Wednesday, 18 June 2025
NEWS

‘เจือ ราชสีห์’ แจ้งข่าวดีโครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา หลังกรมทางหลวงชนบท บรรจุค่าจ้างปรึกษาฯ ในงบปี 69

‘เจือ ราชสีห์’ แจ้งข่าวดีชาวสงขลา หลังกรมทางหลวงชนบท บรรจุค่าจ้างปรึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสมสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เชื่อม อ.เมืองสงขลา - อ.สิงหนคร จ.สงขลา จำนวน 9 ล้านบาท ไว้ในร่างงบประมาณ ปี 2569  

(18 มิ.ย.68) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรีและของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แจ้งข่าวดีกับพี่น้องชาวสงขลา วันนี้!! กรมทางหลวงชนบทได้เสนอรับการจัดสรรงบประมาณ โครงการศึกษาความเหมาะสมสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ได้บรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 9,000,000 บาท เป็นค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสมสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เชื่อม อ.เมืองสงขลา - อ.สิงหนคร จ.สงขลา เพื่อเข้าสู่การพิจารณางบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 105 วัน 

ทั้งนี้ หากงบประมาณผ่านสภาผู้แทนราษฎร สามารถเริ่มดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้พี่น้องชาวจังหวัดสงขลาได้ติดตามและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ด้วย 

สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาฯ ดังกล่าวที่นายเจือ ราชสีห์ ได้หารือในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ได้เดินทางลงพื้นที่ เพื่อสำรวจความเหมาะสมเบื้องต้นด้วยตัวเอง และจังหวัดสงขลาได้แต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน โดยได้มีการสอบถามความต้องการของชาวสงขลา ประกอบกับนายเจือ ราชสีห์ ได้จัดส่งรายชื่อพี่น้องชาวสงขลา ผู้ได้รับผลกระทบซึ่งเดิมนั้นต้องใช้บริการแพขนานยนต์ข้ามฟากที่ให้บริการโดย อบจ.สงขลา ที่บางครั้งประสบปัญหาความล่าช้า แพเสียกะทันหัน ทำให้ต้องรอคิวเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบทั้งเรื่องของการเรียนและการทำงานและผู้สนับสนุนให้มีการก่อสร้างสะพานฯ จำนวนกว่า 4 หมื่นรายชื่อเพื่อเป็นเสียงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เพื่อแก้ปัญหาการสัญจร และหวังเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ทางการท่องเที่ยว”

‘แม่ทัพภาค 2’ ยันไม่ติดใจ ‘นายกฯอิ๊งค์’ ปมคลิปเสียง ลั่นขอเดินหน้าทำงานเพื่อประโยชน์ชาติ - ประชาชน

(18 มิ.ย.68) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โทรมาปรับความเข้าใจ พร้อมทั้งอธิบายเนื้อหาในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน เพื่อต้องการให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเบาบางลง เป็นการพูดคุยกันหลังบ้าน

โดยตนได้บอกกับนายกไปว่า “ผมไม่มีอะไรครับ ผมเข้าใจ”

ทั้งนี้นายกฯได้ขอบคุณที่เข้าใจ ถือว่าคุยแล้วเข้าใจแล้ว ก็ไม่ติดใจอะไร ตนทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของพี่น้องประชาชน

พล.ท.บุญสิน ระบุต่อว่า วันนี้กำลังเดินทางไปเยี่ยม ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับบาดเจ็บจากภารกิจชายแดน ตนทำงานตามปกติไม่มีอะไร

อัยการย้ำเมาแล้วขับริบรถหวังลดความสูญเสีย เผยชลบุรีแชมป์ประเทศไทย

เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.68) ที่ห้องเยอร์บีร่า 2 ชั้น 3 อาคารล็อบบี้ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ มูลนิธิเมาไม่ขับร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด จัดแถลงข่าวแนวทางใหม่ฟ้องคดีเมาแล้วขับ เสนอศาลริบรถ โดยมีนายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด, นายโกเมท ทองภิญโญชัย อธิบดีอัยการ สำนักงานวิชาการ, นายวรวุฒิ วัฒนอุตภานนท์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานวิชาการ, ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุดและนายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมในการแถลงข่าวชี้แจงแนวทางการปฏิบัติของอัยการทั่วประเทศ 

นายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด เปิดเผยว่าอัยการถือเป็นทนายของแผ่นดิน มีหน้าที่ในการฟ้องผู้กระทำความผิดเพื่อขอให้ศาลลงโทษเพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข บทบาทหน้าที่ของอัยการจึงเป็นที่พึ่งของประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม

คดีเมาแล้วขับที่ผ่านมาอัยการได้ทำหน้าที่ฟ้องร้องผู้กระทำความผิดต่อศาลทั่วประเทศมีสถิติสูงมาก ปีพ.ศ.2567 มีคดีที่ฟ้องต่อศาล 101,864 คดี 10 อันดับคดีเมาแล้วขับสูงสุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรี 12,346 2.กรุงเทพฯ 11,673 3.จังหวัดนครราชสีมา 7,066 4.จังหวัดอุบลราชธานี 6,038 5.จังหวัดสมุทปราการ 5,557 6.จังหวัดเชียงใหม่ 5,153 7.จังหวัดสุรินทร์ 3,225 8.จังหวัดอุดรธานี 2,696 9.จังหวัดขอนแก่น 2,639 10.จังหวัดระยอง 2,218

ทั้งนี้พฤติกรรมเมาแล้วขับปัจจุบันสังคมมองว่าเป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายกับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ตนในฐานะรองอัยการสูงสุดปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ได้มีหนังสือที่ อส 0007(ปผ)/ว 197 เรื่องแนวทางปฏิบัติในการดำเนินคดีผู้ขับรถขณะเมาสุราแล้วทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่น ไปถึงรองอัยการสูงสุด ผู้ตรวจการอัยการ อธิบดีอัยการ อธิบดีอัยการภาค อัยการพิเศษฝ้าย เลขานุการอัยการสูงสุด เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ อัยการจังหวัด ผู้อำนวยการสถาบัน เลขาธิการสำนักงาน อัยการสูงสุด และผู้อำนวยการสำนักงาน โดยให้พนักงานอัยการพิจารณาว่าพฤติการณ์ในการขับรถขณะเมาสุราของผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีมีลักษณะเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงถึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (8) ด้วยหรือไม่ หากพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาได้ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดดังกล่าวด้วย และยังมิได้มีการแจ้งข้อหาดังกล่าวแก่ผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหา และในการฟ้องคดีให้พนักงานอัยการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ อส (สฝปผ.) 0018/ว 380 ลงวันที่ 29 กันยายน 2549 ตามที่อ้างถึงด้วย

รองอัยการสูงสุด ยังเปิดเผยต่อไปอีกว่าแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ตนเชื่อว่าจะช่วยลดพฤติกรรมเมาแล้วขับได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ปัจจุบันประชาชนมีทางเลือกในการที่จะไม่เสี่ยงกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเมาไม่ขับได้หลายทางเลือก โดยเลือกใช้บริการรถสาธารณะก็จะปลอดภัยทั้งกับตนเองและไม่ก่อผลกระทบกับผู้อื่นบนท้องถนน เนื่องจากพฤติกรรมการเมาแล้วขับก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก 

ทางด้านนายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่าขอขอบคุณท่านอัยการสูงสุดที่เห็นความสำคัญของปัญหาเมาแล้วขับ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละ 5 แสนล้านบาท ทุกๆปีจะมีคนไทยเสียชีวิต 17,000 – 20,000 คน เป็นอย่างต่ำ ย้อนหลังไป 10 ปี พ.ศ.2556 – 2566 คนไทยเสียชีวิตรวม 2 แสนคนทั่วประเทศ เท่ากับประชากรจังหวัดเล็กๆจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยสูญหายไปหมดทั้งจังหวัดเลย แนวทางที่ทางสำนักงานอัยการสูงสุดออกมาเรื่องการเสนอขอให้ศาลริบรถคนเมาแล้วขับที่ก่อให้เกิดความเสียหายในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์บนท้องถนนตนเชื่อว่าจะทำให้คนที่คิดจะเมาแล้วขับต้องคิดหนัก เพราะการถูกริบรถที่ก่อเหตุจะส่งผลกระทบกับวิถีขีวิตของบุคคลนั้น ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ในฐานะที่ตนทำงานรณรงค์สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับมากว่า 30 ปี ขอสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชนทั่วประเทศถ้าไม่อยากถูกริบรถก็อย่าเมาแล้วขับ

POLITICS

‘ปิยบุตร’ จี้ ‘นายกฯอิ๊งค์’ ยุบสภาแสดงภาวะผู้นำ เซ่นคลิปเสียงคุย ‘ฮุน เซน’ หลีกเลี่ยงรัฐประหาร

(18 มิ.ย.68) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า...

จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับสมเด็จฮุนเซน และกรณีความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยในเรื่องการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จนกระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาล

ประกอบกับ เกือบ 2 ปี ภายใต้รัฐบาล 'ข้ามขั้ว' นี้ พรรคเพื่อไทยไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้

จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ได้ตัดสินใจกันใหม่ว่าต้องการให้ใครเป็นรัฐบาล

เพื่อแก้วิกฤตการเมืองในระยะสั้น ทั้งของประเทศ และทั้งของพรรคเพื่อไทยเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงทางตัน และเพื่อไม่ให้สถานการณ์เดินไปจนเข้าทางพวกจ้องรัฐประหาร

นายกรัฐมนตรีโปรดแสดงภาวะผู้นำ ยุบสภาเถิดครับ

ไม่มีอะไรใหญ่กว่าประชาชน

'อนุทิน' ประกาศแยกทางร่วมรัฐบาลเพื่อไทย บอกไม่มีนายกฯ คนไหนอยู่ได้ด้วยงูเห่าค้ำยัน

'อนุทิน' ลั่นถ้ารักษาข้อตกลงไม่ได้พร้อมแยกทาง รับไม่เคยคิดเดินมาถึงนี้ ลั่นไม่มีนายกฯ คนไหนอยู่ได้ด้วยงูเห่าค้ำยัน ไม่ประเมินอายุรัฐบาลจะสั้นหรือไม่ แต่หากเป็นฝ่ายค้านพร้อมทำงานเต็มที่

(18 มิ.ย.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยขีดเส้นใต้ 48 ชั่วโมงให้คืนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า ไม่มี อย่าไปพูดขีดเส้น ใครจะมาขีดเส้นได้ เมื่อวานนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มาหารือกันและบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีความจำเป็นอยากจะบริหารกระทรวงมหาดไทยเอง ซึ่งได้ปฏิเสธไปแล้วเพราะมันผิดข้อตกลง แต่นายแพทย์พรหมมินทร์ บอกว่าเป็นความต้องการของพรรคเพื่อไทย โดยใช้คำว่าไพ่ใบสุดท้าย เมื่อเริ่มต้นมาเช่นนี้ไม่ต้องรอ 2-3 วันตอบได้เลย และได้ตอบไปแล้ว

เมื่อถามว่าเมื่อนายแพทย์พรหมมินทร์ ได้ยินคำตอบก็ยกหูหานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีทันทีใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เหรอ อันนี้ไม่ทราบ แต่ก็คงเป็นอย่างนั้น เพราะท่านมาหาถึงกระทรวงมหาดไทย คงได้รับการร้องขอให้มาหาตนที่กระทรวง

เมื่อถามต่อว่าจากสัญญาณที่ส่งมา หากพรรคภูมิใจไทยไม่ยอมจะเดินหน้าอย่างไรกันต่ออย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่ได้มีเงื่อนไขอื่น มันไม่ใช่เรื่องการต่อรอง จะเอาอย่างนั้นได้ไหม อย่างนี้ได้ไหม แต่มันเป็นข้อตกลงในการสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งเป็นเอกภาพมาโดยตลอด คงตอบได้แค่นี้

ส่วนกรณีที่ สส. พรรคเพื่อไทยอ้างว่ากระทรวงมหาดไทยไม่ตอบสนองนโยบายรัฐบาลนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่จริง

“สุดท้ายผมก็ตอบได้หมด และเมื่อตอบได้หมดสุดท้ายเขาก็บอกว่าพูดกันตรงๆ เลยอยากได้กระทรวงมหาดไทยกลับคืนไป ผมก็บอกพูดกันตรงๆ ให้ไม่ได้”

พร้อมกันนี้นายอนุทิน กล่าวว่า เราพร้อม ถ้าเราไม่พร้อมจะตอบไปอย่างนั้นเหรอ ของต่อรองอย่างนี้มันไม่ใช่ของต่อรองอย่างที่บอกไป เรื่องของการบริหารบ้านเมือง

เมื่อถามว่าเหมือนพรรคภูมิใจไทยเตรียมจะแถลงพร้อมจะเป็นฝ่ายค้านใช่หรือไม่ นายอนุทิน ยืนยันว่าไม่มี ตนได้รับอำนาจจากกรรมการบริหารตัดสินใจในเรื่องนี้ และได้แจ้งการตัดสินใจไปยังเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้วเมื่อวาน

เมื่อถามย้ำว่าเคยคิดหรือไม่ว่าจะเดินมาถึงจุดนี้กับรัฐบาลเพื่อไทย นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่เคยคิดเพราะคิดว่าทุกคนจะรักษาข้อตกลง แต่ไม่เป็นไร ถ้าข้อตกลงรักษากันไม่ได้ เราก็ต่างคนต่างไป

เมื่อถามว่าการที่เมื่อวานเจอเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแต่ไม่ได้เจอตัวนายกรัฐมนตรีถือเป็นการเข้าหน้ากันไม่ติดหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยกับตนแล้วจะสบายใจมากนัก และทุกคนก็ทราบดีว่ามันมีการเบรกข้อตกลง ซึ่งถ้าถามว่ามันดีหรือไม่ก็คงไม่ดี เพราะหลังจากนี้ก็คงต้องมานั่งเขียนเงื่อนไข เขียนสัญญา ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะข้อตกลงแบบนี้ต้องมีความหมาย มีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าข้อตกลงที่เป็นข้อเขียนด้วยซ้ำ เพราะเป็นความเชื่อมั่นเชื่อใจซึ่งกันและกัน และที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่พรรคภูมิใจไทยไม่ทำตามข้อตกลงแม้แต่อย่างเดียว

เมื่อถามว่าหากเป็นฝ่ายค้านมองว่าอายุรัฐบาลจะสั้นหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า หากเป็นฝ่ายค้านก็คงทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างอย่างเต็มที่ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการเล่นเกมอะไร ต้องทำตามบทบาท เหมือนกับตอนที่เป็นฝ่ายบริหารก็บริหารอย่างเต็มที่ ซึ่งก็มั่นใจว่าได้ทำทุกอย่างอย่างถูกต้องและเหมาะสม และการบริหารกระทรวงมหาดไทยก็เป็นปึกแผ่น จึงมองว่าอาจจะทำให้พรรคการเมืองอื่นกังวล

เมื่อถามถึงเอกภาพของเสียงพรรคภูมิใจไทย 77 เสียง จะไปด้วยกัน ใช่หรือไม่ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าจะมีเสียงมาเติมฝั่งรัฐบาล นายอนุทิน กล่าวว่าเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี ทราบดีว่าอะไรเป็นอะไรในการจัดตั้งในการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีองค์ประกอบที่มาจากพรรคการเมือง มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เอา สส.ของพรรคอื่นมาประกอบ เชื่อมั่นว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่อยากมีโครงสร้างรัฐบาลที่อยู่ได้เพราะเอางูเห่ามาค้ำยัน ซึ่งตด้ข่าวมาว่ามีคนพูดว่าไปก่อนแล้วค่อยเอางูเห่ามา แต่เชื่อว่าไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม เพราะรัฐบาลควรมีองค์ประกอบที่เป็นนักการเมืองที่เริ่มต้นด้วยกันมาตั้งแต่แรก ซึ่งที่ผ่านมาเราสนับสนุนมาโดยตลอด

“การที่นายกรัฐมนตรีส่งนายแพทย์พรหมมินทร์ มาพูดคุยขอกระทรวงมหาดไทยคืนไปแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่านายกรัฐมนตรีคงไม่มีความสบายใจนักที่จะมาพูดคุยความสัมพันธ์เพราะความสัมพันธ์ของเรามันดีมาก แต่ก็ไม่เป็นไร ความสัมพันธ์ในการเคารพนับถือกันก็ยังเหมือนเดิม แต่ก็ไปทำตามหน้าที่ของแต่ละคน ท่านก็บริหารไป ผมเป็นฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ รักษาประโยชน์ในบริบทที่ฝ่ายตรวจสอบพึงจะกระทำ”

เมื่อถามว่าในใจลึกๆ คิดไว้หรือไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะกล้าตัดพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ย้อนว่า ถ้าไม่คิดจะออกมาพูดแบบนี้หรือ ถ้าไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ก็คงรับข้อเสนอไปแล้ว รับกระทรวงสาธารณสุขกับสำนักนายกรัฐมนตรีไปแล้ว มันเป็นคำตอบที่ตนไม่ต้องคิดมาก และที่บอกว่าจะให้เวลา 48 ชั่วโมง ในความจริงแล้วไม่ได้บอก แต่ท่านบอกว่าให้ไปคิด 2-3 วัน ไม่มีการขีดเส้นตาย แต่ไม่รู้ว่าสื่อออกไปได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่าไม่ต้องรีบตอบนะ และยังบอกด้วยว่าอยากให้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้าอยู่กันด้วยเงื่อนไขนี้ ก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ เมื่อถามย้ำว่าตอนนี้แยกทางกันแล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าหากเป็นไปตามนี้ ก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ

ส่วนช่วงบ่ายวันนี้ที่จะมีประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทินเก่าย้ำว่าตนเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่ ก็ยังต้องทำตามหน้าที่จนกว่าจะมีการ โปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

แกนนำรัฐบาลเทใจไปเขมร – แกนนำฝ่ายค้านหนุนพม่า สะท้อนภาพสองพรรคการเมืองของไทยทรยศคนร่วมชาติ

เชื่อว่าคนไทยหลายล้านคน ที่เกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทย แม้เราจะทะเลาะกันในบางคราว ไม่เข้าใจกันในบางครั้ง และมีหลักการในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละคน แต่คนไทยที่แท้จริงก็จะกตัญญูต่อ 'ชาติ ศาสน์ กษัตริย์' จะไม่มีทางเห็นชนชาติอื่นที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้คนไทยดีกว่าประชาชนของชาติตัวเอง

ยกเว้น 'นักการเมืองไทยหัวใจคด' บางกลุ่ม บางคน

'นักทรยศคนร่วมชาติตัวเอง' เหล่านี้ ต่างเหยียบเดินบนผืนแผ่นดินไทย ได้รับเงินเดือนจากเงินภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชนคนไทย มีหน้าที่การงานที่ดีก็มาจาก 'ความเป็นไทย' แต่กลับตอบแทน 'น้ำใจของชาติ' ด้วยการอิงแอบ สนับสนุน เสริมส่ง สมรู้ร่วมคิด และคอยช่วยเหลือ 'คนชาติอื่น' ที่เข้ามาเบียดเบียน เอาเปรียบ สร้างความเจ็บช้ำและข่มขืนให้กับคนไทย กระทั่งการรุกล้ำอธิปไตยของไทยเราหวังจะฮุบไปเป็นของชาติตนเอง

ยุคก่อนเก่า เราจะเรียกคนเช่นนี้ว่าเป็น 'คนไทยขายชาติ' เพราะนอกจากจะไร้ความปรารถนาดีต่อพี่น้องคนไทยด้วยกัน ยังไร้สำนึกหวงแหนแผ่นดินของตัวเอง ถือว่ามีความผิดร้ายแรง คนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินที่แท้จริง จะไม่มีทางยอม หรือปล่อยให้ 'คนไทยที่น่ารังเกียจ' เหล่านี้อยู่ร่วมชาติเดียวกัน ปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติในภายภาคหน้า

'คนเนรคุณชาติเหล่านี้' ชนชาติอื่นที่มองเข้ามาก็จะเห็นถึงความปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ไม่จริงใจ และไม่น่าคบค้าสมาคม เพราะแม้แต่ประเทศชาติของตนเองยังกล้าทรยศ หักหลัง ก็ยากที่ชนชาติอื่นจะกล้าเทใจให้อย่างสนิทใจ คงเป็นได้เพียงการยกยอปอปั้น 'คนไทยสายพันธุ์เนรคุณ' เพื่อหลอกใช้ให้สมความปรารถนาในสิ่งที่ต้องการแค่นั้น หาใช่สัมพันธ์ที่ยั่งยืน

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา คนไทยที่เข้าข่าย 'เนรคุณเพื่อนร่วมชาติ' นาน ๆ จะโผล่มาให้เห็นสักคน แต่ยุคสมัยนี้เรามีเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ พร้อมใจกันมาในคราบ 'นักการเมือง' ที่มีความคิดชั่ว ๆ เหมือนกันทั้งพรรค ออกหน้าสนับสนุนคนชาติอื่นอย่างไม่ละอายใจ ปล่อยแม้กระทั่งแผ่นดินไทยจะถูกเฉือนหั่นให้ต้องเสียดินแดนก็ยอม สะท้อนให้เห็น 'หัวใจที่แสนจะสกปรก' เกินบรรยาย

นักการเมืองไทย 'สายพันธุ์เขมรพม่า' ที่คน 24 ล้านเลือกเข้ามาเพื่อมาทำร้ายน้ำใจคนไทยทั้งชาติ ถือเป็น 'รอยด่าง' ที่สะท้อน 'สติปัญญา' คนมีสิทธิ์กาเลือกนักการเมืองไทยได้ดีที่สุด

หวังว่าถึงวันนี้จะคิดกันได้บ้างแล้วนะครับ

ECONBIZ

สกพอ. ผนึก สวทช. และกนอ. โรดโชว์เนเธอร์แลนด์ ดึงบริษัทชั้นนำ ลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียวพื้นที่อีอีซี

(18 มิ.ย.68) ดร. จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นำคณะ เดินทางไปราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 8 – 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อชักชวนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม Bio-Circular-Green (BCG) โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อาหาร เคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมหมุนเวียน โดยคณะฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทชั้นนำด้านการเกษตรอัจฉริยะ ได้แก่ Rijk Zwaan, Priva, Van der Hoeven, Koppert Biologic และ Hydrosat กลุ่มบริษัทและองค์กรชั้นนำด้านอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ Unilever, Thai Union และ FoodX กลุ่มบริษัทชั้นนำด้านเคมีชีวภาพ ได้แก่ Corbion และ Avantium และกลุ่มบริษัทด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ Oryx Stainless  

ทั้งนี้ การเข้าร่วมประชุมและพบปะบริษัทชั้นนำจากเนเธอร์แลนด์ดังกล่าว สกพอ. สวทช. และ กนอ. ได้ร่วมกันนำเสนอความพร้อมในการรองรับการลงทุน การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์ในด้านภาษีและมิใช่ภาษีสำหรับการลงทุน การส่งเสริมด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านการลงทุน และการสนับสนุนด้านวิจัยและพัฒนา ตลอดจนโอกาสในการลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสและพร้อมดึงดูดนักลงทุนให้เข้าสู่พื้นที่อีอีซีต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ สกพอ. และคณะฯ ได้มีโอกาสเข้าพบหารือกับบริษัทที่เข้าร่วมงาน GreenTech Amsterdam 2025 งานแสดงสินค้าและการประชุมระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ถือเป็นเวทีสำคัญของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ด้านเกษตรสมัยใหม่ และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ สกพอ. ต้องการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) ที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่รองรับการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ และเป็นศูนย์รวมระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำ (Innovation Ecosystem) ที่ช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนไทย และภาคเอกชนจากต่างประเทศ 

พร้อมกันนี้ ได้มีโอกาสหารือกับบริษัทชั้นนำ เช่น Protix ที่มีเทคโนโลยีด้านการผลิตแมลงเพื่อใช้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ VISCON Group บริษัทระบบ Automation สำหรับภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และมีโอกาสหารือกับ Invest International Netherlands หน่วยงานรัฐวิสาหกิจของเนเธอร์แลนด์ ที่มีภารกิจส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ให้เกิดการลงทุนในต่างประเทศผ่านการสนับสนุนด้านการเงิน รวมทั้งได้ทำให้ทราบว่าภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ให้ความสำคัญกับตลาดเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นพื้นที่เป้าหมายในการลงทุนในอนาคตต และเป็นโอกาสของพื้นที่อีอีซีและประเทศไทย ในการเป็นฐานการผลิตสำหรับภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดในภูมิภาค โดยอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร การแพทย์และสุขภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน พลังงาน เป็นสาขาที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์สนับสนุน 

สำหรับการเดินทางเยือนประเทศเนเธอร์แลนด์ครั้งนี้ สกพอ. ยังได้จัดกิจกรรมสัมมนาเชิงธุรกิจในหัวข้อ “Thailand Meets Netherlands: Forging Stronger Business Partnerships on Bio-Circular-Green Economy in the Eastern Economic Corridor of Thailand” ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ร่วมกับหอการค้าเนเธอร์แลนด์ – ไทย (Netherlands – Thai Chamber of Commerce: NTCC) และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐไทย และภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ที่ประกอบธุรกิจในพื้นที่อีอีซีเข้าร่วมเป็นวิทยากร อาทิ 

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นำเสนอโอกาสความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา และโอกาสในการลงทุนในพื้นที่ EECi นางสาวนลินี กาญจนามัย รองผู้ว่าการ (บริหาร) กนอ. นำเสนอพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต ดร. ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สกพอ. นำเสนอโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG และภาคเอกชนไทยและเนเธอร์แลนด์ร่วมนำเสนอประสบการณ์การลงทุนในพื้นที่อีอีซีและประเทศไทย โดยงานสัมมนาดังกล่าวได้รับความสนใจจากภาครัฐและภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ เข้าร่วมงานมากกว่า 70 ราย

‘เอกนัฏ’ ส่ง 'สุดซอย' บุกรง. ลอบซุกขยะพิษ 8 พันตัน ปฏิบัติการชักปลั๊กทลายอาณาจักรรีไซเคิลศูนย์เหรียญ

‘เอกนัฏ’ ทลายอาณาจักรรีไซเคิลศูนย์เหรียญปราจีนบุรี พบลอบประกอบกิจการ ซุกขยะพิษ-วัตถุอันตรายกว่า 8,000 ตัน ปล่อยเช่าที่ตั้งโกดังแบบผิด กม.รัวๆ แจ้งความดำเนินคดีเด็ดขาด พร้อมชงเรื่อง 'ดีเอสไอ' รับเป็นคดีพิเศษ

(18 มิ.ย.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ ทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) มูลนิธิบูรณะนิเวศ เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัท เซ็ตเมทอล จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 301 หมู่ที่ 3 ตำบลกรอกสมบูรณ์ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบกิจการหลอมหล่อโลหะ เช่น อะลูมิเนียม ทองแดง ซึ่งก่อนหน้านี้โรงงานถูกคำสั่งให้ปิดปรับปรุงชั่วคราว เนื่องจากประกอบกิจการไม่ตรงตามใบอนุญาต แต่มีรายงานว่ายังคงลักลอบประกอบกิจการ จึงให้ทีมสุดซอยเข้าตรวจสอบ 

“จากการตรวจสอบภายในบริษัท เซ็ตเมทอลฯ พบการกระทำความผิดหลายกรณี ทั้งลักลอบประกอบกิจการเดินเครื่องรีไซเคิลสายไฟ ครอบครองวัตถุที่เข้าข่ายวัตถุอันตรายถึงกว่า 8 พันตัน ทั้งยังมีพฤติกรรมตั้งตนเป็นนิคมศูนย์เหรียญ ซึ่งได้สั่งให้ปิดกิจการและดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทันที” นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า ภายในพื้นที่ บริษัท เซ็ตเมทอลฯ ที่มีนางจันจิรา สุขสถิต และนายหยู-ลี่ หยาง จดทะเบียนเป็นกรรมการบริษัทฯ มีการแบ่งโกดังรวม 7 หลัง ทั้งส่วนที่มีใบอนุญาตโรงงานและส่วนที่ไม่พบใบอนุญาต ขณะเข้าตรวจสอบ พบว่ามีคนงานจำนวนหนึ่งกำลังเดินเครื่องรีไซเคิลสายไฟ ซึ่งถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งระงับกิจการชั่วคราว และพบเศษสายไฟ ชิ้นส่วนระบบไฟฟ้ารถยนต์ เศษโลหะปนเปื้อนขยะอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทั้งหมดเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย รวมกว่า 8 พันตัน ถือเป็นการครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีข้อมูลด้วยว่า มีรถบรรทุกขนย้ายเศษอิเล็กทรอนิกส์เข้า-ออกโรงงานเฉลี่ยเดือนละกว่า 230 คัน 

“ตามลักษณะถือเป็นนิคมศูนย์เหรียญอย่างชัดเจน มีการแบ่งพื้นที่ให้เอกชน 7 ราย ซึ่งเป็นชาวจีนและชาวไต้หวัน เช่าประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เจ้าหน้าที่จึงแจ้งดำเนินคดีในข้อหาประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต, การขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต การครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ พร้อมให้มีการยึดอายัดของกลางทั้งหมดไว้” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าว 

บริษัท เซ็ตเมทอลฯ มีการเช่าพื้นที่ของ บริษัท พีทีเอส โกลเด้น เมทัล จำกัด ที่ไม่ได้มีการประกอบกิจการแล้ว จัดแบ่งเป็น 2 ส่วน ให้ชาวจีน 2 บริษัทเช่าช่วงเพื่อประกอบกิจการคัดแยกเศษโลหะ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ไม่ได้รับอนุญาต ได้แก่ เศษโลหะ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า เศษสายไฟ และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย รวมกว่า 8 พันตัน สอจ.ปราจีนบุรี ได้มีคำสั่งให้บริษัทฯ ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนในส่วนขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำการยึดอายัดเครื่องจักร วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และกากของเสียไว้ทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีข้อหาตั้งประกอบกิจการและครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และเนื่องจากทั้ง 2 พื้นที่มีการครอบครองวัตถุอันตรายเกิน 50 ตัน ซึ่งเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ ที่จะนำส่งไปให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อพิจารณาต่อไป 

“ขณะนี้ ทีมสุดซอย ได้สรุปข้อมูลการพิจารณาทบทวนการออกใบอนุญาตโรงงานประเภทรีไซเคิลที่อาจจะมีมากเกินความจำเป็น และเพื่อเป็นการกำจัดและป้องกันการสร้างอาณาจักรศูนย์เหรียญที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพกับชุมชนและประเทศไทย” นางสาวฐิติภัสร์กล่าว

‘พีระพันธุ์’ หวั่นสถานการณ์สู้รบอิสราเอล-อิหร่านยืดเยื้อ เร่งวางแผนบริหารจัดการราคาน้ำมัน - สำรองเชื้อเพลิง

‘พีระพันธุ์’ เตรียมความพร้อม ก.พลังงาน วางแผนบริหารจัดการราคาน้ำมันและปริมาณสำรองเชื้อเพลิง รับมือสถานการณ์สู้รบอิสราเอล-อิหร่าน ลดผลกระทบราคาพลังงานในประเทศให้มากที่สุด

(17 มิ.ย. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามและประเมินผลกระทบด้านพลังงานจากสถานการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน  และเตรียมพร้อมรับมือหากสถานการณ์มีความยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ โดยทางกระทรวงพลังงานได้เตรียมวางแผนบริหารจัดการด้านราคาน้ำมันและด้านปริมาณสำรองพลังงานในแนวทางต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบด้านราคาให้มากที่สุด

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบดูไบซื้อขายที่ 72.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล  เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นเดือนมิถุนายนซึ่งอยู่ที่ระดับ 65  ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จึงมีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล และใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพและพยุงราคาน้ำมันในประเทศ

สำหรับปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศของไทยนั้น ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,337 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 25 วัน มีน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,457 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 19 วัน และมีน้ำมันสำเร็จรูป 1,874 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ก็จะมีการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ เพื่อลดภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้มากที่สุด

LITE

18 มิถุนายน พ.ศ. 2455 เรือหลวงเสือคำรณสินธุ์ ขึ้นระวางสมัยรัชกาลที่ 6 ตำนานเรือลำแรกที่ทหารไทยขับกลับจากญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2455 เรือหลวงเสือคำรณสินธุ์ (H.T.M.S. Sua Khamronsin) ได้ขึ้นระวางประจำการในราชนาวีไทยอย่างเป็นทางการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยถือเป็นเรือรบระดับเรือพิฆาตลำสำคัญที่สร้างขึ้น ณ อู่ต่อเรือกาวาซากิ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นเรือลำแรกที่ทหารเรือไทยทำหน้าที่ขับเคลื่อนกลับประเทศไทยด้วยตนเอง

ตัวเรือมีระวางขับน้ำ 375 ตัน ความยาว 75.66 เมตร ความกว้าง 7.15 เมตร กินน้ำลึก 2 เมตร ติดตั้งปืนกลขนาด 57 มิลลิเมตร 5 กระบอก ปืนกล 36 มิลลิเมตร 1 กระบอก และท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 45 มิลลิเมตร 2 ท่อ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไอน้ำแบบกังหันเคอร์ติส 2 เครื่อง มีกำลังรวม 6,000 แรงม้า พร้อมกำลังพลประจำการ 73 นาย

เรือหลวงเสือคำรณสินธุ์เคยมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองอธิปไตยทางทะเลของไทย และเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนากองทัพเรือสมัยใหม่ในยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการที่ทหารเรือไทยสามารถนำเรือรบกลับมาด้วยตนเอง ถือเป็นก้าวสำคัญทางยุทธศาสตร์ของประเทศในยุคนั้น

ปัจจุบัน เรือหลวงเสือคำรณสินธุ์ได้ปลดระวางจากประจำการแล้ว และถูกนำไปจัดแสดงเป็นเรือพิพิธภัณฑ์ ณ ค่ายพระรามหก อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เปิดให้ประชาชนทั่วไปและผู้สนใจประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทยได้เข้าชมเพื่อศึกษาและระลึกถึงความภาคภูมิใจในยุทธนาวีของชาติ

17 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ในหลวง ร.๙ เสด็จฯ ประพาสสวนทุเรียนนนท์ ประชาชนเปล่งเสียงไชโย เฝ้าชมพระบารมีใกล้ชิด

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2496 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วยพระประยูรญาติ เสด็จประพาสสวนทุเรียนที่จังหวัดนนทบุรี โดยเสด็จทางเรือพระที่นั่ง 'ตะวันส่องแสง' ท่ามกลางการเฝ้ารับเสด็จอย่างเนืองแน่นของประชาชนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เสียงไชโยดังกึกก้องเมื่อเรือพระที่นั่งเข้าสู่เขตจังหวัดนนทบุรี และจอดเทียบท่าที่บ้านริมน้ำตำบลบางกระสอ

การเสด็จครั้งนี้มีขึ้นเพื่อทอดพระเนตรสวนทุเรียน ผลไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัด โดยสวนที่จัดถวายเป็นของนายประวิทย์ สงวนเงิน ซึ่งได้รับการปรับภูมิทัศน์อย่างเหมาะสม ทางจังหวัดได้จัดพลับพลาไม้ไผ่ และเส้นทางเดินไม้กระดาน รวมถึงจัดลวดผูกทุเรียนป้องกันผลร่วง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จเยี่ยมชมสวนอย่างใกล้ชิด พร้อมซักถามถึงวิธีปลูก การบำรุงรักษา และทรงสอยผลไม้ด้วยพระองค์เอง

เมื่อเสด็จประทับยังพลับพลา ทรงทอดพระเนตรภูมิทัศน์โดยรอบอย่างพอพระราชหฤทัย และทรงมีพระราชประสงค์จะเสวยอาหารพื้นเมืองที่แม่ค้าจัดถวายบนเรือ โดยมิได้ใช้ภาชนะและโต๊ะเสวยที่จัดเตรียมไว้ ทรงเสวยอย่างเรียบง่ายด้วยชามและตะเกียบธรรมดา พร้อมทรงโปรดอาหารพื้นบ้านอย่างแกงปลาไหลและไอศกรีมเป็นพิเศษ ท่ามกลางบรรยากาศเป็นกันเองและเต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตา

ก่อนเสด็จกลับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า “ขอบใจทุกคน” แก่ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ พร้อมทรงถ่ายภาพประชาชนด้วยพระองค์เอง เมื่อเรือเคลื่อนออกจากท่า ทรงโบกพระหัตถ์ด้วยพระอิริยาบถร่าเริง ขณะที่ประชาชนเปล่งเสียงไชโยกึกก้อง แสดงความปลื้มปีติในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 16 มิถุนายน 2568

🟢รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท : 507392

🔴รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท
507391  507393

🔴รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
243  017

🔴รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท
299  736

🔴รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท
06

🔴รางวัลที่ 2 จำนวน 5 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท
916566  564087  923982  466702  836570

🔴รางวัลที่ 3 จำนวน 10 รางวัล รางวัลละ 80,000 บาท
251068  824977  153753  055913  971844  
210588  725799  234300  728619  989810  

🔴รางวัลที่ 4 จำนวน 50 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท
553019  991511  874508  655945  222406  
840101  420262  542355  638186  445850  
699113  603638  711107  281129  135825  
340891  178497  331106  129679  163597  
701613  257553  701178  621188  916923  
384386  875862  756750  157683  794769  
055485  993316  451904  321701  830539  
064202  090821  725547  679571  413991  
241545  898292  861198  851660  312876  
807974  324967  124992  190419  748107  

PODCAST

เปิดประวัติ ๑๐ พระแก้วแห่งสยามประเทศ บารมีคู่บ้าน สิริมงคลคู่เมือง (๑) | THE STATES TIMES Story EP.171

ประเทศสยาม หรือประเทศไทยของเรา มีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลายองค์ ซึ่งนับเป็นบารมีและเป็นสิริมงคลแก่แผ่นดินอย่างยิ่ง
.
วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้หยิบยก ๑๐ พระแก้วแห่งสยามประเทศ มาเล่าสู่กันฟัง จะมีพระพุทธรูปองค์ใดบ้าง ไปฟังกัน…

‘พระแก้วนพรัตน์เมืองอุบล’ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คู่ราชธานีแห่งอีสาน (๑) | THE STATES TIMES Story EP.169

‘จังหวัดอุบลราชธานี’ เป็นหนึ่งในจังหวัดของไทยที่มี ‘พระแก้ว’ หรือ พระพุทธรูปที่ทำจากแก้วมงคลมากที่สุดในประเทศไทย โดยตามความเชื่อแล้ว แก้ว 9 ประการ ได้แก่ เพชร มณี มรกต บุษราคัม โกเมน นิลกาฬ มุกดา เพทาย และไพฑูรย์ 

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าหากมีครบทั้ง 9 บ้านเมืองนั้นจะเจริญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งอุบลฯ มี ‘พระแก้ว’ ประดิษฐานอยู่ถึง 6 องค์ ทั้งยังเชื่อว่าอีก 3 องค์ก็มีอยู่เพียงแต่ยังค้นหาไม่พบ

วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้หยิบยกเรื่องราวของ ‘พระแก้ว’ 3 องค์ ได้แก่ ‘พระแก้วบุษราคัม’ / ‘พระแก้วไพฑูรย์’ / ‘พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง’ มาเล่าสู่กันฟัง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปฟังกันเลย…

เกมอำนาจก่อนผลัดแผ่นดินจากรัชกาลที่ ๓ | THE STATES TIMES Story EP.167

หากจะกล่าวถึงการขึ้นครองราชย์ของ ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ ๓ ก็กล่าวได้ว่าพระองค์ทรงสืบราชสันตติวงศ์อย่างผิดแผกไปจากธรรมเนียมปกติ โดยพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยความเห็นพ้องของที่ ‘ประชุมพระราชวงศ์’ และ ‘เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่’ ที่ต่อมารู้จักกันภายใต้หลักการ ‘มหาชนนิกรสโมสรสมมุติ’

ซึ่งเมื่อถึงคราวผลัดแผ่นดิน หลักการ ‘มหาชนนิกรสโมสรสมมุติ’ ก็ถูกหยิบยกมือใช้ในการเลือกสรรพระมหากษัตริย์พระองค์ถัดไป ซึ่งในเวลานั้นมีชื่อเข้าเกณฑ์ด้วยกันถึง ๕ พระองค์

วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้รวมรวบข้อมูลเพื่อมาเล่าให้ไปฟัง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปฟังกันเลย…

VIDEO

ป้าหมาย ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ | CONTRIBUTOR EP.30

เมืองไทยมีดี มีจุดขายที่งดงามในภาคการท่องเที่ยว แต่จะพอใจเพียงเท่านี้ พอใจเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลูกเดียว อาจจะไม่ยั่งยืน

มิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ต้องปรับประยุกต์ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
กระตุ้นให้เกิดความหลากหลายในแต่ละเขตแดน เมือง จังหวัด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องร้อยห่วงโซ่ของ ‘ความยิ้มแย้ม-ความยืดหยุ่น-ไม่หย่อนยาน’ 
รวมถึงปรับแนวทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวใต้วิธีคิดที่ทันโลก

เพราะนี่คือวาระสำคัญของอนาคตการท่องเที่ยวไทยในวันข้างหน้า 
ในวันที่ ‘หินก้อนใหญ่’ ยังกดทับ ‘หญ้าสีเขียว’ ในบางพื้นที่อยู่

ปลดล็อกร่างทอง ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ไปด้วยกันกับ Contributor EP นี้ กับผู้ที่เข้าใจระบบนิเวศการท่องเที่ยวยั่งยืนแบบถ่องแท้ได้จาก... คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ถึงเวลาสร้าง ‘ไทย’ ให้เติบใหญ่ในยุคดิจิทัล l รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก

ความ ‘เท่า’ ที่ยากจะ ‘เทียม’ หากระบบการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่และทิศทางไทยยังคงหลงอยู่กับนโยบาย

ประชานิยมที่คอยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงแค่ครั้งคราว

กลับกันประเทศไทย ในวันที่เริ่มตั้งตัว ต้องหาทางตั้งทรงแบบยกแผงต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตชาติเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกภาคส่วนระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่นๆ ให้เกิดรากอันแข็งแกร่ง เพื่อเป็นฐานรองรับให้ ‘คนในชาติ’ กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ

Contributor EP นี้ ขอกระตุกมุมคิดคนไทยให้ร่วมมองความเจริญแห่งอนาคตที่ถูกทิศผ่านมุมคิดของ... 
รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่ขอเป็นตัวแทนพูดดังๆ ถึงทุกภาคส่วน ว่า…

ถึงเวลาแล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ต้องปฏิรูป!!

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ | CONTRIBUTOR EP.28

ค่านิยม ‘ท้าทาย’ กฎหมายของคนในยุคนี้ ยุคที่ใคร ‘แหก’ กฎได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งยกย่องกันแบบผิดๆ ว่า 'เจ๋ง' และดูเก่งในสายตากลุ่มก้อนความคิดเดียวกัน ... เริ่มลุกลาม!!

แต่เมื่อ 'กฎหมาย' คือ กฎที่คนส่วนใหญ่ ทำตาม!!

ผู้ใด 'ท้าทาย' ก็ต้องพร้อมรับผิดชอบในทุกการกระทำ

และนี่คือเรื่องราวของอีกหนึ่งผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่อยากฝากบอกถึง 'นักแหกกฎ' ให้ปลดความคิดสุดระห่ำออกไปจากระบบคิด และจงเชื่อเถอะว่าชีวิตของพวกคุณจะไม่มีวันถูกหล่อเลี้ยงได้อย่างยั่งยืนผ่านคำยกย่องผิดๆ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี 

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์

Y WORLD

ซักด่วน !!! ใช้ผ้าขนหนูเกิน 3 วัน เหมือนเช็ดตัวด้วยโถส้วม !!! | Y WORLD EP.75

Y WORLD ตอนนี้ แค่หัวข้อก็อึ้งกันแล้วค่ะ แค่ไม่ได้ซักผ้าขนหนู 3 วัน ก็สกปรกขนาดนี้เลยหรอ ? ส่งผลอย่างไรบ้าง และควรแก้ยังไง คลิปนี้มีคำตอบค่ะ 

‘Roman Charity’ ภาพวาดที่ไม่ได้ลามก แต่คือความกตัญญู | Y WORLD EP.74

Y WORLD ตอนนี้พาคุณไปชมภาพวาดหญิงสาวกำลังป้อน ‘นม’ ของตัวเองให้ชายชรา ที่บอกเลยว่า 'เห็นครั้งแรก ก็คิดดีไม่ได้จริงๆ' แต่แท้จริงแล้ว ภาพนี้ไม่ได้เป็นสื่อลามกอนาจาร แต่คือการแสดงความกตัญญู เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามชมกันได้เลยค่ะ

ปลิดชีพ "ชาย" ขู่ฆ่า "โจ ไบเดน" แม้ไม่มี112 | Y WORLD EP.73

Y WORLD ตอนนี้จะพาคุณไปฟังเรื่องราวการ "ปกป้องผู้นำ" ของตนขั้นสุดแบบสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ FBI ปลิดชีพ 'ชาย’ ขู่ฆ่า 'โจ ไบเดน' แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112 แบบประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากใครมาหมิ่นหรือคิดร้ายผู้นำในประเทศของเขา โดนดีทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปรับชมกันเลย

SPECIAL

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2568

ต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง
คนไหน ปล่อยวางเยอะ
คนนั้น ก็จะมีสุขเยอะ
ของสิ่งใดถ้าใช่ของเรา
อยู่ที่ไหนก็ใช่ของเรา
แต่ถ้าไม่ใช่ของเรา
ให้อยู่กับมือเราก็ยังไปเป็นของคนอื่น

ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2568

ม้าศึกต้องฝึกอยู่เสมอ
ขุนศึกขี้คร้านเท่ากับ
เอาหัวไปให้ศัตรูตัดเล่นเท่านั้นเอง
เราไม่รู้ว่าจะเกิดสงครามเวลาใด
ความตายมาถึงเมื่อไรเราไม่รู้
มารู้ก็ตอนแย่แล้ว

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่
คือชีวิตที่อยู่ด้วย
ทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่
แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่
ต้องอาศัยคุณธรรมความดี เท่านั้น

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

INFO & TOON

กระทรวงไหนที่คนไทย อยากให้เปลี่ยนรัฐมนตรีมากที่สุด!!

เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย. 68) รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร และคณะ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผย ผลสำรวจประเด็น 'คนไทยต้องการปรับ ครม.หรือไม่" ของ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย เป็นการสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นด้านสถานการณ์การศึกษาและปัญหาที่เป็นกระแสสังคม ในพื้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ คณะผู้วิจัยประยุกต์ใช้การวิจัยเชิงสำรวจด้วยการลงพื้นที่สัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า (face to face) และการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (phone survey) โดยใช้แบบสัมภาษณ์ผ่านช่องทางออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 11,802 ตัวอย่าง ในช่วงระหว่างวันที่ 5 -11 มิถุนายน 2568 ผลการศึกษาสรุปสาระสำคัญ ที่น่าสนใจ

ได้แก่ ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นในประเด็น ท่านต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)หรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.6 ระบุว่า ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)

สาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนต้องการให้มีการปรับ ครม. สะท้อนถึงความไม่พอใจในประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง การขาดภาวะผู้นำ และความชัดเจนในการบริหาร การไม่ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้

รวมถึงปัญหาด้านการทุจริต ความไม่โปร่งใส และการไม่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการและคุณภาพชีวิต รวมถึงปัญหาเฉพาะพื้นที่ อย่างปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น

ขณะที่ ความคิดเห็นประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสำรวจ หรือร้อยละ 12.4 ระบุว่า ไม่ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)

โดยเหตุผลที่ยังไม่ต้องการให้มีการปรับ ครม. ส่วนใหญ่มาจากการรับรู้ถึงประสิทธิภาพและความตั้งใจในการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ การเห็นว่ารัฐบาลเข้าใจประชาชน รวมถึงความต้องการให้เกิดความเสถียรภาพและการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาประเทศดำเนินต่อไปได้ และมีความกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีใหม่ อาจนำมาซึ่งปัญหาด้านประสบการณ์ ความขัดแย้ง หรือการเล่นเกมการเมือง แทนที่จะเป็นการสร้างประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

เมื่อสอบถามถึงกระทรวงที่ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีมากที่สุด 5 อันดับ พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด หรือร้อยละ 46.75 ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีในส่วนของกระทรวงกลาโหมมากเป็นอันดับหนึ่ง

รองลงมาอันดับสองคือ กระทรวงการคลัง ร้อยละ 41.86 อันดับสาม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร้อยละ 38.26 อับดับสี่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 28.93 อันดับห้า มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร้อยละ 27.89 และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 27.88 ตามลำดับ ฯลฯ

สรุปจำนวน สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ วัดพลังกัน 2 ฝั่ง

(15 มิ.ย. 68) สรุปจำนวน สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ วัดพลังกัน 2 ฝั่ง!! 

ประกาศิต 'ทรัมป์' ประกาศห้ามคนจาก 12 ประเทศเข้าสหรัฐฯ

โลกสะเทือน!! ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประกาศแบน 12 ประเทศ ห้ามเดินทางเข้าสหรัฐ อเมริกา มีประเทศไหนบ้างเช็กเลย

COLUMNIST

รัชกาลที่ 4 ทรงแต่งตั้งพระนโรดมเป็น ’กษัตริย์เขมร’ พร้อมตั้งชื่อให้เลือก - ให้อยู่ในกรอบของสยามไม่ใช่เอกราช

รู้หรือไม่? 'กรุงเทพฯ' เป็นคนตั้ง 'กษัตริย์เขมร'
เรื่องนี้ไม่ใช่เล่าเล่น ๆ นะครับ มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนจากสมัย รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงสยาม ที่พระองค์ทรง ตั้งองค์พระนโรดม ให้เป็น 'เจ้ากรุงกัมพูชา' แต่ต้องเป็นกษัตริย์ที่ อยู่ในบังคับบัญชา ของกรุงเทพฯ เท่านั้น ในเอกสารราชการเขียนไว้ชัดว่า...

> “ให้มีอำนาจอิศริยศ เป็นอธิบดีบ้านเมืองฝ่ายเขมรทั้งปวง บรรดาที่องค์สมเด็จพระหริรักษารามมหาอิศราธิบดีผู้พระบิดา ได้ครอบครองเป็นใหญ่ใต้บังคับบัญชา…”

แปลไทยเป็นไทยก็คือ พระนโรดมได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เขมรแทนพ่อ แต่จะทำอะไรก็ต้องอยู่ใต้คำสั่งหรืออนุญาตจากกรุงเทพฯ จะตั้งขุนนาง จะตั้งข้าราชการในเมืองไหนก็ได้ แต่ต้องรักษาน้ำใจและแสดงความนอบน้อมต่อพระมหากษัตริย์ไทยและเพื่อให้เป็นทางการ พระเจ้าแผ่นดินไทยยังเขียนพระนามเต็ม ๆ มาให้พระนโรดมเลือกเอง 2 แบบ (ชื่อยาวมาก ขนาดพระยังเลือกได้เองว่าอยากใช้ชื่อไหน!) หนึ่งในชื่อที่ส่งไปให้เลือกมีความว่า:

> “องค์สมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวดารคุณ สารสุนทรฤทธิ์ มหิศวราธิบดี... พระเจ้ากรุงกัมโพชาธิบดี พระปรีชาวิเศษ”

แล้วก็มีบทสอนคุณอีกยาวเหยียดให้ปกครองคนเขมรให้ดี อย่าทำให้ประชาชนเดือดร้อน รู้จักแยกแยะเรื่องของบ้านเมืองให้อยู่รอด อย่าให้เสียการปกครอง แล้วก็ให้ซื่อสัตย์กับกรุงเทพฯ เหมือนที่พ่อเขาทำมาก่อน

ที่สำคัญ ตอนท้ายของเอกสารยังมีคำอวยพรว่า ขอให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเทวดาทั้งหลายคุ้มครองพระนโรดมให้มีความสุขด้วย

สรุปสั้น ๆ แบบชาวบ้าน กษัตริย์เขมรไม่ได้ขึ้นมาเองนะ กรุงเทพฯ ตั้งให้เขมรเคยเป็นเมืองในบังคับของสยาม มีเจ้าเมืองก็ต้องขอกรุงเทพฯ รัชกาลที่ 4 ทรงตั้งพระนโรดมขึ้นเป็นเจ้ากรุงกัมพูชา พร้อมตั้งชื่อให้เลือก และ ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของสยาม ไม่ใช่เอกราช

บทความนี้ไม่ได้จะไปดูถูกใครนะครับ แต่เขียนเพื่อให้เข้าใจตาม หลักฐานราชการโบราณ ที่มีอยู่จริง เราไม่ได้ใส่สีตีไข่ แค่เล่าให้เข้าใจง่ายว่าในอดีตใครเป็นใคร ใครตั้งใคร และใครอยู่ใต้อำนาจใคร

เรียกร้องประชาคมโลก จัดการรัฐบาล-ตระกูลผู้นำกัมพูชา หลังรายงานชี้ชัดมีเอี่ยวฟอกเงิน - อาชญากรรมข้ามชาติ

แถลงการณ์ในนามประชาชนไทย
ถึงประชาคมโลก

(17 มิ.ย. 68) เรื่อง การเรียกร้องให้ดำเนินมาตรการต่อรัฐบาลกัมพูชาและตระกูลผู้นำที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

ข้าพเจ้าในฐานะประชาชนไทยผู้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีของมนุษยชาติ ความยุติธรรม และความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขอใช้โอกาสนี้ในการส่งสารไปยังสหประชาชาติ รัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรสิทธิมนุษยชน และประชาคมโลก เพื่อแสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อพฤติกรรมของรัฐบาลกัมพูชาและเครือข่ายอำนาจที่ปกครองประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ และการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำของตระกูลฮุน เซน และผู้ใกล้ชิด ได้สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกับอาชญากรรมระดับโลก ทั้งในรูปของการฟอกเงินและสนับสนุนธุรกรรมผิดกฎหมายผ่านบริษัทอย่าง Huione Group ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์กลางเครือข่ายฟอกเงินระดับโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ และบริษัท Elliptic ที่วิเคราะห์บล็อกเชน พบว่า Huione Group และแอปพลิเคชัน Huione Pay ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการโอนเงินผิดกฎหมายจากขบวนการ แฮกเกอร์, กลุ่มสแกมเมอร์ รวมถึง การค้ามนุษย์ โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ใน Telegram ซึ่งเป็นแหล่งหลักของการโฆษณาและติดต่อของเครือข่าย Huione มีการพบกลุ่มนายหน้าหลายร้อยกลุ่มที่เสนอ “บริการจัดหาแรงงาน” ซึ่งแท้จริงแล้วคือการบังคับคนจากจีน เวียดนาม มาเลเซีย ให้ทำงานเป็น สแกมเมอร์ในสภาพบังคับ และยังมีผู้หญิงจำนวนมากถูกนำไป Human Trafficking  เช่น ค้าประเวณี หรือ บังคับถ่ายทำภาพยนตร์ลามก

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดมาจากกลุ่มทุน(จีนเทาโพ้นทะเล) ที่หนีการปราบปรามในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะภายใต้นโยบายเข้มงวดของสี จิ้นผิง พวกเขาเลือกย้ายฐานมายังประเทศกัมพูชา ที่เปิดรับการลงทุนจีนโดยแทบไม่มีเงื่อนไข เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้จึงกลายเป็นแหล่งตั้งรกรากใหม่ของกิจกรรมผิดกฎหมาย ทั้งสแกม ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ โดยรัฐบาลกัมพูชาแห่งยอมผ่อนปรนเพื่อแลกกับรายได้ เหมือนภาพซ้ำของจีนโพ้นทะเลในอดีตที่ตั้งอั๊งยี่และค้าฝิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยุคนี้ซับซ้อนและอันตรายกว่าหลายเท่า

จากสถิติของ United Nations Inter-Agency Project on Human Trafficking (UNIAP) พบว่า การค้ามนุษย์จากต่างประเทศในกัมพูชา เพิ่มขึ้นในอัตรากว่าร้อยละ 400 เลยทีเดียว

งานวิจัย Behind Closed Doors: Debt-Bonded Sex Workers in Sihanoukville, Cambodia โดย ลาริสซา แซนดี (Larissa Sandy) ระบุว่า อาชญากรรมด้าน "กามารมณ์" คือรูปแบบการค้ามนุษย์อันดับ 1 ที่เกิดขึ้นใน เมืองสีหนุวิลล์

หญิงขายบริการจำนวนมากเป็น “โสเภณีขัดดอก” ที่ต้องใช้ร่างกายชดใช้หนี้แทนตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว โดยไม่มีเสรีภาพหรือทางเลือกใดในการหลีกหนี

ระบบดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้สายตาของรัฐ ด้วยการเอื้อพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษให้เครือข่ายนายทุนและอิทธิพลดำเนินการโดยไม่มีการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง

นอกจากนี้ บุคคลที่อยู่ในเครือบริษัทดังกล่าว เช่น ฮุน โต ลูกพี่ลูกน้องของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ระดับภูมิภาค

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลกัมพูชากลับไม่เพียงละเลย แต่ยังมีพฤติกรรมส่อว่าให้ ความคุ้มครองทางอ้อม แก่เครือข่ายเหล่านี้ โดยเฉพาะการที่ธนาคารแห่งชาติกัมพูชาเพิกถอนใบอนุญาตของ Huione Group ในลักษณะที่เป็นการ “ปลดเปลื้องภาระทางกฎหมาย” มากกว่าการเอาผิด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นเพียงการเตรียมการ “ควบรวมบริษัท” มากกว่าการยุติกิจกรรมอาชญากรรม

ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลกัมพูชาไม่เพียงจำกัดอยู่ในระดับภายในประเทศ หากแต่ได้ขยายตัวเป็นพฤติกรรมของรัฐที่เอื้ออำนวยต่อการก่ออาชญากรรมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในกรณี การลอบสังหารนายลิม กิมยา อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชาที่ลี้ภัยทางการเมืองและถือสัญชาติกัมพูชา-ฝรั่งเศส ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตกลางกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 กรณีนี้ชี้ชัดถึงการใช้ความรุนแรงเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม แม้จะอยู่ในต่างแดน ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ คนร้ายได้หลบหนีเข้ากัมพูชา แต่รัฐบาลกัมพูชากลับไม่ดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างจริงจัง สะท้อนท่าทีที่ไม่เพียงละเลยต่อหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นการสนับสนุนมือปืนและการก่อการร้ายทางการเมืองข้ามชาติอย่างชัดเจน

ล่าสุด รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลก (ICJ) เพื่อกล่าวโทษไทยในข้อพิพาทชายแดน โดยพยายามแสดงตนว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งที่ความจริงคือ ไทยไม่มีท่าทีคุกคามใด ๆ ตรงกันข้าม กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาที่เริ่มยั่วยุ เช่น การขุดแนวรบในพื้นที่พิพาทซึ่งเป็นต้นเหตุของการปะทะ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงน่ากังวลว่าเป็นแผนยั่วยุเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของโลกจากความเป็น “รัฐอาชญากรรม” ที่กัมพูชากำลังถูกมองว่าเป็นอยู่

ข้าพเจ้าขอตั้งคำถามต่อประชาคมโลกว่า แท้จริงแล้ว กัมพูชาควรอยู่ในฐานะ “โจทก์” หรือ “จำเลย” กันแน่
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอเรียกร้องให้:

ประชาคมโลกตรวจสอบ และพิจารณาดำเนินคดีอาญาระหว่างประเทศ กับผู้นำและเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติจากกัมพูชา โดยเฉพาะในระดับศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)

ประเทศสมาชิกสหประชาชาติพิจารณามาตรการทางการทูตและการเงิน ต่อหน่วยงานและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และการค้าประเวณี

องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเข้ามาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประสานกับภาคประชาสังคมในภูมิภาคเพื่อปกป้องผู้ลี้ภัย นักกิจกรรม และประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า หากละเลยพฤติกรรมเหล่านี้ให้ดำรงอยู่โดยไม่ถูกตรวจสอบและลงโทษ ย่อมเป็นการเปิดทางให้ ความชั่วร้ายแฝงเร้นในคราบของรัฐเผด็จการดำรงอยู่ต่อไป และอาจลุกลามกลายเป็นภัยคุกคามระดับโลกในที่สุด ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์
ประชาชนไทยผู้รักสันติภาพและยืนหยัดต่อความยุติธรรม

‘สงครามไซเบอร์ไทย – กัมพูชา’ ปะทุเงียบ!! เจาะกลุ่ม NDTSEC 2.0: IO เขมรถล่มไทย

(16 มิ.ย. 68) ปราชญ์ สามสี โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กว่า.. “สงครามไซเบอร์ไทย–เขมร” ปะทุเงียบ! รู้จัก NDTSEC 2.0: แฮกเกอร์กัมพูชาที่จ้องถล่มโครงสร้างไทยจากหลังคีย์บอร์ด

ไม่ต้องใช้รถถัง ไม่ต้องปะทะหน้าด่าน แต่ใช้บอท–ไวรัส–ดาร์กเว็บเป็นอาวุธ “NDTSEC 2.0” คือชื่อที่กำลังถูกจับตาในวงการความมั่นคงไซเบอร์ของไทย

เพราะนี่ไม่ใช่แค่กลุ่มแฮกเกอร์ธรรมดา…แต่มันคือ “หน่วยรบ IO” ที่แฝงเจตนาโจมตีไทยอย่างเป็นระบบ

ใครคือ NDTSEC 2.0?

NDTSEC 2.0 คือกลุ่มแฮกติวิสต์สัญชาติกัมพูชาที่ปรากฏตัวตั้งแต่ปี 2023 โดยอ้างตัวว่าเป็น “ทีมไซเบอร์ของชาวเขมร” มีเป้าหมายตรงไปตรงมาคือ “โจมตีประเทศไทย” ในนามแคมเปญ #OpThailand กลุ่มนี้ไม่ใช่แค่เล่นแฮ็กเอาสนุก แต่พวกเขาทำอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน มีเป้าหมาย และ “ประกาศศึกอย่างเป็นทางการ” ผ่าน Telegram ทุกครั้งที่โจมตีสำเร็จ

เป้าหมายของการโจมตี
กลุ่มนี้มี แนวคิดชาตินิยมแบบสุดโต่ง ใช้ประเด็นขัดแย้งวัฒนธรรม เช่น การสร้างวัดไทยที่มีลักษณะคล้าย “ปราสาทนครวัด” เป็นจุดเริ่มต้น แต่สิ่งที่ตามมาคือการโจมตีหน่วยงานไทยต่อเนื่อง โดยเฉพาะ…

เว็บไซต์ราชการไทย (กระทรวงการคลัง, กรมบัญชีกลาง, การบินไทย, ท่าอากาศยานอู่ตะเภา)  ธนาคารพาณิชย์ (ถูกระบุ 9 แห่งว่าเป็น “เป้าหมายทางยุทธศาสตร์” บนดาร์กเว็บ)

บริษัทเอกชน เช่น Delta Electronics, Mega Planet (ซึ่งกลุ่มอ้างว่าได้ข้อมูลผู้ใช้กว่า 1GB ไปเผยแพร่แล้ว)

วิธีการรบ: มากกว่าแค่ DDoS

กลุ่มนี้ไม่ได้ยิงทราฟฟิกจนเว็บล่มแล้วจบ แต่มีการใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น SQL Injection: เจาะฐานข้อมูลดึงข้อมูลภายใน Doxing: เปิดเผยข้อมูลบัญชี–รหัสผ่าน–ข้อมูลลูกค้า Defacement: เปลี่ยนหน้าเว็บเพื่อประกาศชัยชนะ IO (Information Operations): ใช้ Telegram เป็นสื่อประกาศผลงาน แสดงภาพการแฮ็ก สร้างความหวาดกลัว

“ปืนไม่ได้ยิง แต่ใจไทยสะเทือน”
แม้หลายการโจมตีของ NDTSEC 2.0 จะส่งผลให้เว็บไซต์ไทยล่มเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ผลกระทบเชิง จิตวิทยา–ความเชื่อมั่น–ภาพลักษณ์ กลับรุนแรงกว่าที่คิด เพราะ... ทำให้ประชาชนเริ่ม “หวั่นไหว” กับความปลอดภัยไซเบอร์ไทย

ถูกบางสื่อไทยขยายความ จนเกิด “กระแสเกลียดเขมร” บนโซเชียล (เป็น IO ซ้อน IO) บีบให้หน่วยงานไทยต้องลงทุนกับระบบป้องกันไซเบอร์ในเวลาอันรวดเร็ว

เชื่อมโยงกับกลุ่มอื่น?

NDTSEC 2.0 ไม่ได้ทำงานคนเดียว พวกเขา ร่วมมือกับ: Anonymous Cambodia: กลุ่มเก่าที่เคยโจมตีรัฐบาลกัมพูชาเอง แต่ตอนนี้หันมาเล่นบท “ชาตินิยมเขมร”

Cyber Skeleton: กลุ่มเงียบๆ ที่เป็นแนวร่วมสนับสนุนด้านเทคนิค ทั้งหมดใช้ #OpThailand เป็นชื่อปฏิบัติการ พร้อมกันกับการโพสต์ผลงานใน Telegram แบบ “ปูพรมข่าวรบ”

วิชาการเบื้องหลัง: นี่คือ “สงครามข่าวสารสมัยใหม่”

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การแฮ็กเพื่อเงิน ไม่ใช่การขู่เรียกค่าไถ่ แต่คือการใช้ไซเบอร์เป็นเครื่องมือในปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) เพื่อ…บ่อนทำลายความเชื่อมั่น ของรัฐไทย สร้างกระแสชาตินิยม ให้คนเขมรเห็นว่ามีคน "ลุกขึ้นสู้" ปลุกปั่นสังคมไทย ให้เกิดความแตกแยกในเรื่องวัฒนธรรม–เชื้อชาติ
นี่คือ “ไซเบอร์นารเรทีฟ” ที่ใช้เรื่องเล่าและการโจมตีเป็นเครื่องมือปลุกกระแส ทั้งในโลกออนไลน์และในหัวประชาชน

แล้วไทยจะรับมือยังไง?

ไทยมีการแจ้งเตือนจากศูนย์ TTC-CERT อย่างทันท่วงที และหน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์กำลังเสริมเกราะให้กับระบบของรัฐและเอกชน แต่สิ่งที่ต้องตระหนักเพิ่มคือ…

อย่าแชร์ข่าวแบบไร้แหล่ง เพราะอาจเป็นการช่วยขยาย IO ให้กลุ่มแฮกเกอร์เอง อย่าเหมารวมชาวกัมพูชา ทั้งประเทศว่าคือผู้ร้าย เพราะ NDTSEC มีสมาชิกเพียงหยิบมือ รัฐต้องสร้างความรู้เท่าทันไซเบอร์ ให้ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการรักษาข้อมูลส่วนตัว

สรุป: สงครามครั้งนี้อยู่ในมือถือคุณ

ถ้าเมื่อก่อนสงครามอยู่ในสนามรบ วันนี้ “สงครามอยู่ในแอป Telegram” กลุ่มแฮกเกอร์ไม่ได้มาด้วยปืน แต่มาด้วยโปรแกรม เป้าหมายไม่ใช่เพื่อยึดพื้นที่ แต่เพื่อ “ยึดพื้นที่ในใจคุณ”

ประเทศไทยต้อง ตื่นรู้และตื่นตัว เพราะภัยไซเบอร์ในวันนี้คืออาวุธแห่งอนาคต และมันเริ่มต้นแล้ว…จากชายแดนจรดโลกดิจิทัล

WORLD

‘เซเลนสกี้’ ต้องกลับบ้านมือเปล่าอีกครั้ง หลัง ‘ทรัมป์’ เทนัดออกจากงาน G7 ก่อนกำหนด

(18 มิ.ย.68) โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง หลังจากที่เขาลงทุนบินข้ามทวีป เดินทางมาแคนาดาเพื่อเข้าร่วมวงประชุมสุดยอดผู้นำ G-7 ที่เมือง  Kananaskis แต่ปรากฏว่าสวนทางกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เพียงไม่กี่ชั่วโมง เพราะทรัมป์ขอตัวกลับกรุงวอชิงตัน ดีซี อย่างกะทันหัน โดยอ้างเหตุสถานการณ์ความรุนแรงระหว่าง อิสราเอล-อิหร่าน 

ทำให้เซเลนสกี้ไม่มีโอกาสได้เจอทรัมป์เป็นการส่วนตัว เพื่อขอความช่วยเหลือด้านอาวุธ และ ทุนสนับสนุนอีก แต่เมื่อไม่ได้เจอ ก็คือไม่ได้เงิน ต้องบินกลับบ้านอย่างผิดหวัง

ส่วน มาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา ที่เป็นเหมือนเจ้าภาพของงาน ก็ยอมให้เซเลนสกี้เข้าพบ หารือเป็นการส่วนตัว และได้มอบเงินช่วยเหลือให้เล็กน้อยเป็นขวัญถุงก่อนกลับบ้าน แต่ไม่ยอมออกแถลงการณ์ร่วมของ G-7 ให้กับเซเลนสกี้ในการแสดงเจตนารมณ์สนับสนุนยูเครน 

ซึ่งเซเลนสกี้ คงต้องยอมรับว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน ไม่ใช่วาระสำคัญเร่งด่วนอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่เกิดสงครามในกาซา เมื่อปี 2023 ตามมาด้วยความขัดแย้งระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน และล่าสุด การยิงถล่มกันระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 

แต่ทั้งนี้ การนัดพบระดับผู้นำสหรัฐอย่างทรัมป์ และ เซเลนสกี้ ที่ในงาน G-7 มีการลงกำหนดการล่วงหน้า ยืนยันเป็นมั่นเหมาะแล้ว เซเลนสกี้ถึงยอมลงทุนบินข้ามน้ำ ข้ามทะเลกว่า 5,000 ไมล์ เพื่อมาหา 

และแหล่งข่าวยืนยันว่า เซเลนสกี้ มีคิวนัดเป็นลำดับที่ 3 ในตารางนัดหมายของทรัมป์ด้วยซ้ำ และไปถึงแคนาดาในช่วงบ่ายวันที่ 17 มิถุนายน ก่อนจะถึงคิวนัด  ก่อนที่จะรู้ว่า ทรัมป์ ยกเลิกคิวนัดทั้งหมดอย่างกะทันหัน และบินกลับดี.ซี.ไปก่อนหน้านั้นแล้วตั้งแต่หลังงานเลี้ยงกาลาดินเนอร์ เพราะต้องการไปติดตามสถานการณ์ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน 

ทรัมป์ได้กล่าวก่อนขอตัวออกจากงานประชุมว่า "พวกเราจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำกับผู้นำชาติสมาชิกแสนวิเศษ แต่ผมจะต้องขอตัวบินกลับก่อน ด้วยเหตุที่เป็นที่รู้กัน และผมหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจ" 

แม้จะรู้ถึงเหตุจำเป็นของทรัมป์ แต่คณะทูตยูเครนก็อดแสดงความน้อยใจไม่ได้ ที่เห็นว่าทรัมป์ลดลำดับความสำคัญของสงครามในยูเครน ซึ่งนอกจากจะไม่พูดถึงแล้ว ทรัมป์ยังใช้สิทธิ์ฐานะชาติสมาชิกหลัก ขอให้ยับยั้งแถลงการณ์ร่วมของที่ประชุม G-7 ที่เกี่ยวข้องกับยูเครนด้วย โดยให้เหตุผลว่าถ้อยแถลงของเซเลนสกี้ต่อต้านรัสเซียมากเกินไป ที่อาจกระทบกับวาระการเจรจาระหว่างทรัมป์ กับปูติน ที่กำลังดำเนินอยู่

ซึ่งเป็นข้ออ้างที่จะให้พูดแบบตรง ๆ ก็คือ เหมือนดีดเซเลนสกี้ออกจากงาน เพราะหากเทียบกับการเจรจาระหว่าง สหรัฐ-อิหร่าน ที่ก็ยังดำเนินอยู่เหมือนกัน แต่อิสราเอลก็ยังยกพลไปโจมตีทางอากาศอิหร่านได้โครม ๆ ไม่เห็นทรัมป์จะว่าอะไรเลย

เท่ากับว่าทริปนี้ เซเลนสกี้มาเพื่อถ่ายรูปกับเจ้าภาพ และ กลับบ้านมือเปล่า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่การทูตยูเครน ถึงกับแสดงอาการถอดใจว่า ในสัปดาห์หน้าที่จะมีงานประชุมกลุ่มประเทศสมาชิก NATO ที่กรุงเฮก หากเซเลนสกี้จะเดินทางไปขอเข้าประชุมด้วย มันจะคุ้มหรือไม่ แม้ผู้นำเยอรมันจะออกมายืนยันว่า ทรัมป์จะเดินทางไปร่วมงานประชุม NATO ด้วยอย่างแน่นอนก็ตาม 

ถึงชาติพันธมิตรยุโรปจะปลอบใจเซเลนสกี้ และยืนยันว่ายังไงก็อยู่ข้างยูเครน แต่สำหรับเซเลนสกี้แล้ว มันไม่มีความหมายเลยถ้าสหรัฐอเมริกาไม่ลงมาช่วยสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง อย่างที่โจ ไบเดน เคยให้มาก่อน 

ซึ่งเซเลนสกี้ก็ต้องทำใจว่า ช่วงกระแสพีคสุดของยูเครนได้ผ่านไปแล้ว ต่อให้ในวันนี้ผู้นำสหรัฐยังเป็นโจ ไบเดน ก็ใช่ว่ายูเครนจะได้รับการสนับสนุนเหมือนเมื่อก่อน เพราะตอนนี้กระแสไหลมาที่ตะวันออกกลางหมดแล้ว และผลลัพธ์ของสงครามระหว่าง อิสราเอล-อิหร่าน อาจกลายเป็นจุดพลิกขั้วอำนาจในตะวันออกกลางได้นานอีกหลายสิบปีทีเดียว

เมื่อเป็นเช่นนี้ เซเลนสกี้ ต้องถอยกลับไปต่อคิวใหม่ เพราะหัวแถวไม่ว่างซะแล้ว

‘ฮุน เซน’ รับมีคลิปเสียงคุย ‘นายกฯ อิ๊งค์’ จริง ลั่นจำเป็นต้องบันทึกเสียงกันถูกบิดเบือน

ฮุน เซน โพสต์เฟซบุ๊ก ยอมรับโทรศัพท์คุยกับ นายกฯ อิ๊งค์ และบันทึกเสียงไว้ แชร์ให้ผู้เกี่ยวข้องประมาณ 80 คน เผยคลิปเต็ม 17 นาที หลุดออกมาแค่ 9 นาที

(18 มิ.ย. 68) สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมื่อค่ำวันที่ 15 มิ.ย. ข้าพเจ้าได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีของไทยนาน 17 นาที 6 วินาที โดยมีล่าม

ตามปกติแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดหรือการบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องทางการ จึงจำเป็นต้องบันทึกเสียงการสนทนาเพื่อความโปร่งใส รวมถึงเพื่อวัตถุประสงค์ภายในกัมพูชาด้วย

จากนั้น ข้าพเจ้าได้แบ่งปันการบันทึกเสียงการสนทนาของข้าพเจ้ากับนายกรัฐมนตรีของไทย ให้แก่บุคคลประมาณ 80 คน รวมถึงสมาชิกคณะกรรมการถาวรของพรรค วุฒิสภา ทีมรัฐสภา หน่วยงานกิจการต่างประเทศ หน่วยการศึกษา กลุ่มกิจการชายแดน และสมาชิกกองทัพ ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ เป็นไปได้ว่า บางคนไม่เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีของไทย

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการสนทนาของเรา ผู้นำไทยได้กล่าวหาผู้นำกัมพูชาต่อสาธารณะว่า ดำเนินการทางการเมืองอย่าง 'ไม่เป็นมืออาชีพ' และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองผ่านเฟซบุ๊ก

ส่วนเรื่องไฟล์เสียงที่หลุดออกมา ผมสังเกตว่ามีการเผยแพร่ต่อสาธารณะเพียงประมาณ 9 นาทีเท่านั้น ดังนั้น หากฝ่ายไทยต้องการไฟล์เสียงแบบเต็ม ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเผยแพร่ไฟล์เสียงความยาว 17 นาที 6 วินาทีทั้งหมด

'ชาวกัมพูชา' ชุมนุมแสดงพลังกลางกรุงพนมเปญ ย้ำจุดยืนรักษาดินแดน - ต่อต้านผู้รุกราน

(18 มิ.ย.68) กระทรวงข้อมูลข่าวสารฯกัมพูชา ได้ถ่ายทอดสดผ่านทางเฟซบุ๊ก "ក្រសួងព័ត៌មាន - Ministry of Information" ที่มีผู้ติดตาม 1.4 ล้านคน เผยแพร่ภาพของพลเมืองชาวกัมพูชาได้ออกมาแสดงพลังรักชาติ พร้อมสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลในการป้องดินแดนกัมพูชา โดยประชาชนที่มาเข้าร่วมชุมนุมพากันโบกธงชาติกัมพูชา พร้อมถือรูป 'สมเด็จฮุน เซน' และรูปนายกรัฐมนตรี 'ฮุน มาเนต' รวมพลังเต็มพื้นที่ชุมนุม ย้ำจุดยืนต่อต้านผู้รุกรานดินแดน

ด้าน สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์ภาพระบุข้อความว่า เป็นการมีส่วนร่วมของชาวกัมพูชา ในการสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำจุดยืน กัมพูชาไม่ต้องการดินแดนของผู้อื่นแม้แต่ 1 มิลลิเมตร แต่จะปกป้องดินแดนกัมพูชาอย่างเด็ดขาด ไม่ให้ใครมาล่วงล้ำแม้เพียง 1 มิลลิเมตร เช่นกัน

ส่วนทางสำนักข่าวท้องถิ่นได้รายงานว่า นายฮุน มาณี ลูกชายของฮุนเซน จะเป็นผู้นำในการเดินขบวนในเช้าวันนี้ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อกองทัพ และส่งเสริมความรักชาติ ในกรุงพนมเปญ

© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top