Thursday, 28 March 2024
WORLD

‘องค์การอนามัยโลก’ หวั่น!! ปี 2035 กว่าพันล้านคนจะป่วยเป็น 'โรคอ้วน' แนะ!! 'เพิ่มภาษีน้ำตาล-หนุนอาหารสุขภาพ' ก่อนต้องเจียดเงินมหาศาลแก้

(2 มี.ค.67) Business Tomorrow รายงานเอกสารเผยแพร่จาก Lancet จากศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย Imperial College ในลอนดอนกล่าวว่า โรคอ้วนกำลังเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่การมีน้ำหนักที่พอดีกำลังลดลงไปในทั่วโลก นาย Francesco Branca หัวหน้าแผนกสารอารหารแห่ง WHO กล่าวว่า โรคอ้วนอาจเคยเป็นปัญหาของประเทศที่ร่ำรวย แต่ตอนนี้ได้แผ่กระจายเป็นปัญหาระดับโลกเสียแล้ว

จากการเก็บข้อมูลจาก 190 ประเทศทั่วโลกของปี 2022 โรคอ้วนในผู้ใหญ่กำลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในขณะที่เพิ่มขึ้นสี่เท่าในกลุ่มเด็กอายุ 5-19 ปีจากปี 1990 ไป 2022 ผลวิเคราะห์พบว่าเด็กหญิง เด็กชาย และผู้ใหญ่กำลังมีจำนวนผู้มีร่างกายสมส่วนลดลงไป เด็กหญิง 1 ใน 5 เด็กชายลดไป 1 ใน 3 และลดไปครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ กระนั้น ก็ยังมีคนหลักร้อยล้านคนที่ยังไม่มีอาหารเพียงพอในการกิน

ประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำกำลังประสบปัญหาคนเป็นโรคอ้วนพุ่งขึ้นสองเท่ามากขึ้นโดยเฉพาะฝั่งแคริบเบียนและตะวันออกกลาง ในแถบยุโรปบางประเทศก็เพิ่มมากขึ้น ยกเว้นสเปน ที่เริ่มมีตัวเลขโรคอ้วนที่ลดลงหรือคงที่

>> ตัวเลขสถิติที่น่าสนใจ...
- ประเทศตองกาและประเทศอเมริกันซามัวครองแชมป์ร่วมเพศชาย 81% ของประชากรชาย เป็นโรคอ้วน
- ประเทศนาอูรูและประเทศอเมริกันซามัวครองแชมป์ร่วมฝั่งหญิงที่ 70% เป็นโรคอ้วน
- สหรัฐฯ ครองอันดับ 10 ฝั่งชาย และ 36 ฝั่งหญิง

>> อ้วนครึ่งโลกในปี 2035...
ประชากรที่อายุมากกว่า 5 ปี 774 ล้านคน มีเกณฑ์ที่จะเป็นโรคอ้วนในอนาคต หรือก็คือพบได้ 1 ใน 8 คน ทาง WHO ก็มีการออกมาเรียกร้องให้เพิ่มมาตรการอย่างการเพิ่มภาษีน้ำตาลและสนับสนุนให้โรงเรียนเปลี่ยนมื้ออาหารให้เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้ สหพันธ์โรคอ้วนยังเผยอีกว่า โลกของเราจะมีคนเป็นโรคอ้วนครึ่งโลกภายในปี 2035 และส่งผลให้ต้องใช้เงินแก้ปัญหานี้กว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

'สามี พญ.ไทยในสหรัฐฯ' เดินหน้าฟ้องร้านดังเครือวอลต์ดิสนีย์ หลังเสียชีวิตเพราะแพ้อาหาร ฐานร้านประมาทเลินเล่อ

(2 มี.ค. 67) สามีของแพทย์หญิงชาวไทยในนิวยอร์ก ซึ่งเสียชีวิตไม่นาน หลังจากรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งในดิสนีย์ สปริงส์ เมื่อเดือนที่แล้ว ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับวอลต์ ดีสนีย์ พาร์คส แอนด์ รีสอร์ทส ฐานประมาทเลินเล่อ ในเอกสารคำร้อง 19 หน้า ที่ยื่นในฟลอริดา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตามรายงานของสื่อมวลชนสหรัฐฯ หลายสำนัก ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (29ก.พ.)

นายเจฟฟรีย์ พิกโคโล เรียกเงินชดเชยกว่า 50,000 ดอลลาร์ ต่อเหตุเสียชีวิตที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ (Wrongful Death) ของแพทย์หญิงกนกพร แต่งสวน แพทย์ของโรงพยาบาลนิวยอร์ก ยูนิเวอร์ซิตี แลนโกน ในแมนฮัตตัน ในคำฟ้องที่ยื่นเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ในออเรนจ์ เคาน์ตี รัฐฟลอริดา

คำฟ้องเน้นว่าแพทย์หญิงกนกพร รับประทานอาหารที่ Raglan Road Irish Pub ในดิสนีย์ สปริงส์ พร้อมกับสามีและแม่สามี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2023 ทั้งนี้แพทย์หญิงกนกพร มีอาการแพ้ถั่วและผลิตภัณฑ์นม อย่างรุนแรง จึงได้แจ้งให้บริกรทราบว่าเธอจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่ปราศจากสารก่ออาการแพ้ดังกล่าว

ในเอกสารคำฟ้องระบุว่า แพทย์หญิงกนกพรและสามี ได้สอบถามบริการเกี่ยวกับวัตถุดิบต่างๆในเมนู จากนั้นบริกรได้ไปสอบถามเชฟต่ออีกทอดว่า "อาหารที่ประกอบนั้นปราศจากสารก่ออาการแพ้หรือไม่" ก่อนที่บริกรจะกลับมาที่โต๊ะและให้คำยืนยันว่ามันไม่มีสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร สามารถรับประทานได้

ทั้งคู่ยังได้สอบถามบริกรอีกหลายครั้งว่า มีความมั่นใจใช่หรือไม่ว่าอาหารปราศจากสารก่อภูมิแพ้ ก่อนที่แพทย์หญิงกนกพร จะสั่งอาหารชุบแป้งทอด(Fritter) หอยเชลล์ และหอมทอด ในคำฟ้องได้ระบุไว้

โดยในคำฟ้องยังบอกต่ออีกว่าพออาหารมาถึงโต๊ะ มีอาหารบางจานที่มาเสิร์ฟโดยไม่มีธงจิ๋วปักอาหารว่าเป็น "เมนูปลอดสารภูมิแพ้" กระตุ้นให้แพทย์หญิงและสามีของเธอ ถามบริกรอีกรอบว่าอาหารนั้นปราศจากส่วนผสมของถั่วและผลิตภัณฑ์นมใช่หรือไม่ ซึ่งบริการก็การันตีว่ามันปราศจากสารก่ออาการแพ้

จากนั้นตอนเวลา 20.00 น. หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ แพทย์หญิงและแม่สามี แยกกันออกไปช็อปปิ้งที่ดิสนีย์ สปริงส์ ส่วน พิกโคโล เดินทางกลับห้องพร้อมกับอาหารที่รับประทานไม่หมด

ราว 45 นาทีต่อมา แพทย์หญิงกนกพร มีอาการหายใจลำบาก ตอนที่เธอเข้าไปยังแพลนเน็ต ฮอลลีวูด และล้มฟุบลงกับพื้น โดยในคำฟ้องระบุว่าเธอฉีดยาแก้แพ้ด้วยตนเอง ในระหว่างที่กำลังทุกข์ทรมานจากอาการแพ้อาหาร

แม่สามีโทรศัพท์หาแพทย์หญิง แต่ปลายสายไม่มีใครรับ จากนั้นเธอจึงเดินทางกลับไปยังโรงแรมและโทรศัพท์หาแพทย์หญิงกนกพรอีกรอบ คราวนี้มีใครบางคนรับโทรศัพท์และแจ้งให้ทราบว่าแพทย์หญิงกนกพร ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล

สุดท้ายแล้ว แพทย์หญิงรายนี้ก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

ผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ พบว่าเธอเสียชีวิตจากภาวะแพ้อย่างรุนแรงเฉียบพลัน สืบเนื่องจากระดับผลิตภัณฑ์นมและถั่วที่สูงลิ่วในระบบร่างกายเธอ

คำฟ้องระบุว่า Raglan Road Irish Pub ล้มเหลวให้การศึกษา ฝึกฝนหรือสั่งให้พนักงาน รับประกันสร้างความมั่นใจว่าอาหารนั้นปราศจากสารก่อภูมิแพ้

นิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า แพทย์หญิงกนกพร มีแรงบันดาลใจในการศึกษาด้านการแพทย์ เนื่องจากภาวะอาการที่รุนแรงถึงชีวิตของเธอ และเป็นผู้ที่มีความระมัดระวังในการรับประทานอาหารนอกบ้าน ทั้งการแจ้งเตือนพนักงานเสิร์ฟเรื่องการแพ้อาหารของเธอทุกครั้ง รวมถึงการพกปากกา EpiPen หรือเครื่องฉีดอีพิเนฟรินอัตโนมัติ เพื่อรักษาอาการแพ้รุนแรงในกรณีฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา

3 สถาบันการเงินระดับโลก เชื่อมั่น!! เปิดตัวบริษัทในเซี่ยงไฮ้ หลังเปิดกว้างทางด้าน 'ธุรกิจ-การเงิน' ในระดับสูง

(1 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา สถาบันการเงินต่างประเทศอันได้แก่ อัลลิแอนซ์เบิร์นสไตน์ (AllianceBernstein) อามันดิ (Amundi) และเคเคอาร์ (KKR) ได้จัดพิธีเปิดบริษัทพร้อมกันในมหานครเซี่ยงไฮ้ของจีน

บริษัทอัลลิแอนซ์เบิร์นสไตน์ ได้จัดตั้งบริษัทกองทุนสาธารณะที่บริษัทถือครองแต่เพียงผู้เดียวในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถือเป็นบริษัทประเภทนี้แห่งที่ 5 ในจีน ขณะที่ อามันดิ ยังได้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินหรือฟินเทค (fintech) ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถือเป็นบริษัทฟินเทคแห่งที่ 2 ในเซี่ยงไฮ้ที่ก่อตั้งโดยนักลงทุนต่างชาติ ส่วนเคเคอาร์ บริษัทจัดการสินทรัพย์ทางเลือกชั้นนำระดับโลกได้เปิดตัวบริษัทจัดการสินทรัพย์ ณ มหานครแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

การเปิดสถาบันการเงินทั้ง 3 แห่งนี้ เป็นผลสำเร็จมาจากการเปิดกว้างทางการเงินระดับสูงและการพัฒนาคุณภาพสูงของนครเซี่ยงไฮ้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อเศรษฐกิจและตลาดจีน

เซี่ยตง รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้กล่าวในพิธีเปิดว่า การลงทุนในเซี่ยงไฮ้คือการลงทุนกับอนาคต และเซี่ยงไฮ้จะใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบที่ครอบคลุมอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาด การลงทุน และการพัฒนา พร้อมสนับสนุนให้บรรดาสถาบันการเงินมาพัฒนาธุรกิจของตนในเซี่ยงไฮ้ 

อาเจย์ คาล (Ajai Kaul) ประธานกรรมการบริหารของของอัลลิแอนซ์เบิร์นสไตน์และผู้บริหาร Client Group ประจำเอเชียแปซิฟิก และจงเสี่ยวเฟิง รองประธานบริษัทอามันดิเอเชีย แสดงความมั่นใจในอุตสาหกรรมการจัดการสินทรัพย์ของจีนในอนาคต ทั้งคู่กล่าวว่าเหล่าสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์อันยาวนานที่สั่งสมมาจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ระดับโลก เดินหน้าสำรวจตลาดจีน และจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลาย

ค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าจีน 2 เท่าครึ่ง ดัน 'เวียดนาม' ขึ้นแท่นโรงงานโลกแทนจีน แถมประสิทธิภาพการผลิตสูงสุดในอาเซียน ชนะสิงคโปร์ ทิ้งห่างไทย

(1 มี.ค.67) BTimes เผย เวียดนามกำลังขึ้นแท่นโรงงานโลกแทนจีน หลังค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าจีน 2 เท่าครึ่ง แถมประสิทธิภาพการผลิตเวียดนามแรงสูงสุดในอาเซียนชนะสิงคโปร์และทิ้งห่างไทย และในปีหน้าก็ตั้งเป้าพัฒนาแรงงานฝีมือดีให้ได้ถึง 30% เพื่อดันประสิทธิภาพการผลิตสูงต่อเนื่องอีกด้วย

สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เปิดเผยว่าผลิตภาพ หรือผลผลิตต่อการผลิต หรือ Productivity ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันของทุกประเทศ ซึ่งการเพิ่มผลิตภาพไม่ใช่เพียงการทำให้ตัวเลขอย่าง GDP หรือ Output เพิ่มขึ้น แต่เป็นการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือเอฟดีไอ ให้ไหลเข้าในประเทศอย่างยั่งยืน

เวียดนามถือเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีการผลักดันการเพิ่มผลิตภาพอย่างจริงจังและชัดเจน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลิตภาพของประเทศเวียดนามมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ 5.1% ต่อปี ส่งผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียน ที่สำคัญอยู่สูงกว่าสิงคโปร์และไทย 

ถึงแม้แต่ในช่วงปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เวียดนามยังคงมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานอยู่ที่ 4.7% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เวียดนามมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพสูง ได้แก่ แรงงานเวียดนามที่มีทักษะเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลเวียดนามเน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนแรงงานมีฝีมือในประเทศเป็น 30% ภายในสิ้นปี 2568

ด้านค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าคู่แข่งนั้น เวียดนามมีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าหลายประเทศ ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ฮานอย, โฮจิมินห์ อยู่ที่ประมาณ 4,680,000 ด่งต่อเดือน หรือประมาณ 6,700 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของจีนอยู่ที่ 1,420 หยวนต่อเดือน หรือประมาณ 17,000 บาท 

ปัจจัยต่อมา คือ นโยบายสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ เวียดนามมีนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างชาติ ทั้งการลดกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจและอุปสรรคจากการค้า การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบ รวมถึงการเข้าร่วมเขตการค้าเสรีต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างประเทศ

ปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมาก อาทิ Adidas Nike IKEA Apple Foxconn Dell และ Samsung เป็นต้น ให้ความสนใจลงทุนและย้ายฐานการผลิตมาที่เวียดนามเพิ่มขึ้น จนอาจทำให้เวียดนามสามารถก้าวขึ้นมาเป็นโรงงานโลก (World Factory) แทนที่จีนซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อพิจารณาจากมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ ในปี 2565 เวียดนามได้ก้าวข้ามเกาหลีใต้ขึ้นมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ในลำดับที่ 6 มูลค่าการนำเข้า 127.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนไทยอยู่ในลำดับที่ 14 มูลค่าการนำเข้า 58.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม การผลิตแรงงานทักษะสูงที่ไม่ทันต่อความต้องการ กระทรวงแรงงาน ผู้พิการ และสวัสดิการสังคมของเวียดนามในปี 2565 รายงานว่า มีแรงงานเพียง 26% เท่านั้นที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่แรงงานที่เหลือยังขาดทักษะและไม่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้ ซึ่งองค์กรในเวียดนามถึง 57% กำลังประสบปัญหาในการสรรหาแรงงานทักษะสูงและถึงแม้เวียดนามจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานได้อย่างต่อเนื่อง แต่ผลิตภาพแรงงานกลับยังคงต่ำกว่าหลายประเทศ 

ด้าน Productivity Databook 2023 โดย APO รายงานว่า ในปี 2564 เวียดนามมีมูลค่าผลิตภาพแรงงานต่อคนที่ 20,500 เหรียญสหรัฐ (738,000 บาท) ในขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 60,900 เหรียญสหรัฐ (2,192,400 บาท) ไทยอยู่ที่ 33,000 เหรียญสหรัฐ (1,188,000 บาท) อินโดนีเซีย 26,300 เหรียญสหรัฐ (946,800 บาท) และฟิลิปปินส์ 23,600 เหรียญสหรัฐ (849,600 บาท) ซึ่งสะท้อนว่า อัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานของเวียดนามมีความเสี่ยงที่จะถูกก้าวข้ามได้ในอนาคต หากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนมีนโยบายและมาตรการที่สามารถกระตุ้นอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงาน

สถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญส่งผลให้เวียดนามตัดสินใจผลักดันการเพิ่มผลิตภาพแรงงานเป็นแผนระดับชาติตามมตินายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งกำหนดเป้าหมายเป็น 1 ใน 3 ประเทศชั้นนำด้านอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2573 โดยเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยต่อปีเป็น 6.5% แบ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมแปรรูปและผลิต 6.5 - 7% ภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ และประมง 7 - 7.5% และภาคบริการ 7 - 7.5% เพื่อมุ่งให้ผลิตภาพแรงงานกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน และทำให้เวียดนามสามารถใช้โอกาสจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

‘อินฟลูฯ ดังสิงคโปร์’ โดน ‘ไต้หวัน’ ลงดาบ!! ห้ามเข้าประเทศ 5 ปี หลังจัดฉากสร้างคอนเทนต์ ‘ถูกปาไข่ใส่’ ทำภาพลักษณ์เสื่อมเสีย

(1 มี.ค.67) สเตรตส์ไทมส์ รายงานว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไต้หวันประกาศห้ามอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวสิงคโปร์เข้าไต้หวัน หลังกุเรื่องสร้างความปั่นป่วนเพียงเพื่อทำคอนเทนต์

รายงานระบุว่าเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา น.ส.เฉิง เหว่ง อี้ หรือชื่อในวงการอินฟลูเอนเซอร์บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า ‘เคียราคิตตี้’ (KiaraaKitty) กำลังไลฟ์วิดีโอผ่านแพลตฟอร์มทวิตช์ระหว่างเที่ยวเมืองเกาสง ทางตอนใต้ของไต้หวัน อยู่ๆ ก็มีคนปาไข่ใส่ โดยคนที่ลงมือทำร้าย น.ส.เฉิง สวมชุดกระโปรง และตะโกนเป็นภาษาจีนกลางด่าทอ น.ส.เฉิง ว่าอ่อยสามีของตน

น.ส.เฉิงกล่าวว่าถูกทำร้ายเพราะทำคอนเทนต์สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งต้องสมัครเป็นสมาชิกจึงจะเข้าชมภาพวาบหวิวในแพลตฟอร์ม ‘โอนลีแฟนส์’ ได้ อินฟลูเอนเซอร์สาวให้สัมภาษณ์สื่อไต้หวันด้วยว่าไม่รู้จักคนที่ปาไข่ใส่และจะแจ้งความกับตำรวจ แต่ตำรวจเมืองเกาสงยืนยันเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ว่า น.ส.เฉิงไม่เคยเข้าแจ้งความ

ด้านหนังสือพิมพ์ไทเปไทมส์รายงานว่า ตำรวจสอบสวนพบว่าคนที่ปาไข่จริงๆ แล้วเป็นผู้ช่วยของ น.ส.เฉิง เป็นชายชาวสิงคโปร์วัย 32 ปี นามสกุลสเว่ ทั้งน.ส.เฉิงและนายสเว่ทำผิดกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมจากการแพร่กระจายข่าวปลอม และคดีนี้ส่งถึงศาลแขวงเกาสงแล้วนอกจากนี้ตำรวจยังขอให้น.ส.เฉิงขอโทษต่อสาธารณชนที่กุเรื่องขึ้นมาด้วย

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ก.พ. น.ส.เฉิงไลฟ์สดพร้อมกับร้องไห้น้ำตานองหน้าและยอมรับว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมด จากนั้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันกล่าวว่า น.ส.เฉิงและนายสเว่ออกจากไต้หวันไปแล้ว

ก่อนศาลแขวงเกาสงตัดสินคดีและลงโทษห้ามเดินทางเข้าไต้หวัน 5 ปี พร้อมยืนยันว่าไต้หวันยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน แต่จะไม่ยอมรับการกระทำที่ผิดกฎหมาย บั่นทอนความสมานฉันท์ และความมั่นคงในสังคม

สำหรับน.ส.เฉิงนั้นเกิดในฮ่องกงเมื่อปี 2545 แต่ย้ายไปอยู่สิงคโปร์ และขึ้นชื่อเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่สร้างรายได้จากการขายสินค้าแปลกแหวกแนว เช่น น้ำที่ใช้อาบแล้วหรือชุดชั้นในใช้แล้วและโหลใส่ผายลมราคาหลายร้อยดอลลาร์สหรัฐ

‘แคว้นทรานส์นีสเตรีย’ ขอความคุ้มครองจาก ‘รัสเซีย’ อ้าง!! ถูก ‘รบ.มอลโดวา’ กดดันทางเศรษฐกิจอย่างหนัก

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ. 67) รัฐบาลท้องถิ่นแคว้นทรานส์นีสเตรีย หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี มีมติยื่นคำร้องถึงรัฐบาลมอสโก เพื่อขอความคุ้มครองพิเศษจากรัสเซีย อ้างเหตุหวั่นตกเป็นพื้นที่พิพาทแห่งใหม่จากการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากรัฐบาลมอลโดวา

‘ทรานส์นีสเตรีย’ เป็นแคว้นที่ประกาศแยกตัวออกจากประเทศมอลโดวา แต่ยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการในระดับสากล ภูมิประเทศเป็นพื้นที่แคบยาวตลอดแนวแม่น้ำนีสเตอร์ และมีชายแดนติดกับยูเครน มีรัฐบาลท้องถิ่นปกครองตนเองซึ่งส่วนใหญ่มีแนวคิดสนับสนุนรัสเซียมาตั้งแต่ยุคหลังสหภาพโซเวียต

แต่ในปัจจุบันสภาแห่งยุโรปยังถือว่าทรานส์นีสเตรีย เป็นส่วนหนึ่งของประเทศมอลโดวา เพียงแต่อยู่ภายใต้การยึดครองโดยกองทัพรัสเซีย ในขณะที่รัฐบาลมอลโดวา กำหนดให้ดินแดนแห่งนี้เป็นหน่วยปกครองดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำนีสเตอร์

แต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สมาชิกสภาคองเกรซแห่งทรานส์นีสเตรียได้ลงมติเรียกร้องให้สภาดูมาแห่งรัสเซียพิจารณามาตรการป้องกันให้แก่ทรานส์นีสเตรีย อันเนื่องจากในทรานส์นีสเตรียมีพลเมืองรัสเซียอาศัยอยู่มากกว่า 2.2 แสนคน ที่ควรได้รับการคุ้มครองจากแรงภาวะสงครามในยูเครน และ แรงกดดันจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมอลโดวา 

ข้อพิพาทครั้งล่าสุดระหว่างมอลโดวา และ ทรานส์นีสเตรีย มาจากนโยบายเก็บภาษีใหม่ โดยได้กำหนดให้บริษัทเอกชนในทรานส์นีสเตรียต้องเสียภาษีศุลกากรสินค้าให้กับรัฐบาลกลางมอลโดวา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นมา 

ในขณะที่ วาดิม ครานโนสเซลสกี้ ผู้นำของทรานส์นีสเตรีย ได้ออกมาทักท้วงว่าทรานส์นีสเตรียควรได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีจากข้อตกลงการค้าเสรีมอลโดวา ที่ได้เซ็นไว้ในที่ประชุมสหภาพยุโรปในปี 2013 

แต่ทั้งนี้ มอลโดวากำลังได้รับการพิจารณาเป็นประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป โดยไม่รวมเขตปกครองทรานส์นีสเตรียในข้อตกลงด้วย จึงทำให้รัฐบาลมอลโดวาจำเป็นต้องยกเลิกการผ่อนปรนภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากทรานส์นิสเตรียน ทำให้เจ้าของกิจการทรานส์นีสเตรีย มีภาระด้านภาษีเพิ่มขึ้นเพราะต้องจ่ายภาษีให้กับทั้งทรานส์นิสเตรียและมอลโดวา

อีกทั้งสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้รัฐบาลยูเครนต้องปิดชายแดนทางฝั่งทรานส์นิสเตรีย จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทรานส์นิสเตรีย ที่ถูกกดดันทั้งจากสถานการณ์ในยูเครน และ จากรัฐบาลมอลโดวา อันเป็นเหตุให้สภาท้องถิ่นทรานส์นิสเตรีย มีมติขอความคุ้มครองจากรัฐบาลรัสเซียในวันนี้ 

สื่อรัสเซียได้อ้างอิง คำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียว่าได้ตอบรับข้อเรียกร้องของทรานส์นิสเตรียแล้ว โดยได้กล่าวว่า การปกป้องดินแดนสีเงิน (ชื่อที่รัสเซียใช้เรียกทรานส์นิสเตรีย) เป็นสิ่งที่รัสเซียให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่ารัสเซียอาจมีแผนในการผนวนดินแดนทรานส์นิสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในอนาคต

ในขณะเดียวกัน โอเลก เซเรเบรียน รองนายกรัฐมนตรีของมอลโดวา ออกมาปฏิเสธคำแถลงของรัฐบาลทรานส์นิสเตรีย ว่าเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ไม่มีสถานการณ์อันตรายใด ๆ ในภูมิภาคทรานส์นิสเตรียนที่ต้องขอการคุ้มครองพิเศษ เป็นแค่เพียงการปั่นกระแสเพื่อสร้างความตื่นตระหนกเท่านั้น

โดนัลด์ ทัสค์ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ความตึงเครียดในทรานส์นิสเตรียเป็นอันตรายต่อภูมิภาคก็จริง แต่ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ การยั่วยุ และคุกคามจากรัสเซียนั้นมีมานานแล้ว โดยผู้นำโปแลนด์ได้ยกตัวอย่างกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่อยู่ทางภาคตะวันออกของยูเครน ที่ได้ขอการคุ้มครองพิเศษจากรัสเซียเมื่อปี 2022 เพื่อป้องกันการโจมตีจากกองทัพยูเครนเช่นกัน และต่อมาทางรัสเซียก็ได้ผนวกเอาดินแดนทางฝั่งยูเครนตะวันออกส่วนนั้นไปแล้ว

เช่นเดียวกับทางสหรัฐอเมริกา แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สหรัฐฯ จะสนับสนุนอธิปไตย และการอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลของมอลโดวาอย่างเต็มที่ และจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของรัสเซียในทรานส์นิสเตรียอย่างใกล้ชิด ที่อาจมีเป้าหมายเชิงรุกในการทำลายเสถียรภาพและความมั่นคงของชาติสมาชิกในยุโรป

เพราะคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ หากรัสเซียจะเดินกลยุทธ์ ผนวกดินแดนทรานส์นิสเตรียเป็นของตนถาวร และจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันทั้งฝั่งยูเครน และ มอลโดวา ว่าภัยคุกคามจากรัสเซียสามารถแทรกซึมได้ไวกว่าที่คิด 

‘แบรนด์สมาร์ตโฟนจีน’ อวดเทคโนโลยีสุดล้ำ!! ใช้ ‘สายตา’ บังคับรถ อาศัยแอปฯ จับการเคลื่อนไหวสายตาในมือถือ แทนการจับพวงมาลัย

(29 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปกติแล้วเมื่อนึกถึงการขับขี่รถยนต์ ผู้คนย่อมนึกภาพการควบคุมรถโดยการใช้สองมือคอยจับหมุนพวงมาลัย ทว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่ทำให้คนขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยตอนขับรถ แต่ยังสามารถใช้ ‘สายตา’ เป็นตัวควบคุมได้ด้วย

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวพาชมวิธีการควบคุมรถด้วยเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ (eye tracking) ซึ่งพัฒนาโดยออเนอร์ (HONOR) ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนจีน และถูกนำมาอวดโฉมระหว่างงานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC) ประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นในเมืองบาร์เซโลนาของสเปน

ออเนอร์ติดตั้งเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ลงบนสมาร์ตโฟน และใช้เซนเซอร์จับภาพด้านหน้าของมือถือตรวจจับการเคลื่อนที่ของสายตา ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถออกคำสั่งให้รถสตาร์ตหรือดับเครื่องยนต์ รวมถึงออกคำสั่งให้รถเดินหน้าหรือถอยหลังได้อีกด้วย

‘อดีตอาจารย์’ บริจาคเงิน 3.5 หมื่นลบ. ให้วิทยาลัยการแพทย์ในนิวยอร์ก นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะได้เรียนฟรีจนจบหลักสูตร ไม่ต้องกู้ยืม-เป็นหนี้

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวที่กำลังเป็นที่ฮือฮาบนโลกโซเชียลของสหรัฐ เมื่อนาง รูธ กอตส์แมน วัย 93 ปี ได้ทิ้งมรดกหุ้นจากบริษัทโฮลดิงข้ามชาติยักษ์ใหญ่ของสามี บริจาคเงินให้วิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นจำนวนเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เรียนฟรีตลอดการศึกษา พร้อมระบุว่า ไม่อยากให้เป็นหนี้

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า นางรูธ กอตส์แมน ได้ประกาศมอบเงินบริจาคก้อนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 3.5 หมื่นล้านบาทให้กับวิทยาลัยแพทยศาสตร์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในเขตบรองซ์ นครนิวยอร์ก

โดยเงินบริจาคทั้งหมดนี้นางกอตส์แมนให้กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ของวิทยาลัย จะได้รับเงินค่าเล่าเรียนคืนสำหรับภาคการศึกษาฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ และเมื่อถึงเดือน ส.ค. 2567 นักเรียนแพทย์ทั้งรุ่นปัจจุบันและที่กำลังจะสมัครเข้ามา จะได้เรียนฟรีทุกคน และไม่ต้องต้องจ่ายค่าเล่าเรียนอีกต่อไป

สำหรับ นางกอตส์แมน ระบุว่า เงินบริจาคของเธอจะช่วยให้แพทย์จบใหม่สามารถเริ่มต้นประกอบวิชาชีพได้โดยไม่ต้องมีภาระหนี้สินจากค่าเล่าเรียนทางการแพทย์ ซึ่งเธอยังหวังว่า ทุนการศึกษานี้จะเปิดโอกาสการเรียนแพทย์ให้กว้างขึ้น โดยรวมถึงผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนที่สูงลิ่วได้

อย่างไรก็ตาม เศรษฐีนีใจบุญรายนี้ มีประวัติการทำงานยาวนานที่วิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียง โดยเริ่มงานในปี 2511 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายจิตวิทยาการศึกษา อีกทั้ง เธอยังเป็นสมาชิกคณะกรรมการอำนวยการของไอน์สไตน์มาอย่างยาวนาน และดำรงตำแหน่งประธานคนปัจจุบัน

ขณะเดียวกันทางด้านนายเดวิด กอตส์แมน ผู้เป็นสามีเป็นนักลงทุนรุ่นแรก ๆ ของบริษัทเบิร์กเชอร์ แฮทอะเวย์ หนึ่งในบริษัทโฮลดิงที่ บัฟเฟตต์ เป็นเจ้าของที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคทศวรรษที่ 1960 โดยเขายังเป็นเพื่อนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีระดับโลกผู้ร่ำรวยจากการลงทุนและเทรดหุ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ สำหรับค่าเล่าเรียนของวิทยาลัยการแพทย์แห่งนี้ เริ่มต้นที่ 59,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.11 ล้านบาทต่อคน ทำให้นักเรียนแพทย์จำนวนมาก ต้องกู้ยืมเงินเพื่อมาจ่ายค่าเล่าเรียน

โดยมีการประเมินว่า หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว นักเรียนแพทย์บางคนจะเป็นหนี้ทางการศึกษาไม่ต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 7.18 ล้านบาทเลยทีเดียว

‘ฮ่องกง’ ผุดสถาบัน ‘ปราบปรามทุจริต’ หวังดันประเทศเป็นศูนย์กลางระดับสากล

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมาธิการอิสระปราบปรามการทุจริตประจำเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน จัดพิธีการก่อตั้งสถาบันปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศแห่งฮ่องกง ซึ่งมุ่งชี้นำแผนริเริ่มการฝึกอบรมปราบปรามการทุจริตทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก ส่งเสริมการแบ่งปันประสบการณ์ และเสริมสร้างสถานะของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางปราบปรามการทุจริตในระดับสากล

จอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง กล่าวว่าความซื่อสัตย์เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของฮ่องกง รวมถึงการมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาระดับชาติของฮ่องกง โดยสถาบันฯ จะสนับสนุนสถานะของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางปราบปรามการทุจริต พร้อมส่งเสริมสังคมฮ่องกงที่โปร่งใส ความมั่นคงทางสังคม และคุณค่าที่ฮ่องกงให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และหลักนิติธรรม

หูอิงหมิง สมาชิกคณะกรรมาธิการฯ บ่งชี้การตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในงานปราบปรามการทุจริต โดยสถาบันฯ จะจัดการฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามการทุจริตทั่วโลกอย่างเป็นระบบและมืออาชีพ รวมถึงรวบรวมนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศมาแบ่งปันประสบการณ์ปราบปรามการทุจริตด้วย

ทั้งนี้ สถาบันฯ ได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ร่วมกันเปิดหลักสูตรแรกของสถาบันฯ ได้แก่ ‘โครงการพัฒนาวิชาชีพว่าด้วยการสืบสวนทางการเงินและการกู้คืนสินทรัพย์’ (Professional Development Program on Financial Investigation and Asset Recovery) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามการทุจริตจากหน่วยงานตุลาการราว 20 แห่ง เข้าร่วม 35 คน

นอกจากนั้นสถาบันฯ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับมหาวิทยาลัยชั้นนำบนแผ่นดินใหญ่ มาเก๊า และฮ่องกง จำนวน 5 แห่ง เพื่อขับเคลื่อนการวิจัยการปราบปรามการทุจริตและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนผู้มีความรู้ความสามารถด้วย

‘Apple’ ถอดใจ!! เตรียมยุบโปรเจกต์ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ คาด!! สู้ศึกบริษัทเทคฯ อื่น ที่นำร่องไปไกลไม่ไหว

(28 ก.พ.67) ถือเป็นหนึ่งโปรเจกต์ที่ Apple วาดหวังจะให้เกิดกับแผนการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง ซึ่งมีการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014 โดยปัจจุบันมีพนักงานเกือบ 2,000 คน ในตำแหน่งวิศวกร และนักออกแบบ ซึ่ง Apple มีการทุ่มเงินไปกับโปรเจกต์นี้ หลายพันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าว่าจะเปิดตัว Apple Car ให้ได้ภายในปี 2028 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทาง Bloomberg ได้รายงานว่า Apple กำลังเตรียมยุบโปรเจกต์นี้แล้ว และจะทำการย้ายพนักงานส่วนหนึ่งไปยังแผนกพัฒนา Generative AI แทน ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่า เพื่อสู้ศึกกับบริษัทเทคอื่น ๆ อย่างเช่น Microsoft และ Google ที่นำหน้าเรื่องนี้ไปแล้ว รวมถึงตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้าสู่ Red Ocean ที่มีทั้งแบรนด์จีนแข่งดุ รวมถึง Tesla ที่วิ่งมาไกลกว่า Apple หลายช่วงตัว

Samsung เปิดตัวแหวนอัจฉริยะ 'Galaxy Ring' ฟังก์ชันแน่นๆ สำหรับสายห่วงใยสุขภาพ

(28 ก.พ. 67) หลังจากที่เป็นกระแสร้อนแรงเป็นอย่างมากโดยกระแสว่า ‘จะทำได้จริงหรือ’ จนในที่สุดซัมซุง (Samsung) ก็ได้เผยโฉมอุปกรณ์สุดล้ำอย่าง Samsung Galaxy Ring กลางงาน Mobile World Congress 2024 หรือ MWC 2024 ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน พร้อมประกาศก้องโลกว่าสิ่งที่ทุกคนตั้งคำถามกันก่อนหน้านั้น "ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น" 

โดย Samsung Galaxy Ring รูปร่างหน้าตาทรงแหวนอัจฉริยะทันสมัย ถึงขณะนี้ซัมซุงยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Galaxy Ring แต่ก็เป็นที่รู้ๆ กันว่าคุณสมบัติของ Galaxy Ring นั้นอาจมีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่ฟังก์ชันการติดตามสุขภาพโดยเฉพาะ ที่จะช่วยเรื่องของดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ที่สวมใส่ เช่น การติดตามขณะเดิน การติดตามผลของการนอนหลับ เก็บบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจของผู้สวมใส่ อาจรวมไปถึงฟีเจอร์ล้ำๆ อื่นๆ อีกด้วย

โดย Galaxy Ring ที่โชว์ตัวในงานนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ มาพร้อม 3 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเงินแพลตินัม สีดำเซรามิก และสีทอง มีการออกแบบหลายขนาดตั้งแต่ไซส์ 5 จนถึงไซส์ S ไปจนถึง ไซส์ XL 

ขณะที่ผู้ร่วมงานบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า Galaxy Ring ค่อนข้างจะมีน้ำหนักเบากว่าที่คาดไว้ โดยจนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำตอบแน่ชัดในเกี่ยวกับขนาดของแบตเตอรี่และระยะเวลาในการใช้งานหลังชาร์จ แต่สิ่งที่แน่นอนคือสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ทโฟน และสมาร์ทวอชได้ และแน่นอนว่าไม่รองรับการเชื่อมกับต่อกับอุปกรณ์ของแอปเปิล

นาฬิกาข้อมือจากเหตุ ‘บอมบ์ฮิโรชิมา’ ถูกเคาะที่ 1.1 ลบ. ด้านสื่อญี่ปุ่น ติง!! ไม่ควรนำสิ่งมีคุณค่าเช่นนี้มาหากำไร

(27 ก.พ. 67) นาฬิกาข้อมือที่รอดจากอานุภาพทำลายล้างของระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ปี 1945 ถูกขายไปด้วยราคาสูงกว่า 31,000 ดอลลาร์ในการประมูลที่สหรัฐอเมริกา

เข็มของนาฬิกาข้อมือทองเหลืองเรือนนี้หยุดอยู่ที่เวลา 8.15 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 Enola Gay ของสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณู ‘Little Boy’ ลงสู่เมืองฮิโรชิมา

นาฬิกาเรือนนี้ถูกประมูลซื้อไปในราคา 31,113 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.1 ล้านบาท เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (22 ก.พ.) โดยผู้ที่ชนะการประมูลไม่ขอเปิดเผยตัวตน

ทั้งนี้ สถาบัน RR Auction ที่เมืองบอสตันซึ่งเป็นผู้จัดการประมูล ระบุว่า ผู้ที่ฝากขาย (consignor) นาฬิกาเรือนนี้อ้างว่ามันถูกพบโดยทหารอังกฤษที่เข้าไปตรวจสอบซากความเสียหายในเมืองฮิโรชิมา ก่อนจะถูกขายต่อให้ผู้ฝากขายผ่านเวทีประมูลสินค้าในอังกฤษเมื่อปี 2015

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นาฬิกาโบราณซึ่งมีคุณค่าสมควรถูกเก็บในพิพิธภัณฑ์เรือนนี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่เพียงแต่เตือนผู้คนให้ตระหนักถึงความสูญเสียจากสงครามเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการทำลายล้างที่มนุษยชาติจะต้องพยายามหลีกเลี่ยง” บ็อบบี ลิฟวิงสตัน รองประธานบริหาร RR Auction ให้สัมภาษณ์กับเอพี 

“เข็มนาฬิกาเรือนนี้บอกเวลาที่ประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล” เขาเอ่ยเสริม

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการนำนาฬิกาเรือนนี้ออกประมูลขาย

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า องค์กร International Campaign to Abolish Nuclear Weapons ได้ออกมาคัดค้านการประมูลนาฬิกาเรือนนี้ โดยให้เหตุผลว่าการนำสิ่งประดิษฐ์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สูงเช่นนี้มาประมูลเพื่อหากำไรเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

‘มาครง’ ไม่ขัด!! บรรดาชาติตะวันตกส่งทหารไปยูเครน ฟากประเทศที่ 3 พร้อมหนุน ‘เงินทุน-อาวุธ’ บู๊หมีต่อ

ไม่นานมานี้ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส แถลงหลังเสร็จสิ้นการหารือของผู้นำยุโรป 20 ประเทศว่าด้วยยูเครน ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่กรุงปารีส โดยสาระสำคัญอยู่ที่ ‘ฝรั่งเศส’ ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ว่า ประเทศตะวันตกอาจส่งทหารไปยูเครน แต่เขาจะยังคงใช้ ‘ยุทธศาสตร์ความคลุมเครือ’ ในประเด็นนี้ต่อไป

มาครงกล่าวต่อไปว่า ที่ประชุม 20 ผู้นำยุโรปครั้งนี้ ยังเห็นพ้องที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรประเทศต่าง ๆ ที่ช่วยรัสเซียให้เลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่ใช้อยู่

มาครง ยังกล่าวสนับสนุนโครงการจัดซื้อกระสุนหลายแสนนัดจากประเทศที่ 3 ให้แก่ยูเครน ซึ่งริเริ่มโดยสาธารณรัฐเช็ก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ มาครง เคยแสดงท่าทีคัดค้านการจัดซื้อกระสุนให้ยูเครน จากประเทศที่ 3 ที่ไม่ใช่ยุโรป เพราะหวังว่าจะสนับสนุนอุตสาหกรรมอาวุธของยุโรปก่อน

ด้าน นายกรัฐมนตรี มาร์ค รุทเทอ ของเนเธอร์แลนด์ เต็งหนึ่งที่อาจได้ขึ้นเป็นเลขาธิการนาโตคนใหม่ เปิดเผยหลังเข้าร่วมประชุมที่ปารีสดังกล่าวว่า เนเธอร์แลนด์จะให้เงิน 100 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทยราว 4,000 ล้านบาท ช่วยในโครงการจัดซื้อกระสุนให้ยูเครนที่ริเริ่มโดยสาธารณรัฐเช็ก โดยจัดซื้อจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

สำหรับปัญหาขาดแคลนกระสุนกำลังเป็นปัญหาวิกฤตของยูเครน หลังยุโรปกำลังจะล้มเหลวในเป้าหมายส่งกระสุนปืนใหญ่ 1 ล้านนัดให้แก่ยูเครนภายในเดือนมีนาคมนี้ ส่งผลให้ยูเครนกำลังเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมิภาคตะวันออกของประเทศ เหล่านายพลของยูเครนที่กำลังทำศึกกับรัสเซีย ต่างบ่นถึงปัญหาขาดแคลนทั้งอาวุธและทหาร

'จีน' ยกระดับ 184 โรงเรียน พัฒนาครั้งใหญ่ 'ฐานการศึกษา AI' บ่มเพาะความรู้ทางดิจิทัลแก่ 'ครู-เด็ก' รอบด้าน หนุนยุค AI เฟื่อง

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการของจีน ประกาศรายชื่อโรงเรียนประถมและมัธยมจำนวน 184 แห่ง ซึ่งถูกคัดเลือกเป็นฐานการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยเป้าหมายส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ให้ดียิ่งขึ้น

รายงานระบุว่าโรงเรียนประถมและมัธยมควรปรับใช้หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีทั่วไป และหลักสูตรที่เกี่ยวข้องอื่นๆ พร้อมกับเสริมสร้างทรัพยากรการศึกษาและการเรียนการสอน และจัดการฝึกอบรมและแนะแนวครู เพื่อเกื้อหนุนการศึกษาปัญญาประดิษฐ์

กระทรวงฯ จะเสริมสร้างแนวปฏิบัติของฐานการศึกษาที่กำหนดข้างต้น สนับสนุนการมีบทบาทนำเป็นตัวอย่างในการพัฒนาหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ในโรงเรียน การบูรณาการรายวิชา การปฏิรูปวิธีการสอน ร่วมสร้างและแบ่งปันทรัพยากรการศึกษาทางดิจิทัล บ่มเพาะความรู้ทางดิจิทัลของครู และส่งเสริมการพัฒนานักเรียนอย่างรอบด้าน

‘ม.โทโฮคุ’ โต้!! ข่าวนักศึกษาห้ามช่วยตัวเองในห้องน้ำ ‘ไม่เป็นความจริง’ ขอความร่วมมือให้หยุดเผยแพร่ พร้อมเร่งตรวจสอบที่มาที่ไปของข้อความ

(27 ก.พ.67) สำนักงานประเทศไทยของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ แห่งญี่ปุ่น เผยแพร่ถ้อยแถลงชี้แจง หลังจากมีรายงานข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าทางมหาวิทยาลัยสั่งห้ามพวกนักศึกษาเข้าไปช่วยตนเองในห้องน้ำ เนื่องจากเกรงว่ามันจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน

ถ้อยแถลงของสำนักงานประเทศไทยของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ เป็นคำชี้แจงในเรื่องกระแสข่าวลือเกี่ยวกับประกาศเรื่องที่พวกนักศึกษาชายมักชอบไปด้วยตัวเองในห้องน้ำ ซึ่งปรากฏอยู่บนรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทั้งนี้ ในถ้อยแถลง สำนักงานมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ประจำประเทศไทย ขอชี้แจงว่า "ประกาศดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด" และให้ข้อสังเกตดังนี้ 1.รูปแบบของประกาศไม่ใช่รูปแบบที่ใช้อย่างเป็นทางการภายในมหาวิทยาลัยโทโฮคุ และ 2.เบอร์โทรศัพท์ ไม่ใช่เบอร์ของมหาวิทยาลัย เป็นเบอร์ส่วนบุคคล

ด้วยเหตุนี้ทางมหาวิทยาลัยโทโฮคุจึงขอความร่วมมือให้หยุดและลบข้อความการเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงและทำให้มหาวิทยาลัยเกิดความเสียหาย ซึ่งทางมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการตรวจสอบที่มาของข้อความต่อไป ถ้อยแถลงของโทโฮคุระบุ

คำชี้แจงของโทโฮคุ มีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ออกประกาศห้ามพวกนักศึกษาช่วยตนเองในห้องน้ำ เนื่องจากเกรงว่ามันจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน

หนังสือห้ามนักศึกษาช่วยตนเองในห้องน้ำดังกล่าวได้กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ หลังจากผู้ใช้รายหนึ่งนามว่า bad_texts ได้โพสต์ประกาศดังกล่าวของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ บนสื่อสังคมออนไลน์ และจนถึงสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้เข้าชมแล้วเกือบ 16 ล้านครั้ง

โดยข้อความบนกระดาษมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

คำเตือนสำหรับช่วยตนเอง การช่วยตัวเองภายในห้องน้ำของมหาวิทยาลัยถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของแต่ละคณะ และท่อน้ำทิ้งของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำอสุจิ

ถ้ามีน้ำอสุจิมากเกินไปมันจะขัดขวางการไหลของท่อน้ำทิ้ง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหลายหมื่นเยน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะปรากฏในค่าเล่าเรียนของบรรดานักศึกษาในปีถัดไป ที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิม มันเป็นเงินของพวกคุณ ดังนั้นกรุณาช่วยตัวเองในห้องนอน

ถ้าคุณมีคำถามหรือต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนเพื่อช่วยตัวเอง โปรดติดต่อเรา ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ

ซึ่งโพสต์นี้มีผู้รีทวีตมากกว่า 6,400 ครั้ง และมีคนกดไลก์มากกว่า 53,000 ครั้ง และมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ในนั้นรวมถึง "ในโทโฮคุ ทุก ๆ อย่างมักมีเหตุผลหนึ่งเสมอ อย่างไรก็ตาม คราวนี้เป็นบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจเลย"

ส่วนอีกคนแสดงความสงสัยว่า "อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมร้องขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top