Saturday, 23 September 2023
ECONBIZ

‘อ.พงษ์ภาณุ’ วิเคราะห์!! ยานยนต์ไทยใต้เงายุค EV ทางสองแพร่ง ที่ไม่ควรส่งเสริมแค่สิทธิด้านภาษี

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 10 ก.ย.66 ในประเด็นอนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และทางแยกสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ภายใต้ทิศทางใดเพื่อผลักไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ของเอเชียได้อย่างแท้จริง ดังนี้...

อนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์อุตสาหกรรมและตลาดยานยนต์ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engines) ซึ่งครองความเป็นเจ้าถนนมาตลอดระยะเวลากว่า 130 ปี กำลังเจอความท้าทายอย่างหนัก นับจาก Benz ได้จดสิทธิบัตร Motorwagen ครั้งแรกเมื่อปี 1880 และพาอุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในยุโรป, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น และไทย

แต่วันนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ดั้งเดิมกำลังเจอกับ Technological Disruption ครั้งใหญ่ที่สุด ใหญ่ถึงขนาดที่จะเปลี่ยนแปลงวงการแบบถอนรากถอนโคน เมื่อ Tesla ของ Elon Musk ได้นำรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles - EV) ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2010 จนผ่านมาถึงวันนี้ตลาดรถยนต์ EV ได้เติบโตอย่างรวดเร็วจนปัจจุบันมียอดผลิต/จำหน่ายเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของรถยนต์นั่งทั้งหมดและน่าจะเติบโตต่อไปอีกมาก เพราะความสนใจของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญใน Hardware และความเป็นเลิศทางยนตรกรรม มาเป็น Software และประสบการณ์ทางดิจิทัลผ่านยานพาหนะมากขึ้น

แน่นอนว่า ประเทศไทยซึ่งประสบความสําเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์มากว่า 50 ปี และมีอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีขนาดใหญ่มาก มีสัดส่วนใน GDP กว่า 10% พิจารณาได้จากการจ้างงานเกือบ 1 ล้านคน และถึงขั้นได้รับสมญานามว่าเป็น Detroit of Asia เมื่อปี 2017 ไทยผลิตรถยนต์ได้ 2 ล้านคัน ขายในประเทศ 1 ล้านคัน และส่งออกอีก 1 ล้านคัน ถือเป็นประเทศที่ผลิตรถยนต์ส่งออกมากเป็นอันดับ 13 ของโลก

แต่วันนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ได้เดินมาถึงทางแยกสำคัญ หากยังยึดโยงกับผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีการเคลื่อนตัวค่อนข้างช้าไปสู่การผลิตรถยนต์ EV เมื่อเปรียบเทียบกับแนวโน้มในประเทศอื่น โดยเฉพาะจีนที่ได้กลายเป็นผู้นำในรถยนต์ EV และในการผลิตแบตเตอรี

ทิศทางการส่งออกรถยนต์ (สันดาป) ไปตลาดสำคัญๆ ของไทยก็เริ่มมีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อตลาดที่เคยเป็นฐานหลักของไทยเริ่มหันเหไปมองหารถยนต์ EV มากขึ้น

ครั้นจะพลิกบทบาทมาเป็นผู้เล่นในตลาด EV ก็น่าห่วงกับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ซึ่งยังไม่สามารถเทียบได้กับจีนที่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง หรือแม้แต่อินโดนีเซียที่มีสินแร่สำคัญสำหรับผลิตแบตเตอรีและมีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า

ดังนั้น จากนาทีนี้ จึงเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลใหม่จะต้องทบทวนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนที่เคยมุ่งเน้นแต่การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร มาเป็นการส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเทคโนโลยี ก่อนที่เราจะไม่มีอุตสาหกรรมยานยนต์เหลือให้พัฒนา

‘พงษ์ภาณุ’ สะท้อนภาพ ภาคท่องเที่ยวเชียงใหม่น่าห่วง หวังเห็นแสงสว่าง หลังภาคีเครือข่ายรัฐเอกชนร่วมกู้วิกฤต PM2.5 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยว นับเป็นฟันเฟืองที่สำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ นั่นเพราะรายได้ราว 80% มาจากกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงที่บูมสุดขีดมีมากถึง 10 ล้านคน ในปี 2562 ก่อนที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โควิด-19

แม้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นหลังโควิด-19 คลี่คลายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่ทว่า กลับมาได้รับผลกระทบจากไฟป่า และฝุ่น PM2.5 ซ้ำเติมเข้าไปอีก ทำให้สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ไม่ฟื้นตัวตามเป้าหมายที่คาดการณ์กันไว้

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองต่อผลกระทบจาก PM2.5 ในจังหวัดเชียงใหม่ว่า จากข้อมูลด้านเศรษฐกิจของเชียงใหม่ พบว่ารายได้ประมาณ 80% มาจากภาคการท่องเที่ยวใหญ่มา สะท้อนให้เห็นว่าการท่องเที่ยวมีความสำคัญมาก เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่กระทบต่อการท่องเที่ยว จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของเชียงใหม่อย่างปฏิเสธไม่ได้

ทั้งนี้ จากการติดตามตัวเลขสถิติด้านการท่องเที่ยวอย่างละเอียด จะเริ่มเห็นสัญญาณที่นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเชียงใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว และคาดว่าน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อประเทศจีนเปิดประเทศ เพราะคนจีนชอบมาเที่ยวเชียงใหม่อยู่แล้ว แต่ทว่า หลังจากเกิดวิกฤต PM2.5 กลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ตัวเลขนักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก และคงเป็นเรื่องยากที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเหมือนเมื่อปี 2562 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเยือนเชียงใหม่ถึงกว่า 10 ล้านคน

ในขณะเดียวกัน จากกรณีที่ศาลปกครองจังหวัดเชียงใหม่ ได้ตัดสินให้ประชาชนชนะคดีกรณีรัฐละเลยในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม แม้จะเป็นข่าวดีที่ชาวเชียงใหม่ชนะคดี แต่เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า กลไกภาครัฐในการดูแลแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมล้มเหลว ไม่สามารถคุ้มครองชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนได้อย่างเหมาะสม

“การที่ประชาชนชนะคดีภาครัฐในเรื่องสิ่งแวดล้อม ถือเป็นกรณีประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่าจะพึ่งพาภาครัฐอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ในอดีตเมื่อครั้งที่ผมเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต เคยมีแนวคิดที่จะเก็บภาษีจากการปล่อยคาร์บอน โดยเฉพาะในเรื่องการเก็บภาษีรถยนต์ จากเดิมที่เก็บตามจำนวนซีซี แต่จะเปลี่ยนไปใช้รูปแบบเก็บภาษีตามการปล่อยคาร์บอน ซึ่งสมัยนั้นทำการศึกษาเยอะแยะไปหมด แต่ก็ไม่สำเร็จ”

นายพงษ์ภาณุ กล่าวด้วยว่า ในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อชีวิตประชาชน คงต้องพึ่งกลไกของภาคเอกชนเข้ามาช่วยลด คาร์บอน ลดฝุ่น PM2.5 โดยเฉพาะแนวคิดการเปิดตลาดคาร์บอนเครดิตของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหามลพิษได้อย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างมูลค่าจากอากาศที่บริษัท ประกอบกับโครงการหยุดเผาเรารับซื้อ ที่เริ่มเป็นรูปร่างจากความร่วมมือของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เชื่อว่าจะเป็นทางออกในการคลี่คลายวิกฤตที่เกิดขึ้นและจะทำให้การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่กลับมาเหมือนเมื่อปี 2562 ได้อีกครั้ง

‘ชัยวุฒิ’ ร่วมยินดีครบรอบ 5 ปี ‘ทีทรี เทคโนโลยี’ ยกเป็นองค์กรที่มีบทบาทร่วมขับเคลื่อนเทคโนโลยีของไทย

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 66 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์  รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานเปิดงานในพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปี ของบริษัท ทีทรี เทคโนโลยี จำกัด พร้อมกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานครบรอบ 5 ปีของบริษัทที ทรี เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนระบบเทคโนโลยีของประเทศไทย ผมขอแสดงความยินดีกับบริษัทที ทรี เทคโนโลยี ในความสำเร็จครั้งนี้ด้วย

ในช่วงระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา บริษัท ที ทรี ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรม การเชื่อมต่อระหว่างความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ และการแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการส่งเสริมเทคโนโลยีของประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองและการเชื่อมโยงโครงข่ายให้ถึงกันในทุกมิติ 

‘บริษัท ที ทรี เทคโนโลยี’ มีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีอันล้ำสมัยในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ฟิกส์บรอดแบนด์ (FBB), โมบาย บรอดแบนด์ (MBB), Internet of things (IoT), และโซลูชั่นระดับองค์กร เทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานสำคัญซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน  และยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือทางธุรกิจกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อสิ่งแวดล้อม และมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในโลกยุคดิจิทัลนี้ และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

‘เศรษฐา’ ส่งสัญญาณ!! ผ่าตัดใหญ่ตลาดหลักทรัพย์  ยกระดับการกำกับดูแลผู้ลงทุนให้มีความเข้มข้นขึ้น

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 66 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มีเป้าหมายปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อยกระดับการกำกับดูแลประชาชนผู้ลงทุนให้มีความเข้มข้นขึ้น ทั้งการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในตลาดหุ้น

การปรับโครงสร้างองค์กรตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ โดยกรรมการตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันมีจำนวน 11 คน เป็นกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มาจากการสรรหาและการคัดเลือกของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ 1 คน คือนายภากร ปิตธวัชชัย

อีก 6 คนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และอีก 4 คนเป็นตัวแทนจากบริษัทสมาชิกหรือตัวแทนจากบริษัทโบรกเกอร์ โดยมี ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ
.
โครงสร้างใหม่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับเปลี่ยนให้มีความหลากหลายขึ้น โดยมีตัวแทนกระจายในแต่ละกลุ่มอาชีพ รวมทั้งตัวแทนของประชาชนผู้ลงทุน ส่วนตัวแทนของโบรกเกอร์อาจลดจำนวนเหลือเพียง 1 คน เพราะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กระจุกตัวในกลุ่มคนแวดวงตลาดทุนและอดีตข้าราชการระดับสูงจากกระทรวงการคลังหรืออดีตผู้บริหารแบงก์ชาติ

กรรมการตลาดหลักทรัพย์ที่ขาดความหลากหลาย และเป็นกลุ่มผลประโยชน์ในตลาดทุน นำไปสู่ข้อจำกัดแนวความคิดในการแก้ปัญหาตลาดหุ้น และการขาดความกระฉับกระเฉงในมาตรการปกป้องประชาชนผู้ลงทุน ซึ่งเห็นได้ชัดจากความเสียหายกรณีการแต่งบัญชี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ‘STARK’ ซึ่งถือเป็นความหละหลวม บกพร่องร้ายแรงของตลาดหลักทรัพย์ฯ

นอกจากนั้น เมื่อพฤติกรรมโกงใน STARK ถูกเปิดโปง ตลาดหลักทรัพย์ฯ กลับดำเนินการแก้ปัญหาที่ล่าช้า ทั้งที่มีอำนาจในการกำกับ ควบคุมดูแล และจัดการแก้ปัญหาได้ในทันที เพื่อระงับยับยั้งความเสียหายไม่ให้ลุกลามในวงกว้าง

อีกเป้าหมายการจัดโครงสร้างการบริหารงานภายในที่นายเศรษฐา ให้ความสำคัญคือ การรื้อฟื้นบทบาทของฝ่ายกำกับ ซึ่งปัจจุบันต้องอยู่ภายใต้ฝ่ายการตลาด โดยจะยกระดับบทบาทการทำงานของฝ่ายกำกับให้มีความเข้มข้น

แยกเป็นหน่วยงานที่มีความอิสระและมีความคล่องตัวในการทำงาน มุ่งการตรวจสอบบริษัทจดทะเบียน ตั้งแต่เริ่มต้นสัญญาณการเกิดปัญหา และมีฝ่ายที่จะตรวจสอบงบการเงิน รวมทั้งธุรกรรมต่างๆ ของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะ โดยเมื่อพบปัญหาที่อาจสร้างความเสียหายให้ผู้ลงทุนจะเข้าแก้ไขในทันทีตั้งแต่ต้นน้ำ

ไม่ปล่อยให้ปัญหาลุกลาม จนสร้างความเสียหายให้นักลงทุน และกลายเป็นโศกนาฏกรรมใหญ่ที่เกิดขึ้นจากการกระทำผิดในบริษัทจดทะเบียนหลายกรณี

ตลาดหลักทรัพย์มีสภาพเหมือนองค์กรในแดนสนธยา เพราะสาธารณชนไม่มีโอกาสรับรู้เงินเดือนของกรรมการและผู้จัดการ ไม่รู้อัตราโบนัสพนักงานในแต่ละปี และไม่รู้การใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยในการดูแลกรรมการทั้ง 11 คน

รายได้ของกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมแล้วปีละประมาณ 30 ล้านบาท และกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯเดินทางดูงานต่างประเทศบ่อยครั้ง โดยเดินทางสายการบินระดับเฟิร์สคลาส พักโรงแรมหรู กินอาหารชั้นดีราคาแพง

และแม้แต่การจัดเลี้ยงงานประชุมกรรมการ ยังสั่งไวน์ราคาแพงๆมาจิบกันเพลิน ทั้งที่การทำงานของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์มักสายเกินไปเสมอ โดยปัญหาเกิดขึ้นลุกลามบานปลายแล้ว ประชาชนผู้ลงทุนได้รับความเสียหายแล้ว ตลาดหลักทรัพย์จึงลงไปแก้ไข

รวมทั้งการใช้มาตรการกำกับหุ้นที่มีพฤติกรรมการสร้างราคา ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังนักลงทุนรายใหญ่ขายหุ้นทำกำไรออกไปก่อนแล้ว และมีกรณีล่าสุดหุ้นในตลาด MAI ที่ราคาถูกลากขึ้นอย่างร้อนแรง ก่อนที่จะถูกถล่มขายจนราคาดิ่งลงหนัก ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่แห่เข้าไปเก็งกำไรขาดทุนป่นปี้

การรื้อโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์ครั้งใหญ่ กำลังคืบคลานเข้ามา และเมื่อการทำงานของรัฐบาลนายเศรษฐา เข้าที่เข้าทาง การเปลี่ยนแปลงในคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์อาจเกิดขึ้นทันที

แน่นอนว่า กรรมการตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 11 คน จะต้องมีใครไปใครอยู่ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง

เป้าหมายในการปกป้องประชาชนผู้ลงทุนในตลาดหุ้นไม่ให้เสียหายจากการซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำซากตลอดเกือบ 50 ปีถูกกำหนดไว้แล้ว

และการรื้อโครงสร้างคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการปกป้องนักลงทุนไม่ให้ถูกปล้นจากแก๊งมิจฉาชีพในตลาดหุ้นของรัฐบาลเศรษฐา

‘กองทุนดีอี’ ติดตามโครงการจัดหาระบบ 5G Smart City ร่วมผลักดันพื้นที่ EEC ก้าวสู่เมืองอัจฉริยะน่าอยู่

กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามผลในการดำเนินงาน โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมือง และ ส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่ ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีประกาศ พ.ศ. 2564 ตามมาตรา 26 (1) ภายใต้กรอบนโยบาย Digital Government and Infrastructure

วันที่ 5 กันยายน 2566 กองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำโดยคณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลโครงการ ผู้แทนจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองพิจารณาโครงการ ผู้อำนวยการกองทุนฯ และเจ้าหน้ากลุ่มติดตามและประเมินผล ได้ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงาน 'โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมือง และ ส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่' ของ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ ได้ขอทุนสนับสนุนในการดำเนินโครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมือง และ ส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในพื้นที่ EEC ได้แก่ การสร้างเครือข่าย Internet of Things และ CCTV พร้อม ทั้งต่อยอดการพัฒนาเครือข่าย 5G Mobile และสร้างให้มีการใช้พื้นที่ที่มีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมทั้งการสร้างความพร้อมในการพัฒนา Service Platforms ควบคู่กับการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดธุรกิจ ใหม่ในด้านเมืองอัจฉริยะ และสร้างงานสร้างรายได้ให้กับเมือง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร เพื่อความยั่งยืนในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่นักพัฒนาเมืองจะสามารถ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแก้ปัญหา และต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ EEC ได้

โดยผลการดำเนินงานในโครงการ ประกอบด้วย การติดตั้งเสา Smart Pole จำนวน 90 ต้นในเขตเมือง ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวในเทศบาลเมืองพัทยา เพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้าน IoT และระบบ CCTV ผ่านเครือข่ายสัญญาณ 5G ในการส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งมีศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ Intelligent Operation Center (IOC) ตั้งอยู่ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ในการบริหารจัดการและดูแลระบบในการให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยว ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในการเริ่มใช้งานจริง เพื่อยกระดับการพัฒนาเมืองพัทยาให้เป็น Smart City เมืองอัจฉริยะอย่างแท้จริง

‘ดร.คณิศ’ ฟันธง!! คิกออฟ ‘แลนด์บริดจ์’ ช่วยบูม ‘เศรษฐกิจไทย’ ดัน GDP เพิ่ม

ทีมข่าว THE STATES TIMES  ได้พูดคุยกับ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยและ อดีตคณะกรรมการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในประเด็น ‘อภิมหาโปรเจกต์แลนด์บริดจ์’ 1 ล้านล้านบาท ที่จะเปลี่ยนประเทศไทย และเส้นทางการเดินเรือโลก

โดยก่อนที่จะไปถึงเรื่องแลนด์บริดจ์ ดร.คณิศ ได้เปิดประเด็นถึงความสำคัญของ SEC หรือ Southern Economic Corridor เพื่อเชื่อมต่อไปถึงอภิมหาโปรเจกต์ดังกล่าว ไว้ดังนี้…

SEC (Southern Economic Corridor) คือการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน ในพื้นที่ ชุมพร, ระนอง, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช ซึ่งจะดำเนินการพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เหตุผลหนึ่งต้องทำเพราะ หากเราลองพิจารณาบริบทการค้าขาย โดยดูจากเศรษฐกิจรอบๆ ภูมิภาคอาเซียนแล้ว เราจะพบเห็นการจัดตั้งกลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ ขึ้นมามากมาย เช่น กลุ่ม บริกส์ (BRICS) ได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, สาธารณรัฐประชาชนจีน และแอฟริกาใต้ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปยังภูมิภาคแปซิฟิก รวมถึงเคลื่อนย้ายไปเชื่อมต่อไปยังตะวันออกกลางและยุโรปได้เพิ่มมากขึ้น ผ่านโครงการ ‘หนึ่งเข็มขัดหนึ่งเส้นทาง จีนเชื่อมโลก’ (Belt and Road Initiative) เส้นทางสายไหมยุคใหม่ของจีน โดยรถไฟซึ่งสร้างมูลค่าเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น นี่คือตัวอย่าง

เช่นเดียวกันประเทศไทยเอง ก็สามารถเชื่อมโยงระหว่างเอเชียกับยุโรป หรืออินเดียได้ โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณเรือคับคั่ง โดยมาพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน ด้วยการคิกออฟโครงการ ‘แลนด์บริดจ์’ (Landbridge) ชุมพร, ระนอง ซึ่งไทยจะเป็นศูนย์กลางการค้าโลกได้

ย้อนกลับมาต่อคำถามที่ว่า แล้วทำไมต้องทำ SEC นั่นก็เพราะเขตพิเศษในปัจจุบัน จะช่วยทำให้ท้องถิ่นได้เติมศักยภาพ และยกระดับทางเศรษฐกิจ รวมถึงคุณภาพสังคมของคนในพื้นที่ได้มากขึ้น จนกลายเป็นGrowth Center ช่วยให้ประเทศก้าวได้เร็ว ไม่เจริญกระจุกตัว ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน รางรถไฟการขนส่ง ทำเรื่องเศรษฐกิจชุมชน ทำเรื่องอุตสาหกรรมเป้าหมาย สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างการลงทุนให้ประเทศ และก็ทำเมืองใหม่เชื่อมโยงทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่ในองค์รวม ไม่ใช่การทำเขตพิเศษเพื่อส่งออกเหมือนในอดีต

อย่างไรก็ตาม SEC ซึ่งจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ไปได้ถึงสถานภาพแห่งการเป็น Growth Center ได้นั้น ต้องมีความสามารถในการเชื่อมโยงโลกได้ เช่น เชื่อมโยงแปซิฟิก กับมหาสมุทรอินเดีย นั่นจึงต้องมีการยกโครงการแลนด์บริดจ์ ขึ้นมาพูดคุย เพื่อเชื่อมโยง 2 ฝั่งทะเลไว้ด้วยกัน

โดยชุมพรจะมีท่าเรือใหญ่ เช่นเดียวกันกับทางฝั่งระนองก็จะต้องมีท่าเรือใหญ่ ของที่ส่งจากญี่ปุ่นหรือจีน ก็มาเข้าท่าเรือที่ชุมพร แล้วขนผ่านถนน รถไฟ แลนด์บริดจ์หรือสะพานบก ข้ามสะพานฝั่งทะเลหนึ่ง มาอีกทะเลหนึ่ง

ข้อดีก็คือว่า เรือที่มาจากญี่ปุ่นจะขนสินค้าไปยุโรป มาขึ้นท่าเรือที่ชุมพร เรือเค้ากลับได้เลยไม่ต้องวิ่งไปปานามา จนถึงยุโรปและวิ่งกลับมา เรือฝั่งระนองก็วิ่งมารับของสินค้าและไปยุโรปได้เลย ซึ่งสามารถลดเวลาเดินทางไปได้ถึง 4 วัน จากเดิม 7-9 วัน ไม่ต้องข้ามช่องแคบมะละกา

ทว่า ในปัจจุบันช่องแคบมะลาจะหนาแน่นไปด้วยกระบวนการขนส่งสินค้าไปอินเดีย ยุโรป เพราะแต่เดิมมี ช่องเดินเรือแค่ 1.ช่องแคบมะละกา 2.ทางรถไฟจากจีนไปยุโรป แต่ถ้าโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยสำเร็จ ประเทศไทย ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการขนส่งของโลกและที่สำคัญเราควบคุมมันได้ 

ในปัจจุบันนี้โครงการแลนด์บริดจ์ มีการเลือกพื้นที่ทำท่าเรือน้ำลึกแล้ว ที่อ่าวอ่าง จังหวัดระนอง และแหลมริ่ว ที่ชุมพร ซึ่งกำลังทำประชาพิจารณ์ เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะทำให้มีการขนส่งระหว่าง 2 ฝั่งสูงสุด 20 ล้าน TEU (Twenty foot Equivalent Unit คือ ตู้สินค้าที่มีขนาด 20 ฟุต) ถ้าเปรียบเทียบความใหญ่ว่าใหญ่ขนาดไหน แหลมฉบังวันนี้ขนส่งตู้กันเพียง 8 ล้าน TEU  ขยายเต็มที่ได้เพียง 15 ล้าน TEU

ส่วนระยะทางในการทำแลนด์บริดจ์ อยู่ที่ประมาณ 89 กิโลเมตร มีทั้งมอเตอร์เวย์ รถไฟขนส่ง และการขนส่งทางท่อ ซึ่งจะครบถ้วนมาก เงินลงทุนประมาณไว้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งผมคิดว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องเงิน เพราะเราทดลองใน EEC แล้ว เอกชนไทยมีความสามารถในการลงทุนอย่างมาก และแน่นอนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน มอเตอร์เวย์ รถไฟ ชาวบ้านก็ได้ประโยชน์อยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่เราตระหนักเพิ่ม คือ ต้องมีการฝึกอบรมสร้างงานให้ชัดเจน เพราะจะมีอุตสาหกรรมเป้าหมายมาลงอีกมาก ส่วนการพัฒนาพื้นที่คงต้องทำในหลายมุม โดยสิ่งแรกที่ต้องทำคือ สิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะรายได้หลักจากสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ก็คือ การท่องเที่ยว ต้องดูแลทั้งหมดที่กล่าวมาแบบควบคู่กันไป

โดยสรุปแล้ว การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน หรือ SEC จะช่วยให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการขยายตัวไม่ต่ำ 5% เนื่องจากเราได้พิสูจน์แล้วจากพื้นที่ EEC ที่มี GDP ในพื้นที่ได้ใกล้เคียง 4- 5% ซึ่งจริงๆ แล้วเรามีโอกาสในการทำเขตเศรษฐกิจพิเศษได้ในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้ขอนแก่นเป็นศูนย์เกษตรเพื่อการพัฒนา ส่วนการท่องเที่ยวในภาคใต้ สามารถสร้างความเชื่อมโยงให้แต่ละพื้นที่ เช่น ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง, สตูล ซึ่งสามารถรวมกันเพื่อเป็นการท่องเที่ยวอันดามัน เป็นต้น

ทิศทางของอภิมหาโปรเจกต์เหล่านี้ ล้วนสามารถผลักดัน GDP ผ่านศักยภาพผ่านจุดเด่นในแต่ละพื้นที่ได้แน่นอน และถ้าเกิดขึ้นพร้อมเพรียง ก็จะยิ่งพาเศรษฐกิจไทยเติบโตไปได้แบบพร้อมกันทั้งประเทศ...

‘พิมพ์ภัทรา’ จัดให้!! ชงครม. เคาะ 8 พันล้าน ‘จ่ายอ้อยสด-ดึงเงินซื้อรถตัด’ แก้ขาดแรงงาน

(8 ก.ย.66) น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, นายนรุณ สุขสมาน รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ประชุมร่วมกับตัวแทนสมาคมเกษตรกรชาวไร่อ้อย 38 แห่งจากทั่วประเทศ ประมาณ 70 คน ถึงแนวทางการแก้ปัญหาอ้อยและน้ำตาลทั้งระบบ โดยเฉพาะกรณีเร่งด่วนความชัดเจนนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม หลังเปลี่ยนรัฐบาลเกี่ยวกับเงินสนับสนุนการตัดอ้อยสด เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จำนวน 120 บาทต่อตัน และแนวทางการแก้ปัญหาภาวะภัยแล้งที่อาจส่งผลต่อการขาดแคลนน้ำตาล

โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีพื้นที่เกษตรกรทำไร่อ้อย อาทิ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ, นายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทยเข้าร่วมรับฟังด้วย

ด้าน นายปารเมศ โพธารากุล ประธานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ตัวแทนเกษตรกรชาวไร่อ้อย กล่าวว่า ชาวไร่อ้อยมักถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 จากการเผาไร่อ้อย ทั้งที่จากข้อมูลระบุว่า ฝุ่นขนาดเล็กที่เกิดจากอ้อยไฟไหม้มีอยู่เพียงแค่ไม่ถึง 10% ของฝุ่นที่เกิดขึ้น โดยเกษตรกรชาวไร่อ้อยยืนยันจะช่วยลดปัญหา PM 2.5 ด้วยการเข้าร่วมพันธสัญญาตามนโยบายภาครัฐในการตัดอ้อยสดที่มีต้นทุนสูง และรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวน 120 บาทต่อตัน ซึ่งได้ดำเนินการมา 2 ปีแล้ว กระทั่งมาถึงช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างรัฐบาลเดิมสู่รัฐบาลใหม่ เงินสนับสนุนดังกล่าวถูกชะลอออกไปจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับเงินดังกล่าว สร้างความเดือดร้อนกับเกษตรกรชาวไร่อ้อยทั้งประเทศที่ได้ลงทุนจ้างการตัดอ้อยสดไปแล้ว

“ขณะนี้กำลังจะถึงฤดูการหีบอ้อยใหม่ ประกอบกับภัยแล้งในอนาคต อาจจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อเกษตรกร เพราะเกษตรกรต้องเตรียมพร้อมรับมือ ต้องใช้เงินทุน เรื่องเครื่องจักร หรือแรงงาน จึงอยากขอความอนุเคราะห์จากกระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนเงินตัดอ้อยสด 120 บาทต่อตันของฤดูกาลที่ผ่านมาให้ถึงมือเกษตรกรภายในเดือนตุลาคม รวมทั้งขอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการจ่ายเงินสนับสนุนในรอบปีใหม่ด้วย” นายปารเมศกล่าว

ทั้งนี้ น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวภายหลังรับฟังชาวไร่ว่า ปัญหาเรื่องอ้อย เป็นปัญหาสำคัญที่ถูกพูดถึงมาโดยตลอดทั้งในรัฐบาล และในสภาผู้แทนราษฎร สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการจ่ายเงินล่าช้า เป็นเพราะติดช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านจึงทำให้เกิดล่าช้า โดยอยากชี้แจงว่าเงินสนับสนุน 120 บาทต่อตัน คือการลงทุนของรัฐ รัฐจึงอยากเห็นว่าการตัดอ้อยสดมากขึ้นจริง จนการเผาอ้อยลงได้ จึงอยากจะให้เกษตรกรสื่อสารออกมาว่าการที่รัฐสนับสนุนนั้น ทำให้ลดการเผาได้ตามเป้าหมายที่ชัดเจน หากทำได้เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาในการสนับสนุนต่อไป สำหรับเงินสนับสนุนของรอบปีที่ผ่านมานโยบาย จะต้องใช้งบประมาณราว 8,000 ล้านบาท ต้องขอวงเงินจากรัฐบาลใหม่ และหากได้อนุมัติจะพิจารณาการใช้เงินให้คุ้มค่า อาทิ แบ่งเงินครึ่งหนึ่งซื้อรถตัดอ้อย เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่ชาวไร่กังวล โดยงบประมาณดังกล่าวไม่ผูกพันกับงบประมาณใหม่ ปี 2567

“เบื้องต้นได้ปรึกษากับ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แล้ว เพื่อหาแนวทางในการใช้กรอบวงเงิน ก่อนที่จะนำเข้าหารือ กับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆ นี้ อาจไม่ทันเดือนตุลาคม เนื่องจากมีความล่าช้าของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แต่จะพยายามเร่งแก้ปัญหา เพราะเข้าใจถึงความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย ดังนั้นอยากให้ชาวไร่อ้อยทราบว่าทุกฝ่ายไม่ได้เพิกเฉย กำลังร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ บางช่วงเวลาอาจติดกรอบระยะเวลาที่มีอุปสรรค แต่ขอให้มั่นใจในรัฐบาลและข้าราชการ กระทรวงอุตสาหกรรมที่ตั้งใจทำงานเพื่อเกษตรกรชาวไร่อ้อยอย่างจริงใจ” น.ส.พิมพ์ภัทรากล่าว

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า หลังชาวไร่รับฟังคำชี้แจงของ น.ส.พิมพ์ภัทรา ต่างแสดงความพอใจพร้อมกล่าวว่า มีความชัดเจน หลังรอคอยคำตอบมานาน และมั่นใจว่ากระทรวงอุตสาหกรรมจะช่วยแก้ปัญหาของเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ ก่อนเดินทางกลับไป

‘EA’ ลงนามสินเชื่อ SLL กับ ‘EXIM BANK’ มูลค่า 500 ลบ. ผลักดันนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีธุรกิจพลังงานสะอาด

เมื่อวันที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ลงนามการสนับสนุนทางการเงินภายใต้ วงเงินกู้ระยะยาวลักษณะ Sustainability Linked Loan (SLL) มูลค่า 500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่ และนำนวัตกรรม เทคโนโลยีมาพัฒนาธุรกิจพลังงานสะอาด ณ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ได้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกํากับดูแลที่ดี (Environmental, Social, Governance : ESG) ครอบคลุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานสะอาด ได้แก่ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ และ ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ซึ่ง EA ได้จดทะเบียนอยู่ในรายชื่อ Thailand Sustainability Investment (THIS) 5 ปีติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญ มีการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านสภาพภูมิอากาศ มีการประเมินและบริหารจัดการความเสี่ยง รวมถึงมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเข้าข่ายที่ EXIM bank จะสนับสนุนเงินกู้ระยะยาวในลักษณะ SLL ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีความตระหนักและมีแผนการจัดการโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยสามารถบรรลุสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ Net Zero Emission

‘ปตท.’ จับมือ ‘RINA’ พัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนภาคเศรษฐกิจ สร้างโอกาสทางธุรกิจ รองรับการเติบโตของพลังงานแห่งอนาคต

เมื่อไม่นานนี้ ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ร่วมแสดงความยินดีในพิธีลงนามความร่วมมือพัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนในภาคเศรษฐกิจระหว่าง ปตท. โดย นายคมกฤช โล่ห์เพ็ชร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่วางแผน ปตท., นายยุทธนา สุวรรณโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สถาบันนวัตกรรม ปตท. และ ‘RINA’ โดย Mr. Andrea Bombardi, Executive Vice President, Carbon Reduction Excellence, RINA Mr. Enrico Beccaceci, Senior Technical Manager, ASEAN Engineering Integration, RINA เพื่อความร่วมมือในโครงการนำร่องการทดสอบการผสมก๊าซไฮโดรเจนในก๊าซธรรมชาติ ซึ่งครอบคลุมถึงการประเมินประสิทธิภาพการใช้งาน รองรับการพัฒนาการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงในอนาคต

นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ ในการพัฒนาห้องปฏิบัติการของสถาบันนวัตกรรม ปตท. ให้เป็นศูนย์ปฏิบัติการการให้บริการเชิงเทคนิค ในการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงของประเทศไทยด้วย ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการเติบโตในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต และเป้าหมาย Net Zero Emissions ของกลุ่ม ปตท. และประเทศไทยต่อไป


 

'เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า' กระหึ่มอาเซียน ปลื้ม หม้อแปลงไทย ลดพลังงาน - ลดคาร์บอน กระทรวงพลังงานอาเซียน ยอมรับ มอบรางวัลนวัตกรรม หม้อแปลงเทคโนโลยี ล้ำสมัย ASEAN Energy Awards (Energy Efficiency Building)

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด โดย คุณประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ นำหม้อแปลงไทย ลดพลังงาน - ลดคาร์บอน ได้รับรางวัลด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ระดับภูมิภาคอาเซียน ASEAN Energy Awards 2023 ณ Bali Nusa Dua Convention Center เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดย บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวด ประเภท Cutting Edge Technology (เทคโนโลยีล้ำสมัย) จากผลงาน "หม้อแปลง Low Carbon" ด้านการอนุรักษ์พลังงานและการประหยัดพลังงาน พร้อมกันนี้ได้รับเกียรติจาก คุณกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย คุณประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ร่วมแสดงความยินดี

ดร. ประเสริฐ กล่าว ความสำเสร็จเหล่านี้เกิดจากทุกหน่วยงาน ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการลดใช้พลังงานและนี่ คือต้นทางแห่งความสำเร็จของหน่วยงานที่จะเป็นตัวอย่างในการขับเคลื่อน ผลักดัน และสานต่อนโยบานด้านพลังงานเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero)

คุณประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์  กล่าว ขอขอบพระคุณ ทางกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)  โดยหม้อแปลงดังกล่าว ตอบโจทย์ การประหยัดพลังงาน ของภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการอาคารสถานที่ ที่สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 11.5% และลดคาร์บอนมากกว่า 100 ล้านตันคาร์บอน คืนทุนภายใน 2-5 ปี เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นด้านพลังงาน เพื่อผลัดดันการเปลี่ยนผ่านไป สู่พลังงานสะอาด ความยั่งยืนนี้จะส่งเสริมการเติบโตสีเขียวในภูมิภาค ทั้งนี้สถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องประกาศนโยบายการลดคาร์บอน โดยประกาศเป้าหมายความเป็นกลางของแผนลดก๊าซคาร์บอนในปี 2575 จะเห็นภาพการใช้พลังงานทั้งด้านอุตสาหกรรมและภาคประชาชน ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับการ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ดังนั้น หม้อแปลงที่กล่าวข้างต้นจึงตอบโจทย์ทุกหน่วยงาน ภาครัฐ และเอกชน ด้านการประหยัดพลังงานและลดคาร์บอน (คืนทุน 2-5 ปี) 

หม้อแปลง Low Carbon เป็นหม้อแปลงบริหารระบบจัดการพลังงาน ที่บริหารจัดการสิ้นเปลืองให้เกิดประสิทธิภาพและมีความเสถียรภาพกับการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มั่นคงและยั่งยืน ทำให้โรงงานอุตสาหกรรม ,อาคาร สถานประกอบการ ลดค่าไฟฟ้า 5-20% (Energy Saving) ลดคาร์บอน 5-20% (Low Carbon) มากกว่า 100 ล้านตัน ลดมลพิษ (Low Emission) ทำให้อุปกรณ์อายุการใช้งานยาวนานขึ้น (Long Life Equipment) เพื่อเป็นการตอบโจทย์ให้กับ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม สถานประกอบการ เจ้าของอาคาร ตามนโยบายของรัฐบาล ในการลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน”

ส่องตัวแปร ‘เงินทุนจีนทิ้งประเทศ’ กับโอกาสครั้งใหญ่ของไทย สะท้อนผ่าน ‘บีโอไอ’ งานล้นมือ เพราะทุนจีนถือหมุดรอปักสยาม

เมื่อไม่นานนี้ คุณมัทนา มูลจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสำนักกฎหมายดีทีแอลจำกัด บริษัทเอ็มแอนด์ทีโฮลดิ้งแอนดด์ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘Money Chat Thailand’ ตอน เงินทุนจีนทิ้งประเทศ ครั้งใหญ่! ประจำวันที่ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2566 ดำเนินรายการโดย คุณเนาวรัตน์ เจริญประพิณ ผู้ผลิต Content เศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน การลงทุน เริ่มต้นจากแนวคิด ‘ลงทุนง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว’ ส่งเสริมให้ทุกคนรู้จักและเข้าใจการรับลงทุนในยุคดิจิทัล

โดยคุณมัทนา ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับประเด็น การแข่งขันกันทางภาคธุรกิจในประเทศจีน จนส่งผลให้มีคนจีนจำนวนมาก พยายามจะย้ายมาอยู่ที่ต่างประเทศ อีกทั้ง ทางรัฐบาลยังได้มีการปรามปราบเพื่อจัดระเบียบภายในประเทศ ให้เกิดความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันอำนาจจากกลุ่มทุนใหญ่ ที่พยายามจะใช้อิทธิพลและอำนาจมืด เข้ามาแทรกแซงการบริหาร รวมถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ว่า…

“ความจริงแล้ว ประเทศจีนมีกฎหมายหนึ่งที่ประเทศไทยเองก็มีเช่นกัน แต่ของจีนจะค่อนข้างเข้มงวดกว่า คือ ‘การผูกขาดทางการค้า’ ซึ่งเป็นความพยายามของรัฐบาลที่จะจัดการในส่วนนี้ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ทุกอย่างจะถูกผลักเข้าไปสู่กลไกของธุรกิจ การแข่งขันก็มักเป็นการแข่งขันกันในเชิงธุรกิจ อย่างประเทศไทยเรามีรัฐวิสาหกิจในบางสายงาน ในบางองค์กร หรือในบางกระทรวง ทบวง กรม อาจจะมีรัฐวิสาหกิจอยู่แค่ไม่กี่บริษัท แต่ในประเทศจีนมีบริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจเป็นร้อย หรืออาจจะหลายร้อยบริษัท ยกตัวอย่างเช่น ในกระทรวงคมนาคมมีบริษัทลูกที่เป็นรัฐวิสาหกิจเป็นร้อยบริษัท จึงทำให้การแข่งขันกันระหว่างสายงานต่างๆ นั้น มีค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจต่างๆ ทำให้ขาดการช่วยเหลือกัน”

“นอกจากนี้ หลักการในการลงทุนของประเทศจีน มีแนวทางนโยบายบางประการ ที่ทางภาคธุรกิจ ‘จำใจ’ ต้องยอมจ่าย เนื่องจากถูกกดดันจากทางรัฐบาล 2 อย่างด้วยกัน คือ

‘กำแพงภาษี’ หากคุณผลิตสินค้าในจีน คุณจะถูกเก็บภาษีสูงมาก ซึ่งเป็นเหมือนการบังคับให้ต้องยอมจ่าย ดังนั้น กลุ่มนายทุนจึงต้องออกมาตั้งโรงงานกันในต่างประเทศ เพื่อไม่ให้สินค้าของบริษัท เป็นสินค้าที่ผลิตในจีนจนต้องเสียภาษีมหาโหด

สินค้าของกลุ่มทุนจีนที่ผลิตในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น สินค้าด้านพลังงาน อย่างแผงโซลาร์เซลล์ ที่สามารถสังเกตได้ว่า เกือบจะถูกแบรนด์ใหญ่ๆ ของจีน ต้องมาตั้งโรงงานในประเทศไทย เพื่อผลิตสินค้า จากนั้นจึงคอยส่งกลับไปขายในจีน

แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีปัญหาตามมา คือ ทางรัฐบาลจีนเขาไม่ได้ดูแค่สินค้าชิ้นนี้ผลิตที่ประเทศจีนหรือไม่ แต่เขาตรวจสอบไปจนถึงวัสดุที่เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม กระบวนการเรียกเก็บภาษีนี้ ก็มีขั้นตอนเป็นระบบ และให้มีประกาศทางการอย่างชัดเจน เพื่อให้ระยะเวลาภาคธุรกิจในการตั้งตัวรับมือได้ทัน”

“เรื่องต่อมา ซึ่งเป็นเรื่องล่าสุด คือ บริษัทต่างๆ จะต้องตั้งโรงงานการผลิตนอกประเทศจีน และไต้หวัน เนื่องจากเกิดปัญหาความน่าเชื่อถือที่ลดลง เพราะรัฐบาลตั้งกฎหมายเกี่ยวกับภาคธุรกิจออกมามากมาย เพื่อที่จะควบคุมการผูกขาดทางการค้า ทำให้ลูกค้าในประเทศต่างๆ ไม่มีความเชื่อมั่นว่า หากสั่งซื้อสินค้าไปแล้ว จะได้รับสินค้าตามกำหนดหรือไม่

และที่สำคัญที่สุด คือ ความขัดแย้งทางการเมืองโลก ระหว่างประเทศจีนกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การค้า รวมถึงการลงทุนได้ ทำให้นักลงทุนกลัวการเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาในภายหลัง”

“ด้วย 2 ปัจจัยหลักนี้เอง ทำให้ประเทศไทย กลายเป็น ‘หมุดหมายหลัก’ ที่เหล่ากลุ่มทุนจากจีน จะแห่กันเข้ามาลงทุน เพราะนอกจากที่ไทยจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพและกำลังในการผลิตสูงแล้ว จุดเด่นของประเทศไทยอีกเรื่องคือ ไทยเป็นประเทศที่ไม่เคยมีท่าทีต่อต้านชาวจีน อีกทั้งยังพร้อมอ้าแขนเปิดรับชาวจีนมากที่สุด กว่าทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย”

“สิ่งนี้ส่งผลให้ประเทศไทยรับประโยชน์จากไปเต็มๆ อีกทั้ง ทาง ‘สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน’ หรือ BOI ยังร่วมหน้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ทั้งในด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน รวมถึงการบริการสนับสนุนธุรกิจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ ยิ่งทำให้นักลงทุนจากทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะจากในจีนแผ่นดินใหญ่ ต่างหลั่งไหลกันมาปักหมุดหมายในไทย โดยหลายๆ แบรนด์ยังมีแผนที่จะยกให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย”

แม้จะมีกระแสบางส่วนมองว่า การที่กลุ่มนักลงทุนจีนมาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทยนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้คนไทยเสียเปรียบ เนื่องจากทาง BOI ได้ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีในการลงทุนแก่กลุ่มทุนจีน โดยในเรื่องนี้ คุณมัทนาได้ให้ความคิดว่า…

“หากลองย้อนกลับไปดูดีๆ การก่อตั้งโรงงานนั้นไม่ได้สามารถทำกำไรได้ตั้งแต่ภายในปีแรก บางโรงงานเพิ่งสามารถทำกำไรได้ภายใน 3-5 ปีต่อมาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็สอดคล้องกับระยะเวลาที่ทาง BOI ให้สิทธิไว้ตามเงื่อนไขการลงทุน อีกทั้งไม่ใช่ธุรกิจทุกประเภทจะได้รับการยกเว้นเสียภาษี ธุรกิจแต่ละประเภทก็มีระยะเวลาการยกเว้นเสียภาษีที่แตกต่างกันออกไป

ดังนั้น การที่ประเทศไทยมีกลุ่มทุนมาลงทุนนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะทำให้อัตราการลงทุนเพิ่มแล้ว ยังเกิดการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น คนไทยมีงานทำมากขึ้น ช่วยให้คนไทยได้เพิ่มพูนศักยภาพ พัฒนาทักษะการทำงานให้คนไทยมากขึ้น และยังส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ช่วยให้การค้าขายระหว่างประเทศเติบโตก้าวหน้า เป็นประโยชน์ต่อไปเป็นทอดๆ อีกด้วย”

‘แอน จักรพงษ์’ ยันมีแผนแก้ปัญหาหุ้นกู้แล้ว  ประกาศถือหุ้น JKN เพิ่มเป็น 38%

(7 ก.ย. 66) ท่ามกลางกระแสข่าวลือที่ถูกโหมกระหน่ำ ‘แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์’ ผู้ถือหุ้นใหญ่และ CEO ของ ‘JKN’ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้แจ้ง กลต. เมื่อวานนี้ ว่ามีรายการขายหุ้นและรับโอนหุ้นหลายรายการ ขอสรุปสั้น ๆ คือ รายการขายหุ้นของเธอมาจากบัญชี มาร์จิ้น ถูกฟอร์ซเซลล์ หรือบังคับขาย เนื่องจากราคาหุ้นตกแรงกว่า 50% ใน 2 วัน แต่คุณแอนได้มีการรับโอนหุ้น JKN เข้ามาเพิ่ม 77 ล้านหุ้น ทำให้ปัจจุบัน คุณแอนจักรพงษ์ ถือหุ้น JKN ทั้งหมดเพิ่มเป็น 392,287,682 หุ้น คิดเป็น 38% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดอันดับ 1 เหมือนเดิม

“ดิฉันยืนยันว่า ดิฉันยังยืดหยัดบริหาร JKN และ ยังถือครองหุ้น JKN กว่า 38% ส่วนเรื่องหุ้นกู้นั้น บริษัทฯ JKN มีแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้วโดยได้ปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายและ บริษัทผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ที่เกี่ยวข้องทุกราย และจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้รุ่น JKN239A ในวันที่ 27 กันยายนนี้ เพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ จึงอยากขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ และนักลงทุนอย่าได้หลงเชื่อข่าวลือ หรือเฟกนิวส์ต่าง ๆ และ ขอให้เช็คข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์และ กลต. หรือ ติดต่อที่บริษัทฯ เพื่อสอบถามได้ตลอดเวลา ดิฉันและผู้บริหารมีเจตนาที่จะดูแลเงินลงทุนและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างจริงใจ” คุณแอน จักรพงษ์ กล่าวสรุป

เปิดโอกาสคนไทยสู่อาชีพใหม่ใน 'แฟรนไชส์ เอสเอ็มอี เอ็กซ์โป 2023' 7-10 กันยายน 2566 ที่บีซีซี ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว

จากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 ได้ประชาสัมพันธ์ชวนคนไทยมีอาชีพที่งาน 'แฟรนไชส์ เอสเอ็มอี เอ็กซ์โป 2023' (Franchise SMEs EXPO 2023) 

โดยใครที่อยากเริ่มธุรกิจส่วนตัว คิดลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ ต้องไปงานนี้ งานแสดงแฟรนไชส์ที่จะสร้างอาชีพให้กับคุณ งานจัดระหว่างวันที่ 7-10 กันยายน 2566 ที่บีซีซี ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว 

ทั้งนี้ ในงานสามารถพบกับโปรโมชันส่วนลดพิเศษสุด ๆ จากธุรกิจแฟรนไชส์ แบบเยอะ ครบ คุ้ม เฉพาะภายในงานนี้เท่านั้น!! พร้อมการเปิดตัวแฟรนไชส์ใหม่ ๆ อาทิ...

* แฟรนไชส์หมวดอาหารและขนม
* แฟรนไชส์หมวดเครื่องดื่ม แฟรนไชส์ชา แฟรนไชส์กาแฟสด 
* แฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก
* แฟรนไชส์การศึกษา
* ระบบซอฟต์แวร์สำหรับการบริหารจัดการร้าน / POS
* พบกับธุรกิจเครื่องหยอดเหรียญทำเงิน 24 ชม. 
* ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย เมล็ดกาแฟ เครื่องชงกาแฟ บรรจุภัณฑ์ในธุรกิจอาหารเครื่องดื่มเบเกอรี่ 
* พบกับบูธธุรกิจดาราชื่อดัง คุณอรอนงค์ ปัญญาวงศ์, คุณต๊ะ บอยสเก๊าท์

นอกจากนี้ ยังสามารถลงทะเบียนร่วมฟังเสวนาได้ฟรีทุกวัน...

- วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2566 เวลา 13.00 - 14.00 น. หัวข้อ 'กลยุทธ์เลือกแฟรนไชส์น่าลงทุนและเหมาะกับคุณ' โดย คุณเศรษฐพงศ์ ผดุงพิสุทธิ์, CFE กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีโนซิส จำกัด มืออาชีพสร้างแฟรนไชส์ และจับคู่แฟรนไชส์น่าลงทุน

- วันเสาร์ที่ 9 กันยายน 2566 เวลา 12.30 - 13.30 น. หัวข้อ 'Inspiration for the next startup' โดย คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด

- วันเสาร์ที่ 9 กันยายน 2566 เวลา 14.00 - 15.00 น. หัวข้อ 'เส้นทางอาชีพสายครีเอเตอร์ นักออกแบบตัวการ์ตูน-มาสคอต' โดยคุณสัญญา เลิศประเสริฐภากร ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ (Creative Director) จากไซโลสตูดิโอ ผู้สร้างสรรค์ตัวการ์ตูน ติดลมห้อยเวหา

- วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2566 เวลา 12.30 - 13.30 น.หัวข้อ 'การทำการตลาดบนแอปพลิเคชัน TikTok' โดยคุณแอ๊ม-ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต CEO บริษัท Uppercuz Creative ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาดออนไลน์มากกว่า 9 ปี

เข้าร่วมชมงานฟรีทุกวัน 10.30 - 20.00 น. ลงทะเบียนเข้าชมงานรับฟรีเครื่องดื่ม 1 แก้ว 

สำหรับในครั้งนี้ จัดโดยบริษัท สกุล วี กรุ๊ป จำกัด สนใจติดต่อ โทร. 064-983-6919, 094-241-9664

‘ลดภาษี-อุดหนุนเงินเข้ากองทุน’ ทางออกปัญหา ‘พลังงานแพง’ ช่วยลดภาระ ปชช. ควบคู่สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศ

(6 ก.ย. 66) ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนโยบายจัดการด้านพลังงาน ซึ่งเป็นประเด็นที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 6 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยสาระสำคัญจาก ดร.พรายพล ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

“สำหรับการจัดการเรื่องราคาน้ำมัน ทางเดียวที่เห็นได้ชัดในตอนนี้คือรัฐบาลต้องเข้ามาอุดหนุน จะทั้งทางลดภาษีสรรพสามิต หรือการอุดหนุนผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ได้ทั้งนั้น อีกทั้งอยู่ในอำนาจของรัฐบาลที่จะทำได้ด้วย ที่พูดมานี้หมายถึงตัวน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีความจำเป็นในการขนส่ง รถโดยสาร”

ดร.พรายพล กล่าวว่า ปัจจุบันนี้รัฐได้อุดหนุนน้ำมันดีเซลผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อช่วยควบคุมให้ราคาน้ำมันไม่สูงขึ้น โดยอุดหนุนอยู่ที่ลิตรละ 5.60 บาท แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็เก็บภาษีสรรพสามิตลิตรละเกือบ 6 บาท ถ้าเทียบดูแล้ว ฟากที่รัฐเก็บเข้ามาและจ่ายออกไปก็พอ ๆ กัน โดยสรุปก็คือรัฐเก็บภาษีได้ไม่กี่สตางค์ต่อลิตร 

ส่วนทางด้านของน้ำมันเบนซิน ในขณะนี้มีการเก็บภาษีเต็มที่คือ 5 บาทกว่า ๆ ต่อลิตร และอุดหนุนเข้ากองทุนลิตรละประมาณ 2 บาทกว่า ๆ อาจจะฟังดูไม่เป็นธรรม แต่หากมองราคาที่หน้าปั๊มจะเห็นว่า ราคาขายปลีกของเบนซินสูงกว่าดีเซล

ดร.พรายพล กล่าวต่อว่า แนวคิดรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา จะมองว่าคนที่ใช้เบนซินจะเป็นคนที่มีกำลังจ่ายมากกว่าคนที่ใช้น้ำมันดีเซล เพราะการใช้น้ำมันดีเซลจะใช้ในรถบรรทุก ขนส่ง รถโดยสาร ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ จึงนำเงินมาช่วยอุดหนุนมากหน่อย แต่น้ำมันเบนซินใช้ในรถยนต์ส่วนตัว รถที่มีราคาแพง จึงมีการอุดหนุนที่น้อยกว่า 

เมื่อถามว่านอกเหนือจากภาษีที่ต้องจัดการ โครงสร้างราคาน้ำมันส่วนไหนที่สามารถจัดการได้อีกบ้าง เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลง ดร.พรายพล กล่าวว่า จะต้องดูให้ครอบคลุมทั้งโครงสร้างพลังงาน ส่วนเรื่องของค่าการกลั่นที่เคยเป็นประเด็นก็ควรจับตาดูด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีการขยับขึ้นลงเสมอ ๆ และแม้ทั่วโลกจะมีค่าการกลั่นสูงเหมือนกันหมด แต่ก็น่าคิดว่าจะทำให้ค่าการกลั่นลดลงได้หรือไม่ สำหรับปีนี้ก็ลดลงต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่แนวโน้มในช่วง 10 ที่ผ่านมาก็ยังสูง แต่คิดว่าก็น่าจะมีแนวทางที่จะลดลงได้

ส่วนค่าการตลาดที่ผ่านมาถือว่าไม่สูงเท่าไหร่ เฉลี่ยแล้วลิตรละ 2 บาท หากจะให้ลดลงอีกก็คงลดได้ไม่มากเท่าไหร่ เพราะก็ต้องมีช่องให้ผู้ประกอบการทำกำไรด้วย หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านก็อยู่ในเกณฑ์ใกล้ ๆ กัน 

เมื่อถามว่าจากนโยบายของพรรคการเมืองหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรีในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ไม่มีการอนุญาตให้นำเข้าเสรีใช่หรือไม่?

ดร.พรายพล กล่าวว่า เท่าที่ผมทราบ ค่อนข้างเปิดกว้างและเสรี ยกเว้นแต่เพียงก๊าซหุงต้ม ส่วนที่เหลือไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย การเสรีค้าในที่นี้หมายถึงเสรีภายใต้กรอบกฎหมาย และผู้นำเข้าจะต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะไปนำเข้ามาขาย เพราะก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย เพราะน้ำมันเป็นวัตถุอันตราย หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่

อีกเรื่องที่ต้องระวังคือเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เช่น หากเราไปซื้อน้ำมันจากรัสเซียในราคาถูก ก็อาจจะโดนจับตามองจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เพราะตอนนี้มีการคว่ำบาตรกันอยู่ 

สำหรับประเด็นราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในอ่าวไทย ประชาชนซื้อราคาสูงมาก แต่กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีซื้อในราคาถูก สามารถแก้เขาให้มีราคาเท่ากันได้หรือไม่? ดร.พรายพล กล่าวว่า การปรับราคาก๊าซธรรมชาติให้มีราคาถูกเท่ากันก็มีวิธีการทำให้เป็นไปได้ ซึ่งก็หมายความว่า ผู้ประกอบการที่ขายแก๊สก็ต้องมีรายได้ลดลง และต้องเป็นการหารือระหว่างรัฐและผู้ประกอบการ ส่วนบริษัทรัฐวิสาหกิจก็ต้องทำตามนโยบายของรัฐบาล แต่ก็ต้องเห็นใจให้เขาสามารถทำกำไรได้ด้วย

เมื่อถามว่าจะบริหารจัดการให้เกิด ‘ความมั่นคงทางพลังงาน’ สามารถทำได้อย่างไรบ้าง? ดร.พรายพล กล่าวว่า ความมั่นคงในที่นี้คือการมีปริมาณที่เพียงพอและมีคุณภาพที่ยอมรับได้ โดยต้องดำเนินการอยู่บนพื้นฐานอำนาจของรัฐ เช่น ด้านภาษี หรือกลไกของกองทุนน้ำมัน เพราะหากออกนโยบายที่กดดันทางผู้ประกอบการมากเกินไป ก็อาจจะไม่มีเสถียรภาพในการให้บริการและไม่เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานตามมาได้

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะใช้มาตรการหรือวิธีการใดในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน 

‘ปตท.’ ปลุกพลังคนรุ่นใหม่ ประลองไอเดียขายสินค้าชุมชน  ในโครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023’

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 66 นางกนกพร รอดรุ่งเรือง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารชื่อเสียงองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานปฐมนิเทศ โครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023 : ชวน U สร้างรอยยิ้ม’ กิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงพลังและไอเดียความคิดสร้างสรรค์ แข่งขันจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนใน ‘โครงการชุมชนยิ้มได้ โดย กลุ่ม ปตท.’ ผ่าน 30 ทีมเยาวชนจาก 10 มหาวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นด้วยความร่วมมือของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีระยอง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เทลสกอร์ จำกัด โดยมีคณาจารย์ และนิสิตนักศึกษา กว่า 200 คน ร่วมงาน ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ

นางกนกพร เปิดเผยว่า ปตท. เล็งเห็นถึงศักยภาพและพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ ที่สามารถช่วยสนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าถึงผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น จึงจัดโครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023 : ชวน U สร้างรอยยิ้ม’ เพื่อเฟ้นหาทีมสุดยอดนักขายผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ่าน  www.ชุมชนยิ้มได้.com ซึ่งนิสิต นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับประสบการณ์จริง จากการนำทักษะความรู้มาใช้ในการจัดทำแผนการตลาดและเทคนิคการขายสินค้าชุมชนออนไลน์ร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเจ้าของสินค้า อันจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์รุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชนให้เติบโตต่อไป

อนึ่ง ‘โครงการชุมชนยิ้มได้ โดย กลุ่ม ปตท.’ เป็นหนึ่งในโครงการ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ชุมชนมีความยากลําบากด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ปตท. จึงพัฒนา Platform www.ชุมชนยิ้มได้.com ร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ผลิตภัณฑ์ของชุมชนสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น และยังคงเปิดช่องทางจําหน่ายนี้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และเปิด ‘ร้านชุมชนยิ้มได้ Official Store’ แห่งแรก ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ เพื่อเป็นจุดจำหน่ายสินค้าชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย

ตลอดระยะเวลา 45 ปี ปตท. มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานประเทศ ควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top