Friday, 18 July 2025
NEWS

‘พงศ์กวิน’ เผย สภาฯ ไฟเขียวกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ขยายสิทธิลาคลอดบุตร 120 วัน นายจ้างจ่ายเต็ม 60 วัน

‘พงศ์กวิน’ เผย สภาฯไฟเขียว! ขยายสิทธิลาคลอด 120 วัน นายจ้างจ่ายเต็ม 60 วัน เพิ่มสิทธิเลี้ยงดูบุตร-ช่วยคู่สมรสคลอดบุตร สอดคล้องนโยบาย 'คุ้มครองแรงงานอย่างเท่าเทียม' พร้อมเดินหน้าสร้างโอกาสของแรงงานไทยเต็มอัตรา

(17 ก.ค.68) นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ขอแสดงความยินดี กับพี่น้องแรงงานทุกคน หลังจากวานนี้สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่…) โดยให้ลูกจ้างหญิงมีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ขยายจากเดิม 98 วัน เป็น 120 วัน  และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตร 60 วัน และให้ลูกจ้างหญิงสามารถลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้อีก 15 วัน ในกรณีที่บุตรมีภาวะเจ็บป่วยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน มีความผิดปกติ หรือมีภาวะความพิการ โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันลา 50%

นอกจากนั้นยังให้ลูกจ้างสามารถลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสที่คลอดบุตร ได้เป็นระยะเวลา 15 วัน โดยใช้สิทธิก่อนหรือในวันที่ลาภายใน 90 วันนับแต่วันที่คลอดบุตร โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างที่ลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสที่คลอดบุตร 100 % ตลอดระยะเวลาที่ลา

นายพงศ์กวิน กล่าวต่ออีกว่า ตามสิทธิประโยชน์ที่พี่น้องแรงงานได้รับนั้น สอดคล้องกับนโยบายที่ได้ประกาศไว้ว่า จะคุ้มครองแรงงานอย่างเท่าเทียม โดยกระทรวงแรงงานจะดำเนินการดูแลพี่น้องแรงงานทุกกลุ่ม นอกจากนั้นขอย้ำว่า จะผลักดันกฎหมายแรงงานใหม่ให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ กว่า 21 ล้านคนเพื่อเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ นำไปสู่การบังคับใช้โดยเร็ว เนื่องด้วยปัจจุบันมีการทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งกระทรวงแรงงานจะต้องดูแลแรงงานทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมศึกษารูปแบบการทำงานใหม่ เพื่อพัฒนากฎหมายและระบบประกันสังคมให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น 

"สิทธิเรื่องการลาคลอด เป็นสิ่งสำคัญที่หลายฝ่ายต่างเรียกร้อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร ผมยืนยันที่จะเดินหน้าผลักดันให้ภาคแรงงานไทยมีความเจริญก้าวหน้า ทำให้แรงงานมีผลิตภาพสูง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และให้กระทรวงแรงงาน เป็นโอกาสของแรงงานไทย ” นายพงศ์กวิน กล่าว

กองกำลังบูรพา ดักจับแรงงานกัมพูชาแอบเข้าไทย รวม 38 ราย อ้างงานไม่มี-เงินหมด กลับไทยดีกว่า

กองกำลังบูรพาในพื้นที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เปิดปฏิบัติการเข้มช่วงกลางดึก 17 พ.ค. 2568 สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ถึง 3 จุด รวม 38 ราย ทั้งคนไทยและชาวกัมพูชา บางส่วนมีประวัติเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน บัญชีม้า หรือแม้แต่คดีแจ้งความออนไลน์ โดยกลุ่มชาวกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นอดีตแรงงานในไทยที่เดินทางกลับบ้านเกิดไปแล้ว แต่ต้องเผชิญกับภาวะไม่มีงานทำและขาดรายได้ 

สำหรับจุดแรก เจ้าหน้าที่ซุ่มตรวจในไร่อ้อยท้ายหมู่บ้านกุดหิน พบกลุ่มคนลักลอบเข้าเมือง 25 ราย เป็นคนไทย 5 คน และชาวกัมพูชา 20 คน (รวมเด็กชาย 1 คน) โดยคนกัมพูชาส่วนใหญ่เคยเป็นแรงงานในไทย ก่อนกลับประเทศและหางานไม่ได้ จึงจ่ายเงิน 2,500–4,000 บาท ให้ขบวนการลอบพากลับเข้าไทย ส่วนคนไทยจ่ายสูงถึง 6,000 บาท

จุดที่สอง เจ้าหน้าที่จับคนไทย 10 คน ที่เพิ่งลอบกลับจากปอยเปต โดยทั้งหมดเคยทำงานเป็นแอดมินเว็บพนันออนไลน์ และไม่มีเอกสารเดินทางจึงต้องเดินลัดไร่อ้อยข้ามแดน ขณะที่จุดสุดท้าย จับคนไทยอีก 3 รายในไร่อ้อยบ้านหนองปรือ ที่พยายามลอบไปทำงานก่อสร้างในกัมพูชา

การจับกุมครั้งนี้ตอกย้ำปัญหาการลักลอบข้ามแดนที่ยังแพร่หลาย ทั้งจากแรงงานข้ามชาติที่เดือดร้อน และกลุ่มคนไทยที่เข้าไปทำงานผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่เตรียมสอบสวนเชิงลึก ขยายผลถึงเครือข่ายผู้นำพา ก่อนส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

ร่วมส่งกำลังใจ ‘พลทหารธนพัฒน์’ เหยียบกับระเบิด ขาซ้ายขาด!! ล่าสุดอาการปลอดภัยทั้ง 3 นาย

(17 ก.ค. 68) จากกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดตกค้างในพื้นที่สู้รบเดิม ขณะลาดตระเวนบริเวณเนิน 481 ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณพิกัด WA 220 861 เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ทหารพรานที่ 2302 ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย โดยหนึ่งในนั้นคือ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน อายุ 21 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องตัดขาซ้ายใต้เข่า ส่วนอีก 2 นายบาดเจ็บเล็กน้อยจากแรงอัดของระเบิด

ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก “ศรีสะเกษมีดี” แชร์เรื่องราวของ พลทหารธนพัฒน์ ที่เพิ่งเกณฑ์ทหารเข้ารับใช้ชาติได้เพียง 1 ปี และมีความฝันอยากเป็นทหาร อาสารับใช้ชาติ และภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติ ซึ่งหลังเกิดเหตุ พลทหารธนพัฒน์ได้เข้ารับการผ่าตัดทันทีที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี จนขณะนี้อาการปลอดภัยและสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ 

ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 พลโทบุญสิน พาดกลาง ได้เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลทั้ง 3 นายด้วยตัวเอง โดยอีก 2 นายคือ ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ และ พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม ต่างมีอาการฟกช้ำบริเวณหน้าอกจากแรงอัด แต่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และอาการโดยรวมดีขึ้น

หลังการเยี่ยมผู้บาดเจ็บ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เดินทางต่อเพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนบริเวณจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งยังคงมีความตึงเครียดเป็นระยะจากกรณีพิพาทพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในบางจุด

สมุทรปราการ-ปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกฯ ร่วมงานเปิดศาลา 100 ปี คุณพ่ออุทัย ยังประภากร ฟาร์มจระเข้ฯ สมุทรปราก

(16 ก.ค. 68) ที่ผ่านมา นายปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย นายปรพล อดิเรกสาร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อม นายวัฒนา  เจริญจิตร นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิด ’ศาลา 100 ปี ชาตกาล‘ คุณพ่อ อุทัย  ยังประภากร  

โดยมี นายจรูญ  ยังประภากร กรรมการบริหาร บริษัท ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ กล่าวรายงานถึงประวัติความเป็นมาของฟาร์มจรเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ มีนายธนชาติ ยังประภากร ผู้ช่วยกรรมการบริหารฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ  พร้อมครอบครัวยังประภากร ร่วมให้การต้อนรับ

นอกจากนี้ ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติเดินทางมาร่วมงานและมอบดอกไม้เพื่อแสดงความยินดีกันเป็นจำนวนมาก ด้านนายจรูญ ยังประภากร กรรมการบริหาร บริษัท ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ในฐานะครอบครัว “ยังประภากร” ได้กล่าวถึงประวัติคุณพ่ออุทัย ยังประภากร ว่าท่านเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในด้านอนุรักษ์จระเข้พันธุ์ไทย ไม่ให้สูญพันธุ์ และรวบรวมจระเข้พันธุ์ต่างๆจากทั่วโลก มาเพาะเลี้ยงที่ฟาร์มจระเข้แห่งนี้ 

ทำให้ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยง การขยายพันธุ์ และค้นพบวิธีการฟักไข่จระเข้แบบธรรมชาติสำเร็จเป็นคนแรกของโลก จนได้พัฒนาเป็นฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ  โดยได้สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับประเทศชาติตลอดมา

คุณพ่ออุทัย ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาในโรงเรียน เนื่องจากฐานะทางครอบครัว ทำให้ท่านเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก ศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง จนสามารถอ่านเขียนภาษาจีนและไทยได้ ดังนั้นท่านจึงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการศึกษา โดยให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนทุกระดับ ทำให้เป็นแบบอย่างของความขยัน อดทน สู้ชีวิต มีจิตสาธารณะช่วยเหลือสังคมมาตลอดชีวิตของท่าน จึงเป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง

และในโอกาสงาน 100 ปี ชาตกาล คุณพ่ออุทัย ยังประภากร ทางฟาร์มจรเข้ได้ยกเว้นเก็บค่าเข้าชมให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงสิ้นเดือนกรกฏาคม 2568 นี้

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

POLITICS

‘สันติสุข มะโรงศรี’ ชี้ หากพรรคร่วมรัฐบาลไม่จับมือเหนียวแน่น อาจเห็นเพื่อไทยจับมือพรรคส้ม โหวตผ่านร่าง กม.นิรโทษ 112

‘สันติสุข มะโรงศรี’ ชี้ หากพรรคร่วมรัฐบาลไม่จับมือเหนียวแน่น อาจเห็นเพื่อไทยจับมือพรรคส้ม โหวตผ่านร่าง กม.นิรโทษ 112 

‘นันทนา’ ไม่พอใจ ‘สว. สีน้ำเงิน’ ไม่สนเสียงทักท้วง ปมเห็นชอบ ‘อัยการสูงสุด’ ทั้งที่ควรชะลอลงมติไปก่อน

เมื่อวันที่ (15 ก.ค. 68) ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา จากกลุ่มสว. พันธุ์ใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า...
สว.สีน้ำเงิน ลงมติเห็นชอบอัยการสูงสุด เพิ่มอีกตำแหน่ง อย่างเร่งรีบ โดยไม่สนใจเสียงทักท้วงใดๆ

จะต้องใช้ความอดทนเพียงใด ที่จะอภิปราย เพื่อกระตุกต่อมจิตสำนึกของบรรดาสว.ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหา 138 คน (เกินครึ่งสภา !) ให้ชะลอการลงมติใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ องค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม

เมื่อยังดันทุรัง ที่จะโหวตต่อ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง สะสมจำนวนให้ได้เสียงข้างมากในทุกองค์กร

ก็ขอทำหน้าที่ของสว. อภิปรายทักท้วงให้ประชาชน ได้ทราบถึง ความบิดเบี้ยว ในสภาแห่งนี้

เมื่อไม่ยอมชะลอการลงมติ ก็ต้องประจานกันต่อไป 

ขอร้องกันดีๆ พูดมาก็หลายที แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อย่างนี้น่าจะเข้าข่าย "สีซอ ให้ค.ฟัง"

‘รทสช.’ ยันไม่รับร่าง กม.นิรโทษกรรมพรรคส้ม – ประชาชน พร้อมแจ้งวิปรัฐบาลจะรับร่างของ ภท. ชี้ มีหลักการตรงกัน

พรรครวมไทยสร้างชาติ มีมติแจ้งวิปรัฐบาลรับ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ฉบับพรรคภูมิใจไทย ปิดประตูนิรโทษกรรม ม.112 

(15 ก.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างวันที่ 16-17 กรกฎาคม 2568 ว่า ในการประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ซึ่งมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาตินำการประชุม 

โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาในที่ประชุมวิปรัฐบาลนั้น ทางวิปพรรคร่วมรัฐบาลได้มีมติให้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคได้หารือในส่วนของพรรคการเมืองถึงการลงมติร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นร่างพระราชบัญญัติที่เสนอเพิ่มเติมขึ้นมา จากเดิมร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข หรือในบางฉบับใช้ชื่อว่าร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมมีทั้งหมด 4 ร่าง ได้แก่ 

- ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่เสนอโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ 
- ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่เสนอโดยนายปรีดา บุญเพลิง 
- ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ที่เสนอโดยพรรคประชาชน
- และร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่เสนอโดยภาคประชาชน 

ทั้งนี้ ทางพรรครวมไทยสร้างชาติจึงได้มีการหารือกัน ในส่วนของการลงมติเพื่อรับหลักการของร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขของพรรคภูมิใจไทย ว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวมีจุดยืนที่ตรงกับพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ

1.กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ปิดประตูการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายที่สำคัญ และเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ พรรครวมไทยสร้างชาติมีจุดยืนที่เข้มแข็งและชัดเจนในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ 

2.กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ไม่มีการนิรโทษกรรมในคดีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทุจริต คอร์รัปชัน ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตในส่วนของการเลือกตั้ง  หรือการทุจริตในกรณีอื่น ๆ โดยเด็ดขาด 

3.กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ไม่มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดอาญาร้ายแรง เช่น การกระทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทยนั้นมีหลักการเช่นเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขที่เสนอโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ และมีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกันดังนั้นทางพรรครวมไทยสร้างชาติจึงมีมติแจ้งไปยังวิปรัฐบาลว่าเราจะรับหลักการในวาระที่ 1 ของร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทย

“ซึ่งในวันนี้ ทางพรรครวมไทยสร้างชาติจะมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข 3 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่เสนอโดยพรรครวมไทยสร้างชาติเอง ฉบับที่เสนอโดยนายปรีดา บุญเพลิง และฉบับที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทย และสำหรับร่างพระราชบัญญัติที่ 2 ฉบับที่ทางพรรครวมไทยสร้างชาติมีมติไม่รับหลักการ ได้แก่ ฉบับที่เสนอโดยพรรคประชาชน เนื่องจากข้อเสนอนิรโทษกรรมเป็นปลายเปิดและอาจจะนำมาสู่การนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้ และฉบับที่เสนอโดยภาคประชาชน เนื่องจากระบุชัดเจนว่าจะมีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดมาตรา 112”  นายอัครเดช กล่าวในตอนท้าย

ECONBIZ

‘พีระพันธุ์’ ชี้แจงความคืบหน้าร่างกม. ปฏิรูปพลังงาน ย้ำทุกอย่างเป็นไปตามแผนเร่งลดภาระพี่น้องประชาชน

(17 ก.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบกระทู้ถามสดด้วยวาจาจาก นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1. ความคืบหน้าของ พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์  2. ความคืบหน้าของกฎหมายปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน และ 3. แผนการบริหารเรื่องพลังงานและนโยบายของกระทรวงพลังงานในการช่วยลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน

นายพีระพันธุ์ ชี้แจงถึงความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของกระทรวงพลังงานว่า กฎหมายฉบับนี้จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เพื่อใช้เอง โดยมีเป้าหมาย ดังนี้  1. ต้องลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน 2. ต้องทำให้ประชาชนติดต่อหน่วยงานของรัฐได้สะดวกยิ่งขึ้น 3. ต้องทำให้เกิดความรวดเร็วในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ  เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่ใช้บังคับชัดเจนเกี่ยวกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ของประชาชน ทำให้ทุกหน่วยงานที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ต่างก็ออกกฎระเบียบของตนเอง โดยปัจจุบันประชาชนต้องติดต่อขออนุญาตติดตั้งโซลาร์เซลล์ผ่านหน่วยงานภาครัฐถึง 4 แห่ง หลังจากที่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ยกเลิกการขออนุญาตการติดตั้งโซลาร์เซลล์จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนไปแล้วขั้นหนึ่งในปีที่ผ่านมา

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้นำส่งร่างกฎหมายฉบับนี้ไปที่สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อรอบรรจุเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 แต่เนื่องจากทางสำนักงานกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่าควรแก้ไขปรับปรุงจากกฎหมายเดิมที่มีอยู่ ตนจึงได้ชี้แจงเหตุผลยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เคยมีกฎหมายที่บังคับใช้โดยตรงมาก่อน จึงจำเป็นต้องออกเป็นกฎหมายใหม่  ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือนนี้ และเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป 

สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับกฎหมายปรับโครงสร้างราคาน้ำมันนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่า กระทรวงพลังงานมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันเพียงฉบับเดียวคือ พระราชบัญญัติค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 แต่กฎหมายฉบับนี้ไม่มีการบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมการค้าน้ำมันของผู้ค้าน้ำมัน ทำให้เกิดปัญหาว่าผู้ค้าน้ำมันอยากจะขึ้นราคาก็ขึ้น ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานใช้การขอความร่วมมือ ทั้งที่เราเป็นรัฐบาล แต่ไม่สามารถกำหนดอะไรได้เลย เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ จึงเป็นที่มาของการยกร่างกฎหมายที่จะกำกับดูแลผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร จะต้องแจ้งต้นทุนอย่างไร และจะกำหนดราคาขายอย่างไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชนมากที่สุด

“กฎหมายฉบับนี้ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีประเด็นเกี่ยวข้องทางเทคนิคเกี่ยวกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันที่ซับซ้อน โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนนี้ และจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป” นายพีระพันธุ์กล่าว 

ในด้านความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนการบริหารเรื่องพลังงานและนโยบายของกระทรวงพลังงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนนั้น นายพีระพันธุ์ชี้แจงว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งล่าสุด ที่ประชุมได้มีมติแต่งตั้งให้คณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า หรือ แผน PDP ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบการผลิตและการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยขึ้นมาใหม่ โดยให้มีการสำรวจพลังงานทดแทนทุกประเภทว่า ในแต่ละปีมีขีดความสามารถในการผลิตไฟฟ้าเท่าใด และให้เน้นผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็นลำดับแรก เพราะที่ผ่านมา การเพิ่มโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ใช้ขยะและเศษวัสดุทางการเกษตรในการผลิตไฟฟ้าไม่สามารถขยายขีดความสามารถเพิ่มเติมได้ เนื่องจากปัจจุบันโรงไฟฟ้าชีวมวลมีครบตามแผน PDP แล้ว

‘กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ’ เผยรายชื่อ 5 บริษัทไทย-เทศ ยื่นขอสิทธิสัมปทานปิโตรเลียมบนบก คาดเคาะชื่อ ธ.ค.68

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เผยรายชื่อผู้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม บนบก ครั้งที่ 25 โดยมีบริษัท ที่สนใจยื่นขอสิทธิฯ จำนวน 5 บริษัท โดยหลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและคาดว่าจะได้ชื่อผู้ชนะภายในเดือนธันวาคม 2568 เพื่อนำเสนอ ครม. อนุมัติต่อไป เชื่อมั่นจะเกิดการลงทุนขั้นต่ำจากการเปิดให้ยื่นขอสิทธิฯ ครั้งที่ 25 กว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวกว่า 2,000 ล้านบาท 

(17 ก.ค. 68) นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า ภายหลังจากประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การให้ยื่นขอ สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม สำหรับแปลงสำรวจบนบก (ครั้งที่ 25) ภายใต้ระบบสัมปทาน ได้เปิดรับข้อเสนอจากบริษัทผู้ประกอบการ ด้านปิโตรเลียมในการเข้าร่วมขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม บนบก ครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 1 - 16 กรกฎาคม 2568 โดยผลของการยื่นขอสิทธิฯ ครั้งนี้ มีจำนวน 8 คำขอและมีผู้ที่ยื่นขอสิทธิฯ จำนวน 5 ราย ได้แก่ 

1.บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 3 คำขอ 
2.แพน โอเรียนท์ เอ็นเนอยี่ (สยาม) ลิมิเต็ด และ CanAsia Energy Corp. จำนวน 1 คำขอ
3.บริษัท จีโอเมคคานิคอล เซอร์วิสเซส จำกัด  จำนวน 1 คำขอ
4.อีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด  จำนวน 1 คำขอ
5.บริษัท ยูเอซี ยูทิลิตีส์ จำกัด จำนวน 2 คำขอ

ทั้งนี้ ขั้นตอนการดำเนินการเปิดให้ยื่นขอสิทธิฯ ดังกล่าว ได้มีการเผยแพร่ประกาศเชิญชวนผ่านทางเว็บไซต์กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ โดยบริษัทที่สนใจสามารถดาวน์โหลดประกาศเชิญชวนและเงื่อนไขต่าง ๆ ได้จากทั่วโลก และเปิดห้อง Data room ให้บริษัทผู้สนใจเข้าศึกษาข้อมูล ในการจัดทำข้อเสนอต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ พร้อมทั้งจัดสัมมนา เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลรวมทั้งแนวทาง ข้อกำหนดต่าง ๆ เกี่ยวกับการ ยื่นขอสิทธิฯ โดยหลังจากกรมได้รายชื่อผู้ยื่นขอสิทธิฯ แล้ว จะพิจารณา และประเมินข้อเสนอของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด อย่างรอบคอบ โปร่งใส และเป็นธรรม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน เดือนธันวาคม 2568 หลังจากนั้นจะนำเสนอผลการคัดเลือกต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติ และเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จะดำเนินการประกาศผลผู้ชนะ และลงนามในสัมปทานต่อไป

"กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะพิจารณาและประเมินข้อเสนอจากบริษัทที่ยื่นขอสัมปทานอย่างรอบคอบ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม การที่มีบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของไทย รวมถึงภาคการลงทุนในธุรกิจต่อเนื่องต่าง ๆ  เนื่องจากไม่ได้มีการเปิดให้ขอยื่นสัมปทานในพื้นที่ใหม่บนบกมาตั้งแต่ปี 2550 นับเป็นโอกาสสำคัญในการค้นพบแหล่งพลังงานภายในประเทศที่คาดว่าจะมีศักยภาพอยู่ การดำเนินการครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยเพิ่มความมั่นคง ด้านพลังงานให้กับประเทศแต่ยังมีส่วนสำคัญในการลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน สร้างรายได้และการจ้างงานในพื้นที่ ตลอดจนเปิดโอกาสให้ประชาชน ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอย่างสูงสุดและยั่งยืน อันเป็นการวางรากฐานที่แข็งแรงให้กับระบบพลังงานของไทยในระยะยาวต่อไป" อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกล่าว

‘BWG - ETC’ ร่อนแถลงการณ์แจ้งนักลงทุน หลังเกิดกระแสข่าว ‘GULF’ เข้าซื้อกิจการ

(16 ก.ค.68) ตามที่ปรากฏกระแสข่าวซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหมู่นักลงทุน ว่าบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ 'GULF' ได้เข้าซื้อโครงการทั้งหมดของบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ('BWG') และบริษัท เอิร์ธเทค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ('ETC') ไปในมูลค่า 1,100 ล้านบาท นั้น

บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
1. GULF มิได้เข้าซื้อโครงการทั้งหมดของ BWG และ ETC แต่อย่างใด
2. GULF เข้าซื้อเฉพาะหุ้นในบริษัทย่อย และบริษัทร่วม ของ ETC คือ บริษัท เก็ท กรีน พาว์เวอร์ จำกัด ('GGP') และ บริษัท ซันเทค อินโนเวชั่น พาวเวอร์ จำกัด ('SIP') ซึ่งทั้งหมดเป็นโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง จำนวน 12 โครงการเท่านั้น โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้าเดิม 3 โรงของ ETC ที่ยังคงดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามปกติ
3. ในส่วนของ BWG, GULF ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทย่อยของ BWG คือ บริษัท เซอร์คูล่า แคมป์ จำกัด ('CC') ซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง และมีวัตถุประสงค์เป็นโรงงานผลิตเชื้อเพลิง SRF ให้กับโครงการของ GGP เท่านั้น 
4. กิจการอื่นทั้งหมดของ BWG ยังคงดำเนินงานตามปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง หรือผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทแต่อย่างใด
5. กำไรสุทธิจากการขายหุ้นใน GGP และ CC รวมประมาณ 517.50 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคำนวณว่าสามารถเทียบเท่ากับกระแสเงินสดจากการดำเนินโครงการที่ขายไป ตลอดระยะเวลา 9 ปีข้างหน้า ถือเป็นดีลที่สร้างมูลค่าให้แก่บริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทฯ ขอยืนยันว่า การดำเนินธุรกิจของทั้ง BWG และ ETC ยังอยู่ในสภาวะปกติ และมีแผนงานเติบโตที่ชัดเจนต่อเนื่อง จึงขอให้นักลงทุนวิเคราะห์ข้อมูลอย่างครบถ้วน และไม่หลงเชื่อหรือตื่นตระหนกจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน

LITE

18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย เสด็จสวรรคต

วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 หรือวันนี้เมื่อ 30 ปีก่อน เป็นอีกหนึ่งวันที่ปวงชนชาวไทยต่างร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้า เมื่อทราบข่าว สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จสวรรคตที่โรงพยาบาลศิริราช

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ทรงเป็นบุตรคนที่ 3 ใน พระชนกชู และ พระชนนีคำ พระนามเดิมคือ สังวาลย์ ตะละภัฏ ในวัยประมาณ 7-8 ขวบ ครอบครัวได้นำพระองค์ไปฝาก คุณจันทร์ แสงชูโต ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงในพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ทรงเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนสตรีวิทยา จากนั้นเข้าโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช ซึ่งเป็นโรงเรียนพยาบาลแห่งเดียวในประเทศไทยในขณะนั้น

ทรงเป็นนักเรียนที่มีอายุน้อยที่สุดในรุ่นของพระองค์ซึ่งมีจำนวนเพียง 14 คน พระองค์ทรงเรียนได้ดีและทรงศึกษาสำเร็จภายในสามปี และทรงทำงานต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ตามข้อผูกพันของการเป็นนักเรียนหลวง

ในปี พ.ศ. 2460 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงได้รับทุนให้ไปเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่สหรัฐอเมริกา ในระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้ทรงพบกับ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ (พระบรมราชชนก) ซึ่งได้ทรงถูกพระทัย และขอพระราชทานพระราชานุญาตหมั้นกับ นางสาวสังวาลย์

จากนั้นได้ทรงจัดพิธีอภิเษกสมรส ที่วังสระปทุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการแพทย์ ทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสาเดินทางไปรักษาผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ทรงตั้งมูลนิธิขาเทียมออกจัดทำขาเทียมให้ผู้พิการ

นอกจากนี้ ตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างมากมาย อาทิ ทรงให้การอุปถัมภ์ราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มีอาชีพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเป็นที่มาของ ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ นอกจากนี้ยังทรงเป็นแบบอย่างของความพอเพียง ทรงสอนพระโอรสและพระธิดา ให้รู้จัก ‘การให้’ มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ โดยพระองค์จะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน’ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี’ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือนพระองค์จะเรียกประชุมเพื่อตรัสว่า จะนำเงินในกระป๋องไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

17 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ‘พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2’ และครอบครัวถูกสังหาร ถือเป็นจุดสิ้นสุดราชวงศ์ ‘โรมานอฟ’ แห่งรัสเซีย

ราชวงศ์โรมานอฟ เป็นราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย ปกครองจักรวรรดิรัสเซียตั้งแต่ปี 1613-1917 และมีจุดสิ้นสุดของราชวงศ์เมื่อวันที่ 17 ก.ค.1918 (พ.ศ. 2461) หรือวันนี้ เมื่อ 107 ปีที่แล้ว

ย้อนกลับไปในวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 (Tsar Nicholas II) กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของรัสเซีย ถูกปลงพระชนม์พร้อมพระราชวงศ์อีกหลายพระองค์ที่ไซบีเรีย โดยทหารคณะปฏิวัติของกลุ่มมาร์กซิสม์หัวรุนแรงบอลเชวิก (Bolsheviks) ซึ่งนำโดย เลนิน (Vladimir Lenin)

สำหรับ พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 ทรงเป็นพระโอรสของ พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ ที่ 3 แห่ง ราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov Dynasty) พระนามเดิมคือ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 (Nicholas II) ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2437 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2439 ตามประวัติศาสตร์ระบุว่า พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแอ ไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ของประเทศที่กำลังปั่นป่วน หลังจากพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่นใน สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (Russo–Japanese War) ระหว่างปี 2447-2448

จากนั้นในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457-2461) ได้ทรงนำรัสเซียเข้าร่วมสงครามแต่ต้องพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง ส่งผลให้ประชาชนเสื่อมความนิยมในพระองค์และคณะรัฐบาลมาก นอกจากนี้ยังทรงปล่อยให้ รัสปูติน (Gregori Rasputin) พระนอกรีตลึกลับเข้ามามีอิทธิพลในราชสำนัก ประกอบกับเกิดภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจตกต่ำมาก ขาดแคลนอาหาร ประชาชนอดอยาก เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูง ส่งผลให้ประชาชนไม่พอใจจึงลุกขึ้นมาเดินขวบต่อต้านและบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติในวันที่ 15 มีนาคม 2460 เรียกเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า "การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์” (February Revolution--เพราะนับตามปฏิทินแบบเก่า) 

จากนั้นถูกนำไปกักขังไว้และถูกปลงพระชนม์พร้อมพระราชวงศ์ ซึ่งประกอบด้วย พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 พระมเหสีอเล็กซานดรา ฟอโดรอฟนา พระธิดา 4 พระองค์ คือ โอลกา นิโคเลฟนา, ทาเทียนา นิโคเลฟนา, มาเรีย นิโคเลฟนา, อานาสตาเซีย นีคาไลยีฟนา และพระโอรส คือมกุฏราชกุมารอเล็กซี ถูกกลุ่มบอลเชวิกสังหารหมู่อย่างเลือดเย็น ที่บ้านอิปาตเยฟ ในเมืองเยคาเตรินบุร์ก

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

🟢รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท : เลขที่ออก 245324

🔴รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท : เลขที่ออก 245323 , 245325

🔴รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท : เลขที่ออก 995 , 171

🔴รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท : เลขที่ออก 084 , 336

🔴รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท : เลขที่ออก 26

🔴รางวัลที่ 4 จำนวน 50 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท
919511  535130  011545  770120  007372  
226866  714779  367218  720123  016018  
180198  764485  844067  159307  232904  
388722  860628  299326  002116  494991  
820009  626972  289468  962845  990091  
266671  945021  116613  812085  055511  
019693  815738  046215  497443  772115  
380485  355962  601882  091768  499018  
560719  656693  174880  205250  095041  
390621  822024  050007  097623  697773  

🔴รางวัลที่ 5 จำนวน 100 รางวัล รางวัลละ 20,000 บาท
647642  746667  393207  542950  659868  
128026  307433  759338  080861  118352  
735702  532517  980070  744470  105540  
688515  876415  254594  425320  213929  
280183  814426  016179  094222  007144  
425939  149619  640226  842048  424203  
855521  097664  731083  932741  711493  
426860  704157  246647  144671  636361  
111887  696136  663981  890358  015640  
934805  168451  432227  448700  078976  
833037  899160  500170  546361  694969  
194027  305674  520693  194095  303267  
169262  338354  687765  804898  367718  
358534  684527  587133  615712  618898  
810563  241055  808215  919913  497983  
481418  692894  069539  162287  738529  
584314  775144  037112  339237  893580  
255525  946717  746981  417929  457698  
802249  917434  770121  608327  033776  
617152  388005  231338  679518  241761  

PODCAST

ตัวเลขอาถรรพ์ : ชะตากำหนด หรือคนกำหนดเอง? | THE STATES TIMES Story EP.177

เรื่องของ ‘ตัวเลข’ ดูจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับชีวิตของคน และมีคนจำนวนไม่น้อย ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับตัวเลข โดยตีความตัวเลขไปในทั้งเชิงบวกและเชิงลบ 

สำหรับคนไทยมีความเชื่อเรื่องตัวเลขหลายตัว วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้รวบรวมมาไว้ให้แล้ว จะมีตัวเลขอะไรบ้าง ไปดูกัน…

ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ความหมายนัยแห่งองค์พระประมุข | THE STATES TIMES Story EP.176

‘ตราพระราชลัญจกร’ คือตราประจำพระองค์ของพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมื่อเริ่มต้นรัชกาลในแต่ละรัชกาล เพื่อทรงใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา 

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานราชการแผ่นดิน 

พระราชลัญจกรประจำรัชกาลปรากฏหลักฐานว่ามีใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพระราชลัญจกรนี้ประกอบด้วยพระเอกลักษณ์อันเป็นนัยของแต่ละพระองค์ เป็นสัญลักษณ์อันแสดงถึงความเป็นพระประมุขของชาติ พระอิสริยยศ พระบรมเดชานุภาพ

วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้รวบรวมความหมายของพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๑-๑๐ มาเล่าให้ฟัง พร้อมแล้วก็ไปฟังกันเลย

‘หม่อมไกรสร’ ไพรีผู้พินาศ ประมาทเพราะอำนาจ พลาดจนตัวตาย | THE STATES TIMES Story EP.175

หากจะพูดถึงเจ้านายที่ชีวิตขึ้นสุด ลงสุด หรือก็คือมีอำนาจวาสนาถึงสูงสุด มียศศักดิ์ได้ทรงกรมถึง ‘กรมหลวง’ และลงต่ำสุดถูกถอดยศเหลือแค่ ‘หม่อม’ ก่อนถูกประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ’ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว

เรื่องราวและความผิดของ ‘หม่อมไกรสร’ จะเป็นอย่างไร วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้รวบรวมมาเล่าให้ฟังแล้ว ถ้าพร้อมแล้ว ไปฟังกัน…

VIDEO

ป้าหมาย ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ | CONTRIBUTOR EP.30

เมืองไทยมีดี มีจุดขายที่งดงามในภาคการท่องเที่ยว แต่จะพอใจเพียงเท่านี้ พอใจเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลูกเดียว อาจจะไม่ยั่งยืน

มิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ต้องปรับประยุกต์ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
กระตุ้นให้เกิดความหลากหลายในแต่ละเขตแดน เมือง จังหวัด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องร้อยห่วงโซ่ของ ‘ความยิ้มแย้ม-ความยืดหยุ่น-ไม่หย่อนยาน’ 
รวมถึงปรับแนวทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวใต้วิธีคิดที่ทันโลก

เพราะนี่คือวาระสำคัญของอนาคตการท่องเที่ยวไทยในวันข้างหน้า 
ในวันที่ ‘หินก้อนใหญ่’ ยังกดทับ ‘หญ้าสีเขียว’ ในบางพื้นที่อยู่

ปลดล็อกร่างทอง ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ไปด้วยกันกับ Contributor EP นี้ กับผู้ที่เข้าใจระบบนิเวศการท่องเที่ยวยั่งยืนแบบถ่องแท้ได้จาก... คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ถึงเวลาสร้าง ‘ไทย’ ให้เติบใหญ่ในยุคดิจิทัล l รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก

ความ ‘เท่า’ ที่ยากจะ ‘เทียม’ หากระบบการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่และทิศทางไทยยังคงหลงอยู่กับนโยบาย

ประชานิยมที่คอยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงแค่ครั้งคราว

กลับกันประเทศไทย ในวันที่เริ่มตั้งตัว ต้องหาทางตั้งทรงแบบยกแผงต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตชาติเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกภาคส่วนระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่นๆ ให้เกิดรากอันแข็งแกร่ง เพื่อเป็นฐานรองรับให้ ‘คนในชาติ’ กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ

Contributor EP นี้ ขอกระตุกมุมคิดคนไทยให้ร่วมมองความเจริญแห่งอนาคตที่ถูกทิศผ่านมุมคิดของ... 
รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่ขอเป็นตัวแทนพูดดังๆ ถึงทุกภาคส่วน ว่า…

ถึงเวลาแล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ต้องปฏิรูป!!

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ | CONTRIBUTOR EP.28

ค่านิยม ‘ท้าทาย’ กฎหมายของคนในยุคนี้ ยุคที่ใคร ‘แหก’ กฎได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งยกย่องกันแบบผิดๆ ว่า 'เจ๋ง' และดูเก่งในสายตากลุ่มก้อนความคิดเดียวกัน ... เริ่มลุกลาม!!

แต่เมื่อ 'กฎหมาย' คือ กฎที่คนส่วนใหญ่ ทำตาม!!

ผู้ใด 'ท้าทาย' ก็ต้องพร้อมรับผิดชอบในทุกการกระทำ

และนี่คือเรื่องราวของอีกหนึ่งผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่อยากฝากบอกถึง 'นักแหกกฎ' ให้ปลดความคิดสุดระห่ำออกไปจากระบบคิด และจงเชื่อเถอะว่าชีวิตของพวกคุณจะไม่มีวันถูกหล่อเลี้ยงได้อย่างยั่งยืนผ่านคำยกย่องผิดๆ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี 

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์

Y WORLD

ซักด่วน !!! ใช้ผ้าขนหนูเกิน 3 วัน เหมือนเช็ดตัวด้วยโถส้วม !!! | Y WORLD EP.75

Y WORLD ตอนนี้ แค่หัวข้อก็อึ้งกันแล้วค่ะ แค่ไม่ได้ซักผ้าขนหนู 3 วัน ก็สกปรกขนาดนี้เลยหรอ ? ส่งผลอย่างไรบ้าง และควรแก้ยังไง คลิปนี้มีคำตอบค่ะ 

‘Roman Charity’ ภาพวาดที่ไม่ได้ลามก แต่คือความกตัญญู | Y WORLD EP.74

Y WORLD ตอนนี้พาคุณไปชมภาพวาดหญิงสาวกำลังป้อน ‘นม’ ของตัวเองให้ชายชรา ที่บอกเลยว่า 'เห็นครั้งแรก ก็คิดดีไม่ได้จริงๆ' แต่แท้จริงแล้ว ภาพนี้ไม่ได้เป็นสื่อลามกอนาจาร แต่คือการแสดงความกตัญญู เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามชมกันได้เลยค่ะ

ปลิดชีพ "ชาย" ขู่ฆ่า "โจ ไบเดน" แม้ไม่มี112 | Y WORLD EP.73

Y WORLD ตอนนี้จะพาคุณไปฟังเรื่องราวการ "ปกป้องผู้นำ" ของตนขั้นสุดแบบสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ FBI ปลิดชีพ 'ชาย’ ขู่ฆ่า 'โจ ไบเดน' แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112 แบบประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากใครมาหมิ่นหรือคิดร้ายผู้นำในประเทศของเขา โดนดีทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปรับชมกันเลย

SPECIAL

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2568

การวัดความฉลาดทางศาสนาพุทธ
ดูพฤติกรรมว่าไปทางกิเลสตัณหาหรือไปทางธรรม

กิเลสตัณหา เช่น กามตัณหา
อยากเที่ยว อยากซื้อของฟุ่มเฟือย
เหมือนซื้อยาเสพติดมาเสพ

ทางธรรม คือ ทำบุญทำทาน
รักษาศีล ภาวนา ซึ่งเป็นเหมือน
อาหารของจิตใจที่จะนำไปสู่ความสุข
ที่ยิ่งใหญ่ เหนือกว่าความสุขทั้งปวง

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2568

รางวัลแห่งการกระทำความดี
คือ ความดีที่ได้กระทำเป็นคุณสมบัติแห่งบุคคล
ผู้กระทำความดีนั้นเสมอไป
บุคคลผู้ประพฤติดีย่อมได้รับรางวัล
เป็นเกียรติยศประจำตนอยู่ทุกขณะ
ที่ได้คิดดี พูดดี และทำดี

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2568

ต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง
คนไหน ปล่อยวางเยอะ
คนนั้น ก็จะมีสุขเยอะ
ของสิ่งใดถ้าใช่ของเรา
อยู่ที่ไหนก็ใช่ของเรา
แต่ถ้าไม่ใช่ของเรา
ให้อยู่กับมือเราก็ยังไปเป็นของคนอื่น

ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต

INFO & TOON

ไทยมาแรง!! กรุงเทพฯ ครองอันดับ 1 เมืองในฝัน Digital Nomad ปี 2025

(12 ก.ค. 68) กรุงเทพมหานคร ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 เมืองยอดนิยมของเหล่าโนแมดดิจิทัลประจำปี 2025 จากรายงานการจัดอันดับ Top 100 Digital Nomad Destinations โดยได้รับคะแนนความพึงพอใจสูงถึง 4.55 (เต็ม 5) จากค่าครองชีพที่คุ้มค่า (ราว 50,000 บาทต่อเดือน) โครงสร้างพื้นฐานแข็งแรง และบรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต ทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของผู้ทำงานทางไกลทั่วโลก

รายงานยังพบว่า ประเทศไทยมีเมืองติดโผถึง 7 เมือง มากที่สุดในโลก ได้แก่ กรุงเทพฯ, นครราชสีมา, เชียงใหม่, เกาะพะงัน, เกาะลันตา, ภูเก็ต และกระบี่ สะท้อนถึงจุดแข็งด้านค่าครองชีพต่ำ บริการครบครัน และวัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยดึงดูดชาวต่างชาติที่ทำงานจากระยะไกล

ขณะที่ นครราชสีมา หรือโคราช ขึ้นแท่นอันดับ 5 โดยมีจุดเด่นคือค่าครองชีพถูกที่สุดในกลุ่มท็อป 10 อยู่ที่ประมาณ 34,500 บาทต่อเดือนสำหรับคนเดียว และ 35,700 บาทต่อเดือนสำหรับครอบครัว ถือเป็นทางเลือกใหม่ของโนแมดที่ต้องการประหยัดแต่ยังคงคุณภาพชีวิตที่ดี

เปิดประวัติ ‘พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ หรือ โฟม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คนใหม่ ที่ไม่ได้มีดีแค่เป็นหลานชาย ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ เท่านั้น

ภายหลังจากได้เห็นโฉมหน้า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ในรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือ นายกฯ อิ๊งค์ 1/2  ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรีหน้าเก่าและหน้าใหม่ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหนึ่งในรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่ได้รับการจับตามองอย่างมาก นั่นก็คือ นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 

ที่ผ่านมามีชาวเน็ตจำนวนมาก รวมถึงเพจดังอย่าง CSI LA ได้ตั้งคำถามว่า เหตุใด พงศ์กวิน จึงได้นั่งตำแหน่งนี้ นั่นอาจเป็นเพราะนอกจากจะเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ และอยู่ในตำแหน่งที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญแล้ว การที่มีนามสกุล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เป็นที่น่าจับตามองมากขึ้นไปอีก เพราะเป็นหลานชายของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม อีกทั้งยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ความรู้ความสามารถ ให้ลึกถึงรายละเอียดจะพบว่า พงศ์กวิน นั้นมีความรู้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ในระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโยธา จากวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จาก คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต

ไม่เพียงเท่านั้นก่อนเข้าสู่ถนนสายการเมือง พงศ์กวิน ผ่านทั้งงานด้านการบริหารธุรกิจมาแล้ว ในตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการบริษัท อาทิ บริษัท จีเดค จำกัด บริษัท ไออีซี กรีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด บริษัท ไออีซี บิซิเนส พาร์ทเนอร์ส จำกัดและบริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด

หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากบทบาทนักธุรกิจ จึงได้ตัดสินใจเข้ามาทำงานด้านงานการเมืองของ ตามรอย ‘สุริยะ’ ผู้เป็นอา โดยเริ่มต้นด้วยการเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เมื่อ พ.ศ. 2561 ก่อนที่ในปีถัดมาในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 ได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคพลังประชารัฐ และได้รับเลือกตั้ง 

ตลอดระยะเวลา 4 ปี ในบทบาท สส. ต้องยอมรับว่า พงศ์กวิน เป็น สส.ที่มุ่งมั่นในบทบาทที่ตนเองดูแล มีความตั้งใจ ขยันทำงาน โดยเฉพาะงานฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นทั้งวิปรัฐบาล, รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกีฬา สภาผู้แทนราษฎร เรียกได้ว่าติดอันดับ ‘ตัวท็อป’ ที่มาประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไปทุกแมตช์ ยกมือแทบจะทุกรอบ ไม่เคยพลาด จนคำว่า ‘ดาวรุ่ง’ ในเชิงของ สส.ภาพลักษณ์ดี ติดอยู่ในสายตาบรรดาคนการเมือง

แม้ว่าในการเลือกตั้งปี 2566 ในสีเสื้อพรรคเพื่อไทย จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง เพราะอยู่ในลำดับที่ 93  แต่ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมให้กับสุริยะผู้เป็นอา และล่าสุด พงศ์กวิน ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในรัฐบาลนายกแพทองธาร ชินวัตร แทน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ที่ลาออกตามมติพรรคภูมิใจไทยไปก่อนหน้า

ถึงชั่วโมงนี้ หลายคนโดยเฉพาะชาวเน็ต ยังคงมีข้อกังขาว่า การได้นั่งในตำแหน่ง รมว.แรงงาน ของ พงศ์กวิน ในครั้งนี้ หลักๆ คงโฟกัสไปที่การมีนามสกุลดังอย่าง ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ และก็คงห้ามความคิดใครไม่ได้ด้วย แต่หากมองด้วยใจเป็นกลาง โดยปราศจากอคติ ก็ควรเปิดโอกาสและให้เวลากับ รัฐมนตรีใหม่ป้ายแดง อย่าง พงศ์กวิน ได้พิสูจน์ฝีมือสร้างผลงาน ทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งอาจจะทำได้ดีกว่า คนที่เคยนั่งเก้าอี้ตัวนี้ก็ได้

Forbes จัดอันดับทำเนียบ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 68

Forbes จัดอันดับทำเนียบ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 68 ‘เฉลิม อยู่วิทยา’ รักษาแชมป์ผู้มั่งคั่งที่สุดในไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ขณะที่ ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ขยับขึ้นเป็นอันดับ 3 เป็นครั้งแรก หลังกลุ่ม GULF ควบรวม INTUCH

(3 ก.ค. 68) นิตยสาร Forbes เผยการจัดอันดับทำเนียบ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2568 พบว่า เศรษฐกิจของไทยเติบโตช้ากว่าที่คาดไว้ ท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะช่วยชดเชยการร่วงลง 14% ของดัชนีตลาดหุ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่การเพิ่มขึ้นอย่างมากของความมั่งคั่งของสามอันดับแรก ช่วยผลักดันให้มูลค่าทรัพย์สินรวมเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 11 เป็น 170,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โดยรวมแล้ว มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่อยู่ในลิสต์เพิ่มขึ้น โดยผู้ที่มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากที่สุดในแง่ตัวเงินคือครอบครัวกระทิงแดง (Red Bull) ที่นำโดย นายเฉลิม อยู่วิทยา ซึ่งครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่สอง ทรัพย์สินของพวกเขาพุ่งขึ้นแตะสถิติใหม่ที่ 4.45 หมื่นล้านเหรียญ เนื่องจากรายได้ประจำปีของยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มชูกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 1.12 หมื่นล้านยูโร (1.29 หมื่นล้านเหรียญ) ในปี 2024 จากยอดขายเกือบ 1.3 หมื่นล้านกระป๋องทั่วโลก

พี่น้องเจียรวนนท์ แห่งกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังคงรักษาอันดับเศรษฐีอันดับสองของประเทศไว้ได้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 23% เป็น 3.57 หมื่นล้านเหรียญ กลุ่มนี้เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือกับ BlackRock ลงทุน 1 พันล้านเหรียญ เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ และบริษัทย่อยด้านฟินเทค Ascend Money ก็เพิ่งได้รับอนุมัติให้จัดตั้ง Virtual Bank

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี มหาเศรษฐีด้านพลังงานและโทรคมนาคม ขยับขึ้นสองอันดับ มาครองอันดับสามเป็นครั้งแรกด้วยทรัพย์สิน 1.2 หมื่นล้านเหรียญ หลังจากควบรวมกิจการระหว่าง Gulf Energy Development กับ Intouch Holdings และนำบริษัทที่ควบรวมแล้วเข้าจดทะเบียนในชื่อ Gulf Development เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ด้าน นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อน้ำเมา มูลค่าทรัพย์สินแทบไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านเหรียญ ส่งผลให้ตกมาอยู่อันดับสี่ โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เขาได้โอนหุ้นบางส่วนให้ลูกทั้งห้าคน แต่ในฐานะผู้ก่อตั้งกลุ่ม ทรัพย์สินยังคงถูกนับรวมในชื่อของเขา

สำหรับตระกูล จิราธิวัฒน์ ซึ่งอยู่ในธุรกิจค้าปลีก มูลค่าทรัพย์สินลดลง 13% เหลือ 8.6 พันล้านเหรียญ ท่ามกลางบรรยากาศการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซา โดยเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว กลุ่มได้พันธมิตรใหม่ คือ กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบีย (PIF) ที่เข้าซื้อหุ้น 40% ในร้านค้าปลีกหรู Selfridges จาก Signa Holdings ของออสเตรีย (ซึ่งกลุ่ม Central ยังคงถือหุ้น 60%)

ในปีนี้มีมหาเศรษฐีทั้งหมด 19 ราย ที่มูลค่าทรัพย์สินลดลง โดย ประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าพ่อกาแฟ มูลค่าทรัพย์สินลดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากบริษัทร่วมทุนระหว่าง PM Group กับเนสท์เล่ สิ้นสุดลง

นอกจากนี้มหาเศรษฐี 2 ท่าน ที่เสียชีวิตหลังการจัดอันดับครั้งก่อน ได้แก่ นายวานิช ไชยวรรณ ประธานกิตติมศักดิ์ของไทยประกันชีวิต และ นายพงษ์ศักดิ์ วิทยากร ผู้ร่วมก่อตั้งโรงพยาบาล Bangkok Dusit Medical Services ซึ่งต่อมาได้ขยายธุรกิจดูแลสุขภาพภายใต้ Principal Capital โดยทรัพย์สินของทั้งสองตระกูลถูกจัดอันดับภายใต้ชื่อครอบครัว ไชยวรรณ และ วิทยากร

แม้เกณฑ์มูลค่าทรัพย์สินขั้นต่ำเพื่อเข้าลิสต์จะลดลงเหลือ 420 ล้านเหรียญ จาก 550 ล้านเหรียญในปีที่แล้ว แต่ก็มีเศรษฐี 4 รายที่หลุดจากการจัดอันดับ โดยผู้ที่หายไปอย่างน่าจับตาคือ นายสมโภชน์ อาหุนัย เจ้าพลังงานหมุนเวียน หลังจากบริษัท Energy Absolute เผชิญปัญหาทางการเงิน

สำหรับ 10 อันดับแรก มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2568 มีดังต่อไปนี้
1. นายเฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว ทรัพย์สิน 4.45 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 1.44 ล้านล้านบาท
2. นายพี่น้องเจียรวนนท์ ทรัพย์สิน 3.57 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 1.16 ล้านล้านบาท
3. นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ทรัพย์สิน 1.2 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 3.90 แสนล้านบาท
4. นายเจริญ สิริวัฒนภักดี และครอบครัว ทรัพย์สิน 1.05 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 3.41 แสนล้านบาท
5. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ ทรัพย์สิน 8.6 พันล้านเหรียญ หรือ 2.79 แสนล้านบาท
6. ครอบครัวไชยวรรณ ทรัพย์สิน 4.2 พันล้านเหรียญ หรือ 1.36 แสนล้านบาท
7. นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และครอบครัว ทรัพย์สิน 3.5 พันล้านเหรียญ หรือ 1.14 แสนล้านบาท
8. นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ทรัพย์สิน 3.4 พันล้านเหรียญ หรือ 1.10 แสนล้านบาท
9. เสถียร เสถียรธรรมะ ทรัพย์สิน 2.6 พันล้านเหรียญ หรือ 8.44 หมื่นล้านบาท

10. นายพรเทพ พรประภา และครอบครัว ทรัพย์สิน 2.2 พันล้านเหรียญ หรือ 7.14 หมื่นล้านบาท

COLUMNIST

ผู้ลี้ภัยกัมพูชาลั่นฟ้อง ‘ฮุน เซน’ หลังถูกสั่งเก็บในไทย ฮือฮา!! แฉคลิปเสียงมัดอดีตผู้นำเขมร เป็นหลักฐานเด็ด

(17 ก.ค. 68) ปราชญ์ สามสี โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กว่า..ฮือฮา! ผู้ลี้ภัยกัมพูชาประกาศยื่นฟ้อง “ฮุน เซน” หลังแฉถูกสั่งลอบสังหารบนแผ่นดินไทย!

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 “พร พรรณนา” ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาในสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ใหญ่ ประกาศจะยื่นคำร้องอาญาต่อศาลไทย ฟ้องอดีตผู้นำกัมพูชา “ฮุน เซน” โดยตรง! ข้อหาหนักคือ “สั่งลอบสังหารเขาบนผืนแผ่นดินไทย” เมื่อปี 2567

พรเล่าว่า ตอนนั้นเขาลี้ภัยมาอยู่ไทยชั่วคราว ก่อนจะมีหลักฐานเด็ดหลุดออกมาเป็นคลิปเสียง ที่ฮุน เซนสั่งคนสนิทชื่อ Khleang Huot ให้ “จัดการพรให้สิ้นซาก ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย” เพื่อพากลับไปกัมพูชาให้ได้

หลักฐานชิ้นนี้ไม่ธรรมดา เพราะมีคลิปเสียงจริง ๆ และพรบอกว่าผ่านการตรวจสอบความถูกต้องแล้วด้วย ใครอยากฟังเองก็มีลิงก์ให้

หลักฐานคลิปเสียงคำสั่ง “ฮุน เซน” ที่พร พรรณนาอ้างถึง โดยคลิปตัดตอนจาก Al Jazeera (1 นาที 15 วินาที) https://www.youtube.com/shorts/RiJtOCZ78P8

ฮุน เซน พูดชัดว่าให้จัดการ “พร พรรณนา” ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย – รายงานโดย Al Jazeera คลิปฉบับเต็มจาก Radio Free Asia (1 นาที 30 วินาที) https://www.facebook.com/rainsy.sam.5/videos/1961706070907084 คำสั่งตรง ๆ ของฮุน เซน ที่พรใช้เป็นหลักฐานยื่นฟ้องในไทย

เรื่องนี้พรบอกว่าไม่ใช่แค่คดีส่วนตัว แต่สะท้อน “พฤติกรรมไล่ล่าข้ามประเทศ” ของฮุน เซน ที่ไม่ได้หยุดแค่ในกัมพูชา แต่ออกตามล่าเสียงวิจารณ์ถึงต่างแดน!

“ผมโชคดีที่หนีทัน ถูกส่งตัวออกจากไทยมายังสหรัฐฯ ปลายปี 2024 ไม่งั้นอาจไม่ได้พูดอยู่ตรงนี้แล้ว” พรกล่าว

หลังจากเขารอดมาได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ ก็เกิดเหตุการณ์สั่นสะเทือนเมื่อ ลิม กิมยา อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านคนสำคัญ ถูกยิงตายกลางกรุงเทพฯ แบบไม่เกรงใจแสงแดดตอนบ่ายเลย…

พรบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันต่อเนื่องกัน และชี้ให้เห็นว่าการคุกคามทางการเมืองข้ามพรมแดน “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

ตอนนี้เขากำลังรวบรวมเอกสารเพื่อยื่นฟ้องต่อเจ้าหน้าที่ไทย พร้อมทนายความด้านสิทธิมนุษยชนระดับอินเตอร์ แถมยังทิ้งท้ายไว้ด้วยความมุ่งมั่น

“ผมทำเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง และเพื่อส่งเสียงแทนเพื่อนร่วมชาติที่ถูกคุกคาม ถูกอุ้ม หรือถูกฆ่า เพียงเพราะกล้าคิดต่าง”

รีสอร์ทสุดหรูในกัมพูชา... ไม่ใช่ฐานทัพหรอก แค่ทำไว้เผื่อพี่ใหญ่มาขอจอดเครื่องบินรบ - เรือดำน้ำ

(15 ก.ค. 68) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จุดเล็ก ๆ บนแผนที่อย่าง “ดาราสากอร์” ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลกัมพูชา กลับกลายเป็นจุดที่สายตาของทั้งโลกหันมาจับจ้อง เพราะแม้จะถูกเสนอให้เป็นโครงการพัฒนาเมืองตากอากาศ รีสอร์ต สนามบินและท่าเรือพาณิชย์ แต่ด้วยรันเวย์ที่ยาวเกินจำเป็น ความลึกของท่าเรือที่สามารถรองรับเรือรบขนาดใหญ่ และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมือนเตรียมพร้อมทางทหาร—ทุกสิ่งนี้ล้วนชี้นำไปในทิศทางเดียวกันว่า “จีนอาจกำลังวางหมากใหญ่ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก”

สหรัฐอเมริกาเองไม่ได้นิ่งเฉยต่อพัฒนาการดังกล่าว และเลือกตอบโต้ผ่านการคว่ำบาตรโดยตรง โดยเจาะเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของกัมพูชา รวมถึงผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนได้เสียส่วนตัวจากการพัฒนาโครงการท่าเรือเรียม ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังประกาศห้ามการส่งออกอาวุธให้กับกัมพูชา พร้อมกล่าวหาว่าการอนุญาตให้จีนตั้งฐานที่มั่นในภูมิภาคคือ “การละเมิดอธิปไตย” และเป็นแผนแฝงเพื่อผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์

แต่ท่าทีแข็งกร้าวของวอชิงตันกลับไม่ได้ส่งผลเท่าที่คาดในระดับภูมิภาค นักยุทธศาสตร์อาเซียนจำนวนมากยังคงรักษาความสงบและวางท่าทีอย่างระมัดระวัง หลายคนยอมรับว่าการที่จีนมีอิทธิพลลึกซึ้งในกัมพูชาเป็นเรื่องที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้เสนอทางเลือกที่น่าดึงดูดหรือช่วยเหลือในระดับที่เท่าเทียมกัน พวกเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจหากกัมพูชาจะเอนเอียงไปในทิศทางที่ผลประโยชน์พาไป

สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่กึ่งกลางของแรงกดดันจากทั้งสองขั้ว—จีนผู้เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจรายใหญ่ และสหรัฐฯ ผู้เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงยาวนาน—สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาสมดุลและวางตัวเป็นกลางอย่างมียุทธศาสตร์ ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ เองก็เริ่มเข้าใจว่าการบีบให้ไทยเลือกข้างอย่างชัดเจนนั้นอาจไม่เป็นผลดีในระยะยาว เพราะไทยมีบทบาทเป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญในการประคับประคองเสถียรภาพของภูมิภาค

สิ่งที่น่าจับตาในขณะนี้คือแม้จีนจะยังไม่ส่งทหารเข้าประจำการที่ดาราสากอร์หรือเรียมแบบเปิดเผย แต่โครงสร้างพื้นฐานที่กำลังสร้างขึ้นนั้นก็พร้อมรองรับการใช้งานทางทหารทันทีหากเกิดความจำเป็น และแม้จีนจะอ้างว่าเป็นเพียงการ “ป้องกันตัว” ท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ และพันธมิตร แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหมากนี้ส่งผลกระทบต่อสมดุลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในโลกที่กำลังเต็มไปด้วยความตึงเครียดจากการช่วงชิงอิทธิพล การไม่เปิดโอกาสให้โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารจึงเป็นทางเลือกเดียวที่ยังพอรักษาความสงบสุขของภูมิภาคไว้ได้ และหากจะมีบทบาทใดที่ไทยควรรับเอาไว้ในห้วงเวลานี้ คงไม่ใช่การเลือกข้าง แต่คือการ “ค้ำเสถียรภาพ” อย่างที่เคยทำมาตลอดในประวัติศาสตร์การทูตไทย

‘ส้มสามกีบ’ ด้อมพรรคการเมือง ‘ล้มสถาบัน’ แบบอย่างของ “คนสายพันธุ์ย้อนแย้ง” ในประเทศไทย

(15 ก.ค. 68) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนไทยที่ติดตามการเมืองแบบลงลึก ก็จะทราบดีว่าบ้านเรามีพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรม “ย้อนแย้ง” อยู่พรรคหนึ่ง ที่พูดอย่างแต่จะทำอีกอย่าง จับได้ไล่ทันก็ไม่กล้ายอมรับผิด สิ่งที่ผู้คนพบเห็นมักจะไม่ตรงปกเสมอ ปากพูดว่าสิ่งใดเป็นสิ่งไม่ดีก็จะเป็นสิ่งนั้นเสียเองหน้าตาเฉย จัดเป็น “คนสายพันธุ์ย้อนแย้ง” ชนิดที่ไม่อายฟ้าอายดิน 

“โรคย้อนแย้ง” คล้าย “โรคป่วยทางจิต” ลอยคลุ้งฟุ้งกระจายในอากาศ จนซึมซ่านผ่านรูขุมขนของผู้คน 14 ล้านให้กลายเป็น “คนย้อนแย้ง” ไม่ต่างกัน หลักฐานที่บ่งชัด เริ่มจาก บางคนได้รับทุนการศึกษาพระราชทาน แต่กลับสนับสนุน “ส้มสามกีบ”, อาศัยใช้นามสกุลพระราชทานจากต้นตระกูล แต่เลือก “พรรคกัดเซาะสถาบัน”, ติดรูปในหลวงไว้ที่ฝาห้องให้ผู้คนเห็นอย่างโดดเด่น แต่กลับเชียร์ “พรรคล้มเจ้า”, ได้ที่ดินทำกินจากโครงการของในหลวง แต่กาเลือก “พรรคบ่อนทำลายสถาบัน”, 

ห้อยพระเกจิที่มีความผูกพันกับในหลวง เชื่อมโยงถึงความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่กลับสนับสนุน “ส้มสามกีบ”, เกลียดสถาบัน กัดเซาะในหลวงรัชกาลที่ ๙ แต่ในการทำมาหากินกลับนำบทเพลงพระราชนิพนธ์ไปขับร้องหารายได้อย่างไม่ละอายใจ, แต่งชุดดำร้องไห้ตอนปลายปี 2559 แต่กาเลือก “พรรคเกลียดสถาบัน”, ต้นตระกูลเป็นคนต่างด้าว ต่างแดน ได้รับความเมตตาจากในหลวงให้มีที่ดินทำกิน แต่ไป “ร่วมขบวนสามกีบ” สนับสนุน “พรรคล้มล้างสถาบัน”, 

ชูสามนิ้ว แต่ไปนั่งสวดมนต์ที่ในบทสวดมีแต่การปกป้อง รักษา และเชิดชูสถาบันกษัตริย์, ปากบอกเป็นหนึ่งในคนไทยที่รักในหลวง แต่ตอนเลือกตั้งก็กาเลือก “พรรคส้มเน่า”, ศึกษาในสถานศึกษาทั้งโรงเรียน และมหาวิทยาลัยที่สร้างโดยพระมหากษัตริย์ไทย แต่กลับไม่สำนึกบุญคุณ ไปเชียร์และเลือก “พรรคล้มล้างสถาบัน”, ฯลฯ 

ทั้งหมดคือตัวอย่างของ “คนขี้กาก” ใน “14 ล้านเสียง” ที่สะท้อนถึงความเป็น “มนุษย์ย้อนแยง” ได้ชัดเจนที่สุด “โรคย้อนแย้ง” จึงเป็น “โรคติดต่อ” ที่มักจะติดต่อกันเฉพาะ “คนสายพันธุ์เดียวกัน” คนเช่นนี้มีอยู่แทบจะทุกวงการในสังคมไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งคนใน “วงการเพลง” 

ฐานะคนในวงการเพลง นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกอับอาย

WORLD

ศาลอาญาระหว่างประเทศ ปัดคำร้องถอนหมายจับ ‘เนทันยาฮู’ ผู้นำอิสราเอลยังถูกล่าตัวตามกฎหมาย คดีสงครามกาซา

(18 ก.ค. 68) ผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ปฏิเสธคำร้องของอิสราเอลที่ขอให้ถอนหมายจับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) และอดีตรัฐมนตรีกลาโหม โยอาฟ กัลแลนต์ (Yoav Gallant) จากข้อกล่าวหาอาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซา โดยระบุว่าหมายจับจะยังมีผลต่อไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย

คำตัดสินซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ ICC ยังระบุด้วยว่าศาลไม่รับคำขอให้งดการสอบสวนคดีอาชญากรรมในดินแดนปาเลสไตน์ โดยก่อนหน้านี้ ICC ได้ออกหมายจับเนทันยาฮู, กัลแลนต์ และผู้นำฮามาสอีก 1 รายในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

แม้อิสราเอลจะโต้แย้งว่า ICC ไม่มีเขตอำนาจตามคำตัดสินของศาลอุทธรณ์เมื่อเดือนเมษายน แต่ผู้พิพากษาระบุว่าเหตุผลดังกล่าว “ไม่ถูกต้อง” และยืนยันว่าหมายจับยังมีผลจนกว่าศาลจะพิจารณาเสร็จสิ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการลงโทษผู้พิพากษา ICC จำนวน 4 รายเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้กรณีศาลออกหมายจับผู้นำอิสราเอล โดยในจำนวนนี้มี 2 รายที่มีส่วนร่วมในการตัดสินปัดคำร้องของอิสราเอลในครั้งนี้ด้วย

กัมพูชาพึ่งพาเชื้อเพลิงจากต่างชาติ 100% ทุ่มกว่า 1.2 พันล้านดอลล์ นำเข้า 'น้ำมัน-ก๊าซ'

(17 ก.ค. 68) กระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชารายงานว่าการนำเข้าน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน และก๊าซที่สามารถเผาไหม้ได้ (combustion gas) ของกัมพูชา ในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปี 2025 ลดลงร้อยละ 13.2

ในรายละเอียด กัมพูชานำเข้าน้ำมันดีเซลเป็นวงเงิน 680 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 10 ขณะน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 395 ล้านดอลลาร์ ลดลงราวร้อยละ 23 ส่วนการนำเข้าก๊าซเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 2.43 หรือราว 168 ล้านดอลลาร์

แม้ยอดนำเข้าจะลดลงในปีนี้ แต่กัมพูชายังคงพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซทั้งหมด เนื่องจากยังไม่มีการขุดเจาะแหล่งพลังงานในประเทศ โดยกระทรวงเหมืองแร่ฯ คาดว่าความต้องการพลังงานภายในประเทศจะพุ่งแตะ 4.8 ล้านตันในปี 2030

ปัจจุบันกัมพูชาจึงอยู่ในสถานะผู้นำเข้าพลังงานเต็มรูปแบบ และต้องเฝ้าระวังผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกอย่างใกล้ชิด ขณะที่ความพยายามในการพัฒนาแหล่งพลังงานภายในประเทศยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น

ผู้นำโคลอมเบียประกาศจุดยืนชัด ตัดสัมพันธ์ NATO จวกพันธมิตรตะวันตกมีส่วนสังหารเด็กในกาซา

(17 ก.ค. 68) ประธานาธิบดีกุสตาโว เปโตร (Gustavo Petro) ของโคลอมเบีย ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ประเทศของเขาจะยุติความร่วมมือกับ NATO และห่างจากรัฐบาลยุโรปที่มีส่วนร่วมในการโจมตีทางทหาร โดยกล่าวว่า “เราต้องออกจาก NATO ไม่มีทางเลือกอื่น”

คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการปิดการประชุมกลุ่ม The Hague Group ที่กรุงโบโกตา ซึ่งเปโตรชี้ว่า โคลอมเบียไม่ควรเกี่ยวข้องกับพันธมิตรที่ “ทิ้งระเบิดใส่เด็ก” และเสริมว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศควรยึดหลักสันติภาพ ไม่ใช่อาวุธ

โคลอมเบียเคยลงนามข้อตกลงเป็น “พันธมิตรโลก” ของ NATO เมื่อปี 2018 และเป็นประเทศแรกในละตินอเมริกาที่เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรนี้ แต่ในช่วงหลัง ประธานาธิบดีเปโตรแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อบทบาทของ NATO และรัฐบาลตะวันตก

ที่ผ่านมา เปโตรยังเคยวิจารณ์การกระทำของอิสราเอลในฉนวนกาซา และไม่เห็นด้วยที่กระทรวงกลาโหมโคลอมเบียยังซื้ออาวุธจากอิสราเอล แม้เคยออกคำสั่งให้หยุดแล้วก็ตาม โดยเขายืนยันว่า หากต้องเผชิญแรงกดดันจากภายนอก ก็ยังมีชาติอื่นพร้อมสนับสนุนและซื้อสินค้าจากโคลอมเบีย

© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top