Monday, 17 March 2025
WORLD

กองทัพเรือสหรัฐฯ เตรียมส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 4 ลำ ประจำการออสเตรเลีย เพื่อถ่วงดุลจีนในอินโด-แปซิฟิก

(17 มี.ค. 68) กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้ประกาศแผนการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้นเวอร์จิเนีย จำนวน 4 ลำ เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ภายในปี 2570 โดยภายใต้ข้อตกลง AUKUS ซึ่งเป็นความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย

ขณะนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำน้ำ USS Minnesota (SSN-783) เข้าร่วมการฝึกซ้อมนำร่องที่ฐานทัพเรือในออสเตรเลียแล้ว โดยการฝึกซ้อมดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่เหลือเข้าประจำการในอนาคต นอกจากนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังเตรียมส่งกำลังพล 50-80 นาย เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling ภายในกลางปี 2568 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเรือดำน้ำเหล่านี้

สำหรับที่ตั้งของ HMAS Stirling ตั้งอยู่ใกล้เอเชียและมหาสมุทรอินเดียมากกว่าที่ตั้งกองบัญชาการกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่ฮาวาย มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐฯ “การปกป้องมหาสมุทรอินเดียจากศักยภาพและอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีนเป็นสิ่งสำคัญ” ปีเตอร์ ดีน ผู้อำนวยการด้านนโยบายต่างประเทศและการป้องกันของศูนย์ศึกษาสหรัฐฯ แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าว

การส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์และกำลังพลดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคในการขยายอิทธิพลทางทะเล เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะการถ่วงดุลอิทธิพลของจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่ดังกล่าว

การประจำการของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในออสเตรเลียตามข้อตกลง AUKUS จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปฏิบัติการทางทะเลของพันธมิตรในภูมิภาค และส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนพันธมิตรในออสเตรเลียและภูมิภาคนี้ในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

นายกฯ ฮุน มาเนต โต้กลุ่มฝ่ายค้านปลุกปั่นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ท้าพิสูจน์ความรักชาติ ส่งประจำการแนวหน้า 6 เดือน

(17 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้แสดงความไม่พอใจต่อกลุ่มฝ่ายค้านที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รักชาติ แต่กลับพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยในประเด็นปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างทั้งสองประเทศ

ในแถลงการณ์ที่ออกมา นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ท้าทายกลุ่มฝ่ายค้านที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศให้หยุดการปลุกปั่นความขัดแย้ง โดยกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยแย่ลงเท่านั้น แต่ยังขัดขวางความสงบและการพัฒนาในภูมิภาค

“ตอนนี้ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ความรักชาติของคุณ อย่าเพียงแค่พูดลอยๆ ถ้าคุณต้องการมาจริงๆ ผมรับรองว่าคุณจะไม่ถูกจับกุม ผมจะจัดกลุ่มทหารให้คุณ คุณจะประจำอยู่ที่ฐานทหาร พร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมด และถูกส่งไปประจำการเพื่อเฝ้าแนวหน้าเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่ทหารของเราต้องเผชิญ” นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าว 

นายกฯ ฮุน มาเนต ระบุว่า ปัญหาการพิพาทเรื่องปราสาทตาเมือนธมควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางทางการทูตและการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศ ไม่ควรให้กลุ่มบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองมาพยายามทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศพยายามร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาค โดยกลุ่มฝ่ายค้านในต่างประเทศบางกลุ่มได้ใช้ประเด็นปราสาทตาเมือนธมเพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและปลุกระดมความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่าอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทย

ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย เคยเป็นประเด็นข้อพิพาททางด้านอาณาเขตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีการอ้างสิทธิ์และการตัดสินของศาลระหว่างประเทศหลายครั้ง แต่ยังคงมีการเรียกร้องจากทั้งสองฝ่ายในการรักษาความเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ฮุน มาเนต ยืนยันว่า กัมพูชาจะยืนหยัดในความถูกต้องของตนเอง และจะไม่ยอมให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสงบสุขในภูมิภาค

“สำหรับคนที่บอกว่าเราอ่อนแอ โดยเฉพาะนักการเมืองบางคนในต่างประเทศที่กล่าวหาว่าทหารเราไม่กล้าเผชิญหน้ากับทหารไทย ผมขอบอกว่า ตอนที่เกิดความขัดแย้งในปี 2551 ไม่มีใครในพวกคุณออกมาให้การสนับสนุน แต่กลับกล่าวหารัฐบาลว่าจัดฉากความขัดแย้งและโง่เขลา” โดยคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต มีขึ้นหลังจากอดีตผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี และผู้สนับสนุนพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับเกาะกูดและปราสาทตาเมือนธมขึ้นมา 

สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางอากาศเยเมน ฮูตีดับ 9 ศพ ทำเนียบขาวส่งสัญญาณเตือนอิหร่าน

(17 มี.ค. 68) สำนักข่าวสปุตนิก รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้กองทัพเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 ราย รวมถึงพลเรือนหลายคน โดยการโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการตอบโต้หลังจากที่กลุ่มฮูตีได้โจมตีเส้นทางเดินเรือในทะเลแดงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า การโจมตีของสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปที่คลังอาวุธและฐานปฏิบัติการหลักของกลุ่มฮูตี เพื่อทำลายขีดความสามารถในการก่อเหตุโจมตีต่อไป พร้อมกันนี้ ทรัมป์ยังได้ออกคำเตือนถึงอิหร่านให้ยุติการสนับสนุนกลุ่มฮูตีทันที มิฉะนั้น สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น

ก่อนหน้านั้นเพียง 1 วัน สหรัฐฯ และอิรักเปิดเผยข้อมูลตรงกันว่า ผู้นำของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ถูกสังหารจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา รายงานระบุว่าการโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ทางตอนเหนือของอิรัก และถือเป็นความสำเร็จสำคัญในการกวาดล้างเครือข่ายก่อการร้ายของไอเอส

ด้าน อิซา บลูมี (Isa Blumi) ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านตะวันออกกลาง ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมน เป็นมากกว่าการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายอิทธิพลของอิสราเอลในภูมิภาค

“การตัดสินใจของทรัมป์คือการปกป้องและช่วยขยายอำนาจของอิสราเอลให้ครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่” บลูมี กล่าวพร้อมชี้ว่าการโจมตีดังกล่าวอาจมีเป้าหมายเพื่อทำลายกลุ่มต่อต้านอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน

ทั้งนี้ การโจมตีทางอากาศของกองทัพสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูตีในเยเมน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต รวมถึงพลเรือน หลายราย และก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมายและผลกระทบของปฏิบัติการนี้

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ อาจทำให้ความขัดแย้งในภูมิภาครุนแรงขึ้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มฮูตี และอาจทำให้ตะวันออกกลางกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการเผชิญหน้าในระดับนานาชาติ

ถอดรหัส ทำไมเกาหลีใต้ยกเมือง Yeongyang ให้คนพม่าตั้งถิ่นฐาน คาดหวังให้ช่วยเพิ่มประชากร - พัฒนาเมืองสุดกันดารที่คนเกาหลีไม่อยากอยู่

(17 มี.ค. 68) ในขณะนี้ที่ไทยประชาชนไทยส่วนหนึ่งได้ตื่นตัวเพราะการที่คนต่างด้าวเข้ามาแย่งงาน แย่งอาชีพ แย่งใช้สวัสดิการของคนไทย จนแทบจะเรียกได้ว่า คนพม่าเหล่านั้นเข้ามาสร้างปัญหา จนทำให้คนพม่าที่เข้ามาประเทศไทยอย่างถูกต้องประกอบอาชีพอย่างสุจริตต้องมาตกที่นั่งลำบากไปด้วย  แต่ไม่นานมานี้ก็มีข่าวดังไปทั่วฌลกเมื่อเกาหลีใต้ประกาศว่าจะให้ชาวเมียนมาหรือคนพม่าอพยพมาตั้งถิ่นฐานในเมืองยองยาง (Yeongyang-gun)  โดยข่าวดังกล่าวมาจากรายงานของเวปไซต์ สำนักข่าว  เดอะ โคเรีย ฮอรัลด์ อ้างว่า ส่วนบริหารท้องถิ่นของเมืองยองยางมีการหารือกับกระทรวงยุติธรรมของเกาหลีเพื่อเอาผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา 40 คน ที่ได้รับการคุ้มครองจาก UN มาอยู่ที่นี่เพื่อจุดหมายในการเพิ่มประชากร

แต่เดี๋ยวมาถึงจุดนี้  เรามาหาข้อมูลเมืองยองยางกันก่อนดีกว่า

มีการระบุว่า เมืองยองยางนี้  เป็นพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงได้ยาก โดยเมืองนี้ มักถูกเรียกว่า "เกาะในแผ่นดิน" เขตนี้มีประชากรน้อยที่สุดในบรรดาเขตทั้งหมดในจังหวัดจองซังเหนือ หากไม่รวมเขตอุลลึง เนื่องจากเป็นภูมิประเทศเป็นภูเขาที่มีหุบเขาลึก และพื้นที่เพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่สามารถทำการเกษตรได้ 

มาถึงจุดนี้หลายคนอาจจะถึงบางอ้อแล้วว่าการเดินทางไปเมืองนี้ยากลำยากเพียงใด และแน่นอนน่าจะรวมถึงความเจริญที่จะคืบคลานเข้าไปที่นี่ก็น่าจะลำบากเป็นเงาตามตัว

หากเอย่าเดาไม่ผิด ก็คือคงใช้คนพวกนี้มาพัฒนาแผ่นดินที่แม้แต่คนเกาหลีเองก็ทำไม่ได้ โดยอาจจะให้สนับสนุนเงินทุนหรือเครื่องมือบางส่วน เอาตรงๆว่าถ้าสำเร็จก็ดีไป ก็ค่อยเอาคนเกาหลีไปอยู่ แต่หากไม่สำเร็จก็แค่เหมือนคุกไฮโซของพวกลี้ภัยวีไอพีของพม่า

หันกลับมาดูผู้อพยพชาวเมียนมาที่ได้รับการคุ้มครองจากสหประชาชาตินั้นส่วนใหญ่คือนักการเมืองฝั่ง NLD นายทุนที่จัดหาเงินทุนให้ฝ่ายต่อต้านหรือไม่ก็เป็นพวกกระบอกเสียง ระดมทุน พวกนี้โปรไฟล์ไม่ธรรมดานะ  หลายคนจบจากต่างประเทศที่บ้านมีเงิน  ไม่ใช่ผู้อพยพกะเหรี่ยงชายแดนไทย ที่กินง่ายอยู่ง่าย อยู่สบายแพร่พันธุ์อย่างเดียว  บางทีเอย่าก็อยากจะบอกไปถึงทางเกาหลีใต้ว่าดูถูกชาวเมียนมาระดับหัวกะทิไปหรือเปล่า

ที่สำคัญภูมิอากาศที่เกาหลีไม่เหมือนไทยนะ  อย่างตอนที่เอย่าเขียนบทความนี้อยู่ที่เมืองยองยางอุณหภูมิสูงสุด 4 องศาต่ำสุด -4 องศา  หนาวขนาดนี้คนเกาหลียังแทบไม่อยู่กันเลย คิดยังไงถึงให้คนเมียนมาที่มาจากเขตร้อนไปอยู่

คิดไปละก็สงสาร สมัยสงครามเกาหลี เอย่าจำได้ว่า พม่าในขณะนั้นส่งข้าวจำนวนหลายตันมาให้คนเกาหลีที่อดอยากเพื่อจะได้มีแรงสร้างชาติ  พอมาดูวันนี้กับความคิดคนเกาหลีใต้ที่ตอบแทนน้ำใจคนพม่าในอดีต เอย่าก็ไม่อยากจะพูดว่า เหมือนหลอกเขามาตายชัดๆ 

ศาลสหรัฐฯ สั่ง!! ‘สตาร์บัคส์’ จ่าย 1.6 พันล้านบาท เหตุ ‘ชาร้อน’ หกใส่ตักลูกค้า ทางบริษัทออกแถลงการณ์!! แสดงความเสียใจ แต่ยืนยัน จะยื่นอุทธรณ์

(16 มี.ค. 68) พนักงานขับรถส่งของได้รับเงิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,677 ล้านบาท จากคดีฟ้องร้องของลูกค้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกน้ำร้อนลวกอย่างรุนแรง เมื่อเครื่องดื่มสตาร์บัคส์หกใส่ตักของเขาที่ร้านไดรฟ์ทรูในแคลิฟอร์เนีย

เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มีนาคมผ่านมา คณะลูกขุนของลอสแองเจลิสเคาน์ตี้ตัดสินให้ไมเคิล การ์เซีย ที่ต้องเข้ารับการปลูกถ่ายผิวหนังและขั้นตอนอื่นๆ ที่อวัยวะเพศ หลังจากเครื่องดื่มชาร้อนหกใส่เขาทันทีหลังจากที่เขามันจากร้านในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เขาได้รับบาดแผลที่ทำให้เกิดความพิการถาวรและมันเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาล ตามคำกล่าวของทนายความของการ์เซีย

การฟ้องร้องในคดีประมาทเลินเล่อดังกล่าว การ์เซียกล่าวหาพนักงานของสตาร์บัคส์ว่าไม่ได้ใส่เครื่องดื่มร้อนให้แน่นพอในถาดจนทำให้เขาเกิดอาการบาดเจ็บขึ้น

“คำตัดสินของคณะลูกขุนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเอาผิดสตาร์บัคส์กรณีละเลยความปลอดภัยของลูกค้าอย่างโจ่งแจ้ง และยังล้มเหลวที่จะแสดงความรับผิดชอบ” นิค โรว์ลีย์ หนึ่งในทนายความของการ์เซียกล่าวในแถลงการณ์

ด้านสตาร์บัคส์ออกแถลงการณ์แสดงความเห็นใจกับการ์เซีย แต่ก็ยืนยันว่าบริษัทมีแผนที่จะยื่นอุทธรณ์ เพราะเราไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของคณะลูกขุนที่ว่าพวกเราเป็นฝ่ายผิดในเหตุการณ์นี้ และเชื่อว่าค่าเสียหายที่ได้รับนั้นสูงเกินไป พร้อมย้ำว่าเรามุ่งมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในการจัดการกับเครื่องดื่มร้อน

ทั้งนี้ ร้านอาหารในสหรัฐเคยเผชิญคดีฟ้องร้องกรณีลูกค้าถูกน้ำร้อนลวกมาก่อน

หนึ่งในคดีที่มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1990 คือคดีที่คณะลูกขุนในรัฐนิวเม็กซิโกตัดสินให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้รับค่าเสียหายเกือบ 3 ล้านดอลลาร์ จากเหตุเธอถูกลวกจนมีแผลไหม้ขณะพยายามงัดฝาแก้วกาแฟที่ช่องบริการไดรฟ์ทรูของแมคโดนัลด์ ต่อมาผู้พิพากษาได้ลดค่าเสียหายลง และสุดท้ายคดีก็ยุติลงด้วยเงินที่ไม่เปิดเผยที่ต่ำกว่า 600,000 ดอลลาร์

‘ต.ตุลยากร’ เผย!! ‘มาร์โค รูบิโอ’ ออกนโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับ ‘วีซ่า’ บีบ!! ‘ประเทศไทย’ ให้ถอยห่างจาก ‘จีน’ ซึ่งเป็นศัตรูการค้า ของสหรัฐฯ

(16 มี.ค. 68) หลังจากทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ได้แต่งตั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ เป็นรักษาการผู้อำนวยการองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (United States Agency for International Development: USAID) เหตุผลคือ ทรัมป์มองว่า “เงินทุนของ USAID โดยส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์หลักแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา” [1]

ผลคือ รูบิโอ ตัดทิ้งโครงการช่วยเหลือกว่า 83% [2]

เหลือโครงการอีกประมาณ 17% ที่มีความสอดคล้องกับกรอบนโยบาย “America First” ของทรัมป์ และคาดว่าโครงการที่เหลือคงต้องดำเนินงานตามแนวทางของ รูบิโอ อย่างไม่มีบิดพริ้ว 

ถ้าไม่ทำตามก็ตัดเงินทุน ว่างั้นเถอะ

หลังจากเก็บกวาดหลังบ้านตัวเองเรียบร้อย จะเห็นว่าช่วงนี้สหรัฐฯและผองเพื่อนปล่อยหมัดใส่ไทยรัวๆเลย

หมัดแรก รัฐสภาอียูลงมติประณามไทยกรณีส่งกลับชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนเมื่อปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา

หมัดที่สอง องค์กร Freedom Houseในสหรัฐ ปรับลดสถานะของประเทศไทยจากประเทศมีเสรีภาพบางส่วน กลายเป็นประเทศไม่เสรีอีกครั้ง (ขณะที่ Freedom House กำหนดสถานะอิสราเอลเป็นประเทศที่เสรี)

หมัดที่สาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ ออกแถลงการณ์ว่าด้วยนโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่าเพื่อตอบโต้กรณีผลักดันชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน

เข้าใจว่าเป็นการส่งสัญญาณบีบไทยให้ถอยห่างจากอิทธิพลของจีน ซึ่งสหรัฐฯกำลังทำสงครามการค้าด้วย

ข้อสังเกตุคือ ในปี 2023 Freedom House นั้นรับเงินอุดหนุนจาก USAID กว่า 63 ล้านเหรียญ [3]

ในขณะที่ทางยุโรปนั้น คณะกรรมาธิการยุโรปยอมรับว่าสหภาพยุโรปไม่สามารถเข้ามาแทนที่เงินทุน USAID ได้อย่างเต็มที่ [4]

ผมมองว่า โครงการ 17% ที่เหลือของ USAID นั้น จะช่วยให้ รูบิโอ สามารถกำหนดทิศทางของการดำเนินงานขององค์กรที่ได้รับเงินทุนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น 

นั่นคงเป็นเหตุผลที่เห็นภาพหลายองค์กรหลายทิศทาง ออกมาขย่มไทยในแนวทางเดียวกัน ซึ่งสืบไปสืบมาก็คงไม่แคล้วไปเกี่ยวพันทางใดทางหนึ่ง กับ USAID ภายใต้การนำของ รูบิโอ

หันมาดูในส่วนขององค์กรภายในประเทศ ก็ได้แต่สงสัยว่า คนบางกลุ่มบางพวกที่ออกมาโจมตีประเทศของตัวเองในทิศทางที่สอดคล้องกับ “ผลประโยชน์หลักแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา”

คนพวกนี้มีความเกี่ยวพันกับ USAID อย่างไรบ้าง??

‘Elon Musk’ เรียกร้อง ให้ปิดสื่อของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้ง ‘Radio Free Europe’ และ ‘Voice of America’

(16 มี.ค. 68) Elon Musk ผู้บริหารของสำนักงานเสริมสร้างประสิทธิภาพในภาครัฐ (D.O.G.E.) ระบุว่า ทั้ง 2 หน่วยงานนี้เป็นเพียง ‘กลุ่มคนหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายที่วัน ๆ เอาแต่พูดกับตัวเอง’   

Elon Musk อภิมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีในฐานะผู้นำของ D.O.G.E. ได้เรียกร้องให้ปิดสถานีวิทยุของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้ง Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) และ Voice of America (VOA) เขากล่าวว่าสถานีวิทยุเหล่านี้ใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างฟุ่มเฟือยและไม่ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับพันธกิจอีกด้วย

Radio Liberty (RL) เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1953 โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้ชมในสหภาพโซเวียตโดยเฉพาะ ทั้งสององค์กรได้รวมกันเป็น RFE/RL ในปี 1976 โดยรวมการดำเนินงานของทั้งสองเข้าด้วยกัน

ส่วน VOA ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษปี 1940 เพื่อต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อของนาซี และเปลี่ยนจุดเน้นมาที่สหภาพโซเวียตในปี 1947 ปัจจุบัน VOA ยังคงได้รับเงินทุนจากรัฐสภา และการบริหารจัดการอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยหน่วยงานที่ชื่อว่า สำนักงานสื่อโลกของสหรัฐฯ (USAGM) ซึ่งดูแลทั้ง VOA และ RFE/RL เป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ

Musk ตอบความคิดเห็นของ Richard Grenell ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดี Donald Trump  ของสหรัฐฯ ซึ่งได้วิจารณ์สื่อเหล่านี้ทางช่อง X “Radio Free Europe และ Voice of America เป็นสื่อที่จ่ายเงินโดยผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน เป็นสื่อของรัฐ แต่สื่อเหล่านี้เต็มไปด้วยนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายจัด ผมทำงานกับนักข่าวเหล่านี้มาหลายสิบปีแล้ว มันเป็นสิ่งตกค้างจากอดีต เราไม่ต้องการสื่อที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินให้” Grenell กล่าว

Musk ตอบความคิดเห็นของ Richard Grenell กลับทางช่อง X โดยระบุว่า “ใช่ ปิดพวกเขาเลย ตอนนี้ยุโรปเป็นอิสระแล้ว (ไม่นับรวมบริหารรับบาลที่ยังกดขี่) ไม่มีใครฟังพวกเขาอีกแล้ว เพราะเป็นเพียงกลุ่มคนหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายที่บ้าคลั่งพูดแต่กับตัวเอง ในขณะที่เผาเงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี”

เดิมที RFE/RL มีชื่อว่า ‘Radio Liberation from Bolshevism’ (การปลดปล่อยวิทยุจากลัทธิบอลเชวิค) ต่อมาสถานีดังกล่าวเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Radio Liberation’ ในปี 1956 และต่อมาใช้ชื่อปัจจุบันคือ Radio Liberty หลังจากเปลี่ยนนโยบายที่เน้นที่ “การปล่อยให้เสรี” มากกว่าเพียง “การปลดปล่อย” ในปี 2020 รัสเซียกำหนดให้ RFE/RL เป็น “สื่อตัวแทนต่างชาติ” และสั่งห้ามในปี 2022 โดยอ้างถึง “การเผยแพร่สื่อที่มีข้อมูลเท็จ” เกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครน Current Time ซึ่งเป็นบริษัทในเครือร่วมกับ VOA ถูกขึ้นบัญชีดำในรัสเซียในปี 2024

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้ง Musk และ Grenell ต่างก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับเงินทุนของรัฐบาลที่มอบให้กับองค์กรสื่อ โดยให้เหตุผลว่าไม่ควรใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่อสนับสนุนองค์กรเหล่านี้ Musk ได้วิพากษ์วิจารณ์การจ่ายเงินของรัฐบาลกลางให้กับองค์กรสื่อต่าง ๆ เช่น Politico, Associated Press และ New York Times โดยมองว่าเป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทีมงานของ Musk กำลังดำเนินการเพื่อยกเลิกการจ่ายเงินเหล่านี้ ตามคำกล่าวของ Karoline Leavitt โฆษกทำเนียบขาว รัฐบาลจ่ายเงินมากกว่า 8 ล้านดอลลาร์ในการอุดหนุน Politico

ในทำนองเดียวกัน Grenell ได้ประณามการใช้จ่ายของรัฐบาลในการอุดหนุนสื่อต่าง ๆ โดยสะท้อนจุดยืนของ Musk ที่ว่าควรยุติการระดมทุนนี้ทันที Grenell โพสต์บน X ว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องหยุดจ่ายเงินสำหรับการอุดหนุนสื่อ เดี๋ยวนี้”

VOA มีงบประมาณ 267.5 ล้านดอลลาร์สำหรับปี 2024 ในขณะที่ RFE/RL ดำเนินงานด้วยเงิน 142.2 ล้านดอลลาร์ สำหรับปี 2025 USAGM ขอเงินทุนทั้งหมด 950 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าเข้าถึงผู้ชมรายสัปดาห์ 427 ล้านคนใน 64 ภาษาในกว่า 100 ประเทศ

อ่าน: รู้จัก ‘สำนักงานเสริมสร้างประสิทธิภาพในภาครัฐ (D.O.G.E.)’ หน่วยงานระดับกระทรวงล่าสุดภายใต้รัฐบาล Trump ชุดใหม่ https://thestatestimes.com/post/2024122102

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ สั่งยุบ!! หน่วยงานรัฐบาล 7 แห่ง รวมถึง ‘Voice of America’ กลุ่มผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อ มอง!! บ่อนทำลายสื่อมวลชนที่ ‘อิสระ-เสรี’

(16 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยุบหน่วยงานรัฐบาลกลาง 7 แห่ง รวมถึง U.S. Agency for Global Media (USAGM) ซึ่งเป็นหน่วยงานแม่ของ Voice of America (VOA) และสื่ออื่น ๆ ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ

คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบลดการดำเนินงานให้เหลือเพียงขั้นต่ำสุดตามที่กฎหมายกำหนด ส่งผลให้พนักงานของ VOA ถูกสั่งพักงานโดยได้รับค่าจ้าง และมีการระงับทุนสนับสนุนสำหรับ Radio Free Europe/Radio Liberty และ Radio Free Asia

การตัดสินใจนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อ โดย Mike Balsamo ประธาน National Press Club กล่าวว่า การกระทำดังกล่าว "บ่อนทำลายความมุ่งมั่นของอเมริกาต่อสื่อมวลชนที่เสรีและเป็นอิสระ"

นอกจาก USAGM แล้ว คำสั่งของทรัมป์ยังมีผลกระทบต่อหน่วยงานอื่น ๆ เช่น Federal Mediation and Conciliation Service, Woodrow Wilson International Center for Scholars, Institute of Museum and Library Services, U.S. Interagency Council on Homelessness, Community Development Financial Institutions Fund และ Minority Business Development Agency

การยุบหน่วยงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทรัมป์ในการลดขนาดรัฐบาลกลาง อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่การท้าทายทางกฎหมาย เนื่องจากหน่วยงานหลายแห่งถูกจัดตั้งขึ้นโดย ‘สภาคองเกรส’

‘สื่อเดนมาร์ก’ พลาดจริง หรือ IO เหตุขึ้นจอ ‘ปูติน’ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จุดกระแส!! ให้โลกเชื่อว่า ‘สหรัฐฯ-รัสเซีย’ กำลังมีความร่วมมือกันในเชิงลึก

(15 มี.ค. 68) การเผยแพร่กราฟิกผิดพลาดโดยสถานีโทรทัศน์ 19 News ของเดนมาร์ก ที่ระบุว่า "Vladimir Putin – President, USA" หรือ "วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา" ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงการเมืองระหว่างประเทศ โดยหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า นี่เป็นเพียงข้อผิดพลาดทางเทคนิค หรือเป็นปฏิบัติการทางข้อมูล (Information Operation – IO) ที่มุ่งสร้างภาพให้ประชาคมโลกเชื่อว่าสหรัฐฯ และรัสเซียกำลังมีความร่วมมือเชิงลึก

ความผิดพลาดธรรมดา หรือแผนการแฝง?

แม้ในเบื้องต้น สังคมอาจมองว่านี่เป็นเพียงความผิดพลาดของทีมกราฟิก แต่หากพิจารณาจากบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน คำถามที่ตามมาคือ "นี่คืออุบัติเหตุ หรือเป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง?" โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยุโรปและพันธมิตรตะวันตกกำลังพยายามกดดันรัสเซียทางเศรษฐกิจและการทหาร

สหรัฐฯ และรัสเซีย: เป็นพันธมิตรกันจริงหรือ??

สื่อกระแสหลักของยุโรปมักเน้นภาพลักษณ์ของรัสเซียในฐานะภัยคุกคามต่อระเบียบโลกเสรี อย่างไรก็ตาม การเกิดข้อผิดพลาดในระดับนี้อาจทำให้เกิดความคลางแคลงใจว่า มีความพยายามที่จะเชื่อมโยงสหรัฐฯ กับรัสเซียในฐานะพันธมิตรกันหรือไม่

ปฏิบัติการ IO เพื่อลดความเชื่อมั่นต่อสหรัฐฯ??

หากพิจารณาจากมุมของสงครามข้อมูล การเผยแพร่ภาพนี้อาจเป็นกลยุทธ์ของฝั่งยุโรปในการบ่อนทำลายภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ด้วยการทำให้โลกเสรีตั้งคำถามว่า "อเมริกายังยืนหยัดต่อต้านรัสเซียจริงหรือไม่?" หรือวอชิงตันกำลังเล่นบทบาทสองหน้า

ยุโรปหวั่นไหวกับท่าทีของสหรัฐฯ??

หลังจากหลายปีของการสนับสนุนยูเครน สหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงกดดันภายในประเทศ ทำให้หลายฝ่ายมองว่านโยบายต่อต้านรัสเซียของวอชิงตันอาจอ่อนลง ส่งผลให้ยุโรปเกิดความกังวลและอาจพยายามใช้ปฏิบัติการข่าวสารเพื่อสร้างความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลสหรัฐฯ

ข้อสังเกตและแนวโน้มในอนาคต

แม้ว่าทาง 19 News จะยังไม่ได้แถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ข่าวนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อทัศนคติของประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็นข้อผิดพลาดจริง หรือเป็นการส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ ประเด็นที่ต้องติดตามคือ สหรัฐฯ จะออกมาตอบสนองต่อข้อผิดพลาดนี้อย่างไร? และจะมีปฏิบัติการ IO อื่นตามมาอีกหรือไม่?

ในยุคที่ข่าวสารกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทุกข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาอาจไม่ใช่เพียงความผิดพลาด แต่เป็นเกมเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องมองให้ลึกกว่าที่เห็น… หรือว่าสงครามข้อมูลระหว่างตะวันตกเองกำลังเริ่มขึ้นแล้ว??

‘มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย’ เดือด!! รัฐบาลสหรัฐฯ ลั่นคำขาด จัดการ!! ประท้วงต่อต้าน ‘ชาวยิว’ ไม่งั้น ตัดงบไม่เหลือ

(15 มี.ค. 68) มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเผชิญแรงกดดันหนักจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หลังเกิดกระแสประท้วงที่ลุกลามเป็นความขัดแย้งด้านเชื้อชาติและศาสนา โดยเฉพาะกรณีการต่อต้านชาวยิว (Antisemitism) ที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัย ส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ตัดสินใจออกมาตรการบีบให้โคลัมเบียต้องรับผิดชอบ และกำหนดเส้นตายให้ปฏิบัติตามก่อนวันที่ 20 มีนาคม 2025 มิเช่นนั้นมหาวิทยาลัยอาจต้องสูญเสียเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางอย่างถาวร

สถานการณ์บานปลาย จุดเดือดของมหาวิทยาลัยชั้นนำ

ตลอดช่วงต้นปี 2025 การประท้วงและความขัดแย้งทางอุดมการณ์เกี่ยวกับปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ลุกลามไปทั่วแคมปัสของโคลัมเบีย โดยเฉพาะกรณีที่มีกลุ่มนักศึกษาและบุคลากรออกมาเคลื่อนไหวโจมตีชาวยิวและสนับสนุนแนวคิดต่อต้านไซออนิสต์ ทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยละเลยการปกป้องสิทธิของนักศึกษาชาวยิว

รัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าการปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายเป็นการละเมิดกฎหมายสิทธิพลเมืองปี 1964 (Civil Rights Act of 1964) มาตรา VI และ VII ซึ่งครอบคลุมถึงการป้องกันการเลือกปฏิบัติในสถานศึกษา ส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานของรัฐตัดสินใจออกคำสั่งถึงคณะกรรมการบริหารของมหาวิทยาลัย ให้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อระงับความขัดแย้ง

มาตรการตอบโต้ของรัฐบาลกลาง: คำขาดที่โคลัมเบียต้องทำภายใน 20 มีนาคม 2025

1️⃣ ลงโทษนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประท้วง – นักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการยึดพื้นที่ Hamilton Hall และการตั้งแคมป์ต้องถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด โดยรัฐบาลเน้นว่าการลงโทษต้องมีความหมายจริงจัง เช่น ไล่ออก หรือพักการเรียนเป็นเวลาหลายปี

2️⃣ อำนาจวินัยต้องรวมศูนย์ที่ประธานมหาวิทยาลัย – ให้ยกเลิก University Judicial Board (UJB) และให้ประธานมหาวิทยาลัยมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการลงโทษนักศึกษา

3️⃣ ออกกฎควบคุมพื้นที่ชุมนุมถาวร – มหาวิทยาลัยต้องกำหนดกฎถาวรเกี่ยวกับ เวลา-สถานที่-วิธีการประท้วง เพื่อไม่ให้กระทบการเรียน การวิจัย และชีวิตประจำวันของแคมปัส

4️⃣ แบนหน้ากาก ห้ามปกปิดตัวตน – ห้ามนักศึกษาสวมหน้ากากเพื่อปิดบังตัวตนหรือข่มขู่ผู้อื่น ยกเว้นเหตุผลทางศาสนาและสุขภาพ ผู้ที่ยังต้องใส่หน้ากากต้องติด บัตรประจำตัวนักศึกษาด้านนอกเสื้อผ้า

5️⃣ คุมเข้มทุกกลุ่มนักศึกษา – ทั้งกลุ่มที่ได้รับการรับรองจากมหาวิทยาลัยและกลุ่มที่ไม่ได้รับการรับรอง หากพบว่าเกี่ยวข้องกับการละเมิดนโยบายของมหาวิทยาลัย ต้องถูกสอบสวนและลงโทษ

6️⃣ กำหนดนิยามการต่อต้านชาวยิวอย่างเป็นทางการ – ให้ใช้แนวทางจากคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ (Executive Order 13899) ที่ระบุว่า การเลือกปฏิบัติต่อชาวยิวภายใต้แนวคิดต่อต้านไซออนิสต์ต้องถูกลงโทษ แม้จะเกิดในบริบทที่ไม่เกี่ยวข้องกับอิสราเอลหรือปัญหาตะวันออกกลาง

7️⃣ เสริมอำนาจหน่วยรักษาความปลอดภัยมหาวิทยาลัย – ต้องให้สิทธิ์เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยสามารถจับกุมและขับไล่นักศึกษาหรือบุคคลที่สร้างความไม่ปลอดภัยหรือขัดขวางการเรียนการสอน

8️⃣ ควบคุมแผนกตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกาศึกษา – โคลัมเบียต้องให้แผนกนี้เข้าสู่ ‘ภาวะควบคุมทางวิชาการ’ อย่างน้อย 5 ปี และต้องเสนอแผนปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม

9️⃣ ปฏิรูปกระบวนการรับนักศึกษา – ต้องเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การรับนักศึกษา ปรับระบบคัดเลือกทั้งระดับปริญญาตรี นักศึกษาต่างชาติ และระดับบัณฑิตศึกษาให้เป็นไปตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง

โคลัมเบียอยู่ในจุดเปลี่ยน: ทำตามหรือถูกตัดงบ?

รัฐบาลกลางให้เส้นตาย 20 มีนาคม 2025 เป็นวันสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยต้องดำเนินการให้ครบทุกข้อ มิเช่นนั้น ทุนรัฐบาลกลางที่สนับสนุนมหาวิทยาลัยอาจถูกระงับอย่างถาวร นี่เป็นแรงกดดันครั้งใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานะของโคลัมเบียในฐานะมหาวิทยาลัยระดับโลก

ด้านนักศึกษาและคณาจารย์บางส่วนเริ่มออกมาแสดงจุดยืนที่แตกต่างกัน บ้างสนับสนุนการแทรกแซงของรัฐบาล โดยเฉพาะนักศึกษาชาวยิวที่มองว่ามาตรการนี้ช่วยปกป้องพวกเขา ในขณะที่กลุ่มต่อต้านมองว่านี่เป็นการแทรกแซงเสรีภาพทางวิชาการและการแสดงออกของนักศึกษา

โคลัมเบียจะเลือกเส้นทางไหน? ปรับตัวหรือเผชิญผลลัพธ์ที่ใหญ่หลวงกว่านี้? เส้นตายใกล้เข้ามาทุกที ติดตามกันต่อไปว่า มหาวิทยาลัยระดับตำนานแห่งนี้จะเดินหมากต่อไปอย่างไร

‘T-Online’ เผยผลสำรวจ!! ชาวเยอรมัน ไม่พอใจ ‘อีลอน มัสก์’ แบนไม่ซื้อ Tesla เหตุ!! แทรกแซงทางการเมือง แสดงความเคารพแบบ ‘นาซี’ ส่งเสริม ‘ฟาสซิส’

(15 มี.ค. 68) การสำรวจชาวเยอรมันบน T-Online กว่า 100,000 คน เผยว่า 94% จะไม่ซื้อรถ Tesla ซึ่งตอกย้ำปัญหายอดขายตกต่ำในยุโรปลงไปอีก

ในปี 2024 Tesla มียอดขายลดลง 41% ในเยอรมนีเมื่อเทียบกับปี 2023 แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2024 ก็ตาม

นอกจากนี้ ยอดขายของ Tesla ลดลง 70% ในสองเดือนแรกของปี 2025 ซึ่งรุนแรงกว่ายอดขายที่ตกต่ำอยู่แล้วในปี 2024 เสียอีก

สำหรับสาเหตุที่ยอดขายลดลง นอกจากการแข่งขันในตลาด EV ที่ดุเดือดขึ้นและการปรับโฉม Model Y แล้ว ยังเป็นเพราะชาวเยอรมันที่ไม่พอใจกับการแทรกแซงทางการเมืองของ Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ในการเลือกตั้งท้องถิ่น และการสนับสนุนพรรค AfD ฝ่ายขวาจัด

นอกจากนี้ ชื่อเสียงของ Musk ก็พังทลายในเยอรมนีหลังจากแสดงความเคารพแบบนๅซีหลายครั้งในพิธีเปิด และโพสต์ที่น่าสงสัยหลายครั้งที่ส่งเสริมอุดมการณ์ฟาสซิส

อย่างไรก็ตาม แม้แต่ทาง AfD ที่ Musk สนับสนุนก็ยังต่อต้าน Tesla อย่างแข็งขัน และออกโฆษณาที่เชิญชวนให้คนไม่ซื้อรถ Tesla

ทั้งนี้ ยอดขาย Model 3 ของ Tesla ก็กำลังร่วงลงในเยอรมนีเช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ว่า Model Y ไม่ใช่ปัญหาเดียว

‘ประธานาธิบดีไต้หวัน’ เตือน!! ให้ระวัง ความพยายามแทรกซึมจาก ‘จีน’

(15 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีไล่ ชิง-เต๋อ ออกมาเตือนในวันพฤหัสบดีว่า จีนได้ยกระดับการใช้อิทธิพลในการแทรกซึมไต้หวันแล้ว และประกาศการเตรียมพร้อมมาตรการตอบโต้ ‘การครอบงำ’ เกาะที่ปกครองตนเองในระบอบประชาธิปไตยแห่งนี้ของกรุงปักกิ่งด้วย 

ไต้หวันได้กล่าวหาว่า จีนทำการซ้อมรบทางทหารเพิ่มขึ้น และดำเนินมาตรการลงโทษทางการค้ามาขึ้น รวมทั้งเดินหน้าโครงการสร้างอิทธิพลต่อไต้หวันอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อบีบให้ยอมรับคำกล่าวอ้างอธิปไตยของกรุงปักกิ่งเหนือเกาะแห่งนี้

ปธน.ไล่ บอกผู้สื่อข่าวหลังประชุมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่า กรุงปักกิงได้ใช้ประชาธิปไตยของไต้หวันในการ “ครอบงำ” สมาชิกมากมายในสังคมที่มีทั้ง องค์กรอาชญากรรม ผู้มีชื่อเสียงในวงการสื่อและเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทั้งที่ยังประจำการอยู่และปลดประจำการไปแล้ว

ไล่ระบุระหว่างการแถลงข่าวทางโทรทัศน์ด้วยว่า “(จีน)กำลังดำเนินการต่าง ๆ เช่น สร้างความแตกแยก ทำลายล้าง และการล้มล้างจากภายในเรา(ไต้หวัน)อยู่”

ต่อมาเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับคำพูดของไล่ ที่การแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศจีน เหมา หนิง โฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า ไม่ว่ารัฐบาลปธน.ไล่พูดอย่างไร “นั่นจะไม่เปลี่ยนแปลงความจริงว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน หรือเปลี่ยนอนาคตของการรวมชาติเข้ากับมาตุภูมิที่จะเกิดขึ้นได้เลย”

ทั้งนี้ ไล่ ชิง-เต๋อ อ้างข้อมูลของรัฐบาลไทเป ในการระบุว่า มีผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาทำการจารกรรมในนามของจีน 64 คนในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากสถิตในปี 2021 ถึง 3 เท่า และกล่าวด้วยว่า ผู้ต้องหาส่วนใหญ่นั้นเป็นเจ้าหน้าที่ทหารทั้งที่ยังประจำการอยู่และอดีตทหาร

ไล่กล่าวว่า ปฏิบัติการต่าง ๆ เหล่านี้ของจีนถือว่าเป็นการใช้ ‘กองกำลังปฏิปักษ์ต่างชาติ’ ตามนิยามของกฎหมายต่อต้านการแทรกซึม (Anti-Infiltration Act) ของไต้หวัน

ในการนี้ ปธน.ไต้หวันได้เสนอมาตรการตอบโต้ทั้งทางเศรษฐกิจและทางกฎหมายจำนวน 17 มาตรการ ซึ่งรวมถึง การทบทวนคำขอเดินทางเข้าหรือสิทธิพำนักอาศัยในไต้หวันของพลเมืองจีนด้วย

ไล่กล่าวว่า รัฐบาลไทเปจะ “ทำการปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น” เพื่อจัดการกับการเงิน ผู้คนและเทคโนโลยีที่ไหลเข้ามาจากจีน โดยไม่ได้อธิบายรายละเอียดของแผนงานนี้

นอกจากนั้น รัฐบาลจะออก “หนังสือเตือน” ให้กับนักแสดงและนักร้องไต้หวันที่รับงานแสดงที่จีน เกี่ยวกับ “คำพูดและการกระทำ” ของแต่ละคน ซึ่งเป็นการโต้ตอบสิ่งที่ไทเปมองว่าเป็น แผนงานต่อเนื่องของกรุงปักกิ่งในการกดดันผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงให้ออกมาให้ความเห็นในเชิงสนับสนุนจีน

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ สำนักงานกิจการไต้หวันของรัฐบาลจีนกล่าวว่า “เป็นเรื่องธรรมชาติมาก” ที่ชาวไต้หวัน ซึ่งรวมถึงศิลปินทั้งหลาย จะแสดงการยอมรับจีน ในช่วงที่ประชาชนในไต้หวันออกมาร้องเรียนกรณีที่ผู้มีชื่อเสียงของไต้หวันหลายคนโพสต์ข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์และเรียกเกาะแห่งนี้ว่าเป็น ‘มณฑลหนึ่งของจีน’

‘จีน’ ครองแชมป์!! จุดหมายอันดับหนึ่ง สำหรับการลงทุน จากต่างประเทศ เผย!! นโยบายสนับสนุน เปิดรับเงินทุนต่างชาติ ดูแลให้เข้าถึงปัจจัยการผลิต

(15 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เหมาหนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (13 มี.ค.) ว่า จีนยังคงเป็นจุดหมายอันดับหนึ่งสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ และจีนยินดีต้อนรับบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศ

เหมาระบุว่า จำนวนบริษัทที่ได้รับทุนจากต่างประเทศในจีนเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1.24 ล้านแห่ง ณ สิ้นปี 2567 โดยมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศที่นำไปใช้จริงอยู่ที่ 20.6 ล้านล้านหยวน

เฉพาะปี 2567 มีบริษัทที่ได้รับทุนจากต่างประเทศราว 60,000 แห่งก่อตั้งในจีน เพิ่มขึ้น 9.9% เมื่อเทียบปีต่อปี และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีนยังคงระดับอยู่ที่ราว 9% ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก

เหมาเผยว่า รายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาลจีนประจำปี 2568 ชี้ว่า จีนจะสนับสนุนให้กลุ่มนักลงทุนต่างชาติลงทุนซ้ำในประเทศเพิ่มขึ้น และจะรับประกันการปฏิบัติต่อบริษัทที่ได้รับทุนจากต่างประเทศอย่างเท่าเทียมในหลายด้าน อาทิ การเข้าถึงปัจจัยการผลิต การยื่นขอใบอนุญาต การกำหนดมาตรฐาน และการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล

ทั้งนี้ เหมาทิ้งท้ายว่าไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จีนปฏิบัติตามความมุ่งมั่นในการเปิดกว้างระดับสูงอยู่เสมอ และยินดีต้อนรับบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนและขยายการดำเนินงานในจีนเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์และบรรลุการพัฒนาร่วมกัน

‘จอห์นส์ ฮอปกินส์’ ปลดพนักงานกว่า 2,000 ตำแหน่ง ภายหลังที่ ‘รัฐบาลทรัมป์’ ตัดงบ ‘USAID’ มหาศาล

(15 มี.ค. 68) มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสถาบัน หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ตัดงบประมาณจาก สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ไปกว่า 800 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้โครงการวิจัยและพัฒนาระดับโลกหลายโครงการต้องปิดตัวลง

การปลดพนักงานครั้งนี้กระทบ พนักงานนานาชาติถึง 1,975 คนใน 44 ประเทศ และอีก 247 ตำแหน่งในสหรัฐฯ ขณะที่พนักงานอีก 100 คนถูกลดชั่วโมงการทำงาน หรือถูกพักงานโดยไม่มีกำหนด ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมทางงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน

"นี่เป็นวันที่ยากลำบากสำหรับชุมชนของเรา" มหาวิทยาลัยระบุในแถลงการณ์ พร้อมย้ำว่า การตัดงบประมาณของ USAID ทำให้ต้องยุติภารกิจสำคัญที่เคยช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโครงการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก การป้องกันโรคระบาด การพัฒนาระบบน้ำสะอาด รวมถึงความพยายามด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ ที่เคยเป็นหัวใจสำคัญขององค์กร

ผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่การสูญเสียตำแหน่งงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภาควิชาสำคัญหลายแห่งของมหาวิทยาลัย รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ ศูนย์โครงการสื่อสารด้านสุขภาพ (Center for Communication Programs) และ Jhpiego องค์กรด้านสุขภาพมารดาและการป้องกันโรค

ผลพวงจากแนวทางบริหารรัฐบาลทรัมป์

การปลดพนักงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการผลักดันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดขนาดรัฐบาลกลาง โดย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งประกาศเมื่อต้นสัปดาห์ว่ารัฐบาลทรัมป์จะ ยกเลิก 83% ของโครงการภายใต้ USAID และเตรียมโอนภารกิจที่เหลือไปอยู่ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศ

จอห์นส์ ฮอปกินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของโลก ได้รับงบประมาณมากถึง 50% จากการทำงานร่วมกับรัฐบาลกลาง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นกำลังหลักในการดำเนินโครงการวิจัยด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

โรนัลด์ แดเนียลส์ อธิการบดีมหาวิทยาลัย ได้ส่งข้อความถึงบุคลากรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เตือนว่าการตัดงบประมาณครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อ งบประมาณ บุคลากร และโครงการต่าง ๆ โดยระบุว่ามหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างกระบวนการยุติโครงการที่ได้รับทุนจาก USAID ในบัลติมอร์และระดับนานาชาติ

“จากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายข้างหน้า” แดเนียลส์กล่าว พร้อมย้ำว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับลดขนาดโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไป”

วงการการศึกษาสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ยุคแห่งความไม่แน่นอน

นอกจากจอห์นส์ ฮอปกินส์แล้ว มหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วสหรัฐฯ กำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเงินทุนรัฐบาลกลางภายใต้การบริหารของทรัมป์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มหาวิทยาลัยโคลัมเบียสูญเสียเงินทุน 400 ล้านดอลลาร์ หลังจากรัฐบาลทรัมป์ระงับสัญญาและโครงการต่าง ๆ โดยอ้างเหตุผลว่ามหาวิทยาลัย "ล้มเหลวในการจัดการปัญหาการต่อต้านชาวยิวในมหาวิทยาลัย"

ขณะเดียวกัน สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยด้านสุขภาพ ได้ลดเพดานงบประมาณที่มหาวิทยาลัยสามารถขอรับสำหรับค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารและการบำรุงรักษา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่า อาจส่งผลกระทบต่อสถานะของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการวิจัยระดับโลก

สถานการณ์นี้นำไปสู่การยื่นฟ้องร้องของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง รวมถึงจอห์นส์ ฮอปกินส์ ที่ต้องการระงับการตัดงบประมาณจาก NIH ผ่านกระบวนการศาล

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของตัวเลขหรือการบริหารงานภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่สะท้อนถึง แนวโน้มของรัฐบาลทรัมป์ที่จะลดบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีความช่วยเหลือระหว่างประเทศ และหันมาให้ความสำคัญกับแนวทางบริหารที่มุ่งลดค่าใช้จ่ายภาครัฐเป็นหลัก

นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ยุคแห่งความมั่นคงด้านงบประมาณของวงการศึกษาสูงและงานวิจัยระดับโลกอาจกำลังสิ้นสุดลง

‘จีน’ เตือน!! พร้อมใช้กำลัง ‘ขั้นเด็ดขาด’ หากกองกำลัง 'เอกราชไต้หวัน' ล้ำเส้นแดง

(15 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เฉินปินหัว โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันแห่งคณะรัฐมนตรีจีน กล่าวว่าหากกองกำลังแบ่งแยกดินแดน ‘เอกราชไต้หวัน’ ยั่วยุ กดดัน หรือก้าวล้ำเส้นแดง ย่อมจะมีการดำเนินการตอบโต้ขั้นเด็ดขาด

เฉินตอบคำถามที่ว่ารายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาล ปี 2025 ซึ่งเน้นย้ำการเดินหน้ากิจการรวมชาติของจีนอย่างแน่วแน่โดยปราศจากการระบุถึง "การรวมชาติอย่างสันติ" บ่งชี้การเปลี่ยนแปลงจุดยืนของแผ่นดินใหญ่หรือไม่

เฉินกล่าวว่าหลักการรวมชาติอย่างสันติและ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" เป็นนโยบายพื้นฐานของจีนในการแก้ไขปัญหาไต้หวัน นี่เป็นแนวทางอันดีที่สุดในการบรรลุการรวมชาติข้ามช่องแคบไต้หวัน และตอบสนองผลประโยชน์ของประชาชนชาวจีนบนสองฝั่งช่องแคบและชาติจีนทั้งหมด

จีนพร้อมดำเนินความพยายามอย่างเต็มที่ด้วยความจริงใจอย่างยิ่งยวดเพื่อแสวงหาการรวมชาติอย่างสันติ ทว่าสถานการณ์ข้ามช่องแคบไต้หวันในปัจจุบันนั้นซับซ้อนและตึงเครียด เนื่องจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) สมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังภายนอกเพื่อแสวงหา "เอกราช"

นอกจากนั้นจีนมีความมุ่งมั่น ความเชื่อมั่น และความสามารถในการสกัดกั้นความพยายามแบ่งแยกดินแดนทุกรูปแบบอันมุ่งสู่ "เอกราชไต้หวัน" คุ้มครองอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติ และเดินหน้าการรวมชาติอย่างแน่วแน่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top