Friday, 26 April 2024
WORLD

‘ยูเครน’ ส่งสัญญาณ เปิดทางทหารอียูสู้รบกับรัสเซียแทน ขู่!! หากปล่อยยูเครนพ่ายแพ้ ‘ปูติน’ จะไม่หยุดแค่นั้น

ความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอาจไปถึงจุดที่บรรดาชาติสมาชิกอียูจำเป็นต้องประจำการทหารในยูเครน เพื่อต้านทานการรุกคืบของรัสเซีย จากความเห็นของดมิทรี คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครนเมื่อช่วงต้นสัปดาห์

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ข่าวการเมืองสหรัฐฯ ‘โพลิติโก’ เมื่อวันจันทร์ (25 มี.ค.) คูเลบา คร่ำครวญต่อกรณีที่ตะวันตกลดความช่วยเหลือด้านการทหารที่มอบแก่เคียฟในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

"กรุณามอบแพทริออตให้เรา" คูเลบากล่าว อ้างถึงระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ซึ่งเขาเน้นย้ำว่ามีความจำเป็นต่อเคียฟ สำหรับเล็งเป้าหมายสกัดฝูงบินขับไล่ของรัสเซีย ที่พึ่งพาระเบิดนำวิถีทางอากาศเป็นหลัก "มอสโกพึ่งพากระสุนอัปเกรดของพวกเขามากยิ่งขึ้น และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมทหารยูเครนถึงสูญเสียฐานที่มั่นต่าง ๆ"

เป็นอีกครั้งที่ คูเลบา แสดงความเสียใจที่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรีพับลิกันยังคงขัดขวางความพยายามของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ผลักดันเงินช่วยเหลือก้อนใหม่ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่จะมอบแก่ยูเครน กระนั้นเขาปฏิเสธตอบคำถามกรณีเยอรมนี อีกชาติพันธมิตรลังเลจัดหาขีปนาวุธพิสัยไกล ‘ทอรัส’ แก่เคียฟ โดยบอกว่าเขา "เหนื่อยหน่ายกับคำถามนี้"

อย่างไรก็ตาม เขาหลีกเลี่ยงวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส หลังจากเมื่อเดือนที่แล้ว ผู้นำแดนน้ำหอมบอกว่าเขาไม่ตัดความเป็นไปได้ของการส่งทหารจากบรรดาชาติสมาชิกนาโตเข้าไปยังยูเครน

"เรายินดีที่ได้เห็นประธานาธิบดีมาครง มีวิวัฒนาการไปในทิศทางนั้น" รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครนกล่าว แม้ความเห็นของผู้นำฝรั่งเศส นำมาซึ่งระลอกคลื่นเสียงปฏิเสธจากบรรดาผู้นำรัฐสมาชิกนาโตอื่น ๆ ซึ่งเน้นย้ำว่าไม่มีแผนส่งทหารตะวันตกไปยังยูเครน

"เคียฟไม่เคยร้องขอทหารสู้รบจากยุโรปในภาคสนาม แต่พวกผู้นำอียูอาจจำเป็นต้องรับแนวคิดนี้ เมื่อวันนั้นมาถึง" คูเลบากล่าว "ผมทราบดีว่าเหล่าชาติยุโรปไม่คุ้นเคยกับแนวคิดแห่งสงคราม แต่ยุโรปไม่อาจอยู่ในความประมาท ไม่ว่ากับตัวเองหรือกับเด็ก ๆ ของพวกเขา เพราะว่าหากยูเครนพ่ายแพ้ ปูติน (ประธานาธิบดีรัสเซีย) จะไม่หยุดแค่นั้น"

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ระบุว่าคำกล่าวอ้างของเคียฟและบรรดาผู้สนับสนุนต่างชาติที่บอกว่ารัสเซียจะเล็งเป้าเล่นงานรัฐสมาชิกนาโต เป็นเรื่องไร้สาระ อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ผู้นำรายนี้เน้นย้ำว่ามอสโกจะปฏิบัติกับทหารตะวันตกในฐานะ ‘พวกแทรกแซง’ หากพวกเขาเข้าประจำการในยูเครน และจะตอบโต้อย่างสาสม

รองประธานรัฐสภารัสเซีย ปิออตร์ ตอลสตอย เตือนมาครง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ต่อการสู้รบโดยตรงกับรัสเซียในสนามรบว่า "เราจะสังหารทหารฝรั่งเศสทุกรายที่ย่างเท้าเข้าสู่แผ่นดินยูเครน"

จับตากฎใหม่ของจีน คาด!! สะเทือนวงการชิปโลก หลังแบน ‘Intel’ และ ‘AMD’ หนุนชิปเมดอินไชน่า

ทางการจีนออกแนวทาง โดยมีเป้าหมายลดการพึ่งพาซีพียูจากสหรัฐอเมริกามีผลให้ทั้ง Intel และ AMD ตลอดจนครอบคลุมถึงระบบปฏิบัติการ Windows และโปรแกรมฐานข้อมูลที่ผลิตโดยบริษัทต่างชาติด้วย

ไม่นานมานี้ รัฐบาลจีนประกาศแนวทางการปฏิบัติงานที่มีจุดประสงค์เพื่อหยุดการใช้ชิปประมวลผลความจำซึ่งผลิตโดยบริษัทอินเทล (Intel) และบริษัท AMD ของสหรัฐฯ ในคอมพิวเตอร์และระบบเซิร์ฟเวอร์ของรัฐ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียล ไทมส์ เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา

โดยรัฐบาลจีน เผยว่า หน่วยงานรัฐบาลที่สูงกว่าระดับเมือง จะต้องระบุเงื่อนไขการจัดซื้อชิปประมวลผล รวมถึงระบบปฏิบัติการที่ 'ปลอดภัยและไว้วางใจได้' ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่นี้ไปด้วย

ทั้งนี้ หากย้อนเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2023 กระทรวงอุตสาหกรรมจีนได้ออกแถลงการณ์พร้อมรายชื่อของหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ระบบประมวลผลและระบบฐานข้อมูลส่วนกลาง ที่ถูกระบุว่า 'ปลอดภัยและไว้วางใจได้' เป็นระยะเวลานาน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่มีการเผยแพร่ออกมา โดยทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทจีนทั้งหมด

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รอยเตอร์ได้ส่งแฟกซ์ไปยังสำนักงานสารสนเทศสภาแห่งรัฐ (State Council Information Office) ซึ่งรับผิดชอบการติดต่อของสื่อกับคณะรัฐมนตรีจีน เพื่อขอความเห็น แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ขณะเดียวกัน ก็จัดทำรายงานข่าวนี้ ไปยัง Intel และ AMD ซึ่งก็ไม่ได้ตอบกลับคำขอความเห็นของผู้สื่อข่าวเช่นกัน

สำหรับพัฒนาการที่ทำให้จีนออกประกาศดังกล่าวขึ้นมานั้น เกิดขึ้นหลังสหรัฐฯ เดินหน้าความพยายามยกระดับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศและลดการพึ่งพาฐานการผลิตในจีนและไต้หวัน ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ปี 2022 ที่รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผ่านออกมาบังคับใช้

อีกทั้งยัง สกัดกั้นการพัฒนาชิปเอไอของฝั่งจีน ด้วยการห้ามส่งออกชิปไฮเทคไปยังจีน ภายใต้เหตุผลเรื่องความมั่นคงของชาติ

ขณะเดียวกัน ผลพวงแห่งความตึงเครียดในศึกเทคโนโลยีระหว่าง 'สหรัฐฯ' กับ 'จีน' ที่เข้มข้นขึ้น โดยก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งมีรายงานข่าวว่า สหรัฐฯ มีแผนจะขึ้นบัญชีดำบริษัทในเครือข่ายของ 'หัวเว่ย เทคโนโลยีส์' นั้น

ก็ถือเป็นปมสำคัญที่เร่งให้เกิดการตอบโต้จากจีน ด้วยการแบนชิป Intel และ AMD เร็วขึ้นด้วย

สำหรับความเคลื่อนไหวดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทชิปอเมริกันอย่างหนัก โดยเฉพาะ Intel เนื่องจากจีนถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของอินเทลด้วยสัดส่วนถึง 27% ของยอดขายทั้งหมด 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะที่ AMD มียอดขายในจีน 15% ของยอดขายทั้งหมด 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์  

ขณะเดียวกัน กรุงปักกิ่ง ก็หวังกำจัดระบบปฏิบัติการวินโดว์ส (Windows) ของบริษัทไมโครซอฟท์ รวมทั้งซอฟต์แวร์ที่ผลิตโดยประเทศอื่น ๆ ออกไป เพื่อจะเปิดทางให้กับผลิตภัณฑ์ในประเทศมาเป็นตัวเลือกหลักแทนอีกด้วย

‘จนท.สหรัฐฯ’ ประกาศยุติการค้นหา 6 ผู้สูญหาย เหตุเรือชนสะพานถล่ม หลังปฏิบัติภารกิจไป 18 ชั่วโมง คาด!! ทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว

(27 มี.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า จากกรณีที่เรือสินค้าขนาดใหญ่พุ่งชนตอม่อสะพานฟรานซิส สกอตต์ คีย์ (The Francis Scott Key Bridge) ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ ของสหรัฐฯ ทำให้ส่วนหนึ่งของสะพานพังยับและร่วงลงสู่แม่น้ำปาแทปสโก โดยพบว่าเป็นเรือขนส่งสินค้ายาวประมาณ 300 เมตร 'ต้าลี่' ที่ติดธงชาติสิงคโปร์ กำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุงโคลอมโบในศรีลังกา ต่อมาเจ้าหน้าที่กู้ภัยรายงานว่าสามารถช่วยเหลือผู้รอดชีวิตได้ 2 ราย โดย 1 ใน 2 ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และยังคงค้นหาผู้สูญหายอีก 6 ราย ซึ่งคาดว่าทั้ 6 รายนั้นซึ่งเป็นคนงานก่อสร้างกะดึก ทุกฝ่ายจึงสันนิษฐานว่าผู้สูญหายกลุ่มนี้น่าจะเสียชีวิตแล้ว และนับจากนี้จะเน้นไปที่ภารกิจการเก็บกู้ร่างพวกเขาแทน

ต่อมาเจ้าหน้าที่กู้ภัยของสหรัฐยุติปฏิบัติการค้นหาคนงาน 6 คนที่สูญหายจากเหตุการณ์สะพานฟรานซิส สกอตต์ คีย์พังถล่มแล้ว หลังจากการค้นหาผ่านไปแล้ว 18 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ระบุว่า โอกาสที่จะพบผู้รอดชีวิตทั้ง 6 คนนั้นไม่มีแล้ว เนื่องจากเวลาผ่านพ้นไปนานแล้วและน้ำมีอุณหภูมิเย็นจัด อย่างไรก็ตาม ในวันนี้นักประดาน้ำจะลงไปค้นหาอีกครั้งเพื่อนำร่างของผู้เสียชีวิตขึ้นมา

'รัฐฟลอริดา' ชงกม.ห้ามเด็กต่ำกว่า 14 ใช้โซเชียลมีเดีย ป้องเหล่านักล่าทางความคิด โผล่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเด็กๆ

(26 มี.ค.67) รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา เห็นชอบร่างกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี จากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ และบังคับเยาวชนอายุ 14 ถึง 15 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน ถึงสามารถเข้าใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ได้

โดยร่างกฎหมายใหม่นี้ที่มีชื่อว่า House Bill 3 บังคับให้บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ทั้งหลายลบทิ้งบัญชีของบรรดาเด็กๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และอนุญาตให้พวกผู้ปกครองร้องขอระงับบัญชีของบุตรหลานด้วย

"สื่อสังคมออนไลน์ก่ออันตรายแก่เด็ก ๆ ในหลายทาง" เดอซานติสระบุในถ้อยแถลง "House Bill 3 จะมอบอำนาจแก่ผู้ปกครองมากยิ่งขึ้นในการปกป้องเด็ก ๆ ของพวกเขา ขอบคุณประธานสภาฟลอริดา สำหรับขับเคลื่อนกฎหมายประวัติศาสตร์นี้"

เพื่อตรวจสอบอายุของผู้ใช้ กฎหมายฉบับนี้ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2025 ยังบังคับให้บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ทั้งหลาย ไม่เปิดเผยและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

"อินเทอร์เน็ตกลายมาเป็นตรอกซอยมืด ๆ สำหรับเด็ก ๆ ที่มีพวกนักล่าคอยล็อกเป้าเล่นงานพวกเขา และสื่อสังคมออนไลน์ที่อันตรายจะนำไปสู่อัตราโรคซึมเศร้า ทำร้ายตนเองและแม้กระทั่งฆ่าตัวตายในระดับสูง" เรนเนอร์ จากรีพับลิกันระบุในถ้อยแถลง

กฎหมายนี้ถือว่าลดระดับความเข้มข้นเล็กน้อยจากร่างกฎหมายที่เสนอก่อนหน้านี้ ซึ่งจะห้ามเยาวชนตั้งแต่อายุต่ำกว่า 16 ปี จากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ทว่ามันถูกคัดค้านจาก เดอซานติส

อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่ากฎหมายฉบับนี้จะถูกยื่นคัดค้านทางกฎหมาย แบบเดียวกับที่รัฐอื่นๆ ต้องเผชิญ หลังจากรัฐเหล่านั้นผ่านความเห็นชอบกฎระเบียบต่าง ๆ ที่กำหนดกับสื่อสังคมออนไลน์

ยกตัวอย่างเช่นในรัฐอาร์คันซอ ซึ่งผู้พิพากษารายหนึ่งได้ระงับใช้กฎหมายฉบับหนึ่งที่กำหนดให้เด็ก ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากพวกผู้ปกครองเสียก่อนถึงจะสามารถสร้างโปรไฟล์ใหม่บนสื่อสังคมออนไลน์

ทั้งนี้ บริษัทต่าง ๆ อย่างเช่น เมตา บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม แสดงจุดยืนคัดค้านอย่างเปิดเผยต่อกฎหมายของฟลอริดา

"ณ เวลานี้ ด้วยสิ่งต่าง ๆ กับสื่อสังคมออนไลน์ คุณสามารถเจอกับกรณีคุณมีลูก ๆ อยู่ในบ้าน ฟังดูแล้วเหมือนกับปลอดภัย แต่จากนั้นพวกนักล่าก็สามารถโผล่เข้ามาได้โดยตรง เข้ามาภายในบ้านของคุณ"

‘ศธ.จีน’ ออกแคมเปญ เดินหน้าสอน ‘เด็กนักเรียน’ ปกป้องดูแลตัวเอง ครอบคลุม ‘การกลั่นแกล้ง-ไฟไหม้-ความปลอดภัย-การปฐมพยาบาล’

(26 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการของจีนออกโครงการรณรงค์ด้านการศึกษา ที่มุ่งส่งเสริมการป้องกันอันตรายและการปกป้องดูแลตนเองของนักเรียนชั้นประถมและมัธยม โดยเริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อวันจันทร์ (25 มี.ค.) และจะดำเนินไปตลอดทั้งสัปดาห์

หนังสือเวียนจากกระทรวงฯ กระตุ้นหน่วยงานการศึกษาท้องถิ่นให้คำแนะนำแก่โรงเรียนในการจัดกิจกรรมทางการศึกษา เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยและทำให้เด็กนักเรียนสามารถปกป้องตนเองได้ดียิ่งขึ้น

กิจกรรมเหล่านี้ควรให้ความรู้ครอบคลุมหลายด้าน อาทิ การรับมือความรุนแรงและการกลั่นแกล้งภายในโรงเรียน การป้องกันอัคคีภัย ความปลอดภัยบนท้องถนน การฝึกอบรมปฐมพยาบาล และอื่นๆ

หนังสือเวียนยังร้องขอให้หน่วยงานการศึกษาท้องถิ่นจัดกิจกรรมทางการศึกษาร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงสาธารณะและหน่วยงานดับเพลิงด้วย

‘หนุ่มมะกัน’ เดินแทะขามนุษย์ริมถนนในแคลิฟอร์เนีย ฟาก ‘ตำรวจ’ เผย!! มีประวัติติดยาเสพติดขั้นรุนแรง

กลายเป็นเรื่องราวสยองขวัญทันที เมื่อวิดีโอในโซเชียลว่อนภาพชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดิน พร้อมแทะขามนุษย์ไปด้วย โดยเว็บไซต์ people รายงานว่า ตามบันทึกของ Kern County ที่ people พบ ระบุว่า หนุ่มรายดังกล่าวคือ Resendo Tellez ถูกจับกุมเมื่อวันศุกร์ด้วยความผิดลหุโทษในข้อหา ‘นำศพมนุษย์ออกจากสุสาน’ ข้อหาลหุโทษในการครอบครองอุปกรณ์ควบคุมสารเสพติด และข้อหาทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดภาคทัณฑ์

มีรายงานว่า Tellez วัย 27 ปี ได้ถอดชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ออกจากที่เกิดเหตุรถไฟชนกันในเมือง Wasco รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 รายที่ไม่ปรากฏชื่อ ไม่ชัดเจนว่าขาดังกล่าวเป็นของบุคคลที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่

ผู้เห็นเหตุการณ์ใกล้กับที่เกิดเหตุบอกว่า Tellez กำลังโบกสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นขามนุษย์ไปรอบ ๆ และถูกอ้างว่ากัดมัน

“ฉันไม่แน่ใจว่ามาจากไหน แต่เขาเดินไปมาทางนี้และโบกขาคนคนหนึ่ง และเขาก็เริ่มเคี้ยวมันตรงนั้น กัดมัน และเขาก็กระแทกมันเข้ากับกำแพงและทุกสิ่งทุกอย่าง” โฮเซ อิบาร์รา บอกกับ เคบีเอเค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมและสอบสวนพบว่าเขาติดยาเสพติดอย่างรุนแรง และจะขึ้นศาลในวันนี้ (26 มี.ค.)

‘รัสเซีย’ แฉ!! 30 แล็บลับสหรัฐฯ ในยูเครน มุ่งพัฒนา 'อาวุธเชื้อโรค' ด้าน สหรัฐฯ ยัน!! มีจริง แต่ถูกกฎหมาย และไม่ได้พัฒนาเพื่อรบ

สหรัฐฯ ยังคงปฏิบัติการห้องปฏิบัติการทางชีวภาพ 30 แห่งในดินแดนยูเครน ส่วนหนึ่งในโครงการชีวภาพทางทหารที่ผิดกฎหมาย จากการเปิดเผยของ ‘เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำเนเธอร์แลนด์’ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

“เป็นที่ทราบกันดีมานานแล้วว่ามีห้องปฏิบัติการของอเมริกาจำนวนหนึ่งในดินแดนยูเครน” วลาดิมีร์ ทาราบริน ซึ่งเป็นผู้แทนถาวรของรัสเซีย ประจำองค์การห้ามอาวุธเคมี (Organisation for the Prohibition of Chemical Weapons) อีกตำแหน่ง ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อิซเวสเตียเมื่อวันอาทิตย์ (24 มี.ค.)

นักการทูตรายนี้ยังได้เท้าความถึงคำพูดของ พล.ท.อิกอร์ คิริลลอฟ ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ เคมีและชีวภาพของรัสเซีย ที่เคยอ้างในเดือนมีนาคม 2022 ว่ามีห้องแล็บดังกล่าวอยู่ราว 30 แห่ง 

“กองกำลังของเราพบเอกสารต่าง ๆ ที่ยืนยันว่ามีโครงการชีวภาพทางทหารอย่างกว้างขวางของสหรัฐฯ และบรรดาประเทศสมาชิกนาโต ในดินแดนของยูเครน และสาธารณรัฐต่างๆ ที่เป็นอดีตสหภาพโซเวียต” ทาราบริน กล่าว

แม้ รัฐบาลเคียฟ จะกล่าวว่า พวกเขาเริ่มทำลายเชื้อโรคอันตรายในห้องปฏิบัติการต่าง ๆ และระงับการวิจัยในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่รัสเซียเปิดปฏิบัติการทางทหารรุกรานยูเครน แต่ทาง ทาราบริน กล่าวอ้างว่า โครงการต่างๆ เหล่านั้นได้กลับมาปฏิบัติการอีกรอบ เพียงแต่มีการเปลี่ยนชื่อเท่านั้น

เมื่อถูกถามว่า ห้องปฏิบัติการชีวภาพของสหรัฐฯ ในยูเครน ยังมีจำนวนที่ 30 แห่งใช่หรือไม่? ทางเอกอัครราชทูตรายนี้ตอบว่า “จากข้อมูลของเรา คือ ใช่” พร้อมกล่าวเสริมด้วยว่า...

“มันไม่น่าประหลาดใจเลยที่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมานั้น ทำไมวอชิงตันถึงพยายามขัดขวางความคิดริเริ่มของรัสเซีย กับเป้าหมายเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธชีวภาพ (Biological Weapons Convention-BWC) และสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพสำหรับตรวจสอบประเทศผู้เข้าร่วมทั้งหมด ว่าได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติต่าง ๆ ของอนุสัญญานี้หรือไม่”

ทั้งนี้ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มอสโกได้หยิบยกความกังวลขึ้นมาซ้ำ ๆ ในเรื่องคำกล่าวหาเกี่ยวกับโครงข่ายห้องปฏิบัติการลับในยูเครน ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ โดยมอสโกได้เผยแพร่เอกสารต่าง ๆ ที่ยึดมาได้จากเจ้าหน้าที่เคียฟ ซึ่งกล่าวอ้างว่ามีความเชื่อมโยงกับปฏิบัติการของห้องปฏิบัติการเหล่านั้น

เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว พล.ท.อิกอร์ คิริลลอฟ บอกว่า “รัสเซียไม่มีข้อสงสัยเลยว่า สหรัฐฯ ได้สวมหน้ากากในการรับประกันความมั่นคงทางชีวภาพโลกไว้ให้ชาวโลกเห็น แต่กลับกันพวกเขาได้ทำการวิจัย 2 ทาง (เพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์) ซึ่งในนั้นได้รวมถึง การสร้างองค์ประกอบของอาวุธชีวภาพใกล้ชายแดนรัสเซีย”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยืนยันเกี่ยวกับการมีอยู่ของห้องปฏิบัติการวิจัยทางชีวภาพในยูเครนจริง แต่ยืนยันว่ามันถูกกฎหมายทั้งหมด และไม่มีเจตนาสำหรับจุดประสงค์ด้านการทหาร แม้ส่วนใหญ่แล้วมันได้เงินทุนผ่านกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) ขณะที่วอชิงตันปฏิเสธคำกล่าวอ้างของมอสโก ที่ว่าห้องปฏิบัติการเหล่านี้ถูกใช้ทำงานสร้างอาวุธชีวภาพ โดยบอกว่ามันเป็นยุทธการบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายรัสเซีย

‘น้องสาวคิมจองอึน’ เปรย!! หลัง ‘นายกฯ คิชิดะ’ อยากพบพี่ชาย ลั่น!! ไม่ง่าย เพราะขึ้นอยู่กับจุดยืนทางการเมืองของญี่ปุ่น

(25 มี.ค.67) สื่อรัฐบาล KCNA รายงานว่า ‘คิม โยจอง’ น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของ ‘คิม จองอึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือ เผยว่า ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้แสดงเจตนารมย์ว่าต้องการเข้าพบผู้นำเกาหลีเหนือเร็ว ๆ นี้ ผ่านช่องทางหนึ่ง

ซึ่ง คิม โยจอง บอกว่า การพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองประเทศขึ้นอยู่กับว่าญี่ปุ่นสามารถตัดสินใจทางการเมืองที่เป็นไปได้จริงหรือไม่

“นายกรัฐมนตรีควรรู้ว่า แค่เพียงเพราะเขาต้องการและได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถพบผู้นำของเราได้” คิม โยจอง กล่าว และเสริมว่า

“สิ่งที่ชัดเจนคือ ญี่ปุ่นเป็นปฏิปักษ์กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และละเมิดสิทธิอธิปไตยของประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูของเรา และจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายเรา”

ทั้งนี้ คิชิดะ เคยกล่าวไว้ว่า เขาต้องการหารือกับ คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ โดยปราศจากเงื่อนไขเบื้องต้นใด ๆ และมีความพยายามส่วนตัวที่ต้องการบรรลุการประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี

นอกจากนี้ น้องสาวคิม จองอึน ผู้นำพรรคแรงงาน เผยเมื่อเดือนก่อนว่า อาจมีวันหนึ่งที่คิชิดะได้เยือนเปียงยาง

“ในมุมมองของฉัน ถ้าญี่ปุ่นตัดสินใจทางการเมืองเพื่อเปิดทางเส้นทางใหม่สำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน สองประเทศอาจเปิดโอกาสสู่อนาคตใหม่ได้” คิม โยจอง กล่าว

‘คนไทยในบรูไน’ เผย วัยรุ่นบรูไนปลื้มชุดนักเรียนไทย หลังเป็นกระแสฮิตที่หลายชาติเริ่มนำมาเป็นแฟชั่น

อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้เห็นกันมาพักใหญ่แล้วว่า ‘ชุดนักเรียนไทย’ คว้าใจนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นกระแสแต่งชุดนักเรียนไทย ท่องเที่ยวในไทย รวมไปถึงถ่ายรูปและโพสต์อวดโฉมกันผ่านโซเชียล ยิ่งไปกว่านั้น อินฟลูเอนเซอร์ ดารา หรือแม้แต่ซูเปอร์สตาร์ชาวจีนก็ออกมาสลัดลุค แต่งชุดนักเรียนไทยกันมาแล้ว ซึ่งก็ต้องบอกว่า น่ารักน่าเอ็นดูสุด ๆ

แต่ความฮิตฮอตของชุดนักเรียนไทยก็ไม่ได้เป็นที่นิยมแค่ในจีนเท่านั้น แว่ว ๆ มาว่า นักเรียนเวียดนามก็ชื่นชอบชุดนักเรียนของไทยมากเช่นกัน ถึงขั้นนัดกันใส่ชุดนักเรียนไทยถ่ายรูปในวันจบการศึกษา และลามกลายเป็นธุรกิจรับถ่ายรูปในธีมชุดนักเรียนไทย และถ่ายเลียนแบบซีรีส์ไทยที่ไปโด่งดังในเวียดนามด้วย

ก็กล้าเรียกได้เต็มปากว่า ‘ชุดนักเรียนไทย’ เท่ากับ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ที่แท้จริง

ล่าสุด (25 มี.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งเป็นคนไทยในบรูไนฯ ได้บอกเล่าเกี่ยวกับ ‘ชุดนักเรียนไทย’ ที่เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นบรูไนฯ โดยระบุว่า…

“ลูกสาวมาเล่าว่า ม่ามีแต่คนอยากใส่ชุดนร.แบบไทยกันใหญ่เลย (ในหมู่วัยรุ่น) ไม่เว้นแม้แต่วัยรุ่นที่บรูไน เป็นเทรนที่กำลังมาแรง Soft Power ของแท้ อย่าให้นายกรู้นะ เดี๋ยวเค้าจะใส่ชุดนร.ไปต่างประเทศโชว์อีก”

ฟองสบู่ Forest City เมืองใหม่แห่งอนาคตในมาเลเซีย โครงการยักษ์ 3.6 แสนล้าน ที่กำลังกลายเป็นเมืองร้าง

หากนับย้อนหลังไปเมื่อปี พ.ศ. 2559 ชาวมาเลเซียจำนวนไม่น้อย น่าจะตื่นเต้นกับโครงการพัฒนาเมืองใหม่ ระดับเมกะโปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘Forest City’ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ บริษัท เอสพลานาด แดงกา 88 ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาเลเซีย และ ‘คันทรี การ์เดน’ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับต้น ๆ ของจีน ในเขตพื้นที่ของรัฐยะโฮร์ ที่เชื่อมต่อกับสิงคโปร์ ด้วยงบประมาณก่อสร้างสูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท) 

โดยโครงการนี้ ถูกนำเสนอโดยรัฐบาลจีนเป็นครั้งแรกราวๆ ปี พ.ศ. 2549 ที่หวังจะให้เป็นส่วนหนึ่งในแผน Belt and Road Initiatives มีเป้าหมายยกระดับพื้นที่ในเขตรัฐยะโฮร์ ให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่ ครบครันด้วย อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า, ที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สามารถรองรับประชากรได้ถึง 7 แสนคน 

และยังเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ บริษัท คันทรี การ์เดน อีกด้วย หลังจากมีการนำเสนอ โครงการมานานถึง 10 ปี Forest City ก็ได้รับการอนุมัติก่อสร้างโดย อดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2578 

แต่ทว่า วันนี้ Forest City ที่ผู้สร้างโปรโมตว่าจะกลายเป็นเมืองสวรรค์ในฝันของคนมีอันจะกิน มีแววจะกลายเป็นเมืองร้าง (Ghost Town) ไปเสียแล้ว เมื่ออาคารหลายแห่งสร้างแล้วเสร็จไปกว่าครึ่ง แต่กลับมีคนที่มาอยู่จริงน้อยมาก 

วันนี้เราจึงเห็นแต่ภาพตึกสูงระฟ้า เรียงรายเต็มพื้นที่หน้าชายหาด ยาวเหยียดเป็นกิโลของ Forest City ที่ถูกทิ้งร้าง มืดมิด เงียบเหงา ไร้ผู้คน และรถรา นอกจากเสียงจิ้งหรีดเรไรดังสนั่นทั่วบริเวณ

ชาวมาเลเซียบางส่วน ที่เข้ามาจับจอง ซื้อห้องพักใน Forest City ในช่วงเปิดโครงการด้วยความหวังว่าจะได้อยู่ในย่านสังคมเมืองใหม่อนาคตไกล ต่างรู้สึกผิดหวัง และ ต้องการย้ายออกเพราะเริ่มไม่ไหวจะทนกับบรรยากาศอันแสนวังเวง ถ้าจะมีข้อดีเพียงอย่างเดียวใน Forest City ณ ขณะนี้ คือ ความเงียบสงบสำหรับคนที่ต้องการปลีกวิเวกอย่างแท้จริง

สาเหตุที่โครงการยักษ์ Forest City ผิดเป้าค่อนข้างไกล แถมมีโอกาสที่จะกลายเป็นเมืองผีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนนั้น เกิดจากหลายปัจจัย 

และสิ่งที่ประเมินพลาดที่สุดอย่างแรกคือ การเจาะกลุ่มเป้าหมายในช่วงเปิดโครงการ ที่เน้นไปยังกลุ่มลูกค้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีฐานะตั้งแต่ระดับกลาง - สูง เป็นหลัก ที่กำลังมองหาสินทรัพย์ลงทุนในต่างแดน แทนที่จะเป็นชาวมาเลเซียทั่วไป จึงทำให้โครงการนี้ถูกวิพากษ์ วิจารณ์จากชาวมาเลเซียจำนวนมากว่าเป็นการสร้างเมืองเพื่อผลประโยชน์ของคนจีนเป็นสำคัญมากกว่าชาวมาเลเซียเจ้าของประเทศ 

เมื่อเน้นไปที่ตลาดจีน โครงการนี้จึงได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่รัฐบาลจีนมีนโยบายปิดเมืองนานนับปี ทำให้ชาวจีนส่วนใหญ่เดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ยังถดถอยหลังวิกฤติการระบาด จึงทำให้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ของ Forest City ไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างที่คาดการณ์ไว้

อีกทั้งปัญหาด้านการเงินของ บริษัทคันทรี การ์เดน ที่เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักในโครงการนี้ จากวิกฤตฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และ ประชาชนทั่วไปที่กำลังพิจารณาเช่า-ซื้อ ทรัพย์สินในโครงการ Forest City กับอนาคตที่คาดเดาได้ยากว่า คันทรี การ์เดน จะกลับมาฟื้นสภาพ รอดพ้นจากภาวะหนี้สินในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตนได้เมื่อไหร่ 

รวมถึงปัจจัยด้านกำลังซื้อของชาวจีนที่ไม่เหมือนเดิม จากที่ประเมินในช่วงก่อนวิกฤติ Covid-19 ทำให้ Forest City จำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธการตลาดหลายครั้ง จากการสร้างเมืองใหม่เพื่ออยู่อาศัยของกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำ ที่เน้นไปที่เศรษฐีชาวจีนเป็นหลัก ถูกเปลี่ยนมาเป็นเมืองเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนชายทะเลระยะสั้นสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ทั้งชาวจีน และ มาเลเซีย ซึ่งสามารถกระตุ้นยอดจองโรงแรม ที่พักในเมืองได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถลบล้างภาพเมืองร้างขนาดมหึหาออกไปได้

ล่าสุด เมื่อ สิงหาคม 2566 นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ก็ออกมาช่วยสนับสนุนโครงการ Forest City อีกครั้งด้วยการประกาศยกระดับพื้นที่เมืองนี้ให้กลายเป็น ‘เขตการเงินพิเศษ’ เพื่อจูงใจนักลงทุนด้านการเงิน และ แรงงานทักษะสูงเข้ามาช่วยกู้เมือง โดยมีการเสนอสิทธิพิเศษด้านวีซ่า และ ภาษีในอัตราพิเศษ และยังสนับสนุนให้มีการจัดงานอีเวนต์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยหวังที่จะปลุกเมืองนี้ให้กลับมาเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ให้สมกับเป้าหมายและเม็ดเงินที่ลงทุนไปแล้วมากมายมหาศาล

ดังคำกล่าวที่ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน โปรเจกต์ 20 ปี อย่าง Forest City ก็เช่นกัน ที่อาจต้องใช้เวลาต่อจากนี้อีกสักระยะ ว่าเมืองแห่งนี้ จะกลายเป็นเมืองใหม่ของมนุษย์ หรือ เป็นจะเพียงสุสานของซากตึก

'ชุดนักเรียนไทย' เทรนด์สุดฮิตในหมู่ 'เด็กนักเรียนเวียดนาม' นำมาใส่ถ่ายภาพจบการศึกษา แล้วแอคท่าเหมือนหลุดมาจากซีรีส์ไทย

(24 มี.ค.67) Youtube ช่อง ‘ส่องโลกคอมเมนต์’ ได้ลงคลิปเกี่ยวกับ เรื่องที่นักเรียนเวียดนามแห่ใส่ชุดนักเรียนไทย โดยได้ระบุว่า ...

นักเรียนเวียดนามแห่ใส่ชุดนักเรียนไทย ถ่ายรูปวันจบการศึกษาโดยสวมชุดนักเรียนไทย ถ่ายรูปหมู่ และก็ไม่ใช่เป็นการถ่ายเล่นเล่นถ่ายกันเองด้วยกล้องมือถือ แต่จะเป็นการจ้างช่างภาพมืออาชีพใช้กล้องตัวใหญ่ เพื่อถ่ายเป็นเรื่องเป็นราวจริงจัง ถ่ายเป็นเซต ตามมุมต่างๆของโรงเรียนที่อยากบันทึกความทรงจําไว้กับเพื่อนๆ

การถ่ายภาพวันจบการศึกษา เป็นกิจกรรมสําคัญอย่างหนึ่งของเด็กม.ปลายเวียดนาม แค่คล้ายกับที่นักศึกษาไทยจะจ้างช่างถ่ายรูปมาถ่ายรูปวันรับปริญญา

และกระแสฮิตยอดนิยมในตอนนี้ ก็คือธีม การถ่ายภาพจบการศึกษาด้วยการใส่ชุดนักเรียนไทย มันมาเป็นอันดับหนึ่งเลยฮิตมากจริงๆ

นอกจากชุดนักเรียนไทยแล้ว เขาก็ยังถ่ายภาพด้วยมุมกล้อง ทำทางท่าโพสต์เลียนแบบมาจากซีรีส์ไทย คือให้มุมภาพมุมมองเนี่ย มันเหมือนกับว่าหลุดออกมาจากซีรีส์ไทยเลย ก็จะมีธีมการถ่ายภาพคอนเซปต์อื่นๆเช่นชุดประจําชาติเวียดนาม ชุดแฟนซี ชุดแฮร์รี่พอตเตอร์ หรืออื่นๆรองลงมา แต่การถ่ายภาพในคอนเซ็ปต์ชุดนักเรียนไทย ได้รับความนิยมสูงที่สุด 

โฆษณาการให้บริการถ่ายภาพวันจบการศึกษาใน ธีมชุดนักเรียนไทย ซึ่งที่นู่น เขาจะใช้คําว่าการถ่ายภาพวันจบการศึกษา คอนเซปต์ไทยแลนด์

อย่างเพจสตูดิโอ อันนี้ เขาก็โพสต์ว่าขอเชิญชวนน้องๆมัธยมมาถ่ายภาพวันจบการศึกษาในคอนเซปต์เครื่องแบบนักเรียนไทยที่สวยงามเรียบร้อย มีบุคลิกเหมือนกับในซีรีส์ไทย ความสดใสของเยาวชนรุ่นใหม่ จากคําโฆษณา เขาก็โพสต์ภาพผลงานการถ่ายภาพเซ็ตใหญ่ของน้องในโรงเรียนทันฮุงดาวที่เป็นภาพหมู่วันจบการศึกษาในชุดนักเรียนไทย

อีกราย ร้านเขาก็โพสต์ว่า มาร่วมบันทึกความทรงจําในวัยรุ่น มาบันทึกช่วงเวลาดีดีกับเพื่อนรัก แล้วทางร้านเราก็มีบริการ ชุดนักเรียนไทย ชุดพละ 

และก็มีรับงานถ่ายภาพกลางคืนพร้อมรถรับส่ง คือตามเพจสตูดิโอช่างภาพที่เวียดนามเท่าที่ หาข้อมูลแบบไวไว ก็จะกดเจอไม่น้อยกว่า 10 ร้านเลยที่ให้บริการถ่ายภาพวันจบการศึกษาในคอนเซปต์นักเรียนไทย

ชุดนักเรียนไทยได้รับความนิยมโดยเฉพาะอย่างในประเทศจีนเนี่ย ก็เห็นมานานแล้วนะ แต่ที่เวียดนาม เด็กนักเรียนมัธยมเวียดนามชอบชุดนักเรียนไทย ถึงขนาดเอาไปใส่ถ่ายภาพในวันจบการศึกษา ซึ่งเป็นวันสําคัญของเขาเลยแสดงว่านักเรียนเวียดนามเขาชอบชุดนักเรียนไทยมากจริงๆ

นี่คือซอฟท์พาวเวอร์ที่แท้จริง มันคือสิ่งที่คนอื่นชื่นชอบ โดยที่เราไม่ต้องไปโฆษณาขายสิ่งนั้นเลย ชุดนักเรียนไทยเข้าข่ายเต็มเป้าเลย 

ชุดนักเรียนไทยที่ดูเก๋กู๊ดดูน่ารักใส่แล้วดูดีในสายตาของน้องๆนักเรียนเวียดนามและจากกระแสอิทธิพลของซีรีส์ไทยที่เกี่ยวกับนักเรียนไทยที่เข้าไปฉายที่นู่น จนโด่งดังในเวียดนาม หลายต่อหลายเรื่อง ก็ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่นักเรียนใส่แล้วดูดีเข้าไปอีก ลองไปหาข้อมูลเพิ่ม ก็พบว่าจุดนักเรียนไทยเนี่ย มีวางขายอยู่เต็มเวียดนามเลย ไม่ว่าจะช็อปปี้ ลาซาด้าเวียดนามก็มีชุดนักเรียนไทยโพสต์ขายเต็มไปหมด

แต่น่าเสียดาย เท่าที่แอบกดดู เหมือนจะเป็นสินค้าจีน เพราะชุดนักเรียนไทยเนี่ย ส่งมาจากประเทศจีน มันก็ไม่น่าจะใช่นะ

เดี๋ยวเราลองไปดูกันว่า เด็กมัธยมเวียดนามเขาจะคิดเห็นคอมเมนต์ กันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับชุดนักเรียน

ภาพเซตนี้ดูดีมาก

ในชั้นเรียนของหนูก็ถ่ายรูป Concept นักเรียนไทยเหมือนกันน่ารักมาก ดูแล้วเหมือนภาพในหนังไทยเลย

หนังสือรุ่นเราเอาแบบนี้กันไหม

เอาไว้ เรียนจบฉันก็อยากใส่ชุดนักเรียนไทยแบบนี้บ้าง

โอ้พระเจ้าถ่ายรูปแบบนี้มันดูดีจริงๆ

ดูเจ๋งมากเลยเพื่อนๆเราก็ถ่ายแบบนี้กันดีกว่า

ชุดนักเรียนไทยน่ารักมาก

ชุดที่ฉันปรารถนา

น่ารักเกินไปไหม

ฉันชอบการถ่ายรูปนักเรียนไทยแบบนี้มันดูสนุกสนานสดใสสำหรับพวกเราวัยรุ่น

ชายแคนาดา 2 คน ถูกสลับตัวกัน ตั้งแต่เกิดในโรงพยาบาล ผู้ว่าการรัฐฯ ขอโทษ แต่ทั้งคู่ไม่ยอม เตรียมตั้งทนาย ฟ้องค่าเสียหายแล้ว

(24 มี.ค.67) TNN World รายงานว่า มีชายชาวแคนาดา 2 คน ได้ลองตรวจดีเอ็นเอ จากชุดตรวจดีเอ็นเอแบบง่าย ที่ตรวจได้เองที่บ้าน แต่ความจริงจากชุดตรวจดีเอ็นเอ ได้เปลี่ยนชีวิตของชายวัย 70 ปีทั้งสองคนไปตลอดกาล เพราะพวกเขาเพิ่งรู้ว่า เขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับครอบครัวที่เลี้ยงดูพวกเขามาเลย

ริชาร์ด โบเวส์ จากเซเชลท์ เมืองชายฝั่งทะเลในรัฐบริติชโคลัมเบีย เติบโตขึ้นมาทั้งชีวิตโดยเชื่อว่า ตัวเขาเป็นชนพื้นเมือง แต่การตรวจดีเอ็นเอแสดงให้เห็นว่าเขามีเชื้อสายยูเครน ยิวอัซเกนัซ และโปแลนด์ผสมกัน

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ห่างออกไป 2,400 กิโลเมตร น้องสาวของเอ็ดดี แอมโบรส จากเมืองวินนิเพก รัฐแมนิโตบา เติบโตมาในครอบครัวเชื้อสายยูเครน ได้ตรวจดีเอ็นเอและพบว่า เธอไม่มีความเกี่ยวข้องกับเอ็ดดีเลย และโบเวส์คือพี่ชายที่แท้จริงของเธอ

ต้นเหตุของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับตั้งแต่วันที่พวกเขาลืมตาดูโลก ริชาร์ด โบเวส์ และเอ็ดดี แอมโบรส เกิดในวันเดียวกัน โรงพยาบาลเดียวกัน ในอาร์บอร์ก เมืองเล็ก ๆ ในรัฐแมนิโตบา เมื่อปี 1955 แต่ถูกสลับตัวกันและสลับครอบครัวผู้ให้กำเนิดตั้งแต่วันนั้น

โดยเมื่อวันที่ 21 มี.ค.67 ซึ่งผ่านไปเกือบ 70 ปี ทั้งคู่ได้รับการขอโทษอย่างเป็นทางการแบบพบหน้า จากวาบ คินิว ผู้ว่าการรัฐแมนิโตบา เนื่องจากเขาทั้งคู่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการที่ถูกสลับตัวกันตั้งแต่เกิด

คินิวกล่าวว่า วันนี้ผมมาเพื่อขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว จากการกระทำที่ทำร้ายเด็กสองคน พ่อแม่ 2 คู่ และครอบครัว 2 ครอบครัวในหลายรุ่น บางครั้งเราถูกสอนให้เรียนรู้เรื่องความเห็นอกเห็นใจ จากการลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนอื่นจะเป็นอย่างไร ถ้าคำสอนนี้เป็นความจริง แขกผู้มีเกียรติของเราในวันนี้คงจะเข้าใจเรื่องความเห็นอกเห็นใจสูงมากในระดับที่น้อยคนจะได้สัมผัส

ในสมัยเด็กแอมโบรสเคยชักชวนเด็กหญิงจากเมืองใกล้เคียง 2-3 เมืองให้เข้าร่วมทีมเบสบอลใสช่วงปิดเทอม โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า นั่นคือพี่สาวแท้ ๆ ของเขา

ส่วนโบเวส์ ในสมัยวัยรุ่น เขาชอบตกปลา มีครั้งหนึ่งที่พี่สาวแท้ ๆ ของเขา ตกปลาอยู่ข้าง ๆ กัน ซึ่งทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าแท้จริงพวกเขาเป็นพี่น้องกัน

ปัจจุบันแอมโบรสได้ติดต่อญาติและครอบครัวทางสายเลือดแล้ว และได้เข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์แมนิโตบาเมทิสของชนพื้นเมือง

ส่วนโบเวส์ก็วางแผนที่จะติดต่อกับครอบครัวทางสายเลือดของเขาเช่นกัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลูกสาวทั้งสองคนของเขาก็ได้สักคำว่า "แอมโบรส" บนแขนของพวกเขา เพื่อระลึกถึงนามสกุลที่แท้จริงของพ่อ

บิล แกนช์ ทนายของทั้งคู่ มีแผนที่จะฟ้องรัฐแมนิโทบา เนื่องจากต้องการคำขอโทษและเงินชดเชย ในเบื้องต้นจังหวัดไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับความบอบช้ำทางจิตใจที่เกิดขึ้นกับชายทั้งสอง และอ้างว่าโรงพยาบาลที่เกิดเหตุเป็นของเทศบาล ดังนั้นจึงไม่ใช่ความรับผิดชอบของจังหวัด

กรณีสลับตัวในลักษณะนี้ถูกพบเป็นครั้งที่ 3 แล้วในแคนาดา และในอนาคตอาจพบอีกเนื่องจากชุดตรวจดีเอ็นเอเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/YhbACNCaPCJCLZ52/?mibextid=oFDknk
 

นักวิจัยจีน ผ่าตัดปลูกถ่าย ตับหมูดัดแปลง สู่ร่างกายมนุษย์ได้สำเร็จ คาดจะช่วยแก้ไขปัญหา ขาดแคลนอวัยวะ ให้กับผู้ป่วยได้อีกมาก

(23 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักวิจัยของจีนประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายตับหมูดัดแปลงพันธุกรรมในผู้ป่วยที่มีภาวะสมองตาย ซึ่งตับดังกล่าวสามารถทำงานได้ดีในร่างกายมนุษย์เป็นระยะเวลา 10 วัน ก่อนที่การศึกษาดังกล่าวจะสิ้นสุดลงเมื่อวันพุธ (20 มี.ค.) ตามความต้องการของครอบครัวผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

การปลูกถ่ายครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการปลูกถ่ายอวัยวะของสัตว์สู่ร่างกายมนุษย์ โดยดำเนินการโดยโต้วเคอเฟิง นักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน และทีมงานที่นำโดยเถาไคซาน แพทย์จากโรงพยาบาลซีจิงในเครือมหาวิทยาลัยการแพทย์กองทัพอากาศ ในนครซีอัน มณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

ผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะดังกล่าวเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง และผ่านการรับรองว่ามีภาวะสมองตายในการประเมินสามครั้ง โดยครอบครัวของผู้ป่วยยินดีที่จะมีส่วนร่วมในการวิจัยข้างต้นเพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าทางการแพทย์

ทั้งนี้ แผนการผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายตับหมูดัดแปลงพันธุกรรมได้รับการพิจารณาและอนุมัติโดยคณะกรรมการด้านวิชาการและจริยธรรมต่าง ๆ และดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของจีนอย่างเคร่งครัด

โต้วระบุว่าการปลูกถ่ายอวัยวะครั้งนี้ถือเป็นการปลูกถ่ายตับหมูดัดแปลงพันธุกรรมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ครั้งแรกในวงการการแพทย์ และการวิจัยข้างต้นถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในสาขาการปลูกถ่ายข้ามสายพันธุ์ (xenotransplantation) อีกทั้งส่งมอบพื้นฐานทางทฤษฎีและประสบการณ์เชิงปฏิบัติสำหรับการทำงานทางคลินิกในอนาคต

เดวิด คูเปอร์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาด้านการปลูกถ่ายข้ามสายพันธุ์จากโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์ เจเนอรัล ในนครบอสตัน แสดงความยินดีกับทีมงานของโต้วสำหรับความสำเร็จครั้งสำคัญนี้ โดยระบุว่าการศึกษานี้ของจีนจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญว่าการปลูกถ่ายตับหมูจะสามารถช่วยให้ผู้คนมีชีวิตรอดได้หรือไม่ แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วันก็ตาม

โต้วระบุว่าการวิจัยและการประยุกต์ใช้เทคนิคการปลูกถ่ายตับข้ามสายพันธุ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคตับจำนวนมาก ทว่ายังคงมีปัญหาขาดแคลนอวัยวะในการปลูกถ่ายอย่างรุนแรง

โต้วทิ้งท้ายว่าสำหรับในอนาคต การปลูกถ่ายตับข้ามสายพันธุ์อาจเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น และกลายเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่จะแก้ปัญหาขาดแคลนอวัยวะสำหรับการปลูกถ่าย ท่ามกลางเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปอย่างต่อเนื่อง

Pizza Hut ออกเมนู ‘พิซซ่าผักชี’ ที่ญี่ปุ่น พร้อมใส่ภาษาไทย ลงไปในโปสเตอร์โปรโมต

(23 มี.ค.67) พิซซ่าในตำนาน! Pizza Hut ญี่ปุ่น ออกเมนูสูตรพิเศษ โรยหน้าผักชีแบบจุก ๆ เขียวขจีไปทั้งถาด แถมมีภาษาไทยอยู่ในโปสเตอร์

หากพูดถึง 'ผัก' ที่มีทั้งคนชื่นชอบและไม่ชอบนั้น หลายคนคงนึกถึง 'ผักชี' เป็นอย่างแรก สำหรับคนที่ไม่ชอบ แค่โรยหน้านิดเดียวก็ไม่ชอบ ส่วนคนที่ชอบนั้นก็ยิ่งกว่าคลั่งไคล้ กินคู่แทบทุกเมนูอาหาร

โดยเมื่อเดือนมีนาคมของปีก่อน ทาง Pizza Hut ของญี่ปุ่นได้ออกเมนู 'พิซซ่าผักชี' จนสร้างความฮือฮาไปทั่วโซเชียล เนื่องจากกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม ทั้งยอดขายเกินคาดและคำเรียกร้องของลูกค้า ในปีนี้ทาง Pizza Hut จึงนำเมนูพิซซ่าในตำนานกลับมาอีกครั้ง

ทั้งนี้ นอกจากเมนูพิซซ่าผักชีจะเป็นที่พูดถึงแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือ มีภาษาไทยปรากฏอยู่ในโปสเตอร์โฆษณาด้วย โดยเขียนกำกับว่า “ผักชีมากเกินไป มากกว่าหญ้า มากกว่าป่าไม้”

โดยพิซซ่าผักชีแบ่งเป็นสองแบบคือ 'พิซซ่าผักชีมากเกินไป' ที่เป็นสูตรดั้งเดิม ใช้ผักชี 3 ต้น และ 'พิซซ่าผักชีมากกว่าหญ้า มากกว่าป่า' ที่ได้เพิ่มปริมาณผักชีเป็นสองเท่า ซึ่งใช้ผักชีไปมากกว่า 6 ต้น โรยหน้าแบบจุใจเลยทีเดียว

สำหรับการจัดจำหน่าย มีขายเฉพาะขนาดกลาง หรือไซซ์ M เท่านั้น โดยพิซซ่าผักชีมากเกินไป มีราคาอยู่ที่ 2,480 เยน (ราว 594 บาท) ส่วนพิซซ่าผักชีมากกว่าหญ้า มากกว่าป่าไม้ มีราคาอยู่ที่ 2,980 เยน (ราว 713 บาท)

โดยพิซซ่าหน้าสุดพิเศษครั้งนี้จะวางขายตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 67- 14 เม.ย. 67 และมีจำหน่ายเฉพาะ Pizza Hut ญี่ปุ่นบางสาขาเท่านั้น ใครที่เป็นผักชีเลิฟเวอร์ และได้ไปเยือนญี่ปุ่น บอกเลยว่าห้ามพลาด!

เปิดยอดผู้เสียชีวิต 'กราดยิงคอนเสิร์ต' ในรัสเซีย พุ่ง 60 ศพ เจ็บ 145 คน ด้านสหรัฐฯ ยัน!! รู้ข่าวกรองล่วงหน้า จึงเตือนมะกันอพยพตั้งแต่ต้นเดือน

(23 มี.ค.67) ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุกลุ่มมือปืนบุกกราดยิงและวางเพลิงคอนเสิร์ตวงร็อคที่ชานกรุงมอสโกเมื่อวันศุกร์ (22 มี.ค.) เพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 60 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 145 คน โดยกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบ ขณะที่สหรัฐฯ เผยได้รับข่าวกรองเตือนล่วงหน้าว่าจะมีเหตุโจมตีเกิดขึ้น และได้เตือนพลเมืองอเมริกันให้เดินทางออกจากรัสเซีย หรือหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีการรวมคนจำนวนมากๆ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

ในการโจมตีครั้งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับรัสเซียนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่พวกอิสลามิสต์จับครูและนักเรียนกว่า 1,000 คนเป็นตัวประกันที่โรงเรียนเบสลัน (Beslan School) เมื่อปี 2004 กลุ่มมือปืนได้สาดกระสุนเข้าใส่ประชาชนที่เข้าชมคอนเสิร์ตวง 'ปิกนิก' ซึ่งเป็นวงร็อคยุคโซเวียต ภายใน 'โครคัส ซิตี้ ฮอลล์' ซึ่งเป็นฮอลล์คอนเสิร์ตทางตะวันตกของกรุงมอสโกที่จุผู้เข้าชมได้ถึง 6,200 คน

ภาพจากคลิปวิดีโอที่ผ่านการยืนยันแล้วจะเห็นผู้คนเข้าไปนั่งในฮอลล์คอนเสิร์ต จากนั้นก็พากันวิ่งกรูไปยังทางออกต่างๆ ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังขึ้นต่อเนื่องและเสียงหวีดร้องของผู้คน นอกจากนี้ยังมีคลิปที่กลุ่มชายฉกรรจ์กราดยิงเข้าใส่ฝูงชน และมีเหยื่อบางคนนอนแน่นิ่งจมกองเลือด

พนักงานสอบสวนรัสเซียออกมายืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิต ณ ขณะนี้มากกว่า 60 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายงานยอดผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 145 คน ในจำนวนนี้มีอยู่ราวๆ 60 คนที่อาการสาหัส

ทำเนียบเครมลินระบุว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน กำลังติดตามข้อมูลอัปเดตสถานการณ์จากบรรดาหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคง รวมถึง อเล็กซานเดอร์ บอร์ตนิคอฟ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงกลางของรัสเซีย (FSB)

พนักงานสอบสวนรัสเซียยังได้เผยแพร่ภาพปืนไรเฟิลคาลาชนิคอฟอัตโนมัติ 1 กระบอกซึ่งเป็นอาวุธของกลุ่มคนร้าย รวมถึงเสื้อกั๊กที่มีกระสุนสำรอง และกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเครื่องกระสุนอีกจำนวนมาก

สำนักข่าวอามัก (Amaq) ของกลุ่มไอเอสได้แถลงยืนยันผ่านเทเลแกรมว่า นักรบไอเอสอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีคอนเสิร์ตที่ชานกรุงมอสโก โดยได้ “สังหารและทำให้ผู้คนบาดเจ็บไปหลายร้อยคน รวมถึงสร้างความเสียหายรุนแรงต่อสถานที่ ก่อนจะถอนกำลังกลับสู่ที่ตั้งอย่างปลอดภัย”

สื่อรัสเซียบางสำนักได้เผยแพร่ภาพชาย 2 คนที่คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มคนร้ายขับขี่ยานพาหนะสีขาว โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่ามือปืนถูกจับกุมได้หรือไม่อย่างไร เนื่องจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องรับมือกับเหตุไฟไหม้รุนแรงที่เกิดขึ้น และหน่วยฉุกเฉินก็ต้องเร่งอพยพผู้ชมคอนเสิร์ตออกมา และมีรายงานว่าหลังคาคอนเสิร์ตฮอลล์บางส่วนพังถล่มลงมาด้วย

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งออกมาให้ข้อมูลวานนี้ (22) ว่า รัฐบาลอเมริกันได้รับข่าวกรองยืนยันว่าเหตุการณ์นี้เป็นฝีมือกลุ่มไอเอสจริง และวอชิงตันเคยเตือนมอสโกล่วงหน้าไปแล้วหลายสัปดาห์ว่าอาจจะเกิดเหตุโจมตีขึ้น

“เราได้มีการแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่รัสเซียไปแล้วอย่างเหมาะสม” เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนามระบุ และไม่ขอให้รายละเอียดเพิ่มเติม

เหตุกราดยิง โครคัส ซิตี้ ฮอลล์ ซึ่งอยู่ห่างจากทำเนียบเครมลินไปเพียง 20 กิโลเมตรเกิดขึ้นเพียงราวๆ 2 สัปดาห์ หลังจากที่สถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงมอสโกได้ออกคำเตือนว่าจะมี 'กลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่ง' วางแผนก่อเหตุโจมตีภายในกรุงมอสโก

ก่อนที่สถานทูตอเมริกันจะออกคำเตือนแค่ไม่กี่ชั่วโมง FSB ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลงานด้านข่าวกรองต่อจากองค์กรสายลับ KGB ในยุคสหภาพโซเวียตของรัสเซีย ประกาศว่าสามารถสกัดแผนของเครือข่ายไอเอสในอัฟกานิสถานที่เตรียมโจมตีโบสถ์ยิวแห่งหนึ่งในกรุงมอสโก

FSB ระบุว่า เครือข่าย IS กลุ่มนี้ปฏิบัติการอยู่ในภูมิภาคคาลูกา (Kaluga) ของรัสเซีย โดยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ISIS-Khorasan ซึ่งมีเป้าหมายสถาปนารัฐคอลีฟะห์ที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามขึ้นในพื้นที่แถบอัฟกานิสถาน ปากีสถาน เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน และอิหร่าน

ปูติน ได้ทำให้สงครามกลางเมืองซีเรียเปลี่ยนทิศทางด้วยการเข้าแทรกแซงในปี 2015 โดยช่วยหนุนหลังรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ต่อสู้กับพวกฝ่ายค้าน รวมถึงกลุ่มไอเอสด้วย

คอลิน คลาร์ก ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ Soufan Center ระบุว่า “ISIS-K จ้องหาโอกาสโจมตีรัสเซียมาตลอด 2 ปี และสื่อโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขาก็มักจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ ปูติน ด้วยเสมอ”

มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ระบุว่า นี่คือ “การก่อการร้ายนองเลือด” ที่ผู้คนทั่วโลกสมควรร่วมกันประณาม

สหรัฐฯ รวมถึงบรรดาชาติในยุโรป กลุ่มรัฐอาหรับ และอดีตรัฐในสหภาพโซเวียต ต่างแสดงความตกตะลึงและส่งสารแสดงความเสียใจไปยังรัสเซียเกี่ยวกับเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น ขณะที่ มีไคโล โปโดลยัค ที่ปรึกษาของประธานาธิบดียูเครน ยืนยันว่างานนี้เคียฟ 'ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง'


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top