Friday, 19 April 2024
ECONBIZ

‘เรือด่วนเจ้าพระยา’ เปิดตัวเรือโดยสาร 'ธงทอง' เส้นทางนนทบุรี-สาทร 25 บาทตลอดสาย ให้บริการแล้ว

เรือด่วนเจ้าพระยา เปิดตัวเรือด่วนเจ้าพระยา 301 และ 302 โดยจะให้บริการเป็นเรือโดยสาร 'ธงทอง' เส้นทางนนทบุรี-สาทร จอดรับ-ส่งทั้งหมด 12 ท่าเรือหลัก เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ราคา 25 บาทตลอดสาย พร้อมให้บริการแล้ววันนี้

(2 เม.ย. 67) นาวาตรีเจริญพร เจริญธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ผู้ให้บริการเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นทางปากเกร็ด-วัดราชสิงขร ได้เปิดเผยว่า เรือด่วนเจ้าพระยารูปแบบใหม่ ซึ่งก็คือ เรือด่วนเจ้าพระยา 301 และ 302 จะให้บริการเป็นเรือโดยสาร ‘ธงทอง’ เส้นทางนนทบุรี-สาทร สำหรับช่วงเช้าและเย็น และเส้นทางพรานนก-สาทร สำหรับช่วงกลางวัน เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางอย่างสะดวกและรวดเร็ว

สำหรับเส้นทางนนทบุรี-สาทร ในช่วงเช้าและเย็น เรือด่วนเจ้าพระยาธงทองจะจอดรับ-ส่งที่ท่าเรือหลักเพียง 12 ท่า และเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ได้แก่ นนทบุรี, พระราม 7, บางโพ (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT บางโพ), เกียกกาย, เทเวศร์, พรานนก, ท่าช้าง, ท่าเตียน, ราชินี (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย), ราชวงศ์, สี่พระยา และสาทร (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน)

ส่วนเส้นทางพรานนก-สาทร ในช่วงกลางวัน เรือด่วนเจ้าพระยาธงทองจะจอดรับ-ส่งที่ท่าเรือหลักเพียง 7 ท่า และเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ได้แก่ พรานนก, ท่าช้าง, ท่าเตียน, ราชินี (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย), ราชวงศ์, ไอคอนสยาม และสาทร (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน)

ตารางเวลาให้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาธงทอง

>> จันทร์-ศุกร์ (เช้า-เย็น)
- นนทบุรี-สาทร 06.30 | 07.30 น.
- สาทร-นนทบุรี 17.30 | 17.55 น.

>> จันทร์-ศุกร์ (กลางวัน)
- พรานนก-สาทร 13.10-16.40 น.
- สาทร-พรานนก 12.40-15.40 น.

สำหรับเรือด่วนเจ้าพระยา 301 และ 302 เป็นเรือโดยสารชั้นเดียว มีความยาว 28 เมตร ความกว้าง 3.80 เมตร รองรับผู้โดยสารได้ 150 คน ใช้เหล็กเป็นวัสดุตัวเรือ มีความแข็งแรงทนทาน ง่ายต่อการบำรุงรักษา ตัวเรือได้รับการออกแบบถูกต้องตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของกรมเจ้าท่าและใช้หลักนาวาสถาปัตย์ร่วมกับแบบจำลองในคอมพิวเตอร์ รูปทรงเรือถูกออกแบบมาเพื่อลดการเกิดคลื่นโดยเฉพาะ ทั้งยังประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม

ทั้งนี้ ค่าโดยสารเรือธงทอง ราคา 25 บาทตลอดสาย หากชำระค่าโดยสารด้วยบัตรแรบบิท จะได้รับส่วนลดทันที 2 บาทต่อเที่ยว เหลือเพียง 23 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ที่ใช้บัตรแรบบิทจ่ายค่าโดยสาร โดยโปรโมชั่นนี้ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.67 อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิ์ได้กับเรือด่วนเจ้าพระยาทุกธง ทุกเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธงส้ม ธงเหลือง ธงเขียวเหลืองและธงแดง

ติดตามข้อมูลข่าวสารตารางเวลาให้บริการและเส้นทางที่อัปเดตจากทางเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านช่องทางเพจเฟซบุ๊ก Chao Phraya Express Boat - เรือด่วนเจ้าพระยา หรือที่ LINE: @cpxcare

‘นายกฯ’ หนุน!! ผลักดันสินค้าศิลปหัตถกรรมไทย มุ่งสู่สายตานานาชาติ ช่วยกระจายรายได้ให้ ปชช.

(2 เม.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญ มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพสาขาศิลปะในฐานะ Soft Power ไทยสู่สายตานานาชาติ เพื่อกระตุ้นกระแสความนิยมชื่นชอบสินค้าไทย และประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่จะเพิ่มโอกาสการสร้าง และกระจายรายได้ให้กับประชาชน ควบคู่กับการธำรงรักษาเอกลักษณ์ และพัฒนาต่อยอดศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ให้ดำรงอยู่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ The Support Arts and International Centre of Thailand (SACIT) พบว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในปี 2566 เติบโตถึง 340,820 ล้านบาท โดยสินค้าศิลปหัตถกรรมที่ไทยส่งออกมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องประดับแท้ทำด้วยทอง (91,161 ล้านบาท) เครื่องประดับแท้ทำด้วยเงิน (56,060 ล้านบาท) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน (46,850 ล้านบาท) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง (22,982 ล้านบาท) และเสื้อผ้าสำเร็จรูปทำจากฝ้าย (17,719 ล้านบาท) และประเทศ/เขตบริหารพิเศษ ที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าศิลปหัตกรรมไทยมากที่สุด อันดับที่ 1 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (94,203 ล้านบาท) อันดับที่ 2 ฮ่องกง (26,764 ล้านบาท) อันดับที่ 3 ญี่ปุ่น (21,232 ล้านบาท) อันดับที่ 4 เยอรมนี (20,147 ล้านบาท) และอันดับที่ 5 สหราชอาณาจักร (16,357 ล้านบาท)

นายชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจำหน่ายสินค้าศิลปหัตกรรมไทยผ่านช่องทางของ SACIT ในปี 2566 มีมูลค่าถึงกว่า 291 ล้านบาท และมีการจำหน่ายสินค้าศิลปหัตถกรรมไทย ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย และเครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่ง ซึ่งไม่รวมอาหาร เครื่องดื่ม สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหารและยา ทั้งในไทยและต่างประเทศทาง online และ offline ตามโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นมูลค่ารวมกว่า 1.16 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ SACIT พร้อมยกระดับสินค้าศิลปหัตกรรมไทยสู่การเติบโตในตลาดโลกอย่างยั่งยืนผ่านการจัดงาน ‘sacit Craft Power: แนวโน้มหัตถกรรมร่วมสมัย’ ที่นำเสนอความรู้และทิศทางในการต่อยอดสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในทุกสาขาแก่ผู้ประกอบกิจการสินค้าทั่วประเทศให้สามารถมองแนวโน้มสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในอนาคตได้อย่างชัดเจน และพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกมากยิ่งขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ประสงค์ให้ประเทศในยุโรป เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการเผยแพร่ Soft Power ด้านงานศิลปะของไทย โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ได้ร่วมสนับสนุนให้ผู้มีความสามารถด้านภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย นำผลงานมาจัดแสดงภายใต้ชื่อ ‘Bangkok Series’ และ ‘Muay Thai Series’ ณ Manes Gallery กรุงปราก เมื่อวันที่ 14 - 25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเป็นการนำเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไทยและอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้กับนานาชาติผ่านการนำเสนอผลงานศิลปะ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยินดีที่กระแสความเป็นไทยเพิ่มมูลค่าสินค้าไทยเป็นความสำเร็จที่ทำให้ มูลค่าส่งออกสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยมีปริมาณการเจริญเติบโตสูง พร้อมขอบคุณทุกความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสนับสนุนกระบวนการ Soft Power ไทยด้านศิลปะที่ร่วมกันสร้างสรรค์จนทำให้สามารถดึงดูดผู้บริโภคจากทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างสร้างสรรค์ด้วย Soft Power โดยเชื่อมั่นว่าการบูรณาการร่วมมือการทำงานจากทุกภาคอย่างเข้มแข็ง จะพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยให้แข็งแกร่งได้ยิ่งขึ้นในเวทีโลก

‘บิทคับ’ ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมยื่นเข้าเทรดหุ้น IPO ใน SET ปี 2568

สื่อนอกเผย กระดานเทรดบิทคับ มีแผนเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้นไทยภายในปี 2568 หลังกระแสบิทคอยน์ และตลาดคริปโตฟื้นตัวกลับมาสู่ช่วงเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยราคาบิทคอยน์ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นระดับ $70000 ต่อเหรียญบิทคอยน์ 

เมื่อไม่นานมานี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Bitkub Capital Group กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า มีแผนที่จะนำ บิทคับ ออนไลน์ ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ ตลท. ภายในปี 2568 โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน

ขณะที่ในส่วนของงวดบัญชีผลประกอบการล่าสุด บริษัทมีกำไรประมาณ 80% โดยปี 2564 บิทคับมีรายได้ 5,510 ล้านบาท กำไร 2,545 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 2,846 ล้านบาท และกำไร 341 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ได้ขายหุ้นจำนวน 9.2% ให้กับ Asphere Innovation เป็นมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าทั้งกิจการ 6,500 ล้านบาท (ขณะที่บริษัท Asphere หรือชื่อเดิมคือ Asiasoft หรือ AS ซึ่งประกอบธุรกิจด้านซอต์ฟแวร์และการให้บริการเกมออนไลน์ในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้จากความต้องการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาบิทคอยน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 57% แล้วในในปี 2567 นี้

ในขณะที่ดัชนี CoinDesk20 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดตลาดคริปโตในวงกว้างเพิ่มขึ้น 49% เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้จำนวนบัญชีที่ใช้งานในประเทศพุ่งถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 บลูมเบิร์กกล่าว โดยอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของประเทศไทย

อย่างไรก็ตามกระดานเทรดบิทคับ ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม เนื่องจาก ‘ไบแนนซ์ ไทยแลนด์’ ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามปริมาณการซื้อขาย ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนของธุรกิจดิจิทัลครบวงจรของ ‘กัลฟ์ อินโนวา’ ได้เปิดให้บริการอย่างเป้นทางการ

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในปี 2565 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยื่นเสนอซื้อกิจการของบิทคับ ออนไลน์ ในสัดส่วน 51% มูลค่ากว่า 17,850 ล้านบาท แต่ท้ายที่สุดแล้วดีลดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไป หลังจากที่บิทคับถูกสำนักงาน ก.ล.ต. สั่งปรับจากความผิดในการสร้างออเดอร์ปริมาณการซื้อขายปลอม และทาง SCB ประเมินว่ามูลค่าหุ้นที่จะลงทุนนั้น ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ด้วยมูลค่าที่แพงกว่าความเป็นจริงมากเกินไป 

และต่อมาทาง SCB ได้จัดตั้งศูยน์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและยื่นขอใบอนุญาติกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. ในชื่อบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd. ชื่อย่อ INVX (เดิมชื่อ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์​ จำกัด)) บริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 ปัจจุบันให้บริการการลงทุนทุกรูปแบบ อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านผู้แนะนำการลงทุน และแพลตฟอร์ม ‘InnovestX Super App’

'เจ้าของชายสี่' สยายปีก!! ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ พัฒนาสินค้าใหม่ พร้อมพูดติดตลก หวังเข้า 'ตลท.' เพื่อป้องกันลูกๆ ทะเลาะกัน

(1 เม.ย.67) นายพันธ์รบ กำลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กว่า 30 ปี ของ ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยวจนถึงวันนี้เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างมาก ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่จะต้องยกระดับธุรกิจและองค์กรให้สอดรับและเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง จึงเปิดโอกาสให้ผู้บริหารมืออาชีพรุ่นใหม่ เข้ามาเติมไฟให้กับธุรกิจ เดินหน้าสู่การทรานส์ฟอร์มภายใต้ชื่อ 'ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น' ส่งมอบอาหารและบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และพร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตต่ออย่างมั่นคงและยั่งยืน

โดยปัจจุบัน ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น มีแบรนด์สตรีตฟู้ดในเครือ รวม 7 แบรนด์ ได้แก่ ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว, ชายสี่พลัส, ชายใหญ่ข้าวมันไก่, พันปีบะหมี่เป็ดย่าง, อาลีหมี่ฮาลาล, ไก่หมุนคุณพัน, ลูกชิ้นทอดโอ้มายก๊อด รวมทุกแบรนด์กว่า 4,500 สาขา และยังมีอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทานภายใต้แบรนด์ชายสี่โกลด์ พร้อมด้วยเครื่องปรุงเพื่อจำหน่ายอีกกว่า 200 รายการ ซึ่งทุกแบรนด์สินค้าในเครือต่างได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพที่สดใหม่ วัตถุดิบส่งตรงจากศูนย์การผลิตและกระจายสินค้าทั้งหมด 7 แห่งทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ รวมถึงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และราคาที่เข้าถึงได้จากทั้งผู้ขายและผู้บริโภค ทำให้ชายสี่เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่รักของคนไทย

ด้านนายอนุชิต สรรพอาษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพสร้างการเติบโต โดยหลังจากผ่านวิกฤต โควิด-19 ที่ผ่านมา เรากลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 เป็นปีที่เราสร้างยอดขายได้สูงสุดในประวัติกาล โดยมีรายได้รวม 1,085 ล้านบาท และยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2566 เช่นกัน

ล่าสุดในปี 2565-2566 บริษัทฯ ได้เริ่มสู่การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี การบริหารต้นทุนอย่างชาญฉลาด รวมถึงการปรับโครงสร้างการบริหารงาน โดยให้โอกาสคนรุ่นใหม่เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

"จากทั้งหมดที่ได้ลงมือทำ เราสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 1.1 พันล้านบาท และการเติบโตของกำไรได้มากกว่า 100% สะท้อนถึงศักยภาพในการปรับปรุงรากฐานขององค์กรให้แข็งแกร่งทั้งทางด้านการเงิน และการปฏิบัติการเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเรากำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ผ่านการดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลยุทธ์ ที่มุ่งสนับสนุนให้ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น เติบโตได้อย่างยั่งยืน"

1. พัฒนามาตรฐานแฟรนไชส์ ผ่านการปรับปรุงระบบการบริหารแฟรนไชส์และการบริการทั้งหมดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ โดยใช้ประโยชน์จากศูนย์การผลิตและจัดส่งที่มีอยู่ทั่วประเทศไทยในการเข้าถึงคู่ค้าและควบคุมคุณภาพแฟรนไชส์

2. พัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมตามความต้องการของตลาด โดยให้ความสำคัญกับการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้โดยง่าย ทั้งร้านอร่อยริมทาง ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และช่องทางออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันนอกจากแบรนด์สตรีตฟู้ดทั้ง 7 แบรนด์แล้ว เรายังมีสินค้าพร้อมทานที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ

3. พัฒนาพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจร่วมกัน ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความชำนาญเฉพาะทางเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ ในการพัฒนาธุรกิจร่วมกัน รวมถึงการการเข้าซื้อกิจการต่างๆ ที่มีศักยภาพ โดยล่าสุดได้มีการเข้าซื้อกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังเมืองกรุงเก่า 'เสือร้องไห้' และแบรนด์เบเกอรี่ที่เป็นที่นิยมของกลุ่มนักท่องเที่ยว 'บริกซ์' โดยในการเข้าซื้อกิจการได้ใช้รูปแบบที่จะยังคงสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อให้เจ้าของแบรนด์ยังได้ใช้ความเชี่ยวชาญของตนในการบริหารและพัฒนาแบรนด์ต่อได้ อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Cabalen Group กลุ่มธุรกิจอาหารยักษ์ใหญ่ของประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อส่งมอบตำนานความอร่อยสู่สากล

“บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการรีแบรนด์ ปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้ทันสมัย สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ ขึ้นเป็นผู้นำร่วมขับเคลื่อนองค์กร ผ่านโปรแกรมพัฒนาบุคคลสู่ความสำเร็จ พร้อมจัดสวัสดิการพนักงานให้ทัดเทียมองค์กรชั้นนำ ชายสี่ฯ เชื่อมั่นว่าการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ผ่านกลยุทธ์หลักนี้ จะส่งเสริมและยกระดับให้บริษัทฯ ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์แถวหน้าในธุรกิจอาหารของไทยและเติบโตได้ไร้ขีดจำกัด” นายอนุชิต กล่าวสรุป

ทั้งนี้ ช่วงหนึ่ง นายพันธ์รบ กำลา ได้เผยถึงอนาคตในการเตรียมพร้อมนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ 2-3 ปีข้างหน้าแบบติดตลกในงานแถลงข่าวด้วยว่า...

“ผมกลัวว่า ลูกจะฆ่ากันตายก่อน กลัวเป็นตลาดเลือด แล้วโลโก้ชายสี่มันแบ่งครึ่งกันไม่ได้ ถ้าเอาเข้าตลาดหุ้นฯ ลูกจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน รวมถึงต้องการระดมทุนเพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้แบบยั่งยืน”

'มิตซูบิชิ' ยกทัพ ยานยนต์รุ่นใหม่ บุกมอเตอร์โชว์ จัดใหญ่ทั้งบูธ ขนทัพ ‘เอ็กซ์แพนเดอร์-ปาเจโร’ ดึงดูดสายลุยทุกเส้นทาง

เมื่อไม่นานมานี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ขนทัพยานยนต์รุ่นใหม่คุณภาพสูง ภายใต้แนวคิด ที่มุ่งเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นำโดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ร่วมด้วย มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ รุ่นปี 2024 พร้อมจัดเต็มโปรโมชั่นพิเศษ ดอกเบี้ย 0% และข้อเสนออื่น ๆ อีกมากมายที่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 พร้อมตอกย้ำ ดีเอ็นเอผู้นำด้านมอเตอร์สปอร์ตและจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันแรลลี่ ด้วยการจัดแสดงรถแข่ง ออล-นิว ไทรทัน แรลลี่คาร์ พร้อมลงสู้ศึกเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ หรือ ‘AXCR 2024’

ไฮไลท์ภายในงานปีนี้ ได้แก่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี รถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด รุ่นแรกของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ใหม่ในแบบ Mitsubishi e:MOTION เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและมั่นใจในทุกเส้นทาง จากการผสาน 3 สุดยอดเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์ ได้แก่ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System) มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และน่าตื่นเต้นเร้าใจ ให้ความคล่องตัว ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน และ ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มอบการขับขี่ที่ปลอดภัยและมั่นใจ ควบคุมรถได้อย่างคล่องตัวโดยเฉพาะขณะเข้าโค้ง 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการนำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดที่อยู่ภายในรถยนต์เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี มาจัดแสดงให้ชมแบบเอ็กซ์คลูซีฟอีกด้วย การจัดแสดงนี้ จะเผยให้เห็นความประณีตในการออกแบบเครื่องยนต์ มอเตอร์ ชุดแบตเตอรี่ และชิ้นส่วนขับเคลื่อนที่มอบสมรรถนะขับขี่และการควบคุมอันเหนือชั้น ในแบบ Mitsubishi e:MOTION

อีกหนึ่งไฮไลท์ของงานนี้ ได้แก่ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ รุ่นปี 2024 มาพร้อมขุมกำลังใหม่ 'ไฮเปอร์พาวเวอร์' (Hyper Power) เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล วีจี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร พร้อมหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบคอมมอนเรลเจเนอเรชันใหม่ ทรงพลังและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5 (Euro 5) สร้างพละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,250 - 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ใหม่ ประสานการทำงานกับเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดง รถออล-นิว ไทรทัน แรลลี่คาร์ ที่ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ท จะใช้ลงแข่งในการแข่งขัน เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ หรือ AXCR 2024 เพื่อท้าทายความสำเร็จอีกครั้ง ด้วยสถิติแชมป์อันดับ 1 การแข่งขัน AXCR 2022 และรางวัลชนะเลิศประเภททีม ในปี 2023 โดย รถแข่ง ออล-นิว ไทรทัน แรลลี่คาร์ สร้างขึ้นจากรถกระบะ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ที่ผลิตในไทย รุ่นเดียวกับที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ ให้ขุมพลังแรงเร็วเต็มสมรรถนะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ผู้สนใจสามารถชมรถยนต์ มิตซูบิชิ ทุกรุ่นได้ที่บูธ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย A09 ภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี 

‘ห้าดาว’ ร่วมโครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ ผลักดันนวัตกรรมสีเขียว ส่งต่อน้ำมันใช้แล้ว ผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน

(1 เม.ย.67) ‘ธุรกิจห้าดาว’ (Five Star) ของ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด ผู้นำธุรกิจจุดจำหน่ายอาหารพร้อมรับประทาน ร่วมสร้างงานสร้างอาชีพให้ผู้ร่วมลงทุน และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 5,000 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ บนเส้นทางการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในไทยมานานกว่า 40 ปี ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในโครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ จากความร่วมมือระหว่าง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BSGF กับกรมอนามัย ในฐานะที่ห้าดาวเป็นหนึ่งกลุ่มพันธมิตรการค้า ที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการนำน้ำมันพืชใช้แล้วไปรีไซเคิล ผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF เพื่อลดปัญหาสุขภาพ และสร้างความยั่งยืน โดยมี นายธนพันธ์ นามวิริยะโชติ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจ เป็นผู้แทนห้าดาว นำทีมร่วมงาน

“ปัจจุบันมีร้านห้าดาวและเถ้าแก่ห้าดาว ร่วมโครงการฯ นี้แล้วกว่า 130 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และบางสาขาตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมันบางจากเอง ตั้งเป้าขยายสาขาเข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 5,000 สาขา ทั่วประเทศ ภายในปี 2567 และเดินหน้าเข้าร่วมโครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ ตามเกณฑ์มาตรฐาน MOU การรณรงค์ไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำในครั้งนี้ โดยเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อน CPF ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับทางบางจากในการผลักดันนวัตกรรมสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายธนพันธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม โครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ เป็นการต่อยอดจากโครงการ ‘ทอดไม่ทิ้ง’ ด้วยการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการไม่นำน้ำมันใช้แล้วที่เป็นอันตรายกับสุขภาพมาใช้ทอดอาหารซ้ำ หรือ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ เพื่อช่วยขับเคลื่อนและผลักดันด้านอาหารทอดปลอดภัย จากความตระหนักถึงสุขภาพของผู้บริโภค คุณภาพชีวิต รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม จากการกำจัดของเสียอย่างถูกวิธีด้วยการ และช่วยสร้างรายได้เสริมจากการจำหน่ายน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว โดยหลังจาก BSGF รับซื้อน้ำมันใช้แล้ว จะออกใบประกาศนียบัตรให้กับร้านที่จำหน่ายน้ำมันดังกล่าว ว่าเป็นร้านอาหารที่ใช้น้ำมันปรุงอาหารทอดไม่ซ้ำ เพื่อยกระดับมาตรฐานร้านนั้น ๆ โดยการรับรองของกรมอนามัย

สำหรับร้านอาหารที่จะได้รับใบรับรองฯ ต้องผ่าน 3 เกณฑ์สำคัญ ได้แก่ 1. ไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ 2. ขายน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว นำไปผลิตเป็น SAF อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน 3. ผ่านการตรวจค่าสารโพลาร์ (Polar compounds) โดยมีค่าสารโพลาร์ไม่เกินร้อยละ 25 ของน้ำหนักน้ำมันตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

ทั้งนี้ การลงนาม MOU โครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ มีนายธรรมรัตน์ ประยูรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน BSGF ร่วมลงนามกับ แพทย์หญิงอัจฉรา ปวะบุตร นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย ภายในงานห้าดาวนำผลิตภัณฑ์ไก่จ๊อห้าดาวที่ปรุงโดยใช้น้ำมันปรุงอาหารแบบทอดไม่ซ้ำไปร่วมออกบูธด้วย

'กรมโรงงานฯ' รับนโยบาย 'รมว.ปุ้ย' อำนวยความสะดวกนักลงทุน  ใช้ระบบออนไลน์อนุมัติ ร.ง.4 ชู!! เร็ว โปร่งใส ดันภาค อุตฯ ไทยโตต่อเนื่อง

(1 เม.ย.67) นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถิติข้อมูลการออกใบอนุญาต ร.ง.4 ในปี 2565-2566 พบว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีการออกใบอนุญาตให้ตั้งและขยายโรงงานที่มีขนาดใหญ่จำนวนกว่า 800 โรงงานต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2563-2564 

โดยเฉพาะในปี 2566 ที่ผ่านมา มีการอนุญาตให้ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ (นอกนิคมฯ) จำนวน 2,598 โรงงาน มูลค่าการลงทุนกว่า 356,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 23% เมื่อเทียบกับปี 2565 และเกิดการจ้างงานกว่า 106,631 คน สอดรับกับการที่บีโอไอได้รับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2566 มูลค่ารวม 8.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยเมื่อพิจารณาเฉพาะมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีการเติบโตสูงถึง 72% จากปีก่อน

นายจุลพงษ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาตามปีงบประมาณ 2567 มีมูลค่าการลงทุนจากการอนุญาตให้ตั้งและขยายโรงงานอุตสาหกรรมนอกนิคมไปแล้วกว่า 255,586.74 ล้านบาท และหากพิจารณาเฉพาะปี 2567 ก็พบว่ามีการลงทุนตั้งและขยายโรงงานอุตสาหกรรมนอกนิคมในช่วง 3 เดือนแรกของปีแล้วกว่า 70,000 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่นายกรัฐมนตรีและคณะเข้าร่วมเจรจาด้านความร่วมมือกับผู้นำประเทศต่าง ๆ ตลอดจนการพบปะหารือกับภาคธุรกิจ ชักชวนการลงทุน สร้างความเชื่อมั่น จัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจและจับคู่ผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีนโยบาย Ease of doing business โดยให้หน่วยงานที่ออกใบอนุญาต พิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ เพื่อให้การประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมในไทยได้รับความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

นายจุลพงษ์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน กรมโรงงานอุตสาหกรรมยังได้ขับเคลื่อนนโยบายของนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เน้นย้ำให้มุ่งยกระดับการบริหารจัดการภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็นดิจิทัล โดยได้สั่งการให้เร่งนำระบบอนุญาตออนไลน์ (Digital-License) ของกระทรวงอุตสาหกรรมมาใช้งานในทันที เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ประกอบการในการขอรับใบอนุญาตได้อย่างรวดเร็ว โปร่งใส และสามารถตรวจสอบติดตามได้ในทุกขั้นตอน สอดคล้องกับบริบทสังคมดิจิทัลและรองรับการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมที่มีอัตราการลงทุนของโรงงานขนาดใหญ่ในแต่ละปีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-20% ตั้งแต่ปี 2563 มาจนถึงปัจจุบัน

"ปัจจุบันมีการยื่นขอรับใบอนุญาต ร.ง.4 เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องและอยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 22 โรงงาน แสดงให้เห็นถึงทิศทางและแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นขอให้นักลงทุนและผู้ประกอบการมั่นใจและเชื่อมั่นว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรมพร้อมดูแลอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมในทุกมิติ และพร้อมส่งเสริมการตั้งโรงงานที่มีมาตรฐาน เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตคู่ชุมชนอย่างยั่งยืน” นายจุลพงษ์ กล่าวปิดท้าย

สมาคมภัตตาคารไทย ผุดไอเดีย ‘ฟู้ดพาวเวอร์’  เพื่อเป็นจุดขาย ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว

(31 มี.ค.67) นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมภัตตาคาร ผู้ประกอบการร้านอาหารและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เตรียมจัดโครงการฟู้ดพาวเวอร์ (FOOD POWER) เพื่อส่งเสริมและผลักดันการรับรู้เมนูอาหารและผู้ประกอบการร้านอาหารของไทยทั่วเมืองไทย ซึ่งในโครงการจะมีการจัดประกวดและคัดเลือกเมนูอาหารที่จะเป็นจุดขายและจูงใจนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เมื่อมาเมืองไทยต้องสั่งรับประทาน หรือเป็นเมนูอาหารคิดถึง ไม่ว่าจะไปร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ก็จะสั่งรับประทาน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ในกลุ่มอาหาร ที่รัฐบาลกำลังผลักดัน

นางฐนิวรรณ กล่าวต่อว่า สมาคมและกลุ่มร้านอาหาร จะมีการประชุมหารือเพื่อลงในรายละเอียดครั้งที่สองในเดือนเมษายนนี้ หลังจากเทศกาลมหาสงกรานต์ผ่านไป เบื้องต้นจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอาหารและร้านอาหาร ในแต่ละภูมิภาค เสนอเมนูและวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหาร ซึ่งเป็นเมนูอาหารท้องถิ่น และสามารถหาบริโภคได้ทั่วไป ไม่เจาะจงว่าต้องไปที่ร้านนั้นเท่านั้น หรือหาทานได้แค่ท้องถิ่น สำหรับมาตรฐาน สมาคมฯจะร่วมกับหอการค้าไทย ในการจัดทำมาตรฐานร้านอาหารเพื่อการท่องเที่ยว มีหลักเกณฑ์คัดเลือก อาทิ เมนูอาหารอร่อย วัตถุดิบหาได้ในท้องถิ่น สถานที่อำนวยความสะดวก สะอาด ห้องน้ำพร้อม เป็นต้น

“มีคำถามว่าตอนนี้เรา ก็มีหน่วยงานรัฐและองค์กรที่คัดเลือกเมนูและร้านอาหารในชื่อโครงการต่างๆ มากแล้ว แต่ก็มีร้านอาหารส่วนใหญ่ ยังมองว่าเป็นการคัดเลือกเข้าโครงการของหน่วยงานนั้นๆ มีการจำนวน มีข้อจำกัด แต่ละองค์กรมีร้านค้าหรือเมนูไม่กี่ร้อยหรือพันกว่าร้าน เทียบกับร้านอาหารในไทยเปิดกันทั่วไป ทั้งอยู่ในอาคาร นอกอาคาร ในตึกแถว ในห้าง หรือ ริมถนนตามชุมชน กว่า 1 แสนร้านค้า และสตรีทฟู้ดส์ที่เกิดจากคนรุ่นใหม่อีกหลายหมื่นราย อยากให้มีเมนูขึ้นชื่อและเป็นที่นิยมของต่างชาติ ก่อนหน้าเราเคยเสนอใบกะเพรา เป็นวัตถุดิบหลัก จนผัดกะเพรา เป็นที่รู้จักมากขึ้น

เหมือนอย่างต้มยำกุ้ง หรือผัดไทย ส่วนตัวกำลังมองการใช้วัตถุดิบหลักอย่างไก่ และกุ้ง เป็นวัตถุดิบหลักในการคิดเมนูระดับชาติต่อไป เพราะไม่แค่คนมาไทยจะสั่งเมนูจากไก่หรือกุ้ง ยังเป็นส่งเสริมส่งออกวัตถุดิบไก่และกุ้ง ไปทั่วโลกด้วย ต่อไปก็จะต่อยอดเป็นสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ประเด็นคือ เมื่อเมนูที่ได้คัดเลือก สามารถปรุงแต่งขายกันทั่วไปแล้ว นักท่องเที่ยวหารับประทานได้ทั่วไป และในราคาปกติทั่วไปด้วย จุดประสงค์เราต้องการให้เป็นเมนูที่โด่งดัง รับรู้เป็นที่นิมของทั่วโลก โดยที่แต่ละภาคจะพัฒนาสูตรเฉพาะของตนเอง เช่น ไก่ย่างไทยพิเศษกว่าประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างไร เป็นต้น” นางฐนิวรรณ กล่าว

นางฐนิวรรณ กล่าวถึงกำลังใช้จ่ายในร้านอาหารว่า สงกรานต์เดือนเมษยนนี้ จะเป็นอีกช่วงที่จะสร้างโอกาสการขายและเพิ่มรายได้กว่าปกติ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยภาพรวมการเข้าร้านอาหารในปี 2567 นี้ฟื้นตัวแล้วอัตราประมาณ 90% ดีกว่าปีก่อนที่ฟื้นตัวอัตรา 75-80% ที่ยังไม่เต็ม 100% เท่าปีก่อน 2562 ก่อนเกิดโควิด เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นเท่าเดิม ปีนั้นมีถึง 40 ล้านคน ดังนั้นการฟื้นระดับ 90% ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว

นางฐนิวรรณ กล่าวต่อว่า บรรยากาศสงกรานต์ปี 2567 นี้ มั่นใจได้ว่าจะคักคักกว่าสงกรานต์หลายปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากมหาสงกรานต์ 21 วัน ซึ่งในกรุงเทพฯมักมีคนน้อย งานมหาสงกรานต์ภายใต้ซอฟต์พาวเวอร์ ที่กำหนดเปิดงานใหญ่ช่วงวันที่ 11-16 เมษายน ที่ถนนราชดำเนิน สนามหลวง จะดึงคนไทยและต่างชาติ เที่ยวในไทยมากขึ้น พร้อมกับกิจกรรมหัวเมืองใหญ่จะสร้างบรรยากาศสงกรานต์ไทยปีนี้คึกคักได้มาก สะท้อนจากร้านอาหารทั่วไปมักปิดทำการและเดินทางกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ส่วนหนึ่งเตรียมเปิดจำหน่ายในช่วงสงกรานต์

“ข้อกังวลของธุรกิจร้านอาหาร ไม่แค่ลุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเท่าเดิมในแต่ละเดือน ยังต้องติดตามผลกระทบจากต้นทุนสูง หลังนโยบายให้ปรับค่าจ้างแรงงานรายวัน ราคาดีเซล หรือการสิ้นสุดของมาตรการช่วยค่าไฟ ค่าน้ำ ของภาครัฐ ซึ่งมีผลตรงต่อเงินในกระเป๋าประชาชน และอารมณ์ที่ออกมาร้านอาหารนอกบ้าน ตอนนี้การมีมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย ทั้งการลดค่าใช้จ่ายหรือการเติมเงินเข้ากระเป๋า จะเป็นแรงส่งต่อการใช้จ่ายต่อเนื่อง ตอนนี้ทั้งคนซื้อคนขายก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร การลงทุนระดับฐานรากก็ยังลังเลกว่าในอดีตมาก เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดึงความเชื่อมั่นต่ออนาคตให้มากขึ้น” นางฐนิวรรณ กล่าว

'6 เดือนรัฐบาล' กระตุ้นเศรษฐกิจไม่เป็นตามหวัง ซ้ำ!! 'เงินดิจิทัลวอลเล็ต' ยังกระทบงบประมาณ 67

'เศรษฐกิจไทย' ยังคงทรงตัว และไม่มีสัญญาณใด ๆ ที่จะส่งผลดี กระตุ้นให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้เพิ่มขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ สต็อกบ้าน คอนโด เหลือขายเป็นจำนวนมาก โครงการเปิดขายใหม่ ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เพิ่มขึ้น 10.80% แต่หน่วยขายได้ กลับลดลง -14.50% เตรียมเข็นมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ จาก 2% เหลือ 1% และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ จาก 1% เหลือ 0.01% โดยขยายสำหรับที่อยู่อาศัยที่มีราคาซื้อขายเกิน 3 ล้านบาท โดยให้สิทธิเฉพาะ 3 ล้านบาทแรก เท่านั้น

ด้านพลังงาน มาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ก๊าซหุงต้ม จะสิ้นสุด 31 มีนาคม 2567 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) คาดการว่า กองทุนน้ำมันฯ จะติดลบในระดับ 100,000 ล้านบาท จึงอาจไม่สามารถขยายเวลาในการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ได้ 

หากจำเป็นต้องตรึงราคาดีเซลต่อ ต้องอาศัยกลไกจากกระทรวงการคลัง โดยการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล มาช่วยตรึงราคาควบคู่กับกลไกกองทุนน้ำมัน 

ส่วนค่าไฟฟ้า มาตรการจะสิ้นสุด 30 เมษายน 2567 ซึ่ง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 มีแนวโน้มจะสามารถตรึงฐานค่าไฟได้ต่อ ถึงเดือนสิงหาคม 2567 

ด้านการท่องเที่ยว คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เห็นชอบการเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนใน 'กิจการจัดงานมหกรรมดนตรี กีฬา และเทศกาลนานาชาติ' ที่มีการลงทุนเกิน 100 ล้านบาทในไทย สามารถยื่นขอบีโอไอได้ ได้รับสิทธิ์เว้นอากรขาเข้า อุปกรณ์-เครื่องจักร พร้อมช่วยอำนวยความสะดวกวีซ่า ใบอนุญาตทำงาน เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางในการจัดงานระดับโลก (World Class Events) และเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยวของภูมิภาค (Tourism Hub) 

มาตรการที่มีในปัจจุบัน ยังคงไม่ทำให้คะแนนนิยมทั้งของรัฐบาล และตัวนายกรัฐมนตรีกระเตื้องขึ้น กับการที่บริหารประเทศมากว่า 6 เดือน ซึ่งจำเป็นต้องเข็นมาตรการเงินดิจิตอลวอลเล็ต เพื่อช่วยให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น 

โดยวันที่ 10 เม.ย. 67 จะมีการประชุมคณะกรรมการโครงการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยวาระสำคัญคือการเคาะแหล่งที่มาของเงินในโครงการนี้ ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 2 - 3 ทางเลือกระหว่างการใช้เงินกู้ และงบประมาณรายจ่ายประจำปี หลังจากที่ได้ข้อสรุปเรื่องแหล่งเงิน และไทม์ไลน์ในโครงการนี้แล้ว โครงการจะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการยืนยันว่าโครงการนี้รัฐบาลจะเดินหน้าตามขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อให้สามารถแจกเงินได้ทันภายในไตรมาสที่ 4 ของปีก่อนเทศกาลปีใหม่ 2568

ภาวะเศรษฐกิจประเทศไทยที่ยังคงไม่กระเตื้อง อีกสาเหตุหนึ่ง คือ การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า แต่เมื่อการหาแหล่งเงินทุนในโครงการแจกเงินดิจิตอลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายหาเสียงที่สำคัญของพรรคเพื่อไทย ที่เข้ามาเป็นรัฐบาล อาจจะต้องไปใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีร่วมด้วย นั่นหมายความว่า งบประมาณประจำปี ที่คาดการณ์ว่าจะมีการเบิกจ่ายตามกรอบงบประมาณ ของหน่วยงานต่าง ๆ ต้องถูกตัดไปใส่ในโครงการดิจิตอลวอลเล็ต เท่ากับว่า เม็ดเงินที่จะออกมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นไม่มากตามที่คาดการณ์ เพราะส่วนหนึ่งใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำ ที่จะต้องมีการเบิกจ่ายอยู่แล้ว 

หากเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องคิดเผื่อด้วยว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี ของแต่ละหน่วยงาน อาจจะต้องมีการเบิกจ่ายล่าช้าออกไปอีก เพราะทุกหน่วยงานต้องรอจัดสรรการใช้จ่ายในแต่ละโครงการอีกครั้ง ว่าโครงการใด ต้องชะลอเพื่อกันเงินไว้สำหรับโครงการดิจิตอลวอลเล็ต โครงการใดที่จะสามารถเบิกจ่ายได้จริง ส่งผลการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ยิ่งต้องล่าช้าออกไปอีก 

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงนี้ แทบจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจในประเทศเท่าใดนัก และกับการที่อาจต้องคาดการณ์ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 จะล่าช้าออกไปอีก ... ความกดดันที่ก่อตัวเพิ่มขึ้น กำลังถาโถมต่อรัฐบาล และทีมเศรษฐกิจ

ตอนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 สถานการณ์หนักพอควรแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ ก็คงไม่ต่างกัน นโยบายที่ออกมาเพียงเพื่อหาเสียงเพื่อให้ได้เข้าไปนั่งในสภา ถึงเวลาที่ต้องทบทวนกฎกติกา หรือยัง ?

ดัชนีค่าครองชีพของไทย อยู่อันดับที่ 94  ชี้ เศรษฐกิจกำลังดี มีแนวโน้ม น่าลงทุน 

(31 มี.ค.67) Business Tomorrow รายงานว่า ค่าครองชีพไทยอยู่อันดับ 94 จาก 146 ประเทศ อันดับที่ 5 ในกลุ่มอาเซียน

โดยกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า Numbeo ซึ่งเป็นเว็บไซต์ฐานข้อมูลด้านค่าครองชีพโลกที่มีชื่อเสียง ได้จัดทำดัชนีค่าครองชีพ (Cost of Living Index) ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกช่วงต้นปี 2024 พบว่า ดัชนีค่าครองชีพของไทย อยู่ที่ 36% ต่ำกว่าดัชนีเมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ ที่ใช้เป็นฐานเท่ากับ 100% โดยอยู่อันดับที่ 94 จาก 146 ประเทศทั่วโลก ถือว่าอยู่ระดับต่ำ โดยลดลงจาก 40.7% หรืออยู่อันดับที่ 79 จาก 140 ประเทศทั่วโลก ในปี 2023

ประเทศในกลุ่มอาเซียน
อันดับที่ 7 สิงคโปร์ 
อันดับ 48 บรูไน 
อันดับ 87 เมียนมา 
อันดับ 88 กัมพูชา 
อันดับ 94 ไทย
อันดับ 104 ฟิลิปปินส์ 
อันดับ 113 เวียดนาม 
อันดับ 115 มาเลเซีย 
อันดับ 126 อินโดนีเซีย 

ประเทศที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก 3 อันดับแรก 
1.เบอร์มิวดา ภูมิประเทศที่มีข้อจำกัด พึ่งพาการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 
2.สวิตเซอร์แลนด์ มีรายได้ต่อหัวสูง มีระบบสวัสดิการที่ดี การเมืองและเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ นักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะ 
3.หมู่เกาะเคย์แมน หมู่เกาะเคย์แมนเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ถูกจัดว่าร่ำรวยที่สุดในโลก มีชื่อเสียงด้านบริการทางการเงิน และด้วยภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติ 

ประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำที่สุดในโลก 3 อันดับแรก
1.ปากีสถาน มีปัญหาหนี้สินที่อยู่ระดับสูง การคอร์รัปชัน และความไม่มั่นคงทางอาหาร 
2.ไนจีเรีย การเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างอ่อนแรงลงจากปัจจัยต่าง ๆ การขาดแคลนอาหาร และปัญหาความยากจนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 
3.ลิเบีย จัดว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับสูงสุด และเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ 

การจัดทำดัชนีค่าครองชีพ (Cost of Living Index) ดังกล่าว คำนวณจากค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เสื้อผ้าและรองเท้า กีฬาและสันทนาการ และค่าสาธารณูปโภค (ไม่รวมค่าเช่าที่อยู่อาศัย) ซึ่งสำรวจข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อาทิ หน่วยงานภาครัฐ ซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค โดยเปรียบเทียบกับดัชนีค่าครองชีพของเมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ ซึ่งใช้เป็นฐานอยู่ที่ร้อยละ 100

‘Mazda’ เปิดบูธภายใต้ธีม ‘Love of Cars’ ในงาน Motor Show พร้อมอวดโฉม ‘MX-30 e-SKYACTIV R-EV’ ที่ ‘สะดวกสบาย-ไปได้ไกลว่า’

เมื่อเร็วๆ นี้ มาสด้าเนรมิตบูธจัดแสดงรถยนต์ ภายใต้ธีม Love of Cars เพื่อถ่ายทอดความมุ่งมั่นของมาสด้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์แห่งอนาคตที่กำลังดำเนินไปตามกรอบระยะเวลา ตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ที่หลงใหลในการขับขี่และรักในรถยนต์ โดยแบ่งโซนจัดแสดงบอกเล่าเรื่องราวที่มีลูกค้าอยู่ในทุกช่วงเวลา และมีรถยนต์มาสด้าเป็นพาร์ตเนอร์ในทุกประสบการณ์ ตอกย้ำการให้ความสำคัญที่มีลูกค้าเป็นหนึ่งในทุกการเติบโต สื่อสารอารมณ์ความรู้สึก ความสนุกสนานในการขับขี่ ความสุขในการใช้ชีวิต และอนาคตที่รถยนต์มีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ได้แบ่งปันความทรงจำที่มีต่อรถยนต์ร่วมกัน เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกค้าและแบรนด์มาสด้าให้แนบแน่นยิ่งขึ้น พร้อมปลุกตำนานโรตารี่ด้วยการจัดแสดงเทคโนโลยีแห่งอนาคต Mazda MX-30 e-SKYACTIV R-EV ที่ผสานการทำงานร่วมกันระหว่างระบบไฟฟ้ากับเครื่องยนต์โรตารี่ กลายเป็น Plug-in Hybrid ที่ให้ทุกการเดินทางสะดวกสบายและไปได้ไกลกว่า มาให้คนไทยได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้มาสด้าออกแบบบูธใหม่ทั้งหมด ภายใต้ธีม Love of Cars ได้แรงบันดาลใจจากการมีลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งในทุกประสบการณ์ของการเดินทาง เป็นศูนย์รวมความสุขของผู้ที่รักในรถยนต์ โดยแบ่งโซนการจัดแสดงออกเป็น โซนแกลเลอรี่วอลล์ ที่ลูกค้าส่งภาพความประทับใจกับรถยนต์คันโปรด You and Mazda Moments ถ่ายทอดประสบการณ์ความสุขในทุกช่วงเวลาของลูกค้า ซึ่งเป็นปณิธานที่เรามุ่งหวังและตั้งใจที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าทุกคน และยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่รักในรถยนต์ 'The Memorable Love of Cars' เสียสละรถโมเดลผ่านทางมาสด้า เพื่อส่งต่อให้กับเด็กๆ เยาวชนที่ขาดแคลน ซึ่งมีผู้สละเข้ามามากกว่า 500 คัน และมาสด้าเพิ่มเติมอีก 1,000 คัน โดยจะเร่งส่งต่อรถโมเดลเหล่านี้ให้ถึงมือเด็กๆ โดยเร็วที่สุด

ส่วนไฮไลต์สำคัญ คือ การจัดแสดงเทคโนโลยี Multi-Solution มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ส่งมอบเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายและมีความเหมาะสมในแต่ละภูมิภาค เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า ในยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากพลังงานเชื้อเพลิงไปสู่พลังงานไฟฟ้า หลายคนคงจดจำเครื่องยนต์โรตารี่ สัญลักษณ์แห่งการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และความคิดสร้างสรรค์ นี่คือหนึ่งใน Multi-Solution เทคโนโลยีแห่งอนาคตจากมาสด้า การนำเทคโนโลยี e-SKYACTIV R-EV มาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ เป็นการปลุกฟื้นคืนชีพตำนานเครื่องยนต์โรตารี่ ต้นกำเนิดรถสปอร์ตมาสด้าหลากหลายรุ่นในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันกลายเป็นดีเอ็นเอสายพันธุ์สปอร์ตที่ทั่วโลกให้การยอมรับ

หัวใจหลักสำคัญของการพัฒนา MAZDA MX-30 e-SKYACTIV R-EV คือเครื่องยนต์โรตารี่ทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เครื่องยนต์ขนาด 830 ซีซี เล็กกว่าเครื่องยนต์ลูกสูบทั่วไปที่ให้กำลังใกล้เคียงกัน ให้พละกำลังสูงสุดถึง 170 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที ลูกสูบหมุน 1 โรเตอร์ ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม น้ำหนักเบาเพียง 15 กก. ประกอบกับแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนขนาด 17.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เมื่อวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวได้ระยะไกลถึง 85 กิโลเมตร ที่เกิดจากจากการชาร์จเพียงครั้งเดียว ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในเมือง และเมื่อได้รับการปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้ากลับเข้ามาจากเครื่องยนต์โรตารี่จะทำให้เพิ่มระยะทางในการขับขี่ได้ไกลกว่า 600 กิโลเมตร ทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลกับการเดินทางไกลเพื่อออกไปหาประสบการณ์ใหม่ในการดำเนินชีวิต ซึ่งเกิดจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์โรตารี่ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงขนาดถัง 50 ลิตร มาผสานการทำงานของระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขยายระยะทางในการขับขี่ กลายเป็นเทคโนโลยี ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่สมบูรณ์แบบที่มีต้นกำเนิดจากการทำงานของเครื่องยนต์โรตารี่ อันเกิดจาก 'จิตวิญญาณแห่งความท้าทาย' หรือ 'Challenger Spirit' อันมีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถยนต์มาสด้าทุกรุ่นที่นำมาจัดแสดงภายในงานฯ ล้วนเป็นยนตรกรรมได้รับการถ่ายทอดปรัชญาของมาสด้า เพื่อยกระดับประสบการณ์ความสุขในทุกการขับขี่ และการใช้ชีวิตประจำวันในทุกๆ ด้านให้กับลูกค้าทุกคน ซึ่งรวมถึง การนำ NEW MAZDA MX-5 รถสปอร์ตโรดสเตอร์แบรนด์ไอคอนยอดนิยม ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงใหม่ด้วยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัย กับเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการเชื่อมต่อ และเทคโนโลยีในการขับขี่ เพื่อถ่ายทอดปรัชญา จินบะ-อิตไต (Jinba-Ittai) ให้โดดเด่นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ขับขี่จะสามารถสัมผัสได้ถึงอัตราเร่ง และการควบคุมพวงมาลัยที่ตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม ฉับไว ไม่ว่าจะขับรถในเมือง ทางโค้ง หรือขับในสนามแข่ง

โดยเฉพาะในระบบเกียร์แมนนวลที่มาพร้อม DSC-TRACK ซึ่งเป็นระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (Dynamic Stability Control: DSC) ใหม่ ที่ใส่เพิ่มเติมเข้าในรถรุ่นนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้เหมือนกับการขับรถแข่งในสนามแข่ง โดยระบบจะยอมให้เกิด Understeer หรือ Oversteer เพียงเล็กน้อย และระบบจะเข้ามาช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้ หรือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์รถหมุนเท่านั้น เพื่อช่วยควบคุมรถเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จึงสามารถมอบความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น และขับขี่ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ตอกย้ำถึงแนวทางในการพัฒนารถยนต์ของมาสด้าได้เป็นอย่างดี ในด้านการยกระดับคุณค่าประสบการณ์ของลูกค้าให้ครบทุกมิติ วางราคาจำหน่าย 3,029,000 บาท ดอกเบี้ย 2.49%1 ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)3 ขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี และฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี

ทั้งนี้ มาสด้าจะยังคงเดินหน้าในการส่งมอบ ความสุขในการขับขี่ Joy of Driving ต่อไป ภายใต้คุณค่าหลัก ที่ให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้น 'มนุษย์เป็นศูนย์กลาง' และมุ่งมั่นที่จะส่งมอบ 'ความสุขในการดำเนินชีวิต' ด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์ความสุขให้กับชีวิตประจำวันของทุกคน

‘Audi’ จัดแคมเปญ ลดกระหน่ำ ย้ำ!! ไม่ซื้อตอนนี้ จะไปซื้อตอนไหน ลดให้สูงสุด 2.2 ล้าน หั่นราคารับ Motor Show มีครบ ‘สปอร์ต-เอสยูวี-รถไฟฟ้า’

เมื่อเร็วๆ นี้ Audi Thailand ประกาศมอบส่วนลดให้ลูกค้าสูงสุด 2.2 ล้านบาท หั่นราคาแบบไม่เคยมีมาก่อน ด้วยแคมเปญ ไม่ซื้อ Audi ตอนนี้จะไปซื้อตอนไหน ไฮไลต์เด่นในบูธ Audi ที่นำมาจัดแสดงในงาน เช่น รถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงรถพลังงานผสมปลั๊กอินไฮบริด และรถสมรรถนะสูงตระกูล RS ในสีพิเศษที่ไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อนกว่า 20 รุ่น ครั้งแรกที่ Audi นำรถนำเข้าทั้งคัน (CBU) มาตรฐานเยอรมัน คุณภาพประกอบพรีเมียมมาลดราคาพิเศษ ส่วนลดสูงสุดในแคมเปญ Motor Show ถึง 2.2 ล้านบาท

· RS e-tron GT ลดเหลือ 7.99 ล้านบาท
· TT Coupé Final Icon Black ลดเหลือ 3.199 ล้านบาท
· Q8 e-tron 50 quattro ลดเหลือ 4.399 ล้านบาท
· Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition ลดเหลือ 4.449 ล้านบาท
· Q5 55 TFSI e quattro S line ลดเหลือ 3.299 ล้านบาท

ไฮไลต์ในงานนอกจากส่วนลดสูงสุด 2.2 ล้านบาท Audi ยังมีการเปิดตัว Audi TT Coupé Final Icon Black X Benzilla Edition1/1 ที่มีเพียงคันเดียวในประเทศไทย เป็นการทำงานร่วมกับ 'Benzilla' ศิลปิน Street Artist ชื่อดังของประเทศไทย เจ้าของคาแรกเตอร์ LOOOK มนุษย์ต่างดาวสามตาที่กำลังได้รับความนิยม และมีผลงานร่วมกับแบรนด์ชั้นนำมากมาย มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนตัวรถ ด้วยสีที่เป็นเฉดสีของ Audi TT Coupé เท่านั้น เช่น Glacier white, Mythos black, Chronos grey, Tango red, Turbo blue และ Python yellow เพิ่มความโดดเด่นให้กับความเป็น 'Iconic design' ของ Audi TT Coupé พิเศษสำหรับแฟน Audi ที่อยากเป็นเจ้าของ Audi TT Coupé Final Icon Black X Benzilla Edition1/1 ที่มีเพียงคันเดียวในประเทศไทย พร้อมเปิดให้จอง ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 12.00 น. สำหรับลูกค้า 5 ท่านแรก ที่จอง Audi TT Coupé ในงานมอเตอร์โชว์ รับสิทธิพิเศษเลือก Customed Design TT X Benzilla Special Edition ในแบบที่คุณต้องการ และลูกค้าทุกท่านที่จองรถอาวดี้ทุกรุ่นในงาน Motor Show รับของขวัญสุดพิเศษจาก Audi X Benzilla Collection (จำนวนจำกัด)

สนใจสามารถเข้าชมรถทุกรุ่นได้ที่ บูธ Audi ในงานมอเตอร์โชว์ พร้อมทดลองขับได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2567

อนุชุมชนฯ ลงพื้นที่ฉะเชิงเทรา ขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ อีอีซี

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่การพัฒนาพื้นที่และชุมชน นำโดย รองศาสตราจารย์มณฑล แก่นมณี ประธานอนุกรรมการ พร้อมด้วย นายธนาคม จงจิระ รองประธานฯ และอนุกรรมการ รวมทั้งผู้บริหาร สกพอ. นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการฯ สายงานพื้นที่และชุมชน และเจ้าหน้าที่ สกพอ. นายอาทร เสริมศักดิ์ศศิธร ประธาน YEC และผู้ผแทน YEC ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเรียนรู้แนวทางการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของนิคมอุตสาหกรรม ฯ และชุมชนรอบโครงการอย่างเป็นรูปธรรม และการยกระดับผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้มีมูลค่าสูงขึ้นของวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ รวมถึงร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานในพื้นที่และผู้นำท้องถิ่นเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกผ่านโครงการ EEC Tambon Mobile Team คณะอนุกรรมการฯ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของ สกพอ. ได้ลงพื้นที่ประชุมหารือและศึกษาแนวทาง การดำเนินงาน 'เขาดิน โมเดล' 

ซึ่งเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการช่วยเหลือเกื้อกูลและสนับสนุนส่งเสริมกันของนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ และชุมชนรอบโครงการทั้งด้านที่ดิน ด้านอาชีพ และด้านสิ่งแวดล้อม ณ ศูนย์เรียนรู้ “ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน” แห่งแรกของประเทศไทย โดยมีนางสาวกุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญาประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ได้มีการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรในชุมชนให้มีมูลค่าสูงขึ้น และสามารถขยายช่องทางการตลาดได้มากขึ้น ซึ่งจะนำไปขยายผลในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไป จากนั้น ได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจร ของบริษัท บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เกิดจากการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ กับ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ไต้หวัน) ผลผลิตของโรงงานแห่งนี้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ อีอีซี  

นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้ร่วมประชุมหารือร่วมกับนายศักรินทร์ ศรีสมวงศ์ นายอำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้นำท้องถิ่น ประกอบด้วย นายหิรัญ หริ่มเจริญ กำนันตำบลหนองตีนนก นายสมศักดิ์ ไหลไผ่ทอง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 และนายเมืองแมน มนจ้อย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลหนองตีนนก และนายวิลาศ สุวินัย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองตีนนก เป็นต้น เกี่ยวกับแนวทางการทำงานร่วมกันในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ อีอีซี รวมทั้งการเตรียมพื้นที่และชุมชนให้มีความพร้อมและศักยภาพที่จะรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านโครงการ EEC Tambon Mobile Team จากนั้น ได้เข้าเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานและการแปรรูปตำบลหนองตีนนก ซึ่งได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดวิสาหกิจชุมชนดีเด่น ระดับจังหวัด ประจำปี 2567 วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มกันของประชาชนในชุมชนเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่สมาชิก ด้วยการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ด้วยวิธีการธรรมชาติ ให้สมาชิกมีอาหารที่ปลอดภัยอย่างเพียงพอ ส่วนรายได้ที่เกิดจาการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรจะนำมาปันผลให้แก่สมาชิก และช่วยเหลือสมาชิกยามเจ็บป่วย มีการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อลดต้นทุนการผลิตและรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับการประกอบธุรกิจแบบ BCG โดยคณะอนุกรรมการฯ จะนำข้อมูลและบทเรียนแห่งความสำเร็จไปเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการเชื่อมโยงจากการลงทุนสู่พื้นที่และชุมชน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของคณะอนุกรรมการฯ ต่อไป

'รัดเกล้า' เผย!! สศค.เล็งทบทวน มาตรการช่วยอสังหาฯ เพิ่มเงินกู้บ้านล้านหลังเป็น 2 ล้านบาท พร้อมลดค่าจด-โอน เหลือ 0.01%

(30 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เตรียมพิจารณาทบทวนมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ ให้เติบโตขึ้น โดยพิจารณามาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 1% คำจดจำนองจากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับอสังหาฯที่ราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน3 ล้านบาท โดยจะขยายให้ราคาซื้อขายเกิน 3 ล้านบาทมีสิทธิเข้าร่วมมาตรการด้วย แต่ให้สิทธิเฉพาะ 3 ล้านบาทแรก

ส่วนมาตรการการเงิน โครงการบ้านล้านหลัง เฟส 3 ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่กำหนดให้กู้ได้เฉพาะผู้ซื้อบ้านก่อสร้างและวงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน1.5 ล้านบาทนั้น จะขยายเป็นราคาสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท เพราะที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท หาได้ยากและไม่ได้เสี่ยงมาก ส่วนการทบทวนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้มา 5-6 ปีแล้ว กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย กำลังศึกษาร่วมกันเพื่อทบทวนให้เหมาะสม เช่นการจัดระเบียบประเภทที่ดินให้ชัดเจนมากขึ้นรวมทั้งการให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ปัจจุบันให้ อปท. ใช้ดุลพินิจได้ตามความเหมาะสม เช่น ที่ดินเปล่าที่เจ้าของปลูกต้นไม้ทำสวน แต่ไม่ถึงเกณฑ์เป็นที่ดินเพื่อการเกษตรนั้นได้ให้ อปท.ตัดสินใจได้เลยว่าจะเข้าเกณฑ์ใดส่วนอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังไม่มีแนวคิดปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การปรับมาตรการกล่าว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ โดย นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เตรียมรายละเอียดเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในเร็ว ๆ นี้

รู้จัก 'น้องไตตั้น' เด็กเก่งผู้สอบติดเตรียมอุดมฯ ด้วยคะแนนลำดับ 2 ของประเทศ มุ่งมั่นขอสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง (ทุนคิง) หวังนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาชาติ

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'น้องไตตั้น' เด็กชายปริญ มิตรารัตน์ เด็กเก่งจากโรงเรียนสาธิตปทุมวัน ที่สามารถสอบติด ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ด้วยคะแนนเป็นลำดับที่ 2 ของประเทศ

โดยวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับน้องไตตั้น อีกหนึ่งเด็กไทยที่ทุกคำตอบมีความคิดไกลเกินวัยเด็ก 14 ปี ผ่านบทสัมภาษณ์นี้กันให้มากขึ้น...

ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจทุ่มเทของน้องไตตั้น เด็กชายปริญ มิตรารัตน์ ที่มีความขยันศึกษาหมั่นเพียร ทำให้เขาสามารถสอบติด ม.4 ถึง 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์, โรงเรียนกำเนิดวิทย์ และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 

แต่สุดท้ายน้องไตตั้น ตัดสินใจเลือกเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เนื่องจาก ม.1-ม.3 เรียนที่โรงเรียนสาธิตปทุมวัน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ข้าง ๆ กัน สถานที่ใกล้เคียงกันทำให้ไม่ต้องปรับตัวเยอะ และการเลือกเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาก็เป็นการเปิดโอกาสในการสอบทุนเล่าเรียนหลวง (King’s Scholarship) หรือ ‘ทุนคิง’ ซึ่งเป็นทุนให้นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่ศึกษาในไทยมีโอกาสไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในต่างประเทศได้

น้องไตตั้น เล่าให้ฟังว่า ตอนทราบผลสอบดีใจมาก คุณพ่อคุณแม่ก็ดีใจมากเช่นกัน ส่วนเหตุผลที่ทำให้สามารถสอบได้คะแนนสูงขนาดนี้? น้องไตตั้น บอกว่า "ผมเตรียมสอบทุกวิชามาเป็นอย่างดี ซึ่งวิชาที่ผมน่าจะทำได้ดี คือ คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่บ้านปลูกฝังให้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล"

เมื่อถามว่าพลาดตรงไหนถึงทำให้ไม่ได้ที่หนึ่ง? น้องไตตั้นตอบว่า "ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ผมทำเต็มที่แล้ว ทุกคนที่มาสอบแข่งขันก็มีความเก่งเหมือนกันไม่ใช่ผมคนเดียว เก่งกันทุกคน ขึ้นอยู่กับจังหวะในวันสอบว่าเราพร้อมมากน้อยแค่ไหน"

เมื่อถามถึงแนวทางในการเตรียมตัวสอบและการใช้ชีวิต? น้องไตตั้น กล่าวว่า "ผมเรียนพิเศษมาเรื่อย ๆ และเริ่มจริงจังตอน ม.2 ซึ่งผมว่าการเตรียมตัวสอบไม่ได้มีวิธีเดียว บางคนชอบเรียนพิเศษก็สามารถเรียนได้ หรือบางคนชอบอ่านหนังสือแล้วฝึกทำโจทย์เองก็ได้ครับ แต่โดยปกติเมื่อเรียนพิเศษเสร็จ ผมก็จะกลับมาทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งส่วนตัวชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ส่วน Life Style การใช้ชีวิต ผมก็ไม่ได้อ่านหนังสือตลอดเวลา แต่ยังแบ่งเวลาเล่นกีฬา โดยเฉพาะบาสเกตบอล และผ่อนคลายด้วยการดูหนังฟังเพลง และเล่นเกมบ้าง"

เมื่อถามถึงความฝัน? น้องไตตั้น เผยว่า "อยากทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์ วิศวกรคอมพิวเตอร์ เพราะชอบศึกษาด้าน Software ชอบเขียนโค้ด และตอนนี้ก็กำลังเข้าค่ายอบรมของ สอวน. (มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการ และพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา) ค่ายที่ 2 ซึ่งการเข้าค่าย สอวน. เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้สนใจด้านคอมพิวเตอร์มากขึ้น"

น้องไตตั้น เสริมอีกว่า ส่วนอนาคตอันใกล้นี้ ตั้งเป้าหมายว่าอยากเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศด้านคอมพิวเตอร์ เพื่อต่อยอดทางการศึกษา และสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง (King’s Scholarship) เพื่อไปศึกษาต่อที่ Stanford University มหาวิทยาลัยระดับโลกที่มีชื่อเสียงในหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านวิศวกรรม วิทยาการคอมพิวเตอร์ โดยเมื่อเรียนจบตั้งใจนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาประเทศ"

เมื่อถามว่าอยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ที่อยากเรียนเก่ง จะต้องทำอย่างไรบ้าง? น้องไตตั้น เผยว่า "เริ่มแรกต้องตั้งเป้าหมายว่าอยากได้อะไร อยากเรียนที่ไหน อยากได้เกรดเท่าไหร่ และต้องเชื่อมั่นว่าทำได้ และเลือกเส้นทางดูว่า จะทำให้เดินไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไร"

ท้ายสุด น้องไตตั้น ได้กล่าวขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ ที่ดูแลใส่ใจมาโดยตลอด และยังให้ความรักและกำลังใจในเรื่องการเรียน พร้อมทั้งบอกว่า ถ้าไม่มีท่านทั้งสอง ตนก็คงไม่มีวันนี้...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top