Sunday, 15 September 2024
NEWS

‘ก.พลังงาน-กฟผ.’ เคียงข้างคนไทยทุกวิกฤต เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่เชียงราย ส่งมอบ ‘ถุงยังชีพ-น้ำดื่ม’ กว่า 3,000 ชุด พร้อมประเมินสถานการณ์ น้ำในเขื่อน

(14 ก.ย.67) นายจรัญ คำเงิน รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วย นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. นายปรศักดิ์ งามสมภาค พลังงานจังหวัดเชียงราย และคณะผู้บริหาร กฟผ. ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยส่งมอบถุงยังชีพ 1,000 ชุด พร้อมน้ำดื่มน้ำใจ กฟผ. จำนวน 1,000 แพ็ก แจกจ่ายบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่สาย วัดพรหมวิหาร หมู่บ้านปิยพร ม.13 ชุมชนบ้านยาง ม.6 บ้านเหมืองแดง หมู่ 1 บ้านเวียงหอม ม.4 และบ้านป่าซาง

นอกจากนี้ จะทยอยส่งมอบถุงยังชีพ และน้ำดื่มน้ำใจ กฟผ. อีกกว่า 2,000 ชุด ดังนี้ 1) วันที่ 16 กันยายน 2567 มอบถุงยังชีพและน้ำดื่ม 500 ชุด แก่พื้นที่อำเภอแม่จัน 2) วันที่ 16 กันยายน 2567 มอบถุงยังชีพและน้ำดื่ม 500 ชุด แก่พื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง และ 3) วันที่ 17 กันยายน 2567 มอบถุงยังชีพและน้ำดื่ม 1,000 ชุด แก่พื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย และยังคงช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องต่อไป

กฟผ. ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการระบายน้ำที่เหมาะสม ต่อการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย โดยสถานการณ์น้ำเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ณ วันที่ 14 กันยายน 2567 มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ที่ 6,843 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 51 ของความจุอ่าง ยังสามารถรับน้ำได้อีก 6,619 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 49

ซึ่ง กฟผ. ได้ระบายน้ำขั้นต่ำที่สุดเพื่อให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และการรักษาระบบนิเวศท้ายเขื่อน วันละ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร

ด้านเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ที่ 7,826 ร้อยละ 18 มีแผนการระบายน้ำวันละ 14 ล้านลูกบาศก์เมตร 

ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของ กฟผ. ได้จาก https://water.egat.co.th/ หรือทางแอปพลิเคชัน EGAT One

‘สว.นครศรีธรรมราช’ อภิปรายในสภาฯ ชี้!! ปัญหาบริหารจัดการขยะ หลังมีชาวบ้านมาร้องเรียน ย้ำ!! นี่คือปัญหาระดับชาติ ที่ต้องเร่งแก้ไข

(14 ก.ย.67) นายณัฐกิตติ์ หนูรอด สมาชิกวุฒิสภา จ.นครศรีธรรมราช ได้นำเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน กรณีปัญหาบ่อขยะ ต.ช้างซ้าย อ.พระพรพม จ.นครศรีธรรมราช ไปอภิปรายในสภา เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยลงไปตรวจสอบ และสอบถามความคิดเห็นจากประชาชน โดยณัฐกิตติ์ อภิปรายว่า มีเรื่องราวชาวบ้านร้องทุกข์การบริหารจัดการขยะ ซึ่งถือว่าไม่ใช่เป็นปัญหาระดับท้องถิ่น แต่เป็นปัญหาระดับชาติ โดยตนได้รับการร้องเรียนจากนายสมชาย เต็มดวง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ต.ท่าเรือ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมแนบรายชื่อผู้ได้รับความเดือดร้อน และคัดค้านโครงการ 600 คน สาระสำคัญของหนังสือร้องเรียนคือ

ในขณะนี้มีบริษัทแห่งหนึ่ง ได้เข้าไปขุดบ่อขนาดใหญ่ เพื่อก่อสร้างบ่อกำจัดขยะแบบฝังกลบ บริเวณ ม.8 ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม ทำให้ประชาชนในพื้นที่ และในพื้นที่หมู่ 4,5,15 และ 19 ต.ท่าเรือ และต.ดอนตรอ ต.ทางพูน อ.เฉลิมพระเกียรติ์ ได้รับผลกระทบทั้งด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ซึ่งตอนนี้มีบุคคลที่ได้รับผลกระทบร่วมลงชื่อมาแล้ว 2000 คน

ณัฐกิตติ์ อภิปรายย้ำว่า การบริหารจัดการขยะ มีทั้งด้านบวก และลบ อยากให้กระทรวงมหาดไทยลงไปตรวจสอบ และสอบถามความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหา เพื่อจะได้รับรู้ร่วมกัน แก้ไขปัญหาร่วมกัน

กล่าวสำหรับบ่อกำจัดขยะช้างซ้าย ดำเนินโครงการโดยบริษัทเอกชน ในนามบริษัท ช้างซ้าย กรีน จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีตระกูลดังทางการเมืองท้องถิ่น และระดับชาติถือหุ้น รับกำจัดขยะจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช และ/หรือจังหวัดข้างเคียง ด้วยวิธีฝังกลบบนเนื้อที่เกือบ 200 ไร่

โครงการเริ่มมีการขุดบ่อ ยกระดับถนนเข้าพื้นที่ และอยู่ระหว่างการเดินสำรวจรังวัด เพื่อออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน (โฉนด) เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินว่างเปล่า และมีชาวบ้านอยู่อาศัยบางส่วนโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์

สภาพพื้นที่เป็นป่าพรุน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี เป็นแหล่งรับน้ำและไหลลงสู่ลำคลองต่าง ๆ หลายสาย ผลกระทบ มีบ้านชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ 20 เมตรอยู่บริเวณปากบ่อได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพกลิ่นแมลงหนอน ซึ่งเป็นผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ชุมชนที่อยู่ใกล้สุดประมาณ 300 เมตรโรงเรียน 600 เมตร วัด 700 เมตร แหล่งน้ำดิบสำหรับการใช้ทำประปาหมู่บ้านของอบต.ท่าเรือประมาณ 600 เมตร

ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทั้งในปัจจุบัน และคาดว่าจะได้รับผลกระทบในอนาคต รวมตัวกันคัดค้านมาแล้วหลายครั้ง และวันที่ 15 กันยายน เวลา 09.00 น.ชาวบ้านก็นัดมารวมตัวคัดค้านอีกครั้ง เพื่อให้ข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน

ล่าสุดผู้บริหารบริษัท ช้างซ้าย กรีน จำกัด ได้แจ้งขอยกเลิกการขออนุญาตสร้างบ่อกำจัดขยะกับทางองค์การบริหารส่วนตำบลช้างซ้ายแล้ว จนกว่าจะได้รับความยินยอมจากชาวบ้าน

การใช้คำว่า จนกว่าจะได้รับความยินยอมจากชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านคลางแคลงใจว่า บริษัทยังมีความพยายามต่อไปในการสร้างบ่อกำจัดขยะ

ในส่วนของการเดินสำรวจรังวัดเพื่อออกเอกสารสิทธิ์นั้น สำนักงานที่ดินเตรียมแจกเอกสารสิทธิ์แล้ว แต่ชาวบ้านร้องค้านไว้ทัน การแจกเอกสารสิทธิ์จึงต้องชะลอไว้ก่อน

กล่าวสำหรับการผลักดันบ่อกำจัดขยะโดยเอกชนเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับบ่อกำจัดขยะทุ่งท่าลาดล้นเป็นภูเขาขยะ จนสภาทนายความโดยสมพร ดำพริก และคณะได้ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐ 10 กว่าหน่วยงานต่อศาลปกครอง ให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขปัญหา ศาลปกครองสั่งคุ้มครองชั่วคราว และให้แก้ไขปัญหา 2 ประการ แต่จนถึงขณะนี้ทางเทศบาลนครนครศรีธรรมราชก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และในที่สุดทางเทศบาลนครนครศรีธรรมราชได้สั่งปิดบ่อกำจัดขยะทุ่งท่าลาด มีผล 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป

ประเด็นปัญหาคือ เมื่อบ่อกำจัดขยะทุ่งท่าลาดปิดตัวลง บ่อขยะใหม่ของเทศบาล หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีศักยภาพ ก็ไม่มี บ่อกำจัดขยะของเอกชนก็ยังไม่เกิด

นครศรีธรรมราชจะกลายเป็นเมืองที่มีปัญหา ‘วิกฤตขยะ’ แน่นอน

'สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จัดที่พักและอาหาร ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 'จังหวัดเชียงราย'

กรณีอุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีความห่วงใยประชาชน จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. กำกับดูแลและสั่งการให้ตำรวจทุกหน่วยช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทุกภัย รักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน จัดระบบการจราจรในพื้นที่ที่ประสบภัยและพื้นที่ใกล้เคียง เพิ่มความเข้มในการตรวจตราและระวังป้องกันคนร้ายอาศัยโอกาสในช่วงอุทกภัย ก่อเหตุประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน อันเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบภัย ตลอดจนให้ความสำคัญในการร่วมบูรณาการกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ ภ.จว.เชียงราย ประสานความร่วมมือและร่วมบูรณาการกับผู้ประกอบการในพื้นที่ จัดตั้ง 'ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' ณ โรงแรมศิลามณี รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยได้จัดเตรียมห้องพักเพื่อรองรับให้ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้เข้าพัก จำนวน 160 ห้อง พร้อมอาหารและน้ำดื่ม 3 มื้อ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งในปัจจุบัน มีประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยเข้าพักแล้ว จำนวน 100 ห้อง โดยจะเปิดดำเนินการไปตลอด จนกว่าสถานการณ์อุทกภัยจะคลี่คลาย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมระดมสรรพกำลัง เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยอย่างเต็มกำลัง เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ประชาชนอย่างแท้จริง

สตม.รวบ 2 หนุ่มรับเหมาสุดแสบ เปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างบังหน้าลักลอบเป็นนายหน้าจัดหาแรงงานแถมพร้อมเอกสารทำงานปลอมให้เบ็ดเสร็จ

กก.สส.บก.ตม.1 จับกุม
1. นายเก่ง (นามสมมติ) อายุ 45 ปี สัญชาติไทย โดยกล่าวหาว่าปลอมเอกสารราชการและโดยรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้รอดพ้นจากการจับกุม
2. นายออฟ (นามสมมติ) อายุ 44 ปี สัญชาติไทย โดยกล่าวหาว่าโดยรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้รอดพ้นจากการจับกุม
3. นายนาย (นามสมมติ) อายุ 22 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 5 คน โดยกล่าวหาว่าใช้เอกสารราชการปลอมและเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. นายเนียง (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 3 คน โดยกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
5. นายอ่อง (นามสมมติ) อายุ 29 ปี สัญชาติเมียนมา โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด

นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริษัทตั้งอยู่ในซอยกาญจนาภิเษก 8 แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพฯ    

กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้สืบทราบว่ามีการลักลอบนำคนต่างด้าวผิดกฎหมายมาพักไว้ที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านบางแค กรุงเทพฯ เพื่อรอให้มีนายจ้างที่ต้องการใช้แรงงานติดต่อว่าจ้างงานและเมื่อได้งานจะมีการทำเอกสารทะเบียนใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ปลอมให้แล้วจึงให้รถมารับเพื่อไปทำงานกับนายจ้างที่ได้ติดต่อไว้ 

โดยได้รับค่านายหน้าตอบแทนจึงได้เดินทางไปสืบสวนหาข่าวบริเวณบริษัทดังกล่าว พบรถกระบะตู้ทึบมีคนลักษณะคล้ายคนต่างด้าวโดยสารอยู่ในกระบะตู้ทึบและรถคันดังกล่าวกำลังขับออกจากบริษัท จึงได้แสดงตัวเพื่อขอตรวจสอบเอกสารคนต่างด้าวที่โดยสารอยู่ในกระบะตู้ทึบ เบื้องต้นได้นำเอกสารทะเบียนใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบโดยการสแกนคิวอาร์โค้ดที่อยู่ตรงบริเวณมุมขวาล่างของเอกสารที่ผู้ถูกจับมาแสดงพบความผิดปกติ กล่าวคือ ปกติเมื่อทำการสแกนคิวอาร์โค้ดดังกล่าวจะปรากฏข้อมูลของผู้ขออนุญาตทำงานแต่ของผู้ถูกจับกลับเป็น me-qr./com 

ซึ่งไม่ใช่เว็ปไซต์ของทางราชการ จึงได้ทำการตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่จัดหางานเบื้องต้นพบว่าข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลไม่ตรงกัน เชื่อได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้นและจากการสอบถามคนขับรถได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าได้รับคนต่างด้าวมาจากบริษัทดังกล่าวและยังมีคนต่างด้าวอีกจำนวนหนึ่งพักอยู่ด้านบนบริษัท จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อเดินทางไปถึงพบนาย เก่ง (นามสมมติ) และนาย ออฟ (นามสมมติ) อยู่ในที่เกิดเหตุ 

จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองและแจ้งวัตถุประสงค์เพื่อทำการตรวจสอบภายในบริษัทดังกล่าว ผลการตรวจสอบพบคนต่างด้าว 4 ราย หลบซ่อนตัวอยู่ภายในอาคารบริษัทดังกล่าว ซึ่งคนต่างด้าว 3 ราย ไม่สามารถแสดงเอกสารใด ๆ ได้ ส่วนอีก 1 ราย แสดงหนังสือเดินทางประเทศเมียนมา เมื่อตรวจสอบพบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2566 โดยไม่ปรากฏว่าได้ขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรอีกแต่อย่างใด 

จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิให้ทราบ ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ทำการตรวจสอบบริเวณภายในที่ทำการสำนักงานพบเอกสารทะเบียนใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 อยู่บริเวณโต๊ะทำงานของนายเก่ง จำนวน 58 ชุด และเมื่อทำการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าข้อมูลอัตลักษณ์ไม่ตรงกับข้อมูลในเอกสารจึงได้ทำการตรวจยึดเอกสารดังกล่าว และเมื่อตรวจสอบคอมพิวเตอร์ในสำนักงาน พบว่ามีไฟล์เอกสารเกี่ยวการทำงานของต่างด้าวอยู่ในเครื่องมีการใช้โปรแกรมแก้ไขข้อมูลอัตลักษณ์ให้กับคนต่างด้าวที่ประสงค์จะมีเอกสารดังกล่าวไว้ใช้เพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ และมีการส่งข้อมูลไฟล์เอกสารที่ได้ทำการแก้ไขแล้วให้กับลูกค้าทางแอปพลิเคชันไลน์ จึงได้ทำการตรวจยึดหลักฐานและเอกสารประกอบการจับกุมทั้งหมดไว้ดำเนินคดี

POLITICS

นายกฯ อิ๊งค์ 'ผ่าน' แต่อนาคตน่าห่วง รุ่นใหม่ พท. ยกระดับเบียดขยี้พรรคส้ม

มีสถานการณ์ที่เกี่ยวกับเหตุบ้าน 'การเมือง' มากมายหลายประเด็นที่อยากจะเขียนเป็นรายงานสัก 3-4 หน้ากระดาษ  แต่ด้วยพื้นที่เล็กๆ ของ 'เลียบการเมือง' ขอใช้วิธีสรุปไฮไลต์ที่อยากหมายเหตุเอาไว้โดยเฉพาะการแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อ 12-13 ก.ย.ที่ผ่านมาให้เป็นที่ประจักษ์ ณ วันนี้ ดังนี้...

1) กรณีแถลงนโยบาย
- นโยบายเร่งด่วน 10 ประการของรัฐบาลไม่มีอะไร 'ว้าว' กลางสภาฯ เพราะทักษิณ ชินวัตร เปิดว้าวไปก่อนแล้วเมื่อ 22 ส.ค.67 แต่ที่น่าจับตานโยบายเร่งด่วนร้อนๆ อย่าง เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์, พลังงาน และพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา, แลนด์บริดจ์...จะเป็นองศาเดือดทางการเมือง ทำให้รัฐบาลเอียงกะเท่เร่หรือไม่? อย่างไร?

- กรณีนโยบาย ดิจิทัล วอลเล็ต แจก 1 หมื่นบาท ได้บทสรุปว่าจะแจกเฟสแรก 14.2 ล้านคนกลุ่มเปราะบาง จากงบฯ 2567 จำนวน 1.45 แสนล้านบาทที่มีอยู่ภายในวันที่ 25 ก.ย.67 ส่วนเฟสสองคำตอบจากในสภาและนอกสภาพอจะอนุมานสรุปได้ว่า...ไม่น่าจะมี รัฐจะช่วยเหลือในรูปแบบอื่น กรณีนี้จะกลายเป็นการ 'เสียรังวัด' ครั้งสำคัญของรัฐบาลนายกฯ อิ๊งค์

- ภาพรวมการแถลงนโยบาย นายกฯ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร สอบผ่านแบบหวุดหวิด ถ้าไม่มีเหตุต้องไปตรวจอุทกภัยภาคเหนือต้องอยู่ในสภาฯ สองวันอาจสอบตกก็เป็นได้...และน่าเสียดายที่ยังไม่ใช้เวลาสภาในวันแรกให้เป็น 'นาทีทอง' ในการโชว์กึ๋น โชว์วิสัยทัศน์แบบชัดๆ ให้ขาเชียร์ได้กรี๊ดซักกรี๊ด...การพูดถึง...วาทกรรมเกลียดชัง ฝ่ายค้านเป็นฝ่ายแค้น...นั้น ถึงที่สุดมันก็คือ 'การเมืองเรื่องวาทกรรม' เหมือนกัน...

- ซีก สส.ฝ่ายค้าน พรรคประชาชน ที่นำโดยณัฐวุฒิ เรืองปัญหาวงษ์ หน.พรรค, ศิริกัญญา ตันสกุล รองหน.พรรค อภิปรายได้ตามมาตรฐานของตัวเองและพยายามเชื้อเชิญนายกฯ อิ๊งค์ ออกมาทำยุทธหัตถี (แต่ไม่ประสบความสำเร็จ) ฝ่ายค้านอีกหลายคนก็ได้ยกระดับฝีมือของตัวเองได้อย่าง น่าจับตา เช่น ศุภโชติ ไชยสัจ (เรื่องพลังงาน), ภคมน หนุนอนันต์ (เรื่องแลนด์บริดจ์) ฯลฯ

- ขณะที่ซีกรัฐบาล ต้องยอมรับว่ารอบนี้ สส.คนรุ่นใหม่พรรค เพื่อไทย ได้ยกระดับ-ทำการบ้านมาอภิปรายได้น้ำได้เนื้อดีกว่าอภิปรายเรื่องงบประมาณฯหรือรอบอื่นๆ ไม่ว่า นิกร โสมกลาง  สส.โคราช, ขัตติยา สวัสดิผล (บัญชีรายชื่อ), รวี  เล็กอุทัย (อุตรดิตถ์), ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ (บัญชีรายชื่อ) ฯลฯ ... จากนี้ไปน่าจะได้เห็น 'รุ่นใหม่เพื่อไทย' ประชันขันแข่ง 'รุ่นใหม่พรรคส้ม' ได้แบบน่าดูชม เหลือแต่ 'รุ่นใหม่ภูมิใจไทย' ที่จะต้องรีบโชว์กึ๋นอีกหน่อย...

- ในขณะที่พรรคอื่นๆ เช่น รวมไทยสร้างชาติ บทบาทเด่น กลับไปโฟกัสอยู่ที่คนรุ่นใหม่อย่าง เอกนัฏ พร้อมพันธ์ เลขาธิการพรรค ในฐานะรมว.อุตสาหกรรม และสส.บัญชีรายชื่อ...ที่ประกาศนโยบายและปณิธานการทำงาน...

2) สงครามสองบ้าน-อนาคตอิ๊งค์...
- สรุปสั้นๆ ได้เพียงว่า กรณี 'คลิปลุง' หลุดออกมานั้น เป้าหมายหลักก็เพื่อหยุดและบดขยี้แนวรบบ้านในป่าที่เป็นเสมือนเสี้ยนหนามในรองเท้ารัฐบาลให้สิ้นซาก...เป็นสงครามบ้านจันทร์ส่องหล้า-บ้านในป่า ภาคสุดท้าย...หมัดเด็ดของบ้านในป่าคือ การใช้กฎหมายที่เรียกว่า 'นิติสงคราม'...ล่าสุดไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พรรคพลังประชารัฐ ตอบโต้เรื่องคลิปด้วยการฟ้องเรียกค่าเสียหาย 50 ล้าน และให้ กสทช.ยุบรายการ 'เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์' ทางช่อง 9 อสมท.ของ 'หมาแก่'...

- แม้ขณะนี้จะมีเรื่องร้องเรียน กล่าวหารัฐบาล-ตัวนายกฯ และพรรคเพื่อไทยสารพัดสารพัน แต่กว่าเรื่องราวต่างๆ จะตั้งแฟ้มตั้งเรื่องว่าจะปัดตกหรือเดินหน้าต่อไป อย่างเร็วก็อีก 3-4 เดือนข้างหน้า...นายกฯ ไม่ต้องมาเสียสมาธิกับเรื่องราวเหล่านี้ เพราะมีทีมงานที่จะดำเนินการอยู่แล้ว...โจทย์ใหญ่ของนายกฯ อิ๊งค์คือ ใน 2-3 เดือนนี้ ต้องแสดงฝีมือการทำงาน-โชว์กึ๋นให้เป็นที่ประจักษ์สักเรื่องสองเรื่อง...แม้ว่ารอบนี้เข้ามาทำงานโดยไม่มีกติกา 'ทดลองงาน' หรือ Probation ก็ตาม...

- 'เล็ก เลียบด่วน' ทำโพลส่วนตัวมาแล้ว...พบว่านับจากวันถวายสัตย์ปฏิญาณตน จนถึงวันที่ 14 ก.ย.ที่เขียนต้นฉบับ...หากใช้ระบบทดลองงานโอกาสที่จะผ่านโปรฯ อยู่ที่ 50/50...ต้องฮึดและปรับกระบวนท่ามีสมาธิอีกพอประมาณ !!

งานหนัก!! ‘บิ๊กอ้วน’ แต่งตั้งโยกย้ายทหารระดับนายพล ‘บิ๊กปู-ทัพบก’ ไม่น่าพลิก ส่วน ‘บิ๊กแมว-ทัพเรือ’ รอลุ้น

ในจันทร์ที่ (16 ก.ย. 67) เวลา 10.00 น. คงเป็นทั้งฤกษ์งามยามดีและฤกษ์สะดวกที่ ‘บิ๊กอ้วน’ หรือ ‘สหายใหญ่’ - ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหม เจ้าของรหัสเรียกขาน ‘สนามไชย 1’ จะไปสักการะศาลหลักเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกระทรวงกลาโหม ก่อนจะไปรับฟังบรรยายสรุป-มอบนโยบายและรับประทานอาหารกับปลัดกลาโหม ผบ.เหล่าทัพ     

แน่นอนภาพการตรวจแถวกองทหารเกียรติยศของ ‘บิ๊กอ้วน’ จะถูกโฟกัสและใครหลายคนที่ยังมีอารมณ์ค้าง ปมประเด็นความเป็น ‘สหายใหญ่’ ก็คงจะนำไปเม้าท์มอยตามประสา...ซึ่งภูมิธรรมก็คงจะทำใจปลงใจเอาไว้แล้ว คงไม่หนักใจเท่ากับการบ้านที่จะต้องทำให้บรรลุนโยบายและวัตถุประสงค์…

เฉพาะหน้า…มีโจทย์ร้อนที่ ‘สนามไชย 1’ จะต้องถอดสลักก็คือ โผทหารร้อน ๆ ที่รมว.กลาโหม คนก่อน (สุทิน คลังแสง) ประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพล หรือ ‘บอร์ดโยกย้าย’ 6 คน ได้เคาะเอาไว้เป็นเบื้องต้นแล้ว ซึ่งน่าสนใจก็คือในส่วนของกองทัพบก และ กองทัพเรือ…

เอาเฉพาะไฮไลต์ขอแปะโผร้อน ๆ ไว้ดังนี้ 

>>กองทัพบก
-พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) เสธ.ทบ. เป็น ผบ.ทบ.
-พล.อ.ณัฐวุฒิ นาคะนคร (ตท.24) ที่ปรึกษาพิเศษทบ.เป็น รอง ผบ.ทบ.
-พล.อ.วสุ เจียมสุ (ตท.25) รองผอ.สนง.รมน.เป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ.
-พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ (ตท.26) แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้ช่วย ผบ.ทบ.
-พล.ท.ธงชัย รอดย้อย (ตท.25) รองเสธ.ทบ.เป็น เสธ.ทบ. 
-พล.ท.อมฤต บุญสุยา (ตท.27) แม่ทัพน้อยที่ 1 เป็นแม่ทัพภาคที่ 1
-พล.ท.บุญสิน พาดกลาง (ตท.26) แม่ทัพน้อยภาคที่ 2 เป็น มทภ.2
-พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ (ตท.23) แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3
-พล.ต.ไพศาล หนูสังข์  รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็น แม่ทัพภาคที่ 4

>>กองทัพเรือ
-พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ (ตท.23) ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. เป็น ผบ.ทร.

สั้น ๆ ที่อยากจะขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ในส่วนของกองทัพบกแม้จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังให้เจาะลึก โดยเฉพาะการ (จะ) ผงาดของพล.อ.พนา หรือ ‘บิ๊กปู’ นั้นสาหัสยิ่ง...และคาดว่าท่าน ‘บิ๊กอ้วน’ ไม่น่าจะกล้าปรับเปลี่ยนใด ๆ อีก

ที่อาจจะเปิดช่องให้ ‘บิ๊กอ้วน’ คิดใหม่จัดใหม่ได้ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นกรณี ผบ.ทร.ที่ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.(ตท.23) ยืนยันว่าต้องเป็น ‘บิ๊กแมว’ พล.ร.อ.จิรพล ที่เรียนจบนอก (โรงเรียนนายเรือเยอรมันเมอร์วิค) ไม่ได้มาจาก 5 ฉลามเสือ ถือว่าแหวกม่านประเพณีและหลักนิยมเดิม ๆ ทำให้ตัวเต็งอีก 3 คนคือ พล.ร.อ.ชลทิศ นาวานุเคราะห์ ผช.ผบ.ทร. (ตท.23), พล.ร.อ.วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง เสธ.ทร. (ตท.24) และพล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข (ตท.25) รองผบ.ทร. ได้แต่นั่งมองหน้ากันตาปริบ ๆ และไม่กี่วันก่อนปรากฏว่าหลังโผออกได้มีใบปลิวโจมตีบิ๊กแมวทั้งเรื่องปัญหาการทำงานและเรื่องจริยธรรมส่วนตัว…

เรียกกันว่าเล่นกันแรง...สมควรที่ท่านบิ๊กอ้วนจะได้หยุดศึกทหารน้ำในขณะนี้...ไม่ว่าจะเลือกบิ๊กแมวหรือบิ๊กใดก็ตาม…เพราะปัญหาในกองทัพเรือที่จะต้องแก้นั้นมีเพียบ...!!

‘อนุทิน’ เผย!! นายกฯ ให้ผู้ว่าฯ จังหวัดขยายวงเงินช่วยเหลือน้ำท่วมได้ทันที ยัน!! ทุกฝ่ายทำงานเต็มที่ องคาพยพแห่งการช่วยเหลือมุ่งสู่พื้นที่หมดแล้ว

(13 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ ถึง กรณีที่มีการอ้างว่าจังหวัดเชียงรายยังไม่มีการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติทั้งที่ประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก ว่า ได้ประกาศให้จังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่ภัยพิบัตินานแล้ว ยิ่งภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหนักขนาดนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ต้องประกาศเป็นเขตภัยพิบัติอยู่แล้วเป็นสิ่งแรก ไม่ต้องห่วง ทั้งนี้ตนขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในระบบราชการว่าไม่พลาดเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว และถ้าไม่มีการประกาศให้เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ จะนำเงินทดลองจ่ายมาใช้ได้อย่างไร นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้กำชับในการประชุมเมื่อวานนี้ว่าถ้าเงินทดลองจ่ายดังกล่าวไม่เพียงพอ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถขยายวงเงินได้เลย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มวลน้ำจากภาคเหนือตอนบนดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้าไปยังภาคอีสาน เช่นจังหวัดหนองคายและนครพนม? นายอนุทิน กล่าวว่า "เราต้องเร่งระบายให้ลงแม่น้ำโขงให้เร็วที่สุด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่รายงานว่า น้ำที่ท่วมในจังหวัดเชียงใหม่จะต้องไหลผ่านอำเภอแม่อาย ที่กำลังเกิดปัญหาดินถล่ม ซึ่งน้ำดังกล่าวจะไหลผ่านจังหวัดเชียงราย และลงสู่แม่น้ำโขง เราจึงต้องพยายามเร่งระบายน้ำให้ลงแม่น้ำโขงให้เร็วที่สุด"

เมื่อถามว่า ขณะนี้ประเทศจีนจะมีการปล่อยน้ำลงมาในแม่น้ำโขง จะส่งผลต่อสถานการณ์น้ำท่วมในไทยหรือไม่อย่างไร? นายอนุทิน กล่าวว่า "เราก็ต้องติดตามสถานการณ์ตรงนั้น ขณะเดียวกันเราต้องแก้ไขปัญหาในส่วนของเรา"

เมื่อถามอีกว่า จะดำเนินการรับมือน้ำที่จะท่วมภาคอีสานโดยเฉพาะบริเวณตะเข็บชายแดนอย่างไร? นายอนุทิน กล่าวว่า "ตนมั่นใจว่าผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆที่อยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงว่าจะเกิดน้ำหลาก ก็ต้องมีแผนเผชิญเหตุรองรับไว้อยู่แล้ว ขณะที่กระทรวงมหาดไทยได้เตรียมความพร้อม เรื่องการส่งความช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความปลอดภัยการอพยพประชาชน รวมถึงเรื่องการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคอาหารข้าวสาร และศูนย์พักพิง ซึ่งตนเห็นว่ากรณีของจังหวัดเชียงรายจะใช้เป็นโมเดลได้ดี เพราะที่นั่งประชาชนมีน้ำใจซึ่งกันและกัน มีเจ้าของโรงแรมหลายแห่งในอำเภอแม่สาย เปิดให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมเข้ามาพักพิงในโรงแรม โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งตรงนี้นายกรัฐมนตรีระบุว่าจะสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไปจัดทำบัญชีและชดเชยให้กับโรงแรมเหล่านั้น อย่างไรก็ตามการที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายในวันนี้ ก็จะมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย เป็นตัวแทนกระทรวงมหาดไทยเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีด้วย"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ในอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายกำลังจะเข้าสู่ระยะฟื้นฟู แต่พบว่าร้านค้าต่างๆ ได้รับความเสียหายอย่างมาก จำนวนเงินเยียวยาที่รัฐบาลจะจ่ายให้ จะเป็นเงินประมาณเท่าไหร่? นายอนุทิน กล่าวว่า "นายกรัฐมนตรีจะของบกลางลงไปเอง ขณะที่ของกระทรวงมหาดไทยก็จะมีทั้ง น.ส.ธีรรัตน์ ร่วมลงพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ยังมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สายอยู่แล้ว ดังนั้นทุกฝ่ายก็จะเร่งหาวิธีช่วยเหลือเยียวยาอยู่แล้ว และยิ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงไปเห็นหน้างานด้วยตัวเอง ท่านก็ต้องตัดสินใจได้ทันทีอยู่แล้ว"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้จะต้องส่งความช่วยเหลือเพิ่มเติมอะไรเป็นพิเศษให้กับพื้นที่ภาคเหนือตอนบนหรือไม่? นายทิน กล่าวว่า "องคาพยพทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการกู้ภัยและการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยได้ถูกนำส่งไปแล้ว ขณะที่ศูนย์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัยในทุกพื้นที่ ก็ยังมีการสแตนด์บายพร้อมเข้าช่วยเหลือหากมีการร้องขอเข้ามา และเรื่องอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ ถ้ามีการร้องขอเข้ามาก็พร้อมจะส่งช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน แต่เท่าที่ตนเห็นในขณะนี้คิดว่าทุกอย่างยังมีเพียงพอ โดยเฮลิคอปเตอร์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจำนวนสองลำก็ถูกส่งไปแล้ว ได้ไปช่วยนำตัวประชาชนที่ติดอยู่ในบ้านออกมาจากพื้นที่"

เมื่อถามถึงกรณีที่มีเสียงจากประชาชนในพื้นที่บางส่วนระบุว่า ยังขาดศูนย์บัญชาการสถานการณ์ในพื้นที่ ที่ประสบภัยน้ำท่วม? นายอนุทิน กล่าวว่า "ขอยืนยันว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำงานกันทุกคน เมื่อวานนี้ก็มีการประชุมกันอย่างที่ทุกคนได้เห็น จึงขออย่าถามคำถามแบบนี้ เพราะจะทำให้คนที่ทำงานเสียกำลังใจ วันนี้ไม่ควรมาบอกว่าใครถูกหรือใครผิด เพราะทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ อย่างในวันนี้นายกรัฐมนตรีก็รีบลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ทั้งที่วันนี้ก็ยังมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอยู่ แต่นายกฯ ก็ยังเดินทางไปลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ความเดือดร้อนของประชาชน"

TRENDING
ECONBIZ

จับภาวะเศรษฐกิจไทย ในจังหวะ 'ต้นทุนแพง แข่งขันลำบาก' โจทย์ใหญ่สุดหินของรัฐบาล ส่วนฝ่ายค้านก็ค้านแต่เรื่องผิดๆ ถูกๆ

ข่าวปิดกิจการ ของห้างสรรพสินค้า ‘ตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี’ พร้อมการยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 กระทบต่อผู้ประกอบการร้านค้า ที่เช่าพื้นที่ขาย บนอาคาร 12 ชั้น ทั้งหมด ร้านอาหารที่ใช้ตู้แช่เย็น เพื่อเก็บวัตถุดิบ หากไม่สามารถขาย หรือขนย้ายได้ทัน ก็คงเสียหายไปอีกไม่น้อย

ธุรกิจเอสเอ็มอีไทย 8 เดือนแรกปีนี้ 'ปิดกิจการ' 10,000 ราย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ข้อมูลการปิดกิจการของธุรกิจ SMEs ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 มีอยู่ประมาณ 10,000 ราย (อ้างอิงข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า) โดยภาคอีสานและภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีความเปราะบางสูงสุด สะท้อนจากสัดส่วนธุรกิจที่ปิดกิจการเทียบกับธุรกิจที่มีอยู่

ไม่ใช่แค่ปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจที่กระทบต่อเอสเอ็มอีไทย แต่พบว่ายังมีความท้าทายจากปัจจัยภายในที่เผชิญ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจที่อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็เผชิญร่วมกัน โดย 95% ของกลุ่มตัวอย่างพบว่า 3 เรื่องที่มีความกังวลและกดดันศักยภาพในการทำธุรกิจมากที่สุดคือ 

1.ต้นทุนการผลิต ต้นทุนการดำเนินงาน ต้นทุนวัตถุดิบที่สูง 

2.พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป 

3.กลยุทธ์การผลิตและการตลาดที่ล้าสมัย ทำให้เอสเอ็มอีไทยอาจมีแนวโน้มฟื้นช้ากว่าคาด

ทั้งนี้มองในระยะข้างหน้าปัญหาเหล่านี้อาจจะมีความรุนแรง แก้ไขและควบคุมได้ยาก พบ 4 ประเด็นจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามาซ้ำเติมปัญหาเหล่านี้คือ 

1.ต้นทุนพลังงานที่น่าจะผันผวน 

2.ต้นทุนค่าแรงที่กำลังจะปรับสูงขึ้น 

3.สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ 

และ 4.ปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงโดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ขยายเข้าไปในท้องถิ่นต่าง ๆ ทำให้เอสเอ็มอีแข่งขันได้ยากขึ้น รวมถึงยังเน้นแข่งขันด้านราคา ที่ทำให้สภาพคล่องของธุรกิจด้อยลงอย่างต่อเนื่อง

ต้นทุนเป็นปัญหาหลัก ที่ส่งผลให้ SMEs ปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก แต่รัฐบาล เตรียมประกาศปรับขึ้นค่าแรง 400 บาท ทั่วประเทศ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นี้ !! ซึ่งก็ต้องรอดูว่า มาตรการที่จะมาช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ต้องแบกรับต้นทุนค่าแรงงาน ที่สูงขึ้น จะออกมาในรูปแบบใด หากมาตรการไม่สามารถช่วยเหลือได้ จำนวนตัวเลขการปิดกิจการ ก็คงเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้า และแรงงาน ก็คงตกงานกันอีกเป็นจำนวนมาก

ฝ่ายค้าน ที่จะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการบริหารของรัฐบาลให้เป็นไปโดยชอบตามทำนองคลองธรรม จากการอภิปรายล่าสุด ก็ยังไม่พบว่า มีข้อแนะนำในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จากแกนนำฝ่ายค้าน อ่านตัวเลขงบประมาณ ยังผิด ๆ ถูก ๆ มีแต่ข่าวคราว การหาเสียงเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้งท้องถิ่น ผลักดันสุราเสรี จัดสัมมนาเรื่อง Sex Tourism และเพศพาณิชย์ ที่ยังมองไม่เห็นว่า จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจได้อย่างไร เมื่อเทียบกับโครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการแลนด์บริจด์ 

ม.หอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 57.7 เป็น 56.5 เป็นการปรับตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือนนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 

เดือนมีนาคม 2567 'ดนันท์ สุภัทรพันธุ์' กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เคยกล่าวถึงกรณีการแข่งขันอันดุเดือดท่ามกลางสมรภูมิขนส่งไว้ว่า 'ไปรษณีย์ไทย' กำลังเจอปัญหาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมเพราะโดนกีดกันจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากร้านค้าและลูกค้าไม่สามารถเลือกขนส่งเองได้ เขาเสนอว่า ต้องมี 'Regulator' หรือหน่วยงานที่เข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแลเป็นผู้กำหนดกติกาการแข่งขัน เพื่อความเป็นธรรมและชัดเจนมากขึ้น 

เท่านั้นยังไม่พอ เพราะตอนนี้ต้องเจอศึกหนักจาก ‘Temu’ ที่มีความยากกว่าหลายเท่า เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่มีสำนักงานในไทย แม้แต่กรมสรรพากรก็ตรวจสอบไม่ได้ ทำให้ต้นทุนของ Temu ต่ำกว่าเดิม จากที่ส่วนแบ่งในตลาดถูก 'Shopee' และ 'Lazada' ปันส่วนไป 

ถ้าคนขายตาย ผู้ประกอบการตาย ขนส่งก็ไม่รอด ‘GDP’ ไหลออกนอกประเทศ แล้วรัฐบาลจะหารายได้จากแหล่งใด มากระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้าย ผู้ประกอบการ ธุรกิจ SMEs ในประเทศต้องปิดตัวลง ถ้ายังไม่แก้ สุดท้ายก็ตายกันหมด

'อรวดี' ชี้!! ชีพจรเศรษฐกิจไทย-โลก พร้อมทิศทางการลงทุนที่น่าจับตา

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 14 ก.ย.67 ได้พูดคุยกับคุณอรวดี ศิริผดุงธรรม Senior Investment Advisory ถึงทิศทางการลงทุนในจังหวะที่การเมืองเริ่มนิ่ง ว่า...

ด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีทิศทางมากขึ้น รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่เตรียมเดินหน้า ทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคัก ในขณะที่กระทรวงการคลัง ก็ได้มีนโยบายระดมทุนผ่านกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งจะเริ่มเปิดขาย 16-20 ก.ย.นี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกเสริมสร้างการออม และการลงทุนให้กับประชาชน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาตลาดเงิน และตลาดทุน ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้น 

แต่ในด้านของตลาดทองคำ ยังมีความผันผวน ถ้าพิจารณาให้ดีในช่วงกันยายนของทุกปี จะเป็นช่วงที่นักลงทุนนิยมขายสินทรัพย์มั่นคง เช่น ทองคำ สกุลเงินดิจิทัล ออกไปมาก เนื่องจากนักลงทุนอยากปรับพอร์ตและลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะสั้น ๆ 

ส่วนการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ยังเติบโตในบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มตลาดบ้านและคอนโดมิเนียม พูลวิลล่า ระดับราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะที่จังหวัดภูเก็ตเติบโตมาก โดยได้รับความสนใจจากเศรษฐีรัสเซีย, ไต้หวัน, ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นจำนวนมาก 

เมื่อถามถึงเทรนด์การทำธุรกิจในอนาคต? คุณอรวดี มองว่า ควรพิจารณาจากเมกะเทรนด์ให้มากขึ้น เช่น คนจีนยุคใหม่นิยม 'แข่งกันประหยัด' และหลายประเทศทั่วโลกก็เริ่มมาหันมาสนใจ หรือแม้แต่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้แนวคิด Zero Waste ตรงนี้ต้องจับตาให้ดี เพราะถ้าเราทำธุรกิจอะไรที่เกี่ยวข้องและตอบโจทย์เทรนด์เหล่านี้ก็มีโอกาสเติบโตสูง 

เมื่อถามถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลก? คุณอรวดี กล่าวว่า เริ่มที่สหรัฐฯ ต้องจับตามองการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ระหว่าง นางกมลา แฮร์ริส กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีนโยบายหาเสียงแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว โดยนักวิเคราะห์มองว่า ถ้านายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง คงหนีไม่พ้นที่จะขับเคลื่อนนโยบายด้านกำแพงภาษีแบบสุดโต่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกได้ ขณะเดียวกันหาก นางกมลา แฮร์ริส ได้เป็นประธานาธิบดี อาจส่งผลดีกว่า เพราะไม่ได้ชูนโยบายด้านกำแพงภาษีสุดโต่งแบบนายโดนัลด์ ทรัมป์ 

ส่วนเศรษฐกิจยุโรป ยังคงมีปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น เนื่องจากภาวะวิกฤตด้านพลังงานซึ่งตอนนี้ยุโรปใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) ประกาศลดดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าเต็มที่ 

ส่วนจีน การบริโภคภายในประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการบริโภคน้ำมันเนื่องจากการขนส่งลดลง รวมถึงปัญหาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงมีปัญหาต่อเนื่อง 

ส่วนอาเซียน มาเลเซียและอินโดนีเซีย มีการปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจเทรนด์ใหม่ เน้นธุรกิจ AI เพิ่มมากขึ้น 

ในด้านการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed (The Federal Reserve) คุณอรวดี เผยว่า จะมีการประชุมอีกครั้งประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ โดยนักวิเคราะห์มองว่ามีโอกาสสูงที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจน อัตราเงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย และที่สำคัญใกล้ช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา ตลาดเงิน ตลาดทุน ส่วนใหญ่จะได้รับข่าวดีในช่วงนี้ ซึ่งจะทำให้ตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้ง 

‘ผู้ว่าฯ ธปท.’ มอง!! การเติบโตเศรษฐกิจไทย ไม่ควรล่า ‘GDP’ แบบเดิมอีกต่อไป เผย!! ควรเน้นการเติบโตจากท้องถิ่น ชี้!! นี่คือ ‘กุญแจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน'

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา ‘Big Heart Big Impact สร้างโอกาสคนตัวเล็ก..Power of Partnership จับมือไว้ไปด้วยกัน’ ที่จัดโดยสำนักข่าว Thaipublica ในหัวข้อ ‘สร้างไทยเข้มแข็งด้วยท้องถิ่นนิยม Localism Future of Thailand’ ว่า ประเทศไทยจะเติบโตแบบเดิมๆ ไม่ได้อีกต่อไป ต้องหารูปแบบการเติบโตใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากที่เราเคยเติบโต

ตัวสะท้อนที่เห็นชัด ว่าเราจะเติบโตแบบเดิมไม่ได้ ด้านแรก หากดูในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของจีดีพี ถือว่าไม่ได้สะท้อนเรื่องของความมั่งคั่งหรือรายได้ของครัวเรือนเท่าที่ควร 

โดยเฉพาะหากมองไปข้างหน้า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้นแม้ตัวเลขจีดีพีเติบโต แต่ไม่ได้หมายความว่า รายได้หรือความมั่งคั่งของครัวเรือนหรือรายได้ต่างเพิ่มขึ้น 

ด้านที่สอง ในมุมของภาคธุรกิจ เห็นการกระจุกตัวค่อนข้างสูง โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจขนาดใหญ่ที่อยู่ที่ 5% แต่มีสัดส่วนรายได้สูงถึงเกือบ 90% เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบกับก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 84-85%

สะท้อนการกระจุกตัวของรายได้ธุรกิจที่เพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำ หากดูธุรกิจรายเล็กที่เพิ่งเกิดใหม่ และมีการก่อตั้งธุรกิจมาน้อยกว่า 5 ปีหลัก มีอัตราการปิดกิจการ หรือการตายที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนถึง Dynamic ที่เริ่มลดลง สะท้อนการกระจุกตัวสูงขึ้น

ด้านที่สาม ภายใต้บริบทของโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้อานิสงส์ที่ประเทศไทยเคยได้รับ ไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะ การพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศหรือ FDI ที่เข้ามาในประเทศ ที่ไทยหวังพึ่งแบบเดิมไม่ได้เหมือนเดิม หากดูมาร์เก็ตแชร์ของไทยเคยอยู่ที่ 0.57%  ซึ่งสูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม มาก แต่ปัจจุบัน FDI  เวียดนามแซงไทยไปมาก

สะท้อนให้เห็นว่าเราทำแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป ไม่เหมือนอดีตที่เรามีเสน่ห์แม้เรานั่งเฉยๆ เขาก็วิ่งมาหาเรา แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป ดังนั้นประเทศไทยต้องปรับตัว ต้องออกแรงมากขึ้น จะหวังพึ่งต่างชาติไม่ได้เหมือนเดิม หมายความเราจำเป็นที่ต้องพึ่งความเข้มแข็งภายในของเรามากขึ้น

“เราไม่ควรโตแบบล่าตัวเลขอย่างเดียว ล่าจีดีพี ล่า FDI เพราะการเติบโตที่ผ่านมาก็ไม่ได้สะท้อนไปสู่เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ตัวเลขที่ต้องล่าคือ ชีวิตความเป็นอยู่ของคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้คน ความมั่งคั่งของคน ที่เป็นสะท้อนคุณภาพของชีวิตความเป็นอยู่ของคน เช่น ตัวเลขสาธารณสุข การศึกษา และโอกาสต่างๆ เพราะตัวเลขวันนี้ไม่ได้สวยหรูเหมือนเมื่อก่อน”

ดังนั้นการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น เข้มแข็งกว่าเดิม หรือเติบโตบนรูปแบบใหม่ ต้องอาศัยหลายๆ เรื่อง ภายใต้ More Local 

ด้านแรก เน้นการเติบโตแบบท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันประชากร 80% อยู่นอกพื้นที่ กทม./ปริมณฑล

ซึ่งต้องสร้างความมั่งคั่งนอกพื้นที่ และด้านที่สอง ธุรกิจประมาณ 80% อยู่นอกพื้นที่ กทม./ปริมณฑล ซึ่งหากดูสัดส่วนประชากรเมืองหลวง และเมืองรองมีช่องว่าง (Gap) มหาศาล และด้านที่สาม จากตัวเลข World Bank

สะท้อนว่าการเติบโตจีดีพีสูง แต่การเติบโตของประชากรเพียง 0.22% เท่านั้น 

อย่างไรก็ดี การเติบโตแบบท้องถิ่น จะต้องโตแบบแข่งขันได้ และเป็นการแข่งขันกับโลกได้ด้วย ไม่เฉพาะแข่งขันเฉพาะจังหวัดเท่านั้น แต่การเติบโตที่แข่งขันได้ ต้องก้าวข้ามหลายด้าน 

ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือของที่ไม่ใช่

ด้านแรก การเติบโตโดยอาศัยความหนาแน่นของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เริ่มส่งผลกระทบ จากความหนาแน่นเหล่านี้แล้ว ทั้งความแออัด ต้นทุนที่สูงขึ้น ที่เริ่มเห็นจีดีพีต่อหัวของกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ชะลอตัวลง 

ด้านที่สอง นโยบายที่เน้นการกระจายความเจริญไปพื้นที่ต่างๆ ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก เช่น การพยายามไปพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ  หรือ Special Economic Zone  เพื่อดึงดูดความมั่งคั่งการลงทุนต่าง ซึ่งจากการทำมาตั้งแต่ ปี 2558 พบว่ามีมูลค่าลงทุน หากเทียบกับสัดส่วนของมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในประเทศทั้งหมด ที่พบว่าอยู่เพียง 0.5% หรือไม่ถึง1%  ดังนั้นแม้นโยบายเหล่านี้ เป็นเจตนารมณ์ที่ดีของนโยบายรัฐ เพื่อหวังให้เกิดการกระจายความเจริญ แต่หากไม่ได้ศักยภาพต่างๆ นโยบายพวกนี้อาจเป็นนโยบายที่ไม่ใช่ 

ส่วนสิ่งที่ ‘ใช่’ คือ การสร้างท้องถิ่นสากลให้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน จุดเด่นแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ทั้งทรัพยากร และประวัติศาสตร์ แต่จะต้องแข่งขันกับโลกได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ แต่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยการที่ทำให้ท้องถิ่นสากลได้ ต้องมี 5-6 เรื่อง 

1.เชื่อมกับตลาด แต่จากท้องถิ่นที่ไม่หนาแน่น กระจายไม่เยอะ ทำให้ต้นทุนจะต่ำได้น้อยมาก แต่กระแสออนไลน์จะทำให้การเชื่อมกับตลาดได้ง่ายขึ้น

2.สร้างมูลค่าเพิ่มโดยการหาจุดเด่น และเอกลักษณ์ 

3.ร่วมมือกับพันธมิตร (Partner) จะช่วยได้ โดยตัวเล็กจับมือกับตัวใหญ่ เพื่อสร้างโอกาสที่เป็น Win-Win

4.ทำให้เมืองรองโต ทำให้เกิดการเข้าถึงเมืองรอง สร้างการกระจุกตัวในเมืองใหม่ ๆ 

5.ให้ท้องถิ่นบริหารจัดการเองได้ เพราะอะไรที่จากส่วนกลางแบบ One size fits all จะไม่เหมาะกับทุกพื้นที่ เช่น ต่างประเทศที่พัฒนาได้ดี อาทิ เกาะเจจู ของเกาหลีที่ให้พื้นที่ออกนโยบายเอง ทำให้รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์

6.สร้างระบบติดตาม ประเทศที่ทำได้ดี คือ เวียดนาม ที่มีการคำนวณความสามารถในการแข่งขันในแต่ละจังหวัด และแต่ละพื้นที่ โดยมีการสำรวจความเห็นนักลงทุนถึงกฎระเบียบการลงทุน และอุปสรรคมีอะไรบ้าง เพื่อพยายามให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน 

LITE

14 กันยายน พ.ศ. 2485 คนไทยร่วมใจ ‘ยืนตรงเคารพธงชาติ’ วันแรก ต้นแบบที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

“ธงชาติและเพลงชาติไทย…เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย…เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ…ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราชและความเสียสละของบรรพบุรุษไทย…” 

นี่คือเสียงเชิญชวนให้ยืนตรง ‘เคารพธงชาติ’ ที่ฟังกันจนคุ้นหู และปฏิบัติกันจนเป็นกิจวัตร โดยเราจะยืนเคารพธงชาติเมื่อถึงเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. โดยทำติดต่อกันเป็นจริงเป็นจังมา 82 ปีแล้ว (ตั้งแต่ปี 2485) ทั้งที่ประเทศไทยมีการใช้ธงชาติมานาน เฉพาะธงไตรรงค์ที่ใช้เป็นธงชาติในปัจจุบันก็มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว

เหตุใดคนไทยจึงยืนเคารพธงชาติ?

ต้องย้อนกลับไปในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา ที่ออกกฎกระทรวงมหาดไทยเรื่อง ระเบียบการชักธงชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2478 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดถึงระเบียบในการชักธงและการประดับธงชาติ แต่การยืนเคารพธงชาติก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก

แต่ความสำเร็จในการยืนเคารพธงชาตินั้น เกิดจากรายการวิทยุกระจายเสียง ‘นายมั่น-นายคง’ ซึ่งผู้ดำเนินการทั้ง 2 คนจะสนทนากับผู้ฟังทางบ้านในประเด็นต่าง ๆ (วิทยุเป็นเครื่องมือโฆษณาที่สำคัญของรัฐบาลในเวลานั้น) โดยการออกอากาศวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2485 ได้เชิญชวนและนัดหมายกับประชาชนให้ยืนตรงเคารพธงชาติพร้อมกันว่า…

“เวลา 8.00 น. นับตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้เปนต้นไปผู้ที่มีเครื่องรับวิทยุ ก็ขอได้โปรดเปิดไห้ดัง ๆ ด้วย เพื่อเพื่อนบ้านไกล้เรือนเคียง และคนสัญจรไปมาจะได้ยินทั่ว ๆ กัน…

“สิ่งแรกฉันหยากขอไห้ยุวชนช่วยฉันไห้พร้อมเพรียง เมื่อเวลาประกาสไห้เคารพทงชาติไห้ทำทุกคนเปนการเคารพชาติที่มีคุนแก่เรา และไห้บอกคนไนบ้านทุกคนทำการเคารพด้วยบอกว่าทงชาติยังหยู่ชักขึ้นแล้ว เอกราชของไทยยังบุญมั่นขวันยืนดี เราต้องพร้อมไจกันทำการเคารพทั่วทั้งชาติ และไนเวลาเดียวกันแหละ…

“ฉันเชื่อมั่นว่าการเคารพทงชาติคราวหน้านี้จะสำเหร็ดได้ด้วยความรักชาติของยุวชนเปนสำคัน ทำตามนี้เรียกว่ายุวชนสร้างชาติ”

13 กันยายน พ.ศ. 2425 วันประสูติ ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม’ ผู้ปรีชาสามารถด้านดนตรี นิพนธ์เพลงอมตะ ‘ลาวดวงเดือน’

ครบรอบ 142 ปี ประสูติกาล ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม’ พระราชโอรสพระองค์ที่ 38 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราชสกุลเพ็ญพัฒน เป็นผู้นิพนธ์เพลงลาวดวงเดือน

‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม’ พระนามเดิม พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 38 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันประสูติแต่เจ้าจอมมารดามรกฎ ในรัชกาลที่ 5 ธิดาของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2425 เสด็จไปศึกษาทางด้านเกษตรศาสตร์จากประเทศอังกฤษ สำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2446 ขณะพระชันษา 20 ปี กลับมารับราชการเป็นผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงเกษตราธิการ

ในปี พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชวินิจฉัยให้อุดหนุนการทำไหมและทอผ้าของประเทศ โดยได้ว่าจ้าง ดร.คาเมทาโร่ โทยาม่า จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ทดลองเลี้ยงไหมตามแบบฉบับของญี่ปุ่น สอนและฝึกอบรมนักเรียนไทยในวิชาการเลี้ยงและการทำไหม พร้อมกับสร้างสวนหม่อนและสถานีเลี้ยงไหมขึ้นที่ตำบลศาลาแดง กรุงเทพ ทรงจัดตั้งกองช่างไหมขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ 

ต่อมา วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2446 กระทรวงเกษตราธิการได้รวมกองการผลิต, กองการเลี้ยงสัตว์ และกองช่างไหม ตั้งขึ้นเป็น ‘กรมช่างไหม’ โดยมี พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์ เป็นอธิบดีกรมช่างไหมพระองค์แรก นับว่ามีพระกรณียกิจในการวางรากฐานเรื่องไหมไทย โดยตั้งโรงเรียนและโรงเลี้ยงไหมขึ้นที่กรุงเทพฯ นครราชสีมา และบุรีรัมย์

งานหลักของกรมช่างไหม คือ การดำเนินงานตามโครงการของสถานีทดลองเลี้ยงไหม เริ่มด้วยการก่อตั้งโรงเรียนสอนการทำไหมขึ้นในพระราชวังดุสิต เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2446 และเปิดโรงเรียนสอนการทำไหมขึ้นที่ปทุมวัน เรียกว่า ‘โรงเรียนกรมช่างไหม’ เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2447 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญ ศึกษาวิจัย และฝึกพนักงานคนไทยขึ้นแทนคนญี่ปุ่น ในเวลาต่อมาโรงเรียนแห่งนี้ได้พัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ทรงสนพระทัยดนตรีไทย โปรดให้มีวงปี่พาทย์วงหนึ่ง เรียกกันว่า ‘วงพระองค์เพ็ญ’ พระองค์ยังทรงเล่นดนตรีได้หลายชนิด และทรงเป็นนักแต่งเพลงที่สามารถ เมื่อครั้งเสด็จกลับจากประเทศอังกฤษ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมได้เสด็จไปนครเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2446 ทรงชอบพอกับ เจ้าหญิงชมชื่น ณ เชียงใหม่ พระธิดาใน เจ้าราชสัมพันธวงศ์ ธรรมลังกา ณ เชียงใหม่, เจ้าราชสัมพันธวงศ์นครเชียงใหม่ กับเจ้าหญิงคำย่น (ณ ลำพูน) ณ เชียงใหม่ ได้โปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพเป็นเฒ่าแก่เจรจาสู่ขอ แต่ได้รับการทัดทาน ไม่มีโอกาสที่จะได้สมรสกัน ทำให้พระองค์โศกเศร้ามาก และได้ทรงพระนิพนธ์เพลงลาวดำเนินเกวียน (หรือลาวดวงเดือน) ขึ้น เมื่อใดที่ทรงระลึกถึง เจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงดนตรีเพลงนี้มาตลอดพระชนมชีพ

วังที่ประทับของกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม เป็นบ้านของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) บิดาของเจ้าจอมมารดามรกฎ มีชื่อเรียกว่าวังท่าเตียน (เรียกชื่อตามสถานที่ตั้งวัง เช่นเดียวกับวังท่าเตียนหรือวังจักรพงษ์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์) มีโรงละครอยู่โรงหนึ่ง ในสมัยนั้นเรียกกันว่า ปรินส์เทียเตอร์

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ทรงศักดินา 15000

กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ผู้เป็นต้นราชนิกุล ‘เพ็ญพัฒน์’ มีพระพลามัยไม่สมบูรณ์นัก อาจจะเป็นเพราะพระทัยที่เศร้าสร้อยจากความผิดหวังเรื่องความรัก จึงมีพระชนมายุสั้นเพียง 28 พรรษา สิ้นพระชนม์ด้วยโรคปอดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452

และบังเอิญเสียเหลือเกิน ในปี 2453 เจ้าหญิงชมชื่นก็สิ้นชีพิตักษัยในวัยเพียง 21 ปีเท่านั้น

‘ลิซ่า’ สร้างตำนานบทใหม่ คว้ารางวัล Best K-pop ครั้งที่ 2 จากเวที VMAs พร้อมเรียกเสียงกรี๊ด!! หลังโชว์เดี่ยว ‘New Woman-Rockstar’ ทำถึงสุดๆ

(12 ก.ย.67) จากเวที MTV Video Music Awards 2024 หรือ VMAs สาว 'ลิซ่า' ลลิษา มโนบาล ได้คว้ารางวัล 'Best K-pop' จากผลงานเพลงแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่าง 'ROCKSTAR' ซึ่งเธอเคยได้รางวัลดังกล่าวมาแล้วเมื่อปี 2022 โดยลิซ่ากล่าวหลังจากรับรางวัลว่า เพลง 'ROCKSTAR' เป็นการคัมแบ็กที่มีความหมายสำหรับเธอมาก หลังจากซิงเกิลเดี่ยวเพลงแรกอย่าง LALISA 

นอกจากนี้เธอยังได้กล่าวขอบคุณทั้งค่าย RAC และ LLOUD สำหรับความสำเร็จครั้งนี้ด้วย ซึ่งบรรดาแฟนคลับต่างดีใจกันอย่างมาก เพราะลิซ่าเป็นศิลปินเดี่ยวเพียงคนเดียวที่ได้รางวัลนี้ถึง 2 ครั้ง

ไม่เพียงแค่เรียกเสียงฮือฮาจากการขึ้นรับรางวัลเท่านั้น แต่ลิซ่ายังได้เสียงกรี๊ดเป็นอย่างมากจากการแสดงในฐานะศิลปินเดี่ยวอีกด้วย โดยเธอเปิดโชว์ด้วยเพลง New Women ตามด้วยเพลง ROCKSTAR ซึ่งการแสดงนี้ได้รับการพูดถึงโปรดักชันที่ยิ่งใหญ่อลังการ และนี่คือการก้าวสู่ระดับโลกอย่างแท้จริงของ ลิซ่า หลังได้แสดงบนเวทีเดียวกับศิลปินดังระดับโลกอีกมากมาย เช่น Sabrina Carpenter, Katy Perry, Megan Thee Stallion, LE SSERAFIM, Shawn Mendes, Karol G และ EMINEM เป็นต้น

สำหรับปีนี้ลิซ่าได้เข้าชิงรางวัลถึง 4 สาขาด้วยกัน ได้แก่ Best K-pop, Best Editing, Best Art Direction และ Best Choreography

PODCAST

บทเพลง ‘แผ่นดินของเรา’ โอบอุ้มหัวใจคนไทยให้รัก-โอบกอดประเทศ | THE STATES TIMES Story EP.153

เพลง 'แผ่นดินของเรา' หรือ 'Alexandra' เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 34 ของในหลวงรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น เนื่องในโอกาสที่เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเคนต์ สหราชอาณาจักร เสด็จเยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะส่วนพระองค์ในปี พ.ศ. 2502 

วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้หยิบยกเรื่องราวของเพลง 'แผ่นดินของเรา' มาเล่าสู่กันฟัง รับรองเลยว่าท่านผู้ฟังจะรู้สึกอบอุ่นหัวใจ และอยากโอบกอดประเทศไทยไปพร้อม ๆ กันแน่นอน

‘ฟุตบอล’ กีฬาโบราณนับพันปี ต้นกำเนิดจากแดนมังกร | THE STATES TIMES Story EP.152

เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักกีฬา 'ฟุตบอล' เพราะกีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ นิยมเล่นกันในทุก ๆ ระดับ เช่น แข่งขันในโรงเรียน ระหว่างสโมสร ระดับประเทศ รวมไปถึงระดับโลก นอกจากนี้ยังเป็นกีฬาเก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลกอีกด้วย

วันนี้ THE STATES TIMES STORY ขออาสามาเล่าประวัติของกีฬาฟุตบอลว่ามีต้นกำเนิดจากไหน? แล้วเข้ามาเป็นที่นิยมในแผ่นดินสยามได้อย่างไร? หากพร้อมแล้ว ไปรับฟังกันได้เลย...

‘เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ฯ’ เจ้าฟ้านักดนตรี ต้นสำเนาตำนาน ‘โหมโรง’ | THE STATES TIMES Story EP.151

หากใครได้รับชมภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ที่เล่าเรื่องราวในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยาม ก็คงจะคุ้นเคย คุ้นหูชื่อ ‘เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ฯ’ กันมาบ้าง และจะจดจำได้ในบทบาทของเจ้าฟ้าผู้มีพระอัจฉริยภาพทางการด้านการทหาร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ‘เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ฯ’ มีพระอัจฉริยภาพทางด้านอื่น ๆ ที่โดดเด่นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านภาษาไทย-อังกฤษ ศิลปวิทยาในด้านต่าง ๆ เช่น การละคร การดนตรีไทย โดยเฉพาะดนตรีไทย

วันนี้ THE STATES TIMES Story จะพาท่านผู้ชมไปรู้จักเรื่องราวของ ‘เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ฯ’ ให้มากยิ่งขึ้น ถ้าพร้อมแล้ว เชิญรับฟังได้เลย...

VIDEO

ป้าหมาย ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ | CONTRIBUTOR EP.30

เมืองไทยมีดี มีจุดขายที่งดงามในภาคการท่องเที่ยว แต่จะพอใจเพียงเท่านี้ พอใจเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลูกเดียว อาจจะไม่ยั่งยืน

มิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ต้องปรับประยุกต์ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
กระตุ้นให้เกิดความหลากหลายในแต่ละเขตแดน เมือง จังหวัด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องร้อยห่วงโซ่ของ ‘ความยิ้มแย้ม-ความยืดหยุ่น-ไม่หย่อนยาน’ 
รวมถึงปรับแนวทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวใต้วิธีคิดที่ทันโลก

เพราะนี่คือวาระสำคัญของอนาคตการท่องเที่ยวไทยในวันข้างหน้า 
ในวันที่ ‘หินก้อนใหญ่’ ยังกดทับ ‘หญ้าสีเขียว’ ในบางพื้นที่อยู่

ปลดล็อกร่างทอง ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ไปด้วยกันกับ Contributor EP นี้ กับผู้ที่เข้าใจระบบนิเวศการท่องเที่ยวยั่งยืนแบบถ่องแท้ได้จาก... คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ถึงเวลาสร้าง ‘ไทย’ ให้เติบใหญ่ในยุคดิจิทัล l รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก

ความ ‘เท่า’ ที่ยากจะ ‘เทียม’ หากระบบการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่และทิศทางไทยยังคงหลงอยู่กับนโยบาย

ประชานิยมที่คอยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงแค่ครั้งคราว

กลับกันประเทศไทย ในวันที่เริ่มตั้งตัว ต้องหาทางตั้งทรงแบบยกแผงต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตชาติเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกภาคส่วนระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่นๆ ให้เกิดรากอันแข็งแกร่ง เพื่อเป็นฐานรองรับให้ ‘คนในชาติ’ กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ

Contributor EP นี้ ขอกระตุกมุมคิดคนไทยให้ร่วมมองความเจริญแห่งอนาคตที่ถูกทิศผ่านมุมคิดของ... 
รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่ขอเป็นตัวแทนพูดดังๆ ถึงทุกภาคส่วน ว่า…

ถึงเวลาแล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ต้องปฏิรูป!!

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ | CONTRIBUTOR EP.28

ค่านิยม ‘ท้าทาย’ กฎหมายของคนในยุคนี้ ยุคที่ใคร ‘แหก’ กฎได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งยกย่องกันแบบผิดๆ ว่า 'เจ๋ง' และดูเก่งในสายตากลุ่มก้อนความคิดเดียวกัน ... เริ่มลุกลาม!!

แต่เมื่อ 'กฎหมาย' คือ กฎที่คนส่วนใหญ่ ทำตาม!!

ผู้ใด 'ท้าทาย' ก็ต้องพร้อมรับผิดชอบในทุกการกระทำ

และนี่คือเรื่องราวของอีกหนึ่งผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่อยากฝากบอกถึง 'นักแหกกฎ' ให้ปลดความคิดสุดระห่ำออกไปจากระบบคิด และจงเชื่อเถอะว่าชีวิตของพวกคุณจะไม่มีวันถูกหล่อเลี้ยงได้อย่างยั่งยืนผ่านคำยกย่องผิดๆ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี 

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์

Y WORLD

ซักด่วน !!! ใช้ผ้าขนหนูเกิน 3 วัน เหมือนเช็ดตัวด้วยโถส้วม !!! | Y WORLD EP.75

Y WORLD ตอนนี้ แค่หัวข้อก็อึ้งกันแล้วค่ะ แค่ไม่ได้ซักผ้าขนหนู 3 วัน ก็สกปรกขนาดนี้เลยหรอ ? ส่งผลอย่างไรบ้าง และควรแก้ยังไง คลิปนี้มีคำตอบค่ะ 

‘Roman Charity’ ภาพวาดที่ไม่ได้ลามก แต่คือความกตัญญู | Y WORLD EP.74

Y WORLD ตอนนี้พาคุณไปชมภาพวาดหญิงสาวกำลังป้อน ‘นม’ ของตัวเองให้ชายชรา ที่บอกเลยว่า 'เห็นครั้งแรก ก็คิดดีไม่ได้จริงๆ' แต่แท้จริงแล้ว ภาพนี้ไม่ได้เป็นสื่อลามกอนาจาร แต่คือการแสดงความกตัญญู เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามชมกันได้เลยค่ะ

ปลิดชีพ "ชาย" ขู่ฆ่า "โจ ไบเดน" แม้ไม่มี112 | Y WORLD EP.73

Y WORLD ตอนนี้จะพาคุณไปฟังเรื่องราวการ "ปกป้องผู้นำ" ของตนขั้นสุดแบบสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ FBI ปลิดชีพ 'ชาย’ ขู่ฆ่า 'โจ ไบเดน' แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112 แบบประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากใครมาหมิ่นหรือคิดร้ายผู้นำในประเทศของเขา โดนดีทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปรับชมกันเลย

SPECIAL

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2567 : เทพ เทวดา อยู่ที่ไหน?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘เทพ เทวดา อยู่ที่ไหน?’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม: การที่เราไหว้เทพต่าง ๆ ที่บ้าน แท้จริงแล้วเทพท่านประจำอยู่ที่ไหน?

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ท่านอยู่ในภพภูมิของท่าน เหมือนลม ที่อยู่ทุก ๆ ที่ เรานั่งอยู่ตรงนี้ก็มีลม มีออกซิเจน มีลมหายใจ เทพท่านก็อยู่แบบนี้แหละ อยู่ทุกที่ เราไหว้ท่าน ระลึกถึงท่าน ท่านก็ทราบได้ทันที ส่วนท่านจะช่วยหรือไม่ช่วยก็อยู่ที่บุญของเรา

คำถาม: มีบางคนไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้า เทวดาเลย ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนมีเทพ เทวดาประจำตัวหรือไม่?

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): มีสิ ต่อให้ไม่เชื่อก็มี เพราะการมีเทวดาไม่ได้เกี่ยวกับเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เขา (คนนั้น ๆ) ไม่ได้รับประโยชน์จากการมีเทวดา เป็นการมีที่แห้งแล้ง เป็นการมีแบบอาภัพ และหากคน ๆ นั้นไม่ได้พฤติตนดี เทพ เทวดาประจำตัวก็จะไม่มีพลัง 

ต้องเข้าใจด้วยว่า เทพ เทวดา อารักษ์ บางท่าก็เป็น ‘สัมมาทิฏฐิ’ บางท่านก็เป็น ‘มิจฉาทิฐิ’ (ในองค์เทพนั้น ๆ เทวดานั้น ๆ) ยกตัวอย่างเช่น เมื่อโจรทำพิธีบวงสรวง เชิญมาเทพมา ท่านก็มา โจรขอให้ปลอดภัย ท่านก็ช่วย แปลว่าท่านก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอย่างไร ถูกหรือผิด

หากพูดตรง ๆ เทพชอบให้คนไหว้ ถ้าคนไหว้ท่านก็ชอบหมด ผู้หญิงก็ชอบ ผู้ชายก็ชอบ แต่ถ้าไม่ไหว้ท่าน ท่านก็ไม่อยู่ อย่างศาลที่ร้างไป เพราะท่านไม่อยู่ ที่ใดที่ท่านอยู่มาก ก็จะมีผู้คนไปไหว้ ไปกราบมาก

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2567 : ทำบุญตอนนี้ ได้บุญตอนไหน?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำบุญตอนนี้ ได้บุญตอนไหน?’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม: ทำบุญชาตินี้ ทำไมต้องหวังผลชาติหน้า?

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ต้องเคลียร์และทำความเข้าใจก่อน ในเรื่องของการทำบุญ ทำบาป ทำเดี๋ยวนั้น มันได้เดี๋ยวนั้นเลยนะ ยกตัวอย่างเช่น หากเราตีหัวคน เป็นการทำบาป ตีเดี๋ยวนั้น ก็เกิดเรื่องเดี๋ยวนั้น หรือเรายิ้มให้เพื่อนเดี๋ยวนั้น เขาก็ยิ้มตอบ ก็เป็นบุญเดี๋ยวนั้น หรือเรากราบพระ เราไหว้พระ เรารักษาศีล ทำแล้วมันได้เลย มันไม่ได้รอเลย แต่ว่าผลที่มันจะเกิดขึ้น บางครั้งเกิดมากเดี๋ยวนั้น บางครั้งก็ต้องรอเวลาที่มันจะเกิด คือมันอยู่ที่ปริมาณ 

สมมติถ้าตีหัวคนธรรมดา ๆ ก็เป็นเรื่อง หากตีหัวพระสงฆ์ เรื่องก็จะใหญ่ขึ้น และหากไปตีหัวผู้มีอำนาจใหญ่โต เรื่องก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นตามไปด้วย จะเห็นได้ว่า เป็นการตีเหมือนกัน แต่วัตถุที่เป็นเหตุให้เกิดขึ้นจะมีพลังต่างกัน

ส่วนเรื่องทำบุญ เช่น การใส่บาตร ใส่ส้ม 1 ผล ใส่แกง 1 ถุง ใส่ข้าวสุก 1 ถุง ใส่น้อย ๆ แต่ใส่ทุกวัน บุญก็สะสมทุกวัน หรืออย่างเช่นการเรียนหนังสือ เข้าชั้นอนุบาล ประถม มัธยม จนถึงมหาวิทยาลัย ถามว่าตอนเรียนในมหาวิทยาลัย ความรู้สมัยอนุบาลติดตัวมาด้วยหรือไม่? แน่นอนว่าติดตัวมาด้วย เพราะเราอ่านออก เขียนหนังสือได้ นี่แหละเปรียบเสมือนการสะสมบุญ สะสมเรื่อย ๆ ต่อเนื่อง

ตราบใดที่เรายังทำบุญอยู่ ทำบุญสม่ำเสมอ เติมบุญอีกเรื่อย ๆ ทั้งบุญเก่า บุญใหม่ก็ส่งผลให้เกิดความสุข เกิดความสำเร็จ 

มีพระบาลีกำกับว่า ‘ยัง ยัง เทวาภิปัตเถนติ สัพพะเมเตนะ ลัพภะติ’ แปลว่า ‘บุคคลมนุษย์และเทวดา ปรารถนาผลเลิศ ผลประเสริฐอันใด ผลเลิศ ผลประเสริฐอันนั้น จะสำเร็จได้ด้วยบุญดังนี้’

ดังนั้นเมื่ออยากจะให้เกิดความสุข เกิดความสำเร็จ ก็พึงทำบุญ ไม่ต้องรอว่าจะไปรับผลชาติหน้า แต่จะได้รับผลชาตินี้

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2567 : การเกิดเป็นทุกข์ แล้วทำไมยังต้องเกิด?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘การเกิดเป็นทุกข์ ทำไมยังต้องเกิด?’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม: ถ้าการเกิดเป็นทุกข์ แล้วทําไมถึงยังให้มนุษย์เกิดอีก? แล้วอะไรจะการันตีว่าถ้าเดินตามทางพุทธศาสนา จะพบความสุขหรือนิพพาน ทั้งที่บางคนก็เกิดมาทุกข์บางคนก็เกิดมาสุข เพราะบางศาสนาหลักการมันง่ายกว่าศาสนาพุทธหรือเปล่า?

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): การเกิดหรือไม่เกิด เป็นเรื่องของเรานะ ไม่มีใครมาให้เกิดหรือไม่ให้เกิดนะ ไม่มีเทพหรือศาสดาองค์ใดมาอนุมัติให้เราเกิด เพียงแต่ว่าในคําสอนทางพุทธเจ้า สอนไว้ว่าถ้าไม่อยากเกิดก็ให้ปฏิบัติธรรมให้ได้บรรลุเป็นขั้น ๆ ไป แต่การจะบรรลุธรรมให้สิ้นภพสิ้นชาติ ก็ไม่ได้ทำกันได้ง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ ถ้าเรามานะและทำถึง

ยกตัวอย่าง การเรียนจบปริญญาตรี โท เอก มีคนเรียนจบมากมาย คนเรียนไม่จบก็มาก คำถามคือคนที่เรียนไม่จบ ทำไมถึงไม่เรียน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็มีเหตุ มีปัจจัยมากมายต่างกัน เช่น สุขภาพไม่ดี เงินทองไม่พอ เวลาไม่เอื้ออำนวย จึงไม่สามารถกำหนดให้ทุกคนเหมือนกันหมดไม่ได้

ฉะนั้น ตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เปรียบเสมือนพระองค์บอกทาง ส่วนการเดินไปถึงจุดหมายหรือไม่เป็นเรื่องของเรา บางคนอยากไปถึงไว ก็รีบเดิน บางคนไม่ได้อยากถึงไว ก็จะเดินช้า ๆ ดังนั้นไม่มีใครมาทําให้เราเกิด หรือไม่เกิด

ส่วนเรื่องที่บอกว่า ‘การเกิดเป็นทุกข์’ พระพุทธเจ้าตรัสสอนอย่างนี้ เพื่อให้เราหาทางออกจากทุกข์ เพราะว่าต้นธารแห่งความทุกข์ มีที่มาจากการเกิด การเจ็บป่วยก็มาจากการเกิด แก่ชราก็มาจากการเกิด หรือแม้กระทั่งความตายก็มาจากการเกิด

สุดท้าย ‘พระนิพพาน’ อยากจะบอกทุกท่านว่าอย่าไปเถียงกัน เพราะจะไม่จบด้วยการเถียง การคุยกันเรื่องนิพพาน ก็เหมือนกันการคุยเรื่องรสชาติ (หวาน เค็ม มัน เผ็ด) แต่ทั้งคู่ไม่เคยกินเลย ต่อให้เถียงกันจนตายก็ไม่รู้เรื่อง ทางเดียวที่จะรู้คือเอาเข้าปากแล้วเคี้ยว ถึงจะรู้ว่านั้นคือรสชาติอะไร 

ดังนั้นในเรื่องของ ‘นิพพาน’ การรู้กับความรู้ ไม่เหมือนกัน

INFO & TOON

💜3 ภารกิจ รมต.ขิง เดินหน้าทำทันที ก้าวสู่ยุค ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’

วันแรกในกระทรวงอุตสาหกรรมของรัฐมนตรีหน้าใหม่อย่าง ‘ขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์’ ได้ประกาศเป้าหมายของการนั่งเก้าอี้นี้อย่างชัดเจนว่าจะเข้าสู่ยุค ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ (Industry Reform) 

โดยการเข้าสู่ยุคปฏิรูปอุตสาหกรรม ‘ขิง เอกนัฏ’ จะได้ใช้ 3 ยุทธศาสตร์ย่อย มุ่งเน้นแก้ Pain Point ของอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ 

1. จัดการกากอุตสาหกรรมตกค้างทั้งระบบอย่างเข้มงวด

2. ปกป้องอุตสาหกรรมไทยจากการทุ่มตลาด: ช่วยผู้ประกอบการรายย่อย ที่รับผลกระทบจากการทะลักเข้าของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และยกระดับขีดความสามารถSMEไทย

3. สร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้าง new S-Curve กับประเทศผ่านหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ สินค้าเกษตรเทคโนโลยีสูง พลาสติกชีวภาพ โอลีโอเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง ยานยนต์ EV เซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ

นอกจากเป็นการแก้ Pain Point ของอุตสาหกรรมไทยแล้ว ยังเป็นการปรับให้องค์กรพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและของไทย ไม่ว่าจะเป็น SDG, การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอีกด้วย 

📌เปลี่ยน ปรับ เปิด ในกฎหมายปฏิรูปโครงสร้างราคาพลังงาน ฉบับ 'พีระพันธุ์'

🔴เปลี่ยน ให้ราคาน้ำมันปรับได้เพียงเดือนละ 1 ครั้ง 

🔴ปรับ จากราคาน้ำมันที่อิงตลาดต่างประเทศเป็นระบบ Cost Plus แทนการอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศ 

🔴เปิด โอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง 

🔍เช็กผลงาน ‘กระทรวงพาณิชย์’ ในรอบ 1 ปี มุ่ง ‘เพิ่มรายได้ - ลดรายจ่าย - สร้างโอกาส’ แก่ ‘เกษตรกร-ผู้ประกอบการไทย’ แก่ ‘ประชาชน-เกษตรกร-ผู้ประกอบการไทย’

1 ปี บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของ ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ ก่อนจะลุกไปครองเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม ได้สร้างภาพจำไว้ให้คนไทยไม่น้อย โดยได้กำหนดนโยบายในการทำงานกับกระทรวงพาณิชย์ไว้ 7 ด้าน ได้แก่ 

1.ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส 
2.บริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร ผู้ประกอบการ 
3.ทำงานเชิงรุกระหว่างพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ 
4.แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายที่เก่าล้าสมัย 
5.ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต 
6.เร่งผลักดันส่งออกจากติดลบให้เป็นบวก 
7.ผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA 

ซึ่งปรากฏผลการทำงานประสบความสำเร็จในทุกด้าน สามารถดูแลตั้งแต่เกษตรกร ที่เป็นคนฐานรากของประเทศ ดูแลประชาชนผู้บริโภคให้มีภาระค่าครองชีพลดลง และดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยเพิ่มรายได้

นอกจากนี้ ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการ ‘ทีมพาณิชย์’ เพื่อบูรณาการการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ 9 คณะ ได้แก่ 

1. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเพื่อการพาณิชย์ 
2.ส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย 
3.ส่งเสริมและขับเคลื่อนการค้าและเศรษฐกิจเชิงรุกไทย-จีน-อาเซียน 
4.ขับเคลื่อนการทำงานเพื่อบูรณาการตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์  
5.ขับเคลื่อนนโยบายโลจิสติกส์ทางการค้า 
6.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Big data และอินฟลูเอนเซอร์เพื่อการค้า 
7.พัฒนากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ 
8.พัฒนาการค้าตามระเบียบการค้าโลกใหม่ 
9.สร้างการรับรู้และภาพลักษณ์กระทรวงพาณิชย์ 

นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานเชิงรุก โดยพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ต้องรู้จักสินค้า เข้าใจความต้องการตลาด เข้าถึงช่องทางการค้ายุคใหม่ บริหารจัดการประโยชน์ของทุกกลุ่มทุกภาคส่วนให้มีความสมดุล ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ และ ผู้บริโภค 

สำหรับนโยบายเพิ่มรายได้ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนล้านบาท จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพืชผลทางการเกษตร โดยพืชหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มัน ปาล์ม ยางพารา ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 8 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตเกือบ 90 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายข้าวเปลือกเจ้าได้สูงสุดในรอบ 20 ปี พืชรอง ได้แก่ ผลไม้ พืช 3 หัว และผัก ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 1.5 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตกว่า 8 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายสับปะรด กระเทียม หอมแดง สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 

ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน และ SME โดยผลักดันการค้า E-Commerce ทั้งในและต่างประเทศ เกิดมูลค่าการซื้อขาย 2,347.70 ล้านบาท อาทิ ทำ MOU กับ Rakuten ญี่ปุ่น เพื่อจำหน่ายสินค้าไทย ร่วมมือกับ Amazon ขายออนไลน์ นำสินค้าไทยขายบน Shopee มียอดขาย 71.44 ล้านบาท เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับตลาดต้องชม 251 แห่ง เพิ่มรายได้ 1,987 ล้านบาท พัฒนาหมู่บ้านทำมาค้าขาย เพิ่มรายได้ 185 ล้านบาท ผลักดันเพิ่มมูลค่าสินค้า GI สร้างรายได้ 71,000 ล้านบาทต่อปี ใช้ร้านอาหาร Thai SELECT ในต่างประเทศเป็นโชว์รูม เพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการและผลักดัน Soft Power ทั้งอาหาร ดนตรี เชื่อมโยงร้านอาหาร Thai SELECT กับการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้ และเพิ่มรายได้ให้ร้านธงฟ้า จัดไปรษณีย์@ธงฟ้า อำนวยความสะดวกผู้ค้าออนไลน์ และประชาชน ให้บริการ Drop Off ให้บริการรับพัสดุแล้วกว่า 1 แสนชิ้น 

จัดกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผ่านการจัดตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ โดยประสานพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ในช่วง 1 ส.ค.-30 ส.ค. จำนวน 318 ครั้ง มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 4,683 ราย สร้างรายได้ 373 ล้านบาท ตั้งเป้าจัดตลาดพาณิชย์ 935 ครั้ง ในช่วง ส.ค.-พ.ย.67 คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เป็นจำนวนมาก และยังเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า อาทิ HoReCa 2024, THAIFEX - Anuga Asia 2024 และ STYLE Bangkok 2024 สร้างมูลค่าซื้อขายกว่า 1 แสนล้านบาท จัด Thailand SME Synergy Expo 2024 สร้างมูลค่าการค้ากว่า 200 ล้านบาท 

ส่วนนโยบายลดรายจ่าย ได้จัดโครงการ ‘พาณิชย์สั่งลุย...ลดราคา’ ลดราคาสินค้าจำเป็น ช่วงเทศกาลสำคัญ ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ ก่อนเปิดภาคเรียน ลดสูงสุด 60-85% รวม 8 กิจกรรม ลดค่าครองชีพได้ 8,060 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 13,400 ล้านบาท จัด ‘โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ลดค่าครองชีพประชาชน’ จำหน่ายสินค้าจำเป็นราคาต่ำกว่าท้องตลาด 20-40% รวม 1,134 ครั้ง ลดค่าครองชีพ 130 ล้านบาท 

จัดจำหน่ายสินค้าผ่านรถโมบายในแหล่งชุมชน 450 จุด ลดค่าครองชีพ 122.09 ล้านบาท จัดโครงการร้านอาหารธงฟ้า มีจำนวน 5,607 ร้าน ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนประมาณวันละ 2.63 ล้านบาท หรือ 960 ล้านบาท จัดพาณิชย์สั่งลุยราคาปุ๋ย ลดต้นทุนให้เกษตรกร 102 ล้านบาท ลดต้นทุนให้ร้านค้า ผู้ประกอบการ 14,000 ราย มูลค่า 53 ล้านบาท ด้วยการงดจัดเก็บค่าเช่าพื้นที่ในกระทรวง และขอความร่วมมือตลาดในสังกัด กทม.ไม่เก็บด้วย งดการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการใช้เพลงที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ฟรี 3 เดือน ตั้งแต่ ธ.ค.66-มี.ค.67 และมอบส่วนลดค่าลิขสิทธิ์เพลง 50–55% ต่อเนื่องอีก 1 ปี ลดต้นทุนผู้ประกอบการ SME ที่ใช้งานเพลง 400,000 ราย มูลค่า 3,300 ล้านบาท และขอฝากกรมการค้ารวบรวมร้านค้า เพื่อเข้าสู่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 

สำหรับการขยายโอกาสทางการค้า ได้เดินหน้าเจาะตลาดหลัก โดยจีน นำเข้าผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน CAEXPO สหรัฐฯ นำเอกชนลงนาม MOU ซื้อขายข้าวและอาหาร ญี่ปุ่น ผลักดันอาหาร ผลไม้ ผ้าไทย ซีรีส์วายในงาน Thai Festival Tokyo ฝรั่งเศส นำเอกชนเข้าร่วมงาน Cannes Film Festival 2024 คาดมูลค่าเจรจาการค้ากว่า 11,000 ล้านบาท ใช้แคมเปญ Think Thailand Next Leve ในการบุกตลาดอินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย และแอฟริกาใต้ รวมทั้งผลักดันการค้าชายแดน และแก้ไขอุปสรรคทางการค้า โดยเฉพาะการเจรจาเปิดด่าน เพื่อรองรับฤดูกาลผลไม้ไทย 

การลงนาม FTA ไทย-ศรีลังกา ผลักดันการเจรจา FTA ไทย-EFTA ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 เปิดเจรจา FTA ใหม่ อาทิ ไทย-เกาหลีใต้ ไทย-ภูฏาน และไทย-บังกลาเทศ การรุกตลาดเมืองรอง โดยต่อยอด MOU ที่ลงนามไปแล้ว สร้างมูลค่าการค้ากว่า 5,500 ล้านบาท อาทิ ความร่วมมือกับมณฑลกานซู่ ปูซาน โคฟุ โดยนายภูมิธรรม ได้ฝากให้ รมช.พาณิชย์ทั้งสองท่าน และปลัดกระทรวงพาณิชย์ สานงานต่อด้วย 

และยังได้เพิ่มโอกาสทางการค้าผ่านกลยุทธ์ตลาดแนวใหม่ โดยใช้ซีรีส์วาย ซีรีส์ยูริ ดึงมาย-อาโป ฟรีน-เบ็คกี้ ยกระดับสินค้าชุมชน อาทิ สมุนไพร สุราชุมชน ขนมขบเคี้ยว Tie-in เข้าสู่ตลาดโลกผ่านซีรีส์ และนำเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ฮ่องกง เวียดนาม ฝรั่งเศส เกิดการจับคู่ธุรกิจ 756 คู่ มูลค่า 4,102 ล้านบาท ใช้เครือข่าย KOL จีนไลฟ์สดขายสินค้าและบริการไทย เพื่อสร้างรายได้ให้คนตัวเล็ก กำหนดจัดวันที่ 25-29 ก.ย.67 คาดการณ์มูลค่า 1,500 ล้านบาท 

และได้จัดทำ MOU กับ Sinopec นำสินค้าไทยจำหน่ายใน Easy Joy ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน คาดการณ์มูลค่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี การเจรจาธุรกิจออนไลน์ (OBM) เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ฮาลาล สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น คาดการณ์มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท และยังทำงานเชิงรุกทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัด ขายกล้วยหอมเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ขายลำไยเข้าสู่ตลาดจีน ขายมังคุดไปจีนและญี่ปุ่น และเปิดตลาดผ้าไทยในญี่ปุ่น เป็นต้น รวมไปถึงการช่วยสร้างโอกาสทางการค้า จากการใช้ประโยชน์จาก Big Data คิดค้า.com เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ มีสินค้าเกษตร 13 ชนิด เศรษฐกิจการค้ารายจังหวัด และเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น มีผู้ใช้งานกว่า 220,000 คน เฉลี่ย 22,000 คนต่อเดือน

COLUMNIST

‘รอยยิ้มกังฉิน’ สิ้นชื่อ!! เมื่อชาวเน็ตจีนลุกฮือล้วงอดีตฉาว สะท้อน!! คอร์รัปชันเหนือความดี แม้กฎหมายจะแรง...แต่กล้าเสี่ยง

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 ที่มณฑลซานซี ประเทศจีน เมื่อมีการเผยแพร่ภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ยืน ‘ยิ้ม’ ท่ามกลางสาธารณชนอยู่ในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุรถชนครั้งใหญ่ ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าวมากถึง 36 ราย ใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงทำให้ชาวเน็ตชาวจีนที่มี ‘อารมณ์อ่อนไหว’ ได้พากันเร่งรีบตรวจสอบประวัติส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รายนี้

ในเวลาไม่ถึง 5 วัน ชาวเน็ตชาวจีนได้รวบรวมนาฬิกายี่ห้อต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนนี้สวมใส่ในที่สาธารณะ รวมทั้งหมด 11 ยี่ห้อ โดยมีราคาตั้งแต่ 10,000 หยวนถึง 500,000 หยวน ซึ่งเป็นราคาที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนทั่วไปไม่น่าที่จะซื้อหามาครอบครองได้

2 วันต่อมา นักศึกษาวิทยาลัยในท้องถิ่นได้ยื่นคำร้องขอการเปิดเผยข้อมูลของรัฐบาลต่อกรมการคลังของจังหวัด โดยขอรายการเงินเดือนประจำปี 2011 และการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของ ‘เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้ยิ้มแย้ม’ จากอุบัติเหตุรถชนครั้งใหญ่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ยิ้มแย้มได้ปฏิเสธ โดยอ้างว่านาฬิกาทั้งหมดของเขาซื้อโดยใช้รายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย (นั่นคือตอนที่รัฐบาลกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง)

หลังจากที่ ‘เจ้าหน้าที่ผู้ที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม’ ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี ผู้คนจึงได้ตระหนักว่าเขามีใบหน้าที่ยิ้มแย้มโดยธรรมชาติ รอยยิ้มของเขาเป็นการแสดงออกบนใบหน้าตามปกติธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว ชายคนนี้เป็นที่รู้จักในประเทศจีนในนามของ ‘ไอ้หนุ่มนาฬิกา’

ภาพนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่คิดว่าเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุดของการทุจริตของรัฐบาล เมื่อ ‘หลี่เค่อเฉียง’ นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมเดินทางไปด้วย การแสดงออกของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้นี้เป็นการบอกว่า "ไม่ ผมไม่ได้ใส่นาฬิการาคาแพง" ซึ่งทำให้ชาวเน็ตจีนก็พากันขุดเอาภาพเก่า ๆ ของเขาขึ้นมา และพบว่าเขามีนาฬิการาคาแพงจริง ๆ หลายเรือน ต่อมาชายคนนี้ก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีเช่นกัน ซึ่งเขาเป็นที่รู้จักในประเทศจีนในนามของ ‘ไอ้หนุ่มไม่มีนาฬิกา’

หากแบ่งแบบคร่าว ๆ แล้ว การทุจริตคอร์รัปชันที่พบได้ทั่วไปในประเทศจีน มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ การทุจริต / การแสวงหาผลประโยชน์ และ การยักยอกเอาทรัพย์สินของชาติ (หาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่)

>> การทุจริตเป็นพฤติกรรมที่พบบ่อยที่สุด ประกอบไปด้วย การติดสินบน คือ การให้สินบนที่ผิดกฎหมาย / การยักยอกทรัพย์และการขโมยเงินของรัฐ / การทุจริตเกี่ยวข้องกับสิ่งของมีค่าที่มอบให้และยอมรับโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อจุดประสงค์ที่ไม่ซื่อสัตย์หรือผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ใช้จ่ายเงินของรัฐอย่างฉ้อฉลหรือใช้เงินของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง

>> ส่วนการแสวงหาผลประโยชน์ หมายถึง พฤติกรรมทุจริตทุกรูปแบบ โดยบุคคลที่มีอำนาจผูกขาด-เจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้รับ ‘ส่วย’ ซึ่งเป็นรายได้เพิ่มเติมอันเป็นผลจากตลาดที่ถูกจำกัด ด้วยการให้ใบอนุญาตหรือการผูกขาดแก่ลูกค้า และการแสวงหาผลประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่มอบค่าเช่าให้กับผู้ที่สนับสนุนพวกเขา ซึ่งกรณีนี้จะคล้ายกับการคอร์รัปชันของจีน ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นทั้งผู้หาผลประโยชน์และผู้แสวงหาผลประโยชน์ โดยทั้งคู่จะมีลักษณะของการสร้างโอกาสในการหาผลประโยชน์ให้กับผู้อื่น และแสวงหาโอกาสดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของตนเอง ซึ่งอาจรวมถึงการแสวงหากำไรโดยเจ้าหน้าที่หรือบริษัทของเจ้าหน้าที่ การกรรโชกในรูปแบบของการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ผิดกฎหมาย

>> การหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ หมายถึง เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะได้รับสิทธิพิเศษและ

ผลประโยชน์ผ่านตำแหน่งนั้น ด้วยตำแหน่งหน้าที่ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าหรือการชำระเงินสำหรับกิจกรรมจริงหรือปลอม และองค์กรต่าง ๆ จะถูกเปลี่ยนจากสถานที่ทำงานเป็น ‘ธนาคารทรัพยากร’ ซึ่งบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ แสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง คอร์รัปชันนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเงิน แต่รวมถึงการแย่งชิงสิทธิพิเศษของทางการ การทำข้อตกลงลับ การอุปถัมภ์ การเล่นพรรคเล่นพวก การใช้เส้นสาย

ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียที่ทำให้ชาวเน็ตจีนยังคงเฝ้าติดตามการทุจริตต่อไป

8 วิธีการลงโทษสตรีที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ การกดขี่จากบุรุษเพศ ที่ ‘สตรีต้องนิ่งเฉยและเชื่อฟัง’

ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านมา 'สตรี' มักเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษอย่างรุนแรงและน่าสยดสยอง ซึ่งสะท้อนถึงความเหยียดเพศและเกลียดชังที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมต่าง ๆ 

ที่สำคัญการลงโทษสุดโหดร้ายเหล่านี้ ถูกวางให้เป็นเครื่องมือในการรักษาและจัดระเบียบทางสังคมโดยมีบุรุษเป็นใหญ่ เพื่อใช้ในการควบคุม ป้องปราม และเข้มงวดต่อพฤติกรรมของสตรี 

บทความนี้จะเจาะลึกประวัติศาสตร์อันมืดมนของการลงโทษเหล่านี้ โดยตรวจสอบต้นกำเนิด วิธีการ และทัศนคติของสังคมที่สนับสนุนความโหดร้ายที่รุนแรงดังกล่าว ที่กลายมาเป็นมรดกอันมืดมนตลอดห้วงประวัติศาสตร์ ภายใต้บรรทัดฐานทางสังคม ที่มักจะมีอคติต่อสตรีมาเป็นตัวตัดสินอย่างชัดเจน 

ทั้งนี้ วิธีการลงโทษที่ใช้กับสตรี มักถูกออกแบบมาเพื่อมุ่งเป้าไปยัง ร่างกาย พฤติกรรม และบทบาทของพวกเธอในสังคม โดยการลงโทษเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้แค้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาโครงสร้างสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ ซึ่งสตรีถูกคาดหวังให้ต้องยอมจำนนและเงียบเฉย ตั้งแต่ยุโรปในยุคกลาง ไปจนถึงการล่าแม่มดในโลกยุคใหม่ 

แล้วการลงโทษที่เลวร้ายที่สุดบางส่วนที่สตรีต้องเผชิญ มีอะไรบ้าง?

1. ‘บังเหียนสำหรับหญิงปากมาก’ (The Scold’s Bridle) : อุปกรณ์ที่ทำให้สตรีที่พูดตรงไปตรงมาเงียบเสียง อังกฤษและสกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 16 และ 17 สตรีที่ถูกมองว่า พูดตรงไปตรงมาหรือชอบแสดงความคิดเห็น มักจะถูกลงโทษด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า 'หน้ากากโลหะ' หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘Branks’ ออกแบบมาเพื่อทำให้ผู้ถูกสวมใส่เงียบเสียงโดยการล็อกศีรษะและใส่ที่ปิดปากที่มีหนามแหลมคมเข้าไปในปาก ซึ่งสามารถเจาะลิ้นได้หากสตรีผู้นั้นพยายามที่จะพูด ซึ่งไม่เพียงแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้สวมใส่ได้รับความอับอายอีกด้วย เนื่องจากสตรีเหล่านั้นมักจะถูกพาเดินไปตามท้องถนนพร้อมกับสวมมัน 

สำหรับการลงโทษนี้ เป็นความพยายามที่ชัดเจนในการบังคับใช้บรรทัดฐานทางสังคมที่กำหนดว่าสตรีควรได้รับการมองเห็น แต่ไม่ควรได้รับการได้ยิน เป็นเครื่องมือที่ทั้งในการสร้างความเจ็บปวดทางร่างกายและการควบคุมทางสังคม ช่วยให้สตรีที่พูดจาไม่สมควรได้รับความอับอายต่อหน้าธารกำนัล ผลกระทบของการลงโทษนี้ขยายออกไปไกลเกินกว่าความเจ็บปวดทางร่างกาย เนื่องจากตอกย้ำความเชื่อของสังคมในยุคนั้นที่ว่า ‘สตรีต้องนิ่งเฉยและเชื่อฟัง’

2. ‘ไวโอลินของหญิงปากร้าย’ (The Shrew’s Fiddle) : เครื่องมือสำหรับควบคุมสตรีที่ 'ดื้อรั้น' เช่นเดียวกับ ‘บังเหียนสำหรับหญิงพูดมาก’ โดย ‘ไวโอลินของหญิงปากร้าย’ เป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่ใช้ลงโทษสตรีที่ถูกมองว่าดื้อรั้นหรือเป็นอิสระเกินไป ซึ่งอุปกรณ์นี้จะล็อกศีรษะและมือของสตรีไว้ในโครงสร้างไม้เพียงอันเดียว ทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่ได้และถูกบังคับให้ต้องทนกับการล้อเลียนในที่สาธารณะ 

ทั้งนี้ คำว่า 'Shrew' มักใช้เพื่ออธิบายถึงสตรีที่ไม่ปฏิบัติตามบทบาทที่ต้องยอมจำนนตามที่สังคมคาดหวัง Shrew's Fiddle เป็นการลงโทษทั่วไปในบางส่วนของยุโรป โดยเฉพาะในเยอรมนีและออสเตรีย ซึ่งใช้เพื่อบังคับให้สตรีต้องยอมจำนน เป็นการเน้นย้ำถึงความพยายามที่สังคมในยุคนั้นจะดำเนินการเพื่อรักษาการกดขี่และบังคับควบคุมสตรี

3. ‘การล่าแม่มดและการเผา’ (Witch Hunts and Burnings) : การข่มเหงทางเพศขั้นสุดยอด บทหนึ่งในประวัติศาสตร์การลงโทษสตรีที่โหดที่สุดคือ การล่าแม่มดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 18 สตรีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มักถูกทรมานอย่างโหดร้าย เพื่อให้รับสารภาพก่อนจะถูกประหารชีวิต โดยปกติแล้วจะถูกเผาโดยผูกไว้กับเสา 

ทั้งนี้การล่าแม่มด ยังเป็นการแสดงออกถึงการเกลียดชังสตรีที่หยั่งรากลึก โดยสตรีที่เบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานทางสังคมหรือผู้ที่เปราะบาง (เช่น แม่ม่ายหรือหมอแผนโบราณ) จะถูกมองว่าเป็นพวกแม่มด ความกลัวและความเกลียดชังสตรีที่ถูกมองว่ามีอำนาจเหนือโครงสร้างสังคมที่บุรุษครอบงำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตด้วยสาเหตุนี้หลายหมื่นคนทั่วทั้งยุโรปและอเมริกาในยุคอาณานิคม 

โดยวิธีการที่ใช้ในการทรมานสตรีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนั้นหลากหลายและน่าสยดสยอง ด้วยเทคนิคต่าง ๆ ได้แก่ การยืดแขนขาของเหยื่อให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ และการแช่น้ำ โดยให้สตรีแช่น้ำเย็นเพื่อตัดสินความผิดของตนเอง และผู้ที่ลอยน้ำถือเป็นแม่มด ส่วนผู้ที่จมน้ำถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะที่การพิจารณาคดีก็ใช้วิธีพิสดารและป่าเถื่อน โดยมักมีการบังคับให้สารภาพภายใต้การบังคับทารุณอย่างหนัก จนผู้ถูกทรมานต้องรับสารภาพและไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประหารชีวิตได้

4. ‘เก้าอี้คุกเข่าและเก้าอี้ก้มตัว’ (The Cucking and Ducking Stools) : จากความอับอายสู่ความตาย ‘เก้าอี้คุกเข่า’ (The Cucking Stools) เป็นเก้าอี้ไม้ที่ใช้สำหรับมัดสตรีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด เช่น ดุด่า ล่วงประเวณี หรือทำผิดกฎหมาย ต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล สตรีผู้นั้นจะถูกมัดกับเก้าอี้และต้องเดินไปตามถนน โดยถูกล้อเลียนและข่มเหงจากประชาชน ซึ่ง ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ (The Ducking Stools) เป็นรูปแบบที่โหดร้ายมาก โดยสตรีผู้นั้นจะผูกติดกับเก้าอี้ซึ่งผูกติดกับคันโยกยาว และถูกจุ่มลงไปในแม่น้ำหรือบ่อน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเก้าอี้ก้มตัวนั้น ถือเป็นการทรมานที่อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากหากทำซ้ำ ๆ อาจทำให้สตรีผู้นั้นจมน้ำจนเสียชีวิตได้ 

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงจาก ‘เก้าอี้คุกเข่า’ เป็น ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ แสดงถึงความรุนแรงของการลงโทษสตรีที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่า แต่เดิม ‘เก้าอี้คุกเข่า’ จะเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับการทำให้ขายหน้าในที่สาธารณะเป็นหลัก แต่ ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ ยังเพิ่มองค์ประกอบของความรุนแรงทางกายภาพอีกด้วย วิธีนี้มักใช้กับสตรีที่ถูกกล่าวหาว่าทำพิธีกรรมเวทมนตร์หรือก่ออาชญากรรม 'ทางศีลธรรม' อื่น ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเต็มใจของสังคมที่จะทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมในยุคนั้น

5. การทำร้ายร่างกายและการตีตรา (Mutilation and Branding) : ตราบาปตลอดชีวิต ในบางวัฒนธรรม สตรีที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดี เช่น ล่วงประเวณีหรือค้าประเวณี จะถูกทำร้ายร่างกายเพื่อเป็นการลงโทษ ที่อาจรวมถึงการตัดจมูกหรือหู ซึ่งเป็นการกระทำที่ตั้งใจจะทำเครื่องหมายให้สตรีผู้นั้นเป็นคนนอกสังคมอย่างถาวร โดยในยุคกลาง ตัวอย่างเช่น ในฝรั่งเศส สตรีที่ถูกกล่าวหาว่าล่วงประเวณีอาจถูกตัดจมูก ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ดำเนินมาในรูปแบบต่าง ๆ จนกระทั่งถึงยุคสมัยใหม่ตอนต้น โสเภณีมักถูกตีตราด้วยเหล็กเผา มักจะตีที่ใบหน้าหรือไหล่ เพื่อให้พวกเธอได้รับการตราหน้าว่าทำผิดตลอดชีวิต หรือนายทาสมักจะตีตราเครื่องหมายบนตัวทาส

ทั้งนี้ การทำร้ายร่างกายมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เป็นการลงโทษที่สร้างความเจ็บปวดในทันที ซึ่งจะส่งผลตามมาในระยะยาว และยังเป็นการเตือนใจถึงการกระทำผิดของสตรีผู้นั้นด้วย ที่สำคัญการตีตราโสเภณี ไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการควบคุมอีกด้วย โดยการตีตราสตรีเหล่านี้ เป็นการสร้างสถานะที่ถูกละเลยของพวกเธอของสังคมในสมัยนั้น และรับรองว่าพวกเธอจะไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างสมบูรณ์

6. วงล้อทำลายล้างและความน่ากลัวอื่น ๆ ในยุคกลาง (The Breaking Wheel and Other Medieval Terrors) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า 'วงล้อแคทเธอรีน' เป็นอุปกรณ์ที่น่ากลัวซึ่งใช้ในยุโรปยุคกลางเป็นหลัก โดยการมัดเหยื่อไว้กับวงล้อไม้ขนาดใหญ่ จากนั้นหักแขนขาของเหยื่อด้วยค้อนหรือแท่งเหล็ก 

สำหรับวิธีการทรมานนี้ บางครั้งใช้กับสตรี โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น เป็นพวกนอกรีต หรือฆ่าเด็ก ซึ่งตัววงล้อทำลายล้างไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อฆ่าคนอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานนานขึ้น โดยเหยื่อบางคนอาจถูกปล่อยให้ตายอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายวัน เพื่อเป็นการเตือนสติผู้อื่น และแม้ว่าสตรีจะถูกกระทำในลักษณะนี้น้อยกว่าบุรุษ แต่ก็ไม่ได้พ้นจากความโหดร้ายนี้ ดังนั้นวงล้อจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของมาตรการสุดโต่งที่สังคมจะใช้ลงโทษผู้ที่ละเมิดขอบเขตอันเข้มงวดที่กำหนดโดยศาสนาและบรรทัดฐานทางสังคมในสมัยนั้น

7. การถลกหนังทั้งเป็น (Flaying Alive) : ชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย เป็นรูปแบบการลงโทษแบบโบราณที่ยังคงใช้มาจนถึงยุคกลาง แม้ว่าจะนิยมใช้กับบุรุษมากกว่า แต่ก็มีกรณีของการลงโทษอันน่าสยดสยองนี้ที่สตรีต้องเผชิญ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น กบฏหรือทำเวทมนตร์ 

ทั้งนี้ การถลกหนังมีจุดประสงค์เพื่อให้เจ็บปวดและอับอายมากที่สุด โดยบางครั้งเหยื่อจะถูกปล่อยให้มีชีวิตอยู่ระหว่างการถลกหนังสัตว์ เพื่อยืดเวลาการทนทุกข์ทรมาน การถลกหนังมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมอัสซีเรียโบราณ แต่ยังคงใช้กันมาจนถึงยุคกลางในยุโรปและตะวันออกกลาง ซึ่งบันทึกทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากระบวนการทรมานนี้จะดำเนินไปอย่างช้ามาก เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อให้เจ็บปวดมากที่สุด และส่วนใหญ่เหยื่อมักจะเสียชีวิตจากอาการช็อกหรือเสียเลือด แต่ไม่ใช่ก่อนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ... สำหรับสตรี การลงโทษนี้ไม่ใช่แค่การล้างแค้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการลิดรอนความเป็นมนุษย์ในความหมายที่แท้จริงที่สุดอีกด้วย

8. เสื้อคลุมคนเมา (The Drunkard’s Cloak) : เป็นการทำให้ผู้ถูกลงโทษขายหน้าต่อสาธารณะและถูกล้อเลียน เป็นการลงโทษที่แปลกประหลาดและน่าอับอาย ซึ่งใช้กันในอังกฤษในศตวรรษที่ 17 เป็นส่วนใหญ่ และบางครั้งก็ใช้ในส่วนอื่น ๆ ของยุโรป การลงโทษนี้มักสงวนไว้สำหรับบุคคลทั้งสตรีและบุรุษที่ถือว่าเป็นคนขี้เมาเป็นประจำ โดยผู้กระทำความผิดจะถูกบังคับให้เข้าไปในถังไม้ขนาดใหญ่ที่เจาะรูไว้สำหรับหัว แขน และขา ทำให้ดูเหมือนเป็นถังไม้ขนาดเท่าคน เมื่อถูกขังแล้ว ผู้กระทำความผิดจะถูกพาเดินไปทั่วถนน ทำให้ชาวเมืองที่พบเห็นพากันล้อเลียนและหัวเราะ เพื่อทำให้ผู้กระทำความผิดอับอายต่อสาธารณะสำหรับนิสัยการดื่มสุราที่มากเกินไป ด้วยใช้การล้อเลียนเป็นเครื่องป้องกัน 

สำหรับการลงโทษนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความอึดอัดทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีของชุมชนนั้น ๆ อีกด้วย ถือเป็นการตอกย้ำมาตรฐานทางศีลธรรมของชุมชนที่แสดงออกผ่านความอับอายของผู้ถูกลงโทษ

โดยสรุปแล้ว การที่สตรีต้องเผชิญกับการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ เพราะสังคมส่วนใหญ่มักเป็นสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ ดังนั้นการลงโทษเหล่านี้จึงใช้เป็นเครื่องมือในการบังคับใช้บรรทัดฐานทางสังคม ปราบปรามความเห็นต่าง และควบคุมพฤติกรรมของสตรี การเบี่ยงเบนจากบทบาทที่คาดหวัง เช่น การพูดจาตรงไปตรงมา การสำส่อน หรือความเป็นอิสระ มักจะได้รับการปฏิบัติที่รุนแรงเพื่อสร้างความกลัวและรักษาสถานะเดิมเอาไว้ 

ในขณะที่การลงโทษบางอย่าง ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับสตรี การลงโทษอื่น ๆ เช่น การหักล้อหรือการถลกหนัง ใช้กับทั้งบุรุษและสตรี อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้กับสตรี การลงโทษเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับองค์ประกอบเพิ่มเติมของการดูหมิ่นหรือเหยียดหยามทางเพศ ซึ่งสะท้อนถึงอคติทางเพศในสมัยนั้น 

ทว่า การลงโทษที่รุนแรงส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงนั้นถูกยกเลิกไปในศตวรรษที่ 18 และ 19 เมื่อบรรทัดฐานทางสังคมพัฒนาขึ้นและมีการปฏิรูปกฎหมาย 

อย่างไรก็ตาม การทำให้ขายหน้าต่อสาธารณะและความรุนแรงทางเพศในรูปแบบต่าง ๆ ยังคงเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก แม้ว่าจะไม่ใช่รูปแบบที่รุนแรงเหมือนในอดีตก็ตาม หรือสตรีบางคนก็เลือกต่อต้านการลงโทษเหล่านี้ด้วยการหลบหนี ท้าทาย หรือใช้ความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษ เพียงแต่การต่อต้าน ก็ถือเป็นเรื่องยากและมักประสบกับผลกระทบที่รุนแรงกว่า ทำให้เกิดขึ้นได้ยากและอันตราย และสังคมในยุคสมัยนั้นให้เหตุผลสำหรับการลงโทษเหล่านี้ผ่านกรอบทางศาสนา กฎหมาย และศีลธรรม เพื่อแสดงให้เห็นว่า สตรีเป็นคนบาปโดยกำเนิด อ่อนแอ หรือเป็นอันตราย จนสังคมในยุคสมัยนั้นมองว่า สตรีเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงมีเหตุผลในการใช้มาตรการที่รุนแรงเพื่อควบคุมและแก้ไขพวกเธอ

การลงโทษสตรีอย่างเหี้ยมโหดในประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องเตือนใจที่น่าหดหู่ใจถึงความพยายามของสังคมในการควบคุมและกดขี่ประชากรครึ่งหนึ่ง วิธีการอันโหดร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ มิใช่เพียงการกระทำอันโหดร้ายเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือกดขี่ที่จงใจใช้เพื่อรักษาลำดับชั้นทางสังคมที่เข้มงวด ซึ่งให้สตรีอยู่อันดับล่างสุด และถึงแม้ว่าการปฏิบัติเหล่านี้หลายอย่างจะถูกละทิ้งไปนานแล้ว แต่มรดกของการปฏิบัติเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่ จึงยังคงมีการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศและการต่อต้านความรุนแรงทางเพศ

ดังนั้น การทำความเข้าใจในบริบทที่มืดมนจากประวัติศาสตร์เหล่านี้ จึงถือเป็นความสำคัญที่ไม่เพียงแต่เพื่อรับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยอมรับอคติที่หยั่งรากลึก ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อทัศนคติของสังคมที่มีต่อสตรีในปัจจุบัน ภายใต้การหันมาร่วมพินิจไตร่ตรองถึงความอยุติธรรมในอดีต ที่จะช่วยส่งต่อให้ผู้คนในยุคสมัยใหม่ลุกขึ้นมาท้าทายและรื้อระบบที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเพศอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

September Effect เดือนแห่งการขายสินทรัพย์เสี่ยง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจากสถิติในรอบ 10 ปี

(6 ก.ย. 67) หนึ่งในเดือนที่บรรดานักลงทุนจะต้องจับตามองถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างมาก ไม่ว่าจะในวงการเทรดหุ้น ทองคำหรือคริปโตเคอร์เรนซี คงหนีไม่พ้นเดือนกันยายนของทุกปี 

เพราะในเดือนกันยายนของแทบจะทุกปี มักจะเกิดปรากฏการณ์หนึ่งขึ้นมา และปรากฏการณ์ที่นักลงทุนมักจะพูดถึงนั้นก็คือ 'September Effect' หรือปรากฏการณ์การขายสินทรัพย์เสี่ยงในเดือนกันยายน

ถ้าเราย้อนกลับไปดูสถิติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นตัวเลขค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับตัวลงในเดือนนี้เสมอค่ะ ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้น S&P ของสหรัฐอเมริกาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีแค่เดือนกันยายนที่ติดลบ หรือตลาด Nasdaq ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 8 ปีใน 10 ปีที่ให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนกันยายน หรือจะตลาดหุ้นบ้านเราอย่าง SET ที่ให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนนี้ถึง 7 ปีใน 10 ปี โดยในเดือนกันยายนปี 2023 ตลาดหุ้นไทยติดลบเฉลี่ยไปถึง -94 จุด และติดลบเฉลี่ย -49 จุดในเดือนกันยายนปี 2022 ค่ะ

ข้ามมาทางตลาดทองคำที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบในเดือนนี้ถึง 9 ปีใน 10 ปีที่มีการเก็บสถิติโดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบอยู่ที่ 2.95% และหลายปีก็ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบเยอะค่ะ ส่วน Bitcoin ให้ผลตอบแทนเป็นลบถึง 7 ปีใน 10 ปี ผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 5.9%

หลายคนอาจสงสัยว่าปรากฏการณ์นี้คืออะไร?

ถึงแม้จะไม่มีเหตุผลยืนยันที่แน่ชัด แต่มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์นี้ 

>> หนึ่งในทฤษฎีที่ได้รับความนิยมคือ ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาของนักลงทุนค่ะ 

นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าช่วงเดือนกันยายนเป็นเวลาที่นักลงทุนมักจะปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หรือเตรียมเงินสดสำหรับใช้จ่ายในช่วงปลายปี และการปรับพอร์ต หรือการขายหุ้นในจำนวนมาก ก็อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดลดลง 

>> อีกหนึ่งทฤษฎีคือ การปรับตัวตามฤดูกาลของบริษัทและนักลงทุน โดยช่วงเดือนกันยายน จะเป็นเวลาที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มเตรียมรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนเริ่มทบทวนการลงทุนของตนและอาจทำการขายหุ้นที่คาดว่าอาจจะมีผลประกอบการไม่ดีค่ะ

พอความเชื่อเรื่อง September Effect เป็นที่แพร่หลาย ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการขายหุ้นเป็นจำนวนมากในเดือนนี้ ซึ่งเราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น 'Self-fulfilling prophecy' หรือคำทำนายที่เกิดขึ้นจริงเพราะคนเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนอาจเตรียมขายหุ้นในเดือนกันยายนเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนตามแนวโน้มในอดีต ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดการเทขายและราคาหุ้นลดลงตามมาค่ะ

แต่ในทางกลับกัน ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนบางคนค่ะ ที่จะใช้เวลานี้เป็นโอกาสในการสะสมสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อถือครองระยะยาวและรอไปขายทำกำไรในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการลงทุนค่ะ 

ถึงแม้ว่าจากตัวเลขทางสถิติจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในฐานะนักลงทุน เราก็ไม่ควรนำมาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจลงทุน การลงทุนควรพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานของบริษัทที่เราลงทุนและการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดในภาพรวม และแม้ว่า September Effect จะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกปี ดังนั้นนักลงทุนควรใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและพิจารณาปัจจัยหลาย ๆ ด้านก่อนตัดสินใจลงทุนค่ะ 

ยิ่งปีนี้ในไทยเองจะมีการใช้นโยบายหลายอย่างในการกระตุ้นเศรษฐกิจและพยุงตลาดหุ้นอย่างเช่น การใช้กองทุนวายุภักษ์เข้ามาช่วย ก็อาจจะทำให้ปีนี้เป็นอีกปีที่ไม่ติดลบก็ได้ค่ะ

WORLD

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#4 สุดยอดปืนเล็กยาวตระกูล AK จาก Kalashnikov Group

ยังเป็นบ่ายวันแรก (12 สิงหาคม) หลังจากชมนานาสารพัดจรวดนำวิถีที่ออกแบบและผลิตโดยบริษัท Tactical Missiles Corporation (KTRV) แล้วทีมงานของบริษัท ROSOBORONEXPORT ก็พาเดินไปยังอาคารของบริษัท Kalashnikov Group ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธปืนตระกูล AK ที่คนไทยรู้จักกันดี 

‘Mikhail Kalashnikov’ (1919 - 2013) ผู้ออกแบบและสร้างปืนเล็กยาวตระกูล AK

ก่อนปี 2013 บริษัทนี้รู้จักกันในชื่อของ 'Izhevsk Machine-Building Plant' และได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น 'Kalashnikov Concern' เพื่อเป็นเกียรติแก่ ‘Mikhail Kalashnikov’ ผู้ออกแบบและสร้างปืนเล็กยาวตระกูล AK บริษัท 'Kalashnikov' มีประวัติการก่อตั้งมายาวนาน 217 ปี โดยมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Izhevsk ในเขต Udmurtia และกรุงมอสโกเมืองหลวง เป็นบริษัทมหาชนจำกัดออกแบบและผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์ของสหพันธรัฐรัสเซีย อาทิ อาวุธปืนสำหรับพลเรือนและทหารหลากหลายประเภท เช่น อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจม อาวุธปืนสำหรับพลแม่นปืน ปืนกลอัตโนมัติประจำหมู่ ปืนยาวล่าสัตว์ ปืนลูกซอง ปืนใหญ่กระสุนนำวิถี และอาวุธยุทโธปกรณ์ประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น สถานีอาวุธควบคุมระยะไกล ยานยนต์ไร้คนขับ และหุ่นยนต์ทางการทหาร

ปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูล Kalashnikov (AK)

บริษัท Kalashnikov Concern ผลิตอาวุธปืนขนาดเล็กประมาณ 95% ของที่ผลิตทั้งหมดในสหพันธรัฐรัสเซีย และส่งออกไปยังกว่า 27 ประเทศทั่วโลก ทำให้เป็นผู้ผลิตอาวุธปืนรายใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ได้แก่ ปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูล Kalashnikov (AK) ปืนกลเบา RPK ปืนไรซุ่มยิงกึ่งอัตโนมัติ Dragunov SVD ปืนเล็กสั้นกึ่งอัตโนมัติ SKS ปืนพก Makarov PM ปืนลูกซอง Saiga-12 และปืนกลมือ Vityaz-SN และ PP-19 Bizon อาวุธปืนเหล่านี้ ยกเว้น SVD, SKS และ PM ล้วนพัฒนาขึ้นจากอาวุธปืนตระกูล AK อันโด่งดัง ซึ่งตัวเลขโดยประมาณของปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูลนี้น่าจะมากกว่า 100ล้านกระบอก อันเนื่องมาจากความน่าเชื่อถือในเรื่องของความแข็งแรงและทนทานในทุกสภาวะ ต้นทุนการผลิตต่ำ สามารถหาซื้อได้ในเกือบทุกภูมิภาค (เนื่องจากเป็นอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมที่มีการผลิตเลียนแบบมากที่สุด) และใช้งานง่าย 

อุปกรณ์ป้องกัน (หมวกกันกระสุนและเกราะกันกระสุน) เครื่องแบบและอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทางการทหารผลิตโดย Kalashnikov

ปัจจุบันบริษัทผลิตอาวุธปืนอยู่ 3 ยี่ห้อ ได้แก่ 'Kalashnikov' (อาวุธปืนสำหรับการสงครามและพลเรือน) 'Baikal' (อาวุธปืนสำหรับพลเรือนและล่าสัตว์) และ 'Izhmash' (ปืนเล็กยาวสำหรับการกีฬา) บริษัทกำลังพัฒนาสายธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึง ยานติดอาวุธปืนไร้คนขับ ยานพาหนะทางอากาศและภาคพื้นดิน และเรืออเนกประสงค์เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ ตลอดจนอุปกรณ์ป้องกัน (หมวกกันกระสุนและเกราะกันกระสุน) เครื่องแบบและอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทางการทหาร เกราะปฏิกิริยาต้านแรง (Explosive Reactive Armor : ERA)

แผ่นเกราะชนิดต่าง ๆ และเกราะปฏิกิริยาต้านแรงระเบิด (Explosive Reactive Armor : ERA)

อาสาสมัครทหารพรานกับอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-104 ขนาด 7.62x39 ม.ม.

สำหรับประเทศไทย กองทัพบกก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของ Kalashnikov โดยมีการจัดซื้อจัดหาอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-104 ขนาด 7.62x39 ม.ม. สำหรับกองกำลังอาสาสมัครทหารพราน และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้จัดซื้อจัดหาอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-102 ขนาด 5.56x45 ม.ม. สำหรับกองกำลังอาสาสมัครรักษาดินแดน

อาสาสมัครรักษาดินแดน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กับอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-102 ขนาด 5.56x45 ม.ม.

ปัจจุบัน กองทัพของสหพันธรัฐเซียใช้อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-12 ขนาด 5.45x39 ม.ม. เป็นอาวุธปืนประจำกาย

‘ลาว’ เตือน!! น้ำท่วม หลัง ‘แม่น้ำโขง’ เพิ่มสูง พื้นที่ลุ่มต่ำเตรียมขนย้ายของไปยังที่ปลอดภัย

(13 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยว่า หน่วยงานสภาพอากาศของลาว ได้ประกาศเตือนน้ำท่วมเนื่องจากระดับน้ำของแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาขาสายหลักยังคงเพิ่มขึ้นตามฝนที่ตกหนักหลายวันทั่วลาว พร้อมเตือนสาธารณชนในพื้นที่ลุ่มต่ำเตรียมขนย้ายสิ่งของไปยังที่ปลอดภัย

สำนักอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของลาว ระบุว่าระดับน้ำของแม่น้ำโขงที่แขวงหลวงพระบางในวันพฤหัสบดี (12 ก.ย.67) อยู่ที่ 19.02 เมตร ซึ่งสูงเกินระดับอันตรายที่กำหนดไว้ 18 เมตร

ขณะระดับน้ำของแม่น้ำโขงในแขวงอุดมไซอยู่ที่ 29.90 เมตร ซึ่งสูงเกินเกณฑ์เตือนภัยที่กำหนดไว้ 29 เมตร และเกือบแตะระดับอันตรายที่กำหนดไว้ 30 เมตร ส่วนระดับน้ำของแม่น้ำโขงในแขวงไชยบุรีอยู่ที่ 13.95 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์เตือนภัย (15 เมตร) และระดับอันตราย (16 เมตร)

ด้านระดับน้ำของแม่น้ำโขงในเมืองปากซันของแขวงบอลิคำไซอยู่ที่ 11.15 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์เตือนภัย (13.50 เมตร) และระดับอันตราย (14.50 เมตร) ส่วนระดับน้ำของแม่น้ำโขงในนครหลวงเวียงจันทน์อยู่ที่ 11.45 เมตร ซึ่งเกือบแตะเกณฑ์เตือนภัย (11.50 เมตร) และระดับอันตราย (12.50 เมตร)

ทั้งนี้ ภาคเหนือของลาวกำลังเผชิญน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี หลังจากพายุโซนร้อนยางิทำให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องจนแม่น้ำหลายสายมีระดับน้ำเพิ่มขึ้นและเอ่อล้นตลิ่ง โดยบรรดาหน่วยงานรัฐบาลลาวเร่งจัดสรรยานพาหนะและความช่วยเหลืออื่นๆ เข้าช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของและปศุสัตว์

‘ทรัมป์’ ยัน!! ไม่ดีเบต 'กมลา' อีกรอบ ลั่น!! มีแต่ผู้แพ้เท่านั้นที่ขอโอกาสล้างตา

(13 ก.ย. 67) อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันในศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความลงบน ทรูธ โซเชียล ระบุว่า การประชันวิสัยทัศน์หรือดีเบตครั้งที่ 3 กับตัวแทนพรรคเดโมแครตจะไม่เกิดขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ได้ขึ้นเวทีมาแล้ว 2 ครั้ง ในเดือน มิ.ย.67 กับประธานาธิบดี โจ ไบเดน และครั้งล่าสุดกับรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส เมื่อวันที่ 10 ก.ย.67 ที่ผ่านมา

ในโพสต์ดังกล่าว ทรัมป์ยืนยันว่าตนเองเป็นฝ่ายเอาชนะแฮร์ริส และมีเพียงผู้แพ้เท่านั้นที่เรียกร้องขอโอกาสแก้มือหรือล้างตากันอีกรอบ โดยทรัมป์แนะนำว่าแฮร์ริสควรมีสมาธิกับการทำหน้าที่รองประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะเปลี่ยนใจ เพราะก่อนการดีเบตกับแฮร์ริส ทรัมป์แทบไม่เคยให้ความชัดเจนเลยว่าจะขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์หรือไม่ ขณะที่แกนนำพรรครีพับลิกันหลายคนต้องการให้ทรัมป์ขึ้นดีเบตกับแฮร์ริสอีกครั้ง โดยมีรายงานว่า สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ได้เชิญทรัมป์และแฮร์ริสขึ้นเวทีดีเบตกันในเดือน ต.ค. 67 นี้

ส่วนความเคลื่อนไหวการหาเสียงเลือกตั้งภายหลังการดีเบต  เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 67 ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เลือกลงพื้นที่เมือง ‘ทูซอน’ รัฐ ‘แอริโซนา’ 1 ใน 6 รัฐสำคัญที่คะแนนเสียงสูสีและจะเป็นปัจจัยชี้ขาดผลแพ้ชนะ โดยทรัมป์ได้ย้ำถึงปัญหาการควบคุมพรมแดนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันปล่อยให้ผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากและก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น

ด้านแฮร์ริสเดินทางไปยังเมือง ‘ชาร์ลอต’ รัฐ ‘นอร์ทแคโรไลนา’ โดยระหว่างการปราศรัย แฮร์ริสระบุว่า เธอและทรัมป์ยังต้องทำหน้าที่รับใช้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งด้วยการขึ้นเวทีดีเบตกันอีกครั้ง เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 67 นี้ คือเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดของสหรัฐฯ 

ขณะที่ทีมหาเสียงของแฮร์ริสเปิดเผยว่า ยอดเงินบริจาคในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังจากการดีเบต มีตัวเลขอยู่ 47 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,500  ล้านบาท จากจำนวนผู้บริจาคเกือบ 600,000 คน ทำให้ขณะนี้ แฮร์ริสมียอดเงินบริจาคสะสมสำหรับการหาเสียงเพิ่มเป็น 360 ล้านดอลลาร์ หรือ 12,000 ล้านบาท ส่วนทรัมป์มียอดบริจาคสะสมอยู่ที่ประมาณ 130 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท

© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top