Wednesday, 2 April 2025
WORLD

ญี่ปุ่นเผชิญหิมะตกหนักผิดฤดูในโตเกียว อุตุฯ ชี้สภาพอากาศแปรปรวนมาจากหย่อมความกดอากาศต่ำ

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวคิโยโด นิวส์ รายงานว่า เกิดสภาพอากาศที่ผิดปกติในวันนี้ เมื่อหิมะตกลงมาในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูหนาวของกรุงโตเกียว โดยปรากฏการณ์นี้เป็นผลจากหย่อมความกดอากาศต่ำที่กำลังก่อตัวขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ผิดปกติ

กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ประกาศเตือนสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงในวงกว้าง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่เกาะญี่ปุ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ตอนกลางและตะวันออกของญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะและฝนตกหนัก

การตกของหิมะในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากในญี่ปุ่น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น แต่ในวันนี้ พายุที่เกิดขึ้นจากหย่อมความกดอากาศต่ำได้ทำให้กรุงโตเกียวและพื้นที่ใกล้เคียงประสบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ผิดปกติ

ทางกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้แจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบระมัดระวังอันตรายจากการเกิดหิมะตกหนัก การจราจรติดขัด และสภาพถนนที่ลื่นไถล รวมถึงเตือนให้เตรียมพร้อมสำหรับสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า

ทั้งนี้ โดยปกติแล้วเดือนมีนาคมในญี่ปุ่นถือเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยจะเริ่มตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งในช่วงนี้อุณหภูมิจะเริ่มอุ่นขึ้น และมีการบานของดอกซากุระ รวมถึงเป็นช่วงที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก

ยูเครนตอบรับข้อเสนอจากสหรัฐฯ ยอมหยุดยิง 30 วัน กลายเป็นก้าวแรกในการยุติสงครามกับรัสเซีย

(12 มี.ค. 68 ) สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ยูเครน ยอมรับข้อเสนอจากสหรัฐอเมริกาในการหยุดยิง เป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาสันติภาพกับ รัสเซีย หลังจากมีการพูดคุยระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรป โดยข้อเสนอนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามในการบรรเทาความรุนแรงและสร้างพื้นที่สำหรับการเจรจาทางการเมืองที่ยั่งยืนในภูมิภาคที่เกิดความขัดแย้งมายาวนาน

ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนได้ออกมาประกาศว่าฝ่ายรัฐบาลยินดีที่จะรับข้อเสนอดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสในการพิจารณาทางเลือกในการยุติสงคราม ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยูเครน และช่วยลดการสูญเสียชีวิตของพลเรือนรวมถึงทหารของทั้งสองฝ่าย

แถลงการณ์จากทำเนียบขาว ระบุว่า สหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนการหยุดยิงนี้อย่างเต็มที่ และย้ำว่า การหยุดยิงเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความตึงเครียด และเปิดทางให้การเจรจาสันติภาพดำเนินต่อไปได้ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงโดยไม่มีเงื่อนไข โดยขอให้ยึดความสำคัญของการยุติการใช้ความรุนแรง

“วันนี้เราได้เสนอข้อตกลงที่ยูเครนยอมรับแล้ว ซึ่งก็คือการหยุดยิงและจะเริ่มเจรจากันทันที” มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว “ตอนนี้เราจะนำข้อเสนอนี้ไปให้รัสเซีย และเราหวังว่าพวกเขาจะบอกว่าใช่ เพื่อสันติภาพ และตอนนี้ลูกบอลอยู่ในสนามของพวกเขาแล้ว” 

แม้ว่าการหยุดยิงจะมีระยะเวลาจำกัดเพียง 30 วัน แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างบรรยากาศของความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย ในขณะที่ฝ่ายรัสเซียยังคงเงียบต่อข้อเสนอและยังคงยืนยันจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับการขยายอำนาจในภูมิภาค

นักวิเคราะห์ระบุว่า การหยุดยิงนี้จะเป็นเครื่องมือในการลดความรุนแรงและเป็นช่องทางให้ประเทศต่าง ๆ สามารถเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับสถานการณ์ที่ยืดเยื้อมานาน

สำหรับกระแสความคิดเห็นในยูเครน มีทั้งผู้สนับสนุนและคัดค้านการหยุดยิง โดยฝ่ายที่คัดค้านยืนยันว่าไม่สามารถยอมรับการหยุดยิงที่อาจทำให้ยูเครนเสียพื้นที่ที่ได้ต่อสู้มา แต่ฝ่ายที่สนับสนุนเห็นว่า การเจรจาสันติภาพมีความสำคัญต่อการยุติสงครามและการฟื้นฟูประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรจะติดตามผลการหยุดยิงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามข้อกำหนดและสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเจรจาสันติภาพในอนาคต

ปูตินตกลงหยุดโจมตีโรงไฟฟ้ายูเครน 30 วัน นาโต้เชื่อรัสเซียแค่หยุดพัก เตรียมรบใหม่แน่เมื่อครบกำหนด

(19 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ตกลงที่จะหยุดโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนเป็นเวลา 30 วัน หลังจากการหารือทางโทรศัพท์กับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อช่วยลดความตึงเครียดในสงครามที่ดำเนินมากว่าสองปี

รายงานระบุว่า ในการสนทนาครั้งนี้ ทรัมป์ได้กดดันให้รัสเซียหยุดการโจมตีระบบพลังงานของยูเครน เนื่องจากโครงสร้างเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญต่อการดำรงชีวิตของพลเรือนในช่วงที่สงครามยังดำเนินอยู่ ด้านปูตินตอบรับข้อเรียกร้องนี้ และให้คำมั่นว่าจะชะลอปฏิบัติการทางทหารที่มุ่งเป้าไปยังโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนเป็นการชั่วคราว

แม้ข้อตกลงนี้จะถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการลดผลกระทบด้านมนุษยธรรม แต่รัฐบาลยูเครนยังคงสงวนท่าที โดยโฆษกของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ระบุว่า “การหยุดยิงโครงสร้างพลังงานเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่ยูเครนต้องการคือการยุติสงครามโดยสมบูรณ์”

ขณะเดียวกัน นาโต้และชาติพันธมิตรตะวันตก ได้ออกมาเตือนว่า ข้อตกลงนี้อาจเป็นเพียง "การหยุดพักยุทธศาสตร์" ของรัสเซีย เพื่อเตรียมการโจมตีครั้งใหม่หลังครบกำหนด 30 วัน

หลังจากการเจรจาครั้งนี้ ทรัมป์ออกแถลงการณ์โดยอ้างว่า “นี่เป็นก้าวแรกของการนำสันติภาพกลับคืนมา ผมสามารถทำให้สงครามนี้จบลงได้อย่างรวดเร็ว ถ้าผมได้รับโอกาส” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงผู้สนับสนุนของเขาในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

แม้ว่าข้อตกลงหยุดโจมตีโครงสร้างพลังงานของยูเครนจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า มีความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะกลับมาโจมตีอีกครั้งหลังจากครบกำหนด เว้นแต่ว่าจะมีการเจรจาสันติภาพเพิ่มเติม

Pop Mart ปรับกลยุทธ์รองรับยอดซื้อพุ่งสูง เพิ่มหลักสูตรอบรมพนักงานพูดไทย เอาใจนักท่องเที่ยวสายช้อป

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า กระแสอาร์ตทอยจากจีนกำลังมาแรงในกลุ่มนักท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะแบรนด์ดังอย่าง Pop Mart ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายสาขาในจีนเริ่มปรับกลยุทธ์ใหม่ ด้วยการส่งเสริมให้พนักงานฝึกพูดภาษาไทย เพื่อให้สามารถให้บริการนักท่องเที่ยวจากไทยได้อย่างสะดวกและประทับใจยิ่งขึ้น

โดย Pop Mart เป็นแบรนด์อาร์ตทอยจากจีนที่มีชื่อเสียงจากการออกแบบคาแรกเตอร์ที่มีเอกลักษณ์ และการเปิดตัวคอลเลกชันลิมิเต็ดอิดิชันที่ดึงดูดใจนักสะสมทั่วโลก ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แบรนด์นี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปจีน โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลักอย่าง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ที่มีร้าน Pop Mart ตั้งอยู่หลายแห่ง

และหลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา พบว่านักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปจีนเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า จำนวนนักเดินทางจากไทยเข้ากรุงปักกิ่งเพิ่มขึ้น 62% เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2562 กับ 2567

จากแนวโน้มนี้ Pop Mart จึงเริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้านภาษาของพนักงาน โดยเฉพาะภาษาไทย เพื่อให้สามารถสื่อสารกับลูกค้าจากไทยได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถแนะนำสินค้า โปรโมชั่น และให้บริการที่เป็นมิตรมากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว และกระตุ้นยอดขายไปในตัว

ร้าน Pop Mart หลายสาขาในจีนเริ่มมีการจัดอบรมภาษาไทยเบื้องต้นให้กับพนักงาน โดยเน้นคำศัพท์และประโยคที่ใช้บ่อยในการขายสินค้า เช่น “สวัสดีค่ะ/ครับ ยินดีต้อนรับ”, “ตัวนี้เป็นคอลเลกชันใหม่ค่ะ”, “มีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับวันนี้ค่ะ” “จ่ายผ่าน Alipay หรือ WeChat Pay ได้นะคะ”

นอกจากนี้ บางร้านยังมีการใช้ป้ายแนะนำสินค้าเป็นภาษาไทย รวมถึงเพิ่มตัวเลือกการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมใช้ เช่น QR Payment หรือบัตรเครดิตต่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกยิ่งขึ้น

ขณะที่นักสะสมอาร์ตทอยชาวไทยหลายคนให้ความเห็นว่า การที่พนักงาน Pop Mart ในจีนสามารถพูดภาษาไทยได้ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะช่วยให้การเลือกซื้อสินค้าง่ายขึ้น และยังเพิ่มความรู้สึกเป็นกันเองกับแบรนด์มากขึ้น บางคนถึงกับบอกว่า การได้พูดคุยกับพนักงานที่เข้าใจภาษาไทย ทำให้การซื้ออาร์ตทอยสนุกขึ้นและช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

ในขณะเดียวกัน Pop Mart ก็เริ่มขยายตลาดในไทยมากขึ้น โดยมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงการเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษที่เจาะกลุ่มแฟนคลับไทยโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม นักสะสมหลายคนยังคาดหวังให้ Pop Mart นำเข้าคอลเลกชันพิเศษจากจีนมาไทยมากขึ้น และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

จากกระแสความนิยมของอาร์ตทอยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความพยายามของ Pop Mart ในการปรับตัวให้เข้ากับนักท่องเที่ยวไทย เป็นที่คาดการณ์ว่าแบรนด์นี้จะขยายตลาดในไทยมากขึ้นในอนาคต และอาจมีการเปิดร้านสาขาใหม่ ๆ รวมถึงกิจกรรมพิเศษที่ดึงดูดแฟน ๆ อาร์ตทอยชาวไทยให้มากขึ้น

ประณามสหรัฐฯ แทรกแซงไทย กรณีคว่ำบาตรวีซ่า ปมส่งอุยกูร์กลับจีน

(18 มี.ค. 68) กระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกมาแสดงท่าทีเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ หลังจากที่ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศมาตรการจำกัดวีซ่า และคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน

เหมา หนิง (Mao Ning) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการตอบคำถามของผู้สื่อข่าวว่า จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นภายใต้ข้ออ้างด้านสิทธิมนุษยชน และมองว่ามาตรการของสหรัฐฯ เป็นการใช้แรงกดดันทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม

“จีนยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอธิปไตย และเราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการใช้สิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกดดันประเทศอื่น” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าว

จีนเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและจีนในด้านความมั่นคง และกล่าวว่าการส่งตัวบุคคลกลับประเทศต้องเป็นไปตามกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลจีนได้ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและเสถียรภาพภายในประเทศ ขณะเดียวกันก็เคารพอธิปไตยของไทยในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายด้านความมั่นคงของตนเอง

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยอย่างใกล้ชิดในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ

ในขณะที่จีนออกมาตอบโต้ สหรัฐฯ ยังคงยืนกรานว่าการคว่ำบาตรครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ 

อย่างไรก็ตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ค.ร.ม. ถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ยังไม่มีและยังไม่ทราบ” เรื่องโดนสหรัฐ จำกัดวีซ่า กรณีส่งชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตกลับจีน ต้องให้กระทรวงต่างประเทศช่วยอธิบายเรื่องข้อมูลกับสหรัฐฯ อีกที

ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า กรณีนี้อาจกลายเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย สหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

‘ทรัมป์’ เผยเป็นนัย ‘สี จิ้นผิง’ อาจบินสู่สหรัฐฯ หารือประเด็นร้อน

(18 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาแย้มว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน อาจจะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ในอนาคตอันใกล้ท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง โดยทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในระหว่างการปรากฏตัวที่งานประชุมสาธารณะในสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

ทรัมป์ได้กล่าวว่า การเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดที่ยืดเยื้อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยทั้งสองประเทศยังคงมีข้อขัดแย้งในหลายด้าน รวมถึงการเก็บภาษีสินค้าจีนที่สหรัฐฯ กำหนดไว้รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการค้า และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา 

แหล่งข่าวจากรัฐบาลจีนระบุว่า การเยือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า และความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่มีผลดีต่อทั้งสองประเทศ โดยทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างต้องการลดความตึงเครียดที่มีอยู่ และหาทางปรับปรุงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ รวมถึงการบริหารจัดการข้อขัดแย้งอย่างยั่งยืน

ในขณะเดียวกัน จีนหวังว่าจะสามารถเพิ่มความเข้าใจและความไว้วางใจ ระหว่างทั้งสองประเทศได้และมุ่งเน้นไปที่การร่วมมือในระดับโลก โดยเฉพาะในด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจทั่วโลก

การเยือนครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะได้พูดคุยเกี่ยวกับข้อขัดแย้งทางการค้า และหาทางออกร่วมกันเพื่อบรรเทาความตึงเครียดในพื้นที่เศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าการเจรจานี้อาจจะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในอนาคต

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐฯ และจีน ได้เริ่มหารือเกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ในการจัด “การประชุมสุดยอดวันเกิด” (Birthday Summit) ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเดือนมิถุนายน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงวันเกิดของประธานาธิบดีสีตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน แต่การหารือยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่มีการระบุวันที่ชัดเจน 

จีนเปิดตัวรถไฟขบวนพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ มุ่งหน้าท่องเที่ยว 3 เมืองหลัก ชมวัฒนธรรมและธรรมชาติอันสวยงาม

(18 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า รถไฟท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุขบวนแรกของปีในเขตปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย ได้ออกเดินทางจาก สถานีเทียนจิน อย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่ วันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา พร้อมนำผู้โดยสารวัยเก๋าจำนวน 452 คน จากทั้งสามพื้นที่ ได้แก่ ปักกิ่ง เทียนจิน และมณฑลเหอเป่ย เดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่สำคัญหลายแห่ง

ขบวนรถไฟพิเศษนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ภายในตู้โดยสารมี สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ที่นั่งกว้างขวาง ทางเดินปลอดภัย ระบบยกสัมภาระอัตโนมัติ และบริการพยาบาลเบื้องต้น เพื่อให้ผู้โดยสารเดินทางได้อย่างสบายและปลอดภัย

สำหรับเส้นทางของรถไฟขบวนนี้จะเริ่มต้นการเดินทางจาก ปักกิ่ง และจะเดินทางผ่าน มณฑลเจียงซี, หูหนาน, และ กวางตุ้ง โดยจุดจอดสำคัญในแต่ละมณฑลจะรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ได้แก่ 

มณฑลเจียงซี พื้นที่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติที่น่าสนใจ เช่น เขตมรดกโลกที่ภูเขาเอ๋อ และ เมืองเจียงเจียว ที่มีมรดกทางวัฒนธรรมจีนที่ลึกซึ้ง

มณฑลหูหนาน เส้นทางจะพาผู้โดยสารไปยังเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เช่น เมืองจางเจียเจี้ย ที่มีภูเขาและทิวทัศน์ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก 

มณฑลกวางตุ้ง จุดหมายสำคัญรวมถึง เมืองกวางโจว ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความเจริญก้าวหน้าและมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์จีน

นอกจากการเดินทางที่สะดวกสบายแล้ว ยังมี กิจกรรมพิเศษบนขบวนรถไฟ เช่น ดนตรีสด บรรยายประวัติศาสตร์ และการสาธิตวัฒนธรรมพื้นบ้าน เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสุขให้กับผู้โดยสาร

โครงการรถไฟท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนา “วงแหวนเศรษฐกิจปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย” ที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวและเชื่อมโยงเมืองสำคัญในภูมิภาค โดยรัฐบาลท้องถิ่นหวังว่า บริการรถไฟขบวนพิเศษนี้จะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้สะดวกขึ้น และส่งเสริมเศรษฐกิจในเมืองต่าง ๆ ตลอดเส้นทาง

คาดว่าหลังจากการเดินทางครั้งแรกนี้ โครงการจะมีการเพิ่มรอบการเดินทางและขยายเส้นทางไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ในอนาคต เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัยในจีน

ทั้งนี้ จีนกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว ทำให้โครงการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก การเปิดตัวรถไฟท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุขบวนแรกของปี 2025 ถือเป็น ก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเดินทางสำหรับผู้สูงอายุ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มนี้

โดยรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแผนที่จะ พัฒนาระบบขนส่งที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยมากขึ้น ทั้งในด้านบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก และมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกสบาย

BYD เปิดตัว ‘Super E-Platform’ 1,000V ปลดล็อกเทคโนโลยีชาร์จเร็วใน 5 นาที วิ่งไกล 400 กม.

BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก สร้างความฮือฮาในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยการเปิดตัว ระบบแบตเตอรี่ใหม่ล่าสุด ‘Super E-Platform’ 1,000V ที่สามารถรองรับการชาร์จเร็วสูงสุด 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และช่วยลดข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการชาร์จที่เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า

เทคโนโลยีใหม่นี้ได้รับการพัฒนาโดย BYD Battery Division โดยใช้เซลล์แบตเตอรี่ที่ออกแบบให้รองรับ การชาร์จความเร็วสูงพิเศษ (Ultra-Fast Charging) ซึ่งสามารถเก็บพลังงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น นวัตกรรมนี้ช่วยให้การชาร์จ EV มีความสะดวกและรวดเร็ว เทียบเท่ากับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์

BYD ระบุว่า แบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้จะช่วย ลดระยะเวลาการชาร์จลงจากระดับชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าให้แพร่หลายมากขึ้น

สำหรับ BYD เป็นผู้นำด้านการพัฒนาแบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) และมีชื่อเสียงจากการพัฒนา แบตเตอรี่ Blade Battery ที่ได้รับการยอมรับในด้าน ความปลอดภัยสูงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่เปิดตัวนี้ยังคงเน้นย้ำเรื่อง ความปลอดภัย เป็นอันดับแรก ด้วยการออกแบบที่ช่วยป้องกันความร้อนสูงเกินไป ลดความเสี่ยงต่อการเกิดไฟลุกไหม้ และช่วยให้แบตเตอรี่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในอุณหภูมิที่หลากหลาย

นอกจากการพัฒนาแบตเตอรี่แล้วยังมีแผนขยาย เครือข่ายสถานีชาร์จความเร็วสูง เพื่อรองรับการใช้งานของผู้ขับขี่ EV ได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และคาดว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ใน ตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

การเปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่สามารถชาร์จ EV ได้ภายใน 5 นาทีของ BYD ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาหลักของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และอาจเป็น Game Changer ที่เร่งให้โลกเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคพลังงานสะอาดได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งคาดว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของบริษัทภายในปีถัดไป

จีนปล่อยจรวด CERES-1 บรรทุกดาวเทียม 8 ดวงทะยานอวกาศ หนุนการสำรวจทางวิทยาศาสตร์และการให้บริการด้านการสื่อสาร

(18 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า จีนประสบความสำเร็จในการปล่อยจรวดขนส่งซีอีอาร์อีเอส-1 (CERES-1) ซึ่งบรรทุกดาวเทียม 8 ดวงขึ้นสู่อวกาศ โดยจรวดทะยานขึ้นจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียน ในเขตมองโกเลียใน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อเวลา 16.07 น. ตามเวลาปักกิ่ง

โดยการปล่อยจรวดซีอีอาร์อีเอส-1 เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสนับสนุนเทคโนโลยีอวกาศและการสื่อสารของจีน โดยดาวเทียมที่บรรทุกขึ้นไปจะถูกนำไปใช้สำหรับการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ การสังเกตการณ์ระยะไกล และการให้บริการด้านการสื่อสาร

จรวดขนส่ง ซีอีอาร์อีเอส-1 เป็นจรวดเชื้อเพลิงแข็งขนาดเล็กที่พัฒนาโดย บริษัท Galactic Energy ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนชั้นนำของจีนด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ โดยภารกิจครั้งนี้ถือเป็นการปล่อยจรวดซีอีอาร์อีเอส-1 รุ่นใหม่ที่มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

การปล่อยจรวดครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมอวกาศจีน ที่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการลงทุนมหาศาลในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศ ไม่ว่าจะเป็น โครงการสถานีอวกาศเทียนกง การส่งยานสำรวจไปยังดวงจันทร์และดาวอังคาร รวมถึงการพัฒนาจรวดขนส่งเชิงพาณิชย์ที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

นอกจากนี้ จีนยังสนับสนุนบริษัทเอกชนในการพัฒนายานอวกาศและระบบขนส่งดาวเทียมให้มีต้นทุนต่ำลง แต่ยังคงมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้สามารถปล่อยดาวเทียมได้บ่อยขึ้น และรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น

สำหรับศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียน (Jiuquan Satellite Launch Center) ถือเป็นหนึ่งในศูนย์ปล่อยจรวดที่สำคัญของจีน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และเป็นฐานปล่อยหลักของโครงการอวกาศจีนหลายโครงการ ทั้งด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การทหาร และการพาณิชย์

ทั้งนี้ การปล่อยจรวดซีอีอาร์อีเอส-1 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของศูนย์ปล่อยจิ่วเฉวียนในการสนับสนุนภารกิจอวกาศที่หลากหลาย โดยเฉพาะการปล่อยดาวเทียมขนาดเล็กที่มีความต้องการสูงขึ้นในปัจจุบัน

กองทัพจีนประกาศเฝ้าระวังขั้นสูง พร้อมรบทุกเวลา หากไต้หวันแยกตัว อาจเกิดสงครามทันที

(17 มี.ค. 68) พลเอก หลิน เซี่ยงหยาง (Lin Xiangyang) ผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ประกาศว่า กองทัพจีนอยู่ในภาวะเฝ้าระวังขั้นสูง และมีความพร้อมเต็มที่ในการทำสงครามได้ทุกเวลาหากจำเป็น เพื่อสกัดกั้นความพยายามแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน

“กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนมีความสามารถในการตอบโต้ภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงที และพร้อมใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ” หลิน เซี่ยงหยาง กล่าว

คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลาง สถานการณ์ที่ตึงเครียดขึ้นในช่องแคบไต้หวัน โดยจีนได้เพิ่มกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ใกล้เกาะไต้หวันมากขึ้น เช่น การซ้อมรบทางทะเล การส่งเครื่องบินรบเข้าสู่เขตป้องกันภัยทางอากาศ (ADIZ) ของไต้หวัน และการเสริมกำลังทางยุทธศาสตร์รอบพื้นที่

ด้านไต้หวัน รัฐบาลไทเปยืนยันว่าตนเป็นประชาธิปไตยที่ปกครองตนเอง และไม่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งยังคงย้ำว่า ไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งของจีน และ พร้อมใช้ทุกวิถีทาง รวมถึงกำลังทหาร เพื่อรวมไต้หวันกลับสู่แผ่นดินใหญ่

การประกาศของหลิน เซี่ยงหยาง ได้รับความสนใจจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของไต้หวัน โดยสหรัฐฯ ได้แสดงท่าที คัดค้านการใช้กำลังทหารเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะของไต้หวัน และยังคงให้การสนับสนุนด้านอาวุธและความร่วมมือด้านความมั่นคงกับไทเป

ความเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกตึงเครียดมากยิ่งขึ้น โดยหลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่าจีนจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอย่างไรในการเผชิญหน้ากับไต้หวันและพันธมิตรตะวันตก

รู้จัก DF-21D และ YJ-21 ขีปนาวุธต่อต้านเรือรบของกองทัพจีน ที่พร้อมต่อกรกองเรือสหรัฐฯและพันธมิตรในทะเลจีนใต้

(17 มี.ค. 68) ในขณะที่กองเรือสหรัฐฯและพันธมิตรเสริมกำลังทางเรืออย่างเข้มข้นในทะเลจีนใต้ กองทัพเรือแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนก็ได้เผยแพร่ข้อมูลของขีปนาวุธต่อต้านเรือรบ 2 แบบซึ่งน่าจะเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดต่อกองเรือสหรัฐฯและพันธมิตร

(1) DF-21D หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dongfeng-21D เป็นขีปนาวุธพิสัยกลางของจีนที่ออกแบบมาเพื่อปฏิบัติการต่อต้านเรือรบโดยเฉพาะ โดยมีพิสัยการโจมตีประมาณ 1,500 กิโลเมตร (ประมาณ 930 ไมล์) ขีปนาวุธรุ่นนี้ใช้ระบบนำทางขั้นสูงที่ผสมผสานระบบนำทางเฉื่อย (INS) เข้ากับระบบนำทางขั้นสุดท้ายโดยใช้เรดาร์หรือวิธีการทางแสง ทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายทางทะเลที่กำลังเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำ ขีปนาวุธรุ่นนี้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศด้วยความเร็วประมาณ 10 มัค เช่นเดียวกับขีปนาวุธพิสัยกลางทั่วไป ความเร็วปลายทางของขีปนาวุธรุ่นนี้คาดว่าจะอยู่ระหว่างมัค 3 ถึง มัค 5 ขีปนาวุธรุ่นนี้สามารถบรรทุกหัวรบระเบิดแรงสูงแบบธรรมดาหรือหัวรบนิวเคลียร์ได้ ทำให้มีขีดความสามารถในการโจมตีที่หลากหลาย 

DF-21D ซึ่งยิงจากแท่นเคลื่อนที่สามารถนำไปใช้งานและเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีความสามารถในการเอาตัวรอดจากการถูกโจมตีตอบโต้ ขีปนาวุธรุ่นนี้ใช้งานโดยกองกำลังจรวดของกองทัพปลดปล่อยประชาชนเป็นหลัก และถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์ของจีนในการต่อต้านปฏิบัติการทางเรือของศัตรูที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ ขีปนาวุธรุ่นนี้มีการออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะในการ "ทำลายล้างเรือบรรทุกเครื่องบิน" เป็นการเฉพาะ โดยถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือรบขนาดใหญ่อื่น ๆ โดยใช้ความเร็วและความคล่องตัว โดยรวมแล้ว DF-21D ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในด้านความสามารถในการต่อต้านการเข้าถึง/ปฏิเสธพื้นที่ (A2/AD) ของจีน 

จีนมีทรัพยากรในการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองที่จำเป็น รวมถึงเรดาร์ช่องรับแสงสังเคราะห์ (SAR) บนดาวเทียมในวงโคจรแบบซิงโครนัส เพื่อระบุตำแหน่งของเป้าหมายทางทะเล ส่งต่อพิกัดไปยังเครื่องยิง เมื่อทำการยิงขีปนาวุธ และแจ้งตำแหน่งอัปเดตของขีปนาวุธจะถูกส่งต่อไปผ่านลิงก์การสื่อสารผ่านดาวเทียมในระยะกลาง ขีปนาวุธมีเรดาร์ค้นหาของตัวเองสำหรับระยะสุดท้าย ซึ่งมีไม่กี่ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับยุทโธปกรณ์เหล่านี้

(2) YJ-21 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Yingji-21 เป็นขีปนาวุธร่อนต่อต้านเรือรบของจีนที่มีความสามารถในการโจมตีทางทะเลขั้นสูง ด้วยระยะประมาณ 1,500 กิโลเมตร (ประมาณ 930 ไมล์) ทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพจากระยะไกล ขีปนาวุธนี้ได้รับการออกแบบมาให้ยิงจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรือผิวน้ำ เรือดำน้ำ และเครื่องบิน จึงช่วยเพิ่มความหลากหลายในสถานการณ์ปฏิบัติการที่แตกต่างกัน YJ-21 ซึ่งติดตั้งระบบนำทางขั้นสูง ใช้เรดาร์และระบบนำทางเฉื่อยเพื่อกำหนดเป้าหมายเรือที่กำลังเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำ การออกแบบของ YJ-21 เน้นที่ความเร็วสูงและความคล่องตัว ทำให้สามารถหลบเลี่ยงการสกัดกั้นได้ในขณะที่เข้าใกล้เป้าหมาย ขีปนาวุธรุ่นนี้สามารถบรรทุกหัวรบระเบิดแบบธรรมดาได้ จึงเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตีเรือของศัตรูได้ 

ขีปนาวุธ YJ-21 (Eagle Strike 21) เป็นขีปนาวุธต่อต้านเรือรบความเร็วเหนือเสียงที่พัฒนาโดยจีน ขีปนาวุธรุ่นนี้โดดเด่นด้วยความสามารถด้านความเร็วที่น่าประทับใจ YJ-21 มีความเร็วเดินทางเกินมัค 6 ในระยะกลางของการเคลื่อนที่ในระดับความสูงมาก (~30 กม.) ที่อากาศเบาบาง ในระยะสุดท้าย ขีปนาวุธรุ่นนี้สามารถพุ่งดิ่งลงสู่พื้นด้วยความเร็วถึงมัค 10 จากพลังงานของจรวดเสริมกำลังขั้นสุดท้าย ความเร็วสูงเหล่านี้จะลดความสามารถในการติดตามและสกัดกั้นของระบบป้องกันขีปนาวุธ (BMD) AEGIS/SM-6 ของเรือรบสหรัฐฯ ลงเป็นอย่างมาก โดยการออกแบบ YJ-21 นั้นเป็นการผสมผสานระบบอากาศพลศาสตร์และระบบขับเคลื่อนขั้นสูงที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับการบินความเร็วเหนือเสียง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตีเป้าหมายทางทะเลที่มีความสำคัญสูง

นักการเมืองฝรั่งเศส จี้สหรัฐฯ คืนรูปปั้น ‘เทพีเสรีภาพ’ หลังมองว่าอเมริกาเปลี่ยนไปจากอุดมการณ์เดิม

(17 มี.ค. 68) ราฟาเอล กลุกส์มันน์ (Raphaël Glucksmann) นักการเมืองฝ่ายกลางซ้ายจากพรรค Place Publique และสมาชิกรัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้กล่าวระหว่างการประชุมพรรคว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ควรคืนเทพีเสรีภาพให้กับฝรั่งเศส โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ ในปัจจุบันไม่ได้เป็นตัวแทนของค่านิยมประชาธิปไตยและเสรีภาพ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ฝรั่งเศสยึดถือเมื่อครั้งที่มอบอนุสาวรีย์ดังกล่าวให้กับอเมริกา

“เราควรนำเทพีเสรีภาพกลับคืนมา เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้สะท้อนคุณค่าที่ทำให้เราตัดสินใจมอบอนุสาวรีย์นี้ให้พวกเขาอีกต่อไป” กลุกส์มันน์ กล่าวในที่ประชุม พร้อมระบุว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทิศทางทางการเมืองของสหรัฐฯ มีแนวโน้มถดถอยจากแนวคิดประชาธิปไตยและความเป็นเสรีนิยม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการมอบเทพีเสรีภาพให้เป็นของขวัญแก่สหรัฐฯ ในปี ค.ศ.1886

เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) เป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งฝรั่งเศสได้มอบให้แก่สหรัฐฯ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างทั้งสองชาติ และเป็นอนุสรณ์ถึงอุดมการณ์เสรีภาพที่ทั้งสองประเทศเคยมีร่วมกัน

การเรียกร้องของกลุกส์มันน์สะท้อนถึงความกังวลของนักการเมืองบางส่วนในยุโรปที่มองว่า บทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลกกำลังเปลี่ยนไป และอาจไม่ยึดมั่นในหลักการเสรีภาพและประชาธิปไตยเช่นในอดีต อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของเขาก็อาจกลายเป็นประเด็นถกเถียงทั้งในฝรั่งเศสและในสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานะของเทพีเสรีภาพในฐานะสัญลักษณ์ของเสรีภาพระดับโลก

อย่างไรก็ตามยังไม่มีปฏิกิริยาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อคำเรียกร้องของกลุกส์มันน์ แต่แน่นอนว่าความคิดเห็นดังกล่าวอาจกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำประชาธิปไตยของโลกในยุคปัจจุบัน

นอกจากนี้ กลุกส์มันน์ เคยออกมาโจมตี การตัดงบประมาณด้านวิจัยของสหรัฐฯ ในยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่าการลดงบสนับสนุนสถาบันวิจัยและโครงการทางวิทยาศาสตร์ของอเมริกาทำให้เกิด ความเสียหายต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ระดับโลก

“การตัดงบประมาณในสถาบันวิจัยของสหรัฐฯ เป็นการทำลายรากฐานของนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขัดแย้งกับคุณค่าของความก้าวหน้าทางปัญญาที่เราควรปกป้อง” กลุกส์มันน์กล่าว

ผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มเดินหน้าดึงดูดนักวิจัยจากสหรัฐฯ ให้เข้ามาทำงานในฝรั่งเศส โดยมีการริเริ่มโครงการให้ เงินทุนสนับสนุนและโอกาสด้านการวิจัยที่มั่นคงมากขึ้น สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับผลกระทบจากการลดงบประมาณในอเมริกา

แผนการดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายของฝรั่งเศสที่ต้องการยกระดับบทบาทของประเทศในฐานะศูนย์กลางด้านการวิจัยและนวัตกรรมของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่บางประเทศกำลังลดการลงทุนในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นโยบายดึงดูดนักวิจัยต่างชาติของฝรั่งเศสไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุครัฐบาลปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ก็เคยประกาศโครงการ "Make Our Planet Great Again" เพื่อเชิญชวนนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก โดยเฉพาะนักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ ให้มาทำงานในฝรั่งเศส

ขณะที่การตัดงบประมาณด้านวิจัยของสหรัฐฯ กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายวงการ กลุกส์มันน์ชี้ว่า ฝรั่งเศสควรฉวยโอกาสนี้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ของตัวเอง และต้อนรับนักวิจัยที่กำลังมองหาสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทำงานอย่างแท้จริง

กองทัพเรือสหรัฐฯ เตรียมส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 4 ลำ ประจำการออสเตรเลีย เพื่อถ่วงดุลจีนในอินโด-แปซิฟิก

(17 มี.ค. 68) กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้ประกาศแผนการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้นเวอร์จิเนีย จำนวน 4 ลำ เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ภายในปี 2570 โดยภายใต้ข้อตกลง AUKUS ซึ่งเป็นความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย

ขณะนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำน้ำ USS Minnesota (SSN-783) เข้าร่วมการฝึกซ้อมนำร่องที่ฐานทัพเรือในออสเตรเลียแล้ว โดยการฝึกซ้อมดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่เหลือเข้าประจำการในอนาคต นอกจากนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังเตรียมส่งกำลังพล 50-80 นาย เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling ภายในกลางปี 2568 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเรือดำน้ำเหล่านี้

สำหรับที่ตั้งของ HMAS Stirling ตั้งอยู่ใกล้เอเชียและมหาสมุทรอินเดียมากกว่าที่ตั้งกองบัญชาการกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่ฮาวาย มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐฯ “การปกป้องมหาสมุทรอินเดียจากศักยภาพและอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีนเป็นสิ่งสำคัญ” ปีเตอร์ ดีน ผู้อำนวยการด้านนโยบายต่างประเทศและการป้องกันของศูนย์ศึกษาสหรัฐฯ แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าว

การส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์และกำลังพลดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคในการขยายอิทธิพลทางทะเล เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะการถ่วงดุลอิทธิพลของจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่ดังกล่าว

การประจำการของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในออสเตรเลียตามข้อตกลง AUKUS จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปฏิบัติการทางทะเลของพันธมิตรในภูมิภาค และส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนพันธมิตรในออสเตรเลียและภูมิภาคนี้ในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

นายกฯ ฮุน มาเนต โต้กลุ่มฝ่ายค้านปลุกปั่นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ท้าพิสูจน์ความรักชาติ ส่งประจำการแนวหน้า 6 เดือน

(17 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้แสดงความไม่พอใจต่อกลุ่มฝ่ายค้านที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รักชาติ แต่กลับพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยในประเด็นปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างทั้งสองประเทศ

ในแถลงการณ์ที่ออกมา นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ท้าทายกลุ่มฝ่ายค้านที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศให้หยุดการปลุกปั่นความขัดแย้ง โดยกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยแย่ลงเท่านั้น แต่ยังขัดขวางความสงบและการพัฒนาในภูมิภาค

“ตอนนี้ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ความรักชาติของคุณ อย่าเพียงแค่พูดลอยๆ ถ้าคุณต้องการมาจริงๆ ผมรับรองว่าคุณจะไม่ถูกจับกุม ผมจะจัดกลุ่มทหารให้คุณ คุณจะประจำอยู่ที่ฐานทหาร พร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมด และถูกส่งไปประจำการเพื่อเฝ้าแนวหน้าเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่ทหารของเราต้องเผชิญ” นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าว 

นายกฯ ฮุน มาเนต ระบุว่า ปัญหาการพิพาทเรื่องปราสาทตาเมือนธมควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางทางการทูตและการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศ ไม่ควรให้กลุ่มบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองมาพยายามทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศพยายามร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาค โดยกลุ่มฝ่ายค้านในต่างประเทศบางกลุ่มได้ใช้ประเด็นปราสาทตาเมือนธมเพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและปลุกระดมความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่าอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทย

ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย เคยเป็นประเด็นข้อพิพาททางด้านอาณาเขตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีการอ้างสิทธิ์และการตัดสินของศาลระหว่างประเทศหลายครั้ง แต่ยังคงมีการเรียกร้องจากทั้งสองฝ่ายในการรักษาความเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ฮุน มาเนต ยืนยันว่า กัมพูชาจะยืนหยัดในความถูกต้องของตนเอง และจะไม่ยอมให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสงบสุขในภูมิภาค

“สำหรับคนที่บอกว่าเราอ่อนแอ โดยเฉพาะนักการเมืองบางคนในต่างประเทศที่กล่าวหาว่าทหารเราไม่กล้าเผชิญหน้ากับทหารไทย ผมขอบอกว่า ตอนที่เกิดความขัดแย้งในปี 2551 ไม่มีใครในพวกคุณออกมาให้การสนับสนุน แต่กลับกล่าวหารัฐบาลว่าจัดฉากความขัดแย้งและโง่เขลา” โดยคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต มีขึ้นหลังจากอดีตผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี และผู้สนับสนุนพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับเกาะกูดและปราสาทตาเมือนธมขึ้นมา 

สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางอากาศเยเมน ฮูตีดับ 9 ศพ ทำเนียบขาวส่งสัญญาณเตือนอิหร่าน

(17 มี.ค. 68) สำนักข่าวสปุตนิก รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้กองทัพเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 ราย รวมถึงพลเรือนหลายคน โดยการโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการตอบโต้หลังจากที่กลุ่มฮูตีได้โจมตีเส้นทางเดินเรือในทะเลแดงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า การโจมตีของสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปที่คลังอาวุธและฐานปฏิบัติการหลักของกลุ่มฮูตี เพื่อทำลายขีดความสามารถในการก่อเหตุโจมตีต่อไป พร้อมกันนี้ ทรัมป์ยังได้ออกคำเตือนถึงอิหร่านให้ยุติการสนับสนุนกลุ่มฮูตีทันที มิฉะนั้น สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น

ก่อนหน้านั้นเพียง 1 วัน สหรัฐฯ และอิรักเปิดเผยข้อมูลตรงกันว่า ผู้นำของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ถูกสังหารจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา รายงานระบุว่าการโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ทางตอนเหนือของอิรัก และถือเป็นความสำเร็จสำคัญในการกวาดล้างเครือข่ายก่อการร้ายของไอเอส

ด้าน อิซา บลูมี (Isa Blumi) ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านตะวันออกกลาง ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมน เป็นมากกว่าการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายอิทธิพลของอิสราเอลในภูมิภาค

“การตัดสินใจของทรัมป์คือการปกป้องและช่วยขยายอำนาจของอิสราเอลให้ครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่” บลูมี กล่าวพร้อมชี้ว่าการโจมตีดังกล่าวอาจมีเป้าหมายเพื่อทำลายกลุ่มต่อต้านอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน

ทั้งนี้ การโจมตีทางอากาศของกองทัพสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูตีในเยเมน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต รวมถึงพลเรือน หลายราย และก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมายและผลกระทบของปฏิบัติการนี้

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ อาจทำให้ความขัดแย้งในภูมิภาครุนแรงขึ้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มฮูตี และอาจทำให้ตะวันออกกลางกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการเผชิญหน้าในระดับนานาชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top