแนะนำเบื้องต้นและทำการตัดสินใจดำเนินการต่าง ๆ ได้ในภายหลัง

อย่างไรก็ดี โครงการนี้เป็นเพียงหนึ่งแนวทางในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ช่วยลดการสูญเสียสัตว์น้ำ พร้อมทั้งเพิ่มผลผลิต และยังได้ช่วยในมิติด้านแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคตได้อีกด้วย

ILINK โชว์ศักยภาพทางธุรกิจไตรมาสแรกปี 68 เปิดรายได้รวม 1,775 ลบ. กำไรสุทธิ 111 ลบ.

ILINK โชว์ศักยภาพชัด ไตรมาสแรกปี 68 รับรายได้รวม 1,775.40 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 111.13 ล้านบาท เดินหน้าสู่เป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง วางเป้ารายได้ทั้งปี 7.12 พันล้านบาท

ILINK เปิดงบผลประกอบการรวมในไตรมาสแรกปี 68 มีรายได้ 1,775.40 ล้านบาท ด้วยกำไรสุทธิรวม 111.13 ล้านบาท มั่นใจรายได้โตต่อเนื่องแบบมีคุณภาพ เน้นย้ำภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ 7.12 พันล้านบาท เนื่องจากได้แรงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของตลาด ผ่านการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่มาช่วยเสริมศักยภาพ ซึ่งยังคงรักษาความแข็งแกร่ง และเติบโตได้อย่างมั่นคง ทั้งด้านรายได้ และกำไรสุทธิแน่นอน แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกรับปี 2568 ด้วยยอดรายได้รวมทั้ง 3 ธุรกิจ อยู่ที่ 1,775.40 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 111.13 ล้านบาท ถึงแม้รายได้รวมในไตรมาสแรกนี้ลดลง แต่บริษัทฯ ยังคงยืนยันถึงเป้าหมายรายได้ตลอดทั้งปี 2568 ไว้ที่ 7,120 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ภายใต้กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรด้วย เทคโนโลยี นวัตกรรม และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ทั้งในด้านดิจิทัล เครือข่ายคมนาคม และระบบสื่อสาร ซึ่งล้วนเป็นกลไกหลักในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ ILINK และยังเป็นการสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการของกลุ่มบริษัทฯ ความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาด และความท้าทายทางเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งเน้นการขยายตัวเชิงคุณภาพ ไม่เพียงแต่สร้างผลกำไรในอนาคตให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืนเพียงเท่านั้น 

นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของ 3 ธุรกิจหลักในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) และธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center) ในไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทฯ ทำรายได้รวมในปี 2568 นี้เป็นไปตามที่คาดการณ์ และมีกำไรสุทธิที่หักค่าใช้จ่ายแล้วเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรลดลง 55.99% แต่ยังคงรักษามาตรฐานอัตราการเติบโต มั่นใจพร้อมเดินหน้ารุกสร้างโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตต่อไป เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม อีกทั้งยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นในฐานะเป็นผู้นำธุรกิจเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานของไทย พร้อมยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ตามการวางกลยุทธ์แบบมีคุณภาพ ‘Quality Growth’ เพื่อก้าวสู่อนาคตที่มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว”

สำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) เป็นธุรกิจหลักที่เติบโตเคียงคู่บริษัทฯ ร่วมกว่า 38 ปี มีผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 สร้างรายได้รวมไว้ที่ 832.80 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อย 3.81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรรวม 84.73 ล้านบาท หรือ ลดลง 6.58% แต่ยังคงมีการวางเป้ากลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจ และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปีนี้ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาธุรกิจสายสัญญาณอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะการเป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายสายสัญญาณภายใต้แบรนด์ LINK ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และถูกนำไปใช้งานในระบบโครงข่ายของทั้งภาครัฐ และเอกชนทั่วประเทศ รวมถึงโครงการขนาดใหญ่หลายแห่งที่การันตีคุณภาพ จากผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่แห่งปี 2568 ภายใต้แนวคิด 'New Innovation Products Launch 2024 – Expanding the Products Line 2025' เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักสินค้าในวงกว้างมากขึ้น ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด และการเติบโต สู่การทำรายได้ในไตรมาสต่อไปที่เพิ่มขึ้น และกอบโกยกำไรต่อในระยะยาวได้อย่างเพิ่มพูน

ขณะที่กลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) อยู่ในเครือที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านงานวิศวกรรมโครงการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นรับงานโครงการภาครัฐที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง และการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์ของภาครัฐในปี 2568 จะส่งผลให้การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่บางส่วนล่าช้า กลุ่มธุรกิจนี้ยังสามารถสร้างรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2568 ได้ที่ 136.57 ล้านบาท ขาดทุน 4.22 ล้านบาท ถึงแม้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  

แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการรักษาฐานรายได้ ที่ได้มีโครงการส่งมอบงานไปแล้ว 2 โครงการ (งานจ้างก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี ไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี (Submarine Cable) และงานก่อสร้างปรับปรุงสถานีไฟฟ้านนทรี จังหวัดปราจีนบุรี (Substation)) จากการดำเนินงานภายใต้โครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และจากผลงานตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ตัวเลขในไตรมาสแรกจะสะท้อนผลกระทบจากจังหวะการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ แต่กลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการนี้ ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพ ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และประสบการณ์ในโครงการระดับประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวอย่างมีคุณภาพ

ส่วนกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ที่มีความเสถียรภาพสูงสุดทั่วประเทศไทย หรือ ITEL เปิดงบรายได้ในไตรมาส 1/68 มีรายได้รวม 806 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 30.62 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 62.61 เมื่อเทียบกับกำไรที่ไม่รวมกำไรจากการซื้อธุรกิจในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้บางส่วนถูกเลื่อนไปในไตรมาสถัดไป จากปัจจัยด้านระยะเวลาในการอนุมัติโครงการบางส่วนที่ล่าช้ากว่ากำหนด

แม้ว่าทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกจะไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่บริษัทฯ ได้ดำเนินการติดตามอย่างใกล้ชิด และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสถัดไปจะมีทิศทางที่ดีขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อล่าสุด บริษัทฯ ได้ประกาศความร่วมมือกับ สทป. จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ‘NDC’ เพื่อให้บริการที่ครอบคลุมทั้งด้านระบบความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) โซลูชันดิจิทัล (Digital Solutions) และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัย ความร่วมมือดังกล่าวนับเป็นการผสานจุดแข็งที่ลงตัว ระหว่างความเชี่ยวชาญด้านโครงข่ายโทรคมนาคมของ ITEL กับองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศของ สทป. ซึ่งไม่เพียงสะท้อนวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศอีกด้วย

Digital for All – เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อโอกาสที่เท่าเทียม ยกระดับบริการภาครัฐสะดวกรวดเร็วลดเหลื่อมล้ำเข้าถึงได้ทุกที่

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติของชีวิต เทคโนโลยีไม่เพียงแต่ช่วยให้การสื่อสารรวดเร็วขึ้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมในสังคม แนวคิด 'Digital for All' หรือ 'เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อโอกาสที่เท่าเทียม' จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของภาครัฐและเอกชนทั่วโลก เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเสมอภาค ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สุขภาพ หรือภาคสังคม

โดยส่งเสริมให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างทางดิจิทัล (Digital Divide) และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือหลัก

ขณะที่กลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมด้านดิจิทัลในประเทศไทย คือ 'กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม' (กองทุนดีอี) ที่ขับเคลื่อนผ่านการให้ทุนพัฒนาโครงการต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อสังคมและประชาชน อาทิ การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา - เทคโนโลยีช่วยให้การศึกษาออนไลน์สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ ทำให้เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกับเด็กในเมือง, ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล - การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถทำธุรกิจผ่านช่องทางดิจิทัล เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และแข่งขันในตลาด, พัฒนาการให้บริการทางสาธารณสุข - ระบบสาธารณสุขดิจิทัลช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ผ่าน Telemedicine ลดภาระของโรงพยาบาลและช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างทักษะดิจิทัล – การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลช่วยให้แรงงานมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอนาคต

ทั้งนี้ หนึ่งในโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนดีอี ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่เป็นตัวอย่างของการตอบโจทย์การให้บริการประชาชนให้ได้รับความสะดวกรวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ นั่นก็คือ “โครงการพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อบริการประชาชนสำหรับบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Green Intelligence Digital Services)” ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานปลัดกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

โดยโครงการดังกล่าว เป็นการพัฒนาระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล (Smart E-Service) ให้บริการกับประชาชนเรื่องบริหารงานใบอนุญาตประสานการขออนุญาตรับเรื่องร้องเรียนชำระค่าธรรมเนียมส่งเสริมเผยแพร่รวมถึงสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับผู้นำชมชุมชนให้มีความทันสมัยมีประสิทธิภาพเหมาะสมกับนโยบายและภารกิจในปัจจุบันและอนาคต

โดยทำการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของระบบงานต่างๆ ตั้งแต่กระบวนการลงทะเบียนและพิสูจน์ตัวตนทางดิจิทัล (Enrolment and Identity Proofing) การยืนยันตัวตน (Authentication) การเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ (Government Data Exchange) เอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document) การลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) การประทับรับรองเวลาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Timestamping) ผ่านการให้บริการประชาชนด้วยดิจิทัลแบบ One-Stop Service เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการบริการยิ่งดีขึ้น        

และแน่นอนว่า โครงการนี้เมื่อพัฒนาเสร็จสมบูรณ์จะช่วยให้การบริการประชาชนมีความสะดวกรวดเร็ว พร้อมทั้งสามารถเพิ่มโอกาสในการใช้บริการด้านดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม 

กองทุนดีอีพร้อมเดินหน้าภารกิจสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศไทยในอนาคต

‘ม.วลัยลักษณ์’ ใช้ AI พัฒนาสู่การวินิจฉัยโรคตาเข หวังช่วยเด็กแรกเกิดลดความเสี่ยงพิการทางสายตา

อย่างที่ทราบกันดีว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทอย่างมาในทุกอุตสาหกรรม และในชีวิตคนเราในทุกวันนี้ล้วนมี AI เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ขณะที่หลาย ๆ อุตสาหกรรมได้นำ AI มาใช้งานอย่างจริงจัง รวมถึงในด้านสุขภาพและระบบสาธารณสุขโดยทางรัฐบาลไทย มีนโยบายขับเคลื่อนสู่ 'ระบบสุขภาพดิจิทัล' ยกระดับคุณภาพการบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ในการคัดกรองและวินิจฉัยโรคเบื้องต้น และ AI คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้เกิดเป็นรูปธรรม และหลายฝ่ายมองว่า AI จะเข้ามาเปลี่ยนและยกระดับวงการแพทย์ – ระบบวินิจฉัยโรคอัจฉริยะและผลกระทบต่อสาธารณสุขไทยในอนาคตอันใกล้ 

สอดคล้องกับแนวนโยบายของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) ที่มุ่ง เพื่อพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการพัฒนาเครื่องมืออัตโนมัติเพื่อวินิจฉัยโรคตาเข โดยใช้เทคนิคปัญญาประดิษฐ์ กับสำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อพัฒนาโครงการดังกล่าว

สำหรับงานวิจัยการตรวจจับโรคตาเขด้วยปัญญาประดิษฐ์มีศักยภาพพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ ในรูปแบบ Telemedicine เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการวินิจฉัยในพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดเทคโนโลยี AI เพื่อใช้ตรวจโรคตาอื่น ๆ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน และจอประสาทตาเสื่อม ช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดเวลารอคอย เนื่องจากในการคัดกรองในปัจจุบันต้องใช้จักษุแพทย์และเจ้าหน้าที่จำนวนมากในการเก็บข้อมูลเพื่อทำการวินิจฉัย

โครงการนี้เป็นการต่อยอดจากผลงานวิจัยก่อนหน้าที่นำเทคนิคปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการตรวจจับและประมวลผล ของรองศาสตราจารย์ ดร.วัฒนพงศ์ เกิดทองมี เริ่มต้นการวิจัยจากการใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลภาพถ่ายหน้าตัดของท่อนซุงไม้ยางพาราอ เพื่อตรวจจับและบ่งบอกตำแหน่งของแกนไม้ โดยในช่วงแรกได้เน้นการพัฒนาและปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัยการประมวลผลรูปทรงของท่อนซุงไม้ยางพารา ต่อมาได้เปลี่ยนแนวทางการวิจัยมาใช้โครงข่ายประสาทเทียมแบบลึก (Deep Neural Networks) ทำให้สามารถตรวจจับแกนไม้ได้ด้วยความแม่นยำสูงขึ้นและมีความผิดพลาดน้อยลง ผลงานวิจัยในช่วงนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติและได้รับการนำเสนอในที่ประชุมวิชาการระดับนานาชาติหลายแห่ง

หลังจากนั้น ทางรองศาสตราจารย์ ดร.วัฒนพงศ์ จึงได้นำมาต่อยอดการวิจัย เพื่อใช้ในการประมวลผลภาพตรวจจับตำแหน่งของดวงตาและรูม่านตา ซึ่งเป็นพื้นฐานในการประยุกต์ใช้ในโครงการวิจัยต่าง ๆ เช่น การตรวจจับโรคตาเขและการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นและการติดตามสายตา

โดยรูปแบบการทำงานจะทำการระบุตำแหน่งดวงตาและรูม่านตาเพื่อสร้างเครื่องมืออัตโนมัติให้จักษุแพทย์วินิจฉัยโรคตาเขได้เร็วขึ้น ลดภาระงานลดค่าใช้จ่ายและที่สำคัญระบบนี้ออกแบบให้ใช้งานง่ายเป็นมิตรกับเด็กเพิ่มโอกาสในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยเด็กได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในด้านเครื่องมือแพทย์อีกด้วย

โครงการนี้มีเป้าหมายพัฒนาเป็น โมเดลธุรกิจแบบไม่หวังผลกำไร (Social Enterprise) โดยจะมีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาให้การสนับสนุน อาทิ กรมการแพทย์ เพื่อยกระดับสู่ Telemedicine เต็มรูปแบบ สำหรับให้บริการประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กแรกเกิดซึ่งในแต่ละปีมีจำนวนประมาณ 200,000 คน หากสามารถคัดกรองเบื้องต้นได้แม้เพียง 4% หรือ 8,000 คน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความพิการทางสายตาได้ในอนาคต

‘กรมธุรกิจพลังงาน’ เผยยอดใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 3 เดือนแรก พบกลุ่มเบนซินส่งสัญญาณชะลอตัวคนหันใช้ระบบราง – EV

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เดือนมกราคม - มีนาคม 2568 อยู่ที่ 158.67 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1 เนื่องจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริการ และการใช้ LPG เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 การใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ขณะที่กลุ่มเบนซินลดลงร้อยละ 0.4 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการลดลงร้อยละ 1.5 และ NGV ลดลงร้อยละ 15.1 

รายละเอียดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดในเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีดังนี้

การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 31.57 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 0.4 ประกอบด้วยการใช้แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงมาอยู่ที่ 6.71 ล้านลิตร/วัน แก๊สโซฮอล์ อี20 ลดลงมาอยู่ที่ 5.11 ล้านลิตร/วัน เบนซิน ลดลงมาอยู่ที่ 0.38 ล้านลิตร/วัน และแก๊สโซฮอล์ อี85 ลดลงมาอยู่ที่ 0.06 ล้านลิตร/วัน ขณะที่น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด เพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 18.96 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากราคาแก๊สโซฮอล์ 95 สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 0.37 บาท/ลิตร (ราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม - มีนาคม 2568) แต่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนราคาแก๊สโซฮอล์ 95 สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 1.68 บาท/ลิตร จึงทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้แก๊สโซฮอล์ 95 มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเริ่มเห็นสัญญาณของการชะลอตัวลงโดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (BEV HEV และ PHEV) มีสัดส่วนร้อยละ 5.97 ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน1 รวมถึงการใช้งานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีการขยายตัวของผู้โดยสารอย่างต่อเนื่องคิดเป็นร้อยละ 5.92 2 เทียบกับปีก่อน

การใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการ เฉลี่ยอยู่ที่ 68.43 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 1.5 ประกอบด้วยดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ลดลงมาอยู่ที่ 68.39 ล้านลิตร/วัน สอดคล้องกับข้อมูลภาคการผลิตอุตสาหกรรมในบางกลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง และการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มประมาณร้อยละ 2.0 และในกรณีที่สงครามการค้ารุนแรงมากและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อยู่ในอัตราที่สูง อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวประมาณร้อยละ 1.3 รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 จากเดิมที่ร้อยละ 2.5 - 3.0 สำหรับดีเซลหมุนเร็ว บี20 ลดลงมาอยู่ที่ 0.05 ล้านลิตร/วัน ขณะที่ดีเซลพื้นฐาน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.12 ล้านลิตร/วัน ทั้งนี้ ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลอยู่ที่ 70.55 ล้านลิตร/วัน  

การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 19.22 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1 ยังคงขยายตัวได้ดีจากภาคท่องเที่ยวและการบริการ ผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยสะสมถึงเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 9.55 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจำนวนผู้เยี่ยมเยือนคนไทยขยายตัว ร้อยละ 2.12 รวมไปถึงการขยายตัวของบริการขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ปริมาณการใช้ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน

การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.14 ล้านกก./วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ประกอบด้วยการใช้ในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.02 ล้านกก./วัน และภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.13 ล้านกก./วัน ขณะที่ภาคปิโตรเคมีลดลงมาอยู่ที่ 6.67 ล้านกก./วัน และภาคขนส่งลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.31 ล้านกก./วัน     

การใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 2.52 ล้านกก./วัน ลดลงร้อยละ 15.1 โดยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับจำนวนรถจดทะเบียน NGV สะสมที่ลดลง และจำนวนสถานีบริการ NGV ที่มีแนวโน้มปิดตัวลง อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังคงช่วยเหลือผ่านโครงการบัตรสิทธิประโยชน์กลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ให้กับกลุ่มรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะที่ถือบัตรสิทธิประโยชน์ 

ขณะที่ราคาขายปลีก NGV สำหรับรถทั่วไปปรับเพิ่มขึ้น 0.10 บาท/กก. อยู่ที่ 18.80 บาท/กก. เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง 

การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 1,064,710 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 0.1 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ารวม 85,890 ล้านบาท/เดือน โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 1,041,149 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบ อยู่ที่ 84,424 ล้านบาท/เดือน สำหรับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันอากาศยาน และ LPG) อยู่ที่ 23,561 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 63.6 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 1,466 ล้านบาท/เดือน

การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เฉลี่ยอยู่ที่ 150,794 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 3.7 เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซินน้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 13,204 ล้านบาท/เดือน

'อลงกรณ์-ประชาธิปัตย์' วิเคราะห์งบประมาณ 2569 ชี้งบประจำลดลงส่งสัญญาณบวกแต่กังวลงบลงทุนหดมากกว่า ห่วงผลกระทบ 'ทรัมป์2.0' ทำรายได้ประเทศลด แนะทำแผนงบสมดุลควรเริ่มระบบงบประมาณฐานศูนย์ปี 2570

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และอดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีของสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กวันนี้เรื่อง “วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“

โดยชี้ว่าเป็นงบประมาณที่มีเปอร์เซ็นของงบประจำลดลงเล็กน้อย1%ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นแนวโน้มที่ดีแต่งบลงทุนลดลงมากกว่าคือ 7.3 %ในขณะที่งบชำระคืนเงินกู้เพิ่มขึ้น0.7%เป็นการชำระดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นและยังไม่ปรากฏว่าแนวทางว่าจะเริ่มจัดทำงบประมาณสมดุลอย่างไรเมื่อใดซึ่งต้องรอฟังคำแถลงนโยบายงบประมาณของนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง

โดยนายอลงกรณ์เขียนบทความ“วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“ ดังนี้

“บทวิเคราะห์นี้จะกล่าวถึงโครงสร้างของงบประมาณปี2569ในด้านงบประจำงบลงทุนงบชำระหนี้เงินกู้กับการเตรียมงบประมาณรับมือนโยบาย 'ทรัมป์ 2.0' และปัจจัยเสี่ยงโดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณา

ทั้งนี้ไทม์ไลน์ของกระบวนการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มีกำหนดที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี 20 พ.ค  2568 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการของสภาผู้แทนราษฎรวาระที่ 1 วันที่ 28–30 พ.ค. 2568 และวาระที่ 2-3 วันที่ 13–15 ส.ค. 68 (เป็นกำหนดการเท่าที่ยืนยันขณะนี้)

ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 มีดังนี้
1. โครงสร้างและวงเงินงบประมาณวงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 27,900 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
1.1 รายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท (ลดลง 1%)  
1.2 รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท (ลดลง 7.3%)  
1.3 รายจ่ายชำระคืนเงินกู้ 151,200 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.7%)   
1.4 งบขาดดุล 860,000 ล้านบาท

ภายใต้โครงสร้างงบประมาณเช่นนี้มีข้อสังเกตที่ควรไตร่ตรอง
1. การลดรายจ่ายลงทุนอาจกระทบโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต   
2. การเพิ่มวงเงินชำระหนี้สะท้อนภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นซึ่งต้องจับตาการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบความมั่นคงทางการคลังระยะยาว  
3. การเตรียมงบประมาณรับมือวิกฤต เศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบาย “ทรัมป์ 2.0”

จากกรณีสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% ส่งผลให้ภาคส่งออกและอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบหนัก โดยคาดว่า GDP จะปรับลดเหลือ 2.1% หรือต่ำกว่า 2.0%ทั้งนี้ขึ้นกับผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯในเร็ว ๆ นี้

ซึ่งเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะใช้กลไกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณปี2569ของสภาฯ ปรับโอนงบประมาณจากรายการไม่จำเป็นเข้างบกลาง 25,000 ล้านบาท (ตามที่ปรากฏเป็นข่าว) เพื่อรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจ 
อย่างไรก็ตามการไม่ปรับแก้ในชั้น ครม. อาจทำให้ขาดรายละเอียดแผนรองรับที่ชัดเจน เช่น การจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐ   
และอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่างบกลางที่เพิ่มขึ้น25,000 ล้านบาทจะเป็นการ 'ตีเช็คเปล่า' ไม่มีแผนและรายละเอียดในการตรวจสอบโดยรัฐสภาระหว่างการพิจารณางบประมาณซึ่งรัฐบาลและสำนักงบประมาณควรสร้างความชัดเจนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 เป็นงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเป็นงบประมาณในภาวะผันผวนซึ่งมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะได้แก่  
1. งบกลาง
การจัดสรรงบกลางเพื่อรับมือวิกฤตยังคลุมเครือสามารถแก้ไขได้โดยเพิ่มความโปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณแบบ Real-time ผ่านแพลตฟอร์ม Open Data 
2. งบประจำ
รายจ่ายงบประจำลดลงแม้เพียง1%ก็ถือเป็นสัญญาณบวกควรดำเนินการต่อในปีงบประมาณถัดไปอย่างต่อเนื่อง
3. งบลงทุน
การลดลงของงบลงทุนอาจกระทบการเติบโตระยะยาว  
4. งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าควรชะลอไว้ก่อน
ได้แก่โครงการลงทุนที่ไม่เร่งด่วน
เช่น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ยังไม่จำเป็นต้องดำเนินการทันทีหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจเพื่อรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน   
และโครงการที่ยังไม่มีแผนรองรับการใช้งานอย่างชัดเจน หรือโครงการที่ใช้งบประมาณสูงแต่มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำ  
5. หนี้สาธารณะ 

หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ปี 2564 มีสัดส่วน62.44% ของ GDP และปี 2569 จะเพิ่มใกล้แตะเพดาน 70 % ของ GDP   ทั้งนี้หนี้สาธารณะรวมเมื่อถึงปี 2569 คาดว่าจะสูงถึง 13.6 ล้านล้านบาท  เป็นภาระหนักของประเทศเสมือนโคลนติดล้อ
6. ความเสี่ยงของประเทศ
ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอาการเปลี่ยนแปลง และภูมิเศรษฐศาสตร์ เช่นสงครามการค้า ความผันผวนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนผันแปรเร็วและแรงมากขึ้นอาจทำให้รายได้ประเทศจากภาษีและการพาณิชย์ลดลงและกดดันให้ต้องกู้หนี้สาธารณะเพิ่มจึงควรเตรียมงบประมาณให้พร้อมสำหรับการรับมือและปรับตัว
7. ความยั่งยืนของงบประมาณและการคลัง 
7.1 ควรมีแนวทางการจัดทำงบประมาณแบบสมดุลในคำแถลงนโยบายงบประมาณต่อสภาฯ.
7.2 ตัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและไม่คุ้มค่า
7.3 ปรับลดงบประจำและเพิ่มงบลงทุน
7.4 ควรเริ่มเตรียมแผนการการปฏิรูประบบงบประมาณแบบใหม่โดยจัดทำงบประมาณฐานศูนย์(Zero based budgeting)ถ้ามีความพร้อมควรเริ่มในปีงบประมาณ 2570

หากรัฐบาลสามารถบริหารงบประมาณในภาวะผันผวนด้วยความโปร่งใส ใช้เทคโนโลยีและเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าภาษีของประชาชนมากขึ้น.”

ผู้เขียน :
นายอลงกรณ์ พลบุตร
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีต สส.6 สมัย
อดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ

‘โอ๋-ฐิติภัสร์’ เผยไทยกำลังสูญเสียจากนิคมศูนย์เหรียญ ชี้ สินค้าไม่ได้มาตรฐานทำเสียชื่อ Made in Thailand

น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า นิคมศูนย์เหรียญ ที่ทำเราสูญเสีย‼️

ต้องการเอาตัวรอดจากกำแพงภาษี ถือโอกาสมาเช่าโกดังพร้อมใบอนุญาตโรงงาน 

เครื่องจักรและวัสดุนำเข้ามาจากต่างประเทศ 100 % ใช้แรงงานไทยและต่างด้าวประกอบวัสดุขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทั้งปลั๊กพ่วง ปลั๊กราง สายรัดของ แม่แรงยกรถ ส่งออกไปขายอเมริกา ติดโลโก้ Made in Thailand แต่ไม่มีใบอนุญาตโรงงานบ้าง ไม่แจ้งประกอบกิจการบ้าง ใบอนุญาตโรงงานให้ทำสินค้าอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่าง และที่สำคัญผลิตภัณฑ์บางตัวต้องแจ้งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ก่อนผลิตแต่ไม่แจ้งลักไก่ผลิตเตรียมส่งออกเลย

หากผลิตของไม่ดี ไม่มีมาตรฐานก็ทำเสียชื่อ Made in Thailand และผู้ประกอบดีรายอื่นก็จะได้รับผลกระทบด้วย 

ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของ รมว. เอกนัฏ ที่สั่งให้เร่งปราบและจัดการดำเนินคดีหากใครฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะไม่เพียงสร้างผลกระทบกับอุตสาหกรรมภาพรวมแล้ว ยังทำให้สินค้าไทยต้องสูญเสียความเชื่อมั่นจากต่างประเทศด้วย

ขอบคุณท่าน สส.ท็อป ชุติพงศ์ ผู้แทนของชาวระยอง แจ้งเบาะแสพบกลุ่มโรงงานต้องสงสัยลักลอบประกอบกิจการที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ในครั้งนี้ด้วยค่ะ

รัฐผุดมาตรการอุ้มภาคธุรกิจส่งออกตลาดสหรัฐฯ สั่งแบงก์รัฐลดดอกเบี้ย-อัดงบช่วยเหลือผู้ประกอบการ

รัฐผุดมาตรการอุ้มภาคธุรกิจ สั่งแบงก์รัฐลดกำไร-ใส่งบช่วยเหลือผู้ประกอบการ-ลดดอกเบี้ย ตั้งเป้าช่วยธุรกิจส่งออกตลาดสหรัฐ ซัพพลายเชน ผู้ผลิตแข่งขันกับสินค้านำเข้า รับมือวิกฤตกำแพงภาษี 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายกระทรวงการคลังให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือภาคธุรกิจไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกาเป็นการเร่งด่วนนั้น 

กระทรวงการคลังจึงมีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยการลดเป้าหมายกำไรจากการทำธุรกิจ เพื่อจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการ โดยสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่ง อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการตามนโยบาย ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM Bank ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) 

สำหรับโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการสินเชื่อ Soft Loan วงเงิน 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสิน ที่กำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขแตกต่างจากสินเชื่อ Soft Loan โครงการอื่น เนื่องจากมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการชัดเจน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ธุรกิจส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา 2) ธุรกิจ Supply Chain และ 3) ธุรกิจผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ตลอดจนผู้ประกอบการ SMEs ในภาพรวม และสถาบันการเงินของรัฐอื่นเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคเกษตรกรรม และภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงออกมาตรการลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบของนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลต่อผู้ส่งออกและธุรกิจ SMEs/Supply Chain อย่างมีนัยสำคัญ เป็นต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีพิจารณา

ภายใต้สภาวะความผันผวนที่ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กล่าวได้ว่ากลไกสถาบันการเงินของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ผ่านการขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยเหลือประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤต เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตอย่างเข้มแข็งยั่งยืนในระยะยาว 

ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ธนาคารออมสินจะดำเนินการในทันที คือ โครงการที่ลดดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับผู้ประกอบการ และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ในอัตรา 2-3% คาดว่าจะดำเนินการได้ภายใน 2-3 วันนี้ โดยลูกค้าที่ต้องการเข้าร่วมโครงการจะต้องมาติดต่อกับธนาคารเท่านั้น จะไม่ได้เป็นการให้ลูกค้าเป็นการทั่วไป

นอกจากนี้ ธนาคารได้เตรียมโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ Soft Loan วงเงิน 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นวงเงินใหม่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ โดยโครงการดังกล่าวจะต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

สำหรับ Soft Loan ที่จะดำเนินการนั้น จะมีลักษณะเดิมคือ ธนาคารออมสินปล่อยให้กับธนาคารพาณิชย์ ในอัตราดอกเบี้ย 0.01% และให้ธนาคารพาณิชย์ไปดำเนินการปล่อยต่อให้กับลูกค้าของธนาคารต่อไป

‘ดร.กอบศักดิ์’ ถอดรหัส 10% ‘ภาษีทรัมป์’ ชี้แค่ตั้ง ‘กำแพงภาษี’ รายได้สหรัฐฯพุ่งถึง 87.4%

(15 พ.ค.68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการธนาคารกรุงเทพ (BBL) ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “รายได้ศุลกากรสหรัฐเพิ่ม +87.4% !!!” มีเนื้อหาว่า...

รายได้ศุลกากรสหรัฐเพิ่ม +87.4% !!!

หนึ่งในเป้าหมายของ President Trump ในการเข้าสู่สงครามการค้า คือ การหารายได้เพิ่มเข้ารัฐ

หลายคนถามว่า รายได้จะเพิ่มขึ้นจริงไหม จะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่จะเป็นชิ้นเป็นอันหรือไม่

ล่าสุด WSJ รายงานจากข้อมูลกกระทรวงการคลังสหรัฐว่าสหรัฐเก็บภาษีอากรนำเข้าจากสินค้าต่างๆ เพิ่มเป็น 16.3 พันล้านดอลลาร์ ในเดือน ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา จากเดิมเก็บได้ 8.7 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนมีนาคม หรือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง +87.4%

จากภาษี 25% ที่คิดกับเม็กซิโกและแคนาดา ภาษีเฉพาะ 25% สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและอลูมินัม ตลอดจน Reciprocal Tariffs ประมาณ 10% สำหรับประเทศต่างๆ ที่เริ่มต้นคิดบ้างแล้ว ซึ่งเมื่อเริ่มเก็บกันอย่างจริงจัง รายได้จาก Tariffs จะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้

สำหรับในระยะยาว เริ่มมีผลการศึกษาที่น่าสนใจออกมาเช่นกัน โดยการศึกษาของ Wharton มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ประเมินคร่าวๆ ว่า รายได้สหรัฐจาก Tariffs จะเพิ่มขึ้น เฉลี่ยประมาณ 4 - 5 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อปี รวมเป็นเงินประมาณ 4.5 - 5 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับ 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย เทียบกับการขาดดุลการคลังสหรัฐ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว ก็จะช่วยปิด Gap เรื่องนี้ไปได้ประมาณ 50%

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับหนี้ภาครัฐของรัฐบาลสหรัฐที่มีอยู่ประมาณ 31 ล้านล้านดอลลาร์ ถือว่ายังไม่มากพอจะช่วยชะลอไม่ให้หนี้เพิ่มขึ้นเร็วเหมือนอดีต และช่วยให้มีช่องให้ท่าประธานาธิบดีไปลดภาษี No Tax on Tips, No Tax on Overtimes, No Tax on Social Securities ตามที่สัญญาไว้ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งกำลังจะออกมาประกาศใช้เร็วๆ นี้ รวมทั้ง ช่วยสร้างแรงจูงใจให้หลายบริษัทมาลงทุนผลิตในสหรัฐ ที่ล่าสุดมีตัวเลขแสดงความจำนงค์ประมาณ 5-6 ล้านล้านดอลลาร์

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม President Trump ถึงไม่ยอมยกเลิกเรื่อง Tariffs ไปเลย และไม่น่าแปลกใจว่าทำไม ถึงมีตัวเลข 10% ออกมาตลอดเวลา

10% สำหรับทุกประเทศ ภายใต้ Reciprocal Tariffs แม้จะเป็นประเทศที่สหรัฐเกินดุลการค้าด้วย หรือเป็นประเทศที่เปิดกว้างทางการค้าเช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์

10% สำหรับประเทศต่างๆ ที่ได้ชะลอออกไป 90 วัน ภายใต้ Reciprocal Tariffs

10% สำหรับสินค้านำเข้าจากอังกฤษ ทั้งๆ ที่เจรจากันแล้ว และอังกฤษก็ยอมไปหลายอย่างแล้ว

10% สำหรับสินค้าจีน ในช่วง PAUSE 90 วัน

โดยดีลต่อๆ ไปก็จะทำให้ภาพชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ท่านประธานาธิบดีคงขีดเส้นไว้สำหรับทีมเจรจาสหรัฐ สั่งให้ยอมได้หลายๆ อย่าง แต่ว่าต่ำสุดต้องคิด Tariffs ที่ 10% ให้ได้ !!!

มารอดูกันครับว่า ท้ายที่สุดแล้ว ในกลุ่มประเทศที่ถูกคิดเกิน 10% อัตราจะอยู่ที่ประมาณเท่าไร และกรณีจีน หลัง 90 วัน จะไปจบที่อัตราอะไร

เพราะล่าสุด สินค้าชิ้นเล็กๆ จากจีน ที่ราคาต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ (ซึ่งใช้พื้นที่ถึง 90% ของเรือขนส่งสินค้าจากจีนที่เข้ามาที่ท่าเรือสหรัฐ) ไม่ได้รับการยกเว้นภายใต้สิ่งที่ตกลงกันที่เจนีวาให้เหลือ 10% แต่ต้องจ่ายภาษี 10+10+34 = 54% !!!

ทั้งหมด จะเป็นโครงสร้างภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐที่กำลังค่อยๆ เฉลยออกมา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดอนาคตการส่งออกไทย ในช่วงครึ่งหลังของปี ว่าจะไปได้ไหม และเป็นตัวกำหนดว่า China Flooding จะเข้ามาที่เราแค่ไหน หมายความว่า เราคงต้องมีทีมเร่งหาตลาดใหม่ๆ ในช่วงที่เหลือ เตรียมไว้เป็นทางออกที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา เผื่อเอาไว้ด้วยครับ

‘เอกนัฏ’ สั่งลุยล้างบาง 3 โรงงานรีไซเคิล นอมินี จ.ชลบุรี อายัดวัตถุอันตรายกว่า 550 ตัน พร้อมฟันโทษอาญาอ่วม

(15 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ “ทีมสุดซอย” พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ลงพื้นที่ บริษัท เจี๋ยเซ่ง พลาสติก จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 88/2 หมู่ที่ 5 ต.หนองรี อ.เมือง จ.ชลบุรี ประกอบกิจการผลิตเม็ดพลาสติก บด ย่อย พลาสติก ทำผลิตภัณฑ์จากพลาสติก อัดเศษโลหะ อัดกระดาษ ทำยางแผ่น และบริษัท ติงซิ่ง (ไทย-จีน) เมทัล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ประกอบกิจการ บด ล้าง ร่อน จำพวกเศษพลาสติก เศษโลหะ และติดตั้งเครื่องจักร โดยพบว่ามีการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบโรงงานทั้งสองแห่งเป็นโรงงานของนายทุนจีนถือหุ้นร่วมกับคนไทย โดยพบว่าบริษัท เจี๋ยเซ่งฯ มีใบอนุญาตประกอบกิจการ แต่ประกอบกิจการไม่ถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาต และตรวจสอบพบวัตถุต้องสงสัย จำนวน 300 ตัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดอายัดไว้  รวมทั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการบดย่อยโลหะ ส่วนบริษัท ติงซิ่งฯ พบว่าเป็นโรงงานที่ไม่มีใบอนุญาต และพบการลักลอบประกอบกิจการ มีการครอบครองวัตถุอันตรายที่เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ใช้แล้ว รวมกับเศษสิ่งของไม่สามารถระบุชนิดกว่า 250 ตัน และยังพบร่องรอยการนำเศษพลาสติกที่บดย่อยมาถมดินข้างบ่อน้ำภายในโรงงาน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในดินและแหล่งน้ำ อาจเป็นอันตรายกับชาวบ้านและชุมชนใกล้เคียงได้ ทางเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี จึงแจ้งความดำเนินคดีกับทั้งสองบริษัท ใน 3 ข้อหาที่ สภ.เมืองชลบุรี ได้แก่ 1. ตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ 3.ครอบครองวัตถุอันตราย โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ เนื่องจากวัตถุอันตรายที่พบมีมากกว่า 250 ตัน  ซึ่ง 2 บริษัท มีน้ำหนักรวมกว่า 550 ตัน จึงส่งเรื่องให้ DSI เพื่อดำเนินคดีและขยายผลการลักลอบนำเข้าและเครือข่ายนอมินีต่อไป พร้อมเก็บตัวอย่างส่งไปยังศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก กรอ. เพื่อทำการตรวจพิสูจน์หาส่วนประกอบและสิ่งปนเปื้อนต่อไป 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวต่ออีกว่า “ทีมสุดซอย” ได้ลงพื้นที่ต่อไปยัง บริษัท ชัยเมธี จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 69 ม.6 ต.หนองหงษ์ อ.พานทอง จ.ชลบุรี ประกอบกิจการคัดแยกสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตราย และทำเม็ดพลาสติก พบว่ามีการลักลอบประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำกากตะกรันจากเตาหลอมโลหะ มาบดย่อยและร่อนแยกทองแดงจากกากตะกรัน เพื่อนำทองแดงที่ได้ไปจำหน่ายต่อ ส่วนกากที่เหลือส่งให้บริษัทอื่นไปบดย่อย โดยภายในพื้นที่โรงงานพบกองวัตถุดิบและสิ่งปฏิกูลจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว จึงได้เก็บตัวอย่างเพื่อทำการตรวจสอบ 

“รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้มีนโยบายให้เร่งรัดจัดการกับโรงงานรีไซเคิลเถื่อนที่ลักลอบประกอบกิจการอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการครอบครองวัตถุอันตรายที่เป็นโลหะหนัก สามารถปนเปื้อนในแหล่งน้ำและดิน ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายกับประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังพบการเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายโรงงานที่มีความผิดและได้ดำเนินการเอาผิดไปแล้ว จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันติดตามและขยายผลไปยังบริษัทหรือโรงงานที่คาดว่าจะมีความเกี่ยวพันกัน เพื่อกวาดล้างเอาผิดถึงต้นตอต่อไป” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าว

‘พีระพันธุ์’ เยือนลาวหารือลงทุนไฟฟ้าระหว่างรัฐ ปัดหนีหมายเรียก ป.ป.ช. - พบหมายเรียกส่งโดยมิชอบ

‘พีระพันธุ์’ เยือนลาวเจรจาแนวทางลงทุนพลังงานไฟฟ้าระหว่างภาครัฐ ตัดทอนตัวกลางภาคเอกชน ช่วยลดต้นทุนพลังงานสะอาด จับโป๊ะ ป.ป.ช. ส่งหมายเรียกผิด

(15 พ.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามคำเชิญของนายโพไซ ไซยะสอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  ระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2568 เพื่อหารือเรื่องพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของไทยและ สปป.ลาว ทั้งนี้เพื่อให้ได้ราคาพลังงานที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ของสองประเทศ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง และจะมีการพบปะกับ นายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ด้วย

ในการนี้ นายพีระพันธุ์ได้พบหารือกับ นายโพไซ ไซยะสอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ และคณะ เพื่อติดตามความคืบหน้าของข้อตกลงที่ทำไว้ระหว่างไทยและ สปป.ลาว รวมทั้งร่วมหารือเกี่ยวกับแนวทางในการลงทุนของบริษัท EGATi  หรือ บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นบริษัทในกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จะเน้นลงทุนใน สปป.ลาว จากเดิมที่ลงทุนหลากหลายประเทศและหลายธุรกิจ เนื่องจากประเทศไทยรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว อยู่แล้ว ซึ่งหากมีการลงทุนร่วมกันระหว่าง กฟผ. และ สปป.ลาวโดยตรง แทนที่จะซื้อจากเอกชนก็จะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และทำให้ประเทศไทยได้ไฟฟ้าสะอาดและราคาต้นทุนที่ถูกลงเพราะเป็นการลงทุนของรัฐวิสาหกิจของไทยเองและเหมือนซื้อไฟฟ้าจากตัวเอง

อย่างไรก็ตาม การเยือน สปป.ลาว ของนายพีระพันธุ์ในครั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเรียกไปรับข้อกล่าวหาของคณะกรรมการไต่สวน ป.ป.ช. ตามที่สื่อหลายสำนักได้นำเสนอแต่อย่างใด  โดยจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า หมายเรียกของ ป.ป.ช. แท้ที่จริงแล้วไม่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการส่งหมายโดยไม่ชอบ  และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.เองก็ยอมรับว่ามีความผิดพลาดในการส่งหมายเรียกไปยังนายพีระพันธุ์ จึงต้องถือว่ายังไม่มีหมายเรียก

‘พีระพันธุ์’ บินถกซื้อไฟฟ้าตรงจาก สปป. ลาว หลังพบบางเขื่อนผลิตไฟกำลังทยอยหมดสัมปทาน

(14 พ.ค. 68) แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกำลังเดินไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ตามคำเชิญของนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีลาวในวันที่ 14-15 พ.ค. 68

ทั้งนี้ ทางสปป.ลาว ได้มอบหมายให้สะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี และดร.คำมะนี อินทิลาด รัฐมนตรีพลังงาน และเหมืองแร่เป็นผู้เจรจาหารือ

การเดินทางไปดังกล่าวเป็นไปตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ครั้งนี้ จุดประสงค์หลักเพื่อการเจรจาซื้อไฟฟ้าเข้ามายังประเทศไทย เนื่องจากมีบางเขื่อนผลิตไฟฟ้าที่จะทยอยหมดสัมปทาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะมีผู้ที่เข้าไปขอสัมปทานเพื่อนำมาขายให้ไทยอีกทอดหนึ่ง

“เมื่อสามารถซื้อไฟจาก สปป. ลาวได้โดยตรงก็จะทำต้นทุนลดลง ซึ่งก็จะมีผลทำให้ช่วยลดค่าไฟฟ้าในประเทศได้ เนื่องจากการรับซื้อไฟแต่เดิมจาก สปป.ลาว จะต้องผ่านโบรกเกอร์ หรือคนกลางก่อนที่จะมาถึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จึงทำให้ราคารับซื้อสูง”

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวต่ออีกว่า นายพีระพันธุ์พอจะรับทราบปัญหาดังกล่าวในการรับซื้อไฟที่ผ่านคนกลาง ซึ่งมีผลทำให้ราคารับซื้อสูง จึงพยายามหาทางเจรจาให้ค่าไฟให้ถูกลง

อย่างไรก็ดี หากถามว่าจะสามารถซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาวได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยไทยมีความพร้อม และไม่มีปัญหาเรื่องการซื้อไฟจำนวนมากหากสามารถทำได้ โดยมองว่าอะไรที่ถูก ไทยจะไม่ผลิตเอง

‘นิสสัน’ ประกาศเลิกจ้างพนักงาน เพิ่มอีก 11,000 คนทั่วโลก พร้อมปิดโรงงาน 7 แห่ง หลังยอดขายทรุดหนัก แผนควบรวมกับ ‘ฮอนด้า’ ก็ล่ม

(14 พ.ค. 68) นิสสัน ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เตรียมเลิกจ้างพนักงานเพิ่มเติม 11,000 คน และปิดโรงงาน 7 แห่งทั่วโลก หลังจากยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจีนและสหรัฐฯ สองตลาดหลักที่มีการแข่งขันสูงและมีแรงกดดันด้านราคา ทำให้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อรายได้ของบริษัท พร้อมกันนี้การควบรวมกิจการกับฮอนด้าและมิตซูบิชิที่คาดว่าจะช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ก็ล้มเหลวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

การปลดพนักงานครั้งนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดต้นทุนอย่างเข้มข้น ซึ่งรวมถึงการลดการผลิตทั่วโลกลง 20% ส่งผลให้ยอดเลิกจ้างสะสมในปีที่ผ่านมาพุ่งแตะ 20,000 ตำแหน่ง คิดเป็น 15% ของกำลังพลทั้งหมด โดยสองในสามของตำแหน่งที่ถูกตัดจะอยู่ในภาคการผลิต ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในสายงานขาย งานบริหาร และงานวิจัย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ นายอีวาน เอสปิโนซา ระบุว่า ปีงบประมาณที่ผ่านมานับเป็นปีที่ท้าทายที่สุดของบริษัท ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยนิสสันรายงานผลขาดทุนประจำปีถึง 670,000 ล้านเยน (ราว 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทั้งนี้ บริษัทยังไม่สามารถให้แนวโน้มรายได้ในปีหน้าได้ เนื่องจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังคงไม่มีความชัดเจน

นอกจากการปลดพนักงาน นิสสันยังยกเลิกแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดหลักอย่างจีนเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากผู้ผลิตท้องถิ่น เช่น BYD ส่วนในสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นก็ฉุดรั้งยอดขายรถใหม่ แม้จะมีการฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงปีที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลอังกฤษกำลังจับตาว่าโรงงานในเมืองซันเดอร์แลนด์จะได้รับผลกระทบจากแผนปรับโครงสร้างนี้หรือไม่

ไทย เดินหน้าตุนทองคำต่อเนื่อง ยังยืนหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน หลังไตรมาสแรกซื้อเพิ่มอีก 17%

ไทย เดินหน้าตุนทองคำต่อเนื่อง ยังยืนหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน หลังไตรมาสแรกซื้อเพิ่มอีก 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ITEL ผนึกกำลัง สทป. เปิดตัวบริษัทร่วมทุน 'NDC' เสริมแกร่งเทคโนโลยี - อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ จับมือ อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จัดตั้ง 'บริษัท เนชันแนล ดีเฟนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด' หรือ NDC รุกธุรกิจการสื่อสารเพื่อความมั่นคง สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย หวังช่วยยกระดับเทคโนโลยีความมั่นคงของประเทศด้วยนวัตกรรม IoT, AI, และ Big Data Analytics

เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.68) สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) และ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ลงนามในสัญญาร่วมทุนจัดตั้ง 'บริษัท เนชันแนล ดีเฟนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (NATIONAL DEFENSE CORPORATION LTD.)' หรือ NDC มุ่งพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความมั่นคง พร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยอย่างเต็มรูปแบบ

พิธีลงนามสัญญาร่วมทุนดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องราชเสนีพิทักษ์ ชั้น 10 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (แจ้งวัฒนะ) โดยได้รับเกียรติจาก พลเอก พอพล มณีรินทร์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นประธานในพิธี ผู้ร่วมลงนามประกอบด้วย พลเอก ดร.ชรัติ อุ่มสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และ ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน)

บริษัทร่วมทุนใหม่ 'NDC' จัดตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักในการดำเนินธุรกิจบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความมั่นคงของประเทศ โดยจะมุ่งเน้นให้บริการเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) โซลูชันดิจิทัล (Digital Solutions) รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัย เช่น Internet of Things (IoT), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Cloud Computing และ Big Data Analytics

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งของทั้งสองหน่วยงาน โดย สทป. มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาระบบงานด้านความมั่นคง ขณะที่ ITEL เป็นภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง มีโครงข่ายโทรคมนาคมที่ทันสมัยระดับประเทศ และประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจ ICT การก่อตั้ง NDC จึงเป็นการบูรณาการศักยภาพของทั้งสององค์กร เพื่อร่วมกันพัฒนาและส่งมอบเทคโนโลยีสารสนเทศและโซลูชันด้านความปลอดภัยที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาครัฐและหน่วยงานด้านความมั่นคงได้อย่างแท้จริง

ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ ITEL ได้มีโอกาสร่วมงานกับ สทป. ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน NDC ยกระดับบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับงานด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะได้นำความเชี่ยวชาญด้านโครงข่ายของเรา มาสนับสนุนภารกิจของประเทศในมิติที่สำคัญ”   

ดร.ณัฐนัย ยังกล่าวเสริมอีกว่า “เราเชื่อมั่นว่า NDC จะไม่เพียงแต่เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของภาครัฐ แต่ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อความมั่นคงในภูมิภาค เราพร้อมให้การสนับสนุนทั้งด้านการบริหารจัดการบุคลากร และเทคโนโลยี เพื่อให้ NDC ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว”

บริษัทฯ มีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม การให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกประสิทธิภาพสูงที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และประสบการณ์ในการให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงแก่ทั้งภาครัฐและเอกชน การร่วมทุนนี้จะเปิดโอกาสให้ ITEL ต่อยอดเทคโนโลยีไปสู่ระบบสื่อสารเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และการพัฒนาแพลตฟอร์มเมืองอัจฉริยะที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อรองรับภารกิจด้านความมั่นคงระดับชาติอย่างยั่งยืน

การจัดตั้ง NDC มุ่งหวังให้เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีความมั่นคง ทั้งในมิติปัจจุบันและการวางรากฐานสำหรับอนาคต โดยเชื่อมั่นว่า NDC จะมีบทบาทสำคัญในการวางโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีให้กับประเทศ ไม่เพียงแต่รับมือกับภัยคุกคามจากภายนอก แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความปลอดภัยภายในประเทศ และยกระดับความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของ ITEL ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดความมั่นคงที่มีศักยภาพสูง ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญเดิม และสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ให้กับบริษัท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top