Friday, 19 April 2024
NEWS

สุนัข ‘ซาร่า’ ขาดใจอย่างทรมาน เพราะเทศบาลจับผิดวิธี แต่ปิดบังความจริง แล้วบอกว่า “หมาหลุด หนีหายไป”

(19 เม.ย. 67) กรณีโซเชียลประกาศตามหาหมาไทยเพศผู้ วัย 4 ปี ชื่อ 'ซาร่า' หลังเจ้าของบ้านติดต่อให้เทศบาลมาจับตัวไป ด้วยเหตุผลที่ว่าซาร่ากัดเจ้าของ ต่อมาหมาซาร่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในขณะขนย้าย กลุ่มคนรักสัตว์จึงประกาศตามหา พร้อมตั้งเงินรางวัลหลักแสน

ล่าสุด มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation - WDT รายงานว่า นายชูเกียรติ บุญมี นายกเทศมนตรี ต.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เปิดเผยแล้วว่า สุนัชชื่อ 'ซาร่า' ตายแล้ว เพราะการจับผิดวิธีของเจ้าหน้าที่เทศบาล ซึ่งมีทีมจับ 5 ราย

“สุนัขตกใจดิ้นสะบัด ทีมจับกดหัวลงพื้นเพื่อจับสุนัข อีกคนช่วยกดปากกดตัวเพื่อให้สุนัขนิ่ง ระหว่างนั้นหมาช็อกหยุดหายใจ ทีมเทศบาลต่างกลัวความผิดที่ทำหมาตายจึงนำร่างไปฝัง แล้วปิดบังความจริงด้วยการบอกว่า หมาหลุด หนีหายไป”

ทั้งนี้เพจรักสัตว์ ‘มะลิ กะปิ’ ได้โพสต์แสดงความเสียใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ นายกเทศบาลรับสารภาพแล้วว่า ซาร่าตายตั้งแต่วันแรกที่ถึงเทศบาล

จากการจับผิดวิธี นั่นคือจุดเริ่มต้นของการโกหกปิดบัง ประชาชนคนรักสัตว์ทั้งประเทศ นี่ไงความจริง ความจริงตามที่เราบอก อยู่ที่ว่าจะยอมรับเมื่อไหร่ สุดท้ายก็ต้องยอมรับ  

'พลโทนันทเดช' หยัน!! ซื้อบ้านเก่าของปรีดีที่ฝรั่งเศส แค่ละครฉากหนึ่ง ชี้!! เป็นการลงทุนแค่สลึงเดียว แต่คิดจะเอากลับคืนมาเป็นล้าน

(19 เม.ย. 67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า...

บ้านเก่าของอาจารย์ปรีดี ที่ฝรั่งเศส หรือจะเป็นร้านกาแฟอีกร้านหนึ่งแค่นั้น

การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เท่ากับเป็นการมองย้อนหลังไปหารากเหง้าของตัวเอง เพราะประวัติศาสตร์ คือ ต้นธารของสังคม และชีวิตผู้คนไม่ว่าจะเป็นไพร่ ผู้ดี หรือชนชั้นปกครอง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการปฎิวัติ 24 มิถุนา 2475 ซึ่งในปัจจุบันมีผู้เขียนถึงกันมากมายหลายแง่มุม หลายทัศนะ แล้วแต่ความใกล้ชิดกับผู้คนในประวัติศาสตร์ หรือความเชื่อที่ได้รับมา หรือผลประโยชน์ที่ผูกพันกับตัวเอง จนกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเป็นกลางได้จริงในเหตุการณ์ 24 มิถุนา 2475 แค่ดูหนังสือที่ขายในท้องตลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า มีแต่ผู้เขียนที่แข่งขันกันชื่นชมต่อคณะราษฎรเกือบ 80%

ดังนั้นเหตุการณ์ 24 มิถุนา 2475 จึงถูกนำมาผลิตเป็นหนังสือ ขายแล้วขายเล่า ไม่รู้จักจบสิ้น โดยไม่มีใครสนใจว่าข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์จะเป็นอย่างไร แค่ขอให้ตัวเองเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากชื่อ คณะราษฎร เท่านั้นก็พอ 

การซื้อบ้านเก่าของอาจารย์ ปรีดี ที่ฝรั่งเศส ก็คล้ายคลึงกัน มันเป็นแค่ละครฉากหนึ่งของพรรคการเมือง พรรคหนึ่ง ที่พิมพ์หนังสือออกมาขายเด็ก แล้วไม่มีคนอ่าน จึงลงทุนซื้อบ้านของ อาจารย์ปรีดี ซึ่งอุปมาเหมือนเป็นการลงทุนแค่สลึงเดียว แต่จะเอากลับคืนมาเป็นล้าน ยิ่งกว่าซื้อทองเก็งกำไร เห็นแล้วก็น่าสงสาร คณะราษฎร ที่วันเวลาผ่านมากว่า 90 ปีแล้ว ก็ยังถูกนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลเพียงบางกลุ่ม ..ก็แค่นั้นเอง

ทหารใหม่ยุคเศรษฐา มาแล้วเน้นคุณภาพชีวิตหลังกองทัพขานรับปรับปรุงสถานที่รับพลัดหนึ่ง

บิ๊กทินสั่ง กองทัพเร่งปรับปรุงอาคารสถานที่รับทหารใหม่ผลัดหนึ่ง ทบ.ขานรับ สั่งยกเลิกนอนมุ้งจัดมุ้งลวดพร้อมเพิ่มสปริงเกอร์ลดร้อน มั่นใจเน้นคุณภาพทหารใหม่ไทยยุคใหม่ต้องไม่แพ้ชาติใดในโลก 

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า หลังการจบห้วงวาระการเกณฑ์ทหาร ตั้งแต่ วันที่ 2 ถึง 12 เมษายน ที่ผ่านมาพบว่านโยบายของรัฐบาลโดยกระทรวงกลาโหมในการจูงใจให้มีผู้มาสมัครการเกณฑ์ทหารนั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยปีนี้มีผู้มาคัดเลือกทหารแบบสมัครใจกว่า สี่หมื่นนายสูงกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา ซึ่งนโยบายนี้เป็นนโยบายที่รัฐบาลกำหนดไว้ว่าจะต้องนำไปสู่การยกเลิกการเกณฑ์ทหารในอนาคตอันใกล้นี้  โดยนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้นโยบายต่อเหล่าทัพที่จะต้องรับทหารใหม่ผลัด 1 เข้ากองทัพในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยให้แต่ละเหล่าทัพไปสำรวจและเร่งดำเนินการพัฒนาปรับปรุงสถานที่ต่างๆ ที่ทหารใหม่จะต้องเข้ามาประจำการใช้ อาทิ สถานที่ฝึก โรงนอน เป็นต้น         

ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพทหารบกได้รายงานว่า ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้สำรวจและพัฒนาปรับปรุงสถานที่ต่างๆ ของกองทัพบกทั่วประเทศที่จะต้องรับทหารใหม่โดยให้ดำเนินการปรับปรุงโรงนอนทหารใหม่จำนวน 366 แห่ง ทั่วประเทศแล้วโดยล่าสุดได้เพิ่มระบบการระบายอากาศให้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้น้อง ๆ ทหารใหม่พักผ่อนได้สบายมากขึ้น เพื่อคุณภาพในการพัฒนากำลังพลโดยยึดหลักการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ ของประเทศ ให้ดีขึ้น       

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า กองทัพบก ได้ขานรับนโยบายรัฐบาลเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยล่าสุด กองทัพบกได้ให้หน่วยทหารช่างเร่งดำเนินการปรับปรุงโรงนอน ทหารใหม่แล้วอาทิ ติดมุ้งลวดโรงนอน และทยอยยกเลิกการนอนกางมุ้ง นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบระบายอากาศด้วยการเพิ่มพัดลมขนาดใหญ่เพื่อทำให้อากาศหมุนเวียน นอกจากนั้นดำเนินการจัดทำระบบสปริงเกอร์ รดน้ำหลังคาไล่ความร้อนสะสมออกจากหลังคาและเพดาน ทำให้โรงนอนอากาศดีขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้กระทรวงทางกลาโหม ได้รับรายงานจากกรมการทหารช่างของกองทัพบก ว่าจะดำเนินให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนวันที่ 1 พฤษภาคมนี้เพื่อพร้อม ต้อนรับทหารใหม่ผลัด1 ที่จะ มารายงานตัวในช่วง เดือนพฤษภาคนี้ ส่วนกองทัพอื่นๆอยู่ระหว่างการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเช่นเดียวกัน

อุทยานฯสิมิลัน ดักซุ่มวางแผนจับกุมคนแอบวางลอบดักจับสัตว์น้ำตามที่ได้รับแจ้งแล้ว คาดไหวตัวทันจึงเตรียมเข้าเก็บกู้

วันที่ 18 เมษายน 2567 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ตามที่เพจ Thon Thamrongnawawawat ซึ่งโพสต์ข้อความระบุว่าเกาะตาชัย เป็นเกาะที่เราพยายามเก็บไว้เพื่อรักษาธรรมชาติในยุคที่โลกกำลังย่ำแย่ การลักลอบจับสัตว์น้ำในพื้นที่ไม่ควรเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพื่อนธรณ์ที่ไปดำน้ำแถวนั้นกรุณาแจ้งมาว่าพบลอบ จึงได้ประสานอธิบดีกรมทะเล ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาอุทยานทางทะเลเรียบร้อยแล้ว คงมีการจัดการอย่างรวดเร็ว

สำหรับกรณีดังกล่าว อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้รับรายงานจากนายโดม จันทร์สุวรรณ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ว่าได้รับข้อมูลและรูปภาพจากนักดำน้ำ ซึ่งส่งข้อมูลและรูปภาพ ให้กับเพจของอาจารย์ธรณ์ฯเช่นกัน ซึ่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการ ใช้มีดกรีดทำลายลอบดักสัตว์น้ำดังกล่าวในทันที พร้อมทั้งได้วางแผนดักรอเพื่อจับกุมผู้กระทำผิด  โดยมีความจำเป็นที่ยังไม่อาจกู้ลอบดักสัตว์น้ำที่มีผู้ลักลอบวางไว้ขึ้นมาก่อนได้  เนื่องจากต้องการซุ่มจับกุมตัวผู้กระทำผิดให้ได้ พร้อมกับลอบดักสัตว์น้ำของกลาง แต่คาดว่าผู้กระทำผิด อาจรู้ตัวว่าเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจค้นพบลอบดังกล่าวแล้ว จึงไม่กลับมากู้ลอบ  อย่างไรก็ตาม อุทยานหมู่เกาะสิมิลัน ได้เน้นย้ำการเฝ้าระวังไม่ให้มีการลักลอบเข้าไปกระทำผิดอย่างเข้มงวด โดยมีเจ้าหน้าที่คอยลาดตระเวนสอดส่องบริเวณโดยรอบเกาะตาชัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาทรัพยากรใต้ท้องทะเลให้คงอยู่อย่างปลอดภัย ทั้งนี้อุทยานหมู่เกาะสิมิลัน จะเข้าดำเนินการเก็บกู้ลอบดังกล่าว ในวันพรุ่งนี้ (19 เมษายน 2567)

POLITICS

‘วันนอร์’ ลั่น!! ไม่เคยยึดติดตำแหน่ง แต่รับไม่ได้ ปรับครม.ลามเปลี่ยนปธ.สภาฯ

(19 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีการเชื่อมโยงมาถึงการเปลี่ยนตำแหน่งประธานสภาฯ มีการส่งสัญญาณมาหรือไม่ ว่า ยังไม่มีสัญญาณอะไร แต่การปรับ ครม.กับตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นคนละเรื่องกัน การปรับ ครม.เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ส่วนตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องมีการเสนอชื่อเพื่อเลือกในที่ประชุมสภาฯ มีผู้รับรอง แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งประธานสภาฯเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงข้อบังคับการประชุมสภาฯ

“ในส่วนตัวของผม ไม่เคยติดยึดกับตำแหน่งใด ๆ ถ้าทำได้เพื่อประโยชน์ของประชาชน ผมก็ต้องทำเต็มที่ แต่ถ้าทำไม่ได้ หรือไม่สามารถทำได้ ผมก็ไม่ติดยึด พร้อมที่จะไป แต่ผมขอเรียนว่าตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติเป็นเสาหลักประชาธิปไตย ต้องทำหน้าที่เป็นกลาง ไม่สามารถมีใครมาแทรกแซงได้ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดชัดเจน ประธานและรองประธานสภาฯ ต้องไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใด ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความผูกพัน หรือมีการแทรกแซงจากพรรคการเมือง ยืนยันอีกครั้งว่าการปรับครม.เป็นเรื่องของนายกฯ แต่ตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับฯ ผมไม่มีอะไรส่วนตัว แต่เกียรติศักดิ์ศรีสภาฯ ผมในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติต้องรักษาไว้” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

เมื่อถามว่าตำแหน่งประธานสภาฯ เลือกมาจากที่ประชุมฯ จึงไม่มีเหตุใดที่จะต้องเปลี่ยนกลางคัน? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า “ประเพณีที่เคยปฏิบัติมาไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง ตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องมีความเป็นกลาง ไม่ใช่เครื่องมือของพรรคการเมืองใด”

เมื่อถามว่ายืนยันจะทำหน้าที่นี้ต่อไปหรือไม่? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า “เป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ ถ้าตนละเลย เท่ากับว่าตนไม่รักษาระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมอบให้ไว้ ยืนยันอีกครั้งว่าไม่มีใครส่งสัญญาณมา ถึงส่งสัญญาณก็เป็นสัญญาณที่รับไม่ได้”

“มันไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะต้องเปลี่ยนตำแหน่ง ถ้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ก็ต้องไปเอง ผมถือว่าต้องให้ประโยชน์ประชาชนเกียรติศักดิ์ศรีสภาฯ เดินไปให้ตรงแนวทาง จะมาบิด ๆ เบี้ยว ๆ เพื่ออย่างใดอย่างหนึ่งผมว่าไม่ถูก ถ้าถามว่าให้ประเมินว่าผมยังทำหน้าที่ได้หรือไม่ ผมประเมินเองไม่ได้ สื่อและประชาชนจะเป็นคนประเมิน” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีใช้งบฯจำนวนมากเดินทางไปดูงานต่างประเทศ? นายวันมูหะมัดนอร์ ในฐานะประธานรัฐสภา ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวว่า “ต้องขออภัย เรื่องนี้เป็นเรื่องของวุฒิสภา ดังนั้นต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของประธานวุฒิสภา”

‘สุริยะ’ โต้!! ‘ก้าวไกล’ บอก 20 บาทตลอดสายทำไม่ได้ จะทำให้ดู ชี้!! ตอนนี้ดำเนินการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม เตรียมลุยเสนอ ครม.

(18 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์กรณี นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายว่า ตนทราบสิ่งที่นายสุรเชษฐ์ออกมาให้ความเห็น ตนยินดีรับฟังทั้งคำติคำชมจากประชาชนและฝ่ายค้าน แต่สิ่งที่ดูแล้วคิดว่าการวิจารณ์ในนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ตนพยายามดำเนินการ ตามที่นายสุรเชษฐ์บอกว่าไม่เห็นด้วยและไม่ควรทำนั้น ตรงนี้ตนยอมรับไม่ได้ เพราะประชาชนที่ใช้รถไฟฟ้าในปัจจุบันหากต้องโดยสารระยะทางไกลราคาค่าโดยสารสูงสุดถึง 192 บาท ถือเป็นภาระของประชาชนจำนวนมาก และการทำให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้าเยอะ ๆ ก็จะมีส่วนลด PM 2.5 และลดค่าใช้จ่ายประชาชนไม่เช่นนั้นราคาจะแพงไม่น่าจะรับได้ ตนยืนยันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายตามที่เคยให้สัญญาภายใน 2 ปีต้องทำให้ได้ ตนให้สัมภาษณ์ไว้ตอนเดือน ก.ย.66 เพราะฉะนั้น ก.ย.68 รัฐบาลจะดำเนินการให้ได้

เมื่อถามว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายอื่น ๆ จะทำให้ราคา 20 บาททั้งหมดใช่หรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ถูกต้อง ทุกสายคือ 20 บาท นายสุรเชษฐ์บอกว่าทำไม่ได้ตนจะทำให้ดู

เมื่อถามอีกว่า วิธีการที่จะทำให้ได้สำเร็จเป็นอย่างไร นายสุริยะ กล่าวว่า ขณะนี้ทางกระทรวงได้ดำเนินการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม จะตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อชดเชยให้กับผู้ประกอบการและจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เร็ว ๆ นี้ 

นายสุริยะ กล่าวว่า ส่วนที่วิจารณ์ว่ากระทรวงคมนาคมไม่มีผลงานนั้น ขอชี้แจงว่าสิ่งที่ทำมาเป็นรูปธรรมวันนี้บริษัทจัดอันดับสนามบินทั่วโลกได้ปรับอันดับของประเทศไทยจากอันดับ 67 มาเป็น 57 เป็นเพราะนายกฯ ใส่ใจและสั่งการให้ตนไปปรับปรุงระบบต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิ รองรับการท่องเที่ยว เห็นได้ชัดผลที่เกิดจากการที่เราได้ไปทำ ทำให้ถูกปรับขึ้นมา 10 อันดับในระยะเวลาที่รัฐบาลทำงานมา ตนเชื่อว่าผลงานที่กระทรวงคมนาคมทำมีสิ่งที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม อีกตัวอย่างคือสถานีขนส่งมวลชนหมอชิต จะเห็นว่าสภาพเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ประชาชนใช้บริการได้อย่างสะดวกสบาย และช่วงสงกรานต์ประชาชนเดินทางผ่านถนนเส้นสำคัญได้อย่างปลอดภัย การจราจรไม่ติดขั้นเหมือนที่มีการประเมินไว้ก่อน เราช่วยกันจนได้ผลลัพธ์ที่ดีออกมาทั้งถนนพระราม 2 และถนนมิตรภาพ และวันนี้ (18 เม.ย.) หลังเสร็จประชุมคณะรัฐมนตรี ตนก็จะลงพื้นที่ภูเก็ตแก้ปัญหาการจราจนในพื้นที่เพราะเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ จะไปติดตามข้อสั่งการเรื่องการสร้างสะพานหรือทางแยกต่าง ๆ รวมถึงการบริหารจัดการจราจรอาจปิดจุดกลับรถช่วงเร่งด่วน และวันที่ 19 เม.ย. นายกฯ จะมีการลงพื้นที่ก็จะได้รายงานการบ้านตามข้อสั่งการของนายกฯ

‘ชลน่าน’ ยัน!! ไม่นอยด์ หลังมีชื่อติดโผหลุด ครม. ลั่น!! มีหน้าที่ก็ทำให้เต็มที่ อย่าไปคิดมาก

(18 เม.ย.67) ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังมีชื่อถูกปรับออกจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ว่า ไม่มีอะไร ๆ ไม่ทราบเลยว่ามีสัญญาณอะไรอย่างไร เมื่อถามว่าได้มีการติดตามข่าวหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ก็ติดตามอยู่ตลอด

เมื่อถามว่า ข่าวที่ออกมากระทบต่อการทำงานหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “สำหรับตัวผมไม่กระทบ แต่ในส่วนข้าราชการประจำจะกระทบหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ผมก็พยายามสั่งการมาโดยตลอดว่าห้ามเกียร์ว่าง ทุกคนต้องทำงานเต็มที่”

เมื่อถามว่า ดูเหมือนตัวนพ.ชลน่าน ไม่สบายใจและนอยด์ ๆ หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวปฏิเสธว่า “ไม่มี ก็ทำงานไป ไม่มีนอยด์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เรามีหน้าที่ก็ทำให้เต็มที่อย่าไปคิดมากครับ”

ต่อมาเวลา 09.05 น. นพ.ชลน่าน ได้เดินออกจากตึกบัญชาการ 1 ขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งคาดว่าจะไปพบ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะออกไปไหน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า มีธุระข้างนอกนิดหน่อย เมื่อถามย้ำว่า จะกลับเข้ามาประชุม ครม. หรือไม่ นพ.ชลน่าน หันมากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มว่า จะไม่ให้มาประชุมแล้วเหรอ เดี๋ยวกลับมา จากนั้นเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า

ขณะที่ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พาณิชย์ รมว.วัฒนธรรม ปฏิเสธตอบคำถามกรณีที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีการสลับเก้าอี้ใน ครม. เพียงแต่ยกมือรับไหว้สื่อมวลชน พร้อมหัวเราะ

TRENDING
ECONBIZ

'กบน.' ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ อุ้มราคาดีเซลต่อ แม้สถานะกองทุนติดลบหนักเกินแสนล้านแล้ว

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.67) สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งราคาน้ำมันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง และยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบกับราคาน้ำมันได้ โดยเฉพาะความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางกรณีอิหร่าน-อิสราเอลที่อาจปะทุขึ้นอีก ประกอบกับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาท/ลิตร กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 19 เมษายน 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล สกนช. เห็นว่า เพื่อไม่ให้มาตรการลดภาษีที่สิ้นสุดลงกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลมากนัก จึงจะเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาช่วยดูแลเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนมากจนเกินไปและไม่ให้ราคามีความผันผวนมากจนเกินไปด้วย โดย กบน. จะพิจารณาอัตราการอุดหนุนหรือลดการชดเชยให้เป็นไปตามช่วงเวลาและจังหวะที่เหมาะสม จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงสามารถรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้ผันผวนมากจนเกินไปได้

สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 14 เมษายน 2567 ติดลบ 103,620 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 56,407 ล้านบาท ส่วนบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 47,213 ล้านบาท

‘สุวรรณภูมิ’ ขยับขึ้นสู่อันดับ 58 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก ด้าน ‘ดอนเมือง’ ไม่น้อยหน้า!! ติด Top 10 โลว์คอสต์ดีที่สุด

(18 เม.ย. 67) ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าหมายการผลักดันท่าอากาศยานของไทยให้ติดอันดับ 1 ใน 50 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 1 ปี และติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกภายใน 5 ปี ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว สร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ นั้น

ในปี 2024 นี้ เว็บไซต์ Skytrax ซึ่งเป็นเว็บไซต์จัดอันดับการให้บริการของสนามบินได้ประกาศสนามบินที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Airport) ประจำปี 2024 ซึ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ติดอันดับที่ 58 ขยับขึ้นจากอันดับที่ 68 โดยขึ้นมา 10 อันดับจากปี 2023

ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ติดอันดับ 10 ของสนามบินสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Low-Cost Airline Terminals) ซึ่งผลการจัดอันดับดังกล่าวมาจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้เดินทางด้วยเครื่องบินทั่วโลก ภายใต้การสำรวจที่ชื่อว่า World’s Airport Survey จัดทำโดยบริษัท Skytrax ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาด้านการบินชั้นนำของประเทศอังกฤษที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์คุณภาพการให้บริการของสายการบินและสนามบินทั่วโลก โดยคำนึงถึงหมวดการให้บริการสนามบิน เช่น การเดินทาง สภาพแวดล้อมและการออกแบบ เจ้าหน้าที่สนามบิน สิ่งอำนวยความสะดวก และการให้บริการ เป็นต้น

ทั้งนี้ AOT มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและผลักดันให้บริการท่าอากาศยาน เพื่อให้ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ AOT เป็นท่าอากาศยานที่มีมาตรฐานสากล มีความสะดวกสบาย ผู้โดยสารได้รับการบริการที่รวดเร็ว และปลอดภัย โดยอาคารเทียบเครื่องบินหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) ทสภ.ได้รับการประเมิน 4 ดาว จากด้านสถาปัตยกรรม ความสะอาด บรรยากาศโดยรวม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดจนมีการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากสายการบินในการใช้เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Service: CUSS) เครื่องโหลดกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (Self-Boarding Gate: SBG) และระบบตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร (Passenger Validation System: PVS)

นอกจากนี้ ทสภ.ได้มีการปรับปรุงกระบวนการ ณ จุดตรวจค้น และเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ ณ จุดตรวจหนังสือเดินทาง ทำให้สามารถลดระยะเวลารอของผู้ใช้บริการลง โดยระยะเวลาการใช้บริการในกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 26 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 40 นาทีต่อคน) และกระบวนการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 37 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 55 นาทีต่อคน) ขณะที่กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 15 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 35 นาทีต่อคน) และกระบวนการผู้โดยสารขาออกภายในประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 25 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 40 นาทีต่อคน) สำหรับ ทดม. มีให้บริการด้วยการใช้เทคโนโลยีทำให้การเดินทางปลอดภัยและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ตั้งแต่ระบบ CUSS CUBD SBG และ PVS ทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องรอคิวนาน ตามคอนเซ็ป ‘Fast and Hassle Free Airport’

'คมนาคม' ขีดเส้น พ.ค.นี้ ลุยสร้างไฮสปีด  หาก 'ซีพี' พลาดบัตรส่งเสริม BOI

(18 เม.ย. 67) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย โดยระบุว่า ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) อยู่ระหว่างก่อสร้างรวม 12 สัญญา จากทั้งหมด 14 สัญญา และยังมั่นใจว่าจะแล้วเสร็จเปิดบริการในปี 2571

ส่วนอีก 2 สัญญาที่เหลือ ประกอบด้วย สัญญาที่ 4 - 1 ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง และสัญญาที่ 4 - 5 ช่วงบ้านโพ - พระแก้ว อยู่ระหว่างรอลงนามสัญญา โดยเฉพาะสัญญาที่ 4 - 1 ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับเอกชนคู่สัญญาในโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) เพื่อรับงานก่อสร้างส่วนของพื้นที่ทับซ้อนบริเวณนี้ ซึ่งทราบว่า ร.ฟ.ท.ยังอยู่ระหว่างเจรจารายละเอียด

“ทราบว่าตอนนี้การรถไฟฯ กำลังเจรจากับเอกชนคู่สัญญาไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน และโครงการนี้ก็อยู่ในการดูแลของอีอีซี ซึ่งกำลังเจรจาเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน โดยเงื่อนไขในนั้นจะมีการก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อนช่วงบางซื่อ - ดอนเมืองด้วย และขณะนี้ทางเอกชนก็อยู่ระหว่างขอบัตรส่งเสริม BOI ครั้งสุดท้าย ซึ่งต้องได้รับภายในเดือน พ.ค.นี้ หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็น่าจะกระทบต่อสัญญาไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินด้วย”

อย่างไรก็ดี นโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีกรอบดำเนินงานว่าหากเอกชนคู่สัญญาไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินไม่สามารถออกบัตรส่งเสริมการลงทุน BOI ได้ภายในเดือน พ.ค.นี้ แน่นอนว่าจะทำให้การแก้ไขสัญญาโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบินล่าช้าออกไปอีก ในส่วนของรถไฟไทยจีนที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องอยู่ในเงื่อนไขงานก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อน ก็จำเป็นต้องตัดสินใจดำเนินการเพื่อไม่ให้โครงการรถไฟไทยจีนต้องล่าช้าออกไปด้วย

ทั้งนี้ กระทรวงฯ มีเป้าหมายว่าหากภายในเดือน พ.ค.นี้ เอกชนยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อนช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง ก็จะมอบหมายให้ ร.ฟ.ท.เริ่มดำเนินการเปิดประกวดราคาจัดหาผู้รับเหมาเข้ามาดำเนินการตามแผนงานของรถไฟไทยจีน โดยงานส่วนนี้ประเมินวงเงินก่อสร้างราว 9 พันล้านบาท และก่อนหน้านี้ ร.ฟ.ท.มีกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติในก่อสร้างสร้างงานอยู่แล้วราว 4 พันล้านบาท ดังนั้นจะเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมอีกราว 5 พันล้านบาท เพื่อเริ่มดำเนินการทันที ไม่ให้กระทบต่อภาพรวมโครงการรถไฟไทยจีน

นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า รถไฟไทยจีนตอนนี้เดินหน้างานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นอีก 2 สัญญาที่เหลืออยู่ควรต้องมีทางออกโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อแผนเปิดให้บริการในปี 2571 โดยจากการประเมินภาพรวมในตอนนี้ยังเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามแผน ในเดือน พ.ค.นี้ จะเป็นกรอบเวลาสุดท้ายของการรอความชัดเจนงานก่อสร้างพื้นที่ทับซ้อน ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง เพราะรัฐบาลก็มีเงินในการลงทุนก่อสร้างเองให้เป็นไปตามแผนงานอยู่แล้ว อีกทั้งโครงการนี้ก็มีความพร้อมทั้งแบบก่อสร้างสามารถเริ่มงานได้ทันที

LITE

19 เมษายน พ.ศ. 2509 ‘ในหลวง ร.9’ ทรงแล่นเรือใบ ‘เวคา’ ด้วยลำพังพระองค์เอง ใช้เวลา 17 ชั่วโมง เพื่อเสด็จข้ามอ่าวไทยสู่อ่าวนาวิกโยธิน

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงแล่นใบ ประเภทโอเค (International O.K. Class) ชื่อเรือ ‘เวคา’ ด้วยลำพังพระองค์เอง จากพระราชวังไกลกังวล อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกเดินทางข้ามอ่าวไทยมายังอ่าวนาวิกโยธิน รวมระยะทาง 60 ไมล์ทะเล ใช้เวลาในการแล่นใบ 17 ชั่วโมงเต็ม เมื่อเสด็จถึงทรงฉลองพระองค์ชุดสนามทหารนาวิกโยธิน โดยได้ทรงนําธงราชนาวิกโยธิน ที่ทรงนําข้ามอ่าวไทยมาด้วย ปักเหนือก้อนหินใหญ่ที่ชายหาดของอ่าวนาวิกโยธิน และหลังจากทรงปักธงราชนาวิกโยธินแล้ว พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย บนแผ่นศิลาจารึก

หลังจากนั้นเสด็จประทับเรือพระที่นั่งจันทร ข้ามอ่าวไทยกลับพระราชวังไกลกังวล ต่อมาในปีเดียวกันได้พระราชทานหางเสือเรือพระที่นั่งเวคา ที่ทรงแล่นใบข้ามอ่าวไทย เพื่อเป็นรางวัลนิรันดร แก่ผู้ชนะเลิศใน การแข่งขันเรือใบข้ามอ่าวไทยประจําปีของสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จนถึงปัจจุบัน

ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นตัวแทนของนักกีฬาทีมชาติไทย เข้าร่วมแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 ทรงชนะเลิศการแข่งขันกีฬาเรือใบประเภทโอเค ในรายการแข่งขันระดับนานาชาติ และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทอง ยังความปลาบปลื้มใจแก่ชาวไทยโดยทั่วกัน ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของชาติด้านการกีฬาของประเทศไทย ต่อมาคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันกีฬาแห่งชาติ ตราบจนปัจจุบัน

18 เมษายน พ.ศ. 2498 รำลึก ‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ผู้ค้นพบ ‘ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป’ หรือ ‘แรงโน้มถ่วง’

‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน (ตามลำดับ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม สถิติกลศาสตร์ และจักรวาลวิทยา และเขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี พ.ศ. 2464 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และจาก ‘การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี’

หลังจากที่ไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ในปี พ.ศ. 2458 เขาก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยธรรมดานักสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ในปีต่อ ๆ มา ชื่อเสียงของเขาได้ขยายออกไปมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ โดยในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของความฉลาดหรืออัจฉริยะ ความนิยมในตัวของเขาทำให้มีการใช้ชื่อไอน์สไตน์ในการโฆษณา หรือแม้แต่การจดทะเบียนชื่อ ‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ ให้เป็นเครื่องหมายการค้า

ตัวไอน์สไตน์เอง มีความระลึกถึงผลกระทบทางสังคม ซึ่งมีผลมาจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่เขาได้เป็นปูชนียบุคคลแห่งความบรรลุทางปัญญา เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุดในยุคปัจจุบัน ทุกการสร้างสรรค์ของเขายังคงเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งในความเชื่อในความสง่า ความงาม และความรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล (คือแหล่งเสริมสร้างแรงบันดาลใจในวิทยาศาสตร์ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่) เป็นสูงสุด ความชาญฉลาดเชิงโครงสร้างของเขาแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของจักรวาล ซึ่งงานเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านผลงานและหลักปรัชญาของเขา ในทุกวันนี้ ไอน์สไตน์ยังคงเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุด ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์และนอกวงการ

อย่างไรก็ตาม ไอน์สไตน์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2498 ด้วยโรคหัวใจ

สำหรับผลงานของไอน์สไตน์ในสาขาฟิสิกส์มีมากมาย อาทิเช่น…

- ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งนำกลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
- ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นไปตาม equivalence principle
- วางรากฐานของจักรวาลเชิงสัมพัทธ์ และค่าคงที่จักรวาล
- ขยายแนวความคิดยุคหลังนิวตัน สามารถอธิบายจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดของดาวพุธได้อย่างลึกซึ้ง
- ทำนายการหักเหของแสง อันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงและเลนส์ความโน้มถ่วง
- อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ของแรงยกตัว
- ริเริ่มทฤษฎีการแกว่งตัวอย่างกระจาย ซึ่งอธิบายการเคลื่อนที่ของบราวน์ของโมเลกุล
- ทฤษฎีโฟตอนกับความเกี่ยวพันระหว่างคลื่น-อนุภาค ซึ่งพัฒนาจากคุณสมบัติอุณหพลศาสตร์ของแสง
- ทฤษฎีควอนตัมเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของอะตอมในของแข็ง
- ริเริ่มโครงการทฤษฎีแรงเอกภาพ

ทั้งนี้ ไอน์สไตน์ ได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 300 ชิ้น และงานอื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อีกกว่า 150 ชิ้น ปี พ.ศ. 2542 นิตยสารไทมส์ ยกย่องให้เขาเป็น ‘บุรุษแห่งศตวรรษ’ และความสำเร็จทางปัญญาและความคิดริเริ่มของเขาส่งผลให้ ไอน์สไตน์ กลายเป็นคำพ้องที่มีความหมายตรงกับคำว่า ‘จีเนียส’ (อัจฉริยะ)

‘ลิซ่า’ ซื้อบ้านใหม่ที่อเมริกา มูลค่ากว่า 140 ลบ. คาด!! เตรียมตัวเดินหน้าลุยตลาดอินเตอร์เต็มตัว

(17 เม.ย.67) แมนชัน โกลบอล (Mansion Global) นายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์หรูระดับโลก รายงานว่า ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล เพิ่งซื้อบ้านหรูในย่านเบเวอร์ลี ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่า 3.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 144 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายงานอ้างข้อมูลจากเอกสารการทำธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งระบุว่า ลิซ่าปิดดีลซื้อบ้านหลังนี้ไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยบ้านหลังนี้เพิ่งได้รับการรีโนเวทเสร็จเรียบร้อย

ลอรี ฮาร์ริส จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Keller Williams Los Feliz ซึ่งเป็นคนนำบ้านหลังนี้ออกขายให้ข้อมูลว่า ถึงแม้บ้านของลิซ่าจะได้รับการรีโนเวทให้มีความทันสมัย แต่ตัวบ้านที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1924 ยังคงให้ความรู้สึกแบบโลกเก่า ประกอบกับอาณาบริเวณที่มากถึง 1.3 เอเคอร์ (ประมาณ 3.3 ไร่) จึงทำให้บ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขา Coldwater Canyon หลังนี้มีความเป็นส่วนตัว แถมยังล้อมรอบด้วยเนินเขา และทัศนียภาพอันสวยงาม

รายงานระบุว่า House of Rolison ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบชื่อดังในลอสแองเจลีส ซื้อบ้านหลังนี้มาในปี 2023 ก่อนจะรีโนเวทบ้านที่มีอายุเก่าแก่ถึง 100 ปีให้ออกมาในสไตล์คฤหาสน์ขุนนางแถบชนบทของอังกฤษ โดยตัวบ้านมีเถาองุ่นปกคลุมเป็นบริเวณกว้างถึง 3,387 ตารางฟุต มี 4 ห้องนอน หลังคามุงกระเบื้องดินเผา พื้นปูด้วยหิน มีเพดานทรงโค้งทำจากไม้

ในเรื่องของความเป็นส่วนตัว มีพุ่มไม้สูงทำหน้าที่เปรียบเสมือนรั้วกั้นตัวบ้านออกจากถนน ส่วนด้านนอกตัวบ้านมีระเบียงไม้กว้างพร้อมเตาอบพิซซ่า และสระน้ำอีก 1 แห่ง

ทั้งนี้ การที่ลิซ่าตัดสินใจซื้อบ้านในย่านเบเวอร์ลี ฮิลส์ เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่านักร้องสาววัย 27 ปีน่าจะเดินหน้าลุยงานในฐานะศิลปินระดับโลกอย่างเต็มตัว หลังจากที่เธอไม่ต่อสัญญาเดี่ยวกับ วายจี เอ็นเตอร์เทนเมนต์ โดยหันมาเปิดบริษัท LLOUD เป็นของตัวเอง ตามมาด้วยการเซ็นสัญญากับค่ายเพลงระดับโลกอย่าง RCA Records

นอกเหนือจากการทำงานในแวดวงแฟชั่น และการทำเพลงแล้ว ลิซ่ายังหันไปจับงานด้านการแสดงเป็นครั้งแรกด้วย โดยล่าสุดเธอกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีรีส์ยอดนิยมของ HBO เรื่อง The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายทำที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน 6 เดือน

PODCAST

‘ผู้นำ’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา | THE STATES TIMES STORY ตอนพิเศษ

เรื่องราวจากหนังสือ ‘ผู้นำ’ บรรณธิการโดย อัศวินโต๊ะกลม เป็นหนังสือที่รวบรวมผลงานและการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของไทย ตลอดกว่า 8 ปีที่ผ่านมา เป็นผู้พลิกโฉมประเทศไทยไปตลอดกาล ให้สามารถโลดแล่นต่อไปได้อย่างไม่อายใคร นอกจากนี้ยังเป็นนายกรัฐมนตรี ‘สองแผ่นดิน’ ที่มีความโดดเด่นในหลายเรื่อง โดยเฉพาะความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

💙ผู้นำ ตอนที่ 1 : ผู้นำช่วงวิกฤติ

💙ผู้นำ ตอนที่ 2 : สร้างคน สร้างพลเมืองดี

💙ผู้นำ ตอนที่ 3 : ประชาชน ประเทศชาติ คือหัวใจของ ‘ประชารัฐ’

💙ผู้นำ ตอนที่ 4 : รู้เท่าทัน ทำทันที เห็นผลเป็นรูปธรรม

💙ผู้นำ ตอนที่ 5 : ‘ลุงตู่’ คือหมอใหญ่ นำทีมผ่าตัดเศรษฐกิจไทย

💙ผู้นำ ตอนที่ 6 : ‘กลยุทธ์ 3 แกน’ สร้างอนาคตไทยให้ก้าวหน้า

💙ผู้นำ ตอนที่ 7 : ‘ลุงตู่’ สุดยอด ‘ผู้นำ’ พาประเทศฝ่าฟันทุกวิกฤต

💙ผู้นำ ตอนที่ 8 : ก้าวข้าม ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ พาประเทศมุ่งสู่ ‘โอกาส’

💙ผู้นำ ตอนที่ 9 : ‘ผู้นำ’ ยุคดิจิทัล พาไทยเข้าสู่ยุค 4.0

💙ผู้นำ ตอนที่ 10 : 'ลุงตู่' ผู้นำที่ฉันอยาก 'เดินตาม'

 

 

 

‘มาเหนือเมฆ’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา | THE STATES TIMES STORY ตอนพิเศษ

หนังสือ 'มาเหนือเมฆ' เรื่องราวบนเส้นทางการเมืองและผลงานของ 'ลุงตู่' พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทหารเสือราชินีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย 

รวบรวมบทความที่นักคิด นักวิเคราะห์ นักเขียนรับเชิญหลายท่านมาช่วยกันเติมแต่ง ได้แก่ คุณรุ่งเรือง ปรีชากุล อดีตบรรณาธิการบริหารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์, คุณทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการนิตยสารสีสัน, รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุณนิติพงษ์ ห่อนาค ศิลปินและนักแต่งเพลง และ คุณ พ.สิทธิสถิตย์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์/นิตยสาร

บรรณาธิการโดย คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา

💙ตอนที่ 1 : ‘ลุงตู่’ เป็นมากกว่าผู้นำ

💙ตอนที่ 2 : ชีวิตนี้ ขอทำเพื่อชาติและประชาชน

💙 ตอนที่ 3 : ‘ลุงตู่’ ฮีโร่ผู้กอบกู้วิกฤต

💙ตอนที่ 4 : ปณิธานแน่วแน่ “ประเทศไทยต้องดีกว่าเดิม”

💙ตอนที่ 5 : ‘ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี’ พาไทย ‘มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’

💙ตอนที่ 6 : ‘EEC’ หัวใจสำคัญ ยุคไทยแลนด์ 4.0

💙ตอนที่ 7 : พัฒนา ‘ระบบคมนาคม’ เสริมแกร่งไทยทุกมิติ

💙ตอนที่ 8 : ‘เทคโนโลยี-ดิจิทัล’ กุญแจสำคัญขับเคลื่อน ‘เศรษฐกิจไทย’

💙ตอนที่ 9 : ฟื้นสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ เริ่มทศวรรษแห่งความร่วมมือ

💙ตอนที่ 10 : ผลงานชิ้นโบแดง เจ้าภาพ ‘เอเปก 2022’

 

‘บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์’ วีรบุรุษสงครามโลก | THE STATES TIMES Story EP.143

‘บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์’ ผู้ได้รับการยกย่องจากนานาชาติ ในฐานะ ‘วีรบุรุษ’ ผู้ปิดทองหลังพระและมีมนุษยธรรม จากวีรกรรมที่ได้ช่วยเหลือเชลยศึกที่ถูกเกณฑ์มาสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะ ที่จังหวัดกาญจนบุรี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 

ทว่าเรื่องราวของ ‘บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์’ กลับไม่ถูกเป็นที่พูดถึงในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง วันนี้ THE STATES TIMES Story จึงได้หยิบยกเรื่องราว และความกล้าหาญของวีรบุรุษท่านนี้ มาบอกเล่าให้ทุกท่านได้รับทราบกัน จะเป็นอย่างไร เชิญรับฟัง…

VIDEO

ป้าหมาย ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ | CONTRIBUTOR EP.30

เมืองไทยมีดี มีจุดขายที่งดงามในภาคการท่องเที่ยว แต่จะพอใจเพียงเท่านี้ พอใจเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลูกเดียว อาจจะไม่ยั่งยืน

มิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ต้องปรับประยุกต์ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
กระตุ้นให้เกิดความหลากหลายในแต่ละเขตแดน เมือง จังหวัด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องร้อยห่วงโซ่ของ ‘ความยิ้มแย้ม-ความยืดหยุ่น-ไม่หย่อนยาน’ 
รวมถึงปรับแนวทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวใต้วิธีคิดที่ทันโลก

เพราะนี่คือวาระสำคัญของอนาคตการท่องเที่ยวไทยในวันข้างหน้า 
ในวันที่ ‘หินก้อนใหญ่’ ยังกดทับ ‘หญ้าสีเขียว’ ในบางพื้นที่อยู่

ปลดล็อกร่างทอง ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ไปด้วยกันกับ Contributor EP นี้ กับผู้ที่เข้าใจระบบนิเวศการท่องเที่ยวยั่งยืนแบบถ่องแท้ได้จาก... คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ถึงเวลาสร้าง ‘ไทย’ ให้เติบใหญ่ในยุคดิจิทัล l รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก

ความ ‘เท่า’ ที่ยากจะ ‘เทียม’ หากระบบการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่และทิศทางไทยยังคงหลงอยู่กับนโยบาย

ประชานิยมที่คอยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงแค่ครั้งคราว

กลับกันประเทศไทย ในวันที่เริ่มตั้งตัว ต้องหาทางตั้งทรงแบบยกแผงต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตชาติเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกภาคส่วนระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่นๆ ให้เกิดรากอันแข็งแกร่ง เพื่อเป็นฐานรองรับให้ ‘คนในชาติ’ กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ

Contributor EP นี้ ขอกระตุกมุมคิดคนไทยให้ร่วมมองความเจริญแห่งอนาคตที่ถูกทิศผ่านมุมคิดของ... 
รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่ขอเป็นตัวแทนพูดดังๆ ถึงทุกภาคส่วน ว่า…

ถึงเวลาแล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ต้องปฏิรูป!!

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ | CONTRIBUTOR EP.28

ค่านิยม ‘ท้าทาย’ กฎหมายของคนในยุคนี้ ยุคที่ใคร ‘แหก’ กฎได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งยกย่องกันแบบผิดๆ ว่า 'เจ๋ง' และดูเก่งในสายตากลุ่มก้อนความคิดเดียวกัน ... เริ่มลุกลาม!!

แต่เมื่อ 'กฎหมาย' คือ กฎที่คนส่วนใหญ่ ทำตาม!!

ผู้ใด 'ท้าทาย' ก็ต้องพร้อมรับผิดชอบในทุกการกระทำ

และนี่คือเรื่องราวของอีกหนึ่งผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่อยากฝากบอกถึง 'นักแหกกฎ' ให้ปลดความคิดสุดระห่ำออกไปจากระบบคิด และจงเชื่อเถอะว่าชีวิตของพวกคุณจะไม่มีวันถูกหล่อเลี้ยงได้อย่างยั่งยืนผ่านคำยกย่องผิดๆ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี 

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์

Y WORLD

ซักด่วน !!! ใช้ผ้าขนหนูเกิน 3 วัน เหมือนเช็ดตัวด้วยโถส้วม !!! | Y WORLD EP.75

Y WORLD ตอนนี้ แค่หัวข้อก็อึ้งกันแล้วค่ะ แค่ไม่ได้ซักผ้าขนหนู 3 วัน ก็สกปรกขนาดนี้เลยหรอ ? ส่งผลอย่างไรบ้าง และควรแก้ยังไง คลิปนี้มีคำตอบค่ะ 

‘Roman Charity’ ภาพวาดที่ไม่ได้ลามก แต่คือความกตัญญู | Y WORLD EP.74

Y WORLD ตอนนี้พาคุณไปชมภาพวาดหญิงสาวกำลังป้อน ‘นม’ ของตัวเองให้ชายชรา ที่บอกเลยว่า 'เห็นครั้งแรก ก็คิดดีไม่ได้จริงๆ' แต่แท้จริงแล้ว ภาพนี้ไม่ได้เป็นสื่อลามกอนาจาร แต่คือการแสดงความกตัญญู เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามชมกันได้เลยค่ะ

ปลิดชีพ "ชาย" ขู่ฆ่า "โจ ไบเดน" แม้ไม่มี112 | Y WORLD EP.73

Y WORLD ตอนนี้จะพาคุณไปฟังเรื่องราวการ "ปกป้องผู้นำ" ของตนขั้นสุดแบบสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ FBI ปลิดชีพ 'ชาย’ ขู่ฆ่า 'โจ ไบเดน' แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112 แบบประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากใครมาหมิ่นหรือคิดร้ายผู้นำในประเทศของเขา โดนดีทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปรับชมกันเลย

SPECIAL

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 14 เม.ย. 2567

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 67 เพจเฟซบุ๊ก ‘บุญนิยมทีวี’ ซึ่งเป็นสื่อหลักของ สันติอโศก ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “แจ้งข่าว พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ มรณภาพ ด้วยโรคชรา เวลา 06.40.10 น. วันพฤหัสบดี 11 เมษายน 2567” สิริอายุ 89 ปี 10 เดือน 6 วัน 

ทั้งนี้ ‘สมณะโพธิรักษ์’ เป็นผู้ก่อตั้งและผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งสำนักสันติอโศก เป็นผู้ก่อกำเนิดคณะกลุ่มชาวอโศก ก่อตั้งชุมชนบุญนิยม ‘พุทธสถานสันติอโศก’ ย่านนวมินทร์ ก่อนจะขยายชุมชนบุญนิยม-เครือข่ายพึ่งตนเอง ในอีกหลายจังหวัด รวมทั้งราชธานีอโศก ที่อุบลราชธานี

สมณะโพธิรักษ์เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยอาการปอดอักเสบ กระทั่งออกจากโรงพยาบาล กลับราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี เมื่อต้นเดือน ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ก่อนจะมีอาการทรุดลงและต้องกลับเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง กระทั่งมรณภาพอย่างสงบ

สำหรับประวัติสมณะโพธิรักษ์ มีชื่อเดิมว่า มงคล รักพงษ์ เกิดวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ที่จังหวัดศรีสะเกษ

ในวัยเด็กอาศัยอยู่กับมารดาที่จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังได้เข้ามาศึกษาชั้นมัธยมที่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบมัธยมปลายก็ได้เข้าศึกษาต่อ ที่โรงเรียนเพาะช่าง แผนกวิจิตรศิลป์ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘รัก รักพงษ์’

ขณะที่กำลังเรียนอยู่ได้เข้าทำงานที่ บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด เป็นผู้จัดรายการ เป็นรายการเกี่ยวกับเด็ก, การศึกษา และวิชาการ นอกจากงานทางสถานีโทรทัศน์แล้ว ก็ยังทำงานเป็น ครูพิเศษ สอนศิลปะตามโรงเรียน นักแต่งเพลง และทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ไปด้วย

สมัยยังทำงานในวงการบันเทิง ท่านมีผลงานเพลงที่แต่งในนาม ‘รัก รักพงษ์’ ออกมาประสบความสำเร็จ เป็นเพลงยอดนิยมจำนวนมาก รวมทั้งเพลง ‘ผู้แพ้’ ‘กระต่ายเพ้อ’ และเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ‘โทน’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทำเงิน ออกฉายในปี พ.ศ. 2513 เพลงฮิตจากภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ประพันธ์โดย ‘รัก รักพงษ์’ ได้แก่ ‘ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง’ และ ‘ชื่นรัก’ เป็นต้น

ต่อมา ท่านได้หันมาศึกษา พุทธศาสนาและได้อุปสมบทในคณะธรรมยุติกนิกาย ณ วัดอโศการาม เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 ได้รับฉายาว่า ‘โพธิรกฺขิโต’ มีพระราชวรคุณ (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) เป็นพระอุปัชฌาย์

พระโพธิรักษ์เป็นผู้ปฏิบัติเคร่งครัด สงบสำรวม เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใส มีผู้มาขอศึกษาปฏิบัติตามทั้งฆราวาสและนักบวช จากคณะธรรมยุต และมหานิกาย ต่อมาพระราชวรคุณ ไม่ต้องการให้พระฝ่ายมหานิกายมาศึกษาอยู่ร่วมด้วย พระโพธิรักษ์ จึงเข้ารับการสวดญัตติฯ เป็นพระของคณะมหานิกายอีกคณะหนึ่ง โดยมิได้สึกจากคณะธรรมยุต ที่วัดหนองกระทุ่ม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โดยมีพระครูสถิตวุฒิคุณ เป็นอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2516

ตัวท่านเองมุ่งสารธรรมเป็นใหญ่ ไม่ติดใจเรื่องนิกาย จึงมีพระทั้งมหานิกายและพระธรรมยุต ที่มีปฏิปทาเป็น ‘สมานสังวาส’ กัน มาร่วมศึกษาปฏิบัติอยู่ด้วย โดยยึดถือธรรมวินัยเป็นใหญ่ ซึ่งทำให้พระอุปัชฌาย์ทางฝ่ายธรรมยุตไม่พอใจ พระโพธิรักษ์จึงคืนใบสุทธิให้ฝ่ายธรรมยุตไป เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2516 ถือแต่ใบสุทธิฝ่ายมหานิกายเพียงอย่างเดียว แต่ก็มีพระจากทั้งสองนิกาย อยู่ร่วมศึกษาปฏิบัติด้วย เพราะพระโพธิรักษ์ไม่รังเกียจนิกายใด ๆ มุ่งหมายทำงานเพื่อพระศาสนา เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ให้ผิดพระวินัยเป็นสำคัญ

วัตรปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของพระโพธิรักษ์ คือ การฉันอาหารมังสวิรัติ วันละ 1 มื้อ ไม่ใช้เงินทอง นุ่งห่มผ้าย้อมสีกรัก มีชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่มีการเรี่ยไร ไม่รดน้ำมนต์-พรมน้ำมนต์ ไม่ใช้การบูชาด้วยธูปเทียน และไม่มีไสยศาสตร์ ซึ่งแตกต่างจากพระสงฆ์ในมหาเถรสมาคม ทีมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ทำให้บางครั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นพระนอกรีต การทำงานด้านศาสนาได้รับอุปสรรคตลอดมา พระโพธิรักษ์และคณะจึงประกาศลาออกจากมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พ.ศ. 2518 แต่เมื่อถูกพิพากษาว่าไม่สามารถเรียกขานตนเองว่าเป็นพระได้ จึงเรียกตนเองว่า ‘สมณะ’ แทน แต่ยังคงปฏิบัติเคร่งครัดเหมือนเดิม

‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้นำ ‘กลุ่มชาวอโศก’ สร้างชุมชนบุญนิยมขึ้น และก่อตั้งพุทธสถานสันติอโศกขึ้นที่ ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. พ.ศ. 2519 หลังจากนั้น ยังเกิดชุมชนเครือข่ายเป็นชุมชนพึ่งตนเองแบบครบวงจร รวมทั้งเกิดพุทธสถานและชุมชนบุญนิยม 9 แห่ง ได้แก่

-พุทธสถานสันติอโศก เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ
-พุทธสถานปฐมอโศก อ.เมือง จ.นครปฐม
-พุทธสถานศีรษะอโศก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
-พุทธสถานศาลีอโศก อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์
-พุทธสถานสีมาอโศก อ.เมือง จ.นครราชสีมา
-พุทธสถานราชธานีอโศก อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
-พุทธสถานลานนาอโศก อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
-สังฆสถานทะเลธรรม อ.เมือง จ.ตรัง
-สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ

นอกจากนี้ ยังมีการก่อตั้งองค์กรในชุมชนบุญนิยมสันติอโศก รวม 8 องค์กร ได้แก่ มูลนิธิธรรมสันติ กองทัพธรรมมูลนิธิ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมทัศน์สมาคม มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน สมาคมศิษญ์เก่าสัมมาสิกขา สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม และมูลนิธิบุญนิยม

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2567

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของ ‘หลวงปู่วัง ฐิติสาโร’ รำลึก 71 ปี อาจาริยบูชาคุณ ‘พระโพธิสัตว์แห่งภูลังกา’ 

‘หลวงปู่วัง’ ท่านเป็นพระธุดงคกรรมฐานที่ช่ำชองการอยู่ป่าเป็นวัตร ออกแสวงหาความวิเวก อยู่ในพื้นที่กันดารไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อภยันตราย ไข้ป่า สัตว์ป่า ผีร้าย หรือแม้แต่ความอดอยาก ท่านปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์ อยู่รุกขมูลตามป่าทึบดงหนา เงื้อมผา และโถงถ้ำ ทั่วทั้งอาณาเขตดงสีชมพู ทั้งที่ภูวัว ภูสิงห์ และภูลังกา 

‘หลวงปู่วัง’ ท่านเป็นศิษย์ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และยังได้เคยไปศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลายครั้งหลายคราว อีกทั้งยังถือว่าเป็นศิษย์รุ่นแรกของหลวงปู่ฝั้น อาจาโรและหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ อีกด้วย 

หลวงปู่วัง ท่านปรารถนาพุทธภูมิเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แม้หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ผู้เป็นพระอาจารย์เคยเตือนว่า การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องใช้เวลาสร้างบารมีมาหลายกัป หลายภพหลายชาติ มันเนิ่นช้าต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏอีกยาวไกล แต่หลวงปู่วัง ก็ได้กราบเรียนท่านหลวงปู่ว่ามีความมุ่งมั่นรักในพุทธภูมินี้มาก แม้จะมีผู้มีอำนาจมาบังคับว่าถ้าไม่ยอมถอนจากความปรารถนานี้ จะฆ่าให้ตาย ก็ไม่ยอมถอน แม้จะฆ่าให้ตายก็ยอม เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านหลวงปู่เสาร์ก็พลอยอนุโมทนาด้วย และบอกว่าขอให้ตั้งใจต่อไป 

ที่ถ้ำชัยมงคล ธรรมสถานหลวงปู่วังที่ภูลังกา จึงพบเห็นพระพุทธรูปฝีมือการปั้นโดยหลวงปู่วัง อยู่หลายองค์ด้วยกัน หลวงปู่วัง ท่านมักพบเห็นสิ่งอัศจรรย์เหนือโลก และเป็นที่รักใคร่ของเทวดา บังบด พญานาค และฤาษีผู้บำเพ็ญตบะอยู่ตามป่าเขา จนท่านได้รับสมญานามว่าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งภูลังกา’

หลวงปู่วัง ท่านละสังขารลงเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2496 ซึ่งก่อนมรณภาพ ท่านได้พูดกับศิษย์เบา ๆ ด้วยน้ำเสียงปกติว่า “มันจะตายก็ให้มันตายไป” แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก 

จากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ท่านก็ได้มรณภาพไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อเวลา 20.18 น. ลูกศิษย์หลวงปู่วัง ที่เป็นที่รู้จักในวงศ์พระกัมมัฏฐาน ได้แก่ หลวงปู่วัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จ.สกลนคร, หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร และ หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม วัดศรีวิชัย จ.นครพนม

บรรณานุกรมอ้างอิง​ : คัดลอกจากหนังสือชีวประวัติหลวงปู่คำพันธ์ จนฺทูปโม วัดศรีวิชัย บ้านศรีเวินชัย ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม​

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2567

‘สมเด็จเกี่ยว’ หรือ ‘สมเด็จพระพุฒาจารย์’ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มรณภาพเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556 หนึ่งในคำสอนของ ‘สมเด็จเกี่ยว’ ที่เตือนสติชาวพุทธได้อย่างดี คือ…

“เมื่อได้ยินอะไรในทางที่เสีย ก็อย่าเพิ่งตัดสินใจว่าเสีย เพราะเพียงแต่เขาพูดกัน ต้องใคร่ครวญพิจารณาให้ดี ในลักษณะฟังหูไว้หู ถ้ายังไม่เห็นที่ประจักษ์ด้วยตนเอง ก็อย่าเพิ่งไปต่อหรือไปเสริม ให้เกิดความเสียหาย”

INFO & TOON

สรุปสถานการณ์ความขัดแย้ง 6 ข้อ ระหว่าง ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์-อิหร่าน’

สรุปสถานการณ์ความขัดแย้ง 6 ข้อ ระหว่าง ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์-อิหร่าน’ ณ วันที่ 17 เม.ย.67 🚨✨

ส่องสถิติ 10 ปี ‘เทศกาลสงกรานต์’ สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศเท่าไหร่? ✨🇹🇭

สงกรานต์ปี 2567 ถือเป็นปีที่คึกคักที่สุดหลังจากโควิด-19 คลายลง โดยในปี 2567 นี้ เม็ดเงินสะพัดมากถึง 2 แสนล้านบาท นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก ต่างพากันปักหมุดเยือนประเทศไทย และร่วมเล่นน้ำสงกรานต์อย่างล้นหลาม ทำให้บรรยากาศสงกรานต์ในปีนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก

เซฟไว้เลย!! เบอร์ฉุกเฉิน ‘ช่วงสงกรานต์ 2567’

เซฟไว้อุ่นใจกว่า!! เบอร์ฉุกเฉิน ‘ช่วงสงกรานต์ 2567’ รู้ก่อนเพื่อความปลอดภัยและความอุ่นใจช่วงเทศกาล ✨💦

COLUMNIST

ย้อนประวัติศาสตร์ 'สงกรานต์' ในแต่ละชาติ ปรับไปบ้างตามเวลา แต่สุขสันต์มิเคยเปลี่ยน

ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ไทยของเรา สงกรานต์ที่ 'ยูเนสโก' ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ 'สงกรานต์ในประเทศไทย' เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ 

บทความนี้ผมจะเขียนเล่าในมุมที่ไม่ดรามา โดยจะเรียบเรียงเรื่องราวของสงกรานต์ที่น่าสนใจเพื่อให้อ่านกันเพลิน ๆ นะครับ

เริ่มต้นเรื่อง โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าสงกรานต์แบบบ้านเรามาจากอินเดีย แต่คำว่าสงกรานต์เรายืมคำนี้มาจากอินเดียแน่ ๆ เพราะคำว่า 'สงกรานต์' หรือ 'สํกฺรานฺติ' เป็นคำในภาษาสันสกฤตแปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย คือการที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีหนึ่งเข้าสู่อีกราศีหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นทุกเดือน แต่จะมีเดือนที่สำคัญมากก็คือเดือนที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า 'มหาสงกรานต์' ซึ่งในช่วงมหาสงกรานต์นี้ ดินแดนชมพูทวีปเขาจะมีเมนูอาหารและกิจกรรมพิเศษ เช่น...

บังกลาเทศ : เขาจะมีการเดินพาเหรดและเมนูพิเศษ 'ปันตาภัต' คือข้าวสวยแช่น้ำที่เสิร์ฟพร้อมปลาทอด กินพร้อมหอมแดงและพริกเขียว คล้าย ๆ ข้าวแช่บ้านเรา 

ศรีลังกา : ชาวพุทธสิงหลและชาวฮินดูทมิฬ จะมีการฉลองปีใหม่ร่วมกัน ผู้คนจะทำความสะอาดบ้าน จุดตะเกียงน้ำมัน และทานเมนูพิเศษ 'คิริภัต' คือข้าวกะทิ 

ส่วนในอุษาคเนย์ : ประเพณีสงกรานต์ในแต่ละแห่งก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เช่น คนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเรียกกันว่า 'สงกรานต์' ทางล้านนาเรียกว่า 'ปี๋ใหม่เมือง' ทางเขมรเรียกว่า 'ซ็องกราน' ส่วนมอญเรียกว่า 'ซงกราน' ทางพม่าเรียกว่า 'ทิงยัน' โดยจุดเชื่อมกันของเทศกาลนี้ ถ้าไม่นับการสาดน้ำ ก็จะมีการรดน้ำประแป้ง การละเล่นพื้นบ้าน การรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ ทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระพุทธรูป นอกจากนี้ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ส่วนเรื่องอาหารการกินหรือกิจกรรมที่พิเศษเหมือนชมพูทวีปไหม? มันก็มีอยู่บ้างครับ 

ตัวอย่างเช่นที่ 'พม่า' เขาจะมีเมนูพิเศษคือ 'ม่งโลงเหย่ป่อ' ซึ่งเป็นข้าวเหนียวปั้นไส้น้ำตาล คล้าย ๆ ขนมต้มบ้านเรา ทำกินเฉพาะเทศกาลนี้ พร้อมด้วยมหกรรมสาดน้ำ (ต้องเรียกมหกรรมเพราะสาดยับจริง ๆ) ซึ่งพม่านี้เขามีนิทานเรื่องการสาดน้ำที่ค่อนข้างจะเป็นโศกนาฏกรรม แต่เขาเชื่อว่านี่คือหลักฐานการ 'สาดน้ำ' ที่เก่าที่สุด (ทำไม? มันถึงมาผูกกับการสาดน้ำที่สนุกสนานก็ไม่รู้) 

เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารพม่าฉบับอูกะลา ในสมัยของ 'พระเจ้านรสีหบดี' หรือ 'พระเจ้าหนีจีน' แห่งพุกาม ที่ชื่อว่าหนีจีน เพราะกองทัพมองโกลของพระเจ้ากุบไลข่านยกมาตีพุกาม พระองค์ต้านไม่ไหวก็เลยหนีลงมาทางพม่าตอนล่าง ซึ่งร่วมสมัยกับ 'พญามังราย' แห่งเชียงใหม่ 'พ่อขุนรามคำแหง' แห่งสุโขทัย และ 'พระยางำเมือง' แห่งพะเยา ซึ่งไม่ได้มีบันทึกเรื่องสงกรานต์ไว้เหมือนพุกาม เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ 

พระเจ้านรสีหบดีมีพระเหสีชื่อ 'พระนางพวาซอ' และมีพระสนมอีกหลายองค์ พระสนมที่โดดเด่นคือ 'พระสนมซอลง' และ 'พระสนมซอเม่า' ทุก ๆ สงกรานต์ซึ่งเป็นฤดูเดือนที่อากาศร้อน พระองค์มักเสด็จฯ ลงสรงพระกระยาสนานหรือสระผม บริเวณท่าน้ำเป็นเวลานาน ๆ บ่อย ๆ 

ที่นี้พะองค์คงนึกสนุกและอยากจะหยอกล้อ 'พระสนมซอลง' จึงรับสั่งให้พระสนมองค์อื่น ๆ และนางข้าหลวงสาดน้ำใส่พระสนมซอลงแบบไม่ให้รู้ตัว พอโดนรุมสาดแบบไม่ทันตั้งตัว ผมเผ้าเสื้อผ้าก็เปียกปอนไปหมด จนทำให้พระสนมซอลงรู้สึกอับอาย โดยไม่ได้คิดว่านี่คือการล้อเล่นสาดน้ำในหมู่คนที่คุ้นเคยกัน 

จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระสนมซอลงคิดแค้น ว่าพระเจ้านรสีหบดีออกอุบายกลั่นแกล้ง จึงคิดจะเอาคืน โดยแอบใส่ยาพิษลงไปในพระกระยาหารของพระเจ้านรสีหบดี (คุณพระ!!!) ซึ่งปกติแล้วหน้าที่ยกพระยาหารขึ้นถวายพระเจ้านรสีหบดีเป็นหน้าที่ของพระสนมซอลง แต่วันนั้นพระสนมซอลงแกล้งป่วย จึงขอร้องให้ 'พระสนมซอเม่า' ทำหน้าที่แทน

ระหว่างที่กำลังเชิญพระกระยาหารขึ้นถวายนั้น ปรากฏว่ามีสุนัขหลวงทรงเลี้ยงตามเห่าพระสนมซอเม่า พระสนมซอเม่าคิดว่ามันคงหิว ด้วยความสงสารจึงแอบนำอาหารบางส่วนโยนให้กิน พอสุนัขหลวงกินมันก็ตายทันที พอความทราบถึงพระเจ้านรสีหบดี พระองค์จึงให้สอบสวน จนได้ความตามจริงว่าพระสนมซอลงลอบวางยาพิษ ผลก็คือ 'พระสนมซอลง' ต้องโทษประหารชีวิต ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดของพระสนมนั่นเอง

จบแบบโศกนาฏกรรม 

แต่ในประวัติสงกรานต์พม่า ที่มาของการเล่นสาดน้ำในปัจจุบันที่เก่าแก่ที่สุดก็คือการสาดน้ำใส่ 'พระสนมซอลง' นี่แหละ ทั้งยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยพุกามที่เล่าเรื่องราวของการเล่นน้ำสงกรานต์ มีภาพของการเทน้ำจากหม้อน้ำราดใส่กันประกอบอีกด้วย ผมว่ายอมพม่าเขาไปเหอะ นี่ยังไม่รวมภาพใน The Graphic เมื่อ ค.ศ. 1888 ที่ปรากฏคนพม่าสาดน้ำใส่ฝรั่งอังกฤษนะ ซึ่งอันนี้เขาดรามากันไปเยอะแล้ว ผมไม่เล่าล่ะ 

'สงกรานต์พม่า' จัดขึ้นช่วงเดือน 5 (เมษายน) ของไทย พม่าเรียกว่า 'เดือนดะกู' ส่วนสงกรานต์ในภาษาพม่าเรียกว่า 'เหย่บะแวด่อ' (คำว่า 'เหย่' แปลว่า 'พิธีน้ำ' ส่วน 'บะแวด่อ' แปลว่า 'เทศกาล') รัฐบาลพม่ากำหนดประเพณีสงกรานต์ให้ตรงกับวันที่ 13-17 เมษายนของทุกปี ซึ่งสงกรานต์บ้านเขานี้จัดอย่างจริงจัง สาดกันจริงจังแบบไม่มีคำว่า 'ไม่เปียก'

มาที่ 'สงกรานต์ลาว' ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14-16 เมษายนของทุกปี โดยออกเป็น 3 วัน วันแรกเรียกว่า 'วันสังขารล่วง' ชาวบ้านจะทำความสะอาดบ้านเรือนเพื่อเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปและเตรียมรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา วันที่สองเรียกว่า 'วันเนา' ถือเป็นวันแห่งครอบครัว ญาติพี่น้องจะมารวมตัวกันเพื่อบายศรีสู่ขวัญให้แก่ผู้อาวุโส และวันสุดท้ายเรียกว่า 'วันสังขารขึ้น' ถือว่าเป็นวันปีใหม่ที่แท้จริง จะมีการอวยชัยให้พรซึ่งกันและกัน มีการสรงน้ำพระและการแห่นางสังขาร ซึ่งเป็นนางสงกรานต์ของลาวแล้วก็มีการสาดน้ำกันพอกรุบกริบ 

'สงกรานต์กัมพูชา' ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวกัมพูชาเรียกกันว่าเทศกาล “โจลชนัมทเมย” เป็นช่วงต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ในแต่ละปีรัฐบาลกัมพูชาอาจจะกำหนดให้จัดขึ้นในวันที่ 13-15 หรือ 14-16 เมษายน มีกิจกรรมคล้าย ๆ กันแบ่งงานสงกรานต์ออกเป็น 3 วัน วันแรกทำบุญตักบาตร มีการขนทรายเข้าวัดเพื่อเตรียมก่อพระเจดีย์ทราย วันที่สองเป็นวันของครอบครัว ช่วงค่ำก็จะมาร่วมกันก่อพระเจดีย์ทราย ส่วนในวันที่สาม จะมีการละเล่นรื่นเริงต่าง ๆ สรงน้ำพระพุทธรูป และรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล 

'สงกรานต์สิบสองปันนา' สงกรานต์ของชาวไต หรือชาวไท ในสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยเฉพาะเมืองเชียงรุ่ง จะจัดงานสงกรานต์ในช่วงวันที่ 13-15 เมษายน เรียกว่าเทศกาล 'พัวสุ่ยเจี๋ย' โดยกิจกรรมหลัก ๆ ที่มีในงานสงกรานต์สิบสองปันนาก็คือ 'การแข่งขันเรือมังกร' ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเทศกาลนี้ นอกจากนี้ก็จะมีการ 'ระบำนกยูง' ที่มีความเชื่อว่านกยูงนำพาความโชคดีมาให้ นอกจากนี้ก็ยังมีการร้องรำทำเพลง การเล่นน้ำ และการรดน้ำดำหัวให้กันและกัน 

'สงกรานต์ของประเทศไทย' แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีบันทึกการเล่นสาดน้ำเหมือนอย่างของพม่า แต่เทศกาลของเราก็มีความลุ่มลึกอย่างมีนัยยะสำคัญทั้งผูกพันกับการรำลึกถึงบรรพบุรุษ ครอบครัว ด้วยความชุ่มฉ่ำทั้งการสรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัว และธรรมเนียมประกอบที่ดีงามไม่แพ้ใคร ๆ อย่างเช่น... 

ภาคเหนือเรามีพิธีความเชื่อเรื่อง 'ปู่สังกรานต์' หรือ 'ย่าสังกรานต์' จึงเป็นเหตุแห่งการจุดประทัดไล่เคราะห์ นอกจากนี้บางแห่งจะมีการทำขนมที่ไว้เฉลิมฉลองสงกรานต์ คือกาละแม ข้าวเหนียวแดงใส่ถั่วลิสงคั่ว ข้าวเหนียวแก้ว ข้าวแตน นางเล็ด ไปถวายวัด เพื่อไปเป็นเสบียงส่งไปให้บรรพบุรุษ 

ภาคอีสาน เราก็มีพิธีเสียเคราะห์ที่ใช้กระทงห้อง ใส่อาหารคาว-หวาน ไปทำพิธีในวัดเมือจบจะนำกระทงไปไว้ในป่าหรือทางแพร่งเพื่อเซ่นผีนำเอาสิ่งไม่ดีออกจากตน ตัวอย่างเช่น วัดไชยศรี จ.ขอนแก่น มีการทำบุญอัฐิบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เรียกว่า 'สักอนิจจา' มีการ 'แห่ต้นดอกไม้' ที่นาแห้ว จ.เลย ซึ่งทำถวายเป็นพุทธบูชาเพื่อความเป็นมงคลและสร้างความสามัคคีคนในชุมชน (เห็นไหม? สาดน้ำใส่กันมันแค่ส่วนประกอบ) 

ภาคกลางส่วนใหญ่มักประกอบกิจกรรมทางศาสนาเป็นหลัก นอกจากนั้นก็จะมีงานที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง สงกรานต์มอญ ที่ยังรักษาวัฒนธรรมของชาวรามัญ-ไทย ไว้อย่างงดงาม ทั้งที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร หรืออย่างที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ 

ภาคใต้บ้านเราจะเรียกว่า 'วันว่าง' ไม่ทำงาน ไม่ตัดเล็บ ตัดผม ก่อนจะเข้าวัดในวันว่างนี้เพราะเชื่อว่าเทวดาองค์เก่าเมื่อปีก่อนไม่อยู่ จึงต้องพึ่งบารมีพระพุทธก่อนที่วันเถลิงศกจะเข้ามาพร้อมเทวดาองค์ใหม่ก็จะมาประจำเมือง โดยจะแต่งชุดสวย ชุดใหม่ รอรับกันในวันนี้ 

ถึงตรงนี้ที่สงกรานต์คือ กิจกรรมสำคัญที่ผมอยากจะชวนให้ท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่านไปค้นหาและสัมผัสความดีงามเหล่านั้นด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งผมเชื่อว่าแม้ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะทำให้ประเพณีสงกรานต์เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ความเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองการเปลี่ยนผ่านของปี ความรื่นเริงสนุกสนานและการระลึกถึงบรรพบุรุษ ครอบครัว ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ จะยังคงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่และสืบทอดต่อไปอีกนานเท่านาน สุขสันต์วันสงกรานต์นะครับ

เปิดเรื่องราว ‘Liu Mingqun’ พนง.ทำความสะอาดในกรุงปักกิ่ง สู่การเป็น ‘สมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติ’ สมัยที่ 14

เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับประชาธิปไตยของจีน ควรจะต้องตั้งคำถามด้วยว่า คนอย่าง Liu Mingqun ผู้เป็นเพียงพนักงานรักษาความสะอาดธรรมดา ๆ คนหนึ่งจะสามารถมีสิทธิมีเสียงกลายเป็นนักการเมืองได้ทำงานในรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยของโลกตะวันตกหรือไม่???

สภาประชาชนแห่งชาติ (National People’s Congress: NPC) เป็นสภานิติบัญญัติของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำหน้าที่เป็นรัฐสภา (State) ด้วยรัฐธรรมนูญของจีนกำหนดให้สภาประชาชนแห่งชาติเป็นองค์กรอำนาจรัฐสูงสุด มีอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ, ควบคุมดูแลการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ, ตราและแก้กฎหมาย, เลือกตั้ง ถอดถอนและโยกย้ายประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี มนตรีแห่งรัฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง และตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ, ตรวจสอบและอนุมัติแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรายงานการปฏิบัติงาน, ตรวจสอบและอนุมัติงบประมาณแผ่นดินและรายงานการปฏิบัติงาน, ตัดสินใจเรื่องเกี่ยวกับสงครามและสันติภาพ ฯลฯ โดยการผ่านมติในเรื่องต่าง ๆ ต้องได้รับเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่าสองในสามของสมาชิกทั้งหมด

สำหรับสภาประชาชนแห่งชาติเป็นรัฐสภาที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในโลก โดยสมัยที่ 14 ซึ่งเป็นสมัยปัจจุบันมีสมาชิก 2,977 ที่นั่ง เป็นสตรี 790 ที่นั่ง (มากที่สุดตั้งแต่มีสภาฯ) ตัวแทนชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ 442 ที่นั่ง (รวมถึงฮ่องกง 36 ที่นั่ง มาเก๊า 12 ที่นั่ง และไต้หวัน 6 ที่นั่ง) สมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติมาจากการคัดเลือก ดำรงตำแหน่งวาระละห้าปี การจัดประชุมใหญ่ประจำปีจะจัดขึ้นทุกฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะดำเนินต่อเนื่อง 10 ถึง 14 วัน ณ อาคารมหาศาลาประชาชน ซึ่งตั้งอยู่ทิศตะวันตกของจัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่ง

Liu Mingqun เป็นสมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติสมัยปัจจุบันคือสมัยที่ 14 เธอเป็นเพียงเจ้าหน้าที่สุขาภิบาล ทำหน้าที่พนักงานทำความสะอาด ประจำสถานีจัดเก็บขยะเขต Shijingshan ในกรุงปักกิ่ง สถานีจัดเก็บขยะนี้มีหน้าที่รวบรวมและแปรรูปขยะจากครัวเรือนในพื้นที่บริการกว่า 

10,000 ครัวเรือน โดยมีกำลังการจัดเก็บขยะมากกว่า 15 ตันต่อวัน เธอมักจะไปทำงานล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมงเสมอเพื่อทำความสะอาดสถานีขยะและฆ่าเชื้อรถบรรทุกขยะ ต้องขอบคุณความพยายามอย่างต่อเนื่องของ Liu Mingqun จนทำให้สถานีจัดเก็บขยะแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘สถานีจัดเก็บขยะที่สะอาดที่สุดในกรุงปักกิ่ง’ จากเพื่อนร่วมงานของเธอและชาวบ้านผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง

หลังจากได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติแล้ว Liu Mingqun ก็ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เพื่อเก็บเกี่ยวรวบรวมความรู้ใหม่ ๆ มากขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของเธอได้ดียิ่งขึ้น เธอมักจะไปค้นคว้า พูดคุยสื่อสารกับแรงงานจากชนบทเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา และพูดคุยกับคนในชุมชนเกี่ยวกับแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่อยู่อาศัยเก่า เธอได้นำญัตติ ‘การแยกขยะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น’ แนะเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อการจำแนกประเภทขยะมานำเสนอในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติสมัยปัจจุบันคือสมัยที่ 14 ครั้งที่ 2 โดยเธอหวังที่จะปรับปรุงความแม่นยำของการจำแนกประเภทขยะในครัวเรือนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานรีไซเคิล 

(Liu Mingqun ขณะสำรวจตัวเองหน้ากระจกในสถานีจัดเก็บขยะของเขต Shijingshan ในกรุงปักกิ่ง เมืองเอกของจีน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2024)

(Liu Mingqun พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ในระหว่างการประชุมกลุ่มของคณะผู้แทนปักกิ่งในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) สมัยที่ 14 ครั้งที่ 2 ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2024)

(Liu Mingqun (ที่ 2 จากขวา) ระหว่างการประชุมกลุ่มคณะผู้แทนปักกิ่งในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) สมัยที่ 14 ครั้งที่ 2 ณ กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2024)

(Liu Mingqun เข้าร่วมการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) สมัยที่ 14 ครั้งที่ 2 ณ มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2024)

(Liu Mingqun ที่สำนักงานของสถานีจัดเก็บขยะในเขต Shijingshan กรุงปักกิ่ง เมืองเอกของจีน เเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2024 (Xinhua/Chen Zhonghao)

เรื่องราวของนักการเมืองเยี่ยงนี้ แบบนี้ เช่นนี้ ยากที่จะเกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตยอย่างแน่นอน ด้วยเพราะการเข้าสู่วงการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งคือการใช้จ่ายทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเป็นการเลือกตั้งตามคุณภาพของเงินที่ใช้ในการหาเสียง หรือซื้อเสียง แม้แต่พรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดในบ้านเราก็ใช้ทรัพยากรมหาศาลในการชวนเชื่อและสร้างกระแส ดังนั้น การเมืองในระบอบประชาธิปไตยนักการเมืองที่มีคุณภาพแต่ไม่มีเงินหรือไม่มีผู้สนับสนุนจึงยากที่จะได้เข้าไปทำหน้าที่ตามความรู้ความสามารถอย่างถูกต้องเหมาะสม ปัจจุบันทุกวันนี้เราจึงพบเห็นแต่เรื่องราวข่าวคาวฉาวโฉ้ของนักการเมืองในระบบเลือกตั้งซึ่งมีอยู่ทั่วไป ฉะนั้นเมื่อผู้เลือกตั้งและผู้รับเลือกตั้งต่างก็ไม่ซื่อสัตย์และไร้คุณภาพ การเมืองก็จะไม่ซื่อสัตย์และไร้คุณภาพ แล้วก็จะทำให้ชาติบ้านเมืองไม่ซื่อสัตย์และไร้คุณภาพตามไปด้วย…เป็นวัฏจักรเช่นนี้ตลอดไป

'ฟุตบอล' กีฬาแห่งการรวมใจคนทั้งชาติ  วิวัฒนาการพันปีที่มีจุดเริ่มจากแดนมังกร

หากพูดถึงกีฬาที่คนทั้งโลกนิยมทั้งเล่นและชม กีฬาประเภทนั้นคงไม่พ้นกีฬา 'ฟุตบอล' ซึ่งเป็นกีฬาเก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลก เก่าแก่ขนาดไหน และมาอยู่ในประเทศไทยได้อย่างไร ผมพอจะเรียบเรียงเรื่องให้อ่านกันเพลิน ๆ ได้แบบนี้ 

พอนึกถึงต้นกำเนิดกีฬาฟุตบอล เราคงจะนึกถึงประเทศอังกฤษ ประเทศที่มีทีมฟุตบอลยอดนิยมอยู่หลายต่อหลายทีม แต่คุณรู้ไหม? จุดกำเนิดของฟุตบอลมันกลับมาจากกีฬาที่เล่นกันในประเทศจีนเมื่อตั้งแต่ประมาณ ๒,๖๐๐ ปีก่อนคริสตกาล 

กีฬาโบราณของจีนที่เชื่อว่ามันคือต้นกำเนิดของฟุตบอลมีชื่อเรียกว่า 'ชู่จีว์' (蹴鞠) จากบันทึก 'สื่อจี้' ของ 'ซือหม่าเชียน' ผู้บันทึกประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่สมัยหวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) มาจนถึงสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก) ได้บันทึกไว้ว่า 'ชู่จีว์' เป็นกิจกรรมเพื่อการผ่อนคลายรูปแบบหนึ่งของประชาชนทั่วไปโดยมีกำเนิดราว ๕,๐๐๐ ปีก่อน ในสมัยก่อนเกิดจักรพรรดิ จากนั้นถูกนำเข้าไปสู่การเล่นเผื่อการผ่อนคลายของทหารในช่วงราว ๒,๕๐๐ ปีก่อนในยุคสงครามระหว่างแคว้นครั้งใหญ่ และมาได้รับความนิยมถึงขีดสุดในยุคราชวงศ์ฮั่น ในช่วง ๒๐๖ ปีก่อนคริสตกาล

'ชู่จีว์' (蹴鞠) มีความหมายตรงตัวว่า 'เตะบอล' โดยมักถูกนำไปเล่นในกองทัพเพื่อเป็นการฝึกทหาร ในสมัยราชวงศ์ฮั่นไปจนถึงยุคสามก๊กกีฬาประเภทนี้ถือว่าเป็นกีฬายอดนิยมเลยทีเดียว เพราะมีการสร้างสนามแข่งขันที่มีในค่ายทหารทุกแห่ง เรียกว่า 'จูซาง' เพื่อไว้ใช้แข่งขันโดยเฉพาะ โดยมีเสาประตูเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว และมีลูกบอลทำจากขนนก กติกาการแข่งขันก็จะคล้าย ๆ ฟุตบอลในปัจจุบันคือ แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย มีผู้เล่นฝ่ายละ ๑๒ คน ห้ามใช้มือสัมผัสลูกบอล แต่ผู้เล่นสามารถกระแทกกัน กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันได้ ชิงไหวชิงพริบ ชิงจังหวะเข้าทำประตู มีลักษณะคล้ายกับรักบี้ผสมฟุตบอล ฝ่ายไหนเตะบอลเข้าประตูของคู่แข่งได้มากกว่าฝ่ายนั้นก็คือผู้ชนะ 

ลูกบอลแบบขนนกถูกปรับมาเป็นลูกบอลหนังที่มีอากาศบรรจุไว้ภายในช่วงยุค 'ราชวงศ์ถัง' ซึ่งเป็นช่วงราชวงศ์ที่มีความเป็นปึกแผ่นสูง 'จูซาง' ได้ถูกสร้างไว้อย่างแพร่หลายในนครหลวง 'ฉางอัน' และมารุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วงสมัย 'ราชวงศ์ซ่ง' เพราะมีการแข่งขัน 'ชู่จีว์' ในรูปแบบ Tournament ซึ่งมีการเชียร์กันอย่างเอิกเกริกและเริ่มส่งต่อกีฬาประเภทนี้ไปยังประเทศอื่น ๆ ที่ได้เข้ามาค้าขายในประเทศจีน ณ ช่วงเวลานั้นอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี ไปจนถึงพ่อค้าชาวตะวันตก ซึ่งนักประวัติศาสตร์กีฬาสันนิษฐานว่า 'ชู่จีว์' น่าจะไปถึงยุโรปและพัฒนามาเป็นฟุตบอลในรูปแบบของประเทศอังกฤษในเวลาต่อมา 

จากหลักฐานยืนยันด้วยภาพวาดยุคโบราณ บันทึกและการค้นพบเหรียญบรอนซ์ที่แกะสลักเป็นรูป 'ชู่จีว์' ทำให้ ใน ค.ศ. ๒๐๐๔ การแถลงข่าวของงานมหกรรมฟุตบอลนานาชาติแห่งประเทศจีนครั้งที่ ๓ 'เซปป์ แบลตเตอร์' ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ในขณะนั้นได้ประกาศว่า 'จีนเป็นแหล่งกำเนิดของกีฬาฟุตบอล'

คราวนี้เราข้ามไปที่ฝั่งอังกฤษเพื่อรู้จักกับฟุตบอลที่แพร่หลายในปัจจุบันกันบ้าง โดยนักประวัติศาสตร์ระบุว่าคำว่า Football เกิดขึ้นโดย 'พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๒ แห่งอังกฤษ' เมื่อปี ค.ศ.๑๓๑๔ แต่คำว่า Football นี้กลับเป็นประกาศที่พระองค์ห้ามเล่นกีฬาประเภทนี้ !!! เพราะมันหนวกหูจากเสียงเชียร์และการตะโกนใส่กัน (งั้นก็แสดงว่าเขาเล่นกีฬาแย่งลูกบอลแบบนี้เล่นกันมาก่อนยุคของพระองค์แล้วสิ ???) 

ในยุคแรกกีฬาฟุตบอลของอังกฤษเริ่มต้นขึ้นในสถานศึกษาที่มีสนามหญ้า จนกระทั่งในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๕๗ กลุ่มนักเรียนเก่าในเมืองเชฟฟีลด์ (Sheffield) รวมตัวกันก่อตั้ง 'สโมสรฟุตบอลเชฟฟีลด์” (Sheffield Football Club) ขึ้นเป็นสโมสรฟุตบอลแห่งแรกของอังกฤษและของโลก โดยมีการแข่งขันครั้งแรกระหว่าง 'สโมสรฟุตบอลเชฟฟีลด์' (Sheffield Football Club) กับ กับ 'สโมสรฟุตบอลฮัลลัม' (Hallam football club) ซึ่งอยู่ในเมืองเดียวกัน ในปี ค.ศ. ๑๘๖๒ 

แต่กระนั้นการแข่งขันฟุตบอลก็ยังมีกติกาสะเปะสะปะไปตามแต่ละพื้นที่แล้วแต่ใครจะยึดถือ เช่น กฎของเคมบริดจ์และกฎของเชฟฟีลด์ ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้เล่น จนกระทั่ง FA ของอังกฤษถูกจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. ๑๘๖๓ กฎและกติกาของฟุตบอลจึงเริ่มเป็นรูปธรรมจากการประชุมครั้งแรกในกรุงลอนดอน ซึ่งมีตัวแทนจาก ๑๒ สโมสรเข้าร่วม ซึ่งตัวตั้งตัวตีในการประชุมครั้งนั้นก็คือ 'อีเบเนเซอร์ โคบบ์ มอร์ลีย์' (Ebenezer Cobb Morley) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น 'บิดาของสมาคมฟุตบอลและฟุตบอลสมัยใหม่: ซึ่งกติกาและรูปแบบการเล่นฟุตบอลก็ได้พัฒนาขึ้นจากวันนั้นมาจนถึงปัจจุบัน 

โดยการแข่งขันรายการฟุตบอลแรกของอังกฤษและของโลกก็คือการแข่งขันที่ชื่อว่า FA Cup เมื่อ ค.ศ. ๑๘๗๒ ซึ่งเป็นการแข่งขันในรูปแบบแพ้ตกรอบ แต่กระนั้นก็เป็นการแข่งขันที่ทุกสโมสรตั้งตารอเพื่อเข้าแข่งขัน เพราะมันคือรายการที่สโมสรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็มีโอกาสเข้ารอบและตกรอบได้เหมือนกัน ก่อนที่จะเกิดระบบ League ที่มีการแข่งขันเพื่อเก็บสะสมคะแนนแล้วจัดลำดับในเวลาต่อมา

แล้วในประเทศไทยล่ะกีฬาฟุตบอลเข้ามายังไง ? และเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ? 

กีฬาฟุตบอลในไทยเริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยของ 'พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ ๕ พระองค์ได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานยาเธอ และข้าราชบริพารไปศึกษาวิชาการด้านต่าง ๆ ที่ประเทศอังกฤษ โดยหนึ่งในนั้นคือ 'ครูเทพ' เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นผู้ที่นำกีฬาฟุตบอลกลับเข้ามาเล่นในประเทศไทยเป็นคนแรก ทั้งยังจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการแรกของประเทศไทยระหว่าง 'ทีมชาวบริเตนบางกอก' กับ 'ทีมกรมศึกษาธิการ' ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ โดยใช้กติกาของ FA 

เมื่อเริ่มแรกกีฬาฟุตบอลถูกคัดค้านเป็นอย่างมากด้วยเหตุผลที่ว่า สยามเป็นเมืองอากาศร้อน ทั้งยังก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เล่น และผู้ชมได้ง่าย ฯลฯ เอาว่าอะไรใหม่ ๆ ก็อย่างนี้แหละมักจะโดนค้านไว้ก่อน แต่หลังจากนั้นทุกคำครหาก็ค่อย ๆ เงียบไป เพราะ 'พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงเป็นนักเรียนเก่าจากอังกฤษทรงจัดตั้ง 'สโมสรคณะฟุตบอลสยาม' ซึ่งมีพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงลงแข่งขันเป็นผู้เล่นเอง ทั้งส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันระดับประเทศและระดับนานาชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของพระองค์อีกด้วย โดยรายการนานาชาติรายการแรกของสยามระหว่าง 'ทีมชาติสยาม' กับ 'ทีมราชกรีฑาสโมสร' เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ 

จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งชาติสยามขึ้น โดยทรงรับเข้าอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ และมี 'เจ้าพระยารามราฆพ' (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) เป็นนายกสมาคม ฯ คนแรก 

ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๕๙ รัชกาลที่ ๖ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ริเริ่มการแข่งขัน 'การแข่งขันฟุตบอลสำหรับพระราชทานถ้วยทองของหลวง' โดยถ้วยรางวัลทำด้วยทองคำแท้ขึ้น มี ๑๒ ทีมเข้าร่วม ได้แก่ นักเรียนนายร้อยทหารบก, นักเรียนนายเรือ, นักเรียนตำรวจภูธร, นักเรียนสารวัตร, กรมนักเรียนเสือป่าหลวง, เสือป่าเสนากลาง, เสือป่ากองพันพิเศษ รักษาพระองค์, กรมเสือป่าราบหลวง, กรมพรานหลวง, กรมเสือป่าม้าหลวง, กรมทหารมหาดเล็ก และกรมทหารรักษาวังซึ่งต่อมาการแข่งขันนี้จะรู้จักกันในชื่อฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. 

เมื่อแข่งขันกันครบ ๒๙ นัด ผลปรากฏว่า 'สโมสรนักเรียนนายเรือ' ที่กล่าวกันว่า 'เสด็จเตี่ย' กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อดีตนักฟุตบอลโรงเรียนนายเรือของประเทศอังกฤษ คือผู้นำกีฬาลูกหนังเข้าไปสู่รั้วโรงเรียนนายเรือ มีคะแนนเป็นอันดับที่ ๑ จากการลงสนามแบบพบกันหมด จึงได้ครองถ้วยทองของหลวงเป็นสโมสรแรก

จากฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. ซึ่งเรียกว่า 'ถ้วยใหญ่' ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เรายังมีการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานระดับชั้นที่ ๒ ของประเทศไทย โดยจัดการแข่งขันครั้งแรกในปีเดียวกัน โดยสโมสรทหารราชวัลลภ ได้ตำแหน่งชนะเลิศในรายการนี้เป็นสโมสรแรก ซึ่งในขณะนั้นเรียกว่าการแข่งขันชิง 'ถ้วยน้อย' ก่อนที่การแข่งขันในประเทศไทยจะเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย

จนในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ในรัชสมัยของ 'พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร' รัชกาลที่ ๙ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ขอพระราชทานถ้วยพระราชทานเพิ่มเติม คือ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ค. และ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ง. ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนชื่อ 'ฟุตบอลถ้วยใหญ่' และ 'ฟุตบอลถ้วยน้อย' เป็น ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. และ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ข.

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ สมาคมฟุตบอลฯ ดำเนินการจัดแข่งขัน ฟุตบอลอาชีพในระบบลีกขึ้น โดยผ่านช่วงล้มลุกคลุกคลาน ปรับเปลี่ยน มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ก่อนจะลดบทบาท ลดทอนและพัฒนามาจนเป็นการแข่งขัน 'ไทยลีก' อย่างในปัจจุบัน

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เพียงแค่อยากจะเล่าให้ทุกท่านได้สัมผัสว่า 'ฟุตบอล' มันเป็นอะไรที่มากกว่ากีฬา มันมีแหล่งกำเนิดที่หลากหลายมากกว่าที่เราจะบันทึกสรุปได้ในบทความสั้น ๆ แต่กระนั้นผมก็เชื่อว่ากีฬาชนิดนี้ยังคงเดินหน้าและเติบโตต่อไป ทั้งในเรื่องผลประโยชน์ โอกาสทางเศรษฐกิจ โอกาสแห่งชีวิต ฯลฯ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น 'ฟุตบอล' คือกีฬาที่ช่วยรวมใจคนทั้งชาติได้ เป็น 'กีฬาที่เป็นมากกว่ากีฬา' ของจริง 

WORLD

น้ำท่วมหนัก 'นครดูไบ' กระทบ 'ไฟฟ้า-น้ำประปา' ใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยเซ็ง ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

(19 เม.ย.67) น้ำท่วมหนักนครดูไบยังคงวิกฤติ ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

สถานการณ์น้ำท่วมหนักในนครดูไบยังคงวิกฤติ อาสาสมัครนำเรือยางออกไปช่วยรับส่งประชาชนตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งต้องเดินทางสัญจรไปบนท้องถนนที่จมอยู่ใต้น้ำ ในขณะที่ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาขาดแคลนอาหาร เนื่องจากปัญหาการขนส่ง ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ ขณะที่สื่อของทางการรายงานว่า ประธานาธิบดีชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน สั่งให้ทางการประเมินความเสียหาย และเร่งให้การช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 

วิเคราะห์ทุนนิยมสไตล์ 'อเมริกัน' VS 'จีน' ฝ่ายหนึ่งละ ฝ่ายหนึ่งแทรกแซงกิจการชาติอื่น

เมื่อพูดถึงเรื่องของ ‘ทุนนิยม’ ผู้คนต่างก็มักจะมองไปยังโลกตะวันตกโดยเฉพาะ ‘สหรัฐอเมริกา’ โดยลืมไปว่า ‘สาธารณรัฐประชาชนจีน’ ก็มีระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็น ‘ทุนนิยม’ เฉกเช่นเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่มีระบอบการปกครองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ ‘คอมมิวนิสต์’ กับ ‘ประชาธิปไตย’ 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองตามติดสหรัฐอเมริกาชนิดหายใจรดต้นคอได้ก็ด้วยเพราะ ระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นับตั้งแต่ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนในยุค 1980 ได้นำหลักการตามแนวคิด ‘ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี’ มาใช้ขับเคลื่อนประเทศ

ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นี้เองที่ทำให้จีนใช้เวลาเพียงไม่ถึง 40 ปี ในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากความล้าหลังมากมาย จนกลายเป็นความล้ำสุด ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ ‘กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของโลก’ ได้เกือบทุกชนิดในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยมี ‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจอันดับหนึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด

ทั้งนี้ หากนำความหมายของคำว่า ‘ทุนนิยม’ (Capitalism) อันเป็นระบบเศรษฐกิจซึ่งนายจ้างเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิต ควบคุมการค้า อุตสาหกรรม และวิถีการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรในเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้...

(1) เอกชนสามารถถือครองทรัพย์สินได้มากเท่าที่จะหามาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 
(2) การแข่งขันเสรี ซึ่งจะทำให้ผู้ขายเสนอราคาที่เหมาะสมที่สุดด้วยศักยภาพการผลิตที่ดีที่สุด 
(3) ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งอนุญาตให้เอกชนสามารถลงทุนในการผลิตหรือใช้จ่ายเงินเพื่อหาซื้อสินค้าและบริการได้ตามความสามารถและความต้องการ โดยไม่มีกฎระเบียบหรือข้อบังคับจากรัฐบาล ด้วยเชื่อว่าที่สุดแล้วจะทำให้ราคาของสินค้าและบริการอยู่ในจุดสมดุลที่ผู้ซื้อและผู้ผลิตเห็นตรงกันว่าราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสม 
(4) มีความอิสระในการบริหาร โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล 

ด้วยบริบทดังกล่าวนี้ที่ว่ามานี้ ทำให้ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของจีนและสหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดเลย

นับตั้งแต่จีนปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปตามแนวทาง ‘ทุนนิยม’ ระบบเศรษฐกิจของทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็เกื้อหนุนกันมาโดยตลอด ระบบเศรษฐกิจของจีนโดยรวมก็เติบโตและมีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐฯ เองบรรดาผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีนต่างก็ได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

ทว่า ก็มีความแตกต่างจากประโยชน์ของสองประเทศที่ได้รับ อาทิ จีนเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจโดยภาพรวมกับประชาชนทุกระดับชั้น ในขณะที่สหรัฐฯ กลับอยู่กับเพียงคนกลุ่มเดียว (ผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีน) ในขณะที่ประชาชนชาวอเมริกันได้ประโยชน์เพียงการได้บริโภคสินค้าราคาถูกจากจีน 

อย่างไรก็ตาม ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของสองประเทศนี้ต่างก็สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชาวโลก 

ถึงกระนั้น หากดูหากภูมิหลัง ความต่อเนื่อง และบริบท ฯลฯ จะพบบทบาทและลักษณะที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของโลกที่มีความแตกต่างกันจากทั้งสองประเทศ ดังนี้...

ความเป็น ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ มีมาต่อเนื่องยาวนานกว่าร้อยปี จึงมีพัฒนาการและการแผ่ขยายและแพร่กระจายที่เห็นได้ชัดเจนกว่า โดยสหรัฐฯ ตั้งอยู่บนทวีปอเมริกาเหนือและเชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้ การขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินจึงทำได้เพียงสองประเทศ 

ในขณะที่จีนตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและประชากรมากที่สุด ทั้งยังสามารถขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินได้จนถึงทวีปยุโรปซึ่งอยู่ติดกัน อันเป็นที่มาของนโยบาย ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative (BRI) หรือ One Belt One Road (OBOR))’ เพื่อเชื่อมจีนกับสังคมโลกด้วยระบบเศรษฐกิจเครือข่าย

กลับกัน สหรัฐฯ ซึ่งหากจะเชื่อมต่อกับทวีปอื่น ๆ จำเป็นต้องใช้การขนส่งทางน้ำและทางอากาศ สหรัฐฯ จึงยังคงใช้นโยบาย ‘เรือปืน’ (Gunboat Diplomacy) ด้วยการมีฐานทัพทางทหารอยู่ทั่วโลกกว่า 800 แห่ง มีกำลังทางเรือและกำลังทางอากาศที่สามารถปฏิบัติการได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง 

ดังนั้น หากมองพัฒนาการ ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ ที่มีความต่อเนื่องยาวนานกอปรกับนโยบาย ‘เรือปืน’ ปฏิสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ทั่วโลก จึงมีความเป็นระบบมากกว่า และดำเนินการโดยบริษัทการค้าข้ามชาติของสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ และได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายที่เอื้อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ จากรัฐบาลอเมริกัน 

จากนั้น บริษัทอเมริกันต่าง ๆ จึงสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างสะดวกสบายโดยมีรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลังพิง (Back-up) ตราบใดที่ยังคงเสียภาษีให้กับรัฐอย่างถูกต้อง ไม่ทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ (และให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ของอเมริกันทั้งสองพรรค) 

ทั้งนี้ หากมองปฏิสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นไปในระดับบนหรือระดับชาติเป็นส่วนใหญ่นั้น เพราะสหรัฐฯ เองเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มากเกือบเท่ากับจีน แต่กลับมีประชากรเพียงหนึ่งในสี่ของประชากรจีน ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ จึงแทบจะไม่เห็น พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวอเมริกันมาประกอบธุรกิจขนาดเล็กในประเทศต่าง ๆ 

ขณะที่จีน ซึ่งมีพลเมืองกว่า 1.4 พันล้านคน จะพบว่ามีพ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีนออกมาประกอบธุรกิจมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยของเรา

ฉะนั้น ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีน จะออกมาประกอบธุรกิจการค้าในต่างแดน โดยไม่มีรัฐบาลจีนเป็นหลังพิง (Back-up) เหมือนกับบรรดาบริษัทอเมริกันทั้งหลาย จึงต้องทำตามกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติของตามแต่ละประเทศนั้น ๆ 

แน่นอนว่า ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดในการปฏิบัติ ก็จะไม่มีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายของคนเหล่านั้น แต่กลับกันในประเทศที่ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายหย่อนยาน ไม่เคร่งครัด ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ละโมบ โลภมาก ก็จะมีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น ดังเช่นเรื่อง 'จีนเทา' ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ซึ่งต้องยอมรับว่า เกิดจากความหย่อนยานในการปฏิบัติ ความละโมบโลภมาก เห็นแก่อามิสสินจ้าง ความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของผู้มีอำนาจ ฯลฯ ของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเหล่านั้น 

อันที่จริงเรื่องของการกระทำผิดกฎหมาย อาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม หากเราทราบเรื่อง มีเบาะแส เกี่ยวกับความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นทั้งหลายทั้งปวง ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการทันที 

...และหากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพิกเฉยละเลย ในปัจจุบันก็มีช่องทางมากมายในการติดตามหรือเร่งรัด ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด, กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.), คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องของรัฐสภา, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลปกครอง เป็นต้น

สำหรับบ้านเราแล้ว ปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ จีน สามารถจัดการแก้ไขได้ง่ายกว่าปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ อเมริกัน เพราะในเรื่องของการทำผิดกฎหมายแล้ว รัฐบาลจีนจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซงกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวจีนหรือบริษัทไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมาย ถ้ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรม 

หากแต่ถ้าเป็นประเทศตะวันตกอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาแล้ว รัฐบาลอเมริกันพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวอเมริกันหรือบริษัทอเมริกันไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมายในเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ไม่ว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรมหรือไม่ก็ตาม 

'อิหร่าน' ขู่!! ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ของ 'อิสราเอล' ลั่น!! รู้ว่าซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง ปราม!! อย่าแหยมอีก

(19 เม.ย. 67) เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เตือนเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ว่า เตหะรานทราบดีถึงตำแหน่งที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิสราเอล และมีศักยภาพโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของรัฐยิว ในกรณีที่พวกเขาถูกโจมตีก่อน ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น

ความตึงเครียดโหมกระพือหนักหน่วงขึ้นในตะวันออกกลางในเดือนนี้ ตามหลังเหตุโจมตีสถานกงสุลของอิหร่านประจำกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน ซึ่งว่ากันว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล สังหารสมาชิกกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม 7 นาย เตหะรานแก้แค้นในสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการปล่อยโดรนและยิงขีปนาวุธห่าใหญ่เล่นงานอิสราเอล แต่ส่วนใหญ่ถูกสอยร่วงโดยรัฐยิวและบรรดาชาติตะวันตก ผู้สนับสนุนของอิสราเอล

แม้ขณะนี้อิสราเอลยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้วิธีการใดตอบโต้การโจมตีของอิหร่าน แต่วิธีหนึ่งที่กำลังสร้างความกังวลไปทั่วโลก นั่นคือการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ในอิหร่าน ซึ่งความเป็นไปได้ดังกล่าวนี้เองกระตุ้นให้เตหะรานออกมาขู่กลับเช่นกัน

"ทำเลที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิสราเอลถูกพบแล้ว และเรามีข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดเกี่ยวกับเป้าหมายต่าง ๆ ที่เราต้องการกำจัดในปฏิบัติการตอบโต้ของเรา" พันเอกอาห์หมัด ฮักตาลับ แห่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านกล่าว ตามรายงานของทาสนิม สื่อมวลชนกึ่งรัฐ "มือของเราอยู่บนไกปืน ที่จะลั่นไกปลดปล่อยขีปนาวุธทรงพลังงานและทำลายเป้าหมายเหล่านั้น"

เตหะราน กล่าวว่า พวกเขากำลังหาทางคลี่คลายสถานการณ์ แต่ทางอิสราเอลประกาศจะโจมตีตอบโต้โดยไม่เปิดเผยว่าจะดำเนินการแบบไหนและเมื่อไหร่ ในเรื่องนี้ พันเอกฮักตาลับ เชื่อว่าอิสราเอลกำลังพิจารณาปฏิบัติการทางทหารเพิ่มเติม เป็นไปได้ว่าจะเล็งเป้าอุตสาหกรรมทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน และหากเป็นเช่นนี้ อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของอิสราเอลจะถูกเล่นงานในการโจมตีแก้แค้นเช่นกัน

ที่ผ่านมา อิสราเอลไม่เคยยืนยันหรือปฏิเสธเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทางสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ประเมินว่าอิสราเอลน่าจะมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ราว 80 ลูก ในนั้นเป็น gravity bombs จำนวน 30 ลูก และหัวรบนิวเคลียร์สำหรับขีปนาวุธพิสัยกลาง 50 ลูก ในขณะที่ พันเอกฮักตาลับ ไม่ได้เจาะจงว่าที่ตั้งทางนิวเคลียร์ใดบ้างที่อิหร่านเล็งไว้สำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้

อิสราเอล กล่าวหา อิหร่าน ว่าลอบพัฒนาแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ของตนเองแบบลับ ๆ มานานหลายทศวรรษแล้ว และ กิลาด เออร์ดาน ผู้แทนทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ กล่าวอ้างเมื่อวันอาทิตย์ (14 เม.ย.) ว่าเตหะรานเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ลูกหนึ่งสำเร็จ เขาเร่งเร้าให้บรรดาสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ พิจารณาว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าอิหร่านเปิดฉากโจมตีประเทศของพวกเขาด้วยระเบิดนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างนี้ถูกปฏิเสธโดยทบวงพลังงานปรมาณูสากล

พันเอกฮักตาลับ เปิดเผยด้วยว่า พวกผู้นำอิหร่านเน้นย้ำพวกเขามองอาวุธทำลายล้างสูงทุกชนิดเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้กับโลกอิสลาม แต่มีความเป็นไปได้ที่เตหะรานจะพิจารณาทบทวน ‘ยุทธศาสตร์และนโยบายทางนิวเคลียร์’ หากว่าอิสราเอลยังคงคุกคามที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของพวกเขา

ทั้งนี้ พันเอกฮักตาลับ บอกว่าปกติแล้วที่ตั้งทางนิวเคลียร์มักถูกพิจารณาอยู่นอกเหนือปฏิบัติการทางทหาร แต่การที่อิสราเอลโจมตีสถานกงสุล สำนักงานทางการทูตที่ได้รับการคุ้มครองในระดับนานาชาติ เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า อิสราเอลไม่ได้สนใจเล่นตามกฎใด ๆ

© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top