Wednesday, 26 March 2025
WORLD

‘จีน’ เนรเทศ!! สองนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ‘ถ่ายรูปโชว์ก้น’ บนกำแพงเมืองจีน

(15 มี.ค. 68) นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นวัย 20 ปีเศษ 2 คนถูกทางการจีนควบคุมตัวนาน 2 สัปดาห์ก่อนจะเนรเทศ หลังทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ‘เปิดบั้นท้าย’ ถ่ายรูปบนกำแพงเมืองจีนNTV และสื่ออื่นๆ ของญี่ปุ่นรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนกำแพงเมืองจีนซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกใกล้ๆ กรุง

ปักกิ่ง โดยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นรายหนึ่งได้ถอดกางเกงโชว์บั้นท้าย และมีผู้หญิงอีกคนถ่ายรูปให้

กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นแถลงว่า “สถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศจีนยืนยันเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ว่ามีพลเมืองญี่ปุ่น 2 คนถูกทางการจีนควบคุมตัวที่กำแพงเมืองจีน”

“พวกเขาได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา และเดินทางกลับญี่ปุ่นในช่วงเดือน ม.ค.

ด้านสถานทูตญี่ปุ่นประจำกรุงปักกิ่งยังคงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อสื่อในประเด็นนี้

แหล่งข่าวเผยว่า นักท่องเที่ยวทั้ง 2 คนถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจีนควบคุมตัวในที่เกิดเหตุ และถูกกักตัวอยู่เป็นเวลา 2 สัปดาห์

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวคู่นี้บอกกับทางสถานทูตญี่ปุ่นว่าพวกเขาทำลงไปเพราะความ “คึกคะนอง”

ทั้งนี้ การเปลือยร่างกายท่อนล่างในที่สาธารณะถือว่าผิดกฎหมายจีน

ข่าวดังกล่าวได้จุดกระแสความไม่พอใจในจีน ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังจดจำภาพความโหดร้ายในสมัยที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นบุกยึดครองจีนในช่วงทศวรรษ 1930-40

แฮชแท็ก “ชายและหญิงชาวญี่ปุ่นถูกจับเพราะทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมบนกำแพงเมืองจีน” มียอดเข้าชมมากกว่า 60 ล้านครั้งบน weibo โดยคอมเมนต์ยอดนิยมส่วนใหญ่เป็นการตำหนินักท่องเที่ยวทั้งสอง และมีบางคนที่ใช้ถ้อยคำเกลียดชังต่อชาวญี่ปุ่นคู่นี้

เฉิน อี้เทียน (Chen Yitian) นักแสดงชาวจีนซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 7 ล้านคนใน weibo โพสต์ประณามนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นว่า “ทำเรื่องน่าอับอายบนกำแพงเมืองจีนของผม” ขณะที่ชาวเน็ตบางรายถึงขั้นเรียกร้องให้รัฐบาลจีนสั่งห้ามชาวญี่ปุ่นทั้งหมดเข้าประเทศ

ทรัมป์ขู่เก็บภาษี 200% แอลกอฮอล์นำเข้าจากยุโรป ฝรั่งเศสไม่ยอมจำนนเตรียมปะทะทางการค้า เพื่อปกป้องไวน์และแชมเปญ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ที่จะเก็บภาษี 200% จากไวน์ แชมเปญ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากสหภาพยุโรปไม่ยกเลิกการเก็บภาษี 50% ต่อสุรานำเข้าจากสหรัฐฯ

การตอบโต้ทางการค้านี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษี 25% ต่อการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ส่งผลให้สหภาพยุโรป ได้ประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 26,000 ล้านยูโร (ราว 949.78 พันล้านบาท) ซึ่งรวมถึงวิสกี้และเหล้าเบอร์เบิน

ทรัมป์ระบุว่า หากยุโรปไม่ยกเลิกภาษีดังกล่าว สหรัฐฯ จะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 200% ต่อไวน์ แชมเปญ และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทั้งหมดจากฝรั่งเศสและประเทศสมาชิก EU อื่นๆ เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจไวน์และแชมเปญในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไวน์และสุราของยุโรป รวมถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น

โดยตลาดหุ้นยุโรปได้รับผลกระทบจากข่าวดังกล่าว หุ้นของบริษัทผู้ผลิตไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ เช่น LVMH, Pernod Ricard และ Rémy Cointreau ต่างปรับตัวลดลงกว่า 3% หลังมีข่าวเกี่ยวกับมาตรการภาษีของทรัมป์

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาทางออกที่ตกลงกันได้ อาจนำไปสู่สงครามการค้าที่ขยายวงกว้างและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส โลรองต์ แซงต์-มาร์แตง ประณามการกระทำของทรัมป์ โดยระบุว่าฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่และจะปกป้องอุตสาหกรรมของตน

“ฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่ดังกล่าว และเราจะปกป้องอุตสาหกรรมของเราอย่างเต็มที่ การกระทำของสหรัฐฯ ไม่เป็นที่ยอมรับ และเราพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส กล่าว 

โฆษกฝ่ายการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป โอลอฟ กิล เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมทันที และแสดงความพร้อมที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

“ภาษีเหล่านี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสีย เราควรจะมุ่งเน้นที่การเก็บภาษีที่สร้างประโยชน์ทั้งสองฝ่ายดีกว่า” นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่าสหภาพยุโรปกำลังเตรียมหารือกับสหรัฐฯ ทางโทรศัพท์ในเร็ว ๆ นี้ นายโอโลฟ กิลล์ โฆษกด้านการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว

อิหร่าน-รัสเซีย-จีน หารือนิวเคลียร์ที่ปักกิ่ง เตรียมเดินเกมใหม่บนเวทีโลก ท้าทายแรงกดดันจากสหรัฐฯ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นักการทูตระดับสูงจากอิหร่าน รัสเซีย และจีน ได้ประชุมหารือร่วมกันที่กรุงปักกิ่ง เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน การประชุมครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่อิหร่านปฏิเสธคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้อิหร่านกลับมาเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์

นายคาเซม การีบาบาดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน และนายเซอร์เกย์ รยาบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้เข้าร่วมการประชุมสามฝ่ายนี้ โดยมีนายหม่า เจ้าโซ่ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นประธานการประชุม การหารือครั้งนี้ครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน, การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร และประเด็นอื่น ๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน

“ฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องควรมีพันธะในการขจัดสาเหตุหลักของสถานการณ์ปัจจุบัน และละทิ้งแรงกดดันในการคว่ำบาตรและการคุกคาม” หม่า จ้าวซู่ รองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าว

การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดการหารือแบบวงปิดเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านที่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าได้ส่งจดหมายถึงอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเสนอการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ พร้อมระบุว่า “การจัดการกับอิหร่านมีเพียง 2 ทางเลือก คือ ใช้กำลังทหาร หรือทำข้อตกลงเท่านั้น”

ทว่าประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนแห่งอิหร่าน ยืนยันว่าจะไม่ยอมเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้การถูก “ข่มขู่” และไม่มีทางยอมทำตาม “คำสั่ง” ของสหรัฐฯ ที่บีบให้ต้องเจรจา

“มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่พวกเขาจะมาบอกว่า เรากำลังออกคำสั่งให้คุณอย่าทำสิ่งนี้ อย่าทำสิ่งนั้น หรือเราควรทำสิ่งนี้ ผมจะไม่เจรจาใด ๆ กับคุณ เอาเลย ทำอะไรที่น่ารังเกียจตามที่คุณต้องการ” ประธานาธิบดีมาซูด กล่าว

ทั้งนี้ จีนและอิหร่านได้ร่วมกันเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน เพื่อเปิดทางให้ทุกฝ่ายกลับคืนสู่โต๊ะเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์อีกครั้ง

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างอิหร่าน รัสเซีย และจีน ในการแก้ไขปัญหาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และความพยายามในการหาทางออกที่สันติและยั่งยืนสำหรับประเด็นที่ซับซ้อนนี้

องค์การอนามัยโลกเผยจำนวนผู้ป่วยโรคหัดพุ่ง ยูนิเซฟชี้เป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 25 ปี

(14 มี.ค. 68) องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) เปิดเผยข้อมูลที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์โรคหัดในภูมิภาคยุโรป โดยพบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหัด เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่ในปี 2567 ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2540

การวิเคราะห์โดยองค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ พบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหัดที่รายงานในภูมิภาคยุโรป เพิ่มขึ้นเป็น 127,352 รายในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากจำนวนที่รายงานในปีก่อนหน้า

“โรคหัดกลับมาอีกแล้ว และเป็นการเตือนสติให้ตื่นตัว หากไม่มีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูง ก็ไม่มีหลักประกันสุขภาพ” ดร. ฮันส์ พี. คลูเก้ ผู้อำนวยการภูมิภาคยุโรปของ WHO กล่าวในแถลงการณ์

รายงานจากทั้งสององค์กรระบุว่า การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคหัดในยุโรปเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการลดลงของอัตราการฉีดวัคซีนในบางประเทศ รวมถึงความท้าทายในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ซึ่งส่งผลให้เด็กและผู้ที่มีความเสี่ยงสูงไม่ได้รับการป้องกันที่เพียงพอจากโรคหัด

ทาง WHO และยูนิเซฟได้เรียกร้องให้ทุกประเทศในยุโรปเร่งดำเนินการเพิ่มการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคหัด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อาจตกเป็นเป้าหมายของโรคนี้ นอกจากนี้ยังมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน

ทั้งนี้ โรคหัดเป็นโรคติดต่อที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน และการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยในยุโรปครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างการเข้าถึงวัคซีนในพื้นที่ที่ยังมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เพื่อป้องกันการระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

‘ทรัมป์’ สนับสนุนผนวกกรีนแลนด์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ รัฐบาลกรีนแลนด์ลั่นไม่เห็นด้วย ขู่มะกันห้ามเข้ามาแทรกแซง

(14 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของกรีนแลนด์ โดยระบุว่า กรีนแลนด์มีโอกาสสูงที่จะผนวกเข้ากับสหรัฐฯ ในอนาคต ภายหลังจากที่ในช่วงปี 2019 เขาเคยเสนอให้สหรัฐฯ ซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย

ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า กรีนแลนด์เป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และตั้งอยู่ในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางการทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เขาชี้ว่า กรีนแลนด์มีทั้งทรัพยากรแร่ธาตุและการเข้าถึงเส้นทางการค้าทางทะเลที่มีมูลค่าสูงในอนาคต

ทรัมป์กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่ากรีนแลนด์มีโอกาสที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ในอนาคต เพราะมันมีความสำคัญทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างยิ่ง ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงและมีการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นมากขึ้น”

แม้ว่าข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์ในอดีตจะไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลเดนมาร์กและประชาชนในกรีนแลนด์ แต่การพูดถึงความเป็นไปได้ในการผนวกกรีนแลนด์เข้ากับสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากทั้งสื่อและนักการเมืองทั่วโลก

สำหรับกรีนแลนด์ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก และมีการปกครองตนเองในหลายๆ ด้าน แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก โดยมีข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องอธิปไตยและการปกครอง

ขณะที่ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีมูเต เอเกเดแห่งกรีนแลนด์ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งได้ประกาศว่าจะเรียกประชุมผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศ เพื่อแสดงจุดยืนและความไม่เห็นด้วยต่อแผนการผนวกกรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เราไม่สามารถยอมรับแผนการที่จะทำให้กรีนแลนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับประชาชนในกรีนแลนด์และรัฐบาลของเรา” เขายังเน้นย้ำว่า กรีนแลนด์มีความเป็นอธิปไตยและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศต้องมาจากประชาชนและรัฐบาลของกรีนแลนด์เท่านั้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่า กรีนแลนด์ยังคงยืนหยัดในการรักษาความเป็นอิสระและอธิปไตยของตนเอง ไม่ให้มีการแทรกแซงจากภายนอก

ร้านหม้อไฟชื่อดัง ประกาศจ่ายเงินชดเชยให้ลูกค้า 4,000 ราย หลังเกิดเหตุการณ์วัยรุ่นปัสสาวะลงในหม้อซุป สร้างความตกใจไปทั่วโลก

(14 มี.ค. 68) ร้านหม้อไฟชื่อดัง 'ไหตี่เลา' (Haidilao) ประเทศจีน ประกาศจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้กับลูกค้ากว่า 4,000 รายที่เคยไปใช้บริการที่สาขาหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในร้านอาหารสาขาดังกล่าว โดยเหตุการณ์นี้ได้สร้างความไม่พอใจและความวิตกกังวลให้กับลูกค้าอย่างมาก

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดหลังปรากฏคลิปวิดีโอวัยรุ่น 2 คนยืนปัสสาวะ ลงในหม้อซุปของทางร้านจนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทำให้เกิดความตกใจและไม่พอใจในหมู่ลูกค้าคนอื่นๆ รวมถึงผู้ที่ทำงานภายในร้าน 

ส่งผลให้ต่อมาร้านหม้อไฟชื่อดังได้ทำการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเจี้ยนหยาง มณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท ซึ่งทางตำรวจได้เปิดเผยว่า 

ผู้ต้องหาทั้งสองราย คือชายแซ่ถังและแซ่อู๋ อายุ 17 ปี ได้ถูกจับกุมตัวและนำตัวไปสอบสวน โดยทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาก่อเหตุที่ไม่เหมาะสมในสถานที่สาธารณะ ซึ่งทางตำรวจกำลังดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

ทั้งนี้ ทางร้านไหตี่เลาได้ออกมาขอโทษลูกค้าและยืนยันว่า จะมีการปรับปรุงการบริการและการดูแลลูกค้าในทุกสาขา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้ ทางร้านยังยืนยันว่าจะมีการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพภายในร้านอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

บริษัทไหตี่เลา ระบุในแถลงการณ์ว่า “เราเข้าใจดีว่าความเดือดร้อนที่ลูกค้าของเราได้รับจากเหตุการณ์นี้ไม่อาจชดเชยได้ทั้งหมดด้วยวิธีใดๆ เราเต็มใจที่จะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อรับผิดชอบ” 

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว จะได้รับการชดเชยเป็นเงินเยียวยาที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายและความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น โดยทางร้านได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการอย่างรวดเร็วและยุติธรรม

ปธน.โปแลนด์ เผยต้องการนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการรุกรานจากรัสเซียในยุโรปตะวันออก

(14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีอันด์แชย์ ดูดา ของโปแลนด์ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธนิวเคลียร์เข้าประจำการในดินแดนโปแลนด์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและเป็นเครื่องมือในการป้องปรามการรุกรานจากรัสเซียในอนาคต ซึ่งคำเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่โปแลนด์ยังคงเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการรุกรานของรัสเซียในภูมิภาคยุโรปตะวันออก

ในคำแถลงของเขาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีดูดาได้กล่าวว่า โปแลนด์จำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งทางทหารในฐานะสมาชิกขององค์การนาโต้ (NATO) โดยการมีอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของตนจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการป้องปรามและเพิ่มความมั่นคงให้กับทั้งโปแลนด์และพันธมิตรในภูมิภาค

การเรียกร้องของประธานาธิบดีโปแลนด์มีขึ้นหลังจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งทำให้หลายประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ รู้สึกถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และต้องการเพิ่มความเข้มแข็งด้านการป้องกันประเทศ

แม้ว่าการประจำการของอาวุธนิวเคลียร์ในโปแลนด์จะเป็นการกระทำที่อาจกระตุ้นความตึงเครียดกับรัสเซีย แต่ประธานาธิบดีดูดาก็ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อการป้องกันประเทศในระยะยาว และจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค

การเรียกร้องของโปแลนด์ได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศในนาโต้ แต่ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้และผลกระทบทางการเมืองจากการที่สหรัฐอเมริกาจะยอมรับคำขอนี้หรือไม่

นอกจากนี้ อันด์แชย์ ดูดา แห่งโปแลนด์ได้แสดงความยินดีต้อนรับข้อเสนอของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ที่จะขยายขอบเขตการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสไปยังประเทศสมาชิกนาโต้ (NATO) อื่นๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในยุโรป โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกของยุโรปที่มีความตึงเครียดจากการรุกรานของรัสเซีย

ทั้งนี้ การขยายขอบเขตของอาวุธนิวเคลียร์ฝรั่งเศสอาจกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในกลุ่มนาโต้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารระหว่างประเทศมหาอำนาจต่างๆ การตัดสินใจในการขยายอาวุธนิวเคลียร์จะต้องพิจารณาผลกระทบทั้งในด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศ

อนาคตของ ‘เซเลนสกี’ อยู่ในภาวะวิกฤต หลังสหรัฐฯ กังวลความสามารถในการรักษาความมั่นคงยูเครน

(14 มี.ค. 68) โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการดำรงตำแหน่งผู้นำของเขา โดยมีความกังวลเพิ่มขึ้นในวอชิงตันเกี่ยวกับความชอบธรรมของเขาในการเป็นผู้นำยูเครนในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับวิกฤตสงครามกับรัสเซีย

ตามรายงานจากหลายแหล่งข่าวในกรุงเคียฟและวอชิงตัน ระบุว่าในขณะนี้หลายฝ่ายในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเซเลนสกี และความสามารถของเขาในการรักษาความมั่นคงของประเทศในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ทั้งในด้านการทูตและความคืบหน้าในการเจรจาทางการทหาร

แหล่งข่าวในวอชิงตันกล่าวว่า มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการของเซเลนสกี โดยเฉพาะในการจัดการทรัพยากรทางทหารและการดำเนินนโยบายภายในที่อาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือของเขาในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพันธมิตรทางทหารของยูเครน

“เราอยู่ในการทำหน้าที่ท้ายๆ ของประธานาธิบดีเซเลนสกี” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนบอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของโวโลดิมีร์ เซเลนสกี โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนอ้างว่า การบริหารงานของเขาในช่วงท้ายๆ ของวาระกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการทูต การรักษาความมั่นคงของประเทศ และการจัดการวิกฤตสงครามที่ยืดเยื้อกับรัสเซีย 

ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีก็ยังคงเดินหน้าพยายามรักษาความเป็นผู้นำของเขา โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ยูเครนจะต้องได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของโวโลดิมีร์ เซเลนสกีในฐานะประธานาธิบดียูเครนจะหมดลงในปี 2024 โดยเขาได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกในวันที่ 31 มีนาคม 2019 และได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 พฤษภาคม 2019

นายกฯ เมืองผู้ดีสั่งยุบ ระบบบริการสาธารณสุข (NHS) ตามแนวทาง 'ทรัมป์' ลดขนาดรัฐบาล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวเดอะไทมส์ รายงานว่า เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ได้ประกาศยุบหน่วยงาน NHS England ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่ดูแลระบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติ (NHS) โดยให้เหตุผลว่าต้องการลดระบบราชการที่ซ้ำซ้อนและประหยัดงบประมาณของประเทศ

การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการย้อนกลับการปรับโครงสร้าง NHS ที่เกิดขึ้นในปี 2012 โดยรัฐบาลผสมของพรรคอนุรักษนิยมและพรรคเสรีประชาธิปไตย โดยนายสตาร์เมอร์ระบุว่าการยุบ NHS England จะนำการบริการสาธารณสุขกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐมนตรีโดยตรง ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

อย่างไรก็ตาม การประกาศดังกล่าวได้สร้างความกังวลในหมู่สหภาพแรงงานและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เนื่องจากเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของพนักงานและคุณภาพการบริการ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าการยุบหน่วยงานอาจนำไปสู่การสูญเสียงานของพนักงาน NHS England กว่า 9,500 ตำแหน่ง

ในขณะเดียวกัน นักวิจารณ์บางส่วนตั้งคำถามว่าการยุบ NHS England จะช่วยลดระบบราชการและประหยัดงบประมาณได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความซับซ้อนของการปรับโครงสร้างองค์กรขนาดใหญ่เช่นนี้

การประกาศยุบ NHS England ครั้งนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของรัฐบาลในการลดขนาดหน่วยงานรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นแนวทางที่เคยถูกนำเสนอโดยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์

ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการยุบ NHS England และวิธีการจัดการกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบบริการสาธารณสุขและพนักงานที่เกี่ยวข้อง

เกาหลีเหนือเตือนญี่ปุ่นอย่าติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกล มิฉะนั้นจะเจอมาตรการตอบโต้ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ร้ายแรง

(20 มี.ค. 68) เกาหลีเหนือออกแถลงการณ์เตือนรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างดุเดือด กรณีมีแผนติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลของสหรัฐฯ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นเกาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวจะยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาค และอาจกระตุ้นให้เกิดมาตรการตอบโต้จากเปียงยาง

สื่อของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือออกมาประณามแผนดังกล่าว โดยชี้ว่าเป็นการยั่วยุที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านความมั่นคงในเอเชียตะวันออก พร้อมเตือนว่าหากญี่ปุ่นยังเดินหน้าโครงการนี้ เปียงยางจะพิจารณามาตรการป้องกันเชิงรุกเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากโตเกียว

“การติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลในพื้นที่ที่สามารถยิงถึงเกาหลีเหนือได้ ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรง และจะผลักดันให้สถานการณ์ในภูมิภาคเข้าสู่ความไม่แน่นอนที่อันตราย” แถลงการณ์ระบุ

สำหรับปุ่นกำลังพิจารณาติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่น Tomahawk และขีปนาวุธของสหรัฐฯ ที่สามารถยิงโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึงเกาหลีเหนือ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนเสริมขีดความสามารถป้องกันประเทศท่ามกลางภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและจีน

แผนดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านกลาโหมใหม่ของญี่ปุ่นที่มุ่งเพิ่มศักยภาพการโจมตีตอบโต้ (counterstrike capability) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากแนวทางการป้องกันตัวเองของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เกาหลีเหนือและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์มาอย่างยาวนาน โดยญี่ปุ่นมักแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ขณะที่เปียงยางมองว่าการที่ญี่ปุ่นเพิ่มศักยภาพทางทหารเป็นภัยคุกคามโดยตรง

ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบขีปนาวุธหลายครั้ง ซึ่งบางครั้งได้ยิงข้ามน่านฟ้าของญี่ปุ่น ทำให้โตเกียวต้องยกระดับมาตรการป้องกันภัยทางอากาศ และพิจารณาปรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น

ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคำเตือนจากเกาหลีเหนือ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่าประเทศมีสิทธิ์ดำเนินมาตรการด้านความมั่นคงเพื่อปกป้องตนเองจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

สถานการณ์นี้นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจเพิ่มความร้อนแรงให้กับความขัดแย้งในเอเชียตะวันออก ซึ่งยังคงเป็นจุดสนใจของประชาคมระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด

‘ปูติน’ ลงพื้นที่เยือนศูนย์บัญชาการทหารในเคิร์สก์ มุ่งเสริมความมั่นคงรับมือภัยคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม

(13 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียลงพื้นที่เยือน ศูนย์บัญชาการทหาร ที่ควบคุมการปฏิบัติการใน ภูมิภาคเคิร์สก์ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่มีความตึงเครียดทางทหารในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยการเยือนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค และสั่งการให้ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามจากกองกำลังฝ่ายตรงข้าม

ปูตินได้เสนอแนวทางการจัดตั้งเขตความมั่นคง ตามแนวชายแดนของรัสเซีย เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการป้องกันประเทศและยับยั้งการบุกรุกจากฝ่ายตรงข้ามที่อาจเข้ามาก่อความไม่สงบในพื้นที่ดังกล่าว เขตความมั่นคงที่เสนอนี้จะมีการจัดตั้งการป้องกันทางทหารอย่างเข้มงวด และมีกองกำลังรัสเซียประจำการอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ปูตินได้สั่งการให้ขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้าม ออกจากภูมิภาคเคิร์สก์ โดยระบุว่า รัสเซียจะไม่ยอมให้มีกองกำลังที่ไม่เป็นมิตรทำการแทรกแซงหรือขัดขวางการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่สำคัญนี้ การขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้ามถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเสริมสร้างความมั่นคงและปกป้องดินแดนของรัสเซียในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดทางการเมือง และทหารในภูมิภาคยูเครนรวมถึงเขตพื้นที่ใกล้เคียง

โดยในระหว่างการแถลงข่าว ปูตินได้เน้นย้ำว่า การปลดปล่อยภูมิภาคเคิร์สก์ จากการควบคุมของกองกำลังฝ่ายตรงข้ามจะเป็นก้าวสำคัญในการรักษาความมั่นคงและอำนาจการปกครองในภูมิภาค โดยเขาแสดงความเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติการทางทหารที่รุนแรงและมีความมุ่งมั่นจะสามารถนำไปสู่ชัยชนะในที่สุด

ปูตินยังกล่าวเสริมว่า ทหารฝ่ายตรงข้ามที่ถูกจับกุมในเคิร์สก์ ควรได้รับการปฏิบัติเสมือนเป็น ผู้ก่อการร้าย ตามกฎหมายของรัสเซีย โดยอ้างว่าผู้ที่ต่อต้านการปกครองของรัสเซียในภูมิภาคนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและการปกครองของรัฐ จึงต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมายที่เคร่งครัด

การเยือนของปูตินในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลรัสเซียในการรักษาอำนาจทางทหารในพื้นที่ยุทธศาสตร์ และสร้างการควบคุมที่เข้มงวดในภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อรัสเซีย โดยเฉพาะเมื่อมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงจากต่างชาติในพื้นที่เหล่านี้

รัฐสภายุโรปมีญัตติให้ใช้การเจรจา ตกลงการค้าเสรี FTA กดดันรัฐบาลไทยหยุดเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และปฏิรูปกฎหมาย ม.112

(13 มี.ค. 68) รัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้มีมติร่วมเพื่อแก้ปัญหา (Joint Motion for a Resolution) เรียกร้องให้ประเทศไทยดำเนินการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) และยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน

ข้อเรียกร้องสำคัญจากรัฐสภายุโรป ซึ่งขอให้ปฏิรูปกฎหมายมาตรา 112 โดยรัฐสภายุโรปแสดงความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) ที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เพื่อรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การชุมนุมโดยสงบ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน

โดยขอให้ยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยอุยกูร์ รัฐสภายุโรปประณามการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน ซึ่งระบุว่าการกระทำดังกล่าวอาจทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกประหัตประหาร และเรียกร้องให้ประเทศไทยยุติการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัย รวมถึงผู้เห็นต่างทางการเมืองกลับสู่ประเทศที่อาจทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อชีวิต

อีกทั้งใช้เวทีเจรจา FTA (Free Trade Agreement) หรือ ข้อตกลงการค้าเสรี เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรปใช้เวทีการเจรจาลงนามความร่วมมือเขตการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพยุโรป เพื่อกดดันประเทศไทยให้มีการปฏิรูปกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และให้สัตยาบันอนุสัญญาหลักทั้งหมดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) 

ด้านรัฐบาลไทยยังไม่มีการตอบสนองอย่างเป็นทางการต่อมติของรัฐสภายุโรป อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ได้แสดงความสนใจในประเด็นนี้ โดยเตรียมเดินทางไปตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับประเทศจีน เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและตอบข้อสงสัยของประชาคมโลก

นอกจากนี้ มีรายงานว่า สภาอุยกูร์โลกได้แสดงความกังวลต่อแผนการของรัฐบาลไทยในการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่โทษประหารชีวิต และเรียกร้องให้ประชาคมโลกดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัยเหล่านี้

ทั้งนี้ มติของรัฐสภายุโรปครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลของประชาคมระหว่างประเทศต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะในประเด็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ การตอบสนองของรัฐบาลไทยต่อมติดังกล่าวจะเป็นที่จับตามองของทั้งประชาชนภายในประเทศและประชาคมโลก

รัฐบาลเวียดนามประกาศโครงการใหม่ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียน เพื่อสร้างเยาวชนพร้อมสำหรับโลกการศึกษาในระดับสากลนำมาพัฒนาเศรษฐกิจ

(13 มี.ค. 68) รัฐบาลเวียดนาม ได้ประกาศแผนการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านภาษาในประเทศ โดยจะมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียนทั่วประเทศ ภายในปี 2035 เป้าหมายหลักของโครงการคือการทำให้ เด็กทุกคนในเวียดนาม สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลเวียดนามได้เริ่มต้นโครงการนี้โดยการพัฒนาแผนการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมและมัธยม โดยจะมีการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับการศึกษาขั้นสูง อีกทั้งยังมีการจัดอบรมและสนับสนุนให้ครูผู้สอนภาษาอังกฤษมีความเชี่ยวชาญและสามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวียดนามตั้งเป้าหมายพัฒนาแรงงานที่มีทักษะ โดยการศึกษาภาษาอังกฤษจะไม่เพียงแค่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยว และการค้าในระดับสากล

การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา นี้จะช่วยให้ เยาวชนเวียดนาม สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความรู้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงและเป็นโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น

การปฏิรูปการศึกษา ในเวียดนามนี้จะเป็นการยกระดับประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการศึกษาและเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะทำให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มี การแข่งขันด้านภาษา สูงในเอเชียและทั่วโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

‘อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี’ เตือนประชาคมโลกอย่าหลงเชื่อคำพูดสหรัฐฯ ชี้วอชิงตันใช้การเจรจาเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างภาพลักษณ์

(13 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี (Ayatollah Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้กล่าวในระหว่างการบรรยายสาธารณะว่า การที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เผยพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านและเชิญชวนให้เจรจา นั้นเป็นเพียงการหลอกลวงความคิดของประชาคมโลก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการเปิดการสนทนาและการยอมรับการเจรจาเท่านั้น

“การกล่าวถึงการเจรจาของสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงความพยายามที่จะหลอกลวงประชาคมโลกเกี่ยวกับการแสดงออกของอเมริกาในการไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของอิหร่าน” ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กล่าว พร้อมกับเสริมว่า “อิหร่านจะไม่ถูกหลอกให้เชื่อในคำพูดของสหรัฐฯ ซึ่งมีประวัติในการทำลายข้อตกลงระหว่างประเทศ”

การแถลงของผู้นำสูงสุดของอิหร่านเกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เคยกล่าวในหลายโอกาสว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ในอนาคต โดยประธานาธิบดีไบเดนหวังว่าจะสามารถหาทางออกเพื่อยุติความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ผ่านการเจรจา

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าเขาได้ส่งจดหมายถึง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเชิญชวนให้อิหร่านเข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับ โครงการนิวเคลียร์ ระหว่างสองประเทศ โดยเขาระบุว่า การเจรจานี้จะเป็นการหาทางออกอย่างสันติ และ “จะช่วยหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาค”

อย่างไรก็ตาม, อิหร่าน ยังคงยืนยันในจุดยืนที่ไม่ยอมรับการเจรจาต่อเงื่อนไขเดิมที่ไม่เป็นธรรม และยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ซึ่งสหรัฐฯ ถอนตัวในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งเมื่อครั้งก่อน 

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ในการจัดการกับปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน โดยทรัมป์ได้กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ไม่สามารถปกป้องสหรัฐฯ และพันธมิตรจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ และกล่าวหาว่าอิหร่านยังคงดำเนินกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาค

“เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ มีคำกล่าวกันว่าจะไม่ยอมให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่หากเราต้องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ อเมริกาก็ไม่สามารถหยุดเราได้ เป็นความจริงที่ว่าเราไม่มีอาวุธนิวเคลียร์และไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ก็เพราะตัวเราเองไม่ต้องการมัน” คาเมเนอี กล่าว

สำหรับการที่ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ออกมาพูดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียดและไม่มีท่าทีที่จะคลี่คลายในอนาคตอันใกล้ 

ทั้งนี้ คำพูดของผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในเจตนาของสหรัฐฯ โดยอิหร่านมองว่าการเสนอเจรจาของสหรัฐฯ เป็นเพียงกลยุทธ์ในการบิดเบือนความจริงและไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในท่าทีของอิหร่านได้

จีน เร่งพัฒนาหลักสูตร AI ด้วยเทคโนโลยี DeepSeek ขณะที่มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งทยอยเปิดสอนเต็มรูปแบบ

ฮ่องกง, 22 กุมภาพันธ์ 2025 – มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศจีนเริ่มเปิดสอนหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยใช้เทคโนโลยีของ DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จากหางโจวที่กำลังเป็นที่จับตามองในระดับโลก หลายฝ่ายเปรียบเทียบความก้าวหน้านี้เป็น 'ช่วงเวลาสปุตนิก' ของจีนในอุตสาหกรรม AI

รัฐบาลจีนเดินหน้ายกระดับการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเป้าหมายสร้างรากฐานทางปัญญาให้เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ขณะที่ DeepSeek ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้เชี่ยวชาญในซิลิคอนวัลเลย์และวิศวกรจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ โดยระบุว่าโมเดล DeepSeek-V3 และ DeepSeek-R1 สามารถแข่งขันกับ AI ขั้นสูงของ OpenAI และ Meta ได้อย่างสูสี

มหาวิทยาลัยเซินเจิ้น ในมณฑลกวางตุ้งตอนใต้ เปิดเผยว่าหลักสูตร AI ที่ใช้เทคโนโลยี DeepSeek จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจเทคโนโลยีสำคัญ รวมถึงประเด็นด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และจริยธรรม ขณะที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เริ่มเปิดหลักสูตรพิเศษเกี่ยวกับ DeepSeek ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์

มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เจียทง เปิดเผยผ่านช่องทาง WeChat อย่างเป็นทางการว่าได้นำ DeepSeek มาใช้พัฒนาเครื่องมือการเรียนรู้ AI ขณะที่มหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีน ก็เริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในหลายด้าน ตั้งแต่การเรียนการสอน การวิจัย ไปจนถึงการบริหารภายในมหาวิทยาลัย

นโยบายเร่งด่วนด้านการศึกษาของจีนยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนา AI เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จีนได้ประกาศแผนปฏิบัติการแห่งชาติฉบับแรกเพื่อสร้าง “ประเทศที่มีการศึกษาที่แข็งแกร่ง” ภายในปี 2035 โดยตั้งเป้าพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพระดับโลก

นอกจากนี้ หลี่อัง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek ยังได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสำคัญเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ซึ่งมี ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และผู้นำเทคโนโลยีชั้นนำของจีน เช่น อาลีบาบา เข้าร่วม ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณบ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับ AI เป็นอย่างมาก

ขณะที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อแข่งขันกับโลกตะวันตก คำถามสำคัญที่ตามมาคือ DeepSeek จะสามารถรักษาความก้าวหน้าของตนได้หรือไม่? และ อุตสาหกรรม AI ของจีนจะสามารถขยายตัวจนเป็นผู้นำระดับโลกได้หรือเปล่า?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top