Wednesday, 2 April 2025
WORLD

องค์การอนามัยโลกเผยจำนวนผู้ป่วยโรคหัดพุ่ง ยูนิเซฟชี้เป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 25 ปี

(14 มี.ค. 68) องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) เปิดเผยข้อมูลที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์โรคหัดในภูมิภาคยุโรป โดยพบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหัด เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่ในปี 2567 ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2540

การวิเคราะห์โดยองค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ พบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหัดที่รายงานในภูมิภาคยุโรป เพิ่มขึ้นเป็น 127,352 รายในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากจำนวนที่รายงานในปีก่อนหน้า

“โรคหัดกลับมาอีกแล้ว และเป็นการเตือนสติให้ตื่นตัว หากไม่มีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูง ก็ไม่มีหลักประกันสุขภาพ” ดร. ฮันส์ พี. คลูเก้ ผู้อำนวยการภูมิภาคยุโรปของ WHO กล่าวในแถลงการณ์

รายงานจากทั้งสององค์กรระบุว่า การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคหัดในยุโรปเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการลดลงของอัตราการฉีดวัคซีนในบางประเทศ รวมถึงความท้าทายในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ซึ่งส่งผลให้เด็กและผู้ที่มีความเสี่ยงสูงไม่ได้รับการป้องกันที่เพียงพอจากโรคหัด

ทาง WHO และยูนิเซฟได้เรียกร้องให้ทุกประเทศในยุโรปเร่งดำเนินการเพิ่มการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคหัด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อาจตกเป็นเป้าหมายของโรคนี้ นอกจากนี้ยังมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน

ทั้งนี้ โรคหัดเป็นโรคติดต่อที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน และการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยในยุโรปครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างการเข้าถึงวัคซีนในพื้นที่ที่ยังมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เพื่อป้องกันการระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

‘ทรัมป์’ สนับสนุนผนวกกรีนแลนด์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ รัฐบาลกรีนแลนด์ลั่นไม่เห็นด้วย ขู่มะกันห้ามเข้ามาแทรกแซง

(14 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของกรีนแลนด์ โดยระบุว่า กรีนแลนด์มีโอกาสสูงที่จะผนวกเข้ากับสหรัฐฯ ในอนาคต ภายหลังจากที่ในช่วงปี 2019 เขาเคยเสนอให้สหรัฐฯ ซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย

ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า กรีนแลนด์เป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และตั้งอยู่ในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางการทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เขาชี้ว่า กรีนแลนด์มีทั้งทรัพยากรแร่ธาตุและการเข้าถึงเส้นทางการค้าทางทะเลที่มีมูลค่าสูงในอนาคต

ทรัมป์กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่ากรีนแลนด์มีโอกาสที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ในอนาคต เพราะมันมีความสำคัญทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างยิ่ง ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงและมีการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นมากขึ้น”

แม้ว่าข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์ในอดีตจะไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลเดนมาร์กและประชาชนในกรีนแลนด์ แต่การพูดถึงความเป็นไปได้ในการผนวกกรีนแลนด์เข้ากับสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากทั้งสื่อและนักการเมืองทั่วโลก

สำหรับกรีนแลนด์ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก และมีการปกครองตนเองในหลายๆ ด้าน แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก โดยมีข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องอธิปไตยและการปกครอง

ขณะที่ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีมูเต เอเกเดแห่งกรีนแลนด์ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งได้ประกาศว่าจะเรียกประชุมผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศ เพื่อแสดงจุดยืนและความไม่เห็นด้วยต่อแผนการผนวกกรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เราไม่สามารถยอมรับแผนการที่จะทำให้กรีนแลนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับประชาชนในกรีนแลนด์และรัฐบาลของเรา” เขายังเน้นย้ำว่า กรีนแลนด์มีความเป็นอธิปไตยและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศต้องมาจากประชาชนและรัฐบาลของกรีนแลนด์เท่านั้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่า กรีนแลนด์ยังคงยืนหยัดในการรักษาความเป็นอิสระและอธิปไตยของตนเอง ไม่ให้มีการแทรกแซงจากภายนอก

ร้านหม้อไฟชื่อดัง ประกาศจ่ายเงินชดเชยให้ลูกค้า 4,000 ราย หลังเกิดเหตุการณ์วัยรุ่นปัสสาวะลงในหม้อซุป สร้างความตกใจไปทั่วโลก

(14 มี.ค. 68) ร้านหม้อไฟชื่อดัง 'ไหตี่เลา' (Haidilao) ประเทศจีน ประกาศจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้กับลูกค้ากว่า 4,000 รายที่เคยไปใช้บริการที่สาขาหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในร้านอาหารสาขาดังกล่าว โดยเหตุการณ์นี้ได้สร้างความไม่พอใจและความวิตกกังวลให้กับลูกค้าอย่างมาก

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดหลังปรากฏคลิปวิดีโอวัยรุ่น 2 คนยืนปัสสาวะ ลงในหม้อซุปของทางร้านจนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทำให้เกิดความตกใจและไม่พอใจในหมู่ลูกค้าคนอื่นๆ รวมถึงผู้ที่ทำงานภายในร้าน 

ส่งผลให้ต่อมาร้านหม้อไฟชื่อดังได้ทำการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเจี้ยนหยาง มณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท ซึ่งทางตำรวจได้เปิดเผยว่า 

ผู้ต้องหาทั้งสองราย คือชายแซ่ถังและแซ่อู๋ อายุ 17 ปี ได้ถูกจับกุมตัวและนำตัวไปสอบสวน โดยทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาก่อเหตุที่ไม่เหมาะสมในสถานที่สาธารณะ ซึ่งทางตำรวจกำลังดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

ทั้งนี้ ทางร้านไหตี่เลาได้ออกมาขอโทษลูกค้าและยืนยันว่า จะมีการปรับปรุงการบริการและการดูแลลูกค้าในทุกสาขา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้ ทางร้านยังยืนยันว่าจะมีการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพภายในร้านอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

บริษัทไหตี่เลา ระบุในแถลงการณ์ว่า “เราเข้าใจดีว่าความเดือดร้อนที่ลูกค้าของเราได้รับจากเหตุการณ์นี้ไม่อาจชดเชยได้ทั้งหมดด้วยวิธีใดๆ เราเต็มใจที่จะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อรับผิดชอบ” 

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว จะได้รับการชดเชยเป็นเงินเยียวยาที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายและความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น โดยทางร้านได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการอย่างรวดเร็วและยุติธรรม

ปธน.โปแลนด์ เผยต้องการนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการรุกรานจากรัสเซียในยุโรปตะวันออก

(14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีอันด์แชย์ ดูดา ของโปแลนด์ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธนิวเคลียร์เข้าประจำการในดินแดนโปแลนด์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและเป็นเครื่องมือในการป้องปรามการรุกรานจากรัสเซียในอนาคต ซึ่งคำเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่โปแลนด์ยังคงเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการรุกรานของรัสเซียในภูมิภาคยุโรปตะวันออก

ในคำแถลงของเขาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีดูดาได้กล่าวว่า โปแลนด์จำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งทางทหารในฐานะสมาชิกขององค์การนาโต้ (NATO) โดยการมีอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของตนจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการป้องปรามและเพิ่มความมั่นคงให้กับทั้งโปแลนด์และพันธมิตรในภูมิภาค

การเรียกร้องของประธานาธิบดีโปแลนด์มีขึ้นหลังจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งทำให้หลายประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ รู้สึกถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และต้องการเพิ่มความเข้มแข็งด้านการป้องกันประเทศ

แม้ว่าการประจำการของอาวุธนิวเคลียร์ในโปแลนด์จะเป็นการกระทำที่อาจกระตุ้นความตึงเครียดกับรัสเซีย แต่ประธานาธิบดีดูดาก็ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อการป้องกันประเทศในระยะยาว และจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค

การเรียกร้องของโปแลนด์ได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศในนาโต้ แต่ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้และผลกระทบทางการเมืองจากการที่สหรัฐอเมริกาจะยอมรับคำขอนี้หรือไม่

นอกจากนี้ อันด์แชย์ ดูดา แห่งโปแลนด์ได้แสดงความยินดีต้อนรับข้อเสนอของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ที่จะขยายขอบเขตการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสไปยังประเทศสมาชิกนาโต้ (NATO) อื่นๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในยุโรป โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกของยุโรปที่มีความตึงเครียดจากการรุกรานของรัสเซีย

ทั้งนี้ การขยายขอบเขตของอาวุธนิวเคลียร์ฝรั่งเศสอาจกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในกลุ่มนาโต้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารระหว่างประเทศมหาอำนาจต่างๆ การตัดสินใจในการขยายอาวุธนิวเคลียร์จะต้องพิจารณาผลกระทบทั้งในด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศ

อนาคตของ ‘เซเลนสกี’ อยู่ในภาวะวิกฤต หลังสหรัฐฯ กังวลความสามารถในการรักษาความมั่นคงยูเครน

(14 มี.ค. 68) โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการดำรงตำแหน่งผู้นำของเขา โดยมีความกังวลเพิ่มขึ้นในวอชิงตันเกี่ยวกับความชอบธรรมของเขาในการเป็นผู้นำยูเครนในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับวิกฤตสงครามกับรัสเซีย

ตามรายงานจากหลายแหล่งข่าวในกรุงเคียฟและวอชิงตัน ระบุว่าในขณะนี้หลายฝ่ายในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเซเลนสกี และความสามารถของเขาในการรักษาความมั่นคงของประเทศในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ทั้งในด้านการทูตและความคืบหน้าในการเจรจาทางการทหาร

แหล่งข่าวในวอชิงตันกล่าวว่า มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการของเซเลนสกี โดยเฉพาะในการจัดการทรัพยากรทางทหารและการดำเนินนโยบายภายในที่อาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือของเขาในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพันธมิตรทางทหารของยูเครน

“เราอยู่ในการทำหน้าที่ท้ายๆ ของประธานาธิบดีเซเลนสกี” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนบอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของโวโลดิมีร์ เซเลนสกี โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนอ้างว่า การบริหารงานของเขาในช่วงท้ายๆ ของวาระกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการทูต การรักษาความมั่นคงของประเทศ และการจัดการวิกฤตสงครามที่ยืดเยื้อกับรัสเซีย 

ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีก็ยังคงเดินหน้าพยายามรักษาความเป็นผู้นำของเขา โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ยูเครนจะต้องได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของโวโลดิมีร์ เซเลนสกีในฐานะประธานาธิบดียูเครนจะหมดลงในปี 2024 โดยเขาได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกในวันที่ 31 มีนาคม 2019 และได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 พฤษภาคม 2019

นายกฯ เมืองผู้ดีสั่งยุบ ระบบบริการสาธารณสุข (NHS) ตามแนวทาง 'ทรัมป์' ลดขนาดรัฐบาล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวเดอะไทมส์ รายงานว่า เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ได้ประกาศยุบหน่วยงาน NHS England ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่ดูแลระบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติ (NHS) โดยให้เหตุผลว่าต้องการลดระบบราชการที่ซ้ำซ้อนและประหยัดงบประมาณของประเทศ

การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการย้อนกลับการปรับโครงสร้าง NHS ที่เกิดขึ้นในปี 2012 โดยรัฐบาลผสมของพรรคอนุรักษนิยมและพรรคเสรีประชาธิปไตย โดยนายสตาร์เมอร์ระบุว่าการยุบ NHS England จะนำการบริการสาธารณสุขกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐมนตรีโดยตรง ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

อย่างไรก็ตาม การประกาศดังกล่าวได้สร้างความกังวลในหมู่สหภาพแรงงานและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เนื่องจากเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของพนักงานและคุณภาพการบริการ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าการยุบหน่วยงานอาจนำไปสู่การสูญเสียงานของพนักงาน NHS England กว่า 9,500 ตำแหน่ง

ในขณะเดียวกัน นักวิจารณ์บางส่วนตั้งคำถามว่าการยุบ NHS England จะช่วยลดระบบราชการและประหยัดงบประมาณได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความซับซ้อนของการปรับโครงสร้างองค์กรขนาดใหญ่เช่นนี้

การประกาศยุบ NHS England ครั้งนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของรัฐบาลในการลดขนาดหน่วยงานรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นแนวทางที่เคยถูกนำเสนอโดยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์

ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการยุบ NHS England และวิธีการจัดการกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบบริการสาธารณสุขและพนักงานที่เกี่ยวข้อง

เกาหลีเหนือเตือนญี่ปุ่นอย่าติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกล มิฉะนั้นจะเจอมาตรการตอบโต้ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ร้ายแรง

(20 มี.ค. 68) เกาหลีเหนือออกแถลงการณ์เตือนรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างดุเดือด กรณีมีแผนติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลของสหรัฐฯ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นเกาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวจะยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาค และอาจกระตุ้นให้เกิดมาตรการตอบโต้จากเปียงยาง

สื่อของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือออกมาประณามแผนดังกล่าว โดยชี้ว่าเป็นการยั่วยุที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านความมั่นคงในเอเชียตะวันออก พร้อมเตือนว่าหากญี่ปุ่นยังเดินหน้าโครงการนี้ เปียงยางจะพิจารณามาตรการป้องกันเชิงรุกเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากโตเกียว

“การติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลในพื้นที่ที่สามารถยิงถึงเกาหลีเหนือได้ ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรง และจะผลักดันให้สถานการณ์ในภูมิภาคเข้าสู่ความไม่แน่นอนที่อันตราย” แถลงการณ์ระบุ

สำหรับปุ่นกำลังพิจารณาติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่น Tomahawk และขีปนาวุธของสหรัฐฯ ที่สามารถยิงโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึงเกาหลีเหนือ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนเสริมขีดความสามารถป้องกันประเทศท่ามกลางภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและจีน

แผนดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านกลาโหมใหม่ของญี่ปุ่นที่มุ่งเพิ่มศักยภาพการโจมตีตอบโต้ (counterstrike capability) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากแนวทางการป้องกันตัวเองของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เกาหลีเหนือและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์มาอย่างยาวนาน โดยญี่ปุ่นมักแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ขณะที่เปียงยางมองว่าการที่ญี่ปุ่นเพิ่มศักยภาพทางทหารเป็นภัยคุกคามโดยตรง

ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบขีปนาวุธหลายครั้ง ซึ่งบางครั้งได้ยิงข้ามน่านฟ้าของญี่ปุ่น ทำให้โตเกียวต้องยกระดับมาตรการป้องกันภัยทางอากาศ และพิจารณาปรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น

ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคำเตือนจากเกาหลีเหนือ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่าประเทศมีสิทธิ์ดำเนินมาตรการด้านความมั่นคงเพื่อปกป้องตนเองจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

สถานการณ์นี้นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจเพิ่มความร้อนแรงให้กับความขัดแย้งในเอเชียตะวันออก ซึ่งยังคงเป็นจุดสนใจของประชาคมระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด

‘ปูติน’ ลงพื้นที่เยือนศูนย์บัญชาการทหารในเคิร์สก์ มุ่งเสริมความมั่นคงรับมือภัยคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม

(13 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียลงพื้นที่เยือน ศูนย์บัญชาการทหาร ที่ควบคุมการปฏิบัติการใน ภูมิภาคเคิร์สก์ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่มีความตึงเครียดทางทหารในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยการเยือนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค และสั่งการให้ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามจากกองกำลังฝ่ายตรงข้าม

ปูตินได้เสนอแนวทางการจัดตั้งเขตความมั่นคง ตามแนวชายแดนของรัสเซีย เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการป้องกันประเทศและยับยั้งการบุกรุกจากฝ่ายตรงข้ามที่อาจเข้ามาก่อความไม่สงบในพื้นที่ดังกล่าว เขตความมั่นคงที่เสนอนี้จะมีการจัดตั้งการป้องกันทางทหารอย่างเข้มงวด และมีกองกำลังรัสเซียประจำการอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ปูตินได้สั่งการให้ขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้าม ออกจากภูมิภาคเคิร์สก์ โดยระบุว่า รัสเซียจะไม่ยอมให้มีกองกำลังที่ไม่เป็นมิตรทำการแทรกแซงหรือขัดขวางการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่สำคัญนี้ การขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้ามถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเสริมสร้างความมั่นคงและปกป้องดินแดนของรัสเซียในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดทางการเมือง และทหารในภูมิภาคยูเครนรวมถึงเขตพื้นที่ใกล้เคียง

โดยในระหว่างการแถลงข่าว ปูตินได้เน้นย้ำว่า การปลดปล่อยภูมิภาคเคิร์สก์ จากการควบคุมของกองกำลังฝ่ายตรงข้ามจะเป็นก้าวสำคัญในการรักษาความมั่นคงและอำนาจการปกครองในภูมิภาค โดยเขาแสดงความเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติการทางทหารที่รุนแรงและมีความมุ่งมั่นจะสามารถนำไปสู่ชัยชนะในที่สุด

ปูตินยังกล่าวเสริมว่า ทหารฝ่ายตรงข้ามที่ถูกจับกุมในเคิร์สก์ ควรได้รับการปฏิบัติเสมือนเป็น ผู้ก่อการร้าย ตามกฎหมายของรัสเซีย โดยอ้างว่าผู้ที่ต่อต้านการปกครองของรัสเซียในภูมิภาคนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและการปกครองของรัฐ จึงต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมายที่เคร่งครัด

การเยือนของปูตินในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลรัสเซียในการรักษาอำนาจทางทหารในพื้นที่ยุทธศาสตร์ และสร้างการควบคุมที่เข้มงวดในภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อรัสเซีย โดยเฉพาะเมื่อมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงจากต่างชาติในพื้นที่เหล่านี้

รัฐสภายุโรปมีญัตติให้ใช้การเจรจา ตกลงการค้าเสรี FTA กดดันรัฐบาลไทยหยุดเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และปฏิรูปกฎหมาย ม.112

(13 มี.ค. 68) รัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้มีมติร่วมเพื่อแก้ปัญหา (Joint Motion for a Resolution) เรียกร้องให้ประเทศไทยดำเนินการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) และยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน

ข้อเรียกร้องสำคัญจากรัฐสภายุโรป ซึ่งขอให้ปฏิรูปกฎหมายมาตรา 112 โดยรัฐสภายุโรปแสดงความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) ที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เพื่อรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การชุมนุมโดยสงบ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน

โดยขอให้ยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยอุยกูร์ รัฐสภายุโรปประณามการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน ซึ่งระบุว่าการกระทำดังกล่าวอาจทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกประหัตประหาร และเรียกร้องให้ประเทศไทยยุติการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัย รวมถึงผู้เห็นต่างทางการเมืองกลับสู่ประเทศที่อาจทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อชีวิต

อีกทั้งใช้เวทีเจรจา FTA (Free Trade Agreement) หรือ ข้อตกลงการค้าเสรี เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรปใช้เวทีการเจรจาลงนามความร่วมมือเขตการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพยุโรป เพื่อกดดันประเทศไทยให้มีการปฏิรูปกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และให้สัตยาบันอนุสัญญาหลักทั้งหมดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) 

ด้านรัฐบาลไทยยังไม่มีการตอบสนองอย่างเป็นทางการต่อมติของรัฐสภายุโรป อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ได้แสดงความสนใจในประเด็นนี้ โดยเตรียมเดินทางไปตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับประเทศจีน เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและตอบข้อสงสัยของประชาคมโลก

นอกจากนี้ มีรายงานว่า สภาอุยกูร์โลกได้แสดงความกังวลต่อแผนการของรัฐบาลไทยในการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่โทษประหารชีวิต และเรียกร้องให้ประชาคมโลกดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัยเหล่านี้

ทั้งนี้ มติของรัฐสภายุโรปครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลของประชาคมระหว่างประเทศต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะในประเด็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ การตอบสนองของรัฐบาลไทยต่อมติดังกล่าวจะเป็นที่จับตามองของทั้งประชาชนภายในประเทศและประชาคมโลก

รัฐบาลเวียดนามประกาศโครงการใหม่ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียน เพื่อสร้างเยาวชนพร้อมสำหรับโลกการศึกษาในระดับสากลนำมาพัฒนาเศรษฐกิจ

(13 มี.ค. 68) รัฐบาลเวียดนาม ได้ประกาศแผนการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านภาษาในประเทศ โดยจะมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียนทั่วประเทศ ภายในปี 2035 เป้าหมายหลักของโครงการคือการทำให้ เด็กทุกคนในเวียดนาม สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลเวียดนามได้เริ่มต้นโครงการนี้โดยการพัฒนาแผนการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมและมัธยม โดยจะมีการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับการศึกษาขั้นสูง อีกทั้งยังมีการจัดอบรมและสนับสนุนให้ครูผู้สอนภาษาอังกฤษมีความเชี่ยวชาญและสามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวียดนามตั้งเป้าหมายพัฒนาแรงงานที่มีทักษะ โดยการศึกษาภาษาอังกฤษจะไม่เพียงแค่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยว และการค้าในระดับสากล

การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา นี้จะช่วยให้ เยาวชนเวียดนาม สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความรู้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงและเป็นโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น

การปฏิรูปการศึกษา ในเวียดนามนี้จะเป็นการยกระดับประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการศึกษาและเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะทำให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มี การแข่งขันด้านภาษา สูงในเอเชียและทั่วโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

‘อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี’ เตือนประชาคมโลกอย่าหลงเชื่อคำพูดสหรัฐฯ ชี้วอชิงตันใช้การเจรจาเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างภาพลักษณ์

(13 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี (Ayatollah Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้กล่าวในระหว่างการบรรยายสาธารณะว่า การที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เผยพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านและเชิญชวนให้เจรจา นั้นเป็นเพียงการหลอกลวงความคิดของประชาคมโลก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการเปิดการสนทนาและการยอมรับการเจรจาเท่านั้น

“การกล่าวถึงการเจรจาของสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงความพยายามที่จะหลอกลวงประชาคมโลกเกี่ยวกับการแสดงออกของอเมริกาในการไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของอิหร่าน” ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กล่าว พร้อมกับเสริมว่า “อิหร่านจะไม่ถูกหลอกให้เชื่อในคำพูดของสหรัฐฯ ซึ่งมีประวัติในการทำลายข้อตกลงระหว่างประเทศ”

การแถลงของผู้นำสูงสุดของอิหร่านเกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เคยกล่าวในหลายโอกาสว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ในอนาคต โดยประธานาธิบดีไบเดนหวังว่าจะสามารถหาทางออกเพื่อยุติความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ผ่านการเจรจา

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าเขาได้ส่งจดหมายถึง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเชิญชวนให้อิหร่านเข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับ โครงการนิวเคลียร์ ระหว่างสองประเทศ โดยเขาระบุว่า การเจรจานี้จะเป็นการหาทางออกอย่างสันติ และ “จะช่วยหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาค”

อย่างไรก็ตาม, อิหร่าน ยังคงยืนยันในจุดยืนที่ไม่ยอมรับการเจรจาต่อเงื่อนไขเดิมที่ไม่เป็นธรรม และยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ซึ่งสหรัฐฯ ถอนตัวในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งเมื่อครั้งก่อน 

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ในการจัดการกับปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน โดยทรัมป์ได้กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ไม่สามารถปกป้องสหรัฐฯ และพันธมิตรจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ และกล่าวหาว่าอิหร่านยังคงดำเนินกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาค

“เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ มีคำกล่าวกันว่าจะไม่ยอมให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่หากเราต้องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ อเมริกาก็ไม่สามารถหยุดเราได้ เป็นความจริงที่ว่าเราไม่มีอาวุธนิวเคลียร์และไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ก็เพราะตัวเราเองไม่ต้องการมัน” คาเมเนอี กล่าว

สำหรับการที่ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ออกมาพูดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียดและไม่มีท่าทีที่จะคลี่คลายในอนาคตอันใกล้ 

ทั้งนี้ คำพูดของผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในเจตนาของสหรัฐฯ โดยอิหร่านมองว่าการเสนอเจรจาของสหรัฐฯ เป็นเพียงกลยุทธ์ในการบิดเบือนความจริงและไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในท่าทีของอิหร่านได้

จีน เร่งพัฒนาหลักสูตร AI ด้วยเทคโนโลยี DeepSeek ขณะที่มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งทยอยเปิดสอนเต็มรูปแบบ

ฮ่องกง, 22 กุมภาพันธ์ 2025 – มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศจีนเริ่มเปิดสอนหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยใช้เทคโนโลยีของ DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จากหางโจวที่กำลังเป็นที่จับตามองในระดับโลก หลายฝ่ายเปรียบเทียบความก้าวหน้านี้เป็น 'ช่วงเวลาสปุตนิก' ของจีนในอุตสาหกรรม AI

รัฐบาลจีนเดินหน้ายกระดับการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเป้าหมายสร้างรากฐานทางปัญญาให้เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ขณะที่ DeepSeek ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้เชี่ยวชาญในซิลิคอนวัลเลย์และวิศวกรจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ โดยระบุว่าโมเดล DeepSeek-V3 และ DeepSeek-R1 สามารถแข่งขันกับ AI ขั้นสูงของ OpenAI และ Meta ได้อย่างสูสี

มหาวิทยาลัยเซินเจิ้น ในมณฑลกวางตุ้งตอนใต้ เปิดเผยว่าหลักสูตร AI ที่ใช้เทคโนโลยี DeepSeek จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจเทคโนโลยีสำคัญ รวมถึงประเด็นด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และจริยธรรม ขณะที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เริ่มเปิดหลักสูตรพิเศษเกี่ยวกับ DeepSeek ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์

มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เจียทง เปิดเผยผ่านช่องทาง WeChat อย่างเป็นทางการว่าได้นำ DeepSeek มาใช้พัฒนาเครื่องมือการเรียนรู้ AI ขณะที่มหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีน ก็เริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในหลายด้าน ตั้งแต่การเรียนการสอน การวิจัย ไปจนถึงการบริหารภายในมหาวิทยาลัย

นโยบายเร่งด่วนด้านการศึกษาของจีนยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนา AI เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จีนได้ประกาศแผนปฏิบัติการแห่งชาติฉบับแรกเพื่อสร้าง “ประเทศที่มีการศึกษาที่แข็งแกร่ง” ภายในปี 2035 โดยตั้งเป้าพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพระดับโลก

นอกจากนี้ หลี่อัง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek ยังได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสำคัญเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ซึ่งมี ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และผู้นำเทคโนโลยีชั้นนำของจีน เช่น อาลีบาบา เข้าร่วม ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณบ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับ AI เป็นอย่างมาก

ขณะที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อแข่งขันกับโลกตะวันตก คำถามสำคัญที่ตามมาคือ DeepSeek จะสามารถรักษาความก้าวหน้าของตนได้หรือไม่? และ อุตสาหกรรม AI ของจีนจะสามารถขยายตัวจนเป็นผู้นำระดับโลกได้หรือเปล่า?

USAID ได้รับคำสั่งให้ทำลายเอกสารลับและแฟ้มบุคลากร ก่อให้เกิดความกังวลด้านความโปร่งใส ท่ามกลางกระบวนการยุบหน่วยงาน

(12 มี.ค. 68) เคย์ล่า เอปสเตน ผู้สื่อข่าวจากบีบีซี รายงานว่า สำนักงานพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้รับคำสั่งให้ทำลายเอกสารลับและแฟ้มบุคลากร โดยการย่อยเอกสารและเผาทิ้ง ท่ามกลางกระบวนการยุบหน่วยงานที่กำลังดำเนินอยู่ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ 

โดยคำสั่งดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลในหมู่พนักงานและกลุ่มแรงงาน ซึ่งเกรงว่าจะกระทบต่อความโปร่งใสและกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานนี้

ก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยว่า เอริก้า วาย. คาร์ (Erica Y. Carr) รักษาการเลขาธิการบริหาร ได้ส่งอีเมลถึงเจ้าหน้าที่ขอบคุณที่ทำการเคลียร์ตู้เซฟลับและเอกสารบุคลากรจากสำนักงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมแจ้งให้พนักงานมารวมกันที่ล็อบบี้ของอาคารเพื่อจัดกิจกรรมการกำจัดเอกสารที่ไม่จำเป็น และได้ทำลายเอกสารตลอด 1 วันเต็ม

สำหรับเนื้อหาในอีเมล ระบุว่า “ทำลายเอกสารให้ได้มากที่สุดก่อนแล้วเผา โดยให้ใช้เมื่อเครื่องทำลายเอกสารช่วยอีกแรง” อีเมลยังระบุให้พนักงานใส่เอกสารในถุงสำหรับเผาและปิดผนึกถุงก่อนนำไปเผาที่สถานที่ปลอดภัย พร้อมติดป้าย “SECRET” และ “USAID (B/IO)”

การทำลายเอกสารดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระบวนการปรับโครงสร้างหน่วยงานที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งถือบางส่วนของการปรับโครงสร้างที่ได้เริ่มขึ้นภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ โดยการลดขนาดของ USAID รวมถึงการระงับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ 

สมาคมการบริการต่างประเทศของอเมริกา (AFSA) ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงาน USAID ได้แสดงความตกใจเกี่ยวกับคำสั่งนี้และเตือนว่าการทำลายเอกสารอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการทางกฎหมายและการตรวจสอบภายในหน่วยงาน โดยเฉพาะในกรณีที่เอกสารดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องเกี่ยวกับการเลิกจ้างพนักงานและการยุติการให้ทุน

กฎหมายของรัฐบาลกลาง ระบุว่าหน่วยงานต้องเก็บรักษาบันทึกของรัฐบาลไว้เพื่อความโปร่งใส การทำลายเอกสารอาจมีผลกระทบทางกฎหมาย หากทำโดยไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแห่งชาติ เคล แมคคลานาฮาน (Kel McClanahan) ผู้อำนวยการบริหารของ National Security Counselors ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานบริหารเอกสารและบันทึกแห่งชาติ เพื่อให้หยุดการทำลายเอกสาร และเตือนว่า การสูญเสียบันทึกบุคลากรอาจทำให้เกิดความยุ่งยากร้ายแรงในการตรวจสอบและประมวลผลสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของพนักงาน

ทั้งนี้ USAID ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ถูกปรับโครงสร้างอย่างหนักภายใต้การบริหารของทรัมป์ โดยมีการลดขนาดและการยกเลิกโครงการต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาในต่างประเทศ

ประชาธิปไตยแบบจีน ขยับแซงหน้า สหรัฐฯ แถมเหนือกว่า ทั้งเศรษฐกิจ – สวัสดิการ - ความเป็นอยู่

เมื่อวันที่ (11 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘ลึกชัดกับผิงผิง’ สื่อที่อยู่ภายใต้การควบคุมจากรัฐของจีน โพสต์ข้อความว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบจีนแซงหน้าประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา

ตอนที่เพิ่งสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือที่เรียกสั้นๆว่าจีนใหม่ นายปา จินนักเขียนชื่อดังชาวจีนกล่าวว่า “ผมไม่กล้าฝัน เพราะโดยรอบมีแต่คนยากจนหิวโหย ผมเพียงแต่หวังว่าสักวันชาวจีนจะสามารถทำงานด้วยสองมือ เพื่อมีเงินมาซื้ออาหารกินให้อิ่ม”

วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2025 'การประชุม 2 สภา' ได้แก่ การประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติและการประชุมสภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีนสิ้นสุดลง ซึ่งนับวันเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกมากยิ่งขึ้น เพราะระบอบประชาธิปไตยแบบจีนประสบความสำเร็จ กระทั่งแซงหน้าระบอบประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา 

ประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา มีขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน เน้นการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้นำประเทศแบบ 1 คน 1 เสียง ชาวบ้านมีอำนาจเฉพาะช่วงเวลาโหวต หลังจากนั้นก็คงไม่มีอีกแล้ว 

ประชาธิปไตยแบบจีนเน้น 'ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นพื้นฐาน' “ประชาชนเป็นตัวตั้ง” และเป็น “ประชาธิปไตยตลอดเวลา” (全过程民主) โดยประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบการทำงานของพรรครัฐบาลตลอดเวลา ผู้นำประเทศต้องคัดเลือกและเลือกจากผู้ที่มีประสบการณ์บริหารบ้านเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ 

ปัจจุบัน ชาวจีนมิเพียงแต่กินอิ่มเท่านั้น แต่ยังได้เข้าสู่ยุครถไฟความเร็วสูง รถยนต์พลังงานใหม่อัจฉริยะ และเป็นสังคมไร้เงินสดเพียงประเทศเดียวในโลก ชาวจีนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบปลอดภัย 

ที่สหรัฐอเมริกา แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงประมาณ 4-5 หมื่นคน ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากเหตุกราดยิงรวมประมาณ 1 ล้านคน แต่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ 

หลายปีก่อน นายเฉิน ผิงนักวิชาการจีนที่เคยใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ปัจจุบัน ชาวจีนที่มีรายได้ 2,000 หยวนจะใช้ชีวิตดีกว่าชาวอเมริกันที่มีรายได้ 3,000 เหรียญสหรัฐ” เวลานั้น ชาวจีนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ 

ต้นปี 2025 จากเหตุติ๊กต๊อก มีชาวเน็ตอเมริกันนับล้านคนทยอยเข้า “เสี่ยวหงซู” (小红书:rednote)ที่เป็น APP โซเชียลมีเดียของจีน ชาวบ้านสองประเทศคุยกันอย่างเสรีและเปิดเผย แล้วชาวจีนเริ่มสงสารชาวบ้านอเมริกัน ส่วนชาวบ้านอเมริกันเริ่มอิจฉาชาวจีนกับวิถีชีวิตที่สุขสบายล้ำสมัย 

อย่างเช่น ชาวจีนเรียกรถโรงพยาบาลครั้งละหลายร้อยหยวน ที่สหรัฐอเมริกา เรียกครั้งละหลายพันกระทั่งหมื่นเหรียญสหรัฐ ซึ่งครอบครัวธรรมดาส่วนหนึ่งอาจจะจ่ายไม่ไหว 

สตรีจีนที่อยู่ในช่วงคลอดลูกจะมีวันหยุดรวมแล้ว 3-4 เดือน สตรีชาวอเมริกัน ไม่มีสวัสดิการแบบนี้ ค่าคลอดลูกในจีนแค่หลักหลายพันหยวน ราคาคลอดลูกในสหรัฐอเมริกาเริ่มจากหลายพันจนถึง 5-6 หมื่นเหรียญสหรัฐ 

ชาวจีนคงมีรายได้ต่ำกว่าชาวอเมริกัน แต่ส่วนใหญ่เพียงต้องทำงานหนึ่งอย่าง แต่ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยจะต้องขยันทำงาน 2-3 อย่างจึงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้ เพราะค่าครองชีพสูง ค่าน้ำค่าไฟสูง 

ชาวนิวยอร์กคนหนึ่งกล่าวว่า “ผมต้องทำงานสามอย่างตั้งแต่เช้าจนถึงกลางคืน หลังจากหักค่าเช่าบ้าน ค่าประกันการรักษาพยาบาลและค่าน้ำค่าไฟแล้ว เหลือประมาณ 500 เหรียญ” 

นักศึกษาอเมริกันคนหนึ่งที่เรียนนิติศาสตร์ร้องไห้ยกใหญ่หลังคุยกับเพื่อนชาวเน็ตจีนที่เรียนนิติศาสตร์ เธอกล่าวว่า “ ค่าเล่าเรียนวิชานิติศาสตร์ในจีนปีละ 800 เหรียญสหรัฐไม่ถึง 6,000 หยวน แต่ฉันเรียนวิชาเดียวกันในสหรัฐอเมริกา ต้องติดหนี้เงินกู้ 450,000 เหรียญสหรัฐ เมื่อรวมดอกเบี้ยด้วยแล้วปาเข้าไป 3,300,000 หยวน ฉันไม่รู้ว่าชาตินี้จะคืนเงินกู้ได้หมดหรือไม่” 

ปัจจุบัน นักศึกษาอเมริกัน ส่วนใหญ่จะต้องขอกู้เงินไปจ่ายค่าเล่าเรียน และผู้ที่สามารถจ่ายคืนให้หมดก่อนอายุ 40 ปีนั้นมีเป็นจำนวนน้อย นักเรียนจำนวนหนึ่งในโรงเรียนสหรัฐอเมริกา ต้องกู้เงินเพื่อซื้ออาหารมื้อเที่ยงในโรงเรียน 

ชาวเน็ตอเมริกัน อิจฉาชาวจีนที่มีอาหารใส่เต็มตู้เย็น อิจฉาชาวจีนที่ซื้อของใช้ชีวิตประจำวันด้วยรูปแบบที่จ่ายเงินครั้งเดียวจบ ไม่ต้องขอจ่ายแบบผ่อน และอิจฉาสังคมจีนที่ทันสมัยยิ่งกว่าสหรัฐอเมริกา

ช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา รายได้ของชาวจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่รายได้ของชาวอเมริกัน เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า ระดับการใช้ชีวิตของชาวอเมริกันส่วนใหญ่เหมือน 20 ปีก่อน ในสหรัฐอเมริกากำไรที่เพิ่มขึ้นใหม่ ส่วนใหญ่ไหลเข้ากระเป๋าของนายทุน 

นายสี จิ้นผิงประธานาธิบดีจีนกล่าวว่า “ความใฝ่ฝันของประชาชนในการมีชีวิตที่ดีงาม ก็คือเป้าหมายในการทำงานของเรา ประชาชนสนใจปัญหาอะไรมากที่สุด เราก็จะหารือปัญหานั้น และต้องแก้ไขปัญหานั้นให้ได้” 

ความมุ่งมั่นของผู้นำจีนทำให้เกิดตัวเลขที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 
ในช่วงปี 2000-2023 GDP ของจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย 6.7% ต่อปี สัดส่วนอุตสาหกรรมการผลิตต่อทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 32% ขณะที่สัดส่วนอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐอเมริกาลดลงจาก 20.1% เหลือ 10.8% และ สหภาพยุโรปหรืออียู จาก 18.9% เหลือ 13.2%

‌อัตราการครอบคลุมของการประกันสังคมและการรักษาพยาบาลของจีนเกินกว่า 95% ประกันชราภาพครอบคลุมประชากร 1,040 ล้านคน สร้างเครือข่ายสวัสดิการสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

ความก้าวหน้าทางนวัตกรรมเทคโนโลยีจีน:จำนวนสิทธิบัตรที่ได้รับอนุญาตติดอันดับ 1 ของโลกต่อเนื่องกัน 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนฐาน 5G เกินกว่า 60% ของโลก‌ ผลิตยานยนต์พลังงานใหม่กว่า 60% ของโลก และผลิตแผงโซลาร์เซลล์กว่า 80% ของโลก‌ 

จีนก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงของรวมแล้วกว่า 48,000 กิโลเมตร ครองสัดส่วน 70% ของทั่วโลก

ประสิทธิภาพการปฏิบัติตามนโยบาย: โครงการสำคัญ 102 โครงการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปีฉบับที่ 14 ของจีนนั้น เริ่มดำเนินการแล้วกว่า 96% ขณะที่กฎหมายโครงสร้างพื้นฐานสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านมาแล้ว 2 ปีนั้น ดำเนินการเพียง 12%‌ เท่านั้น

ต้นปี 2025 โมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ “Deepseek” และหนัง “นาจา-2” เผยแพร่สู่ทั่วโลก เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีและวัฒนธรรมจีนกำลังเข้าสู่ช่วงการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง แถมแรงเร็วแบบระเบิด

อดีตเสนาธิการทหารสมัย ปธน.จอร์จ ดับเบิลยู บุช ออกมาแฉ CIA เคยยุยงชาวอุยกูร์ในซินเจียง เพื่อสั่นคลอนเสถียรภาพจีน

(12 มี.ค. 68) พ.อ.ลอว์เรนซ์ วิลเกอร์สัน (Lawrence Wilkerson) อดีตหัวหน้าเสนาธิการทหารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในยุคอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เปิดเผยว่า CIA เคยได้รับคำสั่งให้เข้าไปปลุกปั่นชาว อุยกูร์ ที่ไม่พอใจรัฐบาลจีนในมณฑล ซินเจียง เพื่อทำให้เกิดความไม่สงบและสั่นคลอนเสถียรภาพของจีน

คำกล่าวของวิลเกอร์สันเกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อน ในงานสัมมนาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยเขาระบุว่า เป้าหมายของปฏิบัติการดังกล่าวคือการกดดันจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ เช่น มณฑลซินเจียง ซึ่งเป็นบ้านของชาวอุยกูร์ที่มีวัฒนธรรม ศาสนา และภาษาแตกต่างจากชาวฮั่นที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจีน

“หากเราต้องการทำให้จีนหวั่นไหว เราควรใช้ CIA เข้าไปกระตุ้นให้ชาวอุยกูร์ที่ไม่พอใจลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง” วิลเกอร์สัน กล่าวในเวลานั้นพร้อมเสริมว่า “การสร้างความไม่สงบในซินเจียงจะช่วยกดดันจีนในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ใช้ในการรับมือกับอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวถูกนำกลับมาจนกลายเป็นที่สนใจอีกครั้งในปัจจุบัน ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในซินเจียง ซึ่งจีนกล่าวหาสหรัฐฯ มาตลอดว่าพยายามใช้ประเด็นอุยกูร์เพื่อแทรกแซงกิจการภายในของตน

นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การเปิดเผยของวิลเกอร์สันสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของสหรัฐฯ ในการใช้ปฏิบัติการลับเพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศคู่แข่ง ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนมองว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนาในจีน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังไม่ได้ออกมาแสดงท่าทีต่อคำกล่าวนี้อย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านี้ ปักกิ่งเคยกล่าวหาสหรัฐฯ ว่า ให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในซินเจียง และใช้ประเด็นอุยกูร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองมาโดยตลอด

ส่วนเรื่องการเปิดเผยดังกล่าวจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างไร ยังต้องจับตาดูกันต่อไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งในหลายประเด็น ตั้งแต่เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ไปจนถึงภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ทั้งนี้ ยังไม่พบแหล่งข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศที่ยืนยันข้อมูลดังกล่าว ดังนั้นควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลและตรวจสอบจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เพิ่มเติม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top