Monday, 29 April 2024
WORLD

'Boosie BadAzz' ออกโรงเตือนชาวอเมริกัน สหรัฐฯ กำลังแย่-จนที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิต

ไม่นานมานี้ เพจ 'Rhythm&Poetry' ได้โพสต์เนื้อหาโดยอ้างคำพูดของ Torence Ivy Hatch Jr. หรือที่รู้จักกันดีในชื่อบนเวทีของเขา Boosie BadAzz หรือเรียกง่ายๆว่า Boosie ซึ่งเป็นแร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน ระบุว่า...

Boosie BadAzz ออกมาโพสต์เตือนสติชาวอเมริกันว่าในขณะนี้ประเทศของพวกเขาแย่แล้ว และเขาเองก็ไม่เคยเห็นอเมริกาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน

"มันบ้าตรงที่ทุกบริษัทไม่มีสภาพคล่องทางการเงินเลย แถมยังล้มละลายกันอีก ตอนนี้โลกไม่มีเงินแล้ว, ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเจ็บปวด ประชาชนไม่มีเงิน นอกจากต้องจ่ายบิลค่าใช้จ่ายกันแล้วก็ไม่มีแผนพิเศษสำรองอะไร คุณไม่มีเงินที่จะเอาไปให้บริษัทที่เลิกจ้างพนักงานหลักหมื่นๆ คน คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง นี่มันคืออเมริกาที่จนที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตเลย"

สาวไทย แข่งรายการทำอาหารระดับโลก ‘มาสเตอร์เชฟออสเตรเลีย’ โชว์ เสน่ห์ปลายจวัก รังสรรค์อาหารฟิวชัน อร่อยแซ่บนัว จนกรรมการอึ้ง

(28 เม.ย. 67) ผู้เข้าแข่งขันหน้าใหม่ 22 คนต่างแย่งชิงโอกาสที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นมาสเตอร์เชฟออสเตรเลียประจำปี 2024

หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ชื่อว่า แนท หญิงสาวชาวไทยได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับรายการด้วยการเผยวัฒนธรรมไทยผ่านการสร้างสรรค์อาหารอีสานสุดขึ้นชื่ออย่าง ลาบ แต่ไม่ใช่ลาบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นลาบเนื้อจิงโจ้ที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองประจำประเทศออสเตรเลีย

อาหารเลิศรสจานเด็ดมัดใจกรรมการของสาวแนท มาพร้อมลาบเนื้อจิงโจ้รสแซ่บ ท็อปด้านบนด้วยไข่แดงดองยางมะตูมสุดฉ่ำ ทานคู่กับแผ่นข้าวปิ้ง งานนี้ อร่อยจนกรรมการอึ้ง โดยโซเฟีย เลวิน กรรมการคนหนึ่งกล่าวว่า “นี่ก็ดีไม่แพ้อาหารจานใดๆ ที่ฉันเคยกินในร้านอาหารในออสเตรเลียในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา”

แถมเมื่อลาบจิงโจ้รสจัดจ้านได้ออนแอร์สู่สายตาชาวออสซี่ ชาวเน็ตจำนวนมากต่างพากันชมสาว เช่น “ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับแนทสำหรับชัยชนะที่สมควรจะได้รับ เป็นเมนูที่สร้างสรรค์ สวยงาม และน่าอร่อยจริง ๆ การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างมรดกไทยและออสเตรเลียของเธอ”

“ว้าว เยี่ยมมากแนท!ฉันจะจ่ายเงินกินข้าวของแนทให้คุ้มเลย!” แต่บางคนก็มีความกังวลว่า เนื้อจิงโจ้ดิบ เช่น “มันดูสวยแต่จานนี้ก็ดูดิบ ๆ นะ จะปลอดภัยไหมที่จะกินจิงโจ้ป่าปรุงด้วยวิธีนี้”

ตามรายงาน แนท ไทยพัน เติบโตมาในครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คนในเขตชานเมืองเมลเบิร์น โดยมีพ่อแม่ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารไทยและมีน้องชาย 2 คน ซึ่งเธอมีคุณแม่เป็นไอดอลและแรงบันดาลใจในการทำอาหาร เพราะแม่ของเธอเป็นกุ๊กใหญ่

แนทเติบโตมาตามประเพณีไทย พูดภาษา และเรียนรู้วิถีชีวิตของคนไทย ทั้งนี้ คุณยายผู้ล่วงลับของเธอ เป็นหนึ่งคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับความรักในการทำอาหารของแนท ดังนั้น เพื่อตามหาตัวตนของตนเอง แนทได้ออกเดินทางไปอาศัยและทำงานในสวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

ยิ่งอยู่ห่างจากบ้านทำให้ความหลงใหลในการทำอาหารของแนทเพิ่มมากขึ้น โดยตระหนักถึงอาหารสามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับมรดก เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมของพวกเขา ในขณะที่เธอพบว่าตัวเองเข้าถึงรากเหง้าความเป็นไทยของเธอโดยไม่รู้ตัวผ่านอาหารในขณะที่ไม่อยู่บ้าน

แนทหวังว่าครัวมาสเตอร์เชฟ ออสเตรเลียจะช่วยให้เธอเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ และมอบโอกาสในการนำเสนอวัฒนธรรมของเธอผ่านทางอาหาร บุคลิกภาพ และสไตล์ของเธอ พร้อมเผยการผสมผสานระหว่างความดั้งเดิมเข้ากับความทันสมัยในอาหาร

‘จีน’ เปิดตัวโมเดล ‘AI แปลงข้อความเป็นวิดีโอ’ เผยความล้ำหน้า สามารถเข้าใจภาษาจีน-ผลิตเนื้อหาได้ 

(28 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า การประชุมจงกวนชุน (ZGC Forum) ปี 2024 ได้มีการเปิดตัววิดู (Vidu) โมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่แปลงข้อความเป็นวิดีโอที่สามารถสร้างสรรค์คลิปวิดีโอความละเอียดสูง 1080p ความยาว 16 วินาที ภายในคลิกเดียว เมื่อวันเสาร์ (27 เม.ย.) ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่าวิดูพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยชิงหัว และเซิงซู่ เทคโนโลยี (ShengShu Technology) บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของจีน ถือเป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่แปลงข้อความเป็นวิดีโอตัวแรกของจีนที่มีระยะเวลายาวขึ้น ความตรงกันยอดเยี่ยม และสมรรถนะเชิงพลวัต

จูจวิน รองผู้อำนวยการสถาบันปัญญาประดิษฐ์แห่งมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่าวิดูในฐานะโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ที่พัฒนาในจีน สามารถทำความเข้าใจและผลิตเนื้อหาภาษาจีน เช่น แพนด้ายักษ์และมังกรจีน

ด้านเซิงซู่ เทคโนโลยี เผยว่ามีการนำเสนอสถาปัตยกรรมหลักของวิดูตั้งแต่ปี 2022

เมืองผู้ดี เปิดประมูลนาฬิกาทองคำ ที่จมไปพร้อมกับ ‘ไททานิก’ เผย ‘เจ้าของนาฬิกา’ ส่งภรรยาที่กำลังท้องลงเรือชูชีพ ก่อนตัวเองจะไม่รอด

(28 เม.ย. 67) Henry Aldridge & Son ประมูลสิ่งของที่เหลือรอดจากเรือไททานิก โดยในครั้งนี้มีนาฬิกาพกทองคำของผู้โดยสารที่ร่ำรวยที่สุด ประมูลจบที่ 41.6 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (วันที่ 27 เม.ย.) บริษัท Henry Aldridge & Son ได้จัดการประมูล ‘สิ่งของที่เหลือรอดจากเรือไททานิก’ อีกครั้ง โดยรอบนี้มีไฮไลต์เด็ดที่นักสะสมรอคอย นั่นคือ ‘นาฬิกาพกทองคำ’ ของ จอห์น จาคอบ แอสเตอร์ ผู้โดยสารที่ร่ำรวยที่สุดบนเรือไททานิก

บริษัทตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 150,000 ปอนด์ (ราว 7 ล้านบาท) แต่ท้ายที่สุดราคาพุ่งขึ้นไปถึง 6 เท่า จบที่ 900,000 ปอนด์ (เกือบ 41.6 ล้านบาท) และเมื่อรวมภาษีและค่าธรรมเนียมแล้ว มีมูลค่ารวมสูงถึง 1.175 ล้านปอนด์ (ราว 54.9 ล้านล้านบาท) 

มูลค่าดังกล่าวทำให้ แอนดรูว์ อัลดริดจ์ เจ้าของบริษัทประมูล ระบุว่า นี่เป็นราคาประมูลสิ่งของจากเรือไททานิกที่ ทำลายสถิติโลก

สำหรับ จอห์น จาคอบ แอสเตอร์ เป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวยวัย 47 ปี เขาเสียชีวิตหลังจากที่ส่งภรรยา แมดเดอลีน ขึ้นเรือชูชีพสำเร็จ ส่วนตัวเองจมไปพร้อมกับเรือ และนาฬิกาดังกล่าวถูกพบพร้อมกับร่างของเขา

เดวิด เบดดาร์ด ประธานสมาคมไททานิคแห่งอังกฤษ กล่าวว่า “ไม่เหมือนกับนาฬิกาหลายเรือนจากเรือไททานิกซึ่งหยุดเดินไปในค่ำคืนแห่งโชคชะตา นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการบูรณะและสวมโดยวินเซนต์ ลูกชายของแอสเตอร์”

เขาเสริมว่า “นาฬิกาเรือนนี้อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขา ขณะที่เขาส่งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ลงเรือชูชีพ ส่วนตัวเองก้าวถอยหลังโดยรู้ตัวว่าจะไม่รอด มันถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง”

ก่อนหน้านี้เคยมีของจากไททานิกที่ถูกประมูลไปในราคา 900,000 ปอนด์เช่นกัน นั่นคือไวโอลินที่นักดนตรีคนหนึ่งบนเรือเล่นขณะที่เรือกำลังจม โดยถูกประมูลไปเมื่อปี 2013 บวกภาษีและค่าธรรมเนียมจะอยู๋ที่ 1.1 ล้านปอนด์ ทำให้มูลค่ารวมของการปะมูลครั้งล่าสุดแซงหน้าไป

ในการประมูลครั้งนี้ยังมีกล่องใส่ไวโอลินของไวโอลินตัวข้างต้น ถูกประมูลไปด้วยราคา 290,000 ปอนด์ (366,000 ปอนด์เมื่อบวกภาษีและค่าธรรมเนียม)

ไวโอลินและกล่องใส่เป็นของ วอลเลซ ฮาร์ตลีย์ มีเรื่องเล่าว่า ขณะที่เรือกำลังจม เขาและวงยังคงเล่นดนตรีเพื่อทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสงบในขณะที่ภัยพิบัติกำลังคืบคลานรอบตัวพวกเขา

ฮาร์ตลีย์จมไปพร้อมกับเรือเช่นเดียวกับผู้โดยสารส่วนใหญ่ โดยไม่ได้นำไวโอลินใส่ลงไปในกล่อง

เบดดาร์ดบอกว่า “กระเป๋าใบนี้รอดมาได้ในสภาพค่อนข้างดี แม้ว่าจะมีความเสียหายจากน้ำก็ตาม”

'บุเรงนองโมเดล' กลศึกแห่งกองทัพเมียนมา เอาคืนฝ่ายต่อต้านแบบ 'บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น'

แทบจะเรียกได้ว่า 'มันจบแล้ว' ระหว่างศึกกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมา เมื่อนายพลชิตตูเคลื่อนพลมาช่วยเหลือกองทัพเมียนมา จนสามารถนำทัพเข้ามายึดเมียวดีคืนได้สำเร็จ ไม่เพียงแค่นั้นฝั่งกองทัพเมียนมายังไล่ตะเพิดกลุ่ม PDF ที่ซ่อมตัวในหุบเขาแล็ตคัดต่อง จนราบคาบ และนำมาสู่การเปิดด่านพรมแดนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

หากเทียบกลศึกของพม่าในปัจจุบันมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ในพงศาวดารระบุไว้เรื่องกลศึกของบุเรงนอง จะเห็นว่ามีหลายส่วนมีความเหมือนกันอยู่ไม่น้อย ... วันนี้ 'เอย่า' จะมาถอดกลศึกของกองทัพเมียนมาว่าเหมือนกลศึกสมัยบุเรงนองเรื่องใดบ้าง?

1. นำศัตรูมาเป็นพวกตน : กลศึกนี้จะเห็นได้ว่าในพงศาวดารระบุชัดเจนว่า มีการนำฝ่ายที่เป็นศัตรูของตนมาจัดการฝ่ายเดียวกัน ซึ่งในกรณีชิตตูก็เป็นโมเดลนี้

2. กลยุทธ์องค์ประกัน : ในอดีตพระนเรศถูกนำตัวไปเป็นองค์ประกันเพื่อบังคับพระธรรมราชาอยู่ใต้อำนาจหงสาวดี แต่ในปัจจุบันทางกองทัพนำเมืองฉ่วยก๊กโก มาเป็นตัวประกันในการดึงนายพลชิตตูเข้าสู่เกมส์ศึกครั้งนี้

3. สิ่งที่เห็นได้ชัดคือกองทัพเมียนมาจัดการกลศึกในการรับใช้ที่มุ่งเน้นให้เกิดการเจรจามากกว่าต้องการที่จะใช้กองกำลังเข้ายึด โดยสังเกตจากการส่งกำลังพลและการใช้ยุทโธปกรณ์ในการรบนั้น ส่วนใหญ่ใช้กองทหารราบและยานเกราะเคลื่อนพลยึดพื้นที่เป็นหลักและยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการใช้ขีปณาวุธพื้นสู่พื้นเลย อนึ่งเพื่อจำกัดวงรบให้อยู่วงจำกัดเท่านั้น เช่นเดียวกับที่บุเรงนองพยายามรบแบบมุ่งเน้นการเจรจา

และนี่เป็นจุดใหญ่ๆ ในกลยุทธ์ของกองทัพเมียนมาที่เหมือนกับกลยุทธ์ของบุเรงนองในอดีต

จีน เผยภารกิจ ‘ฉางเอ๋อ-7’ จับมือ 6 ประเทศ ร่วมพัฒนา สำรวจวิจัย โครงสร้างของดวงจันทร์

(27 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีนประกาศว่าภารกิจสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-7 (Chang’e-7) ของจีนจะบรรทุกเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ 6 รายการ ซึ่งพัฒนาโดย 6 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ 1 แห่ง ได้แก่ อียิปต์ บาห์เรน อิตาลี รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ ไทย และสมาคมหอสังเกตการณ์ดวงจันทร์นานาชาติ

รายงานระบุว่าภารกิจฉางเอ๋อ-7 มีกำหนดเดินทางสู่อวกาศช่วงปี 2026 โดยเป้าหมายคือการสำรวจสภาพแวดล้อมพื้นผิวดวงจันทร์ น้ำ น้ำแข็ง และองค์ประกอบที่ระเหยง่ายของดินบนขั้วใต้ของดวงจันทร์ รวมถึงทำการวิจัยภูมิศาสตร์ องค์ประกอบ และโครงสร้างของดวงจันทร์

ยานลงจอดฉางเอ๋อ-7 จะบรรทุกตัวสะท้อนแสงแบบเลเซอร์ที่พัฒนาโดยอิตาลีสำหรับทำการวัดแบบแม่นยำสูงบนพื้นผิวดวงจันทร์และการบริการระบุตำแหน่งของยานโคจร รวมถึงบรรทุกเครื่องมือวัดฝุ่นและสนามไฟฟ้าบนดวงจันทร์ที่พัฒนาโดยรัสเซียสำหรับตรวจสอบสภาพแวดล้อมพลาสมาบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่เต็มไปด้วยฝุ่น

ขณะเดียวกันยานลงจอดฉางเอ๋อ-7 ยังจะบรรทุกกล้องโทรทรรศน์บนดวงจันทร์ที่พัฒนาโดยสมาคมฯ สำหรับการสังเกตการณ์ดาราจักร โลก และท้องฟ้าทั้งหมด

ด้านยานโคจรจะบรรทุกกล้องไฮเปอร์สเปคตรัมที่พัฒนาโดยอียิปต์และบาห์เรนสำหรับจำแนกวัตถุบนพื้นผิวและสภาพแวดล้อมของดวงจันทร์ รวมถึงบรรทุกเครื่องสเปกโตรมิเตอร์แบบสองช่องสัญญาณสำหรับการวัดรังสีโลกที่พัฒนาโดยสวิตเซอร์แลนด์และจีนสำหรับเฝ้าติดตามปริมาณรังสีที่เข้าและออกจากระบบภูมิอากาศของโลกจากมุมมองดวงจันทร์เป็นครั้งแรก

นอกจากนั้นยานโคจรยังจะบรรทุกชุดเซ็นเซอร์ตรวจจับสำหรับการเฝ้าติดตามสภาพอวกาศทั่วโลก เพื่อแจ้งเตือนการรบกวนทางแม่เหล็กและการแผ่รังสีจากพายุสุริยะด้วย

เที่ยวบิน ‘เดลต้า แอร์’ ต้องบินกลับฉุกเฉิน จากเหตุ สไลด์กางออก หลัง ‘เทกออฟ’

(27 เม.ย. 67) เที่ยวบินของสายการบิน เดลต้า แอร์ไลน์ ต้องบินกลับไปนิวยอร์ก เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจาก สไลด์ฉุกเฉินด้านขวาได้กางออก หลังจากเครื่องขึ้น

เครื่องบินโบอิ้งลำดังกล่าว มุ่งหน้าไปยังลอสแอนเจลิส ได้บินกลับมาลงจอดอย่างปลอดภัย ที่สนามบินจอห์น เอฟ เคนเนดี เมื่อเวลาประมาณ 8.35 น.

เดลต้า บอกกับอินดิเพนเดนท์ว่า เที่ยวบิน 520 ประกาศเหตุฉุกเฉิน หลังจากลูกเรือสังเกตเห็นสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับทางออกฉุกเฉินทางปีกขวา รวมถึงเสียงที่ไม่คุ้นเคยจากปีกขวา

สายการบินระบุว่า มีผู้โดยสาร 176 คน นักบิน 2 คน และลูกเรือ 5 คน บนเครื่องบินลำนี้ ทั้งนี้ สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ ระบุว่า หน่วยงานของรัฐบาลกลางกำลังสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

เดลต้า ยืนยันกับ ดิอินดิเพนเดนท์ว่า เครื่องบินโบอิ้ง 767 -300อีอาร์ ได้ถูกถอดออกจากการให้บริการแล้ว

“เนื่องจากไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของลูกค้า และบุคลากรของเรา ลูกเรือของเดลต้า ได้จัดการตามขั้นตอนเพื่อเดินทางกลับไปยังเจเอฟเค ขอบคุณในความเป็นมืออาชีพและความอดทนของลูกค้า ต่อความล่าช้าในการเดินทาง”

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าว นับได้ว่าเป็นประเด็นล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินของโบอิ้ง และ การตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ขณะนี้ FAA กำลังตรวจสอบปัญหาของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ ยาง แรงดันในห้องโดยสาร และ ปัญหาเกี่ยวกับเครื่องยนต์

เมื่อ ‘ราคาน้ำมันโลก’ พุ่ง!! แต่ ‘ค่าเงินบาท’ อ่อน ‘ระบบน้ำมันสำรอง 90 วัน’ คือหนึ่งทางเลือกของไทย

ปัจจุบันพี่น้องชาวไทยต่างได้รับผลกระทบจาก ‘ราคาน้ำมันดิบโลก’ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบพุ่งถึง 84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณน้ำมันที่เก็บสะสมไว้ในสหรัฐ มีการบริโภคน้ำมันเพิ่มมากขึ้น หรือแรงกดดันจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่าง OPEC ซึ่งนำโดยซาอุดีอาระเบีย ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก และการบอยคอตผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่างอิหร่านและรัสเซีย รวมถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ด้วยปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก และมีแนวโน้มว่า อาจทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในอนาคตไม่ไกล ตลอดจนมีส่วนกดดันให้เงินบาทไทยอ่อนค่าลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยค่าเงินบาทไทยวันนี้ (26 เม.ย.67) อัตราขายถัวเฉลี่ยอยู่ที่ 37.2588 บาทต่อดอลลาร์ ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย

ฉะนั้นเหตุผลเมื่อน้ำมันปรับตัวขึ้น เงินบาทจึงอ่อนค่าลง จึงพอสรุปได้ว่า…

1.  เมื่อราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้นจึงส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูง ดังนั้นธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อเป็นการสกัดการเกิดเงินเฟ้อ จนนักลงทุนพากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยง จนกระทั่งทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง กลายเป็นผลกระทบต่อเนื่องไปทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยต้องปิดรับความเสี่ยงจากตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน จึงเกิดเป็นแรงกดดันทำให้เงินบาทอ่อนต้องค่าลงตามไปด้วย

2.  ไทยต้องนำเข้าน้ำมัน ดังนั้นหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หมายความว่า คนไทยก็ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อน้ำมันน้ำเข้าในราคาที่แพงขึ้น

ปัจจัยจากราคาน้ำมันจึงส่งผลทำให้มูลค่าการนำเข้าของประเทศไทยขยายตัว โดยที่การส่งออกอาจจะยังอยู่ในระดับเดิม จึงทำให้เกิดการขาดดุลทางการค้า (Trade Deficit) จากการที่มูลค่าของการนำเข้าสูงกว่ามูลค่าการส่งออก และหากตัวแปรทั้งหมดเหมือนเดิมแต่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น คนไทยจึงต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์เพื่อซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ จำนวนเงินที่ใช้จ่ายเพื่อการนำเข้าสูงกว่าจำนวนเงินที่ได้รับจากการส่งออก และส่งผลต่อเนื่องจนทำให้เกิดการขาดดุลทางการค้า

แน่นอนปัจจัยที่เกิดจากราคาน้ำมันโดยตรงเป็นสิ่งที่รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากการหาแหล่งผู้ขายรายใหม่ ๆ การเพิ่มกลไกเพื่อทำให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันในราคาที่สะท้อนต้นทุนตามความเป็นจริง ณ เวลาที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับขึ้นหรือลง ดังเช่นที่รองฯ พีระพันธุ์ ได้ให้กระทรวงพลังงานออกประกาศและได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา และการจัดทำระบบการสำรองน้ำมัน 90 วัน เป็นต้น

แต่ปัจจัยในส่วนของค่าเงินบาทเป็นปัจจัยที่รัฐบาลสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง ด้วยค่าเงินตราของประเทศต่าง ๆ นั้นจะมีเสถียรภาพคงที่ อ่อนค่า หรือ แข็งค่า เกิดจาก…

1. อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ
2. การค้าและการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
3. นโยบายการเงินของธนาคารกลาง
4. สถานการณ์ในประเทศและปัจจัยระหว่างประเทศ

โดยข้อ 1 และ 3 เป็นบทบาทหน้าของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง รัฐบาลอาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้ในกรณีฉุกเฉินและจำเป็น สำหรับข้อ 2 และ 4 เป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล

แต่สิ่งที่สังคมไทยไม่ได้คำนึงถึงคือ เรื่องของ Digital wallet ซึ่งต้องใช้เงินกว่าหกแสนล้านบาท อันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงต่อความเชื่อถือในระดับนานาชาติต่อเรื่องของวินัยทางการเงินและการคลังของประเทศ แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งย่อมส่งผลกระทบทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะเมื่อประเทศมีปัญหาเรื่องวินัยทางการเงินและการคลังเกิดขึ้นจะทำให้ระดับความน่าเชื่อถือของประเทศที่ถูกประเมินโดยสถาบันการประเมินระดับโลกต่าง ๆ ลดลงอย่างแน่นอน แล้วส่งผลทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงตามไปด้วย แม้รัฐบาลปัจจุบันจะอ้างว่า การใช้ Application ‘ทางรัฐ’ ที่ในอนาคตคนไทยทุกคนจะต้องใช้ เพื่อให้สังคมสามารถก้าวย่างสู่ Digital Economy หรือ Digital World ในอนาคต จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องใช้งบประมาณกว่าหกแสนล้านบาทเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น ทั้ง ๆ มี Application ‘เป๋าตัง’ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันใช้อยู่แล้ว การพัฒนา Application ที่มีอยู่น่าจะประหยัดกว่าและรวดเร็วกว่าการออกแบบและพัฒนา Application ใหม่ขึ้นมา แม้จะมีการอ้างว่า Application ‘เป๋าตัง’ เป็นของธนาคารกรุงไทย แต่ต้องไม่ลืมว่า ธนาคารกรุงไทยเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง ย่อมสามารถดำเนินการทุกอย่างที่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายอยู่แล้ว หากมีปัญหาข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นจากกรณีนี้ย่อมกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างแน่นอน และจะกลายเป็นผลกระทบในวงกว้างซึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยมีนักการเมืองและพรรคการเมืองใดที่แสดงความรับผิดชอบเลย

‘ญี่ปุ่น’ เตรียมขึ้นฉากกั้น ปิดจุดถ่ายภาพหน้าร้าน LAWSON ใกล้ ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ เพื่อตัดปัญหานักท่องเที่ยวไร้ระเบียบ ‘ทิ้งขยะเรี่ยราด-ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร’

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย. 67) เมืองฟูจิคาวากุจิโกะ มีจุดถ่ายภาพมุมมหาชนของนักท่องเที่ยว บริเวณเชิงเขาโยชิดะสู่ภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งแต่ละวันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่พยายามจะถ่ายภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่ยืนอยู่หน้าร้าน Lawson's เพื่อต้องการถ่ายภาพความแตกต่างระหว่างร้านที่สว่างไสวด้วยแสงไฟนีออนกับภูเขาอันงดงามอลังการด้านหลัง

แต่หลังจากนี้ จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ของ เมืองฟูจิคาวากุจิโกะ เปิดเผยว่า หลังจากประสบปัญหานักท่องเที่ยวทิ้งขยะและไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างต่อเนื่อง เช่น การข้ามถนน ไปจนถึงการปีนป่ายอาคารรอบ ๆ แม้จะมีป้ายและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเตือนแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์เดิม ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไป

เหตุผลดังกล่าว ทำให้ทางการญี่ปุ่นตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เตรียมสร้างฉากกั้นมีความสูง 2.5 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร ที่จะถูกติดตั้งขึ้นในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อบดบังไม่ให้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิแบบเดิมอีก

‘เซี่ยงไฮ้’ เตรียมเปิดสวนสนุก ‘เปปปาพิก’ ใหญ่สุดในโลก ปี 2027 หวังขับเคลื่อน ศก. - ยกระดับให้เป็นจุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก

(25 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฮาสโบร (Hasbro) บริษัทของเล่นและเกมชั้นนำ และบริษัท แมกซ์-แมทชิง เอนเตอร์เทนเมนท์ส จำกัด (Max-Matching Entertainments) เปิดเผยว่าสวนสนุกกลางแจ้งเปปปาพิก (Peppa Pig) แห่งแรกในเอเชียที่จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะเปิดตัวที่มหานครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีนในปี 2027

สวนสนุกแห่งนี้ใช้เงินลงทุนกว่า 2.4 พันล้านหยวน (ราว 1.2 หมื่นล้านบาท) จะครอบคลุมพื้นที่ราว 290 หมู่ (ราว 121 ไร่) บนเกาะฉางซิง เขตฉงหมิงของเซี่ยงไฮ้ โดยอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ไปทางเหนือ 90 กิโลเมตร หรือราวหนึ่งชั่วโมงครึ่งหากขับรถจากกลางเมือง

ด้าน จ้าวหยาง ประธานบริษัทแมกซ์-แมทชิง เอนเตอร์เทนเมนท์ส ระบุว่า สวนสนุกเปปปาพิกจะโดดเด่นด้วยองค์ประกอบที่เป็นนวัตกรรม โดยมีพื้นที่ เครื่องเล่น การแสดงแสงสีน่าตื่นตาตื่นใจ และมีโรงแรมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 3 ช่วงวัยในหนึ่งครอบครัว

ไช่เสี่ยวเฟย รองผู้อำนวยการคณะกรรมการบริหารเกาะฉางซิง เปิดเผยว่า สวนสนุกเปปปาพิกจะยกระดับเซี่ยงไฮ้ให้กลายเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้ ทั้งทำให้เกาะฉางซิง เขตฉงหมิง และเซี่ยงไฮ้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อโดยรวมอีกด้วย

ด้านแมตต์ พรูลซ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายประสบการณ์ระดับโลก ความร่วมมือ และดนตรีของฮาสโบร ระบุว่า บริษัทฯ จะทำงานต่อไปเพื่อนำสวนสนุกกลางแจ้งเปปปาพิกและประสบการณ์ความสนุกสนานที่น่าจดจำไปยังเมืองต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อสร้างความสุขให้กับเด็ก ๆ และครอบครัวชาวจีน

‘หวังอี้’ วอน ‘บลิงเคน’ ช่วยแก้ปัญหาขัดแย้ง ‘จีน-สหรัฐฯ’ หวั่น!! ความสัมพันธ์ทั้งสองชาติ จะย่ำแย่เกินการควบคุม

(26 เม.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ได้หารือกับนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 เมษายน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เรียกร้องให้บลิงเคนแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐ มิเช่นนั้นก็อาจมีความเสี่ยงที่ความสัมพันธ์จะย่ำแย่อย่างไร้การควบคุม

นี่ถือเป็นการเดินทางเยือนจีนครั้งที่สองในรอบไม่ถึง 1 ปีของบลิงเคน ขณะที่จีนกำลังไม่พอใจกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ รวมถึงการแบนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และพยายามที่จะบีบให้บริษัท Bytedance ของจีนขายกิจการ Tiktok แอปพลิเคชันแชร์วิดีโอสั้นยอดนิยมในสหรัฐ

ทั้งนี้ นายหวัง อี้ ให้การต้อนรับนายบลิงเคน ที่เรือนรับรองเตียวหยูไถ่ ในกรุงปักกิ่ง โดยกล่าวกับบลิงเคนว่า ความสัมพันธ์ของ 2 ชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐเริ่มที่จะมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้พบกันที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

นายหวังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ปัจจัยลบต่าง ๆ ในความสัมพันธ์ของสองประเทศยังคงเพิ่มมากขึ้น และจีนสนับสนุนการเคารพในผลประโยชน์หลักของแต่ละฝ่าย พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐไม่เหยียบย่ำขีดจำกัดของจีนในด้านอธิปไตย ความมั่นคง และการพัฒนา

ด้านผู้ช่วยของบลิงเคนระบุก่อนหน้านี้ว่า บลิงเคนจะยกประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นข้อกังวล อาทิ การที่จีนสนับสนุนรัสเซีย นายบลิงเคนได้กล่าวกับนายหวังในช่วงต้นของการหารือว่า ทั้งสหรัฐและจีนควรที่จะแสดงให้เห็นว่าสามารถบริหารความสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบ และทั้งสองประเทศควรที่จะมีความชัดเจนที่สุดในประเด็นที่มีความต่างอย่างน้อยที่สุดก็เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและการคำนวนผิดพลาด ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่เพื่อประชาชนของสองประเทศ แต่เพื่อผู้คนทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่มีการยืนยันว่าบลิงเคนจะได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนหรือไม่

‘บังกลาเทศ’ ร้อนจัด!! อุณหภูมิสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส ตัดสินใจปิดโรงเรียนทั่วประเทศ เด็ก 33 ล้านคนต้องหยุดเรียน

(26 เม.ย. 67) บีบีซี รายงานว่า นักเรียนในบังกลาเทศ กว่า 33 ล้านคน ต้องหยุดอยู่บ้าน หลังทางการสั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเป็นการชั่วคราวอย่างน้อยจนถึงวันที่ 27 เม.ย. ภายหลังสภาพอากาศร้อนจัด หลายพื้นที่มีอุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้ ถือเป็นการปิดโรงเรียนระดับประเทศต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยก่อนหน้านี้อินเดียและฟิลิปปินส์สั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเช่นกันหลังจากคลื่นความร้อนแผ่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชีย และตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. หน่วยงานด้านสภาพอากาศของบังกลาเทศออกแถลงการณ์เตือนภัยร้อนเป็นครั้งที่ 4

ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าจะเผชิญกับอากาศแปรปรวนสาหัส เนื่องจากบังกลาเทศมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบต่ำและเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

ขณะที่ข้อมูลจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอซีพีพี) ระบุว่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น 30-45 เซนติเมตร อาจส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 35 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ ที่อาศัยอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลต้องพลัดถิ่น

‘ม็อบหนุนปาเลสไตน์’ ผุดขึ้นตามมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ ‘เจ้าหน้าที่’ ปราบดุ!! ใช้สารเคมี-ช็อตไฟฟ้า สลายการชุมนุม

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการแข็งกร้าวกับผู้ชุมนุมประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ที่ปักหลักชุมนุมกันตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หลังการชุมนุมลักษณะนี้แผ่ลามไปตามสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ทั่วอเมริกามากขึ้น

รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ปราบจลาจลใช้สารระคายเคืองและอุปกรณ์ช็อตไฟฟ้าเข้าควบคุมการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในขณะที่บรรดาผู้บริหารของสถาบันการศึกษาที่ทรงเกียรติที่สุดของประเทศบางแห่งกำลังดิ้นรนขัดขวางการปักหลักชุมนุมยึดสถานที่ของผู้ประท้วง

การปักหลักชุมนุมและประท้วงอันครึกโครม ผุดขึ้นมาตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ด้วยที่พวกนักเคลื่อนไหวเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในสงครามระหว่างอิสราเอลกับนักรบฮามาส เช่นเดียวกับเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทั้งหลายตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอลและบริษัทต่าง ๆ ที่พวกเขาบอกว่าโกยกำไรจากความขัดแย้งดังกล่าว

"สำหรับ 201 วัน ที่โลกเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้อิสราเอลฆาตกรรมชาวปาเลสไตน์ไปกว่า 30,000 คน" ข้อความหนึ่งที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์โดยแกนนำการประท้วงจุดใหม่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส 

"วันนี้ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเข้าร่วมกับนักศึกษาทั่วประเทศ เรียกร้องมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของเราตัดขาดกับบริษัทต่าง ๆ ที่แสวงหาผลกำไรจากการรุกราน การแบ่งแยก และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์"

มีผู้ประท้วงมากกว่า 200 คน ถูกจับกุมในวันพุธ (24 เม.ย.) และวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในลอสแอนเจลิส บอสตัน และในเมืองออสติน รัฐเทกซัส บริเวณที่มีผู้คนกว่า 2,000 ราย มารวมตัวกันอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.)

ที่มหาวิทยาลัยเอโมรี ในแอตแลนตา ปรากฏภาพถ่ายกำลังใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าระหว่างเข้าจัดการกับพวกผู้ประท้วงที่อยู่บริเวณลานหญ้า ขณะที่เว็บไซต์ข่าวของทางมหาวิทยาลัย เผยว่า พวกเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากป้องกันแก๊สและใช้สายรัดข้อมือควบคุมตัวผู้ชุมนุม

กรมตำรวจแอตแลนตา อ้างว่าทางมหาวิทยาลัยร้องขอให้ช่วยคุ้มกันมหาวิทยาลัย "พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเจอกับการใช้ความรุนแรง เราทราบมาว่าเจ้าหน้าที่กรมตำรวจแอตแลนตาใช้สารระคายเคืองระหว่างเหตุการณ์นี้ แต่กรมตำรวจแอตแลนตาไม่ได้ใช้กระสุนยาง"

สถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายของการประท้วง เริ่มต้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก หลังจากผ่านพ้นเส้นตายที่พวกนักศึกษาได้รับคำสั่งให้รื้อถอนค่ายชั่วคราวที่พวกเขาใช้ปักหลักชุมนุมและกลายมาเป็นศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว

การประท้วงที่ลุกลามกลายมาเป็นความท้าทายใหญ่หลวงสำหรับบรรดาผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่พยายามรักษาสมดุลในพันธสัญญาของมหาวิทยาลัย ในเรื่องของสิทธิเสรีภาพการแสดงออกกับเสียงโวยวายต่าง ๆ เกี่ยวกับการล้ำเส้นของพวกผู้ประท้วง

พวกผู้ประท้วงสนับสนุนอิสราเอลและอื่น ๆ แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย โดยชี้ถึงเหตุการณ์ต่อต้านยิวต่าง ๆ และกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยทั้งหลายกำลังสนับสนุนการข่มขู่คุกคามและประทุษวาจา (hate speech)

อย่างไรก็ตาม นักศึกษาผู้ประท้วงบอกว่าพวกเขาต้องการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ในกาซา ดินแดนที่มีผู้ถูกสังหารไปแล้วแตะระดับ 34,305 คน โดยผู้ชุมนุมบางส่วน ในนั้นรวมถึงนักศึกษายิวเองจำนวนหนึ่ง ปฏิเสธคำกล่าวหาต่อต้านยิว และวิพากษ์วิจารณ์พวกเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติกับพวกเขาสวนทางกับฝ่ายสนับสนุนอิสราเอล

อิสราเอล พันธมิตรของสหรัฐฯ เปิดสงครามในกาซา แก้แค้นกรณีที่พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไปราว 1,170 ราย และจับตัวประกันไปประมาณ 250 คน คาดหมายว่าเวลานี้ยังเหลือตัวประกันอยู่ในกาซาอีก 129 คน แต่ในนั้น 34 คน สันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว

ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส ซึ่งมีผู้ประท้วงถูกจับกุมฐานบุกรุก 93 รายในวันพุธ (24 เม.ย.) พวกเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าได้ยกเลิกกิจกรรมพิธีสำเร็จการศึกษาในวันที่ 10 พฤษภาคม

ส่วนที่มหาวิทยาลัยเอเมอร์สัน ในบอสตัน สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าได้มีการยกเลิกการเรียนการสอนในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) หลังจากตำรวจปะทะกับผู้ประท้วงเมื่อคืนที่ผ่านมา รวมถึงเข้ารื้อถอนค่ายของผู้ชุมนุมฝักใฝ่ปาเลสไตน์และจับกุมผู้ประท้วงไปราว 108 คน

ในวอชิงตัน พวกนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน จัดตั้งแคมป์ปักหลักชุมนุมเพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) โดยที่บรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ยังมีแผนประท้วงไม่เข้าเรียนอีกด้วย

การประท้วงและการปักหลักชุมนุมยังผุดขึ้นที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และมหาวิทยาลัยเยล แม้พบเห็นนักศึกษาหลายสิบคนถูกจับกุมไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ เช่นเดียวกับที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยบราวน์ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน และที่อื่น ๆ

เมื่อวันอาทิตย์ (21 เม.ย.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ประณามความเคลื่อนไหวต่อต้านยิวอย่างโจ่งแจ้ง โดยบอกสิ่งแบบนี้ไม่ควรมีที่ว่างตามมหาวิทยาลัยทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวบอกเช่นกันว่าท่านประธานาธิบดีสนับสนุนเสรีภาพการแสดงออก ณ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐฯ

‘สิงคโปร์’ ทำพิธีปล่อย ‘เรือดำน้ำ’ ลำที่ 4 สุดทันสมัย พร้อมปฏิบัติการในพื้นที่น้ำตื้นของทะเลเขตร้อน

(25 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Thaifighterclub’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ เรือดำน้ำ Type 218SG ลำล่าสุดของ ทร.สิงคโปร์ โดยระบุว่า…

“พิธีปล่อยเรือดำน้ำลำล่าสุดของ ทร.สิงคโปร์ ซึ่งเป็นลำสุดท้ายจากจำนวนทั้งหมด 4 ลำของเรือดำน้ำชั้น Invincible ที่ทางสิงคโปร์สั่งต่อจากเยอรมนี

ป.ล.มองประเทศเขาแล้วก็ถอนหายใจ เฮ้อเบา ๆ”

โดยมีชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก อาทิ

- ประเทศเรากำลังเป็นกองทัพเรือประมงครับ
- ที่ 1 ในใจเลยของเยอรมนี ตั้งแต่เป็นช่างซ่อมเครื่องจักรมาเกือบ 20 ปี ทุก ๆ อย่าง ของค่ายนี้สุด ๆ ทุก ๆ ด้านจริง ๆ
- ผู้นำเขายอดเยี่ยมจริง ๆ
- แสดงว่าเรือดำน้ำสำคัญ ที่ทุกประเทศอยากมี

ทั้งนี้ เรือดำน้ำชั้น Invincible ลำนี้ ได้รับการปรับปรุงพิเศษด้วยความร่วมมือระหว่าง เรือดำน้ำ Inimitable ของสิงคโปร์ อีกทั้งยังได้รับการออกแบบร่วมกันโดยกองทัพเรือสาธารณรัฐสิงคโปร์, สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (DSTA) และ Thyssenkrupp Marine Systems ของเยอรมนี

ทำให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการในพื้นที่น้ำตื้น ที่มีการสัญจรทางทะเลเขตร้อนที่แออัดของสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นเรือที่มีความทันสมัยระดับต้น ๆ ของโลก และนับเป็นเรือดำน้ำลำใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในเยอรมนีอีกด้วย

‘จีน’ เตือน!! ‘สหภาพยุโรป’ ไม่ควรเลือกปฏิบัติกับ บ.ต่างชาติ หลังผู้ประกอบการจีนในยุโรป โดนบุกรุกสำนักงาน-ยึดอุปกรณ์

(25 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ของจีนกระตุ้นเตือนสหภาพยุโรป (EU) สร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ยุติธรรม เที่ยงตรง และไม่เลือกปฏิบัติ สำหรับบริษัทต่างชาติในยุโรป

โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เรียกร้องฝ่ายยุโรปหยุดและแก้ไขการกระทำที่ไม่ถูกต้อง หลังจากฝ่ายยุโรปบุกรุกเข้าสำนักงานของกลุ่มผู้ประกอบการจีนในยุโรปและยึดอุปกรณ์เมื่อวันอังคาร (23 เม.ย.) ที่ผ่านมา

ซึ่งจีนเป็นกังวลและคัดค้านการดำเนินการของสหภาพยุโรปอย่างจริงจัง เนื่องจากละเมิดขั้นตอนอันชอบธรรมตามกฎหมาย ขัดขวางการแข่งขันตามปกติ บั่นทอนความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติทั้งหมดที่ดำเนินงานในยุโรปอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ จีนจะเฝ้าติดตามการดำเนินการของฝ่ายยุโรปในอนาคตอย่างใกล้ชิด และดำเนินทุกมาตรการอันจำเป็นต่อการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของบริษัทจีน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top