Friday, 19 April 2024
WORLD

‘โซเชียลมาเลฯ’ ถาม!! ‘เหตุใด? น้ำมันในไทยแพง แต่อาหารถูก’ ตอบ!! เพราะไทยทำเกษตร-ผลิตอาหารเอง-ต้นทุนขนส่งทางถนนต่ำ

(1 เม.ย. 67) เพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ โพสต์ข้อความเรื่อง ‘ไวรัสในมาเลเซีย เกี่ยวกับค่าน้ำมันและอาหารในประเทศไทย’ โดยระบุว่า…

“ไวรัล ในมาเลเซีย 🇲🇾

**คำถาม ราคาน้ำมันในประเทศไทย ‘แพง’ แต่ทำไม อาหารถึง ‘ถูก’.......? อธิบายหน่อย

✍️จากความเห็นส่วนใหญ่ 

1.ประเทศไทย ประสบผลสำเร็จเรื่องการเกษตร ผู้ส่งออกอาหาร และวัตถุดิบ มาเลเซียต้องนำเข้า แม้แต่อาหารสัตว์ **ไทยมีพื้นที่ลุ่ม ปลูกอาหารได้ทั้งปี

2.มาเลเซีย แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ผู้ผลิต +ต้นทุนการขนส่งไปอีกฝั่ง 

3.มาเลเซีย เสียค่าผ่านทางถนน - ไทยฟรี เมื่อคำนวนระยะจ่ายแล้วไม่ต่างกันเท่าไหร่ 

4.ในช่วงปี 2000 มาเลเซีย มุ่งเน้นไปที่ อุตสาหกรรมไฮเทค จนลืมสานต่ออุตสาหกรรมการเกษตร  ทำให้ภาคผลิตการเกษตรลดลงอย่างมาก

✍️#คุณมีความเห็นอย่างไร”

'เถาเป่า' ทดลองยิงจรวดส่งสินค้าด่วนขั้นเทพ ส่งได้ทั่วโลกภายในหนึ่งชั่วโมง แม้แต่รถยนต์

สเปซ อีพ็อก (Space Epoch) บริษัทผู้สร้างจรวดของจีน ประกาศความร่วมมือกับ ‘เถาเป่า’ แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ในเครืออาลีบาบา ทดลองส่งสินค้าตามสั่งด้วยจรวด

(1 เม.ย. 67) สตาร์ตอัปเอกชน ซึ่งมีชื่อเต็มว่า บริษัท ปักกิ่ง เซพ็อก เทคโนโลยี จำกัด (Beijing Sepoch Technology Co) ยืนยันกับโกลบอลไทมส์ สื่อของทางการจีนเมื่อวันอาทิตย์ (31 มี.ค.) ว่า จะเริ่มดำเนินการทดสอบครั้งแรกในปีนี้ ถ้าโครงการสำเร็จราบรื่น การส่งสินค้าข้ามประเทศด้วยจรวดจะสามารถทำได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่ตามรายงานของรอยเตอร์นั้นระบุว่า แค่ชั่วโมงเดียว

โดยการขนส่งในขั้นแรกจะใช้เซพ็อกไฮเคอร์หมายเลขหนึ่ง (Sepoch Hiker No 1) หรือ หยวนซิง - 1 ซึ่งเป็นจรวดขนส่งของเหลวขนาดกลาง ที่บริษัทเป็นผู้พัฒนา จรวดนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ลำตัวจรวดทำด้วยเหล็กกล้าไม่เป็นสนิม โดยเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีการผลิตทางอุตสาหกรรมร่วมกับนวัตกรรมเทคโนโลยีการรีไซเคิลทางทะเล ซึ่งช่วยลดเวลาการวิจัยและพัฒนา และลดความเสี่ยงในการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพิสูจน์แล้วว่า ประสบความเสร็จ ก็จะช่วยตอบโจทย์บริการส่งสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคกำลังพุ่งทะยาน

จรวดมีพื้นที่บรรทุกสินค้าได้มากถึง 10 ตัน ด้วยการออกแบบให้มีปริมาตรความจุ120 ลูกบาศก์เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.2 เมตร ซึ่งหมายความว่า นอกจากสินค้าขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว ยังสามารถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่อย่างรถยนต์ หรือแม้กระทั่งรถมินิแวนได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัทสตาร์ตอัปรายนี้ยอมรับว่า การขนส่งสินค้าด้วยจรวดที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่อาจเป็นภารกิจที่ยากลำบากในระยะสั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและขีดความสามารถในปัจจุบัน แต่นั่นอาจเป็น ‘การสำรวจในระยะยาวที่มีความหมาย’ บริษัทระบุ

ทั้งนี้ ในปี 2566 สเปซ อีพ็อกได้เสร็จสิ้นการทดสอบการจุดระเบิดแบบสถิตและการกู้จรวดเซพ็อกไฮเคอร์ ที่ลงจอดในทะเล โดยมีแผนทดสอบการนำจรวดลงจอดในทะเลและดำเนินการกู้ขึ้นมาเป็นเที่ยวบินแรกในเร็ว ๆ นี้ จากนั้น จึงจะทดสอบการขนส่งสินค้าด้วยจรวดเป็นครั้งแรก ซึ่งทำภายในประเทศจีนก่อน

‘กัมพูชา’ เตรียมเสนอ ‘สงกรานต์กัมพูชา’ เป็นมรดกโลก หวัง!! ‘วัฒนธรรมของบรรพบุรุษ’ ได้การยอมรับในระดับสากล

หลังจากที่ ‘ประเพณีสงกรานต์ของไทย’ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกมายาวนาน จนในปี 2566 ที่ผ่านมา ‘ยูเนสโก’ ประกาศขึ้นทะเบียน ‘สงกรานต์ไทย’ ให้เป็นมรดกโลกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ในรายการบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

ล่าสุดประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘กัมพูชา’ ก็เตรียมเสนอ ‘สงกรานต์กัมพูชา’ หวังเป็นมรดกโลกเช่นกัน

โดยเมื่อวานนี้ (31 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ประกาศแผนเสนอรายชื่อทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ 7 รายการ และทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ 3 รายการ เพื่อขึ้นบัญชีรายชื่อมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO)

สถานที่ 7 แห่งที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ ได้แก่ อดีตเรือนจำเอ็ม-13 (M-13)/พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวลสเลง/ศูนย์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เจืองแอ็ก วัดบันทายฉมาร์ สถานที่ตั้งของอังกอร์เบอเรยและพนมฎา โบราณสถานภูเขาพนมอูดง ปราสาทพระขรรค์กำปงสวาย วัดเบ็งเมเลีย และอุทยานเทือกเขาพนมกุเลน

ส่วนทรัพย์สินอีก 3 รายการที่วางแผนยื่นเสนอเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ได้แก่ สงกรานต์กัมพูชา กรอมา (Krama) ผ้าพันคอที่ทอแบบดั้งเดิม และประเพณีการแต่งงานแบบเขมร

“เราจะเสนอรายชื่อเหล่านี้เป็นมรดกโลกของยูเนสโก เพื่อให้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษของเราได้รับการยอมรับและอนุรักษ์ในระดับสากล” ฮุนมาเนตกล่าว พร้อมเสริมว่าปกติแล้วการขึ้นทะเบียนจะใช้เวลาเกือบสองปี และแต่ละประเทศสามารถยื่นเสนอรายชื่อเป็นมรดกโลกของยูเนสโกได้ปีละ 1 รายการเท่านั้น

กัมพูชาจะยื่นเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนสงกรานต์กัมพูชาลงในรายการมรดกที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโกในปี 2025 และคาดว่าจะได้รับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการในปี 2026

สงกรานต์เป็นคำภาษาสันสกฤตที่ใช้เรียกวันปีใหม่ตามปฏิทินทางพุทธศาสนา ซึ่งเทศกาลนี้มีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศที่นับถือพุทธศาสนาในเอเชีย อาทิ กัมพูชา ไทย ลาว และเมียนมา

เจ้าหน้าที่จีน เผยตัวเลข นทท.เข้า-ออกสูงเกือบ 3 ล้าน เหตุจาก นโยบายฟรีวีซ่า-ชำระเงินง่าย สะดวกสบาย 

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวซินหัว ได้รายงานว่า สือเจ๋ออี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน อ้างอิงข้อมูลจากสำนักบริหารการตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีน ระบุว่าจีนพบยอดการเดินทางขาเข้าและขาออกของผู้มาเยือนต่างชาติ รวมอยู่ที่ 2.95 ล้านครั้ง ในช่วงสองเดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ของปี 2024

สือเผยว่าตัวเลขข้างต้นเพิ่มขึ้น 2.3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และฟื้นตัวสูงถึงร้อยละ 41.5 ของระดับก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายฟรีวีซ่าที่จีนขยายครอบคลุมประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมเมื่อไม่นานนี้ อาทิ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน มาเลเซีย และสิงคโปร์ และยอดนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศเหล่านี้ยังเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเทศกาลตรุษจีน

สือกล่าวว่าจีนจะดำเนินงานเพื่อขจัดอุปสรรคและจัดการกับปัญหาในด้านวัฒนธรรมและการท่องที่ยว โดยเฉพาะการทำให้กระบวนการชำระเงินตามสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดการแสดงทางวัฒนธรรม และโรงแรมสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จีนจะจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม พร้อมเพิ่มความพยายามในการโฆษณาและส่งเสริมตลาดระหว่างประเทศ

นักวิจัย ในออสเตรเลีย ชี้ ‘งูเหลือม’ มีโปรตีนสูง เหมาะทำ ‘ฟาร์มปศุสัตว์’ เพื่อแก้ปัญหา ‘สภาวะขาดโปรตีนเฉียบพลัน’ ในกลุ่มประเทศยากจน

เมื่อเร็วๆ นี้ การวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมกควอรี ในออสเตรเลีย นำทีมโดยนักวิจัยกิตติมศักดิ์ ดร. แดเนียล นาทัสช์ ได้ศึกษาฟาร์มงูเหลือมเชิงพาณิชย์ 2 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า 'งูเหลือม' สามารถเปลี่ยนอาหารเป็นการเพิ่มน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง เมื่อเทียบกับปศุสัตว์ทั่วไป เช่น ไก่และโคเนื้อ

“งูเหลือมมีประสิทธิภาพในการแปลงอาหารให้เป็นโปรตีนและน้ำหนักตัวมากกว่าสัตว์ที่เลี้ยงเพื่อการบริโภคทุกชนิด งูเหลือมโตเร็วมาก เพียงแค่ปีเดียวหลังจากฟักออกจากไข่ ก็สามารถจับส่งขายได้แล้ว” ดร.นาทัสช์ กล่าว

นักวิจัยได้เก็บข้อมูลงูเหลือมร่างแห (Malayopython reticulatus) และงูเหลือมพม่า (Python bivittatus) ที่เลี้ยงในฟาร์มของประเทศไทยและเวียดนามเกือบ 5,000 ตัวเป็นเวลาหนึ่งปี พร้อมด้วยอาหารพวกมันที่ได้รับอาหาร รวมถึงน้ำหนักเนื้องู โดยไม่รวมผิวหนัง อวัยวะภายใน ศีรษะและหาง จากนั้นจึงนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่มีอยู่ในสัตว์อื่น ๆ 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคภัยไข้เจ็บ และปริมาณทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลง ล้วนสร้างปัญหาให้กับการทำการเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้คนจำนวนมาก ในกลุ่มประเทศยากจน ที่อยู่ในสภาวะขาดโปรตีนเฉียบพลันอยู่แล้ว จนเกิดความไม่มั่นคงทางอาหารในวงกว้าง ทำให้ผู้คนต้องแสวงหาแหล่งอาหารทางเลือก

'เนื้องู' ถือเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและมีไขมันอิ่มตัวน้อยและเป็นแหล่งอาหารที่ยั่งยืน โดยมีการบริโภคอย่างแพร่หลายทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในประเทศจีน ถึงแม้ว่าจะมีการเลี้ยงงูเหลือมขนาดใหญ่มากมายในเอเชีย ถึงขั้นเปิดเป็นฟาร์มเชิงพาณิชย์ได้ แต่งูกลับไม่ได้รับความสนใจจากวงการวิทยาศาสตร์การเกษตรกระแสหลักมากนัก ทั้ง ๆ ที่งูไม่ต้องการดูแลและอาหารมากเท่ากับสัตว์ชนิดอื่น

ปกติแล้ว นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสูญเสียพลังงานจากอาหารที่กินประมาณ 90% เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ แต่สัตว์เลื้อยคลานที่เป็นสัตว์เลือดเย็นไม่ต้องเสียพลังงานไปกับการรักษาอุณหภูมิ พวกมันแค่ต้องการแสงแดดเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นเท่านั้น

ดังนั้นงูเหลือมจึงสามารถเปลี่ยนแปลงสารอาหารที่พวกมันกินให้เป็นเนื้อและเนื้อเยื่อร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าสิ่งมีชีวิตเลือดอุ่นทุกชนิด

ดร.นาทัสช์ กล่าวว่า งูสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำค้างที่ตกลงบนเกล็ดของมันในตอนเช้า และกินสัตว์ฟันแทะ หรือสัตว์อื่น ๆ ที่ทำลายพืชอาหารของมนุษย์ พร้อมระบุว่า การศึกษาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำฟาร์มงูเหลือมด้วยระบบปศุสัตว์ อาจให้การตอบสนองต่อความไม่มั่นคงด้านอาหารทั่วโลกได้อย่างและมีประสิทธิภาพ

ศ.ริค ชายน์ ผู้ศึกษาวิจัยร่วม กล่าวว่า นี่เป็นการศึกษาครั้งแรกที่เจาะลึกถึงต้นทุน และประโยชน์ของฟาร์มงูเชิงพาณิชย์ โดยผลการศึกษาชี้ว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงงูเหลือมสามารถปรับตัวทางเศรษฐกิจและได้กำไรมากกว่าการทำฟาร์มสุกร

การศึกษาพบว่า มวลอาหารแห้งที่งูเหลือมเลี้ยงคือ 1.2 เท่าของมวลเนื้องู ซึ่งต่ำกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน (1.5) จิ้งหรีด (2.1) สัตว์ปีก (2.8) หมู (6) และ วัว (10) 

เช่นเดียวกับน้ำหนักของโปรตีนที่ให้เป็นอาหารงูอยู่ที่ 2.4 เท่าของมวลน้ำหนักงู ต่ำกว่าสัตว์ชนิด ๆ ได้แก่ ปลาแซลมอน (3) จิ้งหรีด (10) สัตว์ปีก (10) หมู (38) และ วัว (83)

งูเหลือมหนึ่งตัว สามารถนำมาใช้บริโภคได้ถึง 82% ของน้ำหนักตัว ซึ่งนอกจากเนื้อสัตว์ที่นำมาบริโภคแล้ว ยังสามารถนำหนังไปใช้ทำเครื่องประดับหรือเฟอร์นิเจอร์ได้ ขณะที่ไขมัน หรือที่เรียกว่า 'น้ำมันงู' และ ดีงู (น้ำดีงู) สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้อีกด้วย

สัตว์เลื้อยคลานผลิตก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาก ระบบย่อยอาหารที่แข็งแรงของพวกมัน สามารถสลายกระดูกได้ ทำให้แทบไม่มีการสูญเสียน้ำและสร้างของเสียน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาก

อีกทั้งงูยังให้กำเนิดลูกได้จำนวนมากในเวลาอันสั้น โดยงูเหลือมผลิตไข่ได้ระหว่าง 50-100 ฟองในหนึ่งปี ตรงกันข้ามกับวัวซึ่งให้กำเนิดลูกโดยเฉลี่ยเพียง 0.8 ตัวต่อปี ส่วนสุกรซึ่งสามารถตกลูกได้ประมาณ 22-27 ตัว 

ดร.นาทัสช์ กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกษตรกรไม่สามารถขายสุกรได้ และมีต้นทุนมากเกินไปที่จะเลี้ยงต่อ สุดท้ายเกษตรกรจำเป็นต้องการุณยฆาตและฝังกลบ หรือเอาไปทำเป็นปุ๋ยหมัก แต่ถ้าเลี้ยงงูก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะงูเหลือมสามารถอดอาหารได้นานกว่า 4 เดือน โดยที่น้ำหนักแทบจะไม่ลดลงเลย  และกลับมาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้กินอาหาร ดังนั้นการเลี้ยงดูงูเหลือมจึงสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาหารจะขาดแคลนก็ตาม

นอกจากนี้การเลี้ยงงูยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านได้อีกด้วย “ฟาร์มบางแห่งมีนำลูกงูเหลือมไปให้ชาวบ้านช่วยเลี้ยง และจะรับซื้อคืนเมื่องูอายุครบหนึ่งปี ซึ่งเป็นการสร้างรายได้เสริมให้แก่ชาวบ้านวัยเกษียณ โดยพวกเขาจะมีต้นทุนเพียงแค่ค่าอาหารงู อาจจะเป็นสัตว์ฟันแทะหรือเศษอาหารต่าง ๆ ที่หาได้ในท้องถิ่น” ดร.นาทัสช์ กล่าว

ขณะที่ ศ.ชายน์ กล่าวว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของสัตว์เลื้อยคลานในการเปลี่ยนของเสียให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์ได้ และแสดงให้ถึงโอกาสในการผลักดันให้งูกลายเป็นแหล่งอาหารทางเลือก แต่อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้ที่ชาวยุโรปและออสเตรเลียจะทดลองทำฟาร์มงู และนำงูมาบริโภค

“ผมคิดว่าคงอีกนานกว่าที่คุณจะได้เห็นเบอร์เกอร์งูเหลือมเสิร์ฟที่ร้านอาหาร”

อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยงูเหลือมนั้นเป็น สัตว์ป่าคุ้มครอง ตามกฎกระทรวง กำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2546 โดยมีงูจำนวน 14 ชนิด ได้แก่

1. งูเขียวกาบหมาก (Gonyosoma oxycephalum)
2. งูจงอาง (Ophiophagus Hannah)
3. งูทางมะพร้าวเขียว (Gonyosoma prasina)
4. งูทางมะพร้าวดำ หรือ งูทางมะพร้าวมลายู หรือ งูหลุนชุน (Elaphe flavolineata)
5. งูทางมะพร้าวแดง (Elaphe porphyracea)
6. งูทางมะพร้าวลายขีด (Elaphe radiata)
7. งูทางมะพร้าวหางดํา หรืองูใบ้ หรืองูทางมะพร้าวถํ้า (Elaphe taeniura)
8. งูสิง (Ptyas korros)
9. งูสิงหางดํา (Ptyas carinatus)
10. งูสิงหางลาย หรืองูสิงลาย (Ptyas mucosus)
11. งูแสงอาทิตย์ (Xenopeltis unicolor)
12. งูหลาม (Python molurus bivittatus)
13. งูหลามปากเป็ด (Python curtus)
14. งูเหลือม (Python reticulatus)

ทั้งนี้สามารถขออนุญาตเพื่อเพาะพันธุ์จำหน่าย เพื่อความสวยงาม แปรรูปผลิตภัณฑ์หนัง แต่ไม่อนุญาตให้นำไปกินเป็นอาหาร

‘Xiaomi’ ท้าชน!! เปิดตัว NEV รุ่น SU7 ที่พัฒนาเองครั้งแรก ราคาเริ่มต้น 1.1 ล้านบาท ครบครันทั้งสมรรถนะ-เทคโนโลยี

(29 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เสียวหมี่ (Xiaomi) บริษัทเทคโนโลยีของจีน เปิดตัวรถยนต์พลังงานใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองเป็นครั้งแรก รุ่นเอสยู7 (SU7)

โดยรถยนต์รุ่นดังกล่าวมาใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ เอสยู7, เอสยู7 โปร (SU7 Pro) และเอสยู7 แม็กซ์ (SU7 Max) ซึ่งจะจำหน่ายในท้องตลาดในราคา 215,900-299,900 หยวน (ราว 1.1-1.53 ล้านบาท)

รถยนต์เอสยู7 และเอสยู7 แม็กซ์ ถูกออกแบบให้มีพิสัยวิ่งขั้นต่ำ 700 กิโลเมตร โดยจะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าภายในปลายเดือนเมษายน ส่วนเอสยู7 โปร จะเริ่มส่งมอบภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม

เหลยจวิน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเสียวหมี่ กล่าวในงานเปิดตัวว่าบริษัทฯ สร้างความก้าวหน้าในการพัฒนาทางเทคโนโลยีในหลายสาขาสำคัญ เช่น การออกแบบโมเดล แบตเตอรี่ การขับขี่อัจฉริยะ และห้องคนขับอัจฉริยะ

ทั้งนี้ เสียวหมี่เข้าสู่ภาคส่วนยานยนต์พลังงานใหม่ในปี 2021 และสร้างโรงงานบนพื้นที่มากกว่า 700,000 ตารางเมตรในกรุงปักกิ่ง

ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน ระบุว่าปริมาณการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ในจีนสูงถึง 1.25 ล้านคัน และมีการจัดจำหน่ายรถประเภทนี้ 1.21 ล้านคันในช่วงสองเดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.2 และร้อยละ 29.4 เมื่อเทียบปีต่อปี ตามลำดับ

‘จีน’ ออกแบบ ‘รร.อนุบาล’ ใต้แนวคิด ‘ของเล่นชิ้นใหญ่สำหรับเด็ก’ สร้างสภาพแวดล้อมผ่อนคลาย-ปลอดภัย-พร้อมเรียนรู้ในหลากมิติ

โรงเรียนอนุบาล ‘Xicheng Dayang Preschool Group’ พื้นที่ 6,667 ตารางเมตร จำนวน 12 ชั้น ตั้งอยู่ในเมืองหลินไห่ เมืองไถโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ออกแบบโดย Atelier RenTian สามารถรองรับเด็กอายุระหว่าง 3 ถึง 6 ปี ได้ 360 คน

ด้วยแนวคิดการออกแบบ ‘ของเล่นชิ้นใหญ่สำหรับเด็ก’ การออกแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ทำให้เด็กรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย และปลอดภัย รวมถึงสร้างพื้นที่การสอนสำหรับเด็กที่เคารพธรรมชาติ พัฒนาบุคลิกภาพ และปลูกฝังจิตวิญญาณ

เมื่อมองจากระยะไกล อาคารทั้งหลังนี้ดูเหมือนเรือ ที่กำลังแบกเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ เพื่อล่องไปสู่อนาคตอันสดใส

ระเบียงถูกออกแบบให้ถอยร่นออกไปทีละชั้นคล้ายคลื่น และส่วนหน้าของขั้นบันไดช่วยเพิ่มมุมมองที่โปร่งโล่งและในขณะเดียวกันก็สะท้อนรูปร่างของภูเขาที่อยู่ด้านหลัง ทั้งแสงแดด ลม และต้นไม้จำนวนมากผสานรวมเข้าด้วยกัน สู่พื้นที่เล่าเรียนและละเล่น เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่และการสลับสับเปลี่ยนของกลางวันและกลางคืน ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางกายภาพของเด็กเพิ่มจิตวิญญาณในการสำรวจของเด็ก และเอื้อต่อการพัฒนาสุขภาพจิตของเด็กมากขึ้น

ขณะที่การปลูกต้นไม้บนหลังคา ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ควบคุมความชื้นภายในอาคารและทำให้สภาพแวดล้อมสวยงาม แต่ยังทำหน้าที่เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่ขยายออกไปนอกเหนือจากห้องเรียนปกติอีกด้วย ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพืช ดอกไม้ และแมลงต่าง ๆ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้และใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมดังกล่าวทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกธรรมชาติเพิ่มเติม ด้วยแนวทางนี้จะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการพัฒนาความสามารถทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ รวมถึงการสังเกต การได้ยิน และการสัมผัส ช่วยให้เด็ก ๆ สร้างความเชื่อมโยงกับธรรมชาติและพัฒนาความรู้สึกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของพวกเขา

ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมู การออกแบบนี้ได้ทำลายรูปแบบเชิงพื้นที่ที่เรียบง่ายของโรงเรียนอนุบาลแบบดั้งเดิมที่เราเห็นกันจนชินตา โดยขยายพื้นที่การจราจรไปสู่พื้นที่กิจกรรมในร่มและกลางแจ้งโดยมีธีมการออกแบบที่แตกต่างกัน เช่น ทางเดินกิจกรรมที่ซิกแซกจะขยายใหญ่ขึ้นจะสร้างพื้นที่การสื่อสารและพื้นที่ทางสังคม หรือห้องโถงซึ่งเป็นพื้นที่กิจกรรมและละเล่นเกมต่าง ๆ ในร่ม รวมถึงสไลเดอร์สำหรับเด็กได้รับการจัดเรียงอย่างลงตัวทั้งในร่มและกลางแจ้งเพื่อเชื่อมต่อชั้นต่าง ๆ ทำให้เกิดกิจกรรมและสถานที่ละเล่นที่หลากหลายและมีสีสันสำหรับเด็ก

พื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งของแต่ละชั้นเรียนจะถูกจัดไว้ด้านนอก โดยพื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งของเด็กแต่ละคนจะถูกคั่นด้วยช่องทางเดินหรือลู่วิ่ง ซึ่งทำให้ขอบเขตที่เข้มงวดระหว่างชั้นเรียนลดน้อยลง และสร้างความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ที่เปิดกว้างมากขึ้นและสามารถบูรณาการได้ ทำให้พื้นที่กิจกรรมของเด็ก ๆ กลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเด็กจากชั้นเรียนและกลุ่มอายุที่แตกต่างกันสามารถเคลื่อนไหว โต้ตอบ และเล่นกันได้อย่างอิสระ

แนวคิดของ ‘ความพร้อมใช้งาน’ ถูกนำมาใช้ในการออกแบบสภาพแวดล้อมการศึกษาก่อนวัยเรียน โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงความเป็นไปได้ในการส่งเสริมพฤติกรรมของเด็ก และเพิ่มคุณค่าการศึกษาผ่านการสร้างสภาพแวดล้อม โดยเชื่อว่าพื้นที่การศึกษาก่อนวัยเรียนไม่เพียงแต่เป็นการผสมผสานระหว่างสื่อการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างครู เด็ก และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ด้วยการรับรู้ถึงความพร้อมของสภาพแวดล้อม เด็ก ๆ จะค้นพบความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่เกิดจากการสำรวจ

ภายในโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ยังออกแบบพื้นที่เล็ก ๆ ที่น่าสนใจ เช่น พื้นที่ที่ซ่อนอยู่ตรงหัวมุมหรือพื้นที่เตี้ย ๆ ที่มีเพียงเด็กเท่านั้นที่สามารถยืนและเล่นได้ เพื่อปลูกฝังการรับรู้ทางอารมณ์ของเด็ก

โลกใบเล็ก ๆ ที่เป็นของเด็ก ๆ เหล่านี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็ก ๆ การออกแบบโรงเรียนอนุบาลจึงควรเพิ่มสถานที่บางแห่งที่มีเฉพาะเด็กเท่านั้นที่สามารถเข้า ผ่าน และใช้งานได้ บ้านหลังเล็ก ๆ ถ้ำเล็ก ๆ และกำแพงปีนเล็ก ๆ ช่วยให้เด็ก ๆ ได้สำรวจและค้นพบพื้นที่ที่น่าสนใจ พร้อมทั้งได้ใช้ความต้องการด้านการเคลื่อนไหวเพื่อพฤติกรรมต่าง ๆ การออกแบบเหล่านี้สามารถเพิ่มความปรารถนาของเด็กในการสำรวจโลกได้อย่างอิสระ โต้ตอบกับเด็กคนอื่น ๆ ในพื้นที่อิสระขนาดเล็กเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางสังคม

นอกจากพื้นที่ขนาดเล็กที่เหมาะกับขนาดของเด็ก ๆ แล้ว พื้นที่สาธารณะก็มีความสำคัญเช่นกัน เช่น การออกแบบห้องสมุดเพื่อให้มีพื้นที่อ่านหนังสือที่หลากหลาย การจัดวางช่องรับแสง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับการเล่นในห้องโถงใหญ่ เพื่อสร้างความสดใสและสภาพแวดล้อมหลายมิติที่น่าสนใจ

โดยสกายไลท์บนหลังคาได้รับการติดตั้งในห้องโถงกลางหลัก และห้องโถงเล็ก 2 แห่งทางทิศเหนือและทิศใต้ แสงสว่างที่ดีจะสร้างสภาพแวดล้อมที่สว่างและสะอาดให้กับเด็ก ๆ

ทั้งนี้ โมเดลการศึกษาระดับอนุบาลแบบ ‘เปิด’ เป็นรูปแบบการศึกษาก่อนวัยเรียนที่ใช้กันทั่วไปในประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเหมาะสำหรับการพัฒนาทางร่างกายและจิตใจของเด็ก

ตามทฤษฎีการศึกษาปฐมวัยสมัยใหม่ (วิธีมอนเตสซอรี่) เชื่อว่ากิจกรรมการสื่อสารของเด็กทุกวัยจะเอื้อต่อการเติบโตทางจิตใจ การเติบโตทางความรู้ และการพัฒนาความสามารถทางสังคม โรงเรียนอนุบาลควรจัดให้มีพื้นที่ให้เด็กทุกวัยได้มีปฏิสัมพันธ์กัน และสร้างโอกาสให้เด็กทุกวัยได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ดังนั้นในการออกแบบพื้นที่สถาปัตยกรรมของโรงเรียนอนุบาลจึงจำเป็นต้อง เน้นทั้งการแยกและการผสมผสาน ความยืดหยุ่นและการเปลี่ยนแปลง รวมถึงให้ความสำคัญกับการสร้างกิจกรรมสาธารณะและพื้นที่การสื่อสาร

จากอัตราการเกิดของประชากรจีนที่ลดต่ำลงเป็นลำดับ ทำให้จำนวนโรงเรียนอนุบาลอาจไม่ใช่เป้าหมายหลักที่รัฐบาลจีนมุ่งเน้น การส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการพัฒนา ปรับปรุง หรือกระทั่งสร้างโรงเรียนอนุบาลคุณภาพที่คิดทุกด้านมาอย่างรอบคอบเช่นเดียวกับ โรงเรียนอนุบาล Xicheng Dayang Preschool Group น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่มากกว่า (อย่างน้อยก็ในขณะนี้) เพื่อฟูมฟักทรัพยากรมนุษย์ที่แม้จะมีจำนวนน้อยลง แต่มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ 

จากรายงานของ Statista ระบุว่าในปี 2566 จำนวนเด็กที่เกิดต่อประชากร 1,000 คนในประเทศจีนอยู่ที่ 6.39 คน เท่านั้น ซึ่งอัตราการเกิดลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา และจำนวนการเกิดลดลงต่ำกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในปี 2565 เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลให้อัตราการเติบโตของประชากรจีนติดลบ!

เช่นเดียวกับประเทศและดินแดนในเอเชียตะวันออกส่วนใหญ่ ประชากรจีนในปัจจุบันมีอัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำมาก เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำในระยะยาวจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนำไปสู่ความตึงเครียดอย่างมากต่อระบบบำนาญและระบบสุขภาพ รัฐบาลจีนจึงตัดสินใจสนับสนุนการคลอดบุตรโดยค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการคุมกำเนิดที่เข้มงวดซึ่งใช้กันมากว่าสามทศวรรษ 

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายนี้มีน้อยกว่าที่คาดไว้มาก เพราะอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นจาก 11.9 คนต่อประชากร 1,000 คนในปี 2553 เป็น 14.57 คนในปี 2555 และยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้นแค่ราว 2-3 ปี แต่ก็ลดลงอีกครั้งสู่ระดับต่ำสุดใหม่ในปี 2561 นี่แสดงให้เห็นถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่จำกัดจำนวนการเกิด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะคล้ายคลึงกับปัจจัยที่มีประสบการณ์ในประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่นกัน เช่น ผู้หญิงชอบที่จะคว้าโอกาสในการทำงานมากกว่าการคลอดบุตร มีค่าใช้จ่ายสูงในการเลี้ยงดูลูก ฯลฯ

จำนวนการเกิดที่ลดลงยังสัมพันธ์กับจำนวนประชากรวัยเจริญพันธุ์ที่ลดลงอีกด้วย โดยกลุ่มอายุระหว่าง 15 ถึง 29 ปีในปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่ากลุ่มอายุระหว่าง 30 ถึง 44 ปี อย่างมาก

อ้างอิง: https://www.archdaily.com/1014752/linhai-xiecheng-kindergarten-atelier-rentian
 

https://www.gooood.cn/linhai-xiecheng-kindergarten-by-atelier-rentian.htm

‘ญี่ปุ่น’ พบผู้ติดเชื้อ ‘แบคทีเรียกินเนื้อคน’ พุ่ง!! 517 ราย สูงกว่า 5 ปีก่อน 4 เท่า ฟาก ’เกาหลีเหนือ‘ ผวา!! ขอยกเลิกการจัด ‘ฟุตบอลโลก’ รอบคัดเลือกทันที

(29 มี.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ที่ว่าการมหานครโตเกียว เมืองหลวงประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนหลังพบจำนวนคนติดเชื้อแบคทีเรียอันตราย ที่ก่อให้เกิดโรคแบคทีเรียกินเนื้อ(flesh-eating-disease) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดร้ายแรง ‘สเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ’ เพิ่มสูงขึ้น โดยในกรุงโตเกียวพบคนติดเชื้อแล้ว 88 ราย สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึงประมาณ 3 เท่า

ขณะที่ทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น มีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนแล้ว จำนวน 517 ราย ซึ่งสูงกว่า 5 ปีก่อน ถึง 4 เท่า โดยแบคทีเรียกินเนื้อคนนั้น เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดร้ายแรง ที่ทำให้ผู้ติดเชื้ออาจเสียชีวิตสูงถึง 30% ขณะที่ความร้ายแรงของแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ ที่ก่อให้เกิดโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน เกิดขึ้น เมื่อเกิดการติดเชื้อแล้ว เชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน จะกระจายไปทั่วร่างกายเป็นเหตุให้การทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลว

ศ.ฮิโตชิ ฮอนดา ศาสตราจารย์ด้านโรคติดเชื้อที่มหาวิทยาลัยสาธารณสุขฟูจิตะ กล่าวว่า แบคทีเรียกินเนื้อคนไม่ใช่โรคระบบทางเดินหายใจ เหมือนกับโรคปอดบวม หรือโรคโควิด-19 ที่สามารถเกิดการแพร่ระบาด ติดเชื้อได้จากการหายใจหรือสัมผัสละอองฝอย สารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ติดเชื้อ

ขณะที่ยังมีรายงานต่อเนื่องเรื่องของการพบผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนที่พุ่งสูงขึ้นในญี่ปุ่น ทำให้เกาหลีเหนือ ยกเลิกการจัดแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ระหว่างทีมชาติเกาหลีกับทีมชาติญี่ปุ่นอย่างกะทันหัน ขณะที่กำหนดการแข่งขันจะมีขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม ที่ผ่านมา

‘เซี่ยงไฮ้’ รับทัพ ‘นักท่องเที่ยว’ ปี 66 ทะลุ 326 ล้านคน กวาดรายได้กว่า 1.9 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 76.8%

(28 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน รายงานว่าเซี่ยงไฮ้รับรองนักท่องเที่ยวในปี 2023 ราว 326 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.5 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยส่วนหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวขาเข้า 3.64 ล้านคน

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า เซี่ยงไฮ้ทำรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2023 มากกว่า 3.67 แสนล้านหยวน (ราว 1.9 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 76.8 เมื่อเทียบปีต่อปี

อนึ่ง สำนักฯ เผยแพร่ข้อมูลสถิตินี้ระหว่างการประชุมส่งเสริมการลงทุนด้านการท่องเที่ยวของเซี่ยงไฮ้ ครั้งที่ 3 ซึ่งเริ่มต้นวันพุธ (27 มี.ค.) ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ กลุ่มหน่วยงานทางการของเซี่ยงไฮ้ยังประกาศการดำเนินโครงการในภาคธุรกิจวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว จำนวน 26 โครงการ ซึ่งมีการลงทุนรวม 1.17 แสนล้านหยวน (ราว 6 แสนล้านบาท) และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดดำเนินงานหรือดำเนินงานต่อเนื่องภายในสิ้นปี 2025 โดย สวนสนุกเลโก เซี่ยงไฮ้ รีสอร์ต (Legoland Shanghai Resort) และสวนสนุกน้ำแข็งและหิมะเซี่ยงไฮ้ เย่าเสวี่ย (Shanghai Yaoxue) เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโครงการข้างต้นด้วย

‘บริษัทญี่ปุ่น’ รับ!! สังคมสูงวัย เลิกผลิตไลน์สินค้า ‘ผ้าอ้อมเด็ก’ พร้อมหันมาจับตลาด ‘ผ้าอ้อมผู้ใหญ่’ หลังอัตราการเกิดทรุดฮวบ

(27 มี.ค. 67) บีบีซีรายงานว่า บริษัทผลิตผ้าอ้อมในญี่ปุ่นประกาศยุติการผลิตผ้าอ้อมสำหรับเด็กทารกในประเทศ โดยหันไปจับตลาดผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่แทน

โดย โอจิ โฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทล่าสุดที่ต้องปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงในยุคสังคมสูงวัยที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่น ซึ่งมีอัตราการเกิดต่ำเป็นประวัติการณ์

ทั้งนี้ ยอดขายผ้าอ้อมผู้ใหญ่ในญี่ปุ่นแซงหน้าผ้าอ้อมเด็กมานานกว่าทศวรรษแล้ว โดยจำนวนทารกแรกเกิดในญี่ปุ่นในปี 2566 อยู่ที่ 758,631 คน หรือลดลง 5.1% จากปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ จำนวนการเกิดของเด็กในปี 2566 ยังถือว่าต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ในญี่ปุ่นนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยในปี 1970 อัตราการเกิดของเด็กทารกในญี่ปุ่นอยู่ที่มากกว่า 2 ล้านคน

ซึ่ง โอจิ โฮลดิ้งส์ ระบุว่า บริษัทโอจิ เนเปีย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปัจจุบันผลิตผ้าอ้อมเด็กราว 400 ล้านชิ้นต่อปี แต่การผลิตลดลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งบริษัทเคยมียอดผลิตผ้าอ้อมเด็กสูงสุดที่ 700 ล้านชิ้นต่อปี

ย้อนไปในปี 2554 ยูนิชาร์ม บริษัทผู้ผลิตผ้าอ้อมรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นบอกว่า ยอดขายผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ของบริษัทแซงหน้าผ้าอ้อมเด็กทารกแล้ว

ปัจจุบัน ตลาดผ้าอ้อมผู้ใหญ่ในญี่ปุ่นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 72,800 ล้านบาท

ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีประชากรสูงวัยมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยชาวญี่ปุ่นเกือบ 30% มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และในปีที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่สัดส่วนของผู้ที่มีอายุมากกว่า 80 ปีในญี่ปุ่น มีสัดส่วนเกิน 10%

โอจิ โฮลดิ้งส์ บอกด้วยว่า แม้บริษัทจะยุติการผลิตผ้าอ้อมเด็กในญี่ปุ่น แต่ก็จะยังคงผลิตผ้าอ้อมเด็กในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าความต้องการจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป

‘สิงคโปร์’ ส่งทัพเจ้าหน้าที่สู่เมืองบัลติมอร์ หวังช่วยสอบสวนสาเหตุ ‘สะพานถล่ม’

(27 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักสอบสวนความปลอดภัยทางการขนส่ง และองค์การท่าเรือแห่งสิงคโปร์ จัดส่งคณะเจ้าหน้าที่สู่เมืองบัลติมอร์ของสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนการสืบสวนสอบสวนเหตุเรือตู้คอนเทนเนอร์ติดธงชาติสิงคโปร์ ชนกับสะพานฟรานซิส สก๊อต คีย์ บริดจ์ เมื่อวันอังคาร (26 มี.ค.) จนพังถล่มลงมา

บริษัท ซินเนอร์จี มารีน จำกัด (Synergy Marine) ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการการเดินเรือ ระบุว่า เรือลำดังกล่าวสูญเสียแรงขับเคลื่อนก่อนเกิดเหตุ จึงล้มเหลวจะประคับประคองทิศทางหัวเรือตามต้องการจนกระทั่งชนกับสะพานในท้ายที่สุด

องค์การท่าเรือฯ เสริมว่าเรือลำดังกล่าวได้ทิ้งสมอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามขั้นตอนรับมือเหตุฉุกเฉินก่อนพุ่งชนสะพาน โดยเรืออยู่ภายใต้การนำร่อง ณ ตอนเกิดเหตุ ด้านทางการสหรัฐฯ เป็นผู้นำปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือในปัจจุบัน

‘คริสปี้ครีม’ เตรียมขายโดนัทใน 'แมคโดนัลด์' ที่สหรัฐฯ พร้อมตั้งเป้าขยายร่วมทุกสาขาทั่วถิ่นมะกันภายในปี 69

(27 มี.ค.67) บริษัทแมคโดนัลด์ เชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังของสหรัฐ แถลงเมื่อวานนี้ (26 มี.ค.) ว่า บริษัทมีแผนวางจำหน่ายโดนัทแบรนด์ ‘คริสปี้ครีม’ ในร้านแมคโดนัลด์ครบทุกสาขาทั่วสหรัฐภายในสิ้นปี 2569 โดยจะเริ่มจำหน่ายในบางสาขาตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งจะใช้เวลาขยับขยายประมาณ 2 ปีครึ่ง

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลงความเป็นพันธมิตรด้านฟาสต์ฟู้ดระหว่าง 2 เชนร้านอาหารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ และการจับมือกับแมคโดนัลด์ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับคริสปี้ครีมในการขยายฐานลูกค้าด้วย

ข้อมูลนับถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566 คริสปี้ครีมจำหน่ายโดนัทให้กับร้านค้า third-party 6,800 แห่งในสหรัฐ ขณะที่แมคโดนัลด์มีสาขาราว 13,500 แห่งในสหรัฐและมีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 900 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2570

“เราคิดว่าเราสามารถให้บริการร้านอาหารราว 6,000 สาขาด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่เรามีอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านโดนัทที่มีกําลังการผลิตล้นเหลือ” นายจอช ชาร์ลสเวิร์ธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) คริสปี้ครีมกล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี

นอกจากนี้ คริสปี้ครีมยังอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิต เพื่อให้สามารถจัดส่งโดนัทสดใหม่ให้กับร้านแมคโดนัลด์ราว 7,500 สาขา ที่คริสปี้ครีมยังไม่สามารถเข้าถึงได้ในปัจจุบัน

ซีอีโอคริสปี้ครีม ระบุว่า ถึงแม้แมคโดนัลด์เป็นเหตุผลหลักที่บริษัทต้องขยายเครือข่ายจัดจำหน่ายอย่างรวดเร็ว แต่คริสปี้ครีมจะใช้โอกาสนี้ในการเข้าถึงร้านขายของชำและร้านสะดวกซื้อที่ต้องการซัพพลายเออร์ระดับประเทศมากกว่า

ส่วนในระยะยาว คริสปี้ครีมคาดว่าจะสามารถขยายจุดจำหน่ายโดนัทของตนได้มากกว่า 100,000 แห่งทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 75,000 แห่ง ขณะที่ในปัจจุบัน เครือข่ายคริสปี้ครีมมีจำนวนมากกว่า 14,100 แห่งใน 39 ประเทศ

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของคริสปี้ครีม (DNUT) ในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กของสหรัฐ ร่วงไปแล้วราว 20% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทลดลงเหลือ 2,110 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 76,688 ล้านบาท 

รัฐบาลทหารพม่าไม่หวั่น!! เดินหน้าจัดงานวันกองทัพ ย้ายฤกษ์สวนสนามจาก 'รุ่งอรุณ' เป็น 'อาทิตย์อัสดง'

กองทัพพม่า ยังเดินหน้าจัดงานสวนสนามครั้งใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองวันกองทัพ ที่ตรงกับวันที่ 27 มีนาคมของทุกปี ในกรุงเนปิดอว์ ท่ามกลางเสียงนักวิจารณ์ที่ตั้งข้อสงสัยถึงกำลังพลในกองทัพพม่าว่ายังเหลืออยู่เท่าไหร่ หลังถูกกดดันอย่างหนักจากกองกำลังฝ่ายกบฏและถูกมองว่ากองทัพพม่าอยู่ในยุคที่ตกต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี

โดยในปีนี้ กองทัพพม่ายังคงจัดงานฉลองวันกองทัพตามปกติ และ นายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ นายกรัฐมนตรีพม่า จะยังเข้าร่วมเป็นประธานในพิธี แม้กองทัพพม่ากำลังเผชิญสถานการณ์ที่ย่ำแย่ สูญเสียดินแดนจำนวนมากให้กองทัพชาติพันธุ์ เป็นเหตุให้เกิดกระแสขับไล่นายพล มิน อ่อง หล่าย อย่างกว้างขวางแม้ในแวดวงกลุ่มคนสีเขียวก็ตาม

และการจัดงานสวนสนามในปีนี้ มีความพิเศษกว่าทุกปี ที่มักจัดขึ้นในช่วงเช้า ซึ่งปีนี้ รัฐบาลพม่าจะเปลี่ยนมาจัดพิธีสวนสนามในช่วงเย็น โดยอ้างเหตุปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ทำให้ช่วงเช้าอากาศร้อนเกินไป จึงเลือกมาจัดงานในตอนเย็น ช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ที่จะช่วยให้การแสดงการบินของกองทัพอากาศมีความตระการตามากขึ้นด้วย

ด้านสำนักข่าวอิรวดี สื่อพม่า ชี้ว่า กองทัพพม่าบรรจงเลือกช่วงเริ่มพิธี ในเวลา 17.15 น. หรือ 5 โมง 15 นาที ตามแนวพิธีกรรมไสยเวทย์ ที่เลือกฤกษ์เวลาที่ประกอบด้วยตัวเลข 3 หลัก คือ 5, 5 และ 1 (5.15 PM) ที่รวมกันแล้วได้ 11 ที่จะช่วยหลีกเลี่ยงภยันตราย 11 ประการ ตามความเชื่อดั้งเดิมของพม่า  รวมถึงการเปลี่ยนช่วงเวลาพาเหรดมาเป็นช่วงเย็นเพราะเชื่อว่าดวงอาทิตย์จะไม่ตกใส่กองทัพพม่า 

แต่บรรยากาศในงานพาเหรดที่มีเป้าหมายเพื่อแสดงแสนยานุภาพของกองทัพในปีนี้ มีความแตกต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเป็นวันกองทัพครั้งแรกหลังจากที่รัฐบาลพม่า เพลี่ยงพล้ำให้กับกองทัพชาติพันธุ์ติดอาวุธ หลังปฏิบัติการ 1027

โดยกลุ่มพันธมิตรสามภราดรภาพ อันประกอบด้วยกองกำลัง โกก้าง, ตะอ่าง และ อารกัน ได้รวมกลุ่มโจมตีกองกำลังพม่าอย่างฉับพลัน ในแผนปฏิบัติการ 1027 ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ที่ทำให้กองทัพพม่าสูญเสียฐานที่มั่นในพื้นที่เขตปกครองชาติพันธุ์ไปเกือบทั้งหมด ต้องถอยมาปักหลักในเมืองศูนย์กลางที่ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และกรุงเนปิดอว์

ความเสียหายหลังถูกโจมตีโดยปฏิบัติการ 1027 ได้สะท้อนความอ่อนแอภายในกองทัพพม่าอย่างที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมานานหลายปี กลายเป็นแรงกดดันพุ่งสู่ นายพล มิน อ่อง หล่าย ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นผู้นำที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพพม่า และกระแสเรียกร้องให้เขาลาออกจากตำแหน่ง  

และความระส่ำระสายนี้ ทำให้รัฐบาลพม่าจำเป็นต้องออกกฎหมาย เรียกระดมพลเพิ่ม โดยอนุญาตให้เรียกผู้ชายอายุ 18-35 ปี และผู้หญิงอายุ 18-27 ปีเข้าประจำการเป็นเวลา 2 ปี ทำให้คนหนุ่มสาวในพม่าจำนวนมากพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งจุดหมายแรกของชาวพม่าที่เข้าเกณฑ์ถูกหมายเรียกคือประเทศไทย ที่มีชาวพม่าแห่ขอวีซ่าที่สถานทูตไทยในย่างกุ้งเป็นจำนวนมาก 

ดังนั้น งานสวนสนามประจำปีในวันกองทัพพม่าในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกองทัพพม่าเหมือนอย่างที่แล้วมา แต่เป็นเหมือนการเรียกขวัญ กำลังใจทหารในกองทัพในยามสิ้นหวัง และอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของนายพล มิน อ่อง หล่าย ที่ต้องพยายามรักษาแสงอาทิตย์ของเขาไว้ให้ได้ แม้ต้องยืนในยามอาทิตย์ใกล้อัสดงก็ตาม 

‘ยูเครน’ ส่งสัญญาณ เปิดทางทหารอียูสู้รบกับรัสเซียแทน ขู่!! หากปล่อยยูเครนพ่ายแพ้ ‘ปูติน’ จะไม่หยุดแค่นั้น

ความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอาจไปถึงจุดที่บรรดาชาติสมาชิกอียูจำเป็นต้องประจำการทหารในยูเครน เพื่อต้านทานการรุกคืบของรัสเซีย จากความเห็นของดมิทรี คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครนเมื่อช่วงต้นสัปดาห์

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ข่าวการเมืองสหรัฐฯ ‘โพลิติโก’ เมื่อวันจันทร์ (25 มี.ค.) คูเลบา คร่ำครวญต่อกรณีที่ตะวันตกลดความช่วยเหลือด้านการทหารที่มอบแก่เคียฟในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

"กรุณามอบแพทริออตให้เรา" คูเลบากล่าว อ้างถึงระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ซึ่งเขาเน้นย้ำว่ามีความจำเป็นต่อเคียฟ สำหรับเล็งเป้าหมายสกัดฝูงบินขับไล่ของรัสเซีย ที่พึ่งพาระเบิดนำวิถีทางอากาศเป็นหลัก "มอสโกพึ่งพากระสุนอัปเกรดของพวกเขามากยิ่งขึ้น และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมทหารยูเครนถึงสูญเสียฐานที่มั่นต่าง ๆ"

เป็นอีกครั้งที่ คูเลบา แสดงความเสียใจที่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรีพับลิกันยังคงขัดขวางความพยายามของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ผลักดันเงินช่วยเหลือก้อนใหม่ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่จะมอบแก่ยูเครน กระนั้นเขาปฏิเสธตอบคำถามกรณีเยอรมนี อีกชาติพันธมิตรลังเลจัดหาขีปนาวุธพิสัยไกล ‘ทอรัส’ แก่เคียฟ โดยบอกว่าเขา "เหนื่อยหน่ายกับคำถามนี้"

อย่างไรก็ตาม เขาหลีกเลี่ยงวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส หลังจากเมื่อเดือนที่แล้ว ผู้นำแดนน้ำหอมบอกว่าเขาไม่ตัดความเป็นไปได้ของการส่งทหารจากบรรดาชาติสมาชิกนาโตเข้าไปยังยูเครน

"เรายินดีที่ได้เห็นประธานาธิบดีมาครง มีวิวัฒนาการไปในทิศทางนั้น" รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครนกล่าว แม้ความเห็นของผู้นำฝรั่งเศส นำมาซึ่งระลอกคลื่นเสียงปฏิเสธจากบรรดาผู้นำรัฐสมาชิกนาโตอื่น ๆ ซึ่งเน้นย้ำว่าไม่มีแผนส่งทหารตะวันตกไปยังยูเครน

"เคียฟไม่เคยร้องขอทหารสู้รบจากยุโรปในภาคสนาม แต่พวกผู้นำอียูอาจจำเป็นต้องรับแนวคิดนี้ เมื่อวันนั้นมาถึง" คูเลบากล่าว "ผมทราบดีว่าเหล่าชาติยุโรปไม่คุ้นเคยกับแนวคิดแห่งสงคราม แต่ยุโรปไม่อาจอยู่ในความประมาท ไม่ว่ากับตัวเองหรือกับเด็ก ๆ ของพวกเขา เพราะว่าหากยูเครนพ่ายแพ้ ปูติน (ประธานาธิบดีรัสเซีย) จะไม่หยุดแค่นั้น"

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ระบุว่าคำกล่าวอ้างของเคียฟและบรรดาผู้สนับสนุนต่างชาติที่บอกว่ารัสเซียจะเล็งเป้าเล่นงานรัฐสมาชิกนาโต เป็นเรื่องไร้สาระ อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ผู้นำรายนี้เน้นย้ำว่ามอสโกจะปฏิบัติกับทหารตะวันตกในฐานะ ‘พวกแทรกแซง’ หากพวกเขาเข้าประจำการในยูเครน และจะตอบโต้อย่างสาสม

รองประธานรัฐสภารัสเซีย ปิออตร์ ตอลสตอย เตือนมาครง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ต่อการสู้รบโดยตรงกับรัสเซียในสนามรบว่า "เราจะสังหารทหารฝรั่งเศสทุกรายที่ย่างเท้าเข้าสู่แผ่นดินยูเครน"

จับตากฎใหม่ของจีน คาด!! สะเทือนวงการชิปโลก หลังแบน ‘Intel’ และ ‘AMD’ หนุนชิปเมดอินไชน่า

ทางการจีนออกแนวทาง โดยมีเป้าหมายลดการพึ่งพาซีพียูจากสหรัฐอเมริกามีผลให้ทั้ง Intel และ AMD ตลอดจนครอบคลุมถึงระบบปฏิบัติการ Windows และโปรแกรมฐานข้อมูลที่ผลิตโดยบริษัทต่างชาติด้วย

ไม่นานมานี้ รัฐบาลจีนประกาศแนวทางการปฏิบัติงานที่มีจุดประสงค์เพื่อหยุดการใช้ชิปประมวลผลความจำซึ่งผลิตโดยบริษัทอินเทล (Intel) และบริษัท AMD ของสหรัฐฯ ในคอมพิวเตอร์และระบบเซิร์ฟเวอร์ของรัฐ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียล ไทมส์ เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา

โดยรัฐบาลจีน เผยว่า หน่วยงานรัฐบาลที่สูงกว่าระดับเมือง จะต้องระบุเงื่อนไขการจัดซื้อชิปประมวลผล รวมถึงระบบปฏิบัติการที่ 'ปลอดภัยและไว้วางใจได้' ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่นี้ไปด้วย

ทั้งนี้ หากย้อนเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2023 กระทรวงอุตสาหกรรมจีนได้ออกแถลงการณ์พร้อมรายชื่อของหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ระบบประมวลผลและระบบฐานข้อมูลส่วนกลาง ที่ถูกระบุว่า 'ปลอดภัยและไว้วางใจได้' เป็นระยะเวลานาน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่มีการเผยแพร่ออกมา โดยทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทจีนทั้งหมด

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รอยเตอร์ได้ส่งแฟกซ์ไปยังสำนักงานสารสนเทศสภาแห่งรัฐ (State Council Information Office) ซึ่งรับผิดชอบการติดต่อของสื่อกับคณะรัฐมนตรีจีน เพื่อขอความเห็น แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ขณะเดียวกัน ก็จัดทำรายงานข่าวนี้ ไปยัง Intel และ AMD ซึ่งก็ไม่ได้ตอบกลับคำขอความเห็นของผู้สื่อข่าวเช่นกัน

สำหรับพัฒนาการที่ทำให้จีนออกประกาศดังกล่าวขึ้นมานั้น เกิดขึ้นหลังสหรัฐฯ เดินหน้าความพยายามยกระดับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศและลดการพึ่งพาฐานการผลิตในจีนและไต้หวัน ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ปี 2022 ที่รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผ่านออกมาบังคับใช้

อีกทั้งยัง สกัดกั้นการพัฒนาชิปเอไอของฝั่งจีน ด้วยการห้ามส่งออกชิปไฮเทคไปยังจีน ภายใต้เหตุผลเรื่องความมั่นคงของชาติ

ขณะเดียวกัน ผลพวงแห่งความตึงเครียดในศึกเทคโนโลยีระหว่าง 'สหรัฐฯ' กับ 'จีน' ที่เข้มข้นขึ้น โดยก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งมีรายงานข่าวว่า สหรัฐฯ มีแผนจะขึ้นบัญชีดำบริษัทในเครือข่ายของ 'หัวเว่ย เทคโนโลยีส์' นั้น

ก็ถือเป็นปมสำคัญที่เร่งให้เกิดการตอบโต้จากจีน ด้วยการแบนชิป Intel และ AMD เร็วขึ้นด้วย

สำหรับความเคลื่อนไหวดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทชิปอเมริกันอย่างหนัก โดยเฉพาะ Intel เนื่องจากจีนถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของอินเทลด้วยสัดส่วนถึง 27% ของยอดขายทั้งหมด 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะที่ AMD มียอดขายในจีน 15% ของยอดขายทั้งหมด 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์  

ขณะเดียวกัน กรุงปักกิ่ง ก็หวังกำจัดระบบปฏิบัติการวินโดว์ส (Windows) ของบริษัทไมโครซอฟท์ รวมทั้งซอฟต์แวร์ที่ผลิตโดยประเทศอื่น ๆ ออกไป เพื่อจะเปิดทางให้กับผลิตภัณฑ์ในประเทศมาเป็นตัวเลือกหลักแทนอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top