Saturday, 9 November 2024
WORLD

‘แคนาดา’ สั่ง!! TikTok ให้หยุดดำเนินการ อ้าง!! เสี่ยงต่อความมั่นคง ของประเทศชาติ

(9 พ.ย. 67) รัฐบาลแคนาดาออกคำสั่งให้ TikTok ของบริษัท ByteDance ในจีน ยุติการดำเนินธุรกิจในประเทศ โดยมีการระบุว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ การตรวจสอบดังกล่าวทำโดยชุมชนความมั่นคงและข่าวกรองของแคนาดา

โดยรัฐบาลได้ย้ำว่าจะไม่จำกัดการเข้าถึง TikTok สำหรับชาวแคนาดาทั่วไป แต่แนะนำให้ประชาชนประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้แอปโซเชียลมีเดีย 

นายฟรองซัวส์-ฟีลิป ชองปาญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรมของแคนาดา ระบุว่า รัฐบาลต้องการให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงของการใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในแง่ของการจัดการข้อมูลและความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับประเทศต่างชาติ ซึ่ง TikTok นั้นได้ถูกห้ามใช้งานบนอุปกรณ์ของรัฐบาลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2023

ในส่วนของ TikTok ได้ตอบโต้ว่า การปิดสำนักงานในแคนาดาจะส่งผลให้พนักงานหลายร้อยคนต้องถูกเลิกจ้างงานไป ทั้งนี้ บริษัทตั้งใจจะท้าทายคำสั่งนี้ในชั้นศาล  โดยในแถลงการณ์ บริษัท ByteDance ยืนยันว่าจะไม่มีการแบ่งปันข้อมูลผู้ใช้กับรัฐบาลประเทศจีน แต่ความกังวลที่ว่า TikTok อาจถูกบังคับให้ส่งข้อมูลผู้ใช้ยังคงเป็นประเด็นใหญ่ ซึ่งส่งผลให้สหรัฐฯ ตั้งกฎหมายบังคับ ByteDance ขาย TikTok ภายในเดือนมกราคม 2025 มิฉะนั้นอาจถูกแบนในประเทศ

ปัจจุบัน TikTok ถูกแบนอย่างสมบูรณ์ในหลายประเทศ อาทิ อัฟกานิสถาน อินเดีย เนปาล และปากีสถาน และถูกห้ามใช้ในอุปกรณ์ที่ออกโดยรัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลก

จีนโชว์ J-35A เครื่องบิน stealth หวังสู้เทคโนโลยี F-35 ของสหรัฐฯ

(8 พ.ย.67) เครื่องบินขับไล่สเตลท์รุ่น J-35A ของจีน ซึ่งมีคุณสมบัติล่องหนและสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจากเรดาร์ของศัตรูได้ ถูกเปิดตัวครั้งแรกต่อสาธารณชนในงานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติจีน ครั้งที่ 15 หรือ China International Aviation & Aerospace Exhibition ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ระหว่างวันที่ 12-17 พฤศจิกายน 2567

เจ้าหน้าที่จากหน่วยอุปกรณ์ของกองทัพอากาศจีนเผยว่า เครื่องบิน J-35A ไม่เพียงแต่มีเทคโนโลยีการอำพรางตัว แต่ยังสามารถบรรทุกขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศรุ่น HQ-19 และจะมีการเปิดตัวอากาศยานไร้คนขับใหม่ที่ใช้สำหรับภารกิจลาดตระเวนและโจมตีในงานนี้ด้วย

นิทรรศการการบินและอวกาศครั้งนี้ถือเป็นงานแสดงอากาศยานของพลเรือนและทหารที่ใหญ่ที่สุดในจีน ซึ่งจะมีการจัดแสดงเครื่องบินหลายรุ่น รวมถึง J-20, J-16 และเครื่องบินเติมน้ำมัน YY-20A ขณะเดียวกันก็จะมีการเปิดให้เข้าชมห้องบรรทุกของเครื่องบินขนส่งหนัก Y-20 อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการแสดงบินผาดโผนที่ดึงดูดความสนใจจากผู้ชมจำนวนมาก

อเมริกันหาทางย้ายประเทศ!!! หลังทรัมป์คัมแบ็กทำเนียบขาว หาข้อมูล 'แคนาดา-ออสเตรเลีย' พุ่ง

(8 พ.ย.67) หลังจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาออกมาชัดเจนว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งในสมัยที่ 2 ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ

ข้อมูลจากบริษัทกูเกิลเผยว่า การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการย้ายไปแคนาดาเพิ่มขึ้นถึง 1,270 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ ขณะเดียวกัน การค้นหาคำว่า 'ย้ายไปนิวซีแลนด์' เพิ่มขึ้นเกือบ 2,000 เปอร์เซ็นต์ และ 'ย้ายไปออสเตรเลีย' เพิ่มขึ้น 820 เปอร์เซ็นต์

เจ้าหน้าที่กูเกิลระบุว่า ในช่วงค่ำของวันพุธ การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการย้ายไปทั้ง 3 ประเทศนี้ทำสถิติสูงสุด ขณะที่เว็บไซต์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองนิวซีแลนด์พบว่า มีผู้ใช้งานใหม่เข้าล็อกอินจำนวน 25,000 คนในวันที่ 7 พฤศจิกายน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 1,500 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ทนายความด้านการเข้าเมืองยังเผยว่าได้รับคำถามเกี่ยวกับการย้ายประเทศมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ความสนใจในการย้ายประเทศนี้มีลักษณะคล้ายกับเมื่อครั้งที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 โดยชาวอเมริกันหลายคนกังวลเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เช่น ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ สิทธิในเรื่องเพศ และการศึกษาของเด็ก ๆ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียเสรีภาพที่อาจเกิดขึ้นในสมัยที่เขากลับมาเป็นผู้นำอีกครั้ง

ไทย เบอร์ 2 ในอาเซียน เงินเดือนสูงสุดเฉลี่ย100,000 ต่อเดือน เป็นรองแค่เพียงสิงคโปร์

(8 พ.ย.67) สิงคโปร์ครองแชมป์ประเทศเงินเดือนสูงสุดในอาเซียน ไทยอันดับ 2 เริ่มต้นที่ 20,000 บาทสูงสุดเฉลี่ย 100,000 บาท จากการสำรวจโดยเว็บไซต์ TEMPO.CO ในจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Time Doctor เผยให้เห็นอันดับเงินเดือนเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยพบว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุด ขณะที่ไทยครองอันดับ 2

อันดับที่ 1 ตกเป็นของสิงคโปร์ ด้วยเงินเดือนเฉลี่ยประมาณ 6,332 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงค่าครองชีพและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค เงินเดือนเริ่มต้นในประเทศนี้อยู่ในระดับสูงสุดของอาเซียน

อันดับที่ 2 คือประเทศไทย ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของแรงงานในอาเซียน โดยเงินเดือนเฉลี่ยสำหรับพนักงานเริ่มต้นอยู่ที่ 20,000-25,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ตำแหน่งระดับกลางถึงสูงอาจได้รับเงินเดือนสูงสุดถึง 100,000 บาทต่อเดือน

อันดับที่ 3 ได้แก่ บรูไน ดารุสซาลาม ซึ่งแม้จะมีประชากรน้อย แต่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ โดยเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 3,230 ดอลลาร์บรูไน หรือประมาณ 83,000 บาท

ในอันดับที่ 4 เป็นของมาเลเซีย โดยเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 6,610 ริงกิต หรือประมาณ 52,000 บาทต่อเดือน ส่วนอันดับที่ 5 คือฟิลิปปินส์ ตามด้วยอินโดนีเซีย เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมา โดยเมียนมามีเงินเดือนต่ำที่สุดในอาเซียนที่ 311,000 จ๊าต หรือประมาณ 5,100 บาท

ถึงคิว Audi ปลดคนงาน ในเยอรมนี 15% กระทบ 4,500 ตำแหน่ง

(8 พ.ย.67) รอยเตอร์รายงานว่า อาวดี้ (Audi) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน กำลังวางแผนลดจำนวนพนักงานในระยะกลาง โดยจะเน้นลดตำแหน่งงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิต ซึ่งหลายพันตำแหน่งอาจได้รับผลกระทบ

ตามรายงานของ Manager Magazin การลดพนักงานครั้งนี้จะมุ่งไปที่ตำแหน่งงานทางอ้อม เช่น ฝ่ายพัฒนา ซึ่งมีตำแหน่งงานกว่า 2,000 ตำแหน่ง รายงานระบุว่าบริษัทมีเป้าหมายลดพนักงานในเยอรมนีลง 15% ซึ่งส่งผลกระทบต่องานราว 4,500 ตำแหน่ง

อาวดี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Volkswagen ได้ยืนยันข้อมูลนี้กับรอยเตอร์ โดยระบุว่าคณะกรรมการบริหารอยู่ระหว่างการเจรจากับตัวแทนคนงาน แต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับจำนวนตำแหน่งที่อาจได้รับผลกระทบ

ในไตรมาสที่ 3 อาวดี้พบว่ากำไรลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น อันเป็นผลจากการปิดโรงงานในกรุงบรัสเซลส์

เกอร์นอด ดอลล์เนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า สาเหตุที่บริษัทต้องเตรียมปลดพนักงานในเยอรมนีถึง 15% มาจากผลการดำเนินงานที่น่าผิดหวังในไตรมาสที่ 3 โดยเฉพาะผลกำไรสุทธิที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงและค่าใช้จ่ายจากการปิดโรงงานอาวดี้ในเบลเยียมที่ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ ความล่าช้าในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่จำเป็นในรถอีวี ส่งผลให้การเปิดตัวรถอีวีรุ่นคิว 6 อี-ตรอน ล่าช้าไปกว่า 2 ปี

นายกจีนเสนอชาติลุ่มน้ำโขง เร่งลงนามการค้าเสรีจีน-อาเซียน

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (7 พ.ย.67) หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ครั้งที่ 8 โดยเรียกร้องให้ 6 ประเทศสมาชิกยกระดับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้ร่วมมือกันมายาวนานกว่า 30 ปี

การประชุมนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 พฤศจิกายน ที่นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยมีผู้นำจากกัมพูชา จีน ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม รวมถึงประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) เข้าร่วมด้วย

โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1992 เพื่อส่งเสริมการเติบโตของการค้า การลงทุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคให้มีความเชื่อมโยงมากขึ้น 

หลี่เฉียงกล่าวว่า โครงการนี้ได้กลายเป็นเวทีสำคัญในการหารือความร่วมมือเพื่อพัฒนาภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และเน้นว่าจีนและประเทศสมาชิกควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางเศรษฐกิจร่วมกัน พร้อมดำเนินความร่วมมือเชิงปฏิบัติในหลายด้านอย่างลึกซึ้ง ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลง

หลี่เฉียงได้เสนอให้ประเทศสมาชิกขยายการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและสร้างตลาดขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเสนอให้พัฒนาหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางคุณภาพสูง ดำเนินความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และเร่งการลงนามพิธีสารฉบับปรับปรุงของเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน

เขายังเรียกร้องให้มีการพัฒนาแบบขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยส่งเสริมการพัฒนาเครือข่ายไฟฟ้าระดับภูมิภาค การร่วมมือในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่พลังงานใหม่ ยานยนต์ และโซลาร์เซลล์ รวมทั้งขยายความร่วมมือในพลังงานสะอาด การผลิตอัจฉริยะ คลังข้อมูลขนาดใหญ่ และเมืองอัจฉริยะ

ด้านการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน หลี่เฉียงได้เสนอให้มีการเชื่อมโยงถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ รวมถึงด้านนโยบายและกฎระเบียบ เพื่อเร่งการบูรณาการทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ทั้งนี้ จีนจะออก 'วีซ่าล้านช้าง-แม่น้ำโขง' ให้กับประเทศสมาชิกทั้ง 5 ประเทศ และออกวีซ่าเข้าประเทศแบบหลายครั้ง ระยะ 5 ปี ให้กับนักธุรกิจที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์

เขายังได้เน้นถึงความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย และธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย 

ผู้นำต่างชาติที่เข้าร่วมการประชุมต่างชื่นชมบทบาทสำคัญของจีนในการผลักดันความร่วมมือในภูมิภาคนี้ และยืนยันที่จะเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การเกษตร การเชื่อมต่อเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาสีเขียว การดูแลสุขภาพ การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และด้านอื่น ๆ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม

ฝูงลิง 43 ตัว หลุดจากห้องแล็บวิจัย แนะประชาชนปิดประตู-หน้าต่างป้องกัน

(8 พ.ย.67) ชาวบ้านในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในรัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความหวาดกลัว หลังมีการประกาศเตือนให้หลีกเลี่ยงฝูงลิงที่อาจติดเชื้อโรค ภายหลังลิงจำนวนประมาณ 40 ตัวหลบหนีออกมาจากศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง

รายงานข่าวระบุว่า ลิงกลุ่มนี้หลุดออกมาจากศูนย์วิจัยวานรอัลฟา เจเนซิส ในเมืองเยมาสซี ซึ่งห่างจากเมืองชาร์ลสตันไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 100 กิโลเมตร เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน

“มีการจัดวางกับดักไว้ทั่วพื้นที่ และในขณะนี้กรมตำรวจเมืองเยมาสซีกำลังใช้กล้องตรวจจับความร้อนในการตามหาฝูงลิงเหล่านั้น” ตำรวจระบุในคืนวันพุธ พร้อมเตือนว่า “ขอแนะนำให้ชาวบ้านปิดประตูและหน้าต่างอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้ลิงเหล่านี้เข้ามาในบ้าน”

ศูนย์วิจัยอัลฟา เจเนซิส ใช้สถานที่ในเมืองเยมาสซีเป็นที่เลี้ยงลิงสำหรับการวิจัยและทดลองทางการแพทย์ โดยในเว็บไซต์ของบริษัทระบุว่าพวกเขาให้บริการด้านการวิจัยทางชีวภาพและการเพาะพันธุ์ลิง ซึ่งลิงเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการทดลองทางคลินิกสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับโรคต่าง ๆ

ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าลิงที่หลบหนีเมื่อวันพุธเป็นลิงที่อยู่ในขั้นตอนการทดลองหรือมีเชื้อโรคอยู่ภายในตัวหรือไม่ เจ้าหน้าที่จึงได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติด้วยความระมัดระวังอย่างสูงสุดในการจัดการกับลิงที่หลบหนี และประชาชนทั่วไปได้รับคำเตือนว่า หากพบเห็นลิงเหล่านี้ ขออย่าได้เข้าใกล้หรือสัมผัส และให้รีบแจ้งตำรวจทันที

ทั้งตำรวจและศูนย์วิจัยอัลฟา เจเนซิส ยังไม่ได้ระบุถึงสายพันธุ์ของลิงที่หลบหนี แต่ที่ผ่านมา บริษัทมักทำงานกับลิงวอก ลิงมาคาก และลิงคาปูชิน

เหตุการณ์นี้นับเป็นการหลบหนีครั้งที่สองของฝูงลิงจากศูนย์วิจัยอัลฟา เจเนซิสในรอบกว่า 10 ปี โดยก่อนหน้านี้ในปี 2016 ลิงราว 19 ตัวหายออกไปนานประมาณ 6 ชั่วโมงก่อนที่ทั้งหมดจะถูกนำกลับมา

จีนก้าวหน้าสร้างอาวุธล้างโลก ตามแบบหนัง Star Wars สำเร็จแล้ว

(8 พ.ย.67) นักวิทยาศาสตร์จีนประกาศความสำเร็จในการพัฒนาปืนเลเซอร์พลังสูงที่มีลักษณะคล้ายอาวุธล้างโลกในภาพยนตร์ไซไฟชื่อดังอย่าง 'Star Wars' ซึ่งในภาพยนตร์นั้น ปืนเลเซอร์ 'Death Star' มีหลักการทำงานโดยการรวมคลื่นไมโครเวฟพลังงานสูงจำนวนมากให้กลายเป็นลำแสงที่มีพลังทำลายล้างสูง สามารถยิงทำลายเป้าหมายเฉพาะจุดได้ และแม้กระทั่งดาวเคราะห์

นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้นำแนวคิดนี้มาพัฒนาระบบอาวุธไมโครเวฟพลังสูง โดยใช้ยานส่งสัญญาณหลายตัวซิงโครไนซ์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าด้วยกันด้วยเทคโนโลยีจับเวลาที่แม่นยำ เพื่อสร้างลำแสงเลเซอร์ที่เข้มข้นเพียงลำเดียวสำหรับเล็งโจมตีเป้าหมายเฉพาะจุด 

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของปืนเลเซอร์นี้ไม่ได้พัฒนาเพื่อทำลายดาวเคราะห์ ทีมวิจัยของจีนระบุว่าเทคโนโลยีนี้มุ่งใช้เพื่อปิดการทำงานของดาวเทียม โดยเฉพาะการตัดสัญญาณดาวเทียม GPS ของสหรัฐฯ และดาวเทียมเป้าหมายอื่น ๆ จีนได้ทดสอบการใช้งานอาวุธนี้และยืนยันว่าสามารถรบกวนการทำงานของดาวเทียม GPS และกระทบการส่งข้อมูลของดาวเทียมเป้าหมายได้ นอกจากนี้ ในอนาคตจีนยังจะใช้เทคโนโลยีนี้ระงับสัญญาณดาวเทียมจากสหรัฐฯ หรือชาติพันธมิตร ในกรณีที่ต้องการฝึกอบรมหรือทดสอบเทคโนโลยีใหม่ภายในประเทศ เพื่อป้องกันการสอดแนมจากดาวเทียมต่างชาติ

สื่อจีนรายงานว่าอาวุธนี้จะใช้ในอวกาศเท่านั้น ไม่ได้ใช้บนภาคพื้นดิน ทางทะเล หรือในบรรยากาศโลก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของทีมนักวิทยาศาสตร์จีนที่สามารถนำแนวคิดจากโลกจินตนาการมาสู่เทคโนโลยีจริง 

น่าสังเกตว่า การประกาศความสำเร็จของปืนเลเซอร์ 'Death Star' ของจีนนั้นเกิดขึ้นหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ซึ่งทั่วโลกจับตาดูสงครามการค้าระลอกใหม่ระหว่างจีน-สหรัฐฯ เนื่องจากทรัมป์ได้ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจีนถึง 60% รวมถึงความขัดแย้งในน่านน้ำทะเลจีนใต้ ที่คาดว่าจะทวีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

ออสเตรเลียเล็งออกกฎเข้ม ต่ำกว่า 16 ปีห้ามใช้โซเชียลมีเดีย คาดบังคับใช้ปลายปีหน้า

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซีของออสเตรเลียประกาศว่า รัฐบาลออสเตรเลียเตรียมออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ทุกรูปแบบ โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบระบบตรวจสอบอายุผู้ใช้งาน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยคาดว่ากฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ได้เร็วที่สุดในปลายปีหน้า

ผู้นำออสเตรเลียกล่าวว่า การใช้งานโซเชียลมีเดียที่มากเกินไปส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่อาจถูกล่อลวงให้เผยแพร่ภาพร่างกายที่ไม่เหมาะสม หรืออาจเผชิญกับปัญหาการถูกกลั่นแกล้ง (Bullying) ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งทางรัฐบาลได้วางแผนจะนำเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อรัฐสภาในปีนี้ และหากได้รับความเห็นชอบ จะมีผลบังคับใช้ใน 12 เดือนหลังจากที่รัฐสภาให้สัตยาบัน

ปัจจุบันหลายประเทศได้มีการออกกฎหมายควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดียของเด็ก โดยออสเตรเลียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเข้มงวดมากที่สุด เนื่องจากจะไม่มีข้อยกเว้นให้เด็กใช้งานได้ แม้ได้รับการอนุญาตจากพ่อแม่ ขณะที่ในฝรั่งเศสได้มีการเสนอให้ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีใช้โซเชียลมีเดีย แต่อนุญาตให้ใช้ได้หากได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง และในสหรัฐอเมริกาได้มีการเรียกร้องให้บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ติดตั้งระบบปิดกั้นการเข้าถึงโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปีหากไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครอง

วิกฤต Nissan!! เลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน หั่นเงินเดือน CEO เซ่นกำไรฮวบรอบ 15 ปี

(8 พ.ย.67) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น Nissan รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด ทำให้ต้องประกาศเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน หรือประมาณ 6% ของพนักงานทั้งหมด เนื่องจากยอดขายของรถยนต์ Nissan หลายรุ่นในสหรัฐอเมริกาไม่ดีในไตรมาสที่ผ่านมา

ตามรายงานของ AP Makoto Uchida ซีอีโอของ Nissan กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า สถานการณ์นี้ 'เป็นเรื่องร้ายแรงมาก' โดยเขาได้ตัดสินใจลดเงินเดือนตัวเองลงครึ่งหนึ่ง และยังมีแผนลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20% อีกด้วย

ในปี 2022 Uchida มีรายได้รวม 673 ล้านเยน (ประมาณ 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามรายงานของ BBC

"นิสสันจะปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น" Uchida กล่าวเสริม

ทั้งนี้ Uchida ไม่ใช่ซีอีโอคนแรกที่ลดเงินเดือนเมื่อธุรกิจประสบปัญหา ในปี 2023 Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom ได้ลดเงินเดือนตัวเองลง 98% ท่ามกลางการเลิกจ้าง และต่อมา Satish Malhotra ซีอีโอของ Container Store ก็สมัครใจลดเงินเดือนลง 10% เพื่อให้พนักงานได้รับโบนัสตามผลงาน

นอกจากนี้ ในปี 2013 ซีอีโอของ Nintendo ก็เคยลดเงินเดือนตัวเองลงครึ่งหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างเช่นกัน

ส่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ‘นางงามเมียนมา’ ทิ้ง เหตุรับไม่ได้กับพฤติกรรมเจ้าของเวที – วิธีให้คะแนนไม่แฟร์

ช่วงที่ผ่านมาเหมือนจะมีประเด็นใหญ่อยู่ 2 เรื่องที่ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ในประเทศไทย

เรื่องแรกเหมือนเป็นเรื่องเป็นราวไม่รู้จบกับเวทีนางงามที่มีแต่เรื่องฉาวได้ทุกปี และปีนี้ก็เช่นกันกับเรื่องที่เกิดกับนางงามตัวแทนของเมียนมาและผู้จัดของเขา แต่ความต่างอยู่ตรงที่ฝั่งนางงามและผู้จัดขอยกเลิกสัญญาและไม่รับตำแหน่งด้วยเหตุผลการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องการโหวตที่ทางผู้จัดฝั่งเมียนมาอ้างว่ามีคนของเจ้าของฝั่งไทยพยายามให้โหวตโดยจ่ายเงินนอกระบบและรางวัล Country Popular Vote ที่ในนาทีสุดท้ายก่อนประกาศผลนางงามเมียนมาอยู่ในอันดับ 1 แต่ปรากฏว่าพอประกาศกลับไม่ใช่ชื่อเขา โดยเจ้าของฝั่งไทยออกมาบอกว่านับผลโหวตแค่นี้  Follower ซึ่งถ้าคิดแบบนี้ดูคงจะไม่แฟร์กระมัง  

อย่างไรก็ตามทั้งนางงามและผู้จัดฝั่งเมียนมาเลือกจะทิ้งมงกุฎและยกเลิกสัญญาหรือกล่าวง่าย ๆ คือเลือกจะทิ้งอนาคตเพราะความไม่เป็นธรรมนั้น แต่ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าที่น่าตกใจคือผู้จัดฝั่งไทยกลับเป็นคนเล่นนอกเกมขุดคุ้ยอดีตมาด่า รวมถึงกล่าวหาว่าผู้จัดเมียนมาขายบริการและนางงามเมียนมาอยากได้ที่ 1 เพราะมีเสี่ยมาเปย์ หากข้อสังเกตของผู้เขียนเป็นจริงคือมันเป็นการเล่นนอกเกมส์ที่สกปรกมาก และไม่ดูเป็นมืออาชีพเลย อีกทั้งในโซเชียลฝั่งไทยก็ผสมโรงจนเหมือนดูจะขาดสติทั้งที่ควรจะคิดพิจารณาก่อนว่าใครเป็นผู้เสียโอกาสจากการเลือกทำแบบนี้แต่เขายังเลือกที่จะทิ้งโอกาสนั่นแปลว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลหรือไม่

อีกทั้งการประกวดในปีนี้ได้มีหลายประเทศทั้งขอถอนตัวและถูกถอนออกก่อนไปนับ 10 ประเทศได้ ถ้าเอาคร่าว ๆ แค่ประเทศที่เป็นเรื่องนอกจากเมียนมาแล้วก็ยังมี

1. กัมพูชา ที่ทางกองประกวดอ้างว่าไม่มีความพร้อมในการจัดการประกวดกรณีมีคลิปหลุดเรือทานอาหารแต่ภายหลังก็มีภาพเรือที่ถูกเตรียมไว้หลุดออกมาพร้อมกับเหตุผลวว่าผู้จัดฝั่งไทยขอเปลี่ยนในนาทีสุดท้ายเพราะในขณะนั้นอาหารยังไม่เสร็จเพราะผู้จัดไม่รอ

2. ยูเครน โดยมิสแกรนด์ยูเครนให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าเธอขอถอนตัวเพราะเธอไม่ได้พักผ่อนเลยตลอดเวลาในการประกวด 11 วันในการเก็บตัวเธอต้องตื่นและเข้าร่วมกิจกรรมจนถึงดึกดื่น ทั้งที่เธอเป็นไข้สูง 37.5-38.2 ตลอดทั้งวัน ทำให้เธอไม่สามารถรับได้ถึงมาตรฐานการประกวดเพราะแพทย์ประจำตัวของเธอที่พัทยาและแพทย์ของโรงแรม Wyndham พัทยา ได้บันทึกถึงสุขภาพที่เสื่อมลงของเธอ ซึ่งยืนยันว่าความดันโลหิตของเธออยู่ในระดับอันตราย นั่นทำให้เธอเลือกจะเก็บชีวิตมากกว่าเลือกจะชิงมงกุฎ

3. กรณีล่าสุดคือการปลดนางงามตัวแทนหมู่เกาะเวอร์จิ้น ของสหรัฐอเมริกาโดยให้เหตุผล 3 ข้อคือ
- เปลี่ยนแปลงสายสะพายอย่างเป็นทางการอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ ทำลายโลโก้ขององค์กรและบ่อนทำลายความสำคัญของตำแหน่งที่ได้รับ
- ล้มเหลวในการใช้บริการเที่ยวบินที่องค์กรจัดให้ ส่งผลให้สูญเสียเงินหลายพันเหรียญสหรัฐ
- ไม่สนใจเสื้อผ้าที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการซึ่งองค์กรจัดซื้อและจัดเตรียมโดยผู้สนับสนุน โดยเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงการออกแบบชุดประจำชาติเดิม และไม่สวมชุดราตรีที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบควบคู่ไปกับองค์กรที่ได้รับการอนุมัติล่วง

เอาเป็นว่าเรื่องแบบนี้ผู้อ่านลองไปใช้ความคิดพิจารณาเองว่าทำไมการประกวดอื่นๆก็น่าจะมีปัญหาไม่ต่างกันแต่กลับไม่เคยมีข่าวพวกนี้ออกมา แต่ที่สำคัญคือการวิจารณ์ใดๆก็ตามที่เป็นการกระทำที่บูลลี่ทั้งต่อนางงามและผู้อยู่เบื้องหลังเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพราะนี่เราคือภาพลักษณ์ของประเทศไม่ใช่แค่ปัจเจกชนที่แสดงออกสู่สายตาชาวโลก อย่าลืมว่าถ้าเราไม่อยากให้ใครมาดูถูกชาติเราหรือคนในชาติเรา ก็ควรเริ่มต้นจากการไม่ดูถูกใครเช่นกัน

อีกเรื่องเป็นเรื่องที่ ครม. เห็นชอบจะมอบสัญชาติไทยให้แก่ คนไร้สัญชาติ 483,000 คน โดยตั้งเป้ามอบให้แก่คน 4 กลุ่มที่เป็นผู้ที่อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน
กลุ่มที่ 1 คือ ตั้งแต่ปี 2527-2542 มีประมาณ 120,000 คน
กลุ่มที่ 2 เมื่อปี 2548-2554 มีประมาณ 215,000 คน
ส่วนกลุ่มที่ 3 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของชนกลุ่มน้อย มีประมาณ 29,000 คน
กลุ่มที่ 4 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนโดยมีการสำรวจไปแล้วประมาณ 113,000 คน

ประเด็นคือทาง ครม. รับทราบไหมว่าที่ผ่านมามีการคอร์รัปชันทางทำบัตรหัว 0 และสวมบัตรคนตายกันมากมาย โดยเฉพาะราคาสวมบัตรคนตายพุ่งไปเป็นหลักล้านและนั่นเองทำให้คนบางกลุ่มไม่เชื่อว่าจำนวนนี้คือจำนวนที่แท้จริง แต่นี่คือการฟอกขาวในคนต่างด้าวจำนวนหนึ่งที่มีเงินพอหาซื้อบัตรหัว 0 หรือบัตรคนตายเข้ามาเป็นคนไทยได้อย่าง

เอย่าขอแนะนำว่ารัฐบาลควรให้มีการสอบสัมภาษณ์ด้วยก็ดีนะ ถ้าอยู่ไทยมานานจริงควรพูดไทยได้ อ่านไทยคล่อง เขียนไทยเป็น มิฉะนั้นคงได้ฟอกขาวให้ตนบางคนได้เป็นคนไทยสมใจอยาก

SpaceX-Tesla รับอานิสงส์ ดันโครงการอวกาศ ลดภาษีคนรวย

(7 พ.ย. 67) การกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวของ โดนัลด์ ทรัมป์ อีกสมัยอาจเป็นชัยชนะครั้งสำคัญสำหรับหนึ่งในผู้สนับสนุนเขามากที่สุดนึงก็คือ นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกเจ้าของ SpaceX และรถยนต์ไฟฟ้า Tesla จะเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0

อีลอน มัสก์ ระบุข้อความผ่าน X ว่า "ประชาชนชาวอเมริกันได้มอบออำนาจที่ชัดเจนให้กับ @realDonaldTrump เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในคืนนี้"

นอกจากนี้ ในสุนทรพจน์แห่งชัยชนะที่ศูนย์การประชุมปาล์มบีช ทรัมป์ใช้เวลาหลายนาทีชื่นชมมัสก์และเล่าถึงความสำเร็จในการลงจอดของจรวดที่ผลิตโดยบริษัท SpaceX ของเขา นอกจากนี้ในการแถลงชัยชนะทรัมป์ได้กล่าวถึงมักส์โดยระบุว่าเตรียมดึงตัวมหาเศรษฐีผู้นี้ร่วมทีมเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์พิเศษของประธานาธิบดี

สำหรับนายมักส์ในฐานะผู้สนับสนุนที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของว่าที่ประธานาธิบดี มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีผู้นี้ได้บริจาคเงินมากกว่า 119 ล้านดอลลาร์ (4.17 พันล้านบาท) เพื่อสนับสนุนกลุ่มการเมืองเชียร์ทรัมป์หรือ Super PAC

สำนักข่าวบีบีซีได้เผยบทวิเคราะห์ระบุถึงผลประโยชน์ที่นายมักส์ จะได้รับหลังการกลับสู่ทำเนียบขาวของทรัมป์ โดยมัสก์มีโอกาสรับผลประโยชน์มากมายอาทิ รับตำแหน่งในกระทรวง "DOGE" โดยนายทรัมป์ว่าที่ประธานาธิบดีได้กล่าวว่าในวาระที่สอง เขาจะเชิญมัสก์เข้าร่วมคณะบริหารเพื่อกำจัดความสิ้นเปลืองของรัฐบาล

มัสก์เรียกความพยายามที่อาจเกิดขึ้นนี้ว่า "กระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล" หรือ Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นชื่อของมีมและเงินคริปโทที่เขาได้ทำให้เป็นที่นิยม

โครงการSpaceX รับอานิสงส์ดาวเทียมของรัฐ มากไปกว่านั้น มัสก์อาจได้รับประโยชน์จากการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ผ่านความเป็นเจ้าของ SpaceX ซึ่งครองตลาดธุรกิจการส่งดาวเทียมของรัฐบาลขึ้นสู่อวกาศ บทวิเคราะห์ของบีบีซีอ้างว่า ด้วยการมีพันธมิตรที่ใกล้ชิดในทำเนียบขาว มัสก์อาจแสวงหาโอกาสในการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์กับรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ก่อนหน้านี้ มัสก์วิจารณ์คู่แข่งรวมถึงโบอิ้งเกี่ยวกับโครงสร้างสัญญากับรัฐบาล ซึ่งเขากล่าวว่าไม่จูงใจให้ทำงานเสร็จตามงบประมาณและตรงเวลา

SpaceX ยังได้ขยายไปสู่การสร้างดาวเทียมสอดแนมให้กระทรวงกลาโหม โดยเพนตากอนและหน่วยงานสอดแนมของอเมริกาดูเหมือนจะพร้อมที่จะลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านนี้

Tesla รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายกฎระเบียบ ขณะเดียวกัน Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของมัสก์ อาจได้รับผลประโยชน์จากการบริหารที่ทรัมป์กล่าวว่าจะมี ภาระด้านกฎระเบียบที่ต่ำที่สุด เมื่อเดือนที่แล้ว หน่วยงานของสหรัฐ ที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยบนท้องถนนได้เปิดเผยว่ากำลังตรวจสอบระบบซอฟต์แวร์ขับขี่อัตโนมัติของTesla

มัสก์ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าพยายามขัดขวางคนงานTesla จากการรวมตัวเป็นสหภาพ โดยสหภาพแรงงานยานยนต์ (UAW) ได้ยื่นข้อกล่าวหาการปฏิบัติด้านแรงงานที่ไม่เป็นธรรมต่อทั้งทรัมป์และมัสก์ หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวกับการที่มัสก์อ้างว่าได้ไล่คนงานที่นัดหยุดงานออกในระหว่างการสนทนาบน X

สุดท้ายคือการที่ทรัมป์ประกาศในหลายครั้งว่าจะลดภาษีความมั่งคั่งสำหรับบริษัทและคนรวย ซึ่งแน่นอนว่ามัสก์ในฐานะมหาเศรษฐีผู้รวยที่สุดในโลกน่าจะได้รับผลประโยชน์นี้โดยตรง

สีจิ้นผิงแสดงความยินดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับทำเนียบขาว

(7 พ.ย. 67) ซินหัวรายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่าจีนขอแสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โฆษกกล่าวคำข้างต้นระหว่างตอบคำถามเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ออกมาแล้ว และโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันเป็นผู้คว้าชัยชนะ

โฆษกระบุว่าจีนเคารพการเลือกของประชาชนชาวอเมริกัน และขอแสดงความยินดีกับทรัมป์ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

"จีนเคารพการเลือกของประชาชนชาวอเมริกัน และขอแสดงความยินดีกับทรัมป์ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ"

เหมาหนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ยังกล่าวว่าอีกว่านโยบายของจีนที่มีต่อสหรัฐฯ นั้นยังคงมีความสอดคล้องกัน

เหมากล่าวระหว่างการแถลงข่าวประจำวันเพื่อตอบคำถามในประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นกิจการภายในของสหรัฐฯ และ “เราเคารพในทางเลือกของประชาชนชาวอเมริกัน”

ทั้งนี้ เหมาระบุว่า “นโยบายของจีนต่อสหรัฐฯ ยังคงมีความสอดคล้องกัน” โดยชี้ว่าจีนจะยังคงมีมุมมองและจัดการความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ โดยยึดหลักการความเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

เปิดปัจจัย คามาลา แฮร์ริส พ่ายแพ้ แม้แต่ผู้ใช้แรงงานยังโหวตทรัมป์

(7 พ.ย.67) นางคามาลา แฮร์ริส ได้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้หลังทราบผลการเลือกตั้ง ต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกล่าวกับผู้สนับสนุนว่า จะต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และเผยว่าก่อนหน้านี้ได้ต่อสายถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน พร้อมแสดงความจำนงว่าร่วมมือถ่ายโอนอำนาจการบริหารประเทศ พร้อมกับโจ ไบเดน ผู้นำคนปัจจุบัน

ภายหลังการทราบผลเลือกตั้ง สำนักข่าวรอยเตอร์ได้เผยบทความวิเคราะห์ถึงความพ่ายแพ้ของนางแฮร์ริสซึ่งถือว่าเธอทำคะแนนได้แย่กว่าที่คาดคิด โดยรอยเตอร์วิเคราะห์ว่า นางแฮร์ริสซึ่งมาจากพรรคเดโมแครตนั้นกลับไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากสหภาพแรงงานทรงอิทธิพลแห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของพรรคเดโมแครตมาอย่างยาวนาน กลายเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอพ่ายแพ้ 

ในการประชุมระหว่างแฮร์ริสกับสหภาพแรงงาน (International Brotherhood of Teamsters) ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของเดโมแครตเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา แฮร์ริสกล่าวว่าเธอเองจะปกป้องงานของสหภาพแรงงานและความเป็นอยู่ของคนงานได้ดีกว่า โดนัลด์ ทรัมป์  

แต่สหภาพแรงงานกลับไม่เชื่อมั่นในคำพูดของเธอ แม้เธอจะแย้งว่าทรัมป์ไม่ใช่ผู้สนับสนุนชนชั้นแรงงาน ผู้นำสหภาพแรงงานจึงถามเธอว่า ตัวเธอเองและประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ช่วยเหลือคนงานเพียงพอแล้วหรือยัง ไม่กี่วันหลังจากนั้นสหภาพแรงงานทีมสเตอร์ได้ออกมาปฏิเสธที่จะสนับสนุนผู้ชิงตำแหน่งจากพรรเดโมแครต ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ที่สหภาพแรงงานออกมาเคลื่อนไหวไม่สนับสนุนพรรคฝ่ายซ้ายอย่างเดโมแครต

รอยเตอร์ยังวิเคราะห์ต่อว่า แคมเปญหาเสียงของทีมแฮร์ริสก็เป็นอีกปัญหาที่ทำให้เธอต้องพ่ายแพ้ เพราะเธอนอกจากผู้สมัครชิงตำแหน่งแล้วยังถือเป็นรองประธานาธิบดีที่อยู่ในรัฐบาลไบเดน ซึ่งประสบปัญหาในการเอาชนะเงินเฟ้อและการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นประเด็นคู่ขนานที่การสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่าทรัมป์ได้คะแนนจากเรื่องเหล่านี้ 

“การพ่ายแพ้ของเธอเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการการเมืองของอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนใช้แรงงาน (Blue-collar voter) หันมาสนับสนุนพรรครีพับลิกันมากขึ้น" เมลิสสา เด็กแมน (Melissa Deckman) นักรัฐศาสตร์และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทวิจัย พับลิก รีลิเจียน รีเสิร์ช อินสทิทิวต์  ให้ความเห็นว่า แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐในยุคหลังโควิด-19 จะเติบโตค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นในทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ทีมหาเสียงของแฮร์ริสอธิบายได้ไม่ดีนักว่านโยบายของเธอจะช่วยเหลือชนชั้นกลางได้อย่างไร ข้อความในการหาเสียงของเธอไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากนัก

รัสเซียชูไอเดีย 'รีเซ็ตการทูต' ฟื้นสัมพันธ์สหรัฐฯ หลังทรัมป์ชนะ

(6 พ.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นาย Kirill Dmitriev ผู้บริหารกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัสเซีย ซึ่งใกล้ชิดทำเนียบเครมลินกล่าว ว่า โอกาสใหม่ๆ ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกและวอชิงตันได้เปิดขึ้นแล้ว หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติบั่นทอนลงอย่างมากในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่สงครามขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ปะทุขึ้นในปี 2022 ทำให้ความสัมพันธ์ของวอชิงตันกับมอสโกย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในปี 1962

Dmitriev กล่าวว่า ชัยชนะของทรัมป์และพรรครีพับลิกันทั้งในทำเนียบขาวและวุฒิสภาสะท้อนว่าคนอเมริกันทั่วไปเบื่อหน่ายกับการโกหก ความไร้ความสามารถ และความอาฆาตพยาบาทที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของรัฐบาลไบเดน

Dmitriev  อดีตนายธนาคารโกลด์แมนแซคส์ ซึ่งเคยมีสายสัมพันธ์กับทีมงานของทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า “นี่เปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการรีเซตความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ” 

ทั้งนี้ ในปี 2009 ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในขณะนั้น เคยเสนอแนวคิดการ "รีเซ็ต" ความสัมพันธ์กับมอสโก แต่เนื่องจากข้อผิดพลาดในการแปลที่ชัดเจน ประกอบกับสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะประเด็นการผนวกดินแดนไครเมีย ทำให้การรีเซ็ตความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และบารัค โอบามา ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top