Tuesday, 18 February 2025
NEWS

ผู้บัญชาการทหารเรือตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง

(18 ก.พ. 68) พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมผู้บังคับบัญชา และกำลังพลหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การต้อนรับ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาส ตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง โดยได้เข้าตรวจเยี่ยมเพื่อ รับทราบการปฏิบัติงาน ตลอดจนอุปสรรค ข้อเสนอแนะของหน่วย เพื่อให้มีความพร้อม และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้กับกองทัพเรือ ณ กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

โดย หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้จัดเตรียมแถวทหารกองเกียรติยศ ยุทโธปกรณ์ การนำเสนอภารกิจต่าง ๆ ของหน่วยที่ได้รับมอบหมาย และการสาธิตการช่วยเหลือคนในเขตเมืองของทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เพื่อแสดงถึงศักยภาพขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ 

#กองทัพเรือ
#เทิดทูนสถาบันป้องกันรัฐพัฒนาชาติราษฏร์ศรัทธา 
#MONARCHY_COUNTRY_GOVERNMENT_PEOPLE 
#หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
#จงรักภักดี_มีวินัย_พร้อมรับใช้ชาติ_ราชนาวี_และประชาชน
#ฝ่ายกิจการพลเรือนกองบัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง

ปราบพนันออนไลน์-คอลเซ็นเตอร์ไม่ยั้ง ทูตจีนแถลงขยายความร่วมมือยับยั้งอาชญากรรมข้ามชาติ

สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (18 ก.พ.68) ระบุว่า เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ได้หารือเชิงลึกกับฝ่ายไทยเกี่ยวกับความร่วมมือในการปราบปรามการพนันออนไลน์และอาชญากรรมฉ้อโกง แถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสถานทูตจีนระบุว่า

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเข้าพบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย และมีการติดต่อประสานงานกับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และหารือเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือในการปราบปรามการพนันออนไลน์และอาชญากรรมฉ้อโกงในเมืองเมียวดีและสถานที่อื่น ๆ รวมถึงการช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ติดอยู่ที่เมียวดี

เอกอัครราชทูตหานระบุว่า การเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรเมื่อไม่กี่วันก่อน ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ผู้นำทั้งสองประเทศแสดงความมุ่งมั่นในการปราบปรามการฉ้อโกง การพนันออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของทั้งสองประเทศดำเนินการอย่างรวดเร็วและบรรลุผลเบื้องต้น หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะให้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในขั้นต่อไป และทำงานร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างกลไกความร่วมมือ เร่งดำเนินการ และขจัดอาชญากรรมข้ามพรมแดนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทรัพย์สินและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างร้ายแรงให้หมดสิ้นไป

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขอบคุณฝ่ายจีนที่ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรอย่างอบอุ่น และกล่าวชื่นชมบทบาทสำคัญของการเยือนครั้งนี้ในการส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีนในทุก ๆ มิติ เน้นย้ำว่าไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกง และได้ดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพหลายประการ และยินดีที่จะเสริมสร้างความร่วมมือกับจีนต่อไปบนพื้นฐานของความร่วมมือที่ดีที่มีอยู่ และร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยสำหรับประชาชนของทุกประเทศในภูมิภาค”

ผบ.ตร.เยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจทุ่งลุง สงขลา เน้นย้ำประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ เข้าถึงประชาชนสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธา

(18 ก.พ. 68) พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า วานนี้ เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจ สภ.ทุ่งลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธเรศ แก้วละเอียด รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.สาธิต พลพินิจ รอง ผบช ภ.9 และ พ.ต.อ.เอกชัย พราหมณกุล หน.อกส.ศปก.ตร.สน. โดยมี พ.ต.อ.วีระศักดิ์ เดชประมวลพล ผกก.สภ.ทุ่งลุง และข้าราชการตำรวจในสังกัด สภ.ทุ่งลุง ให้การต้อนรับ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำ สภ.ทุ่งลุง และมอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่กำลังพล เน้นย้ำปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมกำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม บำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้กับประชาชน และต้องปฏิบัติด้วยความถูกต้องรอบคอบ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด  อีกทั้งยังต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ทุกมิติของการปฏิบัติงาน รวมทั้งให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นดูแลทุกข์สุขและสวัสดิการของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี และเหมาะสม

พร้อมกันนี้ขอให้ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชน ปรับปรุงการให้บริการ การอำนวยความสะดวกในหน้าที่ของตำรวจทุกด้าน พัฒนางานสถานีตำรวจ สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธา และขอให้สามัคคี ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชนและสังคมโดยรวม

นอกจากนี้ ผู้บังคับการกองสารนิเทศ กล่าวว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญผู้ใต้บังคับบัญชาในหน่วยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อกำชับการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นขวัญกำลังใจแก่กำลังพล ตามนโยบายการบริหารราชการที่ให้ไว้ เน้นย้ำการเปลี่ยนแนวคิด (MINDSET) ปรับองค์กร เร่งปราบปรามอาชญากรรม เพิ่มขีดความสามารถสถานีตำรวจ ดูแลสวัสดิการตำรวจและครอบครัว สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับพี่น้องประชาชน

มหันตภัย...บุหรี่ไฟฟ้า #2 ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มีสารที่เป็นพิษ ส่งผลทำให้เสพติด และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

(18 ก.พ. 68) บทความ “E-cigarettes contain hazardous substances, addictive and harmful” โดย ดร. Jos Vandelaer ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย ได้สรุปถึงพิษภัยของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เอาไว้ดังนี้

ข้อเท็จจริง 5 ประการของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’
1. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่ปลอดภัย! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ยังคงเป็นบุหรี่ แม้ว่า ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่มีส่วนผสมของยาสูบ แต่ยังมีนิโคตินและสารเคมี สารเติมแต่ง และสารปรุงแต่งรสต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นสารเคมีชนิดใดบ้าง และเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า สารเคมีชนิดต่าง ๆ เหล่านั้น มีผลต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่ แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งกลับสูดดมเข้าไป ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อาจดูไม่เป็นอันตราย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เมื่อเราใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เราได้สูดดมไอระเหยที่มีพิษ เป็นไอระเหยที่มีอนุภาคและสารเคมีที่เข้าสู่ทางเดินหายใจที่เล็กที่สุด และร่างกายสามารถดูดซึมเข้าไปได้ สารเคมี สารเติมแต่ง และนิโคตินนั้นล้วนแต่เป็นพิษและเป็นอันตราย ไม่เพียงแต่สำหรับผู้สูบบุหรี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้อื่นด้วย เนื่องจากพวกเขาสามารถสูดดมไอระเหยได้เช่นกัน เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่มือสอง 

ตัวอย่าง : ในสหรัฐอเมริกา มีหลักฐานที่บันทึกไว้ว่าเกิดการระบาดของอาการป่วยที่ปอดและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการสูบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) ยืนยันกรณีการบาดเจ็บที่ปอดที่เกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าหรือการใช้บุหรี่ไฟฟ้า (EVALI) จำนวน 2,807 กรณี และเสียชีวิตจากภาวะดังกล่าว 68 ราย

2. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มีนิโคติน นิโคตินเป็นสารหลักในบุหรี่ทั่วไปและ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ และเป็นสารที่เสพติดได้ง่าย ทำให้อยากสูบบุหรี่และทำให้มีอาการหงุดหงิดหากเพิกเฉยต่อความอยาก นิโคตินเป็นสารพิษ ซึ่งจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและร่างกายหลั่งอะดรีนาลีนทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหัวใจวาย การบริโภคนิโคตินในเด็กและวัยรุ่นมีผลกระทบสำคัญต่อการพัฒนาสมองและอาจนำไปสู่ความผิดปกติของการเรียนรู้และความวิตกกังวล อย่างไรก็ตาม เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะของอุตสาหกรรม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ การได้รับนิโคตินในหญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ได้เช่นเดียวกัน นิโคตินยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้อีกด้วย ดังนั้น นิโคตินจึงไม่เพียงแต่ทำให้เสพติดเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอีกด้วย และนิโคตินเป็นส่วนประกอบหลักของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’

3. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ทำให้เสพติดได้เช่นเดียวกับบุหรี่ยาสูบแบบดั้งเดิม เนื่องจากทั้ง ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ และบุหรี่ยาสูบต่างก็มีนิโคติน บุหรี่ทั้งสองชนิดจึงทำให้ผู้สูบเสพติดได้ ดังนั้น การใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เพื่อเลิกบุหรี่ยาสูบ จึงไม่ใช่ความคิดที่ดี เนื่องจากบุหรี่ทั้งสองชนิดมีสารเติมแต่งชนิดเดียวกัน คือ นิโคติน ผู้สูบบุหรี่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีในการรับสารที่มีพิษแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น และดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ จึงไม่ใช่ทางเลือกในการเลิกบุหรี่ยาสูบที่ปลอดภัย แคมเปญต่อต้านบุหรี่ประสบความสำเร็จค่อนข้างมากในการโน้มน้าวให้ผู้คนเลิกบุหรี่ แต่ปัจจุบัน ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มักได้รับการโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ "ลดความเสี่ยง" "ปลอดบุหรี่" และ "เป็นที่ยอมรับในสังคม" โดยใช้ความรู้สึกในลักษณะ "เท่" ทำการตลาด แต่ความเป็นจริงแล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่ได้ "เท่" แต่อย่างใด เพราะยังคงทำให้เสพติดได้ ไม่ดีต่อสุขภาพ และทำให้เกิดการสูบบุหรี่มือสอง ด้วยกลยุทธ์ส่งเสริมการขายเหล่านี้มีศักยภาพที่จะทำให้การสูบบุหรี่เป็นเรื่องปกติอีกครั้ง และกระตุ้นให้ผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินที่ทำให้เสพติดได้ในระยะยาว

4. คนรุ่นใหม่กำลังติด ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อุตสาหกรรม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ได้เปิดตัวแคมเปญการตลาดที่เข้มข้นมูลค่าหลายล้านเหรียญสหรัฐ โดยเน้นที่โซเชียลมีเดีย คอนเสิร์ต และงานกีฬาเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาสูบบุหรี่ที่อันตราย โปรดอย่าลืมว่า ยาสูบคร่าชีวิตผู้คนไป 8 ล้านคนต่อปีทั่วโลก สื่อต่าง ๆ สามารถช่วยเปิดโปงกลวิธีเหล่านี้ได้ กลวิธีที่พยายามทำให้คนเข้าใจผิด โดยเฉพาะเยาวชน และพยายามโน้มน้าวพวกเขาว่า หากต้องการ “เท่” ก็ต้องสูบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เช่นเดียวกับที่อุตสาหกรรมยาสูบทำเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน สื่อสามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับสาธารณชนเกี่ยวกับอันตรายของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ได้ จากการสำรวจสุขภาพนักเรียนในโรงเรียนทั่วโลกในประเทศไทย พบว่าการใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในหมู่เด็กนักเรียนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จาก 3.3% ในปี 2015 เป็น 8.1% ในปี 2021 โดยเป็นในกลุ่มเด็กอายุ 13 - 15 ปี! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เป็นภัยคุกคามต่อความพยายามควบคุมยาสูบของประเทศไทย และสามารถพลิกกลับความสำเร็จที่ได้รับจากการควบคุมยาสูบมาหลายทศวรรษ ไม่เพียงแต่เด็กที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะติดนิโคตินเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าในอนาคตอีกด้วย

5. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ต้องได้รับการควบคุม ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าถูกห้ามจำหน่ายในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศไทย ในประเทศอื่นๆ บุหรี่ไฟฟ้าถูกควบคุมในฐานะสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์ยาสูบ หรือสินค้าประเภทอื่นๆ หรือไม่ได้รับการควบคุมเลย ในขณะเดียวกัน สังคมไทยต้องติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการขายออนไลน์และช่องทางจำหน่ายอื่น ๆ และต้องเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อตอกย้ำว่า มีกฎหมายอยู่จริง การผ่อนปรนไม่ได้ช่วยให้การห้าม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไปได้ถึงไหน

องค์การอนามัยโลกสนับสนุนความพยายามของประเทศไทยในการห้ามนำเข้าหรือจำหน่าย ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อย่างแข็งขัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของประเทศไทยที่จะปกป้องประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะเยาวชนจากอันตรายของการใช้ยาสูบ ตลอดจนปฏิบัติตามพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก และองค์การอนามัยโลกยังคงมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความพยายามของประเทศไทยในการยับยั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท และปกป้องคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตจากการใช้ยาสูบและโรคไม่ติดต่ออื่น ๆ

ร่วมเป็น 1 เสียง ปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมลงชื่อที่ https://shorturl.at/ADMRJ

POLITICS

‘พีระพันธุ์’ ลงพื้นที่พัทลุง-สงขลา เร่งแก้ปัญหาน้ำ ‘ทะเลน้อย’ พร้อมบูรณาการทุกภาคส่วนพัฒนาท่องเที่ยว - การค้า - การลงทุน

เมื่อวันที่(17 ก.พ. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.สงขลา และ จ.พัทลุง เพื่อเตรียมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2568 ที่จังหวัดสงขลาในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 พร้อมตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ เพื่อผลักดันนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยในช่วงเช้า นายพีระพันธุ์ได้เดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดพัทลุง และได้ต้อนรับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาบริเวณ “ทะเลน้อย” ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมของประเทศไทยและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดพัทลุง 

นายพีระพันธุ์ เปิดเผยว่า  จากตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำบริเวณ “ทะเลน้อย” ซึ่งเป็นพื้นที่รองรับน้ำจากจังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราชเพื่อระบายออกไปยังทะเลสาบสงขลานั้น พบว่าปัจจุบันทะเลน้อยอยู่ในสภาพตื้นเขิน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยวัชพืชน้ำ ผักตบชวา จอก แหน ทําให้เกิดน้ำท่วมขัง ระบายน้ำได้ช้า เรือกสวนไร่นาของพี่น้องประชาชนเกิดความเสียหาย   ตนในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ ประกอบไปด้วย ชุมพร สุราษฎร์ นคร พัทลุง สงขลา ก็รับแนวทางมาเพื่อที่จะดําเนินการแก้ไปปัญหาต่อไป  โดยเบื้องต้นได้ให้จัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือสําหรับเก็บกวาดวัชพืชน้ำ เพื่อนำไปต่อยอดทําเป็นปุ๋ยให้กับชาวบ้าน  และจะมีการขุดลอกพื้นที่เพื่อปรับปรุงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติมต่อไป รวมไปถึงการส่งเสริมการเลี้ยง “ควายน้ำ” ซึ่งเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลน้อยตามความต้องการของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

จากนั้น  นายพีระพันธุ์ได้เดินทางไปประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สุราษฎร์ธานี สงขลา ชุมพร นครศรีธรรมราช และพัทลุง)  หรือ กรอ.  ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในการพัฒนาพื้นที่สําหรับการแก้ไขปัญหาบูรณาการในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท่องเที่ยว การค้า การลงทุน

“ผมดีใจที่มีน้อง ๆ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม และได้นำเสนอแนวความคิดดี ๆ ในการพัฒนาพื้นที่ ผมจึงมอบหมายให้ทางสภาอุตสาหกรรมจังหวัด หรือหอการค้า ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ ช่วยกันทำงานกับน้อง ๆ รุ่นใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพื้นที่  และให้ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นทางจังหวัด หรือ ทางสภาพัฒน์ฯ ช่วยกันสนับสนุนส่งเสริมและดูแลให้โครงการต่าง ๆ ในการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้บางส่วนที่สามารถนําเข้า ครม. ได้ ก็จะนำเข้าสู่การประชุม ครม. สัญจรในวันพรุ่งนี้  ซึ่งผมจะเรียนให้ทราบความคืบหน้าต่อไปครับ” นายพีระพันธุ์กล่าว

‘โรม’ ไล่!! ‘ป.ป.ช.’ ให้ไปเคลียร์ตัวเอง ก่อน!! แจ้งข้อกล่าวหา 44 สส. เสนอแก้ 112

(16 ก.พ. 68) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ  รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกหนังมือเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหากรณี 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ลงชื่อเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ว่า ตอนนี้น่าจะได้รับหนังสือเรียกกันหมดแล้ว แค่ติดอยู่ที่ความล่าช้าในการส่งไปรษณีย์ ดังนั้นก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับมือกันต่อไป แต่ยืนยันว่าการทำหน้าที่ของพวกเรา เป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ

“วันนี้คุณอ้างเรื่อง ม.112 วันนี้หน้าคุณก็อ้างเรื่องอื่นมาทำลายพรรคการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ก้าวหน้าเพิ่มขึ้น มันไม่มีกฎหมายห้ามในการเสนอแก้เรื่องดังกล่าว ก็ต้องยืนยันในการทำหน้าที่ของเรา”

นายรังสิมันต์ ถามกลับว่า อะไรคือภารกิจเร่งด่วนของ ป.ป.ช. ซึ่งภารกิจเร่งด่วนของ ป.ป.ช.คือการเคลียร์ตัวเอง วันนี้ตัวเองยังเคลียร์ไม่ได้ และอาจจะมีความผิดต่างๆ นาๆ เกี่ยวเรื่องทุจริต ดังนั้นมีความชอบธรรมอะไรมาทำหน้าที่ตรงนี้

”ประทานโทษ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ท่านเป็นถึงประธาน ป.ป.ช. ตัวท่านเองจะอยู่แบบนี้เงียบๆ ต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบไปเองหรือไม่ ผมคิดว่าต้องฝากพี่น้องสื่อมวลชนในการติดตาม ประธาน ป.ป.ช.หรือ ป.ป.ช.ท่านเป็นองค์อิสระ ใช้เงินภาษีของประชาชน เมื่อมีเรื่องที่เป็นข้อกล่าวหาต่างๆ มากมายไปสู่ท่าน ท่านมีหน้าที่สร้างความกระจ่างให้กับประชาชน ถ้าท่านไม่ทำหน้าที่ตรงนี้ ท่านต้องสังวรณ์ว่าท่านกินภาษีของประชาชนอยู่ ต้องตอบคำถาม“ นายรังสิมันต์กล่าว

เมื่อถามว่า เรื่องนี้ทำให้เสียสมาธิหรือไม่ เพราะใกล้ช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไม ป.ป.ช.ต้องรีบขนาดนี้ เรื่องชี้แจงเราพร้อมจะไปชี้แจงอยู่แล้ว เราในฐานะที่ต้องเตรียมชี้แจง ก็ยอมรับว่าเสียสมาธิในการเตรียมอภิปราย เพราะต้องมานั่งคิดเรื่องคดีความ รวมถึงบางคนก็ต้องถอนตัวจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของประชาชน ประเทศนี้ต้องการฝ่ายค้านที่มีคุณภาพในการตรวจสอบต่อไป

เมื่อถามว่าจะกระทบเสถียรภาพของฝ่านค้านหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า อยากให้ประชาชนประเมิน พวกเราต้องโฟกัสเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โฟกัสเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจ และคดีความอีกมันก็กินพลังไปมากแล้ว แต่ถ้าตัวเลขฝ่ายค้านลดลงก็ยอมรับว่ามีผลต่อการตรวจสอบอย่างแน่นอน

เมื่อถามว่าจะกระทบไปถึงเลือกตั้งปี 2570 หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนยังไม่อยากประเมิน ยังไม่รู้ผลจะจบอย่างไร พร้อมยิ้ม และกล่าวว่า ตอนนี้ยังทำหน้าที่อยู่

‘เรืองไกร’ ร้อง ป.ป.ช.!! สอบ ‘ปูอัด’ พ่วง!! ‘วันนอร์-สุชาติ’ ฝ่าฝืนจริยธรรมฯ

(16 ก.พ. 68) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ทำการตรวจสอบนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่ามีพฤติการณ์ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 หรือไม่ โดยมีข้อเท็จจริงข้อกฎหมายเป็นตัวอย่างในคำร้องดังนี้

ข้อ 1.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 28 (1) และมาตรา 87 บัญญัติว่า มาตรา 28 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ ไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และมาตรา 87 เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย การเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง และการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาให้เป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ซึ่งต้องกำหนดให้ใช้ระบบไต่สวนและให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว ให้นำความในมาตรา 81 และมาตรา 86 มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม

การเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจมอบหมายให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ดำเนินการในศาลแทนได้”

ข้อ 2. มาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 กำหนดไว้ดังนี้ ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง

ข้อ 3. ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เรื่องด่วน ขออนุญาตสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจับกุมตัว นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.มารับทราบข้อกล่าวหาเพื่อสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายในระหว่างสมัยประชุม ตามมาตรา 125 ของรัฐธรรมนูญ

ข้อ 4. เอกสารแนบระเบียบวาระดังกล่าว แนบหนังสือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ตช 0011.25/537 ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นหนังสือการแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้เป็นคดีอาญาที่ 95/2568 กรณี นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงอาจเข้าข่ายอันควรตรวจสอบว่ามีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 หรือไม่

ข้อ 5. ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กับ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

ข้อ 6. ข้อเท็จจริงตามข่าวที่ปรากฏ กรณี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา กับ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ควรถือเป็นความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ไม่ว่าจะมีการกล่าวหาหรือไม่ ตามมาตรา 48 วรรคหนึ่งแล้ว จึงมีเหตุอันควรขอให้ตรวจสอบบุคคลทั้ง 3 แล้วแต่กรณี ว่ามีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 หรือไม่

“เรื่องฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยตรง จึงไม่ควรไปร้องหน่วยงานอื่น” นายเรืองไกร กล่าว

ECONBIZ

‘เอกนัฏ’ ล่องใต้ ดันวิสาหกิจชุมชนสู่ Soft Power หนุนผู้ประกอบการร่วมสร้างอุตสาหกรรมยั่งยืน

“เอกนัฏ” ล่องใต้ สุราษฎร์-สงขลา ดันวิสาหกิจชุมชนสู่ Soft Power หนุนผู้ประกอบการ สร้างความยั่งยืนให้ภาคอุตสาหกรรมไทย

(18 ก.พ. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่1/2568 ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 16-18 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อติดตามการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการในพื้นที่  

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า คณะฯ ได้ลงตรวจเยี่ยมสถานประกอบการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 1) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตถกรรมจักสานกระจูดบ้านห้วยลึก ตั้งอยู่ที่ ต.ท่าสะท้อน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ผู้ประกอบการผลิตสินค้าหัตถกรรมจักสานจากต้นกระจูดด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น และเป็นสินค้า OTOP ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับคัดสรรเป็นสินค้าหัตถกรรมคุณภาพ และได้รับมาตรฐานสินค้า OTOP ระดับประเทศ มีผลิตภัณฑ์ เช่น เสื่อ ตะกร้า กระเป๋าจากกระจูด ซึ่งปัจจุบันกลุ่มฯ ได้พัฒนารูปแบบของสินค้าหัตถกรรมให้มีความหลากหลาย ทันสมัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามสมัยนิยม เช่น กระเป๋าเดินทางแบบมีล้อ กระเป๋าแฟชั่นแบบตัดเย็บ กระเป๋าเอกสาร หมอน แฟ้มเอกสาร ปกเมนูร้านอาหาร กล่องบรรจุภัณฑ์ 

แผ่นรองจาน เป็นต้น กระทรวงอุตสาหกรรมโดยศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 (ศภ.10) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเข้ามาให้การสนับสนุน ด้านการจัดหลักสูตรฝึกอบรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และการนำเครื่องรีดเส้นกระจูดไปประยุกต์ใช้กับกิจการ รวมถึงการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของพื้นที่แหล่งวัตถุดิบที่ได้รับผลกระทบจากคุณภาพน้ำ พร้อมทั้งส่งเสริมการปลูกพืชกระจูด เพื่อเพิ่มปริมาณวัตถุดิบ รวมถึงสร้างเครือข่ายแหล่งวัตถุดิบในการรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น 

แห่งที่ 2 ลงพื้นที่บริษัท ซีพีแรม จำกัด (สุราษฎร์ธานี) ตั้งอยู่ที่ ต.เขาหัวควาย อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ผู้ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายอาหารพร้อมรับประทาน และเบเกอรี่อบสด ที่มีหน่วยงานวิจัยและพัฒนาเป็นของตนเอง โดยผลิตภัณฑ์หลัก ประกอบด้วย 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน แช่เยือกแข็งและแช่เย็น ผ่านกรรมวิธีเพื่อคงคุณภาพความสดใหม่และคุณค่าทางอาหาร โดยส่งออกและจำหน่ายในประเทศ 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ที่ผ่านการควบคุม ตั้งแต่การวิจัยพัฒนาคัดสรรสูตร และคัดเลือกส่วนผสม มีกรรมวิธีการผลิตที่ควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงในการยกระดับสถานประกอบการจนได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทการเพิ่มผลผลิต ประจำปี พ.ศ. 2567 และได้รับการสนับสนุนจากสถาบันอาหาร (สอห.) ในการพัฒนามาตรฐานโรงคัดบรรจุผักที่ได้มาตรฐาน อย. ในส่วนของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สนับสนุนเรื่องการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากกากอุตสาหกรรม และเข้าร่วมกิจกรรมการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคนิคการบริหารจัดการโลจิสติกส์ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ด้วย 

“พื้นที่ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยนับเป็นอีกหนึ่งพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งการลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการตั้งแต่วิสาหกิจชุมชนที่มีการผลิตสินค้าท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสมัยนิยมเป็นที่สนใจของคนไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งสามารถผลักดันให้เป็น Soft Power ได้ จนถึงผู้ประกอบการโรงงานก็เป็นส่วนสำคัญที่ใช้วัตถุดิบการผลิตจากในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง อีกทั้งยังเกิดการจ้างงาน และการหมุนเวียนการใช้จ่ายในชุมชนรอบโรงงาน สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของกระทรวงอุตสาหกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่งเสริมผู้ประกอบการและดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย” รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย 

ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีจะร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่1/2568 ณ ห้องคอนเวนชั่น ฮอลล์ ศูนย์การประชุมนานาชาติ ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 

EA ถูกจัดอันดับอยู่ในกลุ่มบริษัท Top 10% ของโลก ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ESG กลุ่มพลังงานไฟฟ้า

(17 ก.พ. 68) - บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในธุรกิจพลังงานทดแทนชั้นนำของประเทศ ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มบริษัท 10% ที่ดีที่สุดของโลกจากการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ในกลุ่มสาธารณูปโภคไฟฟ้าในปี 2568  จาก S&P Global Corporate Sustainability Assessment องค์กรชั้นนำด้านการประเมิน ESG ผู้จัดทำดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) โดยมีผู้เข้ารับการประเมิน 7,690 บริษัทจาก 62 อุตสาหกรรมทั่วโลก 

นายฉัตรพล ศรีประทุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การได้รับความยอมรับในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของ EA ในเรื่องความเป็นเลิศทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลหรือธรรมาภิบาล (ESG) ตอกย้ำจุดยืนของ EA ในฐานะผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด ซึ่งทั้งหมดนี้ยืนยันถึงเจตนารมณ์ของบริษัทที่มุ่งสร้างสรรค์พลังงานสะอาดและการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม”

นายฉัตรพลกว่าเพิ่มเติมว่า "เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในบริษัทระดับท๊อปของโลกในเรื่องของความยั่งยืน และเป็นเพียงหนึ่งใน 2 บริษัทจากประเทศไทยที่คว้ารางวัลในกลุ่มสาธารณูปโภคไฟฟ้า รางวัลนี้ไม่ได้เป็นเพียงความภาคภูมิใจของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นความภูมิใจของประเทศที่แสดงถึงศักยภาพของคนไทยที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก เราจะยังคงเดินหน้าในการพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยจะมุ่งมั่นและยึดถือเป็นค่านิยมหลักของบริษัทต่อไป"

ในฐานะผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด EA เดินหน้าผลักดันการใช้พลังงานทดแทน ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยี Battery Energy Storage System เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของโลกไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (low-carbon) โดยบริษัทมีการดำเนินโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลมขนาดใหญ่ การติดตั้งระบบจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ และการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างโลกที่ยั่งยืนและมีใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยความมุ่งมั่นภายใต้แนวคิด “Energy Absolute, Energy for the Future” EA จะยังคงเป็นผู้นำนวัตกรรมที่ยั่งยืนเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยและการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลกต่อไป

การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ EA ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตเชื้อเพลิงจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลม, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การจัดหาผลิตภัณฑ์ และระบบที่ใช้ในการกักเก็บและจำหน่ายไฟฟ้า เช่น ธุรกิจพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ ธุรกิจสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า และรวมถึงธุรกิจประกอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เช่น รถบรรทุกไฟฟ้า รสบัสไฟฟ้า และเรือไฟฟ้า

‘คงกระพัน’ ติดท็อป 100 ซีอีโอชั้นนำของโลก ด้าน ปตท.ครองอันดับแบรนด์มูลค่าสูงสุดไทย

‘คงกระพัน’ ติดอันดับ 1 ใน 100 ซีอีโอชั้นนำของโลก และ ปตท. เป็นบริษัทเดียวในไทยที่ติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดใน Brand Finance Global 500 ปี 2568

(17 ก.พ. 68) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.)  ได้รับการจัดอันดับที่ 66 จาก 100 CEO ชั้นนำของโลก และอยู่ในอันดับที่ 4 ของผู้นำในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ที่ส่งเสริมการสร้างมูลค่าแบรนด์องค์กรจาก Brand Guardianship Index 2025 โดย Brand Finance ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก โดยได้รับคะแนน 76.4 จาก 100 คะแนน ในดัชนี Brand Guardianship Index  ผลการจัดอันดับสะท้อนถึงคุณลักษณะที่สำคัญของ CEO ในด้านต่างๆ ได้แก่ 1) ใส่ใจพนักงานอย่างแท้จริง 2) เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก 3) มีความน่าเชื่อถือ 4) เข้าใจความต้องการของลูกค้า 5) เป็นผู้นำด้านความยั่งยืน 6) มุ่งเน้นคุณค่าในระยะยาว 7) มีกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน 8) เข้าใจความสำคัญของแบรนด์และชื่อเสียงองค์กร และ 9) มีไหวพริบทางธุรกิจ

นอกจากนี้ CEO ปตท.  ยังได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ของโลกด้านการรับรู้เรื่องความยั่งยืน ตามผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างประมาณ 5,000 คน ในกว่า 30 ประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำที่บริหารธุรกิจอย่างยั่งยืนในระดับโลก  

โดยในปีนี้ ปตท. ยังคงได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ติดหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลกที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 249 สูงขึ้นจากอันดับ 267  ในปี 2567 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้รับการประเมินมูลค่าแบรนด์สูงกว่าเก้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตกว่าร้อยละ 11 ซึ่งมีเกณฑ์ในการพิจารณา อาทิ ผลการดำเนินงาน ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และความยึดมั่นในแบรนด์ที่ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ 

Mr. Alex Haigh, Managing Director – Asia Pacific of Brand Finance กล่าวว่า ดร.คงกระพัน แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และการขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน โดยความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าระยะยาว การพัฒนาอย่างยั่งยืน และความเป็นเลิศทางธุรกิจ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ ปตท. เป็นแบรนด์ไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ติดอันดับ Brand Finance Global 500 และมีชื่อเสียงระดับสากลในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคพลังงาน

ดร.คงกระพัน กล่าวเพิ่มเติมว่า การได้รับการจัดอันดับบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดของโลกเป็นผลเนื่องมาจากพันธกิจขององค์กรที่ชัดเจนในการมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องบนหลัก “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ตลอดจนการสนับสนุนจากคนไทยทุกภาคส่วนที่ให้ความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของ ปตท.

นอกเหนือไปจากการดูแลรักษาเสถียรภาพทางด้านพลังงานแล้ว ปตท. ยังคงดูแลสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย และพร้อมช่วยเหลือประเทศชาติในยามที่เกิดภาวะวิกฤติ และดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ทั้งนี้ เพื่อเติบโตและมุ่งสู่การเป็นขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งยกระดับขีดความสามารถขององค์กรสู่ระดับสากล

LITE

18 กุมภาพันธ์ 2543 ยืนยันพบเหตุหายนะโคบอลต์-60 หลังซาเล้งเก็บไปขายร้านรับซื้อของเก่า

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปัจจุบันคือสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) ได้รับรายงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุรังสีโคบอลต์-60 ที่เกิดขึ้นเมื่อเครื่องฉายรังสีเก่าของโรงพยาบาลรามาธิบดีถูกนำไปทิ้งโดยไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 รายและผู้ป่วยอีกหลายคนจากการสัมผัสรังสีอันตรายนี้

ย้อนกลับไปในช่วงปลายเดือนมกราคม 2543 เมื่อเครื่องฉายรังสีโคบอลต์-60 ที่หมดอายุของโรงพยาบาลรามาธิบดีถูกทิ้งไว้ที่โกดังของบริษัท กมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด ก่อนจะถูกนำไปเก็บที่ลานจอดรถเก่าของบริษัทในซอยอ่อนนุช กรุงเทพฯ โดยไม่มีการจัดเก็บอย่างปลอดภัย กระทั่งวันที่ 24 มกราคม 2543 เมื่อชาย 4 คนลักลอบขนย้ายเครื่องฉายรังสีไปขายต่อให้กับร้านรับซื้อของเก่า โดยร้านดังกล่าวคือของ จิตรเสน จันทร์สาขา หรือที่เรียกกันว่า “ซาเล้งเก็บของเก่า”

จิตรเสนได้ซื้อเครื่องฉายรังสีและเศษเหล็กจากผู้ขายในราคา 8,000 บาท ก่อนที่จะรู้สึกถึงอันตรายเมื่อมือเริ่มแสบคันและพบอาการป่วยที่เกิดขึ้นในภายหลัง ต่อมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เขาได้นำเครื่องฉายรังสีไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่าในสมุทรปราการ ซึ่งได้ถูกแยกชิ้นส่วนจนพบว่ามีแท่งโลหะที่แผ่รังสีโคบอลต์-60 อยู่

เมื่อผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องฉายรังสีสัมผัสกับรังสีเริ่มแสดงอาการป่วย เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มือบวมพอง และอาการแผลเน่า ทางแพทย์จึงเริ่มสรุปว่าอาจเกิดจากการสัมผัสกับรังสีอันตราย และได้แจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องให้ทำการตรวจสอบ

เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติและเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและพบจุดต้นกำเนิดรังสีในเวลา 4.00 น. ของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ซึ่งได้ทำการเก็บรักษาแท่งโลหะที่ปล่อยรังสีโคบอลต์-60 ไปยังที่ปลอดภัยภายใต้การกำบังรังสี

ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวงกว้าง โดยมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากรังสีจำนวนมากถึง 948 คนที่ต้องเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลหลายแห่ง รวมทั้งมีหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องตัดสินใจทำแท้งเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะมีต่อทารกในครรภ์

เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือดจากการสัมผัสกับรังสีโคบอลต์-60 ซึ่งรายแรกคือ นิพนธ์ ลูกจ้างที่ตัดแยกเครื่องฉายรังสี และต่อมาในวันที่ 18 มีนาคม สุดใจ ลูกจ้างอีกคน และวันที่ 24 มีนาคม สามีของเจ้าของร้านรับซื้อของเก่าก็เสียชีวิตตามมา ขณะที่จิตรเสน แม้จะรอดชีวิต แต่ก็ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลและมีอาการสาหัสจนต้องตัดนิ้วมือทิ้ง

เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุบัติเหตุทางรังสีครั้งแรกในประเทศไทย และยังคงเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการจัดการสารกัมมันตรังสีในประเทศ

17 กุมภาพันธ์ 2438 วันประสูติ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ผู้บุกเบิกเผยแผ่พระพุทธศาสนาและนักเขียนผู้ทรงคุณค่าของไทย

หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ประสูติเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2438 ที่วังสามยอด เชิงสะพานดำรงสถิตย์ เป็นพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และหม่อมเฉื่อย ดิศกุล (สกุลเดิม ยมาภัย) ทรงศึกษาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสกับครูสตรีชาวต่างชาติ รวมถึงทรงศึกษาความรู้จากพระบิดา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี

หม่อมเจ้าพูนพิศมัยทรงมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยและพระพุทธศาสนา ทรงนิพนธ์ผลงานหลายเรื่อง เช่น 'ศาสนคุณ' ซึ่งได้รับรางวัลชั้นที่ 1 ในการประกวดพระราชพิธีวิสาขบูชา พ.ศ. 2472 ผลงานอื่น ๆ เช่น "ชีวิตและงานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ" และ 'ประเพณีไทย' รวมถึงสารคดีหลายเรื่อง ทรงมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศและต่างประเทศ

หนึ่งในผลงานที่สำคัญของหม่อมเจ้าพูนพิศมัยคือการร่วมก่อตั้งองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) และดำรงตำแหน่งประธานตั้งแต่ พ.ศ. 2507 จนถึง พ.ศ. 2527 นอกจากนี้ยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางปรัชญาจากมหาวิทยาลัยดงกุก ประเทศเกาหลี ในปี พ.ศ. 2510 และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2522

หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2533 สิริอายุ 95 ปี

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568

รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท
847377

รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
268  613

รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
652  001

รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท
50

รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท
847376  847378

ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 2 จำนวน 5 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท
464953  822419  572417  403022  234582

ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 3 จำนวน 10 รางวัล รางวัลละ 80,000 บาท
497867  405988  424303  645024  273711  
467127  126320  907658  657401  642152  

ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 4 จำนวน 50 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท
139733  706119  785084  077913  376516  
724366  575954  173448  742179  293096  
940805  325152  870601  735617  731665  
073045  021660  403627  638899  037244  
099058  560894  322129  855651  404509  
179357  696028  467561  824459  366488  
344581  913399  085810  228271  164088  
642332  151964  100287  797797  248640  
231605  439018  803962  478552  094541  
168378  192006  573676  256518  100051  

PODCAST

‘ตำรวจลับราชวงศ์หมิง’ จุดเริ่มต้น ‘ราชวงศ์หมิง’ ล่มสลาย | THE STATES TIMES Story EP.162

ประวัติศาสตร์จีนในยุค ‘ราชวงศ์หมิง’ ได้ถือกำเนิดตำรวจลับขึ้นเพื่อใช้จัดการขุนนางฉ้อฉลและคอยปกป้ององค์จักรพรรดิ แต่กลุ่มตำรวจลับนี้เอง ที่กลับกระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม จนต้องเกิดกลุ่มตำรวจลับใหม่ ๆ ขึ้นเพื่อใช้ปราบปราม ทว่า กลับกลายเป็นวัฏจักรอันน่าอดสู และทำให้ราชวงศ์หมิงมีอายุได้เพียง 200 ปี เท่านั้น

วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้รวบรวมเรื่องราวของตำรวจลับแห่งราชวงศ์หมิงมาเล่าสู่กันฟัง ถ้าพร้อมแล้ว ไปฟังกัน…

ไขปริศนา 1 มกราคม: วันปีใหม่เกิดขึ้นได้อย่างไร? | THE STATES TIMES Story EP.161

ทำไมวันที่ 1 มกราคม ถึงกลายเป็นวันปีใหม่? 🎆
รู้หรือไม่ว่า วันปีใหม่มีที่มาจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่ยุคบาบิโลเนีย จนถึงปฏิทินเกรกอเรียนที่เราใช้กันในปัจจุบัน 🌍
มาดูกันว่าทำไมโลกถึงเลือกวันนี้เพื่อเริ่มต้นปีใหม่!

📖 อ่านเพิ่มเติม: https://thestatestimes.com/post/2023122702

ตำนานวันปีใหม่ไทย เปลี่ยนผ่านจาก 1 เมษา สู่ 1 มกรา | THE STATES TIMES Story EP.160

รู้หรือไม่? ประเทศไทยเคยเริ่มต้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน! 
จากบทเพลง 'เถลิงศก' สู่ 'พรปีใหม่' เพลงพระราชนิพนธ์ที่คนไทยร้องรับพรกันในวันปีใหม่ทุกปี 🎶
มาร่วมย้อนรอยตำนานการเปลี่ยนแปลงวันปีใหม่ไทย ที่สะท้อนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และน้ำพระทัยของพระมหากษัตริย์ไทย 💛

VIDEO

ป้าหมาย ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ | CONTRIBUTOR EP.30

เมืองไทยมีดี มีจุดขายที่งดงามในภาคการท่องเที่ยว แต่จะพอใจเพียงเท่านี้ พอใจเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลูกเดียว อาจจะไม่ยั่งยืน

มิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ต้องปรับประยุกต์ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
กระตุ้นให้เกิดความหลากหลายในแต่ละเขตแดน เมือง จังหวัด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องร้อยห่วงโซ่ของ ‘ความยิ้มแย้ม-ความยืดหยุ่น-ไม่หย่อนยาน’ 
รวมถึงปรับแนวทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวใต้วิธีคิดที่ทันโลก

เพราะนี่คือวาระสำคัญของอนาคตการท่องเที่ยวไทยในวันข้างหน้า 
ในวันที่ ‘หินก้อนใหญ่’ ยังกดทับ ‘หญ้าสีเขียว’ ในบางพื้นที่อยู่

ปลดล็อกร่างทอง ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ไปด้วยกันกับ Contributor EP นี้ กับผู้ที่เข้าใจระบบนิเวศการท่องเที่ยวยั่งยืนแบบถ่องแท้ได้จาก... คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ถึงเวลาสร้าง ‘ไทย’ ให้เติบใหญ่ในยุคดิจิทัล l รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก

ความ ‘เท่า’ ที่ยากจะ ‘เทียม’ หากระบบการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่และทิศทางไทยยังคงหลงอยู่กับนโยบาย

ประชานิยมที่คอยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงแค่ครั้งคราว

กลับกันประเทศไทย ในวันที่เริ่มตั้งตัว ต้องหาทางตั้งทรงแบบยกแผงต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตชาติเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกภาคส่วนระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่นๆ ให้เกิดรากอันแข็งแกร่ง เพื่อเป็นฐานรองรับให้ ‘คนในชาติ’ กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ

Contributor EP นี้ ขอกระตุกมุมคิดคนไทยให้ร่วมมองความเจริญแห่งอนาคตที่ถูกทิศผ่านมุมคิดของ... 
รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่ขอเป็นตัวแทนพูดดังๆ ถึงทุกภาคส่วน ว่า…

ถึงเวลาแล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ต้องปฏิรูป!!

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ | CONTRIBUTOR EP.28

ค่านิยม ‘ท้าทาย’ กฎหมายของคนในยุคนี้ ยุคที่ใคร ‘แหก’ กฎได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งยกย่องกันแบบผิดๆ ว่า 'เจ๋ง' และดูเก่งในสายตากลุ่มก้อนความคิดเดียวกัน ... เริ่มลุกลาม!!

แต่เมื่อ 'กฎหมาย' คือ กฎที่คนส่วนใหญ่ ทำตาม!!

ผู้ใด 'ท้าทาย' ก็ต้องพร้อมรับผิดชอบในทุกการกระทำ

และนี่คือเรื่องราวของอีกหนึ่งผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่อยากฝากบอกถึง 'นักแหกกฎ' ให้ปลดความคิดสุดระห่ำออกไปจากระบบคิด และจงเชื่อเถอะว่าชีวิตของพวกคุณจะไม่มีวันถูกหล่อเลี้ยงได้อย่างยั่งยืนผ่านคำยกย่องผิดๆ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี 

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์

Y WORLD

ซักด่วน !!! ใช้ผ้าขนหนูเกิน 3 วัน เหมือนเช็ดตัวด้วยโถส้วม !!! | Y WORLD EP.75

Y WORLD ตอนนี้ แค่หัวข้อก็อึ้งกันแล้วค่ะ แค่ไม่ได้ซักผ้าขนหนู 3 วัน ก็สกปรกขนาดนี้เลยหรอ ? ส่งผลอย่างไรบ้าง และควรแก้ยังไง คลิปนี้มีคำตอบค่ะ 

‘Roman Charity’ ภาพวาดที่ไม่ได้ลามก แต่คือความกตัญญู | Y WORLD EP.74

Y WORLD ตอนนี้พาคุณไปชมภาพวาดหญิงสาวกำลังป้อน ‘นม’ ของตัวเองให้ชายชรา ที่บอกเลยว่า 'เห็นครั้งแรก ก็คิดดีไม่ได้จริงๆ' แต่แท้จริงแล้ว ภาพนี้ไม่ได้เป็นสื่อลามกอนาจาร แต่คือการแสดงความกตัญญู เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามชมกันได้เลยค่ะ

ปลิดชีพ "ชาย" ขู่ฆ่า "โจ ไบเดน" แม้ไม่มี112 | Y WORLD EP.73

Y WORLD ตอนนี้จะพาคุณไปฟังเรื่องราวการ "ปกป้องผู้นำ" ของตนขั้นสุดแบบสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ FBI ปลิดชีพ 'ชาย’ ขู่ฆ่า 'โจ ไบเดน' แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112 แบบประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากใครมาหมิ่นหรือคิดร้ายผู้นำในประเทศของเขา โดนดีทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปรับชมกันเลย

SPECIAL

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568

ทุกข์นี่แหละ!! 
จะทำให้เราฉลาดขึ้น
ทำให้เกิดปัญญา
สุขนั่นสิ!! 
มันจะปิดหูปิดตาเรา
ความสุขสบายทั้งหลาย
จะทำให้เราประมาท

หลวงพ่อชา สุภทฺโท

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568

คนโกรธง่าย
โกรธแรง
เป็นคนมีกรรม
คนโกรธยาก
โกรธเบา
เป็นคนมีบุญ

สมเด็จพระญาณสังวร 
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568

สิ่งไหนที่ไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งไหนเป็นทุกข์
สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เป็นอนิจจังเป็นของไม่เที่ยง
ให้ปล่อยวางที่ใจ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นที่ใจ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนตุสฺสโก

INFO & TOON

ระดมทีม All-Star! เปิดลิสต์ผู้นำบริษัทเทคจีนร่วมโต๊ะหารือสีจิ้นผิง

เมื่อวันที่ (17 ก.พ. 68) ที่ผ่านมา สำนักข่าวซีซีทีวีของจีนเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำจีนได้จัดประชุมสัมมนานัดพิเศษ เพื่อเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภาคเอกชนของจีนที่ทำเนียบรัฐบาลจีนในกรุงปักกิ่ง  โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้พบปะกับผู้ประกอบการจากภาคเอกชนที่มีชื่อเสียงหลายราย

ที่น่าสนใจคือมีตัวแทนจากภาคธุรกิจสายเทคโนโลยีของจีนรายใหญ่หลายรีาย เข้าร่วมการหารือดังกล่าว อาทิ 

เหริน เจิ้งเฟย (Ren Zhengfei) – ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ หัวเว่ย (Huawei) ผู้นำระดับโลกด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยี 5G

หวัง ฉวนฝู (Wang Chuanfu) – ประธานและซีอีโอของ BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน

หลิว หยงห่าว (Liu Yonghao) – ผู้ก่อตั้งบริษัท New Hope ผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของจีน

อวี๋ เหรินหรง (Yu Renrong) – ผู้ก่อตั้งและประธานของ Will Semiconductor บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของจีน

หวัง ซิงซิง (Wang Xingxing) – ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Unitree Robotics ผู้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์

เล่ย จุน (Lei Jun) – ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Xiaomi บริษัทสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ IoT ชั้นนำ

นอกจากนี้  CMG สื่อท้องถิ่นจีนยังเผยให้เห็นผู้บริหารระดับสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตาเข้าร่วมประชุม เช่น

โพนี่ หม่า (Pony Ma) – ซีอีโอของ Tencent ยักษ์ใหญ่ด้านเกมและโซเชียลมีเดีย

แจ็ค หม่า (Jack Ma) – ผู้ก่อตั้ง Alibaba บริษัทอีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีระดับโลก

และรวมถึง เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) – ผู้ก่อตั้ง DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังมาแรงในเวลานี้ 

ไฮไลท์สำคัญของการประชุมนี้คือการปรากฏตัวของ ‘แจ็ค หม่า’ผู้ก่อตั้ง Alibaba ที่หายหน้าไปจากสื่อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะกลับมาในงานฉลองครบรอบ 20 ปี ของ Ant Group เมื่อปลายปี 2024 หลังจากหายไปนานถึง 4 ปี การที่เขามาพบ สี จิ้นผิง จึงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาลจีนที่เริ่มหันมาสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี

ในการกล่าวสุนทรพจน์ของ สี จิ้นผิง เขาเน้นถึงการขจัดอุปสรรคในการใช้ทรัพยากรอย่างเท่าเทียมและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม พร้อมทั้งยืนยันจะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจที่ประสบปัญหาในการเข้าถึงเงินทุน

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทเอกชนจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีเผชิญแรงกดดันจากการควบคุมของภาครัฐ ทำให้บรรยากาศในวงการเทคโนโลยีจีนเข้าสู่ยุคมืด มูลค่าหุ้นและผลประกอบการได้รับผลกระทบหนัก ส่งผลให้หลายซีอีโอถอยห่างจากสื่อ ซึ่งแจ็ค หม่าเป็นหนึ่งในนั้น

การที่รัฐบาลจีนเรียกบิ๊กเทคจีนเข้าพบครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณสำคัญของการผ่อนคลายมาตรการ และสะท้อนถึงการที่จีนกำลังมองเห็น AI และเทคโนโลยีเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการประชุมสัมมนาครั้งนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อภาคเอกชนของจีน โดยเน้นย้ำว่าธุรกิจเอกชนเป็นพลังสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ปัจจุบัน ภาคเอกชนจีนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยคิดเป็น 48.6% ของการค้าต่างประเทศ 56.5% ของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 59.6% ของรายได้ภาษี และมีส่วนในการสร้าง GDP มากกว่า 60% นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งคิดค้นนวัตกรรมกว่า 70% และสร้างการจ้างงานในเขตเมืองมากกว่า 80%

หลี่ หย่ง หัวหน้านักวิจัยจากสถาบัน D&C Think Tank ให้สัมภาษณ์กับ CGTN ว่าการคัดเลือกบริษัทเอกชนชั้นนำเข้าร่วมประชุมสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีนในการสนับสนุนเทคโนโลยีเอกชน โดยย้ำว่าการพัฒนาภาคเอกชนเป็นรากฐานของ "สังคมนิยมที่มีลักษณะจีน"

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่กล่าวถึงคือการปฏิเสธแนวคิด "เอกชนต้องถอยจากเศรษฐกิจ" (Exit Theory) พร้อมยืนยันว่าตำแหน่งของภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ โดยรัฐบาลจีนยังคงสนับสนุน และสภาพแวดล้อมการลงทุนจะยังคงเหมือนเดิม

ตามมติของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ออกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2024 จีนจะเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น AI เทคโนโลยีสารสนเทศรุ่นใหม่ การบินและอวกาศ พลังงานใหม่ วัสดุใหม่ อุปกรณ์ไฮเอนด์ และควอนตัมเทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

การลดลงของประชากรไทย : วิกฤตหนักที่กำลังมา

(17 ก.พ. 68) ปีนี้เราจะได้ยินคนพูดกันว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอ่ยุกันมากขึ้น เพราะประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรครั้งใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อ เศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างแรงงาน การลดลงของอัตราการเกิด และจำนวนประชากรที่เติบโตช้าลง ส่งสัญญาณถึง แรงงานขาดแคลน ค่าใช้จ่ายสวัสดิการเพิ่มขึ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม และข้อมูลจากธนาคารโลกยังมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 ผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนกว่า 30% ของประชากรทั้งหมดของไทยด้วย

ทางออกที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการก็มีได้ทั้งการสนับสนุนการเกิด การขยายอายุการเกษียณ การเพิ่มแรงงานต่างชาติ และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเอาชดชเยแรงงานที่ขาดแคลนค่ะ เพราะหากไม่มีมาตรการแก้ไขที่เหมาะสมและดีพอ ประเทศไทยอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปีค่ะ

แล้วทำไมเราถึงควรต้องกังวลเรื่องนี้ เราไปดูตัวเลขทางสถิติที่สำคัญกันค่ะ?

วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักที่กลายเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ

วันแห่งความรัก หรือ วันวาเลนไทน์ได้พัฒนามาเรื่อยๆจนกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเอง และวันแห่งความรักนี้ยังเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีการใช้จ่ายสูงสุดของปีในประเทศไทย การบริโภคที่เพิ่มขึ้นในวันนี้ส่งผลโดยตรงต่อภาคธุรกิจหลัก ๆ เช่น ค้าปลีก ร้านดอกไม้ อาหารและเครื่องดื่ม โรงแรม การท่องเที่ยว และความบันเทิง

ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่าในปี 2567การใช้จ่ายในวันวาเลนไทน์ของไทยแตะระดับ 2.5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 5.4% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สะท้อนถึง พฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังคงให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตาม และสำหรับปี 2568 ก็มีการคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นไปที่ 2.7 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.2% จากปีก่อนหน้า

โดยผลกระทบเชิงบวกจากวาเลนไทน์จะสามารถแบ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจแบบไหนบ้าง วันนี้จะพาไปดูกันค่ะ

COLUMNIST

ถึงเวลากางบัญชี ‘มหาวิทยาลัย’ ตรวจสอบ เงินภาษีเพื่อการศึกษาหรือเครื่องมือปลูกฝังแนวคิดเปลี่ยนโลก?

(17 ก.พ. 68) มหาวิทยาลัยควรเป็นสถานที่ของความรู้ หรือกำลังกลายเป็นเครื่องมือของใครบางคน? คำถามนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือด เมื่อการใช้เงินภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในภาคการศึกษา รวมถึงเงินทุนจากภาคเอกชนระดับโลก เช่น Open Society Foundations ของ George Soros ถูกตั้งคำถามว่ามีเป้าหมายเพียงเพื่อพัฒนาการศึกษา หรือเป็นเครื่องมือในการควบคุมความคิดของคนรุ่นใหม่กันแน่

Calley Means เปิดประเด็น! มหาวิทยาลัยใช้งบประมาณไปกับอะไร?
Calley Means ได้ปลุกกระแสในโซเชียลมีเดีย โดยตั้งข้อสังเกตว่า เงินภาษีที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ได้รับจากรัฐบาลกลาง ถูกใช้ไปในทางที่ไร้ประโยชน์หรือไม่? โพสต์ของเขาระบุว่า

> "ถ้าคุณคิดว่า USAID แย่แล้ว รอจนกว่าคุณจะเห็นว่ามหาวิทยาลัยใช้เงินภาษีของรัฐบาลกลางเป็นพันล้านดอลลาร์กันอย่างไร เปิดบัญชีตรวจสอบกันเถอะ!"

โพสต์ดังกล่าวกลายเป็นไวรัลทันที เพราะ USAID เองก็เคยถูกวิจารณ์ว่าใช้งบประมาณสนับสนุนโครงการต่างประเทศที่ถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และตอนนี้มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ก็กำลังถูกเพ่งเล็งในลักษณะเดียวกัน

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เงินทุนของ Soros ผ่าน Open Society Foundations (OSF) ก็ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทสำคัญในการแทรกแซงการศึกษา โดยเฉพาะในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวที่อาจทำให้เกิดความไม่สงบ

มหาวิทยาลัย: จุดยุทธศาสตร์ของสงครามความคิด?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรปถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า กลายเป็นศูนย์กลางของแนวคิดที่มุ่งเปลี่ยนแปลงสังคม มากกว่าที่จะเป็นสถานศึกษาที่ให้ความรู้เป็นกลาง แนวคิดเสรีนิยมแบบสุดโต่ง และการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น วาระเกี่ยวกับ LGBTQ+ ความเท่าเทียมทางเพศ และทัศนคติต่อต้านโครงสร้างอำนาจแบบดั้งเดิม มักได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้

> คำถามคือ แนวคิดเหล่านี้เกิดขึ้นเอง หรือได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากแหล่งทุนที่มีวาระซ่อนเร้น?
รายงานหลายฉบับระบุว่า Open Society Foundations ของ Soros ได้ให้ทุนสนับสนุนมหาวิทยาลัยและองค์กรเยาวชนในหลายประเทศ โดยอ้างว่าเป็นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย แต่ฝ่ายตรงข้ามมองว่านี่เป็น กลไกในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

งบประมาณเพื่อการศึกษาหรือเพื่อควบคุมเยาวชน?
หากย้อนดูตัวเลขงบประมาณในภาคการศึกษาของสหรัฐฯ จะพบว่า รัฐบาลอเมริกันจัดสรรงบประมาณมหาศาลให้กับมหาวิทยาลัย ขณะที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้รับเงินสนับสนุนจากแหล่งทุนเอกชนด้วย

> แล้วเงินเหล่านี้ถูกใช้ไปเพื่ออะไร?
ไปกับค่าจ้างอาจารย์และนักวิจัย หรือไปกับโครงการที่สนับสนุนแนวคิดเฉพาะกลุ่ม?
ไปกับการพัฒนาหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะให้เยาวชน หรือไปกับโครงการรณรงค์ทางการเมือง?
ถูกใช้เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษา หรือเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม?

ประเทศไทยอยู่ตรงไหน?
แม้ประเด็นนี้จะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ แต่ไทยก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากปัญหานี้เช่นกัน มีรายงานว่า องค์กรนานาชาติเหล่านี้เคยให้ทุนสนับสนุนโครงการในไทย ทั้งด้านสิทธิมนุษยชนและการศึกษา บางครั้งก็มีการสนับสนุนบุคคลและกลุ่มที่มีท่าทีต่อต้านโครงสร้างเดิมของประเทศ

> ดังนั้น คำถามสำคัญสำหรับไทยคือ "เงินทุนเหล่านี้กำลังช่วยพัฒนาการศึกษา หรือกำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของเยาวชนให้สอดคล้องกับวาระของต่างชาติ?"

ถึงเวลาที่ต้องเปิดบัญชีตรวจสอบ!
ขณะที่สังคมกำลังให้ความสนใจเรื่องการใช้งบประมาณในภาครัฐ การตรวจสอบเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ระบบการศึกษาก็ควรเป็นเรื่องเร่งด่วนเช่นกัน

> มหาวิทยาลัยคือสถานที่แห่งความรู้ หรือเป็นเวทีของการต่อสู้ทางความคิดที่มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง?
นี่คือคำถามที่สังคมต้องช่วยกันหาคำตอบ

เปิดเส้นทางมรณะ ‘Dunki Route’ ชาวอินเดียนับหมื่น แห่ลอบเข้าอเมริกา-ยุโรป เสี่ยงตายเพื่อฝัน

ตามข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ณ เดือนพฤษภาคม 2024 จำนวนชาวอินเดียโพ้นทะเลทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 35.42 ล้านคน คิดเป็น 2.53% ของจำนวนพลเมืองอินเดียทั้งประเทศราว 1,400ล้านคน โดย 10 ประเทศที่มีชาวอินเดียอาศัยอยู่มากที่สุดไล่เรียงจากมากไปหาน้อยได้แก่ สหรัฐฯ สหรัฐอาหรับฯ มาเลเซีย แคนาดา ซาอุดิอาระเบีย เมียนมา สหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้ ศรีลังกา และคูเวต ซึ่งเป็นการนับรวมทั้งผู้ที่ยังคงถือสัญชาติอินเดียและผู้ที่มีเชื้อชาติอินเดียแต่ไม่ได้ถือสัญชาติอินเดียแล้ว

ตัวเลขดังกล่าว น่าจะไม่ได้นับรวมชาวอินเดียที่ลักลอบเข้าประเทศเหล่านี้อย่างผิดกฎหมายอีกจำนวนมาก ซึ่งชาวอินเดียเหล่านั้นได้ลักลอบเข้าประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศตะวันตกด้วยเส้นทางที่เรียกว่า 'Dunki route' แปลได้ว่า 'ทางลาเดิน' คำนี้มีที่มาจากสำนวนภาษาปัญจาบ 'Dunki' นอกจากแปลว่า 'ลา' แล้วยังแปลว่า “กระโดดจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง” เป็นชื่อเรียกเส้นทางที่ที่เด็ก ๆ หนุ่มสาว จากแคว้น Punjab, Haryana และ Gujarat เป็นเส้นทางผิดกฎหมายที่ผู้คนจำนวนมากใช้เพื่อข้ามพรมแดนออกจากอินเดียไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นเส้นทางที่อันตรายด้วยมีความเสี่ยงมากมาย เนื่องจากต้องอดอาหารหลายวัน เดินผ่านป่า ข้ามแม่น้ำและทะเล เพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหน้าที่ เส้นทางผิดกฎหมายเหล่านี้ แม้จะว่า มักจะมีภัยคุกคามและจุดจบที่ไม่พึงปรารถนา แต่ก็เป็นที่นิยมในหมู่เยาวชนที่ต้องการชีวิตที่ดีขึ้นและไล่ตามความฝันแบบอเมริกัน (American dream)

ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ ผู้ย้ายถิ่นฐานจากอินเดียประมาณ 42,000 คนข้ามพรมแดนทางใต้โดยผิดกฎหมายระหว่างเดือนตุลาคม 2022 ถึงกันยายน 2023 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 เป็นต้นมาชาวอินเดียประมาณ 97,000 คนพยายามเข้าสู่สหรัฐอเมริกาอย่างผิดกฎหมายและถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทั้ง ๆ ที่เส้นทางไปสู่ประเทศต่าง ๆ อย่างผิดกฎหมายนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่เพียงแต่ในแง่ของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายทางการเงินด้วย การเดินทางด้วยลาไปยังสหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายระหว่าง 150,000-400,000 รูปี (58,500-156,000) และอาจสูงถึง 700,000 รูปี (273,000) และยิ่งใช้เงินมากเท่าไหร่การเดินทางก็ยิ่งสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้น โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 150,000 รูปีสำหรับโปรตุเกส 250,000 รูปีสำหรับเยอรมนี และ 450,000 รูปีสำหรับสหรัฐอเมริกา

ขั้นตอนแรกของ 'Dunki route' ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากอินเดียไปยังประเทศในละตินอเมริกา เช่น เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา บราซิล และเวเนซุเอลา เหตุผลที่เลือกประเทศในละตินอเมริกาเป็นเส้นทางผ่านก็คือการที่ชาวอินเดียจะเข้าประเทศเหล่านี้ได้ง่ายกว่า ประเทศเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้วีซ่าเมื่อเดินทางมาถึง (Visa on arrival) แก่ชาวอินเดียเท่านั้น แต่ผู้ที่ต้องใช้วีซ่าก่อนเดินทางมาถึงก็สามารถขอวีซ่าท่องเที่ยวในอินเดียได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ นายหน้าที่จัดการการอพยพที่ผิดกฎหมายยังอาศัยอยู่ในประเทศเหล่านี้ซึ่งมี 'ความเชื่อมโยง' กับการค้ามนุษย์ที่ผิดกฎหมาย

เส้นทางอื่น ๆ ในบางกรณี นายหน้าจะจัดเตรียมวีซ่าตรงไปจากดูไบยังเม็กซิโก แต่การเข้าเมืองโดยตรงในเม็กซิโกถือเป็นอันตราย เนื่องจากมีโอกาสที่จะถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ดังนั้น นายหน้าส่วนใหญ่จึงส่งลูกค้าไปยังประเทศในละตินอเมริกาแล้วจึงพาพวกเขาไปที่โคลอมเบีย หลังจากมาถึงโคลอมเบีย ผู้อพยพจะเดินทางเข้าสู่ปานามา ซึ่งเส้นทางต้องข้ามช่องเขาดาริเอน ซึ่งเป็นป่าอันตรายระหว่างสองประเทศ ความเสี่ยง ได้แก่ ขาดน้ำสะอาด สัตว์ป่า และกลุ่มอาชญากร ซึ่งอาจนำไปสู่การปล้นและกระทั่งข่มขืน ในหนึ่งในกรณีที่ถูกรายงานระบุว่า ชาวอินเดียกลุ่มหนึ่งจาก Haryana ถูกขโมยเงิน โทรศัพท์ และแม้กระทั่งเสื้อผ้าและรองเท้า ขณะข้ามป่า พวกเขาต้องเดินเท้าเปล่าท่ามกลางความหนาวเย็นและหิมะ ใช้เวลาเดินทางแปดถึงสิบวัน และหากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นหรือผู้อพยพเสียชีวิต ก็ไม่มีทางที่จะส่งศพกลับบ้านได้

มีเส้นทางอื่นที่ปลอดภัยกว่าจากโคลอมเบีย ซึ่งผู้อพยพจะหลีกเลี่ยงป่าอันตรายในปานามา เส้นทางเริ่มต้นจากซานอันเดรส ซึ่งเรือประมงที่มีผู้อพยพผิดกฎหมายจะมุ่งหน้าไปยังฟิชเชอร์แมนส์เคย์ ซึ่งอยู่ห่างจากซานอันเดรสประมาณ 150 กิโลเมตร จากนั้นจึงเปลี่ยนเรืออีกลำเพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังเม็กซิโก จากปานามา ผู้อพยพจะมุ่งหน้าไปยังเม็กซิโกเพื่อเข้าสู่ชายแดนสหรัฐฯ และกัวเตมาลาเป็นศูนย์กลางการประสานงานที่สำคัญในเส้นทางนี้ เม็กซิโกเป็นเส้นทางที่สำคัญในการเดินทาง เนื่องจากต้องหลบซ่อนจากหน่วยงานพิทักษ์ชายแดน พรมแดนสหรัฐฯ และเม็กซิโกที่ยาว 3,140 กิโลเมตรที่กั้นระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกออกจากกันมีรั้วกั้น ซึ่งผู้อพยพจะต้องกระโดดข้ามไป และผู้อพยพอื่น ๆ อีกจำนวนมากต้องข้ามแม่น้ำริโอแกรนด์ที่อันตราย อย่างไรก็ตาม ผู้อพยพจำนวนมากถูกจับกุมหลังจากข้ามแม่น้ำริโอแกรนด์ แทนที่จะข้ามรั้วหรือเข้ามาทางทะเล

เส้นทางผ่านยุโรป ผู้อพยพจำนวนมากยังเลือกยุโรปแทนที่จะผ่านประเทศในละตินอเมริกา ถึงแม้ว่าการเดินทางผ่านยุโรปไปยังเม็กซิโกจะง่ายกว่า แต่เส้นทางนี้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยทางการของประเทศต่าง ๆ อย่างเข้มงวด เริ่มจากการบินจากนิวเดลีไปยังฮังการี ซึ่งพวกเขาจะถูกกักขังในห้องเล็ก ๆ เป็นเวลา 10 วัน และได้รับอาหารเพียงขนมปังและน้ำเล็กน้อยพอประทังชีวิต จากฮังการี พวกเขาบินไปฝรั่งเศส จากนั้นไปเม็กซิโกซิตี้ ซึ่งเขาถูกขังไว้ในห้องเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ หลังจากบินอีกเที่ยวและนั่งรถบัสเป็นเวลานาน และถูกพาขึ้นรถกระบะพาพวกเขาไปใกล้ชายแดนสหรัฐฯ และข้ามไปยังมลรัฐแคลิฟอร์เนียในที่สุด หากถูกจับกุมจะถูกนำตัวไปที่ศูนย์ซึ่งจะพบกับผู้ลักลอบเข้าเมืองมากมายหลายชาติที่เคยเดินทางในลักษณะเดียวกัน ผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองชาวอินเดียส่วนใหญ่ประมาณ 80% เป็นหนุ่มสาวที่โสด และเข้ามาทางชายแดนเม็กซิโกใกล้รัฐแอริโซนาหลังจากขึ้นเครื่องบินที่ผ่านประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับพลเมืองอินเดีย รายงานในปี 2022 ของสถาบันนโยบายการย้ายถิ่นฐานของสหรัฐฯ (MPI) ได้ระบุว่า “การข่มเหงทางศาสนาและการเมืองต่อผู้ที่ไม่ใช่ชาวฮินดูที่เพิ่มมากขึ้นในอินเดีย” และ “การขาดการบังคับใช้กฎหมายในประเทศ โอกาสทางเศรษฐกิจ" ยังผลักดันชาวอินเดียเดินทางไปสู่ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายและเส้นทางที่อันตราย แต่การใช้ 'Dunki route' ถือเป็นวิธีการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่นิยมมากที่สุดของผู้ลักลอบเข้าเมืองหนุ่มสาวชาวอินเดีย

เผยความหมายลึกซึ้งของดอกไม้แต่ละชนิด ที่คู่รักนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์

รวมความหมายน่าประทับใจของดอกไม้แต่ละชนิดที่คู่รักนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์ สำหรับคนที่กำลังมีความรัก วันวาเลนไทน์ก็คงเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่จะได้แสดงความรักให้กับคนรักได้รับรู้ และหนึ่งในสิ่งของแทนใจที่คู่รัก (โดยเฉพาะฝ่ายชาย) นิยมมอบให้กันก็คือดอกไม้แสนสวยสีสันสดใสต่าง ๆ ซึ่งดอกไม้แต่ละชนิดนั้นก็ล้วนแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งเหมาะกับการสื่อสารความในใจโดยที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด โดยมนุษย์เรานั้นได้เริ่มมีการให้ความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดและใช้การมอบดอกไม้ให้แก่กันเพื่อสื่อสารความหมายโดยไม่ต้องเอ่ยปากกันมานมนานแล้ว 

การตีความหมายของดอกไม้ หรือภาษาดอกไม้ เกิดขึ้นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1600 ณ เมืองคอนสแตนติโนเปิล กรุงโรม ประเทศอิตาลี จากนั้นในปี ค.ศ. 1716 เลดี้แมรี เวิร์ทลีย์ มอนตากู (Lady Mary Worthley Montagu) เป็นบุคคลแรกที่นำมาเผยแพร่สู่ประเทศอังกฤษ ต่อมาก็ได้เผยแพร่เข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส ผ่านหนังสือชื่อ เลอ ลองแกจ เดส์ เฟลอร์ (Le Langage des Fleurs) หมายความว่า ภาษาแห่งดอกไม้ ที่แปลความหมายของดอกไม้ไว้กว่า 8,000 ชนิด โดยมีการแปลกลับไปเป็นภาษาอังกฤษในสมัยของราชินีวิกตอเรีย

เนื่องในวันแห่งความรักนี้ ใดๆ digest ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดว่าจะมีความหมายใดซ่อนอยู่ เผื่อเป็นแนวทางในการเลือกหาดอกไม้ที่มีความหมายตรงใจที่อยากจะสื่อสารให้คนรักของคุณได้รับทราบกันนะครับ 

โดยขอเริ่มจากดอกไม้อมตะนิรันดร์กาลประจำเทศกาลวาเลนไทน์ได้แก่ราชินีแห่งดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ ดอกไม้ที่มีกลีบเรียงซ้อนกันจนเป็นดอกทรงกลมที่เบ่งบานในด้านบน และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จนมีการนำกลิ่นเฉพาะของกุหลาบมาทำเป็นน้ำหอมอย่างแพร่หลาย แต่ดอกกุหลาบ ไม่ได้มีความลึกซึ้งเพียงแค่กลิ่นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง ความหมายที่หมายถึงความรักที่ลึกซึ้ง ไม่เพียงเท่านี้กุหลาบแต่ละสีก็ยังซ่อนความหมายที่แสนโรแมนติกไว้ต่างกันอีกด้วย 

กุหลาบแดง:  ฉันรักเธอที่สุด และต้องการเพียงแค่เธอเท่านั้น
กุหลาบขาว: ความรักที่บริสุทธิ์
กุหลาบชมพู: ความรักอันหวานชื่น หรือสื่อถึงความรักที่กำลังสดใส
กุหลาบเหลือง: ความรักอันเป็นมิตรภาพที่ดีตลอดไป 
กุหลาบสีพีช (สีโอรส): ความรักที่อ่อนโยนรักและทะนุถนอมจากใจจริง
กุหลาบสีส้ม: ความรักที่อบอุ่นหัวใจ และยังสื่อถึงความศรัทธาอย่างแรงกล้าได้อีกด้วย 
กุหลาบสีม่วง: รักแรกพบ
กุหลาบสีดำ: การเกิดใหม่ การเริ่มต้นใหม่ และความรักที่จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ 

ดอกลิลลี่ มีรูปทรงที่สวยงาม กลีบดอกใหญ่แผ่ออกกว้าง สื่อถึงความประทับใจ และความรักที่นุ่มนวล อ่อนหวาน สดใส หรืออีกนัยที่สำคัญคือ ความประทับใจครั้งแรก เป็นดอกไม้ที่สื่อถึงการแอบรัก แอบมอง แอบส่งความปราถนาดีไปให้โดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว

ลิลลี่สีชมพู: เธอคือคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต
ลิลลี่สีส้ม: มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน
ลิลลี่สีขาว: ดีใจที่มีเธออยู่ในชีวิต
ลิลลี่สีเหลือง: ความเป็นห่วงขอให้เธอปลอดภัย
ลิลลี่สีแดง: เธอคือรักแรกของฉัน
ลิลลี่ออฟเดอะแวลเล่ย์: ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความสุขที่หวนคืนมา เพราะด้วยดอกสีขาวสะอาดตา รูปทรงเหมือนระฆังเล็ก ๆ เรียงบนกิ่งก้านบอบบาง มีกลิ่นหอมหวนหวานสนิท และยังแสดงความหมายอันลึกซึ้งได้อีกว่า ความอ่อนหวานของเธอนั้นช่วยเติมชีวิตฉันให้สมบูรณ์

ดอกไฮเดรนเยีย ดอกไม้ทรงพุ่มมีหลายดอกอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มดูน่ารัก สื่อถึง “ความขอบคุณที่เข้าใจกันและยอมรับกันเสมอมา” ดอกไฮเดรนเยียนั้น มีความหมายทั้งทางลบและบวก โดยความหมายที่แท้จริงของดอกไฮเดรนเยียสื่อถึง ‘หัวใจที่ด้านชา’ และเพราะแบบนั้นในอีกนัยหนึ่งคือการมอบดอกไฮเดรนเยียให้กันใช้แทนคำขอบคุณจากผู้ที่มีหัวใจด้านชา สื่อถึงความสำคัญที่หนักแน่นว่า “ขอบคุณที่เข้าใจกัน”

ไฮเดรนเยียสีฟ้า: ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมจะให้อภัยเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ไฮเดรนเยียสีม่วง: เธอช่างล้ำค่าและสูงส่งสำหรับฉัน
ไฮเดรนเยียสีชมพู: เธอคือความอ่อนโยน 
ไฮเดรนเยียสีเขียว: เธอช่างเป็นตัวของตัวเองและเพราะเหตุนั้น เธอจึงงดงาม
ไฮเดรนเยียสีขาว: เธอคือรักที่บริสุทธิ์

ดอกทิวลิป ดอกไม้ที่มีลักษณะกลีบดอกซ้อนกัน 2-3 ชั้น แม้จะไม่ได้มีกลิ่นหอมเท่าดอกอื่นๆ แต่ดอกทิวลิปมีความหมายที่ลึกซึ้ง, อบอุ่นและอ่อนโยนถือเป็นดอกไม้ที่แทนสัญลักษณ์ของรักครั้งแรก มีความหมายถึง การตกหลุมรักอย่างหมดหัวใจ ความหลงใหล และการปกป้อง ซึ่งดอกทิวลิปก็มีหลากสีที่สื่อความหมายหลากหลายเช่นเดียวกัน

ดอกทิวลิปขาว: การพร้อมจะเสียสละทุกอย่างเพื่อคนอันเป็นที่รัก
ดอกทิวลิปแดง: การแอบชอบ, แอบรัก
ดอกทิวลิปเหลือง:  พร้อมดูแลประคับประคองความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น หรือ ความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ
ดอกทิวลิปม่วง:  ความซื่อสัตย์กับคนรักเสมอ

นอกจากความหมายของดอกไม้หลากสีทั้งสี่ชนิดที่คู่รักนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์แล้วก็ยังดอกไม้อื่น ๆ ที่ความหมายดี ๆ อีกมากอาทิเช่น 

ดอกโบตั๋น ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ราชาแห่งดอกไม้’ ด้วยรูปลักษณ์ที่อ่อนหวาน งดงาม มีกลิ่นหอมอันเป็นสัญลักษณ์แสดงความหมายถึงความโรแมนติกและความรักที่สมบูรณ์เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และด้วยความหมายอันเป็นมงคลนี่เอง การมอบดอกโบตั๋นให้ใคร จะสื่อถือการอวยพรให้มั่งคั่ง โชคดี มีเกียรติยศ

ดอกทานตะวัน สื่อถึงความรักบริสุทธิ์และมั่นคง การมอบดอกทานตะวันให้ใครจึงหมายถึงความรักที่มีให้จะมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนที่ดอกทานตะวันเฝ้ามองดวงอาทิตย์เสมอไป และดอกทานตะวันยังสื่อความหมายถึงความร่าเริงสดใสและความสุขได้อีกด้วย

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเป็นผู้ให้ความรัก และเป็นผู้ได้รับความรักที่เหมาะสมและจริงใจเนื่องในวันแห่งความรักนี้นะครับ ใดๆ digestขอเป็นกำลังใจและร่วมยินดีกับความรักของทุกท่านครับ

WORLD

ทหารพม่าบุกเผาชุมชนสิงขร อ้างกะเหรี่ยงหลบซ่อน ชาวบ้านร่ำไห้ลี้ภัยหลบเข้ามาพึ่งญาติฝั่งไทย

(18 ก.พ. 68) ทหารเมียนมาบุกเผาทำลายบ้านเรือนหลายหลังในหมู่บ้านสิงขร เขตตะนาวศรี ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยพลัดถิ่นต้องอพยพหนีตาย บางส่วนลี้ภัยเข้ามาฝั่งไทยอย่างหวาดกลัว ขณะที่รัฐบาลไทยยังไม่มีมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม

เหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทหารเมียนมาเชื่อว่าหมู่บ้านสิงขรเป็นที่หลบซ่อนของกองกำลังกะเหรี่ยง KNU และกองกำลังประชาชน PDF ก่อนหน้านี้เพียงสามวัน ทหารเมียนมาได้บุกโจมตีและเผาทำลายบ้านเรือนไปแล้ว 4-5 หลัง พร้อมใช้โดรนและเครื่องบินโจมตี ส่งผลให้วัดสิงขรวราราม ซึ่งเป็นวัดไทยโบราณในพื้นที่ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า “ทหารเมียนมาบุกเข้ามาตั้งแต่ช่วงเช้า เผาบ้านหลายหลังจนชาวบ้านต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด โชคดีที่พระและชาวบ้านบางส่วนหลบหนีออกมาได้ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างไร้ที่อยู่อาศัย”

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวไทยพลัดถิ่นกว่า 100 ครอบครัวจำเป็นต้องละทิ้งบ้านเรือนของตน หลายคนพยายามลี้ภัยเข้ามายังฝั่งไทยผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน เนื่องจากไม่มีเอกสารที่สามารถยืนยันสถานะทางกฎหมายในประเทศไทยได้ หากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจพบก็อาจถูกจับกุมและส่งกลับไปยังเมียนมา ซึ่งสถานการณ์ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

“พวกเขาไม่มีบ้าน ไม่มีอาหาร และเด็กๆ ก็นอนไม่ได้เรียนหนังสือ ทุกคนกอดคอกันร้องไห้เมื่อเห็นภาพบ้านของตัวเองกลายเป็นเถ้าถ่าน” แหล่งข่าวกล่าวเสริม

หมู่บ้านสิงขรเคยเป็นส่วนหนึ่งของสยามมาก่อน แต่ต้องสูญเสียให้แก่อังกฤษในยุคล่าอาณานิคม ปัจจุบันแม้ดินแดนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมียนมา แต่คนไทยในหมู่บ้านยังคงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาไทยไว้อย่างเหนียวแน่น วัดสิงขรวรารามเป็นศูนย์กลางของชุมชนและเป็นหลักฐานของรากเหง้าไทยในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มต่อต้านทำให้ชาวบ้านต้องตกอยู่ในความเสี่ยง แม้พวกเขาจะพยายามใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกลูกหลงจากสงครามได้

ขณะที่สถานการณ์ยังคงเลวร้าย ไม่มีรายงานว่ารัฐบาลไทยได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือชาวไทยพลัดถิ่นในพื้นที่ดังกล่าว มีเพียงกองกำลังทหารของไทยที่รับทราบสถานการณ์เท่านั้น

“คนไทยที่นี่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนต่างแดน พวกเขายังมีญาติพี่น้องในไทย มีสายเลือดและวัฒนธรรมร่วมกัน ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลไทยจะเข้ามาช่วยเหลือและให้ความคุ้มครองคนไทยที่ถูกลืมเหล่านี้” แหล่งข่าวตั้งคำถาม

สถานการณ์ในหมู่บ้านสิงขรสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของชาวไทยพลัดถิ่นที่ยังคงยึดมั่นในอัตลักษณ์ของตนเอง แต่กลับต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไร้ที่พึ่ง การช่วยเหลือจากภาครัฐจะเป็นความหวังเดียวที่พวกเขามี เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง

เปิดประวัติ หลิวจงอี้ ตำรวจระดับพระกาฬ มือปราบแห่งชาติจีน กับภารกิจล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์

(18 ก.พ.68) หลิว จงอี้ ชื่อนี้กลายเป็นที่คุ้นหูของสื่อไทยและชาวไทยไปโดยปริยาย จากบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์และปราบปรามการฉ้อโกงออนไลน์ รวมถึงการมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ ซิงซิง เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกหลอกล่อไปยังเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสามารถนำตัวเธอกลับมาได้สำเร็จ

ภารกิจของหลิวไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขาเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคง อาทิ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างจีนและไทย ในการปราบปรามขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปักหลักในพื้นที่เมืองเมียวดี จนนำไปสู่การพบปะกับนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งท้ายที่สุดได้มีมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าไปยังเมืองที่เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายมิจฉาชีพบริเวณชายแดน

ล่าสุด หลิวเดินทางไปยังเมืองเมียวดี เพื่อติดตามปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ตามบัญชีดำของจีน รวมถึงเข้าเยี่ยมชาวต่างชาติที่ได้รับการช่วยเหลือจากกองกำลัง BGF (Border Guard Force) ออกจากเขตสแกมเมอร์ในชเวโก๊กโก่ ซึ่งกลุ่มผู้รอดพ้นจากขบวนการฉ้อโกงเหล่านี้กำลังได้รับการดูแลที่ศูนย์พักคอยของ BGF นอกจากนี้ เขายังได้พบปะและเจรจากับผู้นำกลุ่มต่างๆ ในเมียนมา เพื่อเสริมสร้างแนวทางความร่วมมือด้านความมั่นคง

เส้นทางอาชีพของหลิว จงอี้ ไม่ธรรมดา เขาเป็นหนึ่งในตำรวจที่มีชื่อเสียงด้านการคลี่คลายคดีซับซ้อนที่หลายคนไม่สามารถแก้ไขได้ ด้วยผลงานที่โดดเด่น เขาได้รับรางวัล 'ตัวอย่างด้านความมั่นคงสาธารณะ' ระดับประเทศในปี 2560 ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนคดีอาญา กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ

ตามข้อมูลจาก Baidu ระบุว่า หลิวเกิดเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2508 และสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยตำรวจมณฑลเฮยหลงเจียงในระดับปริญญาตรี ปัจจุบัน นอกจากจะเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี เขายังดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคและผู้อำนวยการกองบัญชาการที่ 5 ของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ

ชื่อของหลิวจงอี้ ปรากฏอยู่ในสื่อจีนว่าเป็นนักสืบระดับชาติที่รับมือกับคดีสำคัญที่ 'ร้ายแรง' และ 'ซับซ้อน' มาแล้วนับพันคดี เขาลงพื้นที่สืบสวนอาชญากรรมมากกว่า 200 วันต่อปี และมีบทบาทสำคัญในการคลี่คลายคดีใหญ่ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมจีน

หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของเขาคือการรื้อฟื้นคดีฆาตกรรมที่ยังไม่สามารถปิดคดีได้ถึง 9 คดี ซึ่งเกิดขึ้นตลอดช่วงหลายทศวรรษหลังการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีน โดยหนึ่งในคดีที่สะเทือนขวัญที่สุดคือคดีข่มขืนและฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองไป๋หยิน มณฑลกานซู่ ซึ่งกินเวลานานเกือบ 30 ปี ก่อนจะสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ในที่สุด

อีกตัวอย่างของฝีมือการสืบสวนของหลิว คือคดีฆาตกรรมเด็กชายสองคนในเมืองเหอหยวน มณฑลกวางตุ้ง เมื่อปี 2558 หลังจากเกิดเหตุ หลิวเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุด้วยตนเองและพบว่าไม่มีหลักฐานสำคัญให้ติดตาม เขาจึงจัดตั้งทีมพิเศษเพื่อวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดและสืบสวนจนสามารถจับกุมคนร้ายได้ภายในเวลาเพียง 5 วัน

หลิวจงอี้ เคยกล่าวว่า เขายึดมั่นในหลักการทำงานที่ว่าการสืบสวนอาชญากรรมต้องมีความรับผิดชอบ เนื่องจากอาชญากรรมหนึ่งครั้งอาจส่งผลกระทบต่อหลายครอบครัวและความมั่นคงของสังคมโดยรวม "ไม่ว่าคดีนั้นจะยากและซับซ้อนแค่ไหน ผมก็พร้อมจะรับผิดชอบเสมอ และไม่เคยหลีกเลี่ยงการพูดความจริง" 

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีในการทำงาน เขาไต่เต้าจากตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจในมณฑลเฮยหลงเจียง สู่ตำแหน่งกัปตันหน่วยสืบสวน และในที่สุดก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในนักสืบที่มีบทบาทสำคัญระดับประเทศ ไม่ว่าในช่วงที่เขาทำงานภาคสนามเป็นเวลา 26 ปี หรือช่วง 6 ปีในกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ เขายังคงรักษามาตรฐานการทำงานที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2562 หลิวนำทีมแถลงข่าวเกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวไปค้าประเวณีและแต่งงานปลอมกว่า 1,000 ราย โดยเป็นความร่วมมือระหว่างจีน เมียนมา กัมพูชา ลาว ไทย และเวียดนาม ภายในการดำเนินงานเพียงหกเดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย 1,332 ราย ซึ่งรวมถึงชาวต่างชาติ 262 ราย และช่วยเหลือเด็ก 17 ราย

หนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนจีน คือเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายผู้หญิงในร้านบาร์บีคิวที่เมืองถังซาน มณฑลเหอเป่ย ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ หลิวในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนอาชญากรรมขณะนั้น ได้เข้ามากำกับดูแลคดีโดยตรง และยืนยันต่อสาธารณชนว่าทางการจีนจะดำเนินคดีอย่างจริงจัง

กัมพูชาสั่งลงทะเบียนโดรนทุกลำในประเทศ หลังพบมือดีเตรียมเทน้ำมันทางอากาศเผาบ้านอดีตนายกฯ

กัมพูชาบังคับผู้ใช้งานโดรนลงทะเบียนที่สถานีตำรวจท้องถิ่น หลังแผนโจมตีบ้านพักของฮุนเซนถูกสกัด

(17 ก.พ. 68) กัมพูชาได้ออกประกาศใหม่ให้ผู้ใช้งานอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนที่สามารถบรรทุกวัตถุหนัก 2 กิโลกรัมขึ้นไป ต้องลงทะเบียนที่สถานีตำรวจท้องถิ่น พร้อมแจ้งข้อมูลรายละเอียดของโดรน เช่น ผู้ผลิต รุ่น หมายเลขประจำเครื่อง และข้อมูลเกี่ยวกับการบินต่างๆ หลังจากเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ขัดขวางแผนการใช้โดรนโจมตีบ้านพักของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน ในจังหวัดกันดาล

ประกาศนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความมั่นคงและความปลอดภัยในสังคม โดยผู้ใช้งานต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไปและบินได้เฉพาะในช่วงเวลา 06.00-18.00 น. ส่วนการบินตอนกลางคืนหรือการบินฝูงโดรน 5 ลำขึ้นไปต้องได้รับอนุญาตพิเศษ ผู้ใช้งานยังต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดในการบินในพื้นที่สำคัญ เช่น ห้ามบินในรัศมี 3 กิโลเมตรจากท่าอากาศยานพลเรือนและท่าอากาศยานทหาร

การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ฮุนเซนยังเผยแพร่คลิปเสียงบทสนทนาลับของกลุ่มบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ซึ่งวางแผนโจมตีบ้านพักของเขาด้วยการเทน้ำมันเบนซินจากโดรนเพื่อจุดไฟเผา

© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top