Tuesday, 18 February 2025
ECONBIZ

'ทงคัตสึ อาโอกิ' เปิดเดือนเดียวรายได้ทะเลุเป้า บมจ.มากุโระ ทุ่ม 60 ล้าน ขยายเพิ่ม 5 สาขา

(22 ม.ค. 68) นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บมจ.มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO) เปิดเผยว่า ภายหลังจากการเปิดตัวแบรนด์ “ทงคัตสึ อาโอกิ” ร้านหมูทอดทงคัตสึพรีเมียมสัญชาติญี่ปุ่นแท้ที่เซ็นทรัล เวิลด์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมาเป็นสาขาแรก ประสบความสำเร็จเกินความคาดมีลูกค้าเข้าคิวรอรับประทานอาหารอย่างล้นทุกวัน คิวจองออนไลน์เต็มตลอด ส่งผลให้รายได้ทะลุเป้า รายได้ต่อบิลสูงกว่าคาดถึง 50%

ร้าน ทงคัตสึ อาโอกิ เป็นร้านหมูทอดทงคัตสึชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสูง จนติดอันดับ Tabelog’s top 100 ร้านทงคัตสึ ด้วยคะแนนสูงถึง 3.8 คะแนน และได้รับการการันตี ความอร่อยด้วยคะแนน 4 ดาว จาก Tripadvisor โดยมีจุดเด่นในการคัดสรรเนื้อหมูชั้นเลิศ และแป้งทอด สูตรพิเศษ ที่ให้ความบาง เบา และกรอบ พร้อมกรรมวิธีการทอดที่พิถีพิถันตามต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ รวมถึงการสร้างประสบการณ์การรับ ประทาน แบบใหม่ด้วยเกลือ 3 ชนิดที่เป็นเอกลักษณ์

“เราปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขยายธุรกิจ โดยการเร่งดำเนินการเพิ่มเป็น 5 สาขา ภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 ตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ในกลางเมือง กรุงเทพ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่มีอย่างมหาศาลจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย และนอกจากนั้นเรายังมี แผนงานที่จะพัฒนาคุณภาพและการบริการของ Tonkatsu AOKI ให้ยกระดับขึ้นไปได้อีกในระยะถัดไปอันใกล้ นี้ ซึ่งอยู่ในแผนอยู่แล้ว เช่น การเพิ่มเมนูใหม่ และ พัฒนาคุณภาพของวัตถุดิบหลายชนิด” นายจักรกฤติ กล่าว

ด้านนายธีรภพ กรานเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด MAGURO กล่าวว่า ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเกินคาดของร้านหมูทอดทงคัตสึ อาโอกิ ร้านดังจาก ประเทศญี่ปุ่น บริษัทฯ จึงเตรียมแผนขยายสาขาเพิ่มเป็น 5 สาขาในครึ่งปีแรกของปี 2568 ในศูนย์การค้าชั้นนำ อาทิเช่น One Bangkok, Velaa Sindhorn Village Langsuan, Ekkamai Corner, เซ็นทรัล พระราม 2 ด้วยงบลงทุนทั้ง 5 สาขา 60 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วย โปรโมชันต่างๆ ตามแบบฉบับปรัชญา MAGURO “Give More” ให้มากกว่าที่ขอ โดย MAGURO ได้รับสิทธิ์ แต่เพียงผู้เดียวในการเปิดร้านทงคัตสึ อาโอกิ ในประเทศไทย

“หลังจากเปิดร้านทงคัตสึ อาโอกิเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม จนสร้างปรากฎการณ์จองคิวจนคิวเต็ม ส่วนลูกค้าที่ Walk-in ก็ต่อคิวยาวหลายชั่วโมง จึงทำให้เราเดินหน้า ขยายสาขาเพิ่มเป็น 5 สาขาอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีแรก เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าร้านทงคัตสึ อาโอกิ โดยจะขยายสาขาในศูนย์การค้าชั้นนำ อีกทั้งยังได้จัดโปรโมชันพิเศษต่างๆ แบบโดนใจสาวก MAGURO” นายธีรภพ กล่าว

นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAGURO ได้กล่าวเสริมว่า ด้านแบรนด์ CouCou (คุคูว์) ร้านอาหารตะวันตกรูปแบบใหม่ สไตล์ All-Day Dining ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้า พรีเมียม และ พรีเมียมแมส ที่โครงการ The Flavorhood เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เปิดตัวในช่วงปลายเดือนธ.ค. 2567 ก็ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายเช่นเดียวกัน ด้วยการจองออนไลน์ที่เต็มทุกรอบ

‘เอกนัฏ’ ถก สภาธุรกิจไทย-จีน ร่วมพัฒนาอุตฯ เป้าหมาย เล็งผุดนิคมอุตฯคู่แฝดนำร่อง ระยอง-มณฑลอานฮุย

รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ หารือ สภาธุรกิจไทย-จีน พัฒนาอุตฯ เป้าหมาย ดันไทยขึ้นชั้นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของโลก เตรียมผุดนิคมอุตสาหกรรมคู่แฝดนำร่อง ระยอง-มณฑลอานฮุย 

เมื่อวันที่ (20 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายเริน หงปิน ประธานสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นำคณะผู้บริหาร สภาธุรกิจไทย-จีน (TCBC) และสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (CCPIT) เข้าพบเพื่อหารือแลกเปลี่ยนแนวทางด้านการค้าและการลงทุน โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ รักษาการผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมดอกรัก ชั้น 6 อาคารกรมดิษฐ์

รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าวว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนมีศักยภาพในการผลิต รวมถึงการวิจัยและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำของจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย จำนวน 7 บริษัท ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมสำคัญทั่วประเทศ เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก เพื่อให้เกิดการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย จึงมีกิจกรรมความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย อาทิ 1) การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนโยบายและห่วงโซ่อุปทาน 2) การพัฒนาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม 3) การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญ 4) กิจกรรมเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างภาคเอกชน ในสาขายานยนต์ไฟฟ้า พลังงานใหม่ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG

ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับ CCPIT ทั้งมิติด้านการค้า การลงทุน การยกระดับนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี โดยฝ่ายจีนเสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมคู่แฝดระหว่าง นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ทพาร์ค จังหวัดระยอง ร่วมกับมณฑลอานฮุย เพื่อเป็นนิคมอุตสาหกรรมคู่แฝดนำร่อง โดยจะได้มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในนิคมฯ ให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่ครบวงจร (Complex) รวมทั้งเสนอให้มีการจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติ และโครงการพัฒนาบุคลากรด้านอาชีวศึกษารองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยมีสถาบันไทย-เยอรมัน เป็นต้นแบบ ซึ่งให้บริษัทในนิคมอุตสาหกรรมมีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เพื่อให้ผู้จบการศึกษามีคุณสมบัติตรงตามที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการและสามารถเข้าทำงานได้ทันที ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้เป็นประธาน MOU โครงการความร่วมมือไทย-จีน 'Two Countries, Twin Parks' ระหว่าง กนอ. และกรมพาณิชย์ มณฑลอานฮุย สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี ผู้ว่าการ กนอ. และนายหยาง เปิ่นชิง รองอธิบดีกรมพาณิชย์ มณฑลอานฮุย เป็นผู้ลงนาม

บางกอกเคเบิ้ล จับมือ HiTHIUM รุกระบบกักเก็บพลังงาน เดินหน้าลุยประมูลงานเมกะโปรเจกต์รัฐ - เอกชน

(21 ม.ค.68) 'บางกอกเคเบิ้ล' จับมือ 'HiTHIUM' ท็อป 5 โลกด้านระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ หรือ BESS ผนึกกำลังสายไฟฟ้าคุณภาพและ BESS ที่ผ่าน R&D เข้มข้น สู่โซลูชั่นด้านพลังงานครบวงจร ชูวิสัยทัศน์ร่วมเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานไทยสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน สอดรับเทรนด์โลก วางแผนเดินหน้าประมูลงานและเมกะโปรเจกต์ภาครัฐและเอกชนไทย ทั้งกลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค-กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม-กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย พร้อมร่วมชิงเค้กงานระดับภูมิภาคจาก ASEAN Power Grid เปิดช่องหาพันธมิตรร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม

นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ HiTHIUM บริษัทชั้นนำระดับท็อปของโลกด้านระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage Systems หรือ BESS) ณ สำนักงานใหญ่ของ HiTHIUM เมืองเซี่ยเหมิน ประเทศจีน เพื่อผสานความแข็งแกร่งระหว่างสายไฟฟ้าคุณภาพและระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นจากทั้ง 2 บริษัท มาเป็นโซลูชั่นด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างครบวงจร รองรับความต้องการของประเทศ

“ทิศทางโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทนมากขึ้น BESS คือหัวใจสำคัญของสถานีไฟฟ้า โครงการระดับเมกะโปรเจกต์ที่ใช้พลังงานสะอาด ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยยุคใหม่ เราและ HiTHIUM ต่างเป็น 2 บริษัทที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมพลังงานที่ยั่งยืน เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพสูง เพื่อเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยสู่การใช้พลังงานสะอาด เราเชื่อมั่นว่าการผลึกกำลังกันระหว่างเจ้าตลาดสายไฟของไทย และท็อป 5 ของโลกด้าน BESS จะเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนได้” นายพงศภัค กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทและ HiTHIUM จะนำเสนอโซลูชั่น รวมถึงเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในไทย ภายใต้ 3 กลุ่มงาน ได้แก่ 1.กลุ่มโครงข่ายสาธารณูปโภค ที่มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน 2.กลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่เน้นการขยายการติดตั้งและการจำหน่ายระบบจัดเก็บพลังงาน และ 3.กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย ที่ใส่ใจพลังงานสะอาดและมุ่งเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีระบบจัดเก็บพลังงานที่ทันสมัย ขณะเดียวกัน จะร่วมกันเข้าประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคอย่างโครงการ ASEAN Power Grid (APG) ซึ่งเป็นโครงการสร้างความเชื่อมโยงด้านพลังงาน สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานระหว่างประเทศสมาชิก โดยบริษัทและ HiTHIUM ยังคงเปิดกว้างการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยและภูมิภาคเพิ่มเติม

ด้านนายแซม หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำประเทศไทย HiTHIUM กล่าวว่า HiTHIUM รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ บางกอกเคเบิ้ล ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดสู่ประเทศไทย ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้มุ่งเน้นการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการกักเก็บพลังงานที่ล้ำสมัยของ HiTHIUM โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย

สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์ นอกจากนี้ บริษัท มีส่วนสนับสนุนโครงการ ASEAN Power Grid โดยเฉพาะโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang Hydropower Project) ในประเทศลาว

กองทุนน้ำมันฯ กลับมาชดเชยอีกครั้งในรอบ 6 เดือน หวังตรึงดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร หลังราคาน้ำมันโลกพุ่ง

(21 ม.ค.68) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กลับมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้งในรอบ 6 เดือน หลังราคาน้ำมันโลกขยับขึ้น ต้องชดเชยอยู่ 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อพยุงราคาจำหน่ายปลีกดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ขณะที่เงินกองทุนน้ำมันฯ ยังติดลบรวม -73,545 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการติดลบต่ำสุดในรอบ 2 ปี

รายงานสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุดว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ให้กองทุนน้ำมันฯ กลับมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้งที่อัตรา 50 สตางค์ต่อลิตร (ยอดการใช้ดีเซลทั้งประเทศอยู่ที่ 66.66 ล้านลิตรต่อวัน) เนื่องจากราคาน้ำมันโลกผันผวนปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้กองทุนฯ ได้หยุดชดเชยราคาดีเซลมาตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2567 และเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ มาโดยตลอด และเคยเรียกเก็บเงินสูงสุดที่ 4.20 บาทต่อลิตร ขณะที่มาตรการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สิ้นสุดไปตั้งแต่ 31 ต.ค. 2567 แล้ว ดังนั้นในขณะนี้ กบน. จึงทำหน้าที่พิจารณาราคาดีเซลเอง โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารจัดการราคาจำหน่ายปลีกภายในประเทศ

อย่างไรก็ตามการกลับมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้ง เนื่องจาก กบน. ยังคงพยายามไม่ให้ราคาดีเซลสูงขึ้นเกิน 33 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบัน (20 ม.ค. 2568) ราคาดีเซลขายปลีกอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร ทั้งนี้หากไม่ชดเชยราคาดีเซลอาจส่งผลให้ต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกเกิน 33 บาทต่อลิตรได้ เนื่องจากราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น

ล่าสุดราคาน้ำมันโลก ณ วันที่ 20 ม.ค. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 80.74 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.67 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 77.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 80.56 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล    

ส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมัน ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 20 ม.ค. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ ค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 4.08 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.15 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.23 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.93 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 7.64 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.60 บาทต่อลิตร  โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-20 ม.ค. 2568 อยู่ที่ 2.21 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

ดังนั้น หากค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมันสูงเกินควร ทาง กบน. อาจพิจารณากลับมาเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ อีกครั้งก็ได้

สำหรับปัจจุบัน กบน. ได้เรียกเก็บเงินเฉพาะผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน และดีเซลเกรดพรีเมียม ส่งเข้ากองทุนฯ ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ส่งเข้ากองทุนฯ 10.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ส่งเข้าถึง 4.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 2.61 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 1.16 บาทต่อลิตร และดีเซลเกรดพรีเมียม เรียกเก็บ 1.50 บาทต่อลิตร

ส่วนสถานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 19 ม.ค. 2568 ปรากฏว่า เงินกองทุนฯ ติดลบลดลงต่อเนื่องเหลือ -73,545 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบน้อยลงเหลือ -26,876 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบเหลือ -46,669 ล้านบาท และยังนับเป็นยอดเงินติดลบต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีอยู่

MASTER บุกอินโดนิเซีย ปักธงรุกตลาด SEA ผนึกพันธมิตรเสริมความแข็งแกร่งระดับภูมิภาค

MASTER เยือนอินโดนิเซีย ขึ้นเวทีแนะนำธุรกิจ ชี้โอกาส และศักยภาพในความร่วมมือ พร้อมอัปเดตแผนรุกตลาดศัลยกรรมความงามผ่านตัวแทน ตั้งเป้ารุกตลาด SEA ร่วมกับ Lumeo Health 

เมื่อวันที่ (16 ม.ค. 68) ที่ผ่านมา ณ ร้าน Huta Pataran เมือง จาการ์ตาประเทศอินโดนิเซีย นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ CEO บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ในนามโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ผู้นำอันดับต้นของอุตสาหกรรมด้านความงามในไทยและเอเชียในฐานะ Regional Company ยกทัพเยือนอินโดนิเซีย หลังจับมือเป็นพาร์ตเนอร์ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อพฤศจิกายน ปี 2024 ณ โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช กรุงเทพฯ ประเทศไทย เพื่อตอกย้ำการขยายตลาดภูมิภาค เสริมศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมมุ่งเน้นนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย เดินหน้าขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจต่อเนื่อง พร้อมเปิดแผนและเป้าหมาย การผลักดันอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงาม และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ร่วมกับ Lumeo Health โดย Dr.Queencha Chaidy Chief Executive Officer Lumeo Health นำทีมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมร่วมแถลงข่าวตอกย้ำการปักธงรุกตลาดอินโดนิเซียร่วมกัน

“ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในด้านศัลยกรรมความงามและการแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของกำลังซื้อ และความนิยมในหัตถการความงามในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ความต้องการบริการขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อินโดนิเซีย ที่มีสัดส่วนประชากรสูงเป็นอันดับต้นของ SEA และมีความสนใจในด้านศัลยกรรมความงาม จาก 35 ล้านบาท(1 million USD) ในปี 2023 มาสู่ 175 ล้านบาท (5 million USD) ในปี2024 ที่ผ่านมามาสเตอร์พีชรับลูกค้าอินโดนิเซียมีสัดส่วนเป็น 38% จากลูกค้าต่างประเทศทั้งหมด

“ต่อจากนี้จะเริ่มเห็น MASTER ก้าวเข้าสู่การเป็น "Regional  Company" โดยจะมีความร่วมมือกับ MASTER PARTNER ในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของบริษัทไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยแรกสุดที่ผ่านมา MASTER ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ หรือ MOU กับ Lumeo Health ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีความโดดเด่นในฐานะที่ปรึกษาศัลยกรรมความงามและการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ที่ครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Dr. Queencha Chaidy กล่าวว่า MASTER ดำเนินธุรกิจด้านศัลยกรรมความงามมาต่ออย่างเนื่อง 12 ปี ด้วยมาตรฐานโรงพยาบาล และการบริการมืออาชีพเป็นเบอร์ต้นของประเทศไทย ทั้งยังเป็นแบรนด์ที่ดำเนินกิจการในตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET และการันตีด้วยรางวัลด้านการบริหารจัดการ การบริหารด้านการเงิน จริยธรรมองค์กรอย่างต่อเนื่อง

ด้านศักยภาพเกี่ยวกับศัลยกรรมความงาม ของ รพ.มาสเตอร์พีช น่าจับตา เพราะมอบผลลัพธ์ที่น่าชื่นชม พิสูจน์จากการบอกเล่าและส่งต่อรีวิวจากคนดังหลากหลายวงการ รวมถึงข่าวสารการเติบโตด้านการทำธุรกิจและการตลาดอย่างต่อเนื่องจากสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนความเชื่อมั่นใจ ต่อความสถานะความมั่นคง มีมาตรฐาน สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการศัลยกรรมความงามในประเทศไทย และระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างยิ่ง

สำหรับการเติบโตภายในประเทศของ MASTER ถือว่าแข็งแกร่ง โดย MASTER GROUP มีจุดให้บริการมากกว่า 90 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ในทุกภูมิภาค โดยให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการในทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งด้านศัลยกรรมความงาม และการแพทย์เฉพาะทาง ถือเป็นจุดแข็งของเราในการตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

“จากการเยือนไทยในครั้งก่อน Lumeo Health บรรลุข้อตกลงร่วมกันในฐานะพาร์ตเนอร์ เอเจนซี่ และการเยือนอินโดนิเซียของ MASTER ในครั้งนี้ เพื่อแถลงความร่วมมือ ชี้ภาพสะท้อนโอกาส และศักยภาพในตลาดศัลยกรรมความงาม และขยายการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมอัปเดตแผนรุกตลาดศัลยกรรมความงามผ่านตัวแทน

“Lumeo Health มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมทำงานกับ บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ ในนาม โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช และได้รับโอกาสสู่ความร่วมมือด้านตัวแทนขาย รวมถึงการมาเยือนอินโดนิเซีย เพื่อหารือแผนงานในปี 2025 และกระชับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ โดยเชื่อมี่นเป็นอย่างยิ่งว่า แผนงานทุกส่วนที่ได้ทำข้อตกลงเดินหน้าร่วมกัน จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในฐานะมืออาชีพของทั้งสองประเทศ และก้าวสู่การเป็นหนึ่งในระดับภูมิภาค” Dr. Queencha Chaidy กล่าวสรุป

โดยหลังงานแถลงข่าวความร่วมมืออย่างเป็นทางการจบลง Dr.Queencha Chaidy, Mr.Wilson Yanaprasetya และ Mr.Nayoko Wicaksono เป็นเจ้าภาพในการจัดเลี้ยงรับประทานอาหารค่ำ เพื่อสังสรรค์กระชับสัมพันธ์กับ MASTER โดยในงานร่วมด้วยอินฟลูเอนเซอร์ของไทย ไนท์ - ปิยพงษ์ คำมีสว่าง Mister International Thailand 2023 เฟม - ชุติพงศ์ พุทธรักษ์ Mister International Thailand 2024 Top 15 Mister International 2024 เอิร์ธ - กรประภา พลเขต Miss Universe Roi Et 2023 และอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำในแวดวงสังคม และความงามของอินโดนิเซียเข้าร่วมนับร้อย

‘เอ็มเค’ เปลี่ยนโฉมชื่อสาขาในรอบ 39 ปี สู่ ‘มงคล เรสเรสโตรองต์’ นำร่อง 4 สาขา

(21 ม.ค. 68) จัดใหญ่ เอาฤกษ์รับเทศกาลตรุษจีน เอ็มเคสุกี้ เปลี่ยนโฉมชื่อสาขาสู่ 'มงคล เรสเรสโตรองต์' (MongKol’ restaurants) นำร่องใน 4 สาขา ร่วมต้อนรับเทศกาลใหญ่แห่งปี

มูมาร์เก็ตติ้งร้อนแรงในไทย  “เอ็มเค กรุ๊ป” กับแบรนด์ เอ็มเค สุกี้ ร่วมต้อนรับเทศกาลตรุษจีนปีมะเส็ง 2568 แบบจัดใหญ่ แปลงโฉมชื่อสาขา ไปสู่ "มงคล เรสเรสโตรองต์" (MongKol’ restaurants) เสริมความมงคลรับเทศกาลตรุษจีน นำร่องใน 4 สาขาแล้ว  

สามย่านมิตรทาวน์
เซ็นทรัล เวสต์เกต
เซ็นทรัล พระราม 9
เซ็นทรัล พระราม 3

สำหรับการเปลี่ยนชื่อร้านสู่ MongKol’ restaurants จึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทในรอบ 39 ปีเลยทีเดียว

อีกทั้งในเทศกาล ตรุษจีน ได้ออกชุดพิเศษกับ 5 เซตไหว้เสริมมงคล เพิ่มความเฮง ให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นครอบครัว เนื่องจากในปีก่อนได้ออกชุดพิเศษรับตรุษจีน สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 40,000 ชุด เพิ่มขึ้น 25% โดยประเมินในปีนี้ 2568 จะมียอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน

สำหรับชุดพิเศษ 5 เซตไหว้ ในปี 2568 ประกอบด้วย

เซต 1 ชุดเป็ดไหว้มงคล มาพร้อมชุดเป็ดย่าง MK เป็ดย่าง กำหนดราคา 750 บาท
เซต 2 ชุดเป็ดไหว้มหามงคล โดยเป็นชุดเป็ดย่าง MK ครบชุดพร้อมเครื่องใน มาพร้อมติ่มซำสุดฮิตทั้งทอดและนึ่ง ทั้งขนมจีบหมู ฮ่อยจ๊อปูจักรพรรดิ เผือกทอด ข้าวอบจักรพรรดิ และซาลาเปาส้มมงคล ซาลาเปาพิเศษเฉพาะเทศกาลตรุษจีน กำหนด ราคา 1,528 บาท

เซต 3 ชุดไหว้ซาแซหมูแดง โดยเป็นชุดซาแซที่เนื้อสัตว์ 3 ชนิดครบถ้วน ทั้งเป็ดย่าง MK พร้อมเครื่องใน, ไก่ต้มมงคลพร้อมเครื่องใน จากข้าวมันไก่ทองคำ ทานกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวสูตรไหหลำ และหมูแดงสูตรฮ่องกง สูตรพิเศษย่างแบบฉบับ MK  กำหนด ราคา 1,568 บาท

เซต 4 ชุดไหว้ซาแซหมูกรอบ โดยมีทั้งเป็ดย่าง MK และเครื่องใน, ไก่ต้มมงคลพร้อมเครื่องใน พร้อมหมูกรอบหนาพิเศษที่เป็นเมนูใหม่ล่าสุด  เพื่อเทศกาลตรุษจีนนี้โดยเฉพาะ กำหนดราคา 1,698 บาท

เซต 5 ชุดไหว้พรีเมียมมหามงคล โดยเป็นชุดไหว้พรีเมียม ทั้งเป็ดย่าง MK และเครื่องใน, ไก่ต้มมงคลและเครื่องใน, หมูแดงสูตรฮ่องกง,ขนมจีบหมู, เผือกทอด, ซาลาเปาส้มมงคล, บะหมี่หยกกลาง, ข้าวอบจักรพรรดิ, ฮ่อยจ๊อปูจักรพรรดิ เนื้อปูสูตรเฉพาะ พร้อม ซาลาเปาซิ่วท้อ มาในราคา 2,599 บาท 

นอกจากนี้ได้จัดทำ ‘ชุดสุกี้โชคลาภมั่งมีมังกรมงคล’ เสิร์ฟวัตถุดิบคุณภาพพร้อมความหมายมงคลแบบอลังการบนบัลลังก์มังกร กำหนดราคา 1,099 บาท

ไทม์ไลน์การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของเอ็มเค 

ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา "เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป" มีการปรับโฉมธุรกิจและเปลี่ยนแปลงองค์กรในหลายด้าน ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2566 ได้เปลี่ยนแปลงโลโก้บริษัท (Corporate Logo) เหลือเพียง “M” เพื่อให้สอดคล้องวิสัยทัศน์ธุรกิจที่มุ่ง “เติมเต็มความสุขให้ทุกครอบครัว” หรือ Nourish Happiness in every Family

พร้อมได้แปลงธุรกิจครอบครัว (Family Business) สู่การเป็น “มหาชน” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รองรับการขยายพอร์ตธุรกิจให้มากกว่า ร้านอาหารเอ็มเค สุกี้ เท่านั้น และขยายแบรนด์ในเครือหลากหลาย

ต่อมาในช่วงปลายปี 2567 เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จึงประกาศอย่างเป็นทางการกับการแต่งตั้ง “ทานตะวัน ธีระโกเมน” และ “ธีร์ ธีระโกเมน” ทายาทของ "ฤทธิ์ ธีระโกเมน" ผู้ก่อตั้งแบรนด์ โดยให้สองทายาท ดำรงตำแหน่งสู่ กรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม 2 คน พร้อมทำงานที่ต้องรายงานตรงต่อประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กับ “ฤทธิ์” กุนซือธุรกิจ อีกทาง

ล่าสุดในปีนี้ 2568 ได้เรียกความสนใจกับการ เปลี่ยนชื่อรับช่วงเทศกาลตรุษจีน สู่ "MongKol’ restaurants" ใน 4 สาขา

ภาพรวมของสาขาของธุรกิจร้านอาหารในเครือ เอ็มเค มีสาขาในประเทศไทย 450 สาขา แหลมเจริญ 45 สาขา และ ยาโยอิ 200 สาขา

‘เอกนัฏ’ เผย ‘ฉางอาน’ พร้อมลงทุนในไทยเพิ่ม รองรับยอดใช้รถยนต์ EV ทั่วโลกพุ่ง

(20 ม.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีสเอเชีย จำกัด ได้นำคณะผู้บริหารบริษัท ฉางอานฯเข้าพบ เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสที่ตนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมหารือแนวทางในการดำเนินกิจการของบริษัท ฉางอานฯ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพลปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เข้าร่วมหารือด้วย

สำหรับการเข้าพบหารือในครั้งนี้ คณะผู้บริหารบริษัท ฉางอานฯ ให้ความสำคัญกับประเทศไทย โดยมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงสำหรับการลงทุน เนื่องจากเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์สำคัญแห่งหนึ่งของโลก และเป็นประเทศที่มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน สามารถที่จะรองรับการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV โมเดลใหม่ของบริษัท ฉางอานฯ เป็นอย่างดีซึ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสอดรับกับตลาดของผู้ซื้อทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่นิยมใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

นายเอกนัฏ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและตน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัท ฉางอานฯ ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ซึ่งมีความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งในด้านของโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และระบบสนับสนุนต่างๆ ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนจากทุกประเทศ รวมถึงบริษัทฉางอานฯ ด้วย เพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญของประเทศไทย

นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการออกใบอนุญาต โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ร่วมกับสถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AIEI) เพื่อหารือเรื่องนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการเพื่อการยื่นขอใบอนุญาต และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมสามารถคัดกรองใบอนุญาต เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกกระบวนงาน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากเรื่องร้องเรียนถึงระยะเวลาของการดำเนินการออกใบอนุญาต ด้วยจำนวนเจ้าหน้าที่และระบบที่จำกัด ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ทราบถึงปัญหาและพร้อมที่จะแก้ปัญหา ด้วยการพัฒนาระบบออกใบอนุญาตด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่จะช่วยลดเวลา และเพิ่มความโปร่งใสในทุกขั้นตอน เพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ จึงได้เชิญสถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AIEI) ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และมีความร่วมมือกับ 6 มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ เข้ามาร่วมทีมในคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการออกใบอนุญาต โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)

โดยการประชุมในครั้งนี้ มุ่งเน้นไปสู่การพัฒนาการยื่นขอและคัดกรองใบอนุญาตการประกอบกิจการโรงงานและการขยายกิจการโรงงาน ใบอนุญาตวัตถุอันตราย ใบอนุญาตกากอุตสาหกรรม การศึกษาการตอบโต้ของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และผู้ประกอบการ การกำหนดจุดพิกัดโรงงานที่แม่นยำ รวมถึงแนวทางการพัฒนาระบบติดตามและตรวจสอบ (Track and trace) ของกระทรวงอุตสาหกรรมในอนาคตอีกด้วย

“การประชุมดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence : AI) ในการออกในอนุญาต เพื่อลดระยะเวลา สร้างความโปร่งใส พร้อมสร้างความร่วมมือเพื่อร่วมกันพัฒนาระบบ แก้ไขปัญหา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ รวมทั้งการเสริมสร้างศักยภาพของกระทรวงอุตสาหกรรมสู่ Industrial 5.0 ต่อไป” นายพงศ์พล กล่าว

‘อลงกรณ์’ เสนอแนวคิด ‘ธีม พาร์ค คอมเพล็กซ์’ ทางเลือกใหม่ของไทย ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

(19 ม.ค. 68) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์
(FKII Thailand) และอดีตประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้นำเสนอแนวคิด การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของประเทศไทย โดยได้ระบุว่า ...

ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังมองหาวิธีในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งการพัฒนาธีม พาร์ค (Theme Park)ระดับโลก เช่น ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland)ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ(Universal Studios) ซีเวิลด์(Sea World)หรือ ธีม พาร์คอื่นผสมผสานกับเอนเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์(Entertainment Complex)ที่มีหลากหลายกิจกรรมสันทนาการ เป็นแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy)ที่น่าสนใจและมีศักยภาพมากกว่าแนวทางอื่น

เหตุผลที่ควรพิจารณาการพัฒนา Theme Park ร่วมกับ Entertainment Complex ในประเทศไทย

1. จุดขายใหม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนสร้างรายได้ให้ประเทศและประชาชน
การมี Theme Park ขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยกิจกรรมและเครื่องเล่นที่ไม่เพียงแต่สนุกสนาน แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ผู้เข้าชมจะมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศที่หลากหลาย และทำให้การมาเยือนประเทศไทยน่าจดจำยิ่งขึ้น

2. การมอบประสบการณ์ที่หลากหลาย
Entertainment Complex ที่รวม Theme Park ที่มีธีมจากวัฒนธรรมและภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง สามารถเพิ่มกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร บาร์ และพื้นที่สำหรับการแสดงดนตรี ทำให้ผู้เข้าชมมีตัวเลือกที่หลากหลายในการใช้เวลาในสถานที่เดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการเข้ามาของนักท่องเที่ยว

3. สร้างงานและพัฒนาเศรษฐกิจของชาติและท้องถิ่น
การพัฒนา Theme Park และ Entertainment Complex จะสร้างงานใหม่ให้กับคนในชุมชน ทั้งในด้านการดำเนินงาน การบริการ การตลาด การออกแบบ และการก่อสร้าง นอกจากนี้ ธุรกิจขนาดเล็กในพื้นที่ เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า และบริการท่องเที่ยว จะได้รับประโยชน์จากการมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น

4. ส่งเสริมการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรม
การออกแบบ Theme Park โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น สามารถสร้างโอกาสในการจัดแสดงวัฒนธรรมไทย เช่น การแสดงศิลปะการแสดงพื้นบ้าน โครงการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การมีพื้นที่การศึกษาภายใน Entertainment Complex จะช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถเรียนรู้และมีประสบการณ์ที่มีคุณค่า

5. เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวและนักท่องเที่ยวคุณภาพ
Theme Park และ Entertainment Complex สามารถออกแบบมาเพื่อให้เข้ากับทุกกลุ่มวัย มีการจัดกิจกรรมและสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ซึ่งทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ครอบครัวสามารถร่วมใช้เวลาและสร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกันได้

6. ปลอดภัยและสร้างสังคมที่มีสุขภาพดี
การพัฒนา Theme Park และ Entertainment Complex พลิกโฉมสังคมในทางที่ดี โดยมีคุณค่าประสบการณ์และความสนุกสนาน เปิดโอกาสให้เกิดกิจกรรมที่มีความคิดสร้างสรรค์และปลอดภัยมากขึ้น

ตัวอย่างธีม พาร์คในประเทศต่างๆ

1. Disneyland  & DisneySea
Magic Kingdom (ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา)
สวนสนุกในรูปแบบของเทพนิยาย มีตัวละคร Disney ที่เป็นที่รู้จักและเครื่องเล่นที่หลากหลาย
Disneyland (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา)
สวนสนุกแห่งแรกที่เปิดในปี 1955 ที่มีโซนธีมต่าง ๆ เช่น Adventureland, Tomorrowland, Fantasyland
Tokyo Disneyland & Tokyo DisneySea (ญี่ปุ่น)
มีการออกแบบที่แตกต่างและเสริมสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ
Shanghai Disneyland (จีน)
สวนสนุกที่ใหม่และทันสมัย มีธีมที่แตกต่างให้สำรวจ

 2. Universal Studios
Universal Studios Orlando (ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา)มีทั้งสวนสนุก Universal Studios และ Islands of Adventure มีเครื่องเล่นและฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่อิงจากภาพยนตร์และโชว์
Universal Studios Hollywood (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา)รวมเอาสวนสนุกและการท่องเที่ยวในสตูดิโอภาพยนตร์
Universal Studios Singapore มีเครื่องเล่นที่เป็นเอกลักษณ์และธีมที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์

3. SeaWorld
SeaWorld San Diego (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา)
สวนสนุกที่เน้นการศึกษาและอนุรักษ์สัตว์น้ำ พร้อมทั้งมีการแสดงสัตว์น้ำต่าง ๆ
SeaWorld Orlando (ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา) มีเครื่องเล่นและสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับสัตว์น้ำ

4. Legoland
Legoland California (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา)
สวนสนุกที่สร้างขึ้นจาก LEGO มีเครื่องเล่นที่เน้นการสร้างสรรค์
Legoland Billund (เดนมาร์ก)
สวนสนุกแห่งแรกที่เปิดในปี 1968 โดยมีความน่าสนใจจากเลโก้เป็นหลักที่มาเลเซียก็มี

 5. Europa-Park (เยอรมนี)
เป็นหนึ่งในสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีโซนธีมประเทศต่าง ๆ และเครื่องเล่นที่ยอดเยี่ยม

6. Alton Towers (สหราชอาณาจักร)
สวนสนุกที่มีเครื่องเล่นที่ขึ้นชื่อ โดยเฉพาะการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ที่มีบรรยากาศที่สวยงาม

7. Six Flags
Six Flags Magic Mountain (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา) มีเครื่องเล่นที่รวดเร็วและเร้าใจ
 มีสวนสนุกในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกาที่เน้นการผจญภัยและเครื่องเล่นที่มีความสูง

8. Busch Gardens
Busch Gardens Williamsburg (เวอร์จิเนีย, สหรัฐอเมริกา) สวนสนุกที่ผสมผสานระหว่างสวนสัตว์และเครื่องเล่น
Busch Gardens Tampa Bay (ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา) มีการแสดงทางวัฒนธรรมและเครื่องเล่นที่ยอดเยี่ยม

9. Everland (เกาหลีใต้)
สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี มีเครื่องเล่นที่น่าตื่นเต้นและสวนดอกไม้ที่สวยงาม

10. Studio Ghibli Museum (ญี่ปุ่น)
แม้ว่าจะไม่ใช่สวนสนุกแบบดั้งเดิม แต่เป็นสถานที่ที่เน้นการทำความเข้าใจโลกแห่งการ์ตูนและอนิเมชั่นของ Studio Ghibli

สรุป
ในฐานะที่ผมเป็นประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์
(FKII Thailand)และเคยเป็นประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผมคิดว่า

การมี Theme Park เช่น ดิสนีย์แลนด์ ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ หรือธีม พาร์คอื่นๆผสมผสานกับ Entertainment Complexในประเทศไทย เป็นแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเป็นทางเลือกของการพัฒนาประเทศที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ทั้งยังทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถเป็นไปในทางที่ดีขึ้น โดยสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีความสุขและเหมาะสมกับทุกกลุ่มวัย จึงเป็นแนวทางที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทยและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

คาสิโนถูกกฎหมาย สร้างรายได้ภาษี บนความล้มเหลวทางสังคม ดึงการเสี่ยงโชคนอกระบบ ให้มาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ

(19 ม.ค. 68) รัฐบาลเดินเครื่องอนุมัติหลักการร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร แผนพัฒนาเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย จะมีการเปิดใบอนุญาตในกรุงเทพฯ 2 แห่ง พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่

ประเทศไทย อาจอยู่คู่กับการพนันเสี่ยงโชคมาโดยตลอด ที่ถูกกฎหมายในปัจจุบัน มีเพียงแต่การลุ้นรางวัลลอตเตอรี่ ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังคงมีการเสี่ยงโชคกับหวยใต้ดินมาอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้จะมีการออกสลาก N3 หรือ สลากตัวเลขสามหลัก เพื่อแก้ปัญหาการขายหวยใต้ดิน แต่ผลตอบรับในปัจจุบัน ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก 

มาครานี้ จะเป็นของใหญ่ อย่าง “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘คาสิโน’ ที่จะดึงการเสี่ยงโชคนอกระบบ ให้มาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มรายได้การจัดเก็บภาษีให้รัฐ

สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประชาชนยังคงมีรายได้จำกัด ยังตกงานอีกเป็นจำนวนมาก และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รายได้ส่วนใหญ่ มาจากการรับจ้าง รับค่าแรงรายวัน หาเช้ากินค่ำ ซึ่งคนกลุ่มนี้ ก็นิยมเสี่ยงโชค ลุ้นเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตไปในแต่ละวันมากกว่า

หวยไม่ถูกกฎหมาย อย่างน้อย ก็ยังพอให้คนเล่น เล่นแบบเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ เล่นเยอะถูกรางวัล เจ้ามือไม่จ่าย คนเล่นชักดาบ ก็แจ้งความไม่ได้ ในมุมมองผู้เขียน ก็เหมือนเป็นการป้องกันการทุ่มเล่นจนหมดตัว

พอถูกกฎหมายแล้ว จะควบคุมคนเล่นอย่างไร ไม่ทำการทำงาน ไปอยู่แต่บ่อนถูกกฎหมาย เล่นเสีย ขอแก้มือ ทุ่มเล่นจนหมดตัว... คือสิ่งที่น่ากังวล

‘ไม่เคยมีใครรวยจากการพนัน’ คนรวย คงไม่พ้น เจ้ามือ หรือผู้ลงทุนในธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ซี่งก็คงไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ได้ไปถือหุ้นในธุรกิจนี้

‘คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น’ คำนี้ อาจจะถูกเพียงท่อนแรก เพราะตลาดหุ้นในปัจจุบัน ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นอีกสิ่งที่สะท้อนให้เห็นสภาวะเศรษฐกิจไทย ลองย้อนกลับไปดูได้ว่าช่วงปีใด ที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และในปัจจุบัน ถูกเทขายจนดัชนี SET ไทย ตกมาต่ำกว่าระดับ 1,350 มูลค่าหุ้นหลายๆ คน น่าจะหายไป 30-40% ยังไม่นับรวมผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่ถูก Forced Sell (การบังคับขาย)  

อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็เริ่มได้เห็น ดันคาสิโนถูกกฎหมาย บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีการทุจริตเป็นหมื่นล้าน ผู้แทนประชาชนบางพรรคพยายามผลักดัน บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย สุราเสรี อาชีพ Sex worker ถูกกฎหมาย ตัดงบประมาณบรรเทาสาธารภัย เพิ่มงบใส่นโยบายประชานิยม โครงสร้างพื้นฐานเริ่มชะลอ สังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร... ไม่ขอลุ้นละกันครับ 

‘ทักษิณ’ เตรียมคุย!! ‘นาโอมิ แคมป์เบลล์’ ร่วมปั้น!! นางแบบไทยให้ ‘โกอินเตอร์’

เมื่อวานนี้ (18 ม.ค. 68) ที่หอประชุมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม นายทักษิณเดินทางมาถึงเพื่อปราศรัยเป็นเวทีที่สอง โดยมีประชาชนมารอรับฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก นายทักษิณ ปราศรัยว่า พี่น้องมากันหลาย พี่น้องชาวนครพนมมากันเยอะมาก ตนปลื้มมาก ย้ำว่าไม่ได้มานครพนมเกือบ 20 ปีแล้ว มหาวิทยาลัยแห่งนี้เกิดในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ตอนนั้นเราเห็นว่ามีแต่วิทยาลัยกระจัดกระจายกันไป จึงเอามารวมเป็นมหาวิทยาลัยดีกว่า ซึ่งตอนนั้นมีสองมหาวิทยาลัยคือนราธิวาสและนครพนม ที่ถูกอนุมัติให้เป็นมหาลัยตอนที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้ได้กลับมาชื่นชม มากันเยอะแยะอยากเจอตนหรือไม่ ทุกครั้งที่ออกมาเจอพี่น้องโดยเฉพาะพี่น้องชาวอีสานก็มีความปลื้มใจ พลังของคนอีสานและคนเหนือส่วนใหญ่ทำให้ตนสู้และได้กลับมาประเทศ

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า พี่น้องไม่เคยลืมตน แม้ว่าเด็กรุ่นหลังอาจจะไม่รู้จักตน แต่พ่อแม่ก็พยายามจะเล่าให้ฟังว่าระหว่างที่ตนอยู่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้รู้ว่าพี่น้องเอามือล้วงเข้ากระเป๋าจะเจอแต่ตั๋วจำนำใช่หรือไม่ แต่สมัยที่ตนอยู่เอามือล้วงไปปุ๊บก็เจอแต่สตางค์ ตอนนี้เงินหายหมดเจอแต่ตั๋วจำนำ ตนบอกกับพี่น้องที่ธาตุพนมว่าปีนี้ล้วงไปถึงปลายปีล้วงไปจะไม่เจอตั๋วจำนำแล้ว และปีหน้าล้วงไปจะเจอสตางค์แล้ว พอปี 70 รัฐบาลเพื่อไทยมาล้วงไปจะดันไม่เข้า เพราะเจอแต่สตางค์

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า ตนกลับมาแล้วเศรษฐกิจไทยต้องดีขึ้น ตนทนเห็นพี่น้องลำบากไม่ได้ เพราะพี่น้องไม่เคยลืมตน ตนจึงขอทำงาน สทร. เสือกทุกเรื่อง ขอเสือกให้พี่น้องมีความสุขและสบายขึ้น พ้นหนี้ มีสตางค์ใช้ ตนเป็นคนที่มีความกตัญญูถือว่าพี่น้องมีบุญคุณกับตน ไม่เคยลืมตน ตนกลับมาแล้วก็ต้องชดใช้หนี้ และขอกตัญญูด้วยการช่วยเหลือให้ประเทศดีขึ้น รู้ว่าพี่น้องลำบากหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด ฉะนั้น จึงขอให้กลับไปบอกพ่อค้ายาแถวบ้านว่าทักษิณกลับมาแล้ว หากอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นขอให้เลิกอาชีพค้ายา ทักษิณเกลียดพ่อค้ายาและจะเอาตาย ถ้าอยากให้รักกันก็เลิกดีกว่า ฉะนั้น สิ้นปีนี้เอายาเสพติดให้เกลี้ยงเลย

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ขนาดน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังถูกหลอก มีการโทรไปหานายกรัฐมนตรี แล้วใช้เอไอทำเสียงเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ให้โอนเงินไปที่ฮ่องกง มันเล่นทุกรูปแบบ วันนี้กระบวนการใหญ่อยู่ที่พม่ากับที่เขมร เขมรให้ความร่วมมือดี เดี๋ยวจะเบาบางลง พม่าก็น่าจะจบ เพื่อนบ้านจะไม่มีพวกที่ทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฉะนั้น ปีนี้ต้องเอาให้จบเหมือนกัน

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ย้ำว่าวันที่ 27 ม.ค.นี้ เงินหมื่นจะเข้าบัญชีคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ที่เหลือต้องรอให้เทคโนโลยีดิจิทัลวอลเล็ตเสร็จในเดือนมี.ค. เมื่อเสร็จแล้วก็จะทำให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เม็ดเงินอยู่ในพื้นที่ วันนี้เราต้องหาเงินกลับเข้ามาอยู่ในต่างจังหวัดหรือไม่ให้ออกไปซึ่งตอนนี้กำลังคิดสูตรอยู่เพื่อให้เงินอยู่กับพี่น้องล้วงไปจะได้เจอเงินบ้าง ไม่ใช่ล้วงไปเจอแต่ตั๋วจำนำ

“วันนี้นายกอิ๊งค์กับผม พ่อลูกคุยกันทุกวัน ปรึกษาหารือกันตลอด ผมมีประสบการณ์แนะนำ นายกอิ๊งค์เอาความเป็นคนรุ่นใหม่มาประกอบกันและพัฒนาประเทศเรา เรื่องเอไอนายกอิ๊งค์ตั้งใจอย่างเต็มที่อยากให้เด็กรุ่นใหม่ได้เรียนรู้การใช้เอไอสั่งการให้ทำงาน และในเรื่องของการศึกษา เข้าใจว่าจะมีการแจกแท็บเล็ตอีกรอบ เพื่อนำมาใช้สำหรับการศึกษา นายกอิ๊งค์อยากนำเงินที่กองฉลากจัดสรรให้ทำโรงเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝันอีกครั้ง เป็นโรงเรียนต้นแบบเอาคนที่ได้ที่หนึ่ง ส่งไปเรียนเมืองนอก จัดซัมเมอร์แคมป์ให้เด็กไทยได้ไปเรียนเมืองนอก เอาครูต่างประเทศมาจัดแคมป์ในเมืองไทย ปิดเทอมปีการศึกษาหน้า คงมีอะไรสนุกๆ อีกแน่“ นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ต่อไปนี้จะจริงจังในการคัดเลือกคน โดยจะให้มหาวิทยาลัยเป็นแกนนำร่วม อบจ. เพื่อคัดคนที่อยากเพิ่มความชำนาญให้ตนเองเพื่อเป็นอาชีพและมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าแรงงานขั้นต่ำ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ประชุมกับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอน์แห่งชาติ ว่าจะคัดคนสวยแบบธรรมชาติไม่ต้องศัลยกรรม เพื่อให้มีโอกาสเท่าเทียมกัน ใครอยากเป็นนางแบบระดับโลกก็จะคัดมาฝึก ซึ่งนพ.สรุพงษ์ บอกว่าอยากได้งบกลาง 20 ล้านบาท ตนเลยบอกว่าเดียวตนออกให้เอง เดียวหาสปอนเซอร์มาช่วย แต่ทุกคนต้องเปนแมวมอง ผ่านกองทุนหมู่บ้าน ไม่จำกัดเพศจะเป็น ชาย หญิง หรือเพศที่ 3 หากดูแล้วเหมาะที่จะเดินแบบได้ ก็คัดไปเอามาฝึก แต่อย่าพึ่งทำศัลยกรรม

“เราอยากได้คนที่มีความงามแบบไทยแท้ ปนเจ็ก ปบแขก ปนลาวก็ได้ ไม่ว่ากัน แต่ต้องงามแบบออริจินัล แบบที่ออกมาจากท้องแม่ เพราะในโลกคงอยากเห็นคนไทยแท้เป็นอย่างไร ถ้าบุคลิกดีเดินแบบได้ แปบเดียว ก็มีโอกาสทำเงินได้เป็นล้านๆ เรียนหนังสือไม่เก่งไม่เป็นไร แต่ขอคนที่ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน นายกฯบอกปีนี้เป็นปีแห่งโอกาส ก็อยากจะสร้างโอกาสในทุกมิติ” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 8-10 ก.พ. นาโอมิ แคมเบล นางแบบระดับโลกจะเดินทางมาที่ประเทศไทย ก็จะมาคุยกับตนว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยได้เป็นนางแบบระดับโลกได้ ทั้งนี้ ตนนั่งผ่านริมแม่น้ำโขง บรรยากาศโรแมนติก ประชากร จ.นครพนม เพิ่มขึ้น ทั้งที่หลายจังหวัดเริ่มไม่ผลิต คนน้อยลง แสดงว่าบรรยากาศช่วยเหลือ ตนนั่งดูยังมองว่าริมโขงโรแมนติกไว้ผลิตลูก

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องรถไฟรางคู่เขาขยายไปทั่ว รถไฟเก่าช้าวิ่งแบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างจึงเกิดความรู้สึกว่ารถไฟช้านานๆ มาที วันหนึ่งมีคนขึ้นรถไฟแค่ 8 หมื่นกว่าคน คนใช้ก็บอกว่าให้ลงทุนแล้วทำให้รถไฟมาเร็วขึ้น แต่รถไฟก็บอกว่าพวกคุณก็ขึ้นก่อนเราจะได้มีเงินมาทำ ฉะนั้นเราจะทดลอง 20 บาทตลอดในกรุงเทพฯ แต่ปรากฏว่าคนยังใช้น้อยเพราะต่อลำบากตั๋วร่วมก็ไม่มีแล้วก็เก็บแพง ตนจึงบอกว่าเรารัฐบาลซื้อคืนมาให้หมดแล้วจัดการให้เก็บตั๋ว 20 บาทตลอดสาย แล้วบอกว่ามีรถไฟถี่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ขึ้นไม่ต้องรอรถไฟ รถจะได้ติดน้อยลง อากาศเสียน้อยลง ประชาชนจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นเพราะใช้เวลาน้อยในการที่จะเดินทางไปทำงาน และจะทำรถไฟเช่นนี้ทั่วประเทศไทยเพื่อให้มีความเร็วดีขึ้น ส่วนรถไฟจากลาวถึงหนองคายจะถึงกรุงเทพฯ แน่นอน และจากกรุงเทพฯ ไปถึงคุณหมิงได้แน่

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตอนแรกตนยังไม่แก่ แต่พอนั่งปุ๊บ ลุกขึ้นแก่แล้วนี่หว่า กระดูกกระเดี้ยวเริ่มเคลื่อน แต่ตนมีของดีและว่าอีกสักปีหน้าตนจะหนุ่มกว่าเดิมกว่าเดิม เพราะเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่เขาให้คนแก่หนุ่มขึ้น มีวิธีรักษาอวัยวะข้างในโดยการเติมสเต็มเซลล์ที่เป็นสเต็มเซลล์ของตัวเราเอาไปทำเอาให้เป็นสเต็มเซลเหมือนตอนเกิด และใส่เข้าไปจะซ่อมสิ่งที่สึกหรอในร่างกายร่างกาย ซึ่งตนกำลังเจรจากันอยู่ว่าเราจะทดลองที่ใดที่หนึ่งให้เป็นศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆได้หรือไม่ เช่นเทคโนโลยีทางด้านสเต็มเซล หรือด้านตัดต่อพันธุกรรม ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ว่าทำได้แค่ไหน ถ้าทำได้ประเทศไทยจะนำสมัยมาก และตนเป็นคนชอบเรื่องใหม่ๆ ไม่งั้นประเทศไทยจะช้ากว่าประเทศอื่น

“วันนี้ที่ผมต้องมาช่วยหาเสียงให้อบจ. เพราะผมอยากได้กำลังภาคพื้นดิน ภาคจังหวัดที่จะต้องช่วยกันดูค้นหาคนมาร่วมกับมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ของนายกอิ๊งค์ก็ดี การหานางแบบนายแบบระดับโลกก็ดี เราต้องอาศัยอบจ.ช่วยกัน ฉะนั้น จึงอยากได้นายกอบจ.ของพรรคเพื่อไทยเยอะๆ เพื่อจะได้ดูแลกันอย่างทั่วถึง วันนี้จึงต้องมาฝากนายอนุชิตเบอร์แปดให้เป็นนายกอบจ. ต้องเอาคนหนุ่มมาใช้งานเพราะผมใช้งานหนัก ผมเป็นคนที่ชอบให้คนทำงาน และจึงขอให้นายอนุชิตมาเป็นมือไม้ในการทำงานช่วยผม และอย่าลืมหามือไม้ให้นายอนุชิตโดยการเลือกอบจ.ด้วย เอาทั้งทีมไม่งั้นจะทำงานไม่ได้” นายทักษิณ กล่าว

‘แพทองธาร’ นำคณะ!! บินดาวอส ประชุม ‘World Economic Forum’ โชว์!! วิสัยทัศน์รัฐบาล ย้ำ!! ศักยภาพประเทศไทย ขับเคลื่อนไปสู่ยุคดิจิทัล

(19 ม.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 (WEF Annual Meeting 2025: WEF AM25) ระหว่างวันที่ 20-25 ม.ค. 2568 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส

โดยมีผู้แทนรัฐบาลไทยที่ได้รับเชิญและร่วมคณะ ได้แก่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นางนลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย และนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ

การประชุม WEF AM25 จะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 55 ภายใต้หัวข้อหลัก “Collaboration for the Intelligent Age” เพื่อหารือเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงให้เกิดคุณประโยชน์สูงสุดในการสนับสนุนการค้าการลงทุน ซึ่งจะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ในบริบทของสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันที่สลับซับซ้อนและท้าทาย

โดยนายกฯ จะใช้เวที WEF แสดงวิสัยทัศน์และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ย้ำศักยภาพและความพร้อมของไทยที่จะขับเคลื่อนไปสู่ยุคดิจิทัล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และขยายโอกาสของภาคเอกชนไทยในตลาดโลก

เนื่องจากการประชุม WEF นับเป็นเวทีที่มีอิทธิพลสูงมากต่อความตระหนักรู้ของสาธารณชนและสื่อมวลชนชั้นนำระดับโลก ทั้งยังจะมีการพบหารือทวิภาคีกับระหว่างผู้แทนระดับสูงจากภาครัฐ องค์การระหว่างประเทศ และผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของโลก โดยเฉพาะจากภูมิภาคยุโรป

ทั้งนี้นายกฯ จะเดินทางจากไทย ในวันที่20 ม.ค.นี้ ถึงท่าอากาศยานนครซูริก สมาพันธรัฐสวิส ในจันทร์ที่ 20 ม.ค. เวลา 14.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ซึ่งเวลาที่นครซูริกช้ากว่ากรุงเทพฯ 6 ชั่วโมง) และจะปฏิบัติภารกิจตั้งแต่วันที่ 20-25 ม.ค. 2568 และจะเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันเสาร์ที่ 25 ม.ค.

‘สุชาติ’ เผย!! 'อาเซียน - แคนาดา’ เร่งขับเคลื่อนเจรจา FTA ตั้งเป้า!! ปิดดีล ขยายโอกาสทางการค้า ภายในปี 2568

(18 ม.ค. 68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า แคนาดาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการเจรจาความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา (ACAFTA TNC) รอบที่ 11 ระหว่างวันที่ 15-17 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ณ กรุงเทพฯ เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาในประเด็นต่างๆ โดยมีเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2568 สำหรับการประชุม ACAFTA TNC ในรอบนี้ยังได้มีการจัดการประชุมของคณะทำงานเจรจาอีก 7 กลุ่ม ได้แก่ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า แนวปฏิบัติที่ดีด้านการออกกฎ การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา และกฎหมายและสถาบันควบคู่ไปด้วย  

"ไทยพร้อมสนับสนุน FTA อาเซียน-แคนาดา ให้บรรลุผลสำเร็จในปี 2568 ซึ่งจะเป็น FTA แรกของไทยกับประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคธุรกิจ รวมถึงขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนที่เชื่อมโยงทั้งสองภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน แคนาดาก็ให้ความสำคัญกับการสรุปผลการเจรจา ACAFTA โดยเร็ว เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองฝ่าย โดยเฉพาะการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มพูนโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน" นายสุชาติ กล่าว 

ด้านนางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการประชุมครั้งนี้ว่า ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการติดตามความคืบหน้าการเจรจาของคณะทำงานภายใต้ ACAFTA ทั้ง 19 กลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังมีความล่าช้าและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งรวมถึงเรื่องการค้าสินค้าที่จะต้องเร่งเจรจารูปแบบการลดภาษี (modality) ระหว่างประเทศสมาชิก การค้าบริการและการลงทุนที่จะต้องเร่งสรุปเรื่องโครงสร้างของข้อบทและรูปแบบการเปิดตลาด และเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งอาเซียนจะต้องพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าแบบเฉพาะ (Product Specific Rule: PSR) ที่แคนาดาเสนอมาทั้งหมด 5,612 รายการ รวมทั้งเรื่องการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืนที่อาเซียนจะต้องเร่งสรุปร่างข้อเสนอของอาเซียนให้แคนาดาพิจารณาเพื่อจัดทำร่างข้อบทร่วมในการเจรจาต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ให้แนวทางขับเคลื่อนการเจรจากับคณะทำงานกลุ่มต่างๆ อาทิ เร่งหาข้อสรุปในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นที่คล้ายคลึงกัน สำหรับประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นที่แตกต่างกันมาก ให้เน้นการหารืออย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและแสดงความยืดหยุ่นเพื่อหาแนวทางที่ยอมรับร่วมกันได้ และหยิบยกประเด็นที่ติดขัดให้คณะกรรมการ TNC ให้แนวทางแก้ไข พร้อมทั้งผลักดันให้มีการประชุมทั้งในรูปแบบออนไลน์ และ in-person เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้ทันตามเป้าที่กำหนดไว้ 

สำหรับในปี 2566 การค้ารวมของไทยและแคนาดา มีมูลค่า 2,933.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 10.41 โดยไทยส่งออกไปยังแคนาดา มูลค่า 1,903.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 10.07 สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขณะที่ไทยนำเข้าจากแคนาดา มูลค่า 1,030.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 11.03 สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเยื่อกระดาษและเศษกระดาษ

ทั้งนี้ ในช่วง 11 เดือน (ม.ค. –พ.ย.) ของปี 2567 การค้ารวมของไทยและแคนาดา มีมูลค่า 2,955.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการส่งออก 1,946.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการนำเข้า 1,008.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 937.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

‘รสนา’ ชื่นชม!! ‘กกพ.’ ชงลดค่าไฟฟ้า แนะ!! เจรจาลด ‘ค่าความพร้อมจ่าย’ ด้วย

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 68) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า …

มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท

ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์ (Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6 ข้อ

หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด

อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที

สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใช้ทั้งประเทศประมาณ 200,000 ล้านหน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่า Ft)

แม้ตามสัญญาค่าความพร้อมจ่ายอาจจะตัดไม่ได้ แต่รัฐบาลสามารถใช้ประเด็น ‘เหตุสุดวิสัย’ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐเพื่อลดค่าไฟ เปิดให้มีการเจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายในโรงไฟฟ้าที่คืนทุนแล้ว หรือไม่มีการผลิตแต่ยังได้ค่าความพร้อมจ่าย โดยแลกกับการขยายสัญญารับซื้อไฟต่อให้อีกสัก1-2ปีหลังหมดสัญญา และโรงไฟฟ้าใหม่ไม่ควรมีค่าความพร้อมจ่ายอีกแล้ว

กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน

รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!!

กฟผ. ผนึกกำลัง ททท. ชวนสัมผัสที่พัก 8 เขื่อนทั่วไทย ตอบโจทย์เทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ - กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

กฟผ. จับมือ ททท. สานต่อโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 สนับสนุนเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ที่ผสานการทำงานและการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ชวนสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่เขื่อน 8 แห่งของ กฟผ. ทั่วประเทศ พร้อมมอบส่วนลดที่พัก 30% ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนอย่างยั่งยืน

(17 ม.ค.68) นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า เทรนด์ Workation หรือการทำงานพร้อมการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานจาก Work from Home สู่ Work from Anywhere ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 กฟผ. จึงร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าสานต่อโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานในบรรยากาศอันเงียบสงบและงดงามที่เขื่อน 8 แห่งทั่วประเทศ ของ กฟผ. ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี และเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ และเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม - 30 มีนาคม 2568

นายชวลิต กันคำ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ. ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ Workation ของ ททท. มาตั้งแต่ปี 2563 โดยเริ่มจากการมอบส่วนลดค่าที่พัก และยกระดับคุณภาพบ้านพักรับรองด้วยมาตรฐาน SHA Plus ในพื้นที่เขื่อนและโรงไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย โครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 สะท้อนถึงความตั้งใจของ กฟผ. ในการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของ ททท. เพื่อผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีหัวใจสำคัญคือชุมชนและธรรมชาติ ทุกการเดินทางไม่เพียงแต่สร้างความสุข แต่ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“เขื่อนของ กฟผ. ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของประเทศ แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่งดงาม ลองมาสัมผัสทิวทัศน์อันตระการตาของเขื่อนทั้ง 8 แห่ง ซึ่งมีเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว พร้อมเติมเต็มพลังชีวิต และดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติที่เงียบสงบ การท่องเที่ยวในพื้นที่เขื่อนของ กฟผ. จะไม่เพียงเปลี่ยนบรรยากาศการทํางาน แต่ยังช่วยเติมเต็มเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตไปด้วยกัน กฟผ. ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน” นายชวลิต กล่าวเชิญชวน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจองสิทธิ์ได้ที่ www.tourismthailand.org/workationthailand โดยใส่คำค้นหา 'บ้านพักรับรองเขื่อน'

OPPO ขอโทษ ออกอัปเดตลบแอปเงินกู้บนมือถือแล้ว 4 รุ่น ยืนยันลบข้อมูลส่วนตัวลูกค้าทั้งหมด

(17 ม.ค.68) OPPO ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนครั้งแรก หลังเกิดเหตุการณ์การติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy และ สินเชื่อความสุข ในสมาร์ทโฟน OPPO และ realme โดยไม่ได้รับการยินยอม  

โดยนายชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร OPPO ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขโดยทันทีผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้เริ่มการอัปเดตระบบ (OTA) เพื่อลบแอปพลิเคชันดังกล่าวแล้ว ซึ่งครอบคลุมถึงรุ่น Find X8 Series, Reno13 Series, Reno12 Series และ OPPO A3 ทั้งตั้งเป้าให้มีการอัปเดตเพื่อการติดตั้งแอปฯ ดังกล่าวภายใน 27 มกราคม 2025 

นายชานนท์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานเก็บบนคลาวด์ได้ถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้ว ส่วนข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ ผู้ใช้งานสามารถลบได้ด้วยตัวเองทันที  

ด้านนายธงชัย ม่วงใหม่ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของโพสเซฟี่ กรุ๊ป ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของ OPPO ประเทศไทยในการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัว โดยไม่เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของผู้ใช้งานหากไม่ได้รับอนุญาต พร้อมเสริมว่าบริษัทได้ดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล  

นอกจากนี้ OPPO ประเทศไทยได้ชี้แจงว่า การติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าวมาจากบุคคลภายนอก และยืนยันว่าไม่มีการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน โดยบริษัทได้เริ่มปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย พร้อมประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต  

"เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเรา เราขอโทษผู้ใช้งานอย่างสุดซึ้ง และขอให้คำมั่นว่าจะไม่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก" นายชานนท์กล่าว  

OPPO ประเทศไทยยังแสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือเฉพาะกับพันธมิตรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และจะไม่ติดตั้งแอปพลิเคชันสินเชื่อที่ไม่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานธนาคารแห่งประเทศไทยอีก  

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ OPPO ประเทศไทยได้จัดตั้งสายด่วนที่หมายเลข 1800-019-097 เพื่อให้บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top