Saturday, 23 September 2023
ECONBIZ

‘หม่าล่า’ เครื่องเทศเผ็ดร้อนสไตล์จีน อร่อยถูกปากคนไทย ฟีเวอร์จนขึ้นแท่นสุดยอดเมนูฮอตฮิต ติดชาร์ตทุกโซเชียล

กระแสความนิยม ‘หม่าล่า’ เครื่องเทศรสเผ็ดชาจากจีน ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านสุกี้ ขนมขบเคี้ยว พิซซ่า ในไทย หยิบ ‘หม่าล่า’ มาสร้างสรรค์เป็นเมนูเสิร์ฟให้กับกลุ่มลูกค้ากันอย่างต่อเนื่อง ด้วยรสชาติที่มีลักษณะเฉพาะตัวและเป็นเอกลักษณ์ ประกอบกับคนไทยชอบทานรสเผ็ดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และที่สำคัญแบรนด์ต่าง ๆ ในไทยฟัง ‘เสียงผู้บริโภค’ ในโลกสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียอย่างใกล้ชิด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ว่า ทำไมหม่าล่าหม้อไฟ และหม่าล่าสายพานถึงเป็นเมนูยอดนิยมของเหล่าหม่าล่าเลิฟเวอร์

จากการเก็บข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสังคมออนไลน์ (Social Listening) ที่มีการพูดถึงหม่าล่า ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 11 กันยายน 2566 พบว่า สังคมออนไลน์ หรือ โซเชียลมีเดียมีการพูดถึงหม่าล่ามากถึง 3,697 ข้อความ และ มี Engagement ทั้งหมดจำนวน 315,561 ครั้ง โดยแบ่งได้ดังนี้

- Twitter มีการพูดถึง 2,691 ข้อความ มีจำนวน Engagement 4,875 ครั้ง
- Facebook มีการพูดถึง 455 ข้อความ มีจำนวน Engagement 175,225 ครั้ง
- Instagram มีการพูดถึง 281 ข้อความ มีจำนวน Engagement 95,804ครั้ง
- YouTube มีการพูดถึง 270 ข้อความ มีจำนวน Engagement 39,657 ครั้ง

ทำไมเมนู ‘หม่าล่า’ ถึงเป็นที่นิยม?
ในช่วงปีนี้กระแส ‘หม่าล่าชาบู’ หรือ ‘หม่าล่าสายพาน’ ในประเทศไทยมาแรงมาก ซึ่งหม่าล่าฟีเวอร์นั้นก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงปี 2018 แต่ในปีนั้นเมนูที่ได้รับความนิยมจะเป็น ‘หม่าล่าปิ้งย่างเสียบไม้’ ที่เรามองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ร้านที่ขายเมนูนี้ ซึ่งในช่วงนั้นจุดเริ่มต้นกระแสหม่าล่าก็ได้เกิดขึ้น

โดยร้านที่ปลุกกระแสหม่าล่าฟีเวอร์นั่นก็คือ ‘Hai Di Lao’ ร้านหม่าล่าหม้อไฟชื่อดังจากประเทศจีนที่เข้ามาเปิดสาขาที่ประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน  และจากการเข้ามาของร้าน Hai Di Lao ทำให้ตลาดร้านอาหารในประเทศไทยมีเมนูที่นำหม่าล่าเข้ามาเป็นส่วนประกอบและก็ยังมีร้านหม่าล่าหม้อไฟใหม่ ๆ เข้ามาลงเล่นในตลาดอีกด้วย

EA ส่ง ‘สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์’ เซ็นสัญญา PPP กับเมืองพัทยา ตั้งศูนย์จัดการขยะครบวงจรในเกาะล้าน ยกระดับสู่เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน

บจก. สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์ บริษัทย่อยในกลุ่ม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด ได้เข้าร่วมลงนามสัญญาร่วมลงทุนแบบ PPP กับ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยมีสัญญาระยะเวลา 25 ปี 

บจก. สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์ ได้ชนะการประมูลศูนย์กำจัดขยะชุมชนบนพื้นที่เกาะล้าน ต่อมาได้มีการลงนามสัญญากับเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ร่วมลงทุนในรูปแบบ Public Private Partnership (PPP) จัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยชุมชน โดยแต่งตั้ง บจก. รอยัล กรีน เอ็นเนอร์จี เป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาโครงการด้วยวิธีเผาทำลายบนพื้นที่เกาะล้านแบบครบวงจร มีวัตถุประสงค์ลดปริมาณขยะในชุมชน โดยการนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษจากการเผามาใช้ เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนสะสมที่บ่อขยะเกาะล้าน กว่า 65,000 ตัน และยังมีการคาดการณ์ในอนาคตจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่า 25 ตัน/วัน 

ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน จึงต้องมีการบริหารจัดการอย่างมีแบบแผนและเร่งด่วน ซึ่งได้แบ่งการกำจัดขยะมูลฝอยเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นการจัดการขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และการจัดการขยะมูลฝอยที่สะสมอยู่ในบ่อพักขยะมูลฝอย โดยคาดว่ามีปริมาณขยะที่ต้องกำจัดไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัน พร้อมเตรียมกำจัดขยะมูลฝอยแบบถาวร ในระยะที่ 2 ต่อไป 

นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า ปัจจุบัน จากการขยายตัวของชุมชน และการขยายตัวของภาคธุรกิจร้านค้าหรือสถานประกอบการต่างๆ บนเกาะล้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยว จึงส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาขยะมูลฝอยตกค้างสะสมและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น

เมืองพัทยาเห็นถึงปัญหาดังกล่าวและตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาให้มีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จึงได้ดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน เพื่อให้การอนุมัติโครงการดังกล่าวเกิดความสัมฤทธิ์ผล และสามารถที่จะดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

นายวสุ กลมเกลี้ยง Executive Vice President บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ กล่าวว่า EA ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ ‘Green Product’ มาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี ตั้งแต่กลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน, ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน, ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และสถานีชาร์จ EA Anywhere โดย EA ได้ส่ง บจก. สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการขยะ ที่สามารถชนะประมูลในรูปแบบร่วมลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยตามสัญญาสัมปทาน แบบ Build Operate Transfer (BOT) มีระยะเวลาดำเนินการรวม 25 ปี นับจากวันที่เริ่มดำเนินการกำจัดขยะมูลเพื่อชุมชน

“โครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดธุรกิจใหม่ของ EA ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดขยะมูลฝอยสะอาดอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองพัทยาและประเทศไทยต่อไป” นายวสุ กล่าวทิ้งท้าย

‘เลขา สดช.’ ชู แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 3 มั่นใจ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทย

เลขาธิการ สดช. ร่วมเวทีสัมมนาการขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย ย้ำ ประเทศไทยต้องรักษาดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ไม่ให้ต่ำกว่าเดิม พร้อมเดินหน้าตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในระยะ 3 ครอบคลุมทั้ง 5 ด้าน หวังเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 66 นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้เข้าร่วมงานสัมมนาโครงการสัมมนาการขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), ศ.พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงผู้บริหารของกระทรวงฯ และหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

นายภุชพงค์ ได้กล่าวบนเวที ถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย ตามแผนการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. 2561-2580) ในระยะ 3 ระหว่างปี 2566-2570 โดยระบุว่า ขณะนี้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ทางด้านศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก โดยเป้าหมายหลักคือการทำอันดับให้ดีขึ้น หรือ อย่างน้อยจะต้องไม่ลดจากอันดับเดิมที่เป็นอยู่

โดยมีตัวชี้วัดที่สำคัญ อย่างเช่น มูลค่าเพิ่มของเศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนต่อจีดีพี (Digital Contribution to GOP) ในปี พ.ศ. 2570 ไม่น้อย ร้อยละ 30 และปี  พ.ศ. 2581 ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ขณะที่ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศใน
World Digltal Compettiveness Ranking ในปี พ.ศ. 2570 อยู่ใน 30 อันดับแรกของไลก หรืออยู่ใน 3 อันดับแรกของอาเซียน
และในปี พ.ศ. 2080 อยู่ใน 20 อันดับแรกของโลกหรืออยู่ใน 2 อันดับแรกของอาเซียน ส่วนในด้านสถานภาพการเข้าใจติจิล ( Digital Literacy) ของประชาชนคนไทย มากกว่า 30 คะแนน ในปี พ.ศ. 2570 และมากกว่า 85 คะแนน ในปี พ.ศ. 2580 

ทั้งนี้ การจะเดินไปถึงเป้าหมายดังกล่าว จะขับเคลื่อนไปตามกรอบการพัฒนาทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านรัฐบาลดิจิทัล, ด้านการพัฒนากำลังคน และด้านการสร้างความเชื่อมั่นโดยการพัฒนาระบบนิเวศด้านโครงสร้างด้านเทคโนโลยี

“เราต้องยอมรับว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันนั้น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลนับว่ามีส่วนสำคัญอย่างสูง อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับประเทศในทุก ๆ ด้าน เพราะฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องรักษาอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลในระดับนานาชาติ พร้อมกับพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศต่อไปให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทุก ๆ ด้าน”

ขณะที่บรรยากาศภายในงานสัมมนา มีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากทั้งภายในสถานที่จัดงาน ณ ห้อง Auditorium ชั้น 2 อาคารสโมสร บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) รวมถึงการรับชมผ่านออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยังได้เยี่ยมชมบูธของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) ซึ่งได้ให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนฯ และจัดกิจกรรม เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้ร่วมสนุกรับของที่ระลึกจากของกองทุนดีอี ทำให้บรรยากาศในงานสัมมนาตลอดทั้งวันเป็นไปด้วยความคึกคักอย่างมาก

'จับกัง 1' เล็งปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ในปีหน้า คาด!! สรุปแนวทางที่ทุกฝ่ายรับได้ภายในเดือน 11

(15 ก.ค. 66) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่า สรุปเนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ค่าแรง) ให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 

ทั้งนี้ จะดูอัตราเงินเฟ้อประกอบด้วย เพื่อประกาศเป็นของขวัญปีใหม่ปี 2567 ให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานช่วงใกล้สิ้นปีนี้ 

"กระทรวงแรงงานได้หารือกับส.อ.ท.ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนที่เข้าใจในปัญหาแรงงาน เพื่อรับทราบความคิดเห็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำซึ่งทุกภาคส่วนมีความกังวล และหลังจากนี้กระทรวงจะเร่งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ทั้งลูกจ้าง นายจ้าง และภาครัฐ"

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลในเดือนพฤศจิกายนนี้ ต้องการให้ยึดมติคณะกรรมการไตรภาคี โดยค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 328- 354 บาทต่อวัน การขึ้นราคาเดียว 400 บาทต่อวัน หรือขึ้น 19-20% อาจทำให้หลายอุตสาหกรรมกระทบหนักจากต้นทุนที่กระชากแรง เพราะปัจจุบันจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรมมีประมาณ 20 อุตสาหกรรมจ่ายไม่สูงเพราะใช้แรงงานเข้มข้น 

และยังมีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี (SMEs) ทั่วประเทศกว่า 3 ล้านคน ที่เหลือจ่ายเกิน 400 บาทต่อวัน บางอุตสาหกรรมถึง 800 บาทต่อวันแต่ก็หาแรงงานยาก ดังนั้นการปรับค่าจ้างต้องสอดรับศักยภาพแรงงาน และความสามารถของผู้ประกอบการ

"วิธีปรับขึ้นค่าจ้างที่เหมาะสมคือ การขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อแต่ละปี หรือจะขึ้นตามต้นทุนเงินเฟ้อบวกเอ็กซ์ และปัจจุบันประสิทธิภาพแรงงานไทยในกลุ่มอาเซียน ยังไม่เทียบเท่าเวียดนามและอินโดนีเซียได้ เนื่องจากยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 ได้เต็มที่นัก ดังนั้นไทยควรรีบเร่งเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานไทย ให้แข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้ เพราะต้องทำงานเป็นปาท่องโก๋ อุตสาหกรรมจะเติบโตได้ ต้องมีกระทรวงแรงงานคอยสนับสนุน”

‘พิมพ์ภัทรา’ เผย!! เร่งผลักดันส่งเสริม ‘อุตฯ ยานยนต์ไฟฟ้า’ หลังค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเข้าพบ-หารือแนวทางสนับสนุน

(12 ก.ย. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงพลังงาน และคณะทำงานในการพิจารณากำหนดแนวทางผลักดันมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) หรือ EV 3.5 เพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยด่วน ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเร็วที่สุด ก่อนที่มาตรการอีวี 3.0 จะสิ้นสุดภายในสิ้นปีนี้

“ขณะนี้มีค่ายรถยนต์อีวีบางค่ายสอบถามเรื่องมาตรการส่งเสริมรถอีวี และเข้ามาพบ เพื่อหารือถึงแนวทางสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าบ้างแล้ว ซึ่งจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทุกฝ่าย อาจจะต้องมีการปรับรายละเอียดหลักเกณฑ์เงื่อนไขบ้างบางข้อตามความเหมาะสม” นางสาวพิมพ์ภัทรากล่าว

นอกจากนี้จะพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ ดูแลผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) ตามนโยบายที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ฝากการบ้านถึงกระทรวงอุตสาหกรรม ในการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา แม้นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ออกมาจะไม่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมโดยตรง แต่ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม ดูแลเรื่องการพักหนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมถึงส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนเอสเอ็มอีรายใหม่ รวมถึงเตรียมกำหนดแนวทางสนับสนุนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สอดรับนโยบายรัฐบาลด้วย

‘เบนซ์’ เปิดแคมเปญใหม่ ดึงลูกค้าเข้าใช้บริการศูนย์ ลดค่าอะไหล่สูงสุด 25% พร้อมสิทธิพิเศษเพียบ!!

(15 ก.ย. 66) ‘เมอร์เซเดส-เบนซ์’ เปิดแคมเปญ ‘Make your drive like day one’ จูงใจลูกค้าเข้ารับบริการ ด้วยส่วนลดอะไหล่ ของแจกแถม เงื่อนไขการเงิน

แคมเปญ ‘Make your drive like day one’ ของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ชวนลูกค้าดูแลรถเบนซ์ให้เหมือนวันแรกของการใช้งาน โดยปรับลดราคาอะไหล่ลงมาสูงสุด 25% เมื่อเข้ารับบริการในศูนย์บริการ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ
แคมเปญนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566  โดยแบ่งเป็นข้อเสนอต่างๆ คือ

รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น (รวม Van model) ทุกช่วงอายุรถยนต์ จะได้รับส่วนลดค่าอะไหล่ 25% สำหรับอะไหล่
- กลุ่มบำรุงรักษา 
- กลุ่มอะไหล่สึกหรอ
- อะไหล่กลุ่มช่วงล่างที่ร่วมแคมเปญ

รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น (รวม Van model) ทุกช่วงอายุที่เข้ารับบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
- รับน้ำมันเครื่อง MB Oil 1 ลิตร ฟรี 
- ลูกค้าที่มียอดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไป (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ลูกค้าที่เข้ารับบริการเปลี่ยนยาง MB Tire และ ลูกค้าที่ซื้อ MBSP ในช่วงแคมเปญ รับเพิ่มน้ำมันเครื่อง MB Oil อีก 1 ลิตร

ลูกค้า MBSP ที่มีโปรแกรม Easy Care หรือ Ultimate ที่เข้ารับบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
- รับกระบอกน้ำสุญญากาศ Mercedes-Benz ขนาด 0.5 ลิตร มูลค่า 1,583.60 บาท 1 ใบ ต่อ 1 ใบเสร็จ ต่อรถยนต์ 1 คัน

ลูกค้าที่ทำรายการผ่านบัตรเครดิตซิตี้ เมอร์เซเดส และมียอดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 25,000 บาท 
ขึ้นไป (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
- เลือกผ่อนชำระดอกเบี้ย 0% ได้นาน 6 เดือน หรือ 10 เดือน

‘MASTER’ ผนึกกำลัง ‘KIN Corp.’ เดินเกมรุกธุรกิจสื่อโฆษณา ขยายช่องทางการตลาด-เพิ่มขีดความสามารถ-รองรับการแข่งขัน

‘MASTER’ เดินเกมรุกเน้นโตแบบ Organic และ Inorganic ด้วยกลยุทธ์ ‘Merger and Partnership’ (M&P) ล่าสุดผนึกกำลัง ‘KIN Corp.’ ผู้นำธุรกิจสื่อโฆษณาออฟไลน์และออนไลน์ ปูพรมขยายช่องทางการตลาด เพิ่มขีดความสามารถธุรกิจรองรับการแข่งขัน พร้อมส่องภาพรวมธุรกิจสื่อโฆษณา หลังสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลาย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ชูสื่อนอกบ้าน-สื่อการเดินทาง รอบ 7 เดือนปี 66 เม็ดเงินโฆษณาโต 23% อยู่ที่ 9,032 ล้านบาท เชื่อธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก  

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘MASTER’ โรงพยาบาลด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรชั้นนำของไทย ภายใต้ชื่อ ‘โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช : Masterpiece Hospital’ เปิดเผยถึงแนวทางการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER เน้นการเติบโตทั้ง Organic และ Inorganic ด้วยกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) มาประยุกต์ใช้ โดยวางหลักเกณฑ์ 3 เรื่องในการเข้าพิจารณาลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่

1.) ซื้อกิจการหรือธุรกิจที่มีเจ้าของเดิมยังบริหารต่อและต้องการเติบโตไปด้วยกัน
2.) เป็นกิจการหรือธุรกิจท้องถิ่น มีชื่อเสียง และความสัมพันธ์ที่ดีต่อพื้นที่นั้นๆ
3.) มีการทำงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่างธุรกิจกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช

โดยล่าสุด บริษัทลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุน บริษัท คิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (KIN Corp.) ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด โดยได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 400,000 หุ้น หรือ 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเพิ่มทุนในราคาหุ้นละ 400 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 160 ล้านบาท โดยมีแผนการใช้เงินเพื่อไปใช้ในการขยายกิจการ และคาดว่าจะดำเนินการเข้าลงทุนแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2567 

สำหรับการร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญของ MASTER เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงทีมผู้บริหาร นำโดย นายภาคิน วณิชภิรมย์ มีแผนธุรกิจอย่างชัดเจน แต่เดิมเน้นทำการตลาดกลุ่มลูกค้า Real Estate เป็นหลัก จึงมองเห็นโอกาสในการขยายเข้าสู่ตลาดกลุ่ม Health Care ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากที่สุด  

“การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER ทำให้สามารถเพิ่มรายได้และยังสร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสการเติบโตในตลาดวงการศัลยกรรม ด้วยศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จากการที่ KIN Corp. มีเครือข่ายและทำเลที่ตั้งโฆษณาครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ไปจนถึงต่างจังหวัดทั่วไทย ถือเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่สำคัญ ซึ่ง KIN Corp. มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ มีความต้องการด้านสื่อโฆษณาสูง ทำให้มีโอกาสขยายฐานลูกค้า พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยงานบริการด้านต่างๆ กับกลุ่มลูกค้าหลากหลายประเภท” นายแพทย์ระวีวัฒน์ กล่าว

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MASTER กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าถือหุ้น KIN Corp. เสร็จสมบูรณ์ บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ พร้อมให้การสนับสนุน KIN Corp. ในทุกๆ ด้าน โดยคาดว่า KIN Corp. เริ่มสร้างผลกำไรให้ MASTER ได้ในไตรมาส 4/2566 เป็นต้นไป และจะรับรู้กำไรเข้าเต็มปี 2567 เป็นปีแรก

นายภาคิน วณิชภิรมย์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (KIN Corp.) ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ MASTER เห็นโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน จนเกิดข้อตกลงร่วมทุนดังกล่าว  

“นอกจากสิ่งที่สัมผัสได้จากการแลกเปลี่ยนมุมมองในการทำธุรกิจแล้ว ผมมองว่า MASTER มีจุดแข็งเรื่องการพัฒนาคนในองค์กร ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับ KIN Corp. เพราะแนวทางการดึงศักยภาพของคนในองค์กร นำมาใช้ในเรื่องการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาคนในองค์กร เป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้เพิ่มจากทีม MASTER” นายภาคิน กล่าว 

ด้านภาพรวมธุรกิจสื่อโฆษณา หลังสถานการณ์ Covid -19 คลี่คลาย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยอ้างอิงจากรายงาน ‘นีลเส็น’ (Nielsen) ระบุว่าเม็ดเงินโฆษณา (Media Spending) ช่วง 7 เดือนแรก ปี 2566 มีมูลค่าเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 0.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าอยู่ที่ 65,093 ล้านบาท แบ่งเป็น สื่อทีวี ยังคงเป็นสื่อที่มีสัดส่วนของการใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุด อยู่ที่ 57% คิดเป็นมูลค่า 34,483 ล้านบาท

รองลงมาเป็นสื่อดิจิทัล เม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้น 6% มูลค่าอยู่ที่ 16,031 ล้านบาท และตามมาด้วยสื่อนอกบ้าน และสื่อการเดินทาง เม็ดเงินโฆษณาโต 23% มูลค่าอยู่ที่ 9,032 ล้านบาท ดังนั้น KIN เชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอุตสาหกรรมสื่อโฆษณา เพราะด้วยโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน ลูกค้าต่างมองหาวิธีที่จะทำให้แบรนด์ของตนเองโดดเด่นและดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง เช่น การลงทุนในการโฆษณา การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ หรือการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เป้าหมายสูงสุด คือ การเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ามากขึ้น 

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ไป บริษัทวางแผนขยายตลาดในกลุ่ม Medical และกลุ่ม Health Care ที่ต้องการบริษัทผลิตสื่อที่ครบวงจร ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ หรือกลุ่ม Out of Home Media ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่ KIN Corp. สนใจ จากเดิมที่ KIN Corp. มีฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่ม Real Estate ซึ่งบริหารโครงการอยู่ประมาณ 250 โครงการ แบ่งเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม 

ส่วนช่วงที่เหลือของปี 2566 ของ MASTER มีโอกาสร่วมทุนกับพันธมิตรรายใหม่อย่างน้อยอีก 3 ราย โดยเชื่อมั่นว่าทุกดีลที่เกิดขึ้นจะสนับสนุนให้ MASTER เติบโตอย่างยั่งยืนแน่นอน นับตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทเข้าไปลงทุนกิจการคลินิกเสริมความงาม ภายใต้ชื่อ ‘WIND Clinic’ ด้วยการเข้าลงทุน 40% รวมถึงลงทุนใน ‘Rattinan Medical Center’ ถือหุ้นสัดส่วนไม่เกิน 36% และบริษัท ด็อกเตอร์เชน เซอร์เจอรี่ ฮอสพิทอล จำกัด เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 40%

‘กรมพัฒนาธุรกิจฯ’ ดัน ‘สมุนไพรไทย’ สู่ซอฟต์พาวเวอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รับเทรนด์รักสุขภาพของคนยุคใหม่

(13 ก.ย. 66) นางรวีพรรณ ช้างเย็นฉ่ำ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมมีแผนที่จะส่งเสริมการตลาดสินค้า ‘สมุนไพรไทย’ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน มีคณะกรรมการนโยบายและสมุนไพรแห่งชาติ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมภาพลักษณ์และการตลาดสมุนไพร มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน มีกรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นฝ่ายเลขานุการ ทำหน้าที่ส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั้งในและต่างประเทศ และกำหนดช่องทางการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็น Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกรายการหนึ่ง

สำหรับการขับเคลื่อนสมุนไพรไทย ได้มีการกำหนดมาตรการผลักดันสมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ประเทศด้านอาหารและวัฒนธรรมไทย โดยบูรณาการประเด็นสมุนไพรร่วมกับอาหาร วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ผลักดันคุณค่าของสมุนไพรไทยร่วมกับอาหารไทย ตอบรับกระแสนิยมด้านรักสุขภาพ นำเสนอเมนูอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรไทย ชูสรรพคุณที่มีคุณประโยชน์เจาะกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะด้าน เช่น เพิ่มภูมิคุ้มกัน Plant-based และผู้สูงอายุ

ส่วนด้านการตลาด จะมีการศึกษาความต้องการของตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมการใช้การตลาดออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ สร้างเรื่องเล่าดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค เน้นขยายตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรกลุ่มเวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชนกลุ่มสมุนไพร รวมทั้งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์สมุนไพร

นอกจากนี้ จะเร่งการพัฒนาตราสัญลักษณ์คุณภาพสมุนไพรที่เป็นที่ยอมรับ โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการสมุนไพรเพื่อมอบรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ ซึ่งสัญลักษณ์ของรางวัลมีแนวคิดการออกแบบมาจากรูปแบบของไผ่ที่สานเป็นรูปดวงดาวของเหลว และกราฟิกรูปหัวใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพร

ทั้งนี้ ในส่วนของกรม จะเดินหน้ายกระดับศักยภาพด้านการตลาดของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สะท้อนคุณค่า และความน่าเชื่อถือผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งขยายโอกาสทางการค้าให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ในการกำหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการเป็นตลาดสมุนไพรของอาเซียน

ทางด้านผลการทำงาน ในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สร้างภาพลักษณ์และการรับรู้คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดยสร้างเรื่องเล่าให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 22 ผลิตภัณฑ์ เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุดิบมาจาก Herbal Champion ได้แก่ ขมิ้นชัน กระชายดำ และบัวบก พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านออนไลน์และเครือข่ายพันธมิตร และนำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีศักยภาพขยายตลาดเชิงรุกเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคโดยตรง ผ่านงานแสดงสินค้าต่าง ๆ และการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้จัดจำหน่าย สามารถสร้างมูลค่าการค้าได้มากกว่า 15 ล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ยาดม น้ำมันหอมระเหย และเครื่องสำอาง สมุนไพรจากน้ำนมข้าว และในปี 2566 ได้นำผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน THAIFEX – Anuga Asia 2023 เมื่อเดือน พ.ค. 2566 จำนวน 42 ราย สามารถสร้างมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 203.31 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้รับความนิยม 5 อันดับ ได้แก่ ขมิ้นชันผง น้ำมะขามป้อม ขนมจากขิง เครื่องดื่มจากจมูกข้าว และเครื่องแกง ตามลำดับ

ธนชาตประกันภัย คว้ารางวัลบริหารงานดีเด่น พร้อมโชว์ฐานะเงินกองทุนสุดปึ๊กสูงถึง 553%

ธนชาตประกันภัย ปลื้ม!! คว้ารางวัล ‘บริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น’ 10 ปีซ้อน 
โชว์ผลงานครึ่งปีแรกได้เบี้ยรับรวมเติบโต 14% มั่นใจดันเบี้ยรับทั้งปี 12,000 ล้านบาท 

เมื่อไม่นานมานี้ นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนชาตประกันภัย เปิดเผยว่า ‘บริษัทฯ ได้รับรางวัล ’บริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ในงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) ประจำปี 2566 เป็นรางวัลที่ตอกย้ำความสำเร็จด้านการบริหารงานที่ดี มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับที่ดีมาก ทั้งความมั่นคงทางการเงิน มีหลักธรรมาภิบาลเป็นเลิศ การนำเทคโนโลยีพัฒนาคุณภาพงานผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมให้เป็นแบบอย่างที่ดี’  

ปัจจัยที่ทำให้ธนชาตประกันภัยได้รับรางวัลและผลประกอบการที่ดีขึ้นในทุกปี มาจากการที่บริษัทที่เป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงรอบด้านอย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคงทางการเงิน โดยปัจจุบันมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน 553% สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก การเดินหน้าพัฒนางานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยมาสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อดูแลความเสี่ยงให้กับลูกค้าได้ครอบคลุมและตรงกับความต้องการ มีความเหมาะสมกับรูปแบบการดำเนินชีวิต ส่วนด้านงานบริการเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นในทุกจุดที่ลูกค้าใช้บริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวก รวดเร็ว และง่ายยิ่งขึ้น ตลอดจนมีประสบการณ์ที่ประทับใจอย่างต่อเนื่อง

นายพีระพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ‘รางวัลที่ได้รับจะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเดินหน้าพัฒนางานบริการด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ และสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อไปอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ด้านประกันภัยที่ดีที่สุด โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้คุ้มครองดูแลแล้วกว่า 1 ล้านราย ได้รับความพึงพอใจจากลูกค้าที่มีต่อบริการของธนชาตประกันภัยผ่านระบบ NPS (Net Promoter Score) ที่ระดับ 68% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าค่ามาตรฐานของธุรกิจประกันภัยระดับโลก ทำให้แบรนด์ ‘ธนชาตประกันภัย’ เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับ โดยอยู่ในอันดับท็อป 3 ประกันวินาศภัยที่อยู่ในใจลูกค้า ขณะที่ผลประกอบการช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีเบี้ยประกันภัยรับรวมกว่า 5,500 ล้านบาท เติบโต 14% สูงกว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยที่ 5% มีเบี้ยประกันภัยรถยนต์อยู่อันดับ 5 จากทั้งหมด 50 บริษัท และคาดว่าทั้งปี 2566 จะสร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมได้ 12,000 ล้านบาทแน่นอน’

‘ประธานไมเนอร์’ มั่นใจ ท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มดี อานิสงส์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ฟื้น และ นทท.จีนเริ่มกลับมา

(13 ก.ย. 66) นายวิลเลียม ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดีอาระเบียและนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมา

“เราเห็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียในไทย โดยปัจจุบันมีเที่ยวบินจากไทยมาไทยวันละ 2 เที่ยว” นายไฮเน็คกล่าวนอกรอบงานสัมมนา Forbes Global CEO Conference ณ ประเทศสิงคโปร์

“นักท่องเที่ยวจะมาเพิ่มอีกและจะมีอุปสงค์มหาศาล… ไทยกลายเป็นบ้านหลังที่สองสำหรับคนจำนวนมากทั่วโลก ดังนั้นเราจึงมีมุมมองเชิงบวกอย่างมาก” นายไฮเน็คกล่าว พร้อมระบุเสริมว่ามีคนจากยุโรปตะวันออก รัสเซีย และยูเครนเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยเพิ่มมากขึ้น

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีไทยและเจ้าชายมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบียได้ลงนามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียในเดือน ม.ค.ปีที่แล้ว หลังมีปัญหากันนานถึง 30 ปี

กระทรวงการท่องเที่ยวไทยระบุว่า ยอดนักท่องเที่ยวจากรัสเซียทะลุ 800,000 รายในเดือน ม.ค. – ก.ค.ปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าจาก 77,935 รายในช่วงเดียวกันของปี 2565

เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวจากยูเครนที่เพิ่มขึ้นแตะ 20,507 รายในเดือนม.ค. – ก.ค.ปีนี้ เทียบกับ 7,967 รายในช่วงเดียวกันของปี 2565

'ปลาเค็มกางมุ้งก๊ะบ๊ะ' การันตีปลอดจากสารพิษ ทำขายเองกว่า 16 ปี สร้างรายได้กว่า 2 แสน/เดือน

ที่บ้านควนไสน หมู่ที่ 9 ตำบลควนสตอ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล ที่นี่เป็นบ้านของ ‘ก๊ะบ๊ะ’ หรือ นางสุไวบ๊ะ ดาแลหมัน อายุ 44 ปี เจ้าของปลาเค็มกางมุ้งก๊ะบ๊ะ มีปลาเค็มแดดเดียวจำนวนมากมายหลากหลายชนิดนับ 1,000 กิโลกรัมตากเพื่อรอเวลาในการเก็บไปขายยังตลาดนัดในหมู่บ้าน เหมือนกับปลาเค็มทั่วไป

แต่! ปลาเค็มที่นี่มีความพิเศษคือเป็นปลาเค็มในมุ้ง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ปลาเค็มกางมุ้งก๊ะบ๊ะ’ แม่ค้าปลาเค็มที่นี่จะทำปลาเค็มเอง ขายเองมานานกว่า 16 ปี งานนี้การันตีเต็มร้อยว่าเป็นปลาเค็มที่นี่ปลอดจากสารพิษ และเป็นปลาที่ไม่เค็มเกินไป

ที่นี่มีปลาหลากหลายชนิดที่นำมาทำปลา ไม่ว่าจะเป็นปลาจวด ปลาหลังเขียว ปลาหลังแข็ง นอกจากนี้ยังมีปลาสละ หรือปลาสีเสียดขาว ตัวโตแบบผ่าหลังจำหน่ายด้วย ปลาเนื้อแดดเดียว ปลาเนื้อนิ่ม โดยเฉพาะปลาเนื้อส้ม กล้าพูดเต็มปากเลยว่ามีที่ตนทำเพียงรายเดียวในจังหวัดสตูล ส่วนราคาก็จะแตกต่างกันไป

โดยปลาหลังเขียวขายดีสุดกิโลกรัมละ 70 บาท ปลาหลังแข็งกิโลกรัมละ 80 บาท อันนี้ก็ขายดี นอกจากนี้ปลาจวดกิโลกรัมละ 100-120 บาท ส่วนปลาสีเสียดกิโลกรัมละ 100 บาท และปลาสละ หรือปลาสีเสียดขาว ตัวโตกิโลกรัมละ 200 บาท

ทางร้านจะทำปลาสองอาทิตย์ประมาณ 2,000 กิโลกรัม โดยเป็นปลาของชาวประมงในพื้นที่จังหวัดสตูลที่นำมาส่งให้ถึงที่ ปลาก็จะทำกันเองสองคนสามีเพราะเป็นธุรกิจในครัวเรือน และออกไปขายกันเองที่ตลาดนัดดุสน ตลาดนัดควนโดน และตลาดนัดฉลุง ซึ่งเป็นตลาดในชุมชนหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าสั่งมาจากต่างจังหวัด รวมทั้งประเทศมาเลเซียเพื่อนบ้านก็จะหิ้วกลับไปคนละ 50 - 100 กิโลกรัมก็มี

อนาคตวางแผนว่าจะให้บุตรสาวที่กำลังเรียนใกล้จะจบการศึกษามาต่อยอด ทำการค้าผ่านธุรกิจออนไลน์ด้วย เพราะรุ่นตนยอมรับว่าไม่ค่อยถนัด

นางสุไวบ๊ะ ดาแลหมัน อายุ 44 ปี เจ้าของปลาเค็มกางมุ้งก๊ะบ๊ะ บอกว่า จุดเริ่มต้นของอาชีพนี้ด้วยพ่อแม่ยากจนมาก เลี้ยงลูก 6 คน ด้วยปลาเค็ม ทานไปทานมาแพ้ปลาเค็มจนปากเจ่อ จึงเกิดแนวคิดที่จะทำปลาเค็มเอง จึงทดลองทำจาก 20-30 กิโลกรัมแรกๆ ให้เพื่อนบ้านทดลองทานบ้าง หลายคนว่าอร่อยจนมั่นใจจึงยึดเป็นอาชีพ ทำสองคนสามี มาวันนี้สามารถเลี้ยงบุตร 3 คนได้อย่างสบาย และมีที่ดิน 2 ไร่ที่ขยายกิจการ ทำกางมุ้งเพื่อหวังให้คนบริโภคได้ทานอย่างมั่นใจ รายได้ต่อเดือนไม่หักค่าใช้จ่าย 200,000 บาท

มาวันนี้บวกกับได้คู่ชีวิตที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ช่วยกันทำปลาเค็มกางเค็มกางมุ้งบนพื้นที่ 2 ไร่เพื่อป้องกันแมลงวันและแมลงหลากหลายชนิดโดยไม่ต้องพึ่งยา บนพื้นที่นี้ยังมีน้องสามีมาทำด้วยอีกแรง นอกจากนี้ยังทำแบบครบวงจร คือมีบ่อบำบัดน้ำเสีย ไหลสู่แปลงผักบุ้งเป็นปุ๋ย ที่โตเก็บไปให้อาหารปลาดุก และแพะ เป็นรายได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย

สำหรับท่านใดที่สนใจปลาเค็มกางมุ้งสูตรต่าง ๆ สามารถโทรติดต่อได้ที่ 065-057-4781 หรือที่เบอร์ 062-359-9674 หรือที่เฟส สุไวบ๊ะ ดาแลหมัน

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ จัดกิจกรรม ‘EGCO Company Visit 2566’ ต้อนรับนักลงทุนเยี่ยมชมกิจการ พร้อมเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส 

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุนเข้าเยี่ยมชมกิจการ ในกิจกรรม EGCO Company Visit ประจำปี 2566 ณ อาคารเอ็กโก สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ โดยมีคณะผู้บริหาร นำโดยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป พร้อมทั้งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน และสายงานปฏิบัติการ ร่วมให้การต้อนรับ รวมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมบริษัท ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา และทิศทางในการดำเนินธุรกิจ โดยกิจกรรม EGCO Company Visit ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้พูดคุยและซักถามข้อมูลกับคณะผู้บริหารของเอ็กโก กรุ๊ป โดยตรง เพื่อส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ทั่วถึง และเท่าเทียม ตามหลักการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักลงทุนและเอ็กโก กรุ๊ป อีกด้วย

ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงานครบวงจรมากกว่า 31 ปี เอ็กโก กรุ๊ป ตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งเป็นหนึ่งในรากฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จึงให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ทั่วถึง และเท่าเทียม ผ่านฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์และในเว็บไซต์ของเอ็กโก กรุ๊ป (www.egco.com) รวมถึงการจัดและเข้าร่วมกิจกรรมอย่างหลากหลายและต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ เช่น โครงการผู้ถือหุ้นเยี่ยมชมโรงไฟฟ้า (EGCO Site Visit) กิจกรรมนักลงทุนเยี่ยมชมกิจการ (EGCO Company Visit) การเข้าร่วมกิจกรรมบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น

‘ท็อป-จิรายุส’ กร้าว!! 5 ปีข้างหน้า ทักษะเดิมๆ อาจเสื่อมถอย หลัง AI พร้อมสะเทือน ‘ทุกอาชีพ-ทุกวงการ’ แม้แต่เก้าอี้ ‘นายกฯ’

เมื่อไม่นานนี้ ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง ได้กล่าวในงานสัมมนา ‘Revolution AI : เปลี่ยนโลกธุรกิจ’ จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเขาได้กล่าวถึงการที่เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) จะเข้ามาเปลี่ยนโลกให้หมุนเร็วขึ้น และผู้คนก็จำเป็นต้องเตรียมปรับตัวตามให้ทัน

ท็อป กล่าวอีกว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถของมนุษย์ราว 44% จะใช้ไม่ได้อีกแล้วในโลกอนาคต และที่สำคัญได้พยากรณ์ไปในอีก 4 ปีข้างหน้าด้วยว่า ผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนถัดไปของไทย ต้องเป็นผู้ที่มีพลังในการกุม AI ไว้ได้

“ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถประมาณ 44% ของพวกเราทุกคน จะใช้การไม่ได้แล้ว ซึ่ง 44% นี้ เทียบได้เกือบครึ่งนึงของความสามารถที่เราทุกคนมีอยู่ ณ ขณะนี้ เพราะ AI กำลังจะเข้ามาแทนที่มนุษย์ด้วยโซลูชันและเทคโนโลยี ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการทำงาน รวมถึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและลักษณะของคน”

“อีกทั้ง 1 ใน 3 ของประชากรโลก ในอีกระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2030 อาจจะต้องกลับไปเรียนหนังสือใหม่ เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ ให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพราะในอีก 5-10 ปีข้างหน้าโลกจำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทักษะในการแบ่งหมวดหมู่ประเภท’ (Skill Taxonomy)”

ท็อป มองว่า ในอนาคต โลกจะไม่มีสิ่งที่เป็น ‘ทักษะหรือความสามารถในแต่ละสายอาชีพ’ (Hard Skills) หรือ ‘ทักษะด้านเทคนิค’ (Technical Skills) จะเหลือเพียงแค่ ‘ทักษะทางสังคมที่ใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน’ (Soft Skill) เท่านั้น ดังนั้นมนุษย์ควรจะพัฒนาให้ ‘ทรัพยากรมนุษย์’ (Human Capital) มีทักษะในการสื่อสารที่ดีขึ้น เพิ่มทักษะภาวะผู้นำ หรือทักษะในการทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้นั้น ล้วนเป็น Soft Skill ทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า ทักษะด้านเทคนิคยังจำเป็นอยู่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า ต้องกลับไปในยุคสมัยที่มีการแท่นพิมพ์ขึ้น ทำให้การผลิตหนังสือพิมพ์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ ทำได้ง่าย รวดเร็ว และประหยัดต้นทุนไปได้มาก ส่งผลทำให้คนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและความรู้ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

ต่อมา เมื่อเข้าสู่ยุคของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตได้มีการทำให้ข้อมูลมีความเป็นประชาธิปไตย (Democratization of information) มากขึ้น รวมถึงการติดต่อสื่อสารที่ในยุคสมัยใหม่ สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย และง่ายดายมากยิ่งขึ้น แถมยังฟรี ไม่เสียเงินมากเท่าสมัยก่อนอีกด้วย ขณะเดียวกัน ตอนนี้

หลังจากนั้น ก็มี ‘ระบบจัดการฐานข้อมูลชนิดพิเศษ’ อย่าง Blockchain ซึ่งองค์กรน้อยใหญ่ บริษัท อสังหาริมทรัพย์ โครงการสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) คาร์บอนเครดิต ต่างก็หลั่งไหลเข้ามา ช่วยเปลี่ยนมูลค่าทุกอย่างให้กลายเป็นดิจิทัล

เมื่อถามถึงวาระสำคัญอย่าง AI ที่เริ่มโดดเด่นขึ้นมาในโลกยุคนี้และกำลังเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจ สังคม และผู้คนมากขึ้น จะมอบประโยชน์อะไรให้กับโลก? ท็อป กล่าวว่า “AI จะเข้ามาเพิ่มความสามารถด้านเทคนิคในการทำให้ข้อมูลเป็นกลางมากยิ่งขึ้น เราจะคัดกรองข้อมูลได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทุกอย่างที่เป็นความสามารถเฉพาะทางเทคนิก AI สามารถที่จะทําได้แล้ว แปลว่าในอนาคต เราทุกคนจะต้องพัฒนาทักษะความสามารถ เพื่อให้สามารถเข้าถึง AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า”

เมื่อถามถึง AI ต่อการศึกษาในอนาคต? ท็อป มองว่า "การศึกษาในอนาคตก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน เราสามารถพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นได้ด้วย AI ลดปัญหาของการศึกษา โดยการใช้วิธี ‘2 Sigma Problem’ คือ การสอนเด็กแบบตัวต่อตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการสอนแบบกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถผลิตเด็กที่มีความรู้ความสามารถแบบพิเศษได้มากขึ้น เช่น การที่จะทำให้เกิดการสอนแบบตัวต่อตัวนั้น หากเป็นอาจารย์ที่เป็นมนุษย์จริงๆ อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคนไม่เพียงพอ แต่หากใช้ระบบ AI เข้ามาช่วย จะสามารถช่วยให้การศึกษาแบบตัวต่อตัวนี้เป็นจริงขึ้นมาได้

“แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ หรือครูผู้สอนจะตกงาน เพราะการที่มี AI เข้ามาช่วยนั้น จะทำให้อาจารย์ผู้สอนกลายเป็นอาจารย์ที่ดีขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากเด็กนักเรียนที่จะมีอาจารย์ผู้สอนแบบตัวต่อตัวที่คอยสร้างสมดุลของไอเดีย เป็นติวเตอร์ส่วนตัวแล้วนั้น อาจารย์ก็จะมี AI เป็น ‘ผู้ช่วยสอนส่วนตัว’ (Teacher Assistant) ที่จะคอยเตรียมเอกสารประกอบการเรียนการสอน หรือแม้แต่สอนเทคนิคต่างๆ ที่มีประโยชน์ให้แก่อาจารย์ ทำให้ประสิทธิภาพในการสอนของอาจารย์ดีมากขึ้นอีกด้วย”

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่ AI จะเข้ามาทำให้ระบบการศึกษากลายเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่เปิดกว้างต่อคนทุกวัยมากขึ้นใช่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า “เป็นไปได้มาก เพราะในอนาคต ลูกค้าของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้มีเพียงแค่เด็กมัธยมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพวกเราทุกคน เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ทักษะปัจจุบันครึ่งนึงของพวกเราจะใช้การไม่ได้แล้ว พวกเราทุกคนจึงต้องพัฒนาทักษะความรู้ในเท่าทันโลกแล้ว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มการศึกษาแห่งอนาคตที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการช่วยส่งเสริม เพิ่มพูนทักษะความรู้ของมนุษย์แต่ละคน”

ไม่ใช่แค่การศึกษาที่จะเปลี่ยนไป เพราะแม้แต่โลกของอุตสาหกรรมการผลิต ก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน โดย ท็อป ชี้ว่า “ขีดความสามารถของเครื่องจักรในอนาคตนั้นเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการผลิตสินค้า สามารถผลิตได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ถูกลงเรื่อยๆ ทุกปี อีกทั้งราคาสินค้ายังถูกลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงงานบริการในอนาคตอีกเช่นกันที่ AI จะเข้ามามีความสามารถทางเทคนิคโดยอัตโนมัติ แทนที่มนุษย์ทั้งหมด” ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ท็อปพยายามย้ำว่า ทำไม Soft Skill ถึงสำคัญมากในอนาคต

เมื่อถามถึง AI จะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของไทยในอนาคต? ท็อป เผยว่า “ในอนาคตอีก 4 ปีข้างหน้า นายกรัฐมนตรีคนถัดไป อาจจะเป็นผู้ที่มี AI Power มากที่สุด เพราะเทคโนโลยี มีผลต่อการเลือกตั้งทุกยุคทุกสมัย ยุคแรกใครมีป้ายหาเสียงที่อยู่ตามท้องถนน สถานที่ดีๆ คนเห็นเยอะๆ ได้เป็นนายกฯ แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน ใครที่เก่งเรื่องโซเชียลมีเดียมากๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นนายกฯ เป็นต้น”

'สุกี้ตี๋น้อย' เตรียมเปิดร้าน 'ข้าวแกงตี๋น้อยปันสุข' ราคาเริ่มต้น 39 บาท เปิดให้บริการ 13 ก.ย.นี้

(12 ก.ย.66) เพจเฟซบุ๊ก 'สุกี้ตี๋น้อย' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สุกี้ตี๋น้อย ขอแนะนำ ‘ข้าวแกง ตี๋น้อยปันสุข’ โปรเจกต์เล็กๆ ที่ตั้งใจทำ โดยนำวัตถุดิบตัดแต่งจากสุกี้ตี๋น้อย มาปรุงเป็นกับข้าวอร่อยๆ #เนื้อเน้นๆ และไม่หวังกำไร แค่อยากปันสุขให้กับทุกๆ คนครับ 🙏🏻🤍

❤️เปิดบริการวันที่ 13 ก.ย. 66 นี้
#เปิดวันแรก #ทานฟรี! 😍 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. จนกว่าสินค้าจะหมด 

❤️วันที่ 14 ก.ย. 66 เป็นต้นไป เปิดบริการ 07.00 - 18.00 น.   
เมนูให้เลือกกว่า 14 เมนู ราคาประหยัด เริ่มต้นเพียง 39 บาทเลือกได้ทุกเมนู🤩
ไม่ว่าจะเป็น ต้ม ผัด แกง ทอด ก็มีให้เลือก🥘

ราคาประหยัดปันสุข ❤️
ราดข้าว 1 เมนู 39.- 
ราดข้าว 2 เมนู 45.-
ราดข้าว 3 เมนู 50.-

เมนูกับข้าวราคา 39 บาท (ไม่ราดข้าว)

เปิดให้บริการวันจันทร์ - เสาร์ 
เวลา 07.00 น. - 18.00 น. (หยุดทุกวันอาทิตย์)

สถานที่บริเวณด้านข้างสาขาเลียบทางด่วน 1 
แผนที่ : https://goo.gl/maps/CBAvrUYv64ZQkkzbA

🚩อร่อยคุ้มค่าราคาประหยัด แบ่งสุขปันสุขที่ ข้าวแกงตี๋น้อยปันสุข
#ข้าวแกงปันสุข
#สุกี้ตี๋น้อย
#อาหาร

‘พ่อค้าแม่ค้า’ โอด!! ไข่ไก่ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ปชช.เดือดร้อนกันถ้วนหน้า วอนรัฐบาลใหม่ช่วยดูแลด่วน

(12 ก.ย.66) ที่ร้านขายไข่ไก่ตลาดเช้าเทศบาลเมืองเลย ร้านศูนย์ไข่เมืองเลย พบว่า ราคาไข่ไก่ปรับขึ้นราคาต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน พ่อค้าแม่ค้าขายข้าวแกง ร้านเบเกอรี่ ต่างได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากราคาไข่ปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดราคาไข่เบอร์ 0 จำหน่ายยกแผง 145 บาท ครึ่งแผง 75 บาท ราคาขายปลีกพุ่งฟองละ 6 บาท ราคาแพงสุดในรอบ 30 ปี ราคาไข่ไม่เคยแพงถึงแผงละ 145 บาท

นายไพโรจน์ แดงพูลผล เจ้าของร้านศูนย์ไข่เมืองเลย เผยว่า ราคาในช่วงนี้ราคาไข่ไก่ทั้งไข่เป็ดราคาขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีท่าทีว่าจะลงอีก ซึ่งมีหลายปัจจัย อย่างในช่วงนี้ เป็นช่วงเปิดเทอม และสภาวะไข่ที่อยู่ในตลาดปริมาณไม่เพียงพอกับการบริโภค รวมทั้งวัตถุดิบต่างๆ ราคาก็สูงขึ้น เกษตรกรในช่วงพักที่ผ่านมา ทั้งอาหารสัตว์ อุปกรณ์การเลี้ยงชักธงเรียงแถวขึ้นราคา จนเกษตรกรของขึ้นปรับราคา และปศุสัตว์เองวางมาตรการเรื่องการปลดไก่ หรือการปลดอายุไขของไก่ซึ่งได้ปลดไวกว่าเดิม รวมทั้งเข้ามาควบคุมราคารวมกับการค้าภายใน

นางสุพัฒตรา แม่ค้าขายข้าวแกงและทำร้านเบเกอรี่ เผยว่า ต้องยอมรับว่าปีนี้ไข่ไก่ถือว่าแพงที่สุด เป็นประวัติการณ์เท่าที่เคยเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง และเปิดร้านเบเกอรีมากว่า 30 ปี จากที่เคยซื้อไข่ไก่อย่างสบายกระเป๋า วันนี้กลายเป็นอาหารที่แสนแพงไปแล้วกับคนที่หาเช้ากินค่ำ อาหารประเภทไข่กลายเป็นอาหารที่แพงไปแล้ว อย่างดูราคาไข่วันนี้ เบอร์ 0 ราคา 145 บาท ครึ่งแผง 75 บาท ขายปลีกราคาใบละ 6 บาท เบอร์ 1 ราคา 135 บาท เบอร์ 2 ราคา 130 บาท และอย่างเราต้องค้าขายใช้ไข่จำนวนมากในแต่ละวัน ทั้งทำไข่พะโล้ ทำขนมปัง ทำเค้ก กระทบต่อต้นทุนอย่างมาก โดยทางร้านยังขายไข่ดาว ไข่ต้ม ไข่พะโล้ ใบละ 10 บาท แม้ราคาต้นทุนใบละ 6 บาท ขายพร้อมข้าวแกงจานละ 45 บาท ลูกค้าบางคนยังบ่นว่าแพงเลย ทุกวันนี้ข้าวของทุกอย่างขึ้นราคาหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล และไข่ไก่ จึงอยากจะฝากถึงรัฐบาลใหม่ช่วยมาลงมาดูเรื่องในเรื่องนี้ด้วย ประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้ากันแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top