Thursday, 2 May 2024
WORLD

‘สีจิ้นผิง’ เตรียมเยือน 'ฝรั่งเศส-เซอร์เบีย-ฮังการี' 5-10 พ.ค.นี้ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ส่งเสริมสันติภาพ และการพัฒนาของโลก

(1 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฮว่าชุนอิ๋ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ประกาศว่าสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะเดินทางเยือนฝรั่งเศส เซอร์เบีย และฮังการีอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 5-10 พ.ค. นี้

ฮว่ากล่าวว่า การเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการครั้งนี้เป็นไปตามคำเชิญของเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส อเล็กซานดาร์ วูซิก ประธานาธิบดีเซอร์เบีย และทามาส ซูลิออค ประธานาธิบดีฮังการี และวิกโตร์ โอร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี

ด้าน หลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงฯ อีกคน กล่าวว่านี่เป็นการเดินทางเยือนยุโรปครั้งแรกของผู้นำจีนในรอบเกือบ 5 ปี ซึ่งมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ของจีนกับฝรั่งเศส เซอร์เบีย ฮังการี และยุโรป รวมถึงส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาของโลก

ผู้นำเบอร์ 2 รัฐบาลเมียนมา ปรากฏตัวเยี่ยมให้กำลังใจทหาร สยบข่าว ‘ถูกปลด-เจ็บสาหัส’ หลังหายตัวไป นานเกือบเดือน 

(1 พ.ค. 67) เว็บไซต์เมียนมา อินเตอร์เนชันแนล ทีวี หรือ MITV  ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลเมียนมาได้เผยแพร่ภาพของ พลเอก โซ วิน รองประธานสภาบริหารแห่งรัฐและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะเข้าเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ และรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทหารในเมืองมะละแหม่ง ของรัฐมอญ 

รายงานข่าวของเมียนมา อินเตอร์เนชันแนล ทีวี ระบุว่า การเดินทางไปยังโรงพยาบาลดังกล่าวของ พลเอก โซ วิน เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดกระแสข่าวลือว่า นายทหารผู้นี้อาจถูกปลด หรือได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีด้วยโดรนของฝ่ายต่อต้าน เนื่องจากไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะนานเกือบ 1 เดือน  โดยพลเอก โซ วิน ถือเป็นแกนนำเบอร์ 2 ของรัฐบาลทหารเมียนมา รองจาก พลเอก มิน อ่อง หล่าย

ส่วนสถานการณ์สู้รบในเมียนมายังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) เปิดเผยว่า สามารถยึดฐานกองพันทหารราบที่ 141 ของรัฐบาลทหารเมียนมาได้แล้ว หลังโจมตีมานานหลายเดือน ซึ่งฐานดังกล่าวควบคุมเส้นทางแม่น้ำอิรวดีไปยังเมืองมิตจีนา เมืองเอกของรัฐคะฉิ่น

ก่อนหน้านี้ KIA และกองกำลังป้องกันประชาชนคะฉิ่น  หรือ KPDF ที่เป็นพันธมิตร เข้ายึดครองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิรวดีในเมืองมิตจีนาได้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. และจากนั้นมา กลุ่มต่อต้านรัฐบาลก็พยายามยึดกองบัญชาการกองพันทหารราบที่ 141 ทางตะวันตกของเมืองมาโดยตลอด

‘หมอธีระวัฒน์’ เผยงานวิจัยญี่ปุ่นชี้ ‘วัคซีน mRNA’ ส่งผลอัตราการตายสูง ฉีดแล้วมีผลกระทบ ภูมิคุ้มกันแปรปรวน ทำให้ ‘มะเร็ง’ เติบโตแพร่กระจายได้เร็ว

(1 พ.ค. 67) จากกรณีแอสตร้าเซนเนก้า ออกมายอมรับครั้งแรกว่า วัคซีนโควิดของบริษัททำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน และเกล็ดเลือดต่ำ

ล่าสุด ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและระบบประสาท โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงผลกระทบของวัคซีนโควิด mRNA กับการเกิดมะเร็ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

วัคซีนโควิดกับการเกิดมะเร็ง

รายงานจนกระทั่งถึงปลายเดือนเมษายน 2024 ตอกย้ำความเชื่อมโยงของวัคซีน mRNA กับอัตราตายสูงขึ้นอย่างผิดปกติ (statistically significant increases) ของมะเร็งทุกชนิดโดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen- related cancers) ตามหลังการระดมฉีดเข็มสาม

รายงานจากประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 8 เมษายน 2024 ในวารสาร Cureus ในเครือเนเจอร์

โดยที่เป็นการรายงาน ประเมินผลกระทบของการระบาดโควิดในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้เป็นการวิเคราะห์อัตราการตายของมะเร็ง 20 ชนิดในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ข้อมูลของทางการที่เกี่ยวข้องกับการตาย การติดเชื้อโควิดและการฉีดวัคซีนโควิด โดยเป็น การปรับตัวแปรในช่วงอายุต่างๆ (age adjusted mortality)

ผลที่ได้ถือเป็นการค้นพบ ที่น่าตกใจ ในช่วงหนึ่งปีแรกของการระบาดโควิด ไม่พบการตายที่เกิดจากมะเร็งที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (excess cancer deaths) แต่การตาย กลับเพิ่มขึ้นโดยแปรตามการฉีดวัคซีนโควิด

ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุด และในปี 2024 กำลังระดมการฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่เจ็ด

การระดมฉีดทั้งประเทศญี่ปุ่นเริ่มในปี 2021 และ เริ่มเห็นตัวเลขของการตายจากมะเร็งเพิ่มขึ้นคู่ขนานไปกับการฉีดฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สอง
หลังจากที่มีการฉีดเข็มที่สามในปี 2022 พบว่ามีการตายจากมะเร็งที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติ ในมะเร็งทุกชนิดและโดยเฉพาะกับมะเร็งที่ไวหรือตอบสนองต่อ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่เรียกว่า estrogen and estrogen receptor alpha( ERalpha)-sensitive cancers โดยรวมทั้งมะเร็งรังไข่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ต่อมลูกหมาก มะเร็งริมฝีปาก ช่องปาก ช่องลำคอ มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งเต้านม

สำหรับมะเร็งเต้านมนั้นในช่วงระยะเวลาปี 2020 พบการตายจากมะเร็งเต้านมลดลง แต่แล้วเปลี่ยนมาเป็นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในปี 2022 พร้อมกับการระดมฉีดทั่วประเทศของวัคซีนเข็มที่สาม

มะเร็งตับอ่อนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคงที่ก่อนหน้าระบาดโควิดและมะเร็งอีกห้าชนิดมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามมะเร็งหกชนิดยังมีการตายเพิ่มกว่าที่คาดการณ์ไว้ในในปี 2021 ในปี 2022 หรือในช่วงระยะเวลาทั้งสองปี

ยิ่งไปกว่านั้น มะเร็งสี่ชนิดซึ่งมีการตายสูงอยู่แล้ว ได้แก่มะเร็งปอด ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับ ซึ่งมีการตายลดลงก่อนปี 2020 แต่เมื่อเริ่มมีการใช้วัคซีนนั้นอัตราการตายกลับไม่ลดลงมากดังก่อนมีการระบาด

อัตราตาย ของมะเร็งที่พุ่งขึ้นทั้งๆ ที่ก่อนหน้าการระบาดของโควิดในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2019 ในประเทศญี่ปุ่น พบว่าการตายจากมะเร็งมีแนวโน้มลดลงในทุกอายุ ยกเว้นที่อายุ 90 หรือสูงกว่า 90 ปี

และแม้แต่ในปี 2020 ช่วงที่ยังไม่มีการระดมฉีดวัคซีนและมีการระบาดของโควิดแล้ว อัตราการตายจากมะเร็งก็ยังลดลงในช่วงแทบทุกอายุยกเว้นช่วงอายุ 75 ถึง 79 ปี

ในปี 2021 เริ่มเห็นแนวโน้มในอัตราการตายของมะเร็งที่สูงขึ้นและสูงขึ้นต่อเนื่องจนกระทั่งถึงในปี 2022 ในช่วงทุกอายุ

ในปี 2021 มีอัตราตายเพิ่มขึ้นจากทุกสาเหตุอย่างมีนัยสำคัญ 2.1% และ 1.1% สำหรับการตายที่เกิดจากมะเร็ง

ในปี 2022 การตายจากทุกสาเหตุกระโดดขึ้นเป็น 9.6% และสำหรับมะเร็งสูงขึ้นเป็น 2.1%

การศึกษานี้ได้แยกแยะตามอายุและพบว่าจำนวนการตายจากมะเร็งทุกชนิดจะสูงสุดในช่วงอายุ 80 ถึง 84 ปีซึ่งประชากรในกลุ่มนี้มากกว่า 90% ได้รับวัคซีนสามเข็ม และวัคซีนที่ได้รับนั้นเกือบ 100% เป็น mRNA และเป็นไฟเซอร์ 78% โมเดนา 22%

คณะผู้รายงานยังได้เพ่งเล็งประเด็นของการตายจากมะเร็งดังกล่าวที่ อาจจะมาจากสาเหตุที่มีการคัดกรองมะเร็งน้อยลง และ การเข้าถึงการรักษาได้จำกัดในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ แต่อย่างไรก็ตาม คณะผู้รายงานระบุว่า ไม่สามารถอธิบายการกระโดดขึ้นของการตายโดยเฉพาะในมะเร็งหกชนิดในปี 2022 ซึ่งไม่มีข้อจำกัดในการคัดกรองมะเร็งและการรักษาแล้ว

และมะเร็งที่มีอัตราตายสูงขึ้นจะตกอยู่ในกลุ่มที่เป็น ERalpha-sensitive ทั้งนี้สามารถอธิบายได้จากกลไกหลายอย่างของวัคซีน mRNA ซึ่ง อยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน มากกว่าที่จะอธิบายจากการติดเชื้อโควิดหรือการที่มีการรักษาลดลงในช่วงล็อกดาวน์

นักวิทยาศาสตร์วิจัยอาวุโส ของ MIT Stephanie Seneff ได้ให้ความเห็นว่ารายงานดังกล่าวชี้ชัดเจนในข้อมูลทางระบาดวิทยาซึ่งสามารถเชื่อมโยงอัตราตายที่สูงขึ้นของมะเร็งหลายชนิดและการที่ได้รับวัคซีนหลายเข็ม

ทั้งนี้ โดยที่ได้เคยให้ความเห็น ก่อนหน้านี้แล้วโดยยึดถือพื้นฐานกลไกทางวิทยาศาสตร์ทางด้านระบบภูมิคุ้มกันว่าวัคซีนควรจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง

โดยที่วัคซีนนั้นทำให้ระบบการตรวจตราเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดมะเร็งนั้นถดถอยลงโดยเฉพาะในระบบ ที่เรียกว่า innate immunity และความบกพร่องห่วงโซ่ ในระบบภูมิคุ้มกัน ที่นำไปถึงการติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นและมีโรคภูมิคุ้มกันแปรปรวนทำร้ายตัวเองมากขึ้นและทำให้มะเร็งมีการเติบโตแพร่กระจายได้เร็ว

กลไกที่ mRNA วัคซีน โยงไปถึงการเกิดมะเร็งได้ไวขึ้นและโตเร็วขึ้นนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็น estrogen และ ERalpha-sensitive เกิดจากการที่โปรตีนหนามของวัคซีน มีการจับตัวอย่างเฉพาะเจาะจงกับ ERalpha และเร่งให้เกิดปฏิกริยามากขึ้น

การศึกษาที่รายงานในปี 2020 ในวารสาร Translational Oncology พบว่า ส่วนของโปรตีนหนาม S2 มีความสัมพันธ์จำเพาะกับยีนส์ที่ปกป้องไม่ให้เกิดมะเร็ง คือ p53 BRCA1 และ BRCA2 ที่มักมีการผันเปลี่ยน พันธุกรรมในมะเร็ง

ซึ่งสอดคล้องกับรายงานในประเทศญี่ปุ่นโดยที่มีการตายเพิ่มของมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกและรังไข่ในผู้หญิงและมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้ชายซึ่งเกี่ยวพันกับการทำงานของ BRCA1 ลดลง และยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับอ่อน การทำงานผิดปกติ ของ BRCA2 ยังมีความสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม รังไข่ในผู้หญิง มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านมในผู้ชาย และมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน acute myeloid leukemia ในเด็ก

การกระจายตัวได้ทั่วไปในร่างกายมนุษย์ในทุกอวัยวะ จากการที่วัคซีนอยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน โดยมีการพิสูจน์ชัดเจนแล้วโดยที่ วัคซีนยังเข้าไปฝังตัวที่ ตับ ม้าม ต่อมหมวกไต รังไข่และไขกระดูก ซึ่งก็ทำการผลิตโปรตีนหนาม ปล่อยออกมาตลอดและยังทำให้มีการติดเชื้อง่ายขึ้นอีก

ในเดือนสิงหาคม 2023 รายงานในวารสาร Proteomics Clinical Applications พบว่าชิ้นส่วนของโปรตีนหนามจากวัคซีนยังล่องลอยอยู่ในเลือดของผู้ได้รับวัคซีนยาวนาน ได้อย่างน้อยสามถึงหกเดือนใน 50% ของตัวอย่าง และเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาตินั้น โปรตีนหนามจากไวรัส จะพบได้นาน ประมาณ 10 ถึง 20 วัน แม้ว่าการติดเชื้อนั้นจะมีความรุนแรงมากก็ตาม และในรายงานดังกล่าวนี้ยังชี้ให้เห็นว่าโปรตีนหนามนั้นสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในเซลล์บางชนิด หรือมีการสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าขึ้นมาอีกในเซลล์

การศึกษา รายงานในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ในวารสาร the Journal of Immunology พบ exosome ซึ่งบรรจุโปรตีนหนามที่ 14 วันหลังจากฉีดวัคซีน และ เมื่อได้รับวัคซีนเข็มที่สองและวัคซีนเข็มต่อไป โปรตีนหนามดังกล่าว พบมากขึ้นเรื่อยๆ

วัคซีนโควิดยังเป็นวัคซีนที่ปรับแต่งให้เสถียรขึ้นด้วย N1-Methyl-Pseudouridine

การที่วัคซีนมีการปรับแต่งดังกล่าวจะทำให้มีการด้อยหรือเปลี่ยนการทำงานของโปรตีนที่สำคัญคือ toll-like receptors ที่คอยป้องกันการเกิดเนื้องอกและการโตของเนื้องอก

การที่วัคซีนมีการปรับแต่งดังกล่าวทำให้ร่างกายมีการผลิตโปรตีนหนามในจำนวนมากมาย และทำให้มีการขัดขวางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ ด้อยการส่ง สัญญาณผ่านทางอินเตอร์เฟียรอน (early interferon signaling) ทำให้มีการสร้างโปรตีนหนามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันทำให้การ ระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันด้อยลง

รายงานในวันที่ 5 เมษายนในวารสาร International Journal of Biological macromolecules พบว่าการดัดแปลงของวัคซีนดังกล่าวทำให้เกิดการกดภูมิคุ้มกันและช่วยส่งเสริมให้เกิดมะเร็ง ทั้งนี้ โดยการใส่ N1-methyl-pseudouridine mRNA วัคซีน ในการทดลองที่ใช้ มะเร็งผิวหนัง melanoma ผลปรากฏว่าสามารถกระตุ้นการเติบโตของ เซลล์ มะเร็งและการแพร่กระจาย ในขณะที่ mRNA วัคซีนที่ไม่มีการดัดแปลงจะไม่เกิดผลร้ายดังกล่าว

ระบบภูมิคุ้มกันในระดับที่เรียกว่า ADE หรือ antibody dependent enhancement

การได้วัคซีนหลายเข็ม เป็นการทำให้ได้รับโปรตีน หนาม มากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้กลับมีการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาติได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ยังร่วมกับการที่มนุษย์ประทับความทรงจำกับไวรัสโควิดบรรพบุรุษหรือดั้งเดิมและจากการที่มีการกดภูมิคุ้มกัน

ADE เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อแอนติบอดีแทนที่จะทำลายไวรัส กลับช่วยนำพาไวรัสเข้าเซลล์ได้ง่ายขึ้นและมีการเพิ่มจำนวนในเซลล์ได้เก่งขึ้น ผลของโปรตีนหนามและอนุภาคนาโนไขมัน ทำให้หลอดเลือดอุดตัน

ผลการวิจัยต่างๆ แสดงว่าวัคซีนโควิดก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการตันของเส้นเลือดและยิ่งเป็นคนป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดังนั้นจะทำให้อัตราตายของมะเร็งยิ่งสูงขึ้นไปอีก หลังจากมีระดมการฉีดในประเทศญี่ปุ่น

จากการศึกษาพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสโควิดและจากวัคซีนเองนั้น มีศักยภาพทางไฟฟ้าบวกและทำให้จับกับ glycoconjugates ที่มีศักยภาพทางไฟฟ้าเป็นลบและอยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดงและเซลล์ชนิดอื่นๆ นอกจากนั้นโปรตีน หนาม ยังสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันผ่านทางตัวรับ ACE2 ทำให้เกิดผนังหลอดเลือดหนาตัว ขัดขวางการทำงานของ ไมโตคอนเรีย โรงพลังงานของเซลล์ และการเกิด reactive oxygen species (ROS)

ทั้งนี้ ROS เป็น highly reactive radicals ions หรือ โมเลกุล ที่มีอิเล็กตรอน โดดเดี่ยว ไม่มีคู่ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดพันธะ (single unpaired electron) โดยที่เซลล์มะเร็งนั้นจะมีปริมาณของ ROS สูงมากจากการ ผลของเมแทบอลิซึม การทำงานของ oncogene และการที่ไมโตคอนเดรีย ผิดปกติและยังรวมทั้งกลไกทางด้านภูมิคุ้มกันต่างๆ

ส่วนจำเพาะของโปรตีนหนามยังสามารถทำให้เกิดการก่อตัวของโปรตีนอมิลอยด์ (fibrous insoluble tissue) และแอนติบอดีต่อโปรตีนหนามที่เกาะกับโปรตีน S ที่โผล่ออกมาจากผิวเซลล์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อของตนเอง และอธิบายปรากฏการณ์เกิดแท่งย้วยสีขาว หรือ white clots

ระบบการเฝ้าระวังตรวจตรามะเร็งของมนุษย์อ่อนด้อยลง

จากการที่วัคซีนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจึงทำให้มีการปะทุของไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว โดยที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ไวรัสงูสวัด ไวรัสเริม herpesvirus 8 โดยที่ไวรัสตัวนี้ถือว่าเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดมะเร็งชนิด Kaposi’s sarcoma และการปะทุของไวรัส EBV และ human papilloma virus ที่สามารถเหนียวนำให้เกิดมะเร็งในช่องปากและลำคอ

ปรากฏการณ์เช่นนี้จะช่วยอธิบายอัตราการตายที่สูงขึ้นของมะเร็งที่ริมฝีปากช่องปากและลำคอในปี 2022 ในประเทศญี่ปุ่นที่มีการระดมฉีด เข็มที่สาม การเปลี่ยน RNA เป็น DNA จากกระบวนการ reverse transcription และเข้าไปเสียบในจีโนมของมนุษย์

รายงานในปี 2022 ในวารสาร Current Issues in Molecular Biology แสดงให้เห็นว่าวัคซีน mRNA สามารถเสียบเข้าไปในยีนส์ของมนุษย์หรือดีเอ็นเอโดยใช้กระบวนการนี้ https://www.mdpi.com/1467-3045/44/3/73

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 รายงานในวารสาร Medical Hypotheses พบว่าการเพิ่มปริมาณของวัคซีน mRNA และโมเลกุลของดีเอ็นเอที่ได้ถูกปรับเปลี่ยนจากอาร์เอ็นเอในเซลล์ (cytoplasm) จะสามารถเหนียวนำให้เกิดภาวะอักเสบด้วยตัวเองอย่างเรื้อรัง และนำไปสู่ภูมิคุ้มกันแปรปรวนต่อต้านตัวเอง จนกระทั่งถึงการทำลายดีเอ็นเอ และเกิดมะเร็งในมนุษย์ที่มีปัจจัยโน้มน้าวอยู่แล้วด้วย

นักวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์ Kevin McKernan พบว่าวัคซีนโควิดสามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นดีเอ็นเอ ทั้งนี้โดยสามารถตรวจพบส่วนของพันธุกรรมโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด ในโครโมโซม 9 และ 12 ของเซลล์มะเร็งเต้านมและรังไข่หลังจากที่ฉีดวัคซีนโควิด mRNA

และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับบาง batch ของวัคซีนที่มีปริมาณของดีเอ็นเอที่ปนเปื้อนกับความรุนแรงของผลข้างเคียงและผลกระทบที่เกิดขึ้น

นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสาธารณสุข และการแพทย์ของฝรั่งเศส Helene Banoun ได้สนับสนุนรายงานจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคล้องจองกับศักยภาพในการกระตุ้นการเกิดมะเร็งจากผลิตภัณฑ์ที่เป็น gene therapy ซึ่ง mRNA วัคซีน ถือว่าจัดอยู่ในประเภทนี้ และผลของวัคซีนที่เหนียวนำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันชาด้าน(immune tolerance) ส่งเสริมการเกิดมะเร็ง

ทั้งนี้ สำนักอาหารและยาของสหรัฐเอง ได้มีการระบุอย่างชัดเจนมาก่อนว่า มีกลไกหลายอย่างที่เป็นไปได้ที่ DNA ที่ปะปนปนเปื้อนจะทำให้เกิดมะเร็ง ทั้งนี้ รวมถึงการที่เข้าไปเสียบในดีเอ็นเอของมนุษย์และสั่งให้มีการสร้าง ยีนส์มะเร็ง (oncogenes) หรือ มีการสอดใส่ซึ่งทำให้มีการผันแปร ทางรหัสพันธุกรรม (intentional mutagenesis)

คณะผู้รายงานจากญี่ปุ่นได้ตอกย้ำว่า กระบวนการวิธีมาตรฐานในผลิตภัณฑ์วัคซีนตามที่สำนักอาหารและยาของสหรัฐได้ระบุไว้นั้นควรต้องถูกนำมาพิจารณา ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงระบาดของโควิดนั้น เป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น

บทความนี้เรียบเรียงจากรายงานของคณะผู้ศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นและจาก คุณเมแกน เรดชอ สื่อ เอปิค ไทม์ส

นักวิทย์ค้นพบ 'วัสดุที่มีรูพรุน' กักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ จากอากาศได้ คาดหวังให้เป็นทางออกของปัญหาโลกร้อนในอนาคต

นักวิทยาศาสตร์ต่างยกย่องการค้นพบ ‘วัสดุที่มีรูพรุน’ ซึ่งสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศได้ หวังให้เป็นทางออกปัญหาโลกร้อน

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Synthetic พบว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเเฮเรียต-วัตต์ ในเอดินเบอระ ของสก็อตแลนด์ ได้สร้างโมเลกุลที่มีลักษณะกลวงเป็นรูพรุน เปรียบเสมือนกรงที่สามารถใช้กักเก็บก๊าซเรือนกระจก เช่น 'คาร์บอนไดออกไซด์' และ 'ซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์' ได้

โดย 'ซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์' นับเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สลายตัวได้ยากมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสามารถอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกได้เป็นเวลาหลายพันปี

ดร.มาร์ค ลิตเติ้ล หนึ่งในผู้ร่วมวิจัยระบุว่า นี่เป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้น พวกเขาต้องการวัสดุที่มีรูพรุนชนิดใหม่ ๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดของโลกอย่างวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ดร.ลิตเติ้ลยังบอกด้วยว่า การดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศโดยตรงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแม้ในอนาคตเราอาจจะหยุดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ แต่ก๊าซเรือนกระจกที่อยู่ในชั้นบรรยากาศของเราจนถึงตอนนี้ก็ยังคงสร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงอยู่ดี

และแม้การปลูกต้นไม้เป็นวิธีดูดซับคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะเห็นผล จึงจำเป็นต้องมีการแทรกแซงของมนุษย์ในการสร้างวัสดุบางอย่างขึ้นมาเพื่อดักจับก๊าซเรือนกระจกจากสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพเร็วขึ้น และการค้นพบครั้งนี้ก็นำไปสู่การค้นพบหนทางใหม่ ๆ ของการแก้ปัญหาโลกร้อนในอนาคต

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยดังกล่าวยังคงต้องได้รับการพัฒนาเพื่อให้ได้วิธีการดักจับก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พวกเขามีแผนจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยจำลองสถานการณ์เพื่อสร้างการรวมตัวของโมเลกุลให้เป็นวัสดุรูพรุนชนิดใหม่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้นด้วย

‘เมียนมา’ ระอุ!! เดือนเมษาสภาพอากาศ ‘ร้อนสุดขั้ว’ หลังอุณหภูมิแตะ 48 องศา ทุบสถิติในรอบ 56 ปี

(30 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยาของเมียนมา รายงานว่า เมือง 7 แห่งของเมียนมาเผชิญสภาพอากาศเดือนเมษายนที่ร้อนที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เมื่อวันอาทิตย์ (28 เม.ย.) ที่ผ่านมา

โดย เมืองเชาะ ในภูมิภาคมะกเวทางตอนกลาง มีอุณหภูมิพุ่งสูงถึง 48.2 องศาเซลเซียส เมื่อวันอาทิตย์ (28 เม.ย.) นับเป็นอุณหภูมิเดือนเมษายนที่สูงสุดในรอบ 56 ปี ตั้งแต่เริ่มมีการบันทึก ขณะที่เมืองญองอู สะกาย ตะดาอู ตองวิงยี มัณฑะเลย์ และซวงตู เผชิญกับวันที่ร้อนที่สุดในเดือนเมษายนในวันอาทิตย์เช่นกัน

ทั้งนี้ หลายภูมิภาคของเมียนมามีรายงานอุณหภูมิสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียสในหลายพื้นที่ โดยอู ลา ตุน ผู้อำนวยการสำนักฯ ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าอุณหภูมิวันที่ 28-29 เม.ย. มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ทางตอนกลางของเมียนมาและบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ

อนึ่ง ปกติแล้วเดือนเมษายน-พฤษภาคมจะเป็นเดือนที่อากาศร้อนที่สุดในเมียนมา เนื่องจากอุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้นก่อนเข้าสู่ฤดูมรสุม

‘รัสเซีย’ เตรียมโชว์ ‘รถถังตะวันตก’ ที่ยึดจาก ‘ยูเครน’ ในงานเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะ 9 พฤษภาคมนี้

วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียภูมิใจนำเสนอคอลเลกชันพิเศษ ‘รถถังอเมริกัน’ และ ‘รถถังอังกฤษ’ ที่ยึดได้ในสนามรบที่ยูเครน เตรียมพร้อมจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ในงานเฉลิมฉลองแห่งชัยชนะ (Victory Day) ปีนี้ 

โดยรถถังและยานเกราะเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นยุทโธปกรณ์ที่พันธมิตรชาติตะวันตกส่งไปสนับสนุนกองทัพยูเครน แต่เมื่อรัสเซียยึดพื้นที่ในยูเครนได้ จึงนำยานรบเหล่านี้กลับมาด้วย และตอนนี้นำมาจอดเรียงรายยาวเหยียดกลางกรุงมอสโก พร้อมป้ายข้อความว่า "ชัยชนะของพวกเรามันแน่นอนอยู่แล้ว" 

งานแสดงนี้เป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการฉลองวันแห่งชัยชนะที่ตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันที่กองทัพสหภาพโซเวียตประกาศชัยเหนือกองทัพนาซีเยอรมันในปี 1945 ถือเป็นปีที่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 

ซึ่งในวันนี้รัฐบาลรัสเซียกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ที่จะมีงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการจัดพิธีเดินสวนสนาม และแสดงยุทโธปกรณ์ด้านการทหารหน้าจัตุรัสแดงกลางกรุงมอสโกเพื่อเป็นการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพแดงและรำลึกถึงเหล่าทหารผ่านศึก

แต่ในปีนี้พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะมีการจัดแสดง ‘รถถังชาติตะวันตก’ ที่ยึดได้ในยูเครนเป็นไฮไลต์ ที่ประกอบด้วย รถถัง American Bradley รถหุ้มเกราะ British Saxon, รถถังสวีเดน CV90, รถถังฝรั่งเศส AMX-10RC และอื่น ๆ ซึ่งปูตินวางแผนที่จะนำรถถงเหล่านี้มาติดธงประจำชาติ แห่ในขบวนพาเหรดด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการฉลองชัยชนะของรัสเซียในสงครามยูเครน

ในช่วงไม่กี่ปี หลังเกิดสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ผู้นำรัสเซียให้ความสำคัญกับงานฉลองวันแห่งชัยชนะ 9 พฤษภาคม นี้เป็นพิเศษ และมักเปรียบเทียบสงครามยูเครนว่า คล้ายคลึงกับช่วงเวลาที่โซเวียตต้องต่อสู้กับกองทัพนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 และปูตินยังเคยได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานวันแห่งชัยชนะว่า รัสเซียพร้อมต่อสู้กับ ‘ชนชั้นสูงของโลกตะวันตก’ และอารยธรรมโลกเดินทางมาถึงจุดชี้ขาดแล้ว 

แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายรัสเซียก็สูญเสียรถถังของตนเป็นจำนวนมากจากการสู้รบในยูเครนเช่นกัน คาดการณ์ว่ามีรถถังของรัสเซียได้รับความเสียหาย หรือ ถูกทำลายไปมากถึง 3,000 คันในช่วง 2 ปี ตั้งแต่เกิดสงครามยูเครน อันเป็นเหตุให้รัฐบาลรัสเซียต้องอัดฉีดงบประมาณด้านการทหารเพิ่มขึ้น เพื่อเสริมกำลังยุทโธปกรณ์ และ รถถัง ในการสู้รบที่ด่านหน้า จนเศรษฐกิจรัสเซียเข้าสู่ภาวะสงคราม

แต่ทั้งนี้ส่วนที่เสียไปแล้วก็คือเสียไป ปูตินต้องการให้ชาวรัสเซียโฟกัสในส่วนที่ได้ อย่างน้อยก็ในวันฉลองวันแห่งชัยชนะนี้ ที่รัสเซียสามารถยึดรถถัง ยานเกราะของชาติตะวันตกกลับมาได้มากมาย และอีกหลายพื้นที่ในยูเครนที่ตอนนี้ถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซีย อีกทั้งยังเป็นการฝากคำท้าทายจากปูตินว่าชาติตะวันตกชาติใดต้องการมาเติมคอลเลกชันรถถังให้ปูตินมาจัดแสดงอีกในปีหน้าก็มาได้เลย 

KFC มาเลเซีย ปิดสาขาชั่วคราว อ้าง!! สภาพเศรษฐกิจไม่ดี ท่ามกลางกระแส 'แบน' แบรนด์ฝรั่งที่หนุนอิสราเอลรบปาเลสไตน์

(30 เม.ย.67) เพจ 'เดือดทะลักจุดแตก' โพสต์ข้อความรายงานกรณีการปิดสาขาชั่วคราวของ KFC ในมาเลเซียว่า...

ถึงขั้นปิดสาขาเลยเรอะ???

ไม่น่าเชื่อนะครับ เราเห็นข่าวเนืองๆ (โดยเฉพาะตอนอุบัติสงครามอิสราเอล-ฮามาสใหม่ๆ) ว่าหลายๆ ประเทศมุสลิม 'แบน' ไม่กินร้านอาหารแฟรนไชส์อเมริกา เหตุเพราะเจ้านั้นๆ มีทีท่าแสดงออก สนับสนุนอิสราเอลประหัตประหารชาวปาเลสไตน์ในกาซา (ซึ่งเพจเดือดฯ เคยโพสต์ไปแล้ว ไม่ขอลงรายละเอียดอีก * ย้ำว่าคนมองกันเองนะครับ แต่ละเจ้าไม่ได้มาประกาศสนับสนุนอะไรแบบนั้นเลย)

รัฐบาลไม่ได้ 'แบน' นะครับ เป็นประชาชนเองที่รณรงค์กัน 'แบน' ไม่กิน

ซึ่งดีกรีไม่รู้กี่มากน้อย และที่สำคัญคือจะนานจะเร็วเท่าไหร่ ไม่ใช่เดี๋ยวก็ซาแล้ว ... รึเปล่า

ที่ไหนได้!!! KFC มาเลเซียถึงขั้นต้องปิดสาขาเชียว แสดงว่าไม่น้อยและไม่เร็วแล้วล่ะครับ

คนเขาเอาจริงแฮะ

สอดส่องรายละเอียด เขาไม่ได้ปิดทั้งหมดนะครับ อ้างว่าสภาพเศรษฐกิจไม่สู้ดีนัก จะต้องปิดสาขาชั่วคราว เพื่อเน้นให้บริการ เฉพาะย่านที่คึกคัก ลูกค้าคับคั่ง

ก็ไม่รู้ว่าปิดเท่าไหร่ แต่สื่อท้องถิ่นของมาเลเซียรายงานว่า ปิดไปเป็นร้อย

ย้ำอีกครั้งว่าปิดชั่วคราวนะครับ ขึ้นกับสถานการณ์
ว่าเมื่อไหร่คนจะลืมเรื่องนี้? ไม่ใช่
ว่าเมื่อไหร่อิสราเอลจะเลิกรบ!
เพราะดูท่าแล้ว คงไม่ลืมกันง่ายๆ ครับ จนกว่าอิสราเอลจะรามือ

‘หนุ่มตุรกี’ เกือบขิต!! จากการทำ ‘รากฟันเทียม’ หลังทันตแพทย์ใส่สกรูเจาะลึกเข้าไปถึง ‘กะโหลก’

เมื่อวานนี้ (29 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ โพสต์ข้อความ หลังมีหนุ่มตุรกีรายหนึ่ง เกือบเสียชีวิต จากการใส่รากฟันเทียม โดยระบุว่า…

นายรามาซาน ยิลมาซ วัย 40 ปี จากเมืองบูร์ซา มีอาการฟันโยก ปวดฟัน จึงไปรักษาที่คลินิกทันตกรรมเอกชน ในบูร์ซา

ซึ่งทันตแพทย์บอกว่าเขามีฟันโยกต้องถอนออก ทันตแพทย์จึงแนะนำให้ใส่รากฟันเทียมเพื่อทดแทน

ในระหว่างการผ่าตัดทันตแพทย์พยายามใส่สกรูยึดวัสดุปลูกถ่ายฟันเทียม การเจาะทำให้เจาะเข้าไปถึงกระดูกขากรรไกรของ รามาซาน ยิลมาซ ซึ่งสกรูทะลุเข้าไปในกะโหลกของเขา เขาจึงตะโกนด้วยความเจ็บปวด

ทันตแพทย์ได้พาเขาไปส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ และทิ้งเขาไว้ที่โรงพยาบาล ทันตแพทย์หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ

แพทย์ทำการ CT Scan และนำเขาเข้ารับการผ่าตัดทันที การผ่าตัดใช้เวลานานหลายชั่วโมง แต่ศัลยแพทย์ก็สามารถเอาสกรูออกจากสมองของเขาออกได้ โดยเขาออกจากโรงพยาบาลในหลายวันต่อมา และปัจจุบันเริ่มดีขึ้น 

>> เขาติดต่อทันตแพทย์ต้นเรื่อง และถูกปฏิเสธการคืนเงิน เขากำลังดำเนินการทางกฎหมายกับคลินิกดังกล่าว
>> จากข้อมูล ตอนเขาเลือกคลินิกนี้เพราะแพทย์อ้างว่ามีประสบการณ์ 24 ปี และเชี่ยวชาญเฉพาะ
>> ยิลมาซ เล่าว่า ขณะที่ทันตแพทย์ใส่สกรู เขาได้ยินเสียงกระดูกแตก เขาจึงตะโกนออกมา ด้วยความเจ็บปวด

**เพราะเจาะทะลุกระดูกขากรรไกร เข้าไปในบริเวณหลังดวงตาซึ่งเป็นที่ตั้งของสมองและน้ำไขสันหลัง

เขาถูกส่งตัวต่อไปโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดเอาออก ก่อนการผ่าตัด แพทย์เตือนเขาว่าเขาอาจเสียชีวิตได้ ยิลมาซ กล่าว

ขอบคุณภาพ : NTV.tr

‘หนุ่มอพยพจากลาว’ ในสหรัฐฯ ถูกหวยพาวเวอร์บอล 48,000 ลบ. ตั้งใจ!! จะนำไปเลี้ยงดูครอบครัว - รักษาตัวหลังป่วยเป็นโรคมะเร็ง

(30 เม.ย.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โฆษกสำนักงานสลาก ‘โอเรกอน ลอตเตอรี่’ เปิดเผยว่า หนึ่งในผู้โชคดีถูกรางวัลใหญ่แจ็กพอต ‘พาวเวอร์บอล’ งวดเดือนที่แล้ว ที่มีเงินรางวัลสมทบสูงถึง 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 48,165 ล้านบาท เป็นชายวัย 46 ปี ผู้อพยพจากประเทศลาว ชื่อว่านายเชง หรือ ชาร์ลี แสพาน จากเมืองพอร์ตแลนด์ ซึ่งเขาเป็นผู้ป่วยมะเร็งมา 8 ปีแล้ว และได้รับการรักษาด้วยคีโมบำบัดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

โดยนายเชง กล่าวว่า หลังหักภาษีแล้วเขาจะได้รับเงินสดจำนวน 422 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.56 หมื่นล้านบาท โดยเขาและนางเดือนเพ็น ภรรยา จะแบ่งรางวัลเท่า ๆ กันให้กับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่หุ้นกันซื้อลอตเตอรี่ฉบับนี้ ที่มีมูลค่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ เขากล่าวว่าเงินก้อนนี้จะทำให้เขาสามารถเลี้ยงดูครอบครัวและรักษาตัวเองได้ โดยเขาจะหาหมอที่ดีสำหรับตัวเอง แต่ในฐานะที่เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง เขาสงสัยว่า จะมีเวลาใช้เงินทั้งหมดนี้ได้อย่างไร และเขาจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน

‘เรือขนส่งพลังงานไฟฟ้า’ ใหญ่สุดในโลกพร้อมให้บริการแล้วในจีน ชี้ ลดการใช้น้ำมัน 3,900 กก. - ลดการปล่อยมลพิษได้มากตลอดทั้งปี

(29 เม.ย.67) สำนักข่าวเซาท์ ไชนา มอร์นิง โพสต์ รายงานว่า เรือขนส่งคอนเทนเนอร์พลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ผลิตโดยจีน เตรียมใช้งานจริงแล้ว โดยจะให้บริการขนส่งระหว่างนครเซี่ยงไฮ้และเมืองนานกิงในทุกสัปดาห์

‘เรือ Greenwater 01’ ได้รับการพัฒนาและก่อสร้างโดยไชนา โอเชียน ชิปปิง กรุ๊ป (China Ocean Shipping Group: Cosco) ซึ่งพลังงานทั้งหมดที่ขับเคลื่อนเรือมาจาก ‘แบตเตอรี่’

การใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ทำให้เรือสามารถลดการใช้น้ำมันได้ 3,900 กิโลกรัมต่อการเดินทาง 100 ไมล์ทะเล และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 12.4 ตัน

หลังจากเรือออกเดินทางครั้งแรกในวันนี้ บริษัท Cosco เผยผ่านบัญชีวีแชทของตนเองว่า เรือลำดังกล่าวลดการปล่อยมลพิษได้มากตลอดทั้งปี และช่วยหนุนอุตสาหกรรมขนส่งอย่างแข็งขันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสูงสุด และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน

Cosco เผยอีกด้วยว่า เรือขนส่งพลังงานไฟฟ้าลำนี้ทำลายสถิติ ด้วยความยาว, ความกว้างกลางลำ,จำนวนคอนเทนเนอร์ที่สามารถบรรทุกได้ ปริมาณน้ำหนักที่เรือรับได้ และความจุแบตเตอรี่ไฟฟ้า

ทั้งนี้ Greenwater 01 มีความยาว 120 เมตร, กว้าง 24 เมตร หรือมีขนาดเทียบเท่ากับสนามบาสเกตบอล 10 แห่ง และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 19 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยแบตเตอรี่ตัวหลักของเรือพลังงานไฟฟ้าลำนี้มีความจุมากกว่า 50,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง และยังมีกล่องแบตเตอรี่อีกมากมายที่ไว้ใช้เพิ่มเติมเมื่อต้องออกเดินทางไกล ซึ่งกล่องแบตเตอรี่อื่น ๆ มีความจุอยู่ที่ 1,600 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมีขนาดเทียบเท่าคอนเทนเนอร์มาตรฐาน 20 ฟุต

ด้าน กัปตันหวัง จุน กล่าวกับสำนักข่าวซีซีทีวี (CCTV) เอาไว้ว่า กล่องแบตเตอรี่ 24 กล่อง ทำให้เรือมีพลังงานไฟฟ้ารวม 80,000 กิโลวัตต์ ขณะที่เรือขนส่งทั่วไปใช้น้ำมันราว 15 ตัน เมื่อต้องเดินทางไกลพอ ๆ กับ Greenwater 01

สำหรับความปลอดภัยของเรือ ‘จาง ลี่ฝู’ เจ้าหน้าที่ท่าเรือหยางซานในเซี่ยงไฮ้ บอกว่า ลูกเรือได้รับการฝึกอบรมไฟไหม้พิเศษ เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม หากเรือเกิดไฟไหม้เนื่องจากแบตเตอรี่ลิเทียมและฟอสเฟต ต้องดับเพลิงด้วยก๊าซดับเพลิงชนิดพิเศษที่มีส่วนผสมของคาร์บอน, ฟลูออรีน และไฮโดรเจน เพราะไม่สามารถดับได้ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์หรือน้ำ เหมือนที่ใช้ดับไฟในเรืออื่น ๆ

'ตำรวจมะกัน' เล่นแรง!! 'จับกุม-ทำร้าย' ม็อบนักศึกษากว่า 700 คน สกัดกระแสประท้วงความบ้าสงครามของอิสราเอลจากเด็กๆ

เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ เริ่มออกปฏิบัติการจับกุมกลุ่มนักศึกษาที่เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านสงครามในเขตฉนวนกาซาของอิสราเอล ที่ตอนนี้กำลังขยายวงในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ ล่าสุด มีรายงานการใช้สารเคมีที่ทำให้ผิวหนังระคายเคือง และ ปืนช็อตไฟฟ้า เพื่อสลายการชุมนุมของนักศึกษา และได้จับกุมผู้ร่วมประท้วงในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไปแล้วถึง 675 คน 

จุดเริ่มต้นของการประท้วง เกิดขึ้นที่ Columbia University ในมหานครนิวยอร์ก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมีกลุ่มนักศึกษาผู้สนับสนุนปาเลสไตน์นัดรวมตัวประท้วงเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีทางทหารในพื้นที่ฉนวนกาซา และให้คณะผู้บริหารของ Columbia University แสดงจุดยืนต่อต้านการทำสงครามของอิสราเอลด้วยการยกเลิกสัญญาความร่วมมือทางวิชาการต่อบริษัทต่าง ๆ ที่เป็นของอิสราเอล 

ซึ่งการประท้วงของกลุ่มนักศึกษาของมหาวิทยาลัย Columbia University ถูกมองว่าเข้าข่ายแนวคิดเหยียดชาวยิวอย่างรุนแรง ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กส่งกำลังเข้าจับกุมกลุ่มนักศึกษาที่ปักหลักประท้วงถึงในเขตรั้วมหาวิทยาลัยกว่า 100 คน 

แต่กลับกลายเป็นว่า การบุกจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐ กลับโหมกระพือกระแสการประท้วงต่อต้านสงครามในกาซาให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่มนักศึกษาอเมริกัน ที่มีการนัดรวมกลุ่มประท้วงภายในสถาบันอย่างมากมาย ลามตั้งแต่เขตฝั่งตะวันออก ไปจนถึงฝั่งตะวันตก และตอนนี้ กระแสเริ่มไปไกลถึงสถาบันในต่างประเทศแล้ว ทั้งใน แคนาดา, ยุโรป และออสเตรเลีย ก็มีรายงานการประท้วงของนักศึกษาแล้วเช่นกัน

หลังจากที่การประท้วงของกลุ่มนักศึกษากำลังเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ก็มีรายงานการบุกจับกุมนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เริ่มที่ University of Texas ที่มีการบุกจับกุมอย่างชุลมุน ตามมาด้วย University of Southern California ที่มีนักศึกษาถูกจับไปร่วม 100 คน 

และเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวการจับกุมม็อบนักศึกษาในสหรัฐฯ อีกหลายสถาบัน อาทิที่ Northeastern University, Indiana University, Arizona State University, Washington University  ซึ่งหากนับรวมจำนวนนักศึกษาที่ถูกคุมขัง หลังมีการประท้วงต่อต้านอิสราเอลในรั้วสถาบันกว่า 10 วัน มีมากถึง 675 ราย 

นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาบางคนที่เข้าร่วมการประท้วง ถูกลงโทษถึงขั้นพักการเรียน หรือ ไล่ออกจากสถาบัน ซึ่งกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมากในสถาบันการศึกษาในสหรัฐ แต่กลับเกิดขึ้นในการประท้วงครั้งนี้ในหลายสถาบัน ได้แก่ Yale University, Cornell University, Vanderbilt University และที่ University of Minnesota

จอห์น เฮนเดรน นักศึกษาจาก Princeton University ในรัฐนิวเจอร์ซี New Jersey ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติว่า การประท้วงในประเทศนี้มีราคาสูงที่ต้องจ่าย และนักศึกษาจำนวนมากกำลังเสี่ยงที่จะถูกไล่ออกจากสถาบันอย่างสูญเปล่า ซึ่งค่าเรียนที่ Princeton ก็สูงถึงปีละ 50,000 เหรียญ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท) และมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ยอมทุ่มเงินเก็บทั้งชีวิตเพื่อมาเรียนที่นี่ แต่ทว่าหลายคนยอมที่จะเสี่ยง เพื่อต้องการแสดงพลังในสังคมได้เห็น 

ในขณะเดียวกัน ทางการสหรัฐฯ อ้างถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องสลายการชุมนุม และเข้าจับกุมนักศึกษาเนื่องจากพบหลักฐานการสร้างวาทกรรมความรุนแรงในกลุ่มผู้ประท้วง เช่น ยุยงให้มีการสังหารหมู่ชาวยิว ดังเช่นในกรณีที่ เกิดขึ้นใน Univesity of Texas และ Northeastern University ที่ทำให้เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอลออกมาประณามกลุ่มนักศึกษาอเมริกันที่ร่วมประท้วงต่อต้านอิสราเอล และสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างมาก และต้องยุติการกระทำโดยทันที 

แต่ทั้งนี้ การประท้วงในกลุ่มนักศึกษาสหรัฐฯ ไม่ได้มาจากกลุ่มผู้สนับสนุนปาเลสไตน์เท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มชนชาวยิวในสหรัฐฯ ที่เป็นลูกหลานผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ไม่ต้องการเห็นชาวอิสราเอลเข่นฆ่าชนชาติอื่น ที่ไม่ต่างจากชะตากรรมที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยเผชิญมา และนักเคลื่อนไหวบางกลุ่มเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามขัดขวางเสรีภาพในการพูด และการแสดงความเห็นต่างทางการเมืองของเหล่านักศึกษา อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในประเทศเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา 

40% ของ ‘เบบี้บูมเมอร์’ ทั่วโลก กำลังขาดเงินออมวัยเกษียณ ต้องวางแผนทำงานไปจนตกงาน เพื่อหารายได้พอประทังชีพ

(29 เม.ย.67) Business Tomorrow เผยรายงานล่าสุดของ TCDC ชี้ว่ากลุ่มคน 'เบบี้บูมเมอร์' หรือคนเกิดในช่วงปี 2489-2507 ทั่วโลกกว่า 40% วางแผนทำงานไปจนกว่าจะตกงาน ด้วยปัญหาด้านการเงินและรายได้ที่ไม่เพียงพอหลังเกษียณอายุ

แนวโน้มนี้สอดคล้องกับข้อมูลจากสหรัฐอเมริกา ที่พบว่ากลุ่ม 'Peak Boomer' หรือเบบี้บูมเมอร์รุ่นสุดท้ายกำลังเข้าสู่วัยเกษียณในปีนี้กว่า 30 ล้านคน แต่มีเงินออมน้อยกว่า 250,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 9.2 ล้านบาท ถึงเกือบ 2 ใน 3 

ตัวเลขนี้แสดงว่าคนกลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพิงเงินออมได้ จำเป็นต้องพึ่งพาประกันสังคมเพื่อเลี้ยงชีพ จึงต้องทำงานต่อไปจนแก่เฒ่า หรือแม้แต่จนตาย เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงชีพ

ปัญหาเงินออมน้อยของเบบี้บูมเมอร์ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบบำนาญจากที่เคยได้รับเงินอุดหนุนจากนายจ้าง มาเป็นแผนการลงทุนแบบ 401k ที่พนักงานต้องหักเงินเดือนเข้ากองทุนเอง แต่มีเพียง 24% ของคนอเมริกันเท่านั้นที่ถือหุ้นกองทุนนี้

นอกจากนี้ยังพบว่ามากกว่า 50% ของกลุ่มวัยเกษียณอเมริกันมีรายได้ต่ำกว่า 300,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 11 ล้านบาทเท่านั้น โดยมีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่รายได้ระหว่าง 10,000-19,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือราว 3.7-7 แสนบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบันที่สูงขึ้นแล้ว นับว่าเป็นรายได้น้อยมาก

สำหรับประเทศไทยแม้ยังไม่มีสถิติชัดเจนว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์มีสถานะทางการเงินอย่างไร แต่หากสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น มีราคาสินค้าแพงและค่าครองชีพสูงเช่นนี้ คนวัยทำงานรุ่นปัจจุบันที่กำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณในอนาคตอันใกล้ ก็อาจต้องประสบปัญหาเดียวกับเบบี้บูมเมอร์ในต่างประเทศ ต้องทำงานต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

‘จีน’ อวดจีดีพีไตรมาสแรก ปี 2024 โต 5.3% สะท้อนเศรษฐกิจแข็งแกร่ง-เปี่ยมด้วยศักยภาพ

(29 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวแกร่งในไตรมาสแรกของปี 2024 ชี้ถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการฟื้นตัวของจีน ตลอดจนการนำเสถียรภาพซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมาสู่ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอน

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เผยว่าช่วงสามเดือนแรกของปี จีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของของจีนขยายตัวร้อยละ 5.3 จากปีก่อนหน้า เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 5.2 ในไตรมาสก่อนหน้า 

ในการประชุมโต๊ะกลมทางเศรษฐกิจแห่งประเทศจีน (China Economic Roundtable) รอบที่ 4 ซึ่งเป็นเวทีเสวนาที่จัดโดยสำนักข่าวซินหัว วิทยากรหลายท่านกล่าวว่าตัวเลขข้างต้นถือเป็น ‘การเริ่มต้นที่ดี’ พร้อมกล่าวว่าจีนเผชิญหน้ากับกระแสลมต้านทางเศรษฐกิจ ด้วยการผสานนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรากฐานที่มั่นคงแก่เศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาที่ดีและมั่นคงในปี 2024

รายงานจากสำนักงานฯ ระบุว่า การเติบโตของจีดีพีจีนในไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการเติบโตโดยรวมที่ร้อยละ 5.2 ของปี 2023 และสูงกว่าเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ราวร้อยละ 5 และเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส เศรษฐกิจจีนในช่วงสามเดือนแรกของปีขยายตัวร้อยละ 1.6 ทั้งยังเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่เจ็ด

นอกจากนี้ ดัชนีชี้วัดอื่น ๆ เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ปริมาณการค้าต่างประเทศ และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ล้วนชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

ทั้งนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เป็นดัชนีสำคัญที่บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมสำหรับภาคการผลิตและบริการ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีรายงานการปรับปรุงดัชนีดังกล่าว โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของภาคการผลิตกลับมาอยู่สูงกว่าระดับ 50 เป็นครั้งแรกนับแต่เดือนกันยายน บ่งชี้ถึงการกลับมาขยายตัวของภาคส่วนนี้

ตัวเลขสถิติของไตรมาสแรก แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนมีทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพสูงและขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรม 

จีนกำลังเปลี่ยนผ่านจากการผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่ภาคส่วนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูง ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมสีเขียวและคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง ในไตรมาสแรกนี้ ภาคการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของจีนมีปริมาณการผลิตเติบโตร้อยละ 7.5 เร่งตัวขึ้นร้อยละ 2.6 จากไตรมาสก่อนหน้า

การลงทุนในอุตสาหกรรมการบิน ยานอวกาศและการผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.7 ช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม ขณะที่การผลิตหุ่นยนต์บริการและยานยนต์พลังงานใหม่เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 26.7 และ 29.2 ตามลำดับ

เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งผู้กำหนดนโยบายของจีนกล่าวไว้ว่าจะเป็นไปในลักษณะคล้ายลูกคลื่น เพราะจะมีการพลิกผัน เลี้ยวลด และยังไม่นิ่ง จีนจึงใช้นโยบายที่หลากหลายเพื่อมาหักล้างแรงกดดันขาลงและรับมือกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง

จีนให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าใช้นโยบายการคลังเชิงรุกและนโยบายการเงินที่รอบคอบต่อไปในปีนี้ และได้ประกาศใช้มาตรการส่งเสริมการเติบโตหลายประการ อาทิ การออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษระยะยาว (Ultra-Long) และมีการจัดสรรเงินทุนเบื้องต้น 1 ล้านล้านหยวน ในปี 2024

เพื่อกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค จีนเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการส่งเสริมการอัปเกรดอุปกรณ์ขนาดใหญ่และการนำสินค้าอุปโภคบริโภคเก่ามาแลกเป็นส่วนลดหรือแลกเป็นของใหม่

นอกจากนี้ จีนตั้งเป้าว่าปริมาณการลงทุนด้านอุปกรณ์ในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การก่อสร้าง การขนส่ง การศึกษา วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการให้บริการทางการแพทย์ จะเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 25 ภายในปี 2027 เมื่อเทียบกับปี 2023

เพื่อผลักดันการเปิดกว้างระดับสูงและปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น จีนประกาศใช้มาตรการสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ 24 ข้อ เพื่อดึงดูดทุนต่างประเทศ และให้คำมั่นว่าจะปรับลดรายการกิจกรรมการลงทุนและกิจการต้องห้าม (Negative List) สำหรับบริษัทต่างชาติ รวมถึงเริ่มโครงการนำร่องต่าง ๆ เพื่อผ่อนคลายหลักเกณฑ์ในการเข้าสู่จีนของนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากต่างชาติ

จีนยังประกาศเพิ่มแรงจูงใจเชิงนโยบายอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนหลายธุรกิจ เช่น เศรษฐกิจสูงวัย สินเชื่อผู้บริโภค การจ้างงาน การพัฒนาสีเขียวและคาร์บอนต่ำ รวมไปถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ และผู้ประกอบกิจการขนาดเล็ก

'Boosie BadAzz' ออกโรงเตือนชาวอเมริกัน สหรัฐฯ กำลังแย่-จนที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิต

ไม่นานมานี้ เพจ 'Rhythm&Poetry' ได้โพสต์เนื้อหาโดยอ้างคำพูดของ Torence Ivy Hatch Jr. หรือที่รู้จักกันดีในชื่อบนเวทีของเขา Boosie BadAzz หรือเรียกง่ายๆว่า Boosie ซึ่งเป็นแร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน ระบุว่า...

Boosie BadAzz ออกมาโพสต์เตือนสติชาวอเมริกันว่าในขณะนี้ประเทศของพวกเขาแย่แล้ว และเขาเองก็ไม่เคยเห็นอเมริกาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน

"มันบ้าตรงที่ทุกบริษัทไม่มีสภาพคล่องทางการเงินเลย แถมยังล้มละลายกันอีก ตอนนี้โลกไม่มีเงินแล้ว, ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเจ็บปวด ประชาชนไม่มีเงิน นอกจากต้องจ่ายบิลค่าใช้จ่ายกันแล้วก็ไม่มีแผนพิเศษสำรองอะไร คุณไม่มีเงินที่จะเอาไปให้บริษัทที่เลิกจ้างพนักงานหลักหมื่นๆ คน คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง นี่มันคืออเมริกาที่จนที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตเลย"

สาวไทย แข่งรายการทำอาหารระดับโลก ‘มาสเตอร์เชฟออสเตรเลีย’ โชว์ เสน่ห์ปลายจวัก รังสรรค์อาหารฟิวชัน อร่อยแซ่บนัว จนกรรมการอึ้ง

(28 เม.ย. 67) ผู้เข้าแข่งขันหน้าใหม่ 22 คนต่างแย่งชิงโอกาสที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นมาสเตอร์เชฟออสเตรเลียประจำปี 2024

หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ชื่อว่า แนท หญิงสาวชาวไทยได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับรายการด้วยการเผยวัฒนธรรมไทยผ่านการสร้างสรรค์อาหารอีสานสุดขึ้นชื่ออย่าง ลาบ แต่ไม่ใช่ลาบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นลาบเนื้อจิงโจ้ที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองประจำประเทศออสเตรเลีย

อาหารเลิศรสจานเด็ดมัดใจกรรมการของสาวแนท มาพร้อมลาบเนื้อจิงโจ้รสแซ่บ ท็อปด้านบนด้วยไข่แดงดองยางมะตูมสุดฉ่ำ ทานคู่กับแผ่นข้าวปิ้ง งานนี้ อร่อยจนกรรมการอึ้ง โดยโซเฟีย เลวิน กรรมการคนหนึ่งกล่าวว่า “นี่ก็ดีไม่แพ้อาหารจานใดๆ ที่ฉันเคยกินในร้านอาหารในออสเตรเลียในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา”

แถมเมื่อลาบจิงโจ้รสจัดจ้านได้ออนแอร์สู่สายตาชาวออสซี่ ชาวเน็ตจำนวนมากต่างพากันชมสาว เช่น “ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับแนทสำหรับชัยชนะที่สมควรจะได้รับ เป็นเมนูที่สร้างสรรค์ สวยงาม และน่าอร่อยจริง ๆ การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างมรดกไทยและออสเตรเลียของเธอ”

“ว้าว เยี่ยมมากแนท!ฉันจะจ่ายเงินกินข้าวของแนทให้คุ้มเลย!” แต่บางคนก็มีความกังวลว่า เนื้อจิงโจ้ดิบ เช่น “มันดูสวยแต่จานนี้ก็ดูดิบ ๆ นะ จะปลอดภัยไหมที่จะกินจิงโจ้ป่าปรุงด้วยวิธีนี้”

ตามรายงาน แนท ไทยพัน เติบโตมาในครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คนในเขตชานเมืองเมลเบิร์น โดยมีพ่อแม่ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารไทยและมีน้องชาย 2 คน ซึ่งเธอมีคุณแม่เป็นไอดอลและแรงบันดาลใจในการทำอาหาร เพราะแม่ของเธอเป็นกุ๊กใหญ่

แนทเติบโตมาตามประเพณีไทย พูดภาษา และเรียนรู้วิถีชีวิตของคนไทย ทั้งนี้ คุณยายผู้ล่วงลับของเธอ เป็นหนึ่งคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับความรักในการทำอาหารของแนท ดังนั้น เพื่อตามหาตัวตนของตนเอง แนทได้ออกเดินทางไปอาศัยและทำงานในสวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

ยิ่งอยู่ห่างจากบ้านทำให้ความหลงใหลในการทำอาหารของแนทเพิ่มมากขึ้น โดยตระหนักถึงอาหารสามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับมรดก เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมของพวกเขา ในขณะที่เธอพบว่าตัวเองเข้าถึงรากเหง้าความเป็นไทยของเธอโดยไม่รู้ตัวผ่านอาหารในขณะที่ไม่อยู่บ้าน

แนทหวังว่าครัวมาสเตอร์เชฟ ออสเตรเลียจะช่วยให้เธอเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ และมอบโอกาสในการนำเสนอวัฒนธรรมของเธอผ่านทางอาหาร บุคลิกภาพ และสไตล์ของเธอ พร้อมเผยการผสมผสานระหว่างความดั้งเดิมเข้ากับความทันสมัยในอาหาร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top