(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ที่จะเก็บภาษี 200% จากไวน์ แชมเปญ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากสหภาพยุโรปไม่ยกเลิกการเก็บภาษี 50% ต่อสุรานำเข้าจากสหรัฐฯ
การตอบโต้ทางการค้านี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษี 25% ต่อการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ส่งผลให้สหภาพยุโรป ได้ประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 26,000 ล้านยูโร (ราว 949.78 พันล้านบาท) ซึ่งรวมถึงวิสกี้และเหล้าเบอร์เบิน
ทรัมป์ระบุว่า หากยุโรปไม่ยกเลิกภาษีดังกล่าว สหรัฐฯ จะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 200% ต่อไวน์ แชมเปญ และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทั้งหมดจากฝรั่งเศสและประเทศสมาชิก EU อื่นๆ เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจไวน์และแชมเปญในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไวน์และสุราของยุโรป รวมถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น
โดยตลาดหุ้นยุโรปได้รับผลกระทบจากข่าวดังกล่าว หุ้นของบริษัทผู้ผลิตไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ เช่น LVMH, Pernod Ricard และ Rémy Cointreau ต่างปรับตัวลดลงกว่า 3% หลังมีข่าวเกี่ยวกับมาตรการภาษีของทรัมป์
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาทางออกที่ตกลงกันได้ อาจนำไปสู่สงครามการค้าที่ขยายวงกว้างและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส โลรองต์ แซงต์-มาร์แตง ประณามการกระทำของทรัมป์ โดยระบุว่าฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่และจะปกป้องอุตสาหกรรมของตน
“ฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่ดังกล่าว และเราจะปกป้องอุตสาหกรรมของเราอย่างเต็มที่ การกระทำของสหรัฐฯ ไม่เป็นที่ยอมรับ และเราพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส กล่าว
โฆษกฝ่ายการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป โอลอฟ กิล เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมทันที และแสดงความพร้อมที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
“ภาษีเหล่านี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสีย เราควรจะมุ่งเน้นที่การเก็บภาษีที่สร้างประโยชน์ทั้งสองฝ่ายดีกว่า” นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่าสหภาพยุโรปกำลังเตรียมหารือกับสหรัฐฯ ทางโทรศัพท์ในเร็ว ๆ นี้ นายโอโลฟ กิลล์ โฆษกด้านการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว