Thursday, 28 March 2024
WORLD

‘อินเดีย’ รวบ!! ‘7 เดนนรก’ ได้แล้ว หลังก่อเหตุทำร้าย-ขืนใจ ด้าน ‘คู่รักชาวสเปน’ เอ่ยขอบคุณ เชื่อ!! ทุกประเทศมีทั้งคนดี-ไม่ดี

(7 มี.ค.67) จากเรื่องราวที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์อย่างกระหน่ำ 2 คู่รักสัญชาติสเปน นักเดินทางที่ไปมาแล้วกว่า 60 ประเทศ ฝ่ายชายนามว่า วินเซนเต้ และฝ่ายหญิงนามว่า เฟอนานด้า เจ้าของช่องท่องเที่ยว Vueta Al Mundo En ขณะที่เขาทั้ง 2 แวะพักริมทาง ได้ถูกกลุ่มชายชาวอินเดีย 7 คน เข้ามาทำร้ายฝ่ายชาย และรุมกระทำชำเราฝ่ายหญิง ซึ่งตำรวจจับกุมแล้ว 3 ราย

ล่าสุด ทางการอินเดียออกมาเผยว่า สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ครบแล้ว โดย อันจาเนยูลู ด็อดเด รองผู้กำกับการตำรวจเขตดุมกะ (Dumka) ซึ่งเป็นท้องที่ที่เกิดเหตุ กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ต้องสงสัยอีก 4 คนถูกควบคุมตัวแล้ว และทั้งหมดถูกนำตัวขึ้นศาลเป็นเรียบร้อย

นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังขอบคุณผู้ติดตามที่ให้การช่วยเหลือและสนับสนุน พร้อมระบุว่า ทุกประเทศก็มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันไป

‘ชายเยอรมัน’ รัวฉีดวัคซีนต้านโควิด 217 เข็ม ภายใน 2 ปีครึ่ง อึ้ง!! ร่างกายไม่พบสิ่งผิดปกติ จนนักวิจัยเชิญตัวมาร่วมทดสอบ

(6 มี.ค. 67) เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวสุดอึ้ง กรณีลุงชาวเยอรมันวัย 62 ปีได้รับวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 มากถึง 217 เข็ม ภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง อึ้งร่างกายไม่พบอะไรผิดปกติ จนนักวิจัยต้องเชิญตัวมาร่วมการทดสอบ เพื่อหาว่า การฉีดวัคซีนจำนวนมาก มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร

ตามรายงานเผยว่า แผนกจุลชีววิทยาของมหาวิทยาลัย เอร์ลางเงิน-นูเริมเบิร์กในเยอรมนี ระบุว่า พวกเขารู้เรื่องของชายคนนี้จากข่าวหนังสือพิมพ์ จึงติดต่อและเชิญเข้ามาร่วมทำการทดสอบหลายๆ อย่าง ซึ่งเจ้าตัวสนใจที่จะเข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

โดยทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างเลือดและน้ำลายของชายคนนี้ที่เก็บมาตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วย ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสามารถเก็บตัวอย่างเลือดของชายคนนี้หลังได้รับวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อศึกษาระบบภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยาต่อวัคซีนอย่างไรกันแน่ โดยเขายืนยันที่จะรับวัคซีนเอง

อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกทีมวิจัยกังวลว่า การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนซ้ำๆ มากเกินไป อาจทำให้เซลล์ในร่างกายบางตัวเหนื่อยล้า แต่นักวิจัยกลับไม่พบหลักฐานว่า ชายวัย 62 ปีรายนี้จะมีอาการเหล่านั้นขึ้น และไม่มีสัญญาณด้วยว่าเขาเคยติดเชื้อโควิดมาก่อน

นอกจากนี้ นักวิจัยย้ำว่า การได้รับวัคซีนป้องกันโควิดมากเกินไป เพื่อเพิ่มการปรับตัวของภูมิคุ้มกัน ยังไม่ได้รับรองอย่างเป็นทางการ และผลการทดสอบชายวัย 62 ปีผู้นี้ ก็ไม่เพียงพอที่จะมีข้อสรุปที่มีอิทธิพลเป็นวงกว้าง รวมถึงการแนะนำต่อสาธารณะ

ขณะเดียวกัน การวิจัยในปัจจุบันชี้ว่า การฉีดวัคซีน 3 โดส ร่วมกับการฉีดวัคซีนกระตุ้นสำหรับคนกลุ่มเสี่ยง ยังคงเป็นวิธีที่ได้รับการสนับสนุน พร้อมย้ำว่า ไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ ที่บอกว่าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนมากกว่านี้

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ชายคนนี้เคยถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกง หลังพบหลักฐานว่าเขาได้รับวัคซีนจากศูนย์การแพทย์ถึง 130 เข็มภายในระยะเวลา 9 เดือน แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด

รวมถึงยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชายคนนี้ยังซื้อวัคซีนมาฉีดเองอีกจำนวนมาก ทำให้ตัวเลขรวมอยู่ที่ราว 217 เข็ม

‘กลุ่มหัวรุนแรง’ วางเพลิงเสาไฟฟ้าข้างโรงงาน Tesla ในเยอรมัน อ้าง!! ต้องการโค่น ‘อีลอน มัสก์’ พร้อมตราหน้า ‘นักเทคโนโลยีฟาสซิสต์’ 

‘อีลอน มัสก์’ ฉุนขาด เมื่อโรงงานผลิตรถยนต์ Tesla ในแคว้นบรันเดินบวร์ค ของเยอรมัน กลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีของกลุ่มคนหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายจัด ที่ชื่อว่า ‘Vulkangruppe’ หรือ กลุ่มภูเขาไฟ ได้ลอบวางเพลิงเสาไฟฟ้าข้างโรงงาน ส่งผลให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง โรงงานรถยนต์ต้องหยุดชะงัก และ หมู่บ้านในบริเวณใกล้เคียงไม่มีไฟฟ้าใช้ 

เมื่อวันอังคาร (5 มี.ค. 67) ที่ผ่านมา เกิดเพลิงไหม้เสาไฟที่จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าโรงงาน Tesla กระทบต่อระบบไฟฟ้าในโรงงานทั้งหมด จนต้องหยุดการผลิตชั่วคราว คาดว่าอาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะกลับมาเดินสายการผลิตรถยนต์ได้อีกครั้ง 

ต่อมาไม่นาน เว็บไซต์ ‘kontrapolis.info’ ของเยอรมัน ได้โพสต์จดหมายของกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายในเยอรมัน ที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มภูเขาไฟ (Vulkangruppe) ออกมาแสดงตนว่าเป็นผู้ก่อเหตุลอบวางเพลิงดังกล่าว ด้วยการตัดกระแสไฟเข้าโรงงาน Tesla เพื่อสร้างความปั่นป่วนจนต้องปิดโรงงาน

โดยทางกลุ่มได้ประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า ต้องการทำลายโรงงานยักษ์ใหญ่ระดับ Gigafactory ของ Tesla และโค่นล้ม อีลอน มัสก์ ที่ทางกลุ่มกล่าวหาว่าเขาเป็น ‘นักเทคโนโลยีฟาสซิสต์’ ที่เสวยสุขบนทรัพยากรธรรมชาติ และแรงงานผู้คน ซึ่งการทำลายอีลอน มัสก์ จะถือเป็นก้าวสำคัญของการปลดปล่อยระบอบปิตาธิปไตย (ระบอบที่ชายเป็นใหญ่) พร้อมลงชื่อท้ายจดหมายว่า ‘Agua De Pau’ ภูเขาไฟในประเทศโปรตุเกส

กลุ่มภูเขาไฟ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มหัวรุนแรงซ้ายจัดกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ที่เคยก่อเหตุลอบวางเพลิงในกรุงเบอร์ลินมาตั้งแต่ปี 2554 ภายใต้ชื่อ ‘Vulkangruppen’ โดยมักเล็งเป้าหมายไปที่ท่อสายเคเบิลบนทางรถไฟ, เสาสัญญาณวิทยุ, สายสัญญาณข้อมูลสื่อสาร หรือ รถยนต์ขององค์กรต่าง ๆ หลังก่อเหตุมักส่งจดหมายออกมาแสดงตนเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์พร้อมลงท้ายจดหมายด้วยชื่อภูเขาไฟที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาไฟของไอซ์แลนด์ เช่น ‘Grimsvotn’, ‘Katla’ และ ‘Ok’ เป็นต้น 

กลุ่มภูเขาไฟ ไม่มีแกนนำชัดเจน มีอุดมการณ์ทางการเมืองใกล้เคียงกับระบอบอนาธิปไตย (ระบอบที่ปฏิเสธการมีอยู่ของรัฐบาล และ ลำดับชั้นทางสังคม) ซึ่งถือเป็นแนวคิดสุดขั้วที่สุดในอุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้าย 

ต่อมาทางกลุ่มพยายามเข้ามามีอิทธิพลในการเคลื่อนไหวเรื่องปัญหาสภาพอากาศโลก และถูกนำมาเป็นข้ออ้างหนึ่งในการโจมตีโรงงาน Tesla ในวันนี้ที่ Tesla ถูกโยงว่าเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ทุนนิยมสีเขียว’ 

ด้านอีลอน มัสก์ ได้โพสต์ข้อความลงใน X ถึงกลุ่มภูเขาไฟว่า เป็นผู้ก่อการร้ายเชิงนิเวศที่โง่ที่สุดในโลก รักษ์โลกแบบใด ถึงมาโจมตีโรงงานที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แทนที่จะไปโจมตีโรงงานที่ผลิตรถยนต์พลังงานฟอสซิล แล้วจะบอกว่าเป็นนักขับเคลื่อนเพื่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร 

อีลอน มัสก์ เปิดโรงงาน Tesla ในเยอรมันเมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังเป็นการท้าทายผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันที่เป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกอีกด้วย

แต่ Tesla ก็กำลังมีประเด็นกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมในเยอรมัน เมื่อ อีลอน มัสก์ วางโครงการที่จะขยายโรงงานในเยอรมันเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ Tesla ให้ได้ถึง 1 ล้านคันต่อปี เพื่อรองรับตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างมากในยุโรป ซึ่งจำเป็นต้องถางพื้นที่ป่าเพิ่มอีกอย่างน้อย 420 เอเคอร์ จึงเกิดกระแสต่อต้านของกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อม และชาวบ้านในพื้นที่ ที่มาปักหลักตั้งแคมป์เพื่อขัดขวางการถางป่าเพื่อขยายโรงงาน Tesla มาแล้ว

‘ญี่ปุ่น’ ประกาศเก็บค่าผ่านทางเข้าชม ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ เกือบ 500 บ. ผ่านเส้นทางยอดฮิต ‘โยชิดะ’ หวังคุมจำนวน นทท.ล้น เริ่ม!! 1 ก.ค.นี้

(6 มี.ค. 67) รัฐบาลท้องถิ่น ‘ญี่ปุ่น’ เตรียมเก็บค่าผ่านทางเข้าชม ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ เกือบ 500 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค.67 นี้ เฉพาะเส้นทางโยชิดะ หวังลดจำนวนนักท่องเที่ยว หลังจากมีผู้คนเดินทางมาท่องเที่ยวมากเกินไป และทิ้งขยะเกลื่อนกลาด บางคนแต่งกายไม่เหมาะสมอีกด้วย

สำนักข่าว Japan Times รายงานว่า โคทาโร นางาซากิ ผู้ว่าการจังหวัดยามานาชิ ได้ออกประกาศเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเส้นทางการเดินเขาโยชิดะ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้มากที่สุดในการขึ้นสู่ยอดภูเขาไฟฟูจิ ราคา 2,000 เยน หรือประมาณ 475 บาท โดยนักท่องเที่ยวจะต้องชำระเงินที่สถานีที่ห้าของเส้นทาง ซึ่งอยู่บนภูเขา ใกล้กับพื้นที่จังหวัดยามานาชิ จะเริ่มเก็บเงินตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.67 เป็นต้นไป

รัฐบาลท้องถิ่นหวังว่า การเก็บค่าเข้าในครั้งนี้จะช่วยควบคุมจำนวนผู้เข้าชมภูเขาไฟฟูจิ และใช้เป็นเงินทุนสำหรับมาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การก่อสร้างที่พักพิงในกรณีที่เกิดการปะทุของภูเขาไฟ 

ในเดือนธ.ค.2566 มีประกาศการปิดเส้นทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิตั้งแต่เวลา 16.00 - 02.00 น. ในช่วงฤดูปีนเขาปี 2024 (1 ก.ค.-10 ก.ย.67) เพื่อไม่ให้นักปีนเขาเดินทางลงมาในช่วงยามวิกาล และจะมีการจำกัดจำนวนนักเดินป่าที่ 4,000 คนต่อวัน

ภูเขาไฟฟูจิถือเป็นหนึ่งในเส้นทางที่นักปีนเขา และนักท่องเที่ยวจะรีบเดินทางอย่างรวดเร็ว ไม่มีการพักระหว่างทาง หรือ ‘Bullet Climbing’ โดยนักปีนเขามักจะพยายามปีนยอดเขาที่สูงที่สุด 3,776 เมตร แบบรวดเดียวจบ เพื่อจะได้ชมพระอาทิตย์ และกลับลงมาข้างล่างภายในวันเดียว ไม่ต้องนอนค้างคืนบนภูเขา ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมการปีนเขาที่ไม่ปลอดภัย โดยในแต่ละปีมักมีรายงานถึงนักท่องเที่ยวที่มาปีนเขาทั้งที่มีอุปกรณ์ไม่ครบ บางคนนอนบนเส้นทาง หรือจุดไฟเพื่อความร้อน ซึ่งอาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ

“นักท่องเที่ยวล้นเกิน และผลที่ตามมาทั้งหมด เช่น ขยะ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น และนักเดินป่าที่ประมาท เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ภูเขาไฟฟูจิกำลังเผชิญ” มาซาตาเกะ อิซุมิ เจ้าหน้าที่รัฐบาลจังหวัดยามานาชิ กล่าวกับสำนักข่าว CNN 

ช่วงฤดูปีนเขา มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังภูเขาไฟฟูจิมากกว่า 220,000 คน โดยเส้นทางโยชิดะเป็นเส้นทางที่นักปีนเขาประมาณ 60% เลือกเส้นใช้ เพราะเดินทางได้สะดวกจากกรุงโตเกียว ส่วนอีก 3 เส้นทางที่เหลือ ได้แก่ ซูบาชิริ, โกเท็มบะ และฟูจิโนะมิยะ ยังเปิดให้เข้าฟรี

เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ 'โซลาร์เซลล์ลอยน้ำเขื่อนอุบลรัตน์' สะท้อนความร่วมมือ 'จีน-ไทย' ส่งเสริมพลังงานสะอาดลุล่วง

(6 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริด ซึ่งร่วมก่อสร้างโดยบริษัทของจีนและไทย ได้เริ่มต้นการดำเนินงานเชิงพาณิชย์เมื่อวันอังคาร (5 มี.ค.) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาพลังงานสะอาดของไทย

ตงฟาง อิเล็กทริก อินเตอร์เนชันนัล คอร์เปอเรชัน หนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งร่วมก่อสร้างโครงการนี้กับหุ้นส่วนไทย ระบุว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริด ณ เขื่อนอุบลรัตน์ในจังหวัดขอนแก่น บูรณาการแผงโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ พลังงานน้ำสะอาด ระบบกักเก็บพลังงานประสิทธิภาพสูง และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ

จิราพร ศิริคำ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) กล่าวว่า การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริด ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การผลิตพลังงานสะอาด และความมั่นคงทางพลังงานของไทย พร้อมชื่นชมบริษัทของจีนและไทยที่สามารถส่งมอบโครงการได้ก่อนกำหนด

จิราพร ซึ่งร่วมพิธีเปิดการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ กล่าวว่าสิ่งนี้สะท้อนความมุ่งมั่นอันแรงกล้าในการส่งเสริมพลังงานสะอาดในไทย และหวังว่าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำจะช่วยส่งเสริมพลังงานสะอาดสำหรับเศรษฐกิจชุมชนและสังคมท้องถิ่น

หลิวหงเหมย กงสุลใหญ่จีนประจำจังหวัดขอนแก่น แสดงความเชื่อมั่นว่าการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของโครงการนี้จะส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และถือเป็นหมุดหมายใหม่สำหรับการลงทุนของผู้ประกอบการจีนในภูมิภาคดังกล่าว

การไฟฟ้าฯ ระบุว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริด ณ เขื่อนอุบลรัตน์ เป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำแบบไฮบริดแห่งที่ 2 และการไฟฟ้าฯ มีเป้าหมายก่อสร้างโครงการลักษณะเดียวกันเพิ่มขึ้นทั่วประเทศเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาด

‘สภาฝรั่งเศส’ รับรองสิทธิ ‘การทำแท้ง’ ในรัฐธรรมนูญ หลังออกกฎหมายอนุญาตทำแท้ง เมื่อกว่า 50 ปีก่อน

เมื่อไม่นานมานี้ รัฐสภาฝรั่งเศสเห็นชอบแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้ ‘การทำแท้ง’ เป็นเสรีภาพของพลเมืองภายใต้กฎหมายสูงสุด ถือเป็นชาติแรกของโลก

ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่บัญญัติเสรีภาพการทำแท้งไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายสูงสุดของประเทศ นั่นหมายความว่า สิ่งอื่นใดจะมาล้มล้างเสรีภาพนี้ไม่ได้

โดยหลักการทางกฎหมาย เสรีภาพคือภาวะโดยอิสระของมนุษย์ แม้จะไม่มีกฎหมายรับรองหรือคุ้มครองไว้ บุคคลก็ยังคงมีเสรีภาพนั้น เช่น เสรีภาพในการนับถือศาสนา ที่ไม่มีข้อบังคับว่าจะต้องนับถือศาสนาใด และทุกคนมีเสรีภาพในการเลือกศาสนาที่จะนับถือ

ในทำนองเดียวกัน เสรีภาพในการทำแท้งนี้ก็หมายความว่า ทุกคนมีเสรีภาพในการตัดสินใจทำแท้ง โดยที่ใครก็มาละเมิดความคิดหรือบังคับไม่ให้ทำไม่ได้

ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส จะต้องมีเสียงข้างมาก 3 ใน 5 ซึ่งในการลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายทำแท้งให้เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภานิติบัญญัติจากสภาสูงและสภาล่างของรัฐสภาฝรั่งเศส ลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ถึง 780 ต่อ 72 เสียง

การลงคะแนนเสียงล่าสุดถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการนิติบัญญัติ หลังก่อนหน้านี้วุฒิสภาฝรั่งเศสและรัฐสภาต่างเห็นชอบการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอย่างท่วมท้นเมื่อต้นปีนี้

การแก้ไขระบุว่า เพื่อให้ “การทำแท้งเป็นเสรีภาพที่พลเมืองในฝรั่งเศสจะได้รับอย่างแน่นอน” แต่ผู้ร่างกฎหมายบางกลุ่มเรียกร้องให้มีการเรียกการทำแท้งอย่างชัดเจนว่าเป็น ‘สิทธิ’ ไม่ใช่แค่เสรีภาพ

ฝ่ายนิติบัญญัติยกย่องความเคลื่อนไหวดังกล่าวว่าเป็นหนทางสร้างประวัติศาสตร์ให้กับฝรั่งเศสในการส่งสัญญาณที่ชัดเจนของการสนับสนุนสิทธิการเจริญพันธุ์ ขณะที่อิสระในการทำแท้งกำลังถูกคุกคามในสหรัฐฯ และบางส่วนของยุโรป เช่น ฮังการี

หลังจากการโหวต หอไอเฟลก็สว่างไสวด้วยคำว่า ‘ร่างกายของฉัน ทางเลือกของฉัน’

นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กาเบรียล แอตทาล กล่าวก่อนการลงคะแนนเสียงว่า ฝ่ายนิติบัญญัติเป็น ‘หนี้’ ผู้หญิงทุกคนที่ในอดีตเคยถูกบังคับให้ทนทำแท้งผิดกฎหมาย และบอกว่า “เหนือสิ่งอื่นใด เรากำลังส่งข้อความถึงผู้หญิงทุกคน ร่างกายของคุณเป็นของคุณเอง”

ด้านประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง กล่าวว่า รัฐบาลจะจัดพิธีอย่างเป็นทางการเพื่อเฉลิมฉลองการแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ในวันที่ 8 มี.ค. ซึ่งเป็นวันสิทธิสตรีสากล

ฝรั่งเศสออกกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งเป็นครั้งแรกในปี 1975 หลังจากการรณรงค์ที่นำโดยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ซิโมน เวล

ในฝรั่งเศส การทำแท้งเป็นเรื่องที่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง สมาชิกสภานิติบัญญัติหลายคนที่ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขนี้ไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง แต่เพราะพวกเขารู้สึกว่ามาตรการนี้ไม่จำเป็น โดยสิทธิการเจริญพันธุ์ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว

การลงคะแนนเสียงครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 25 ที่รัฐบาลฝรั่งเศสแก้ไขรัฐธรรมนูญนับตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐในปี 1958

คริสตจักรคาทอลิกเป็นหนึ่งในไม่กี่กลุ่มที่ประกาศต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดย Pontifical Academy for Life ซึ่งเป็นหน่วยงานของวาติกันซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวจริยธรรม กล่าวในแถลงการณ์ว่า “ในยุคของสิทธิมนุษยชนสากล เราไม่มี ‘สิทธิ’ ที่จะปลิดชีวิตมนุษย์”

‘จีน’ มุ่งปรับปรุง 'ระบบอุตสาหกรรม' ให้ทันสมัย เตรียมพร้อมรับมือ ‘อุตสาหกรรมแห่งอนาคต’

(5 มี.ค. 67) สำนักซินหัวรายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาลจีน ซึ่งเสนอต่อสภานิติบัญญัติระดับชาติเพื่อการพิจารณา ระบุว่าจีนจะพยายามปรับปรุงระบบอุตสาหกรรมให้มีความทันสมัย และพัฒนาพลังการผลิตที่มีคุณภาพใหม่ในระดับรวดเร็วยิ่งขึ้น

รายงานระบุว่า พันธกิจในด้านนี้ครอบคลุมการปรับปรุงและยกระดับห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่อุตสาหกรรม การบ่มเพาะอุตสาหกรรมเกิดใหม่และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น พลังงานไฮโดรเจน วัสดุใหม่ การผลิตทางชีวภาพ การท่องเที่ยวอวกาศเชิงพาณิชย์ เทคโนโลยีควอนตัม และชีววิทยาศาสตร์

ขณะเดียวกันจีนจะส่งเสริมการพัฒนาเชิงนวัตกรรมของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีแผนดำเนินโครงการริเริ่มเอไอ พลัส (AI Plus) อันเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ พร้อมกับเสริมสร้างความแข็งแกร่งและยกระดับสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์พลังงานใหม่เชื่อมต่ออัจฉริยะ

'นายกฯ สิงคโปร์' แจง!! ปมทุ่มเงินผูกขาดคอนเสิร์ต ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ชี้!! เป็นผลบวกต่อ ศก.ประเทศ ไม่มีเจตนาเปิดศึกเพื่อนบ้าน ‘ไทย-ปินส์

(5 มี.ค.67) นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง แห่งสิงคโปร์ แถลงชี้แจงวันนี้ว่า การที่รัฐบาลทุ่มเงินจูงใจให้นักร้องสาวชื่อดัง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ เปิดคอนเสิร์ต The Eras Tour จำนวน 6 รอบที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ได้มีเจตนาสร้างความเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้าน หลังเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดรามาที่เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทย รวมไปถึง สส.ฟิลิปปินส์บางคนที่มองว่าพฤติกรรมของสิงคโปร์ไม่ใช่สิ่งที่ ‘เพื่อนบ้านที่ดี’ ควรทำ

“หน่วยงานของเราได้เจรจาทำข้อตกลงพิเศษกับเธอ (สวิฟต์) เพื่อให้เดินทางมาสิงคโปร์ และเลือกสิงคโปร์เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตเพียงแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ลี ระบุในงานแถลงข่าว ระหว่างเดินทางไปร่วมการประชุมระดับภูมิภาคที่นครเมลเบิร์นของออสเตรเลีย

“ปรากฏว่าทุกอย่างออกมาสำเร็จราบรื่นดี ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตรตรงไหน”

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยอมรับว่าได้ทุ่มเงินจูงใจให้ สวิฟต์ จัดคอนเสิร์ตที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในอาเซียน ทว่าไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงพิเศษนี้

คำแถลงของสิงคโปร์สร้างความไม่พอใจต่อหลายๆ ประเทศในภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทยออกมาแฉว่า สิงคโปร์ได้เสนอเงินพิเศษ ‘3 ล้านดอลลาร์’ หรือประมาณ 100 ล้านบาทต่อคืน และตั้งเงื่อนไขผูกขาดไม่ให้ สวิฟต์ ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ โจอี ซาลเซดา สส.ฟิลิปปินส์ ถึงกับออกมาพูดว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนบ้านที่ดีทำกัน” แถมยังยุให้กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ยื่นประท้วงด้วย

เมื่อเดือนที่แล้ว การท่องเที่ยวและกระทรวงวัฒนธรรมของสิงคโปร์ได้ออกมาอ้างถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สิงคโปร์จะได้รับจากการแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องสาวซึ่งโด่งดังและมีแฟนคลับล้นหลามทั่วโลก พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลกำลังทำงานร่วมกับ AEG Presents เพื่อดึงตัว สวิฟต์ มาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์

‘ยูทูบเบอร์สาว’ ร้อง!! ถูกเดนนรก 7 คน บุกขืนใจถึงในเต็นท์ แถมทำร้ายร่างกายสามีจนอ่วม ขณะตระเวนเที่ยวที่ ‘อินเดีย’

(5 มี.ค.67) ยูทูบเบอร์สาวชาวสเปน ได้โพสต์คลิปเล่าประสบการณ์สุดแย่ ถูกชายฉกรรจ์ 7 คนบุกรุมโทรมถึงเต็นท์ และยังทำร้ายสามีจนบาดเจ็บระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางท่องเที่ยวในอินเดีย กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญที่ทำให้สังคมแดนภารตะโกรธกริ้ว และนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วอย่างน้อย 3 คน

หญิงสาวซึ่งถือสัญชาติบราซิล-สเปน ได้แชร์เรื่องราวลงบนอินสตาแกรมของเธอซึ่งมีผู้ติดตามหลายแสนคน เนื่องจากเธอและสามีเป็นยูทูบเบอร์สายเที่ยวซึ่งขับขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนเที่ยวหลายประเทศในเอเชีย

ตำรวจรัฐฌาร์ขัณฑ์ (Jharkhand) ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุยืนยันว่า มีการจับกุมชายต้องสงสัยได้แล้ว 3 คน และอยู่ระหว่างล่าตัวผู้กระทำผิดที่เหลืออีก 4 คน

พีทัมเบอร์ ซิงห์ เคอร์วา ผู้กำกับการตำรวจเขตดุมการ์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) ตำรวจสายตรวจไปพบนักท่องเที่ยวทั้งสองอยู่ริมถนนสายหนึ่งเมื่อค่ำวันศุกร์ที่แล้ว (1) โดยทั้งคู่มีร่องรอยเหมือนถูกทำร้ายร่างกาย จึงได้ช่วยนำส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ และต่อมาแพทย์ยืนยันว่าฝ่ายหญิงถูกรุมโทรม

เคอร์วา ระบุว่า ชายต้องสงสัย 3 คนถูกจับกุมเมื่อวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) และพนักงานสอบสวนทราบแล้วว่าอีก 4 คนที่เหลือเป็นใคร จึงคาดว่าจะได้ตัวครบทุกคน “เร็วๆ นี้”

“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องเอาตัวพวกเขามาลงโทษขั้นสูงสุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก” เคอร์วา กล่าว พร้อมระบุว่าเหยื่อทั้ง 2 คนจะได้รับเงินชดเชยเยียวยาสูงสุด 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ

คณะกรรมาธิการสตรีแห่งชาติอินเดียเรียกร้องให้ตำรวจตั้งข้อหารุมโทรมกับชายทั้ง 7 คน ซึ่งจะมีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี

ยูทูบเบอร์สาวรายนี้กล่าวผ่านคลิปวิดีโอในเพจอินสตาแกรมของเธอว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเรา ซึ่งเราหวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นกับใครอีก”

“ฉันถูกผู้ชาย 7 คนรุมโทรม พวกมันทุบตีและปล้นทรัพย์สินของเรา” เธอกล่าว ก่อนที่คลิปนี้จะถูกลบทิ้งไป

ต่อมาในวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) ทั้งคู่ได้โพสต์คลิปลงในเพจอินสตาแกรมร่วมซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน โดยเล่าว่า “ตำรวจกำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจับกุมพวกมัน พวกเขารู้แล้วว่าพวกมันเป็นใคร”

“เราอยากทวงความยุติธรรม ไม่ใช่แค่สำหรับเราสองคน แต่เพื่อผู้หญิงและเด็กสาวอีกหลายคนที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้มา”

ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Antena 3 ของสเปน ยูทูบเบอร์สาวและสามีเล่าว่า ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้รุมขืนใจเธอ และทำร้ายร่างกายสามีของเธอซ้ำๆ หลายครั้ง

“พวกเขาข่มขืนฉัน ผลัดกันทำผลัดกันดูอย่างนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง”

หญิงสาวให้สัมภาษณ์ พร้อมอธิบายว่าที่เธอและสามีตัดสินใจตั้งแคมป์พักแรม ก็เพราะแถวนั้นไม่มีโรงแรมเลยสักแห่งเดียว

สถานทูตบราซิลประจำกรุงนิวเดลีให้สัมภาษณ์กับ NBC News ว่า ทางสถานทูตได้ยื่นประท้วง “การก่ออาชญากรรมสุดป่าเถื่อน” ต่อสามีภรรยาคู่นี้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเปนก็ยืนยันว่า สถานทูตประจำกรุงนิวเดลีได้ติดต่อกับผู้เสียหายทั้งสองคนและพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลอย่างเต็มที่

ยูทูบเบอร์สาว และสามีของเธอได้แชร์คลิปประสบการณ์การเดินทางทั้งในศรีลังกาและปากีสถาน และเผยว่าเคยตั้งแคมป์มาแล้วใน 66 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่ “อันตราย”

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติอาชญากรรมแห่งชาติอินเดียพบว่า มีผู้แจ้งความคดีรุมโทรมเฉลี่ยถึง 86 กรณีต่อวันในปี 2022 ทว่าในความเป็นจริงยังมีผู้หญิงอินเดียอีกจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ แต่ไม่กล้าไปแจ้งตำรวจ เนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้ครอบครัว

ครบรอบ 10 ปี เที่ยวบิน MH 370 สาบสูญ 'มาเลเซีย' เตรียมรื้อแผนค้นหาใต้ทะเลลึกอีกครั้ง

รัฐบาลมาเลเซียเตรียมพิจารณาแผนการค้นหาซากเครื่องบินโบอิ้ง 777 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH 370 ที่หายสาบสูญไปจากจอเรดาร์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014 ขณะออกจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ มุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิต อย่างเป็นปริศนาจนถึงวันนี้ ที่กำลังจะครบรอบ 10 ปีของเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าวก็ยังไม่สามารถหาซากเครื่องบินพบ 

ทางการมาเลเซีย เคยประสานความร่วมมือกับหลายชาติ ทั้งจีน และ ออสเตรเลีย พยายามค้นหาเครื่องบิน MH 370 มาโดยตลอด 

แต่ทว่า พื้นที่ในการค้นหากว้างขวางมากถึง 1.2 แสนตารางกิโลเมตร ครอบคลุมน่านน้ำตั้งแต่ชายฝั่งออสเตรเลียตะวันตก ไปจนถึงมหาสมุทรอินเดีย และ เอเชียกลาง และใช้เวลาสำรวจนานมากกว่า 2 ปีตั้งแต่ปี 2017 - 2019 ทุ่มเทงบประมาณถึง 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.68 พันล้านบาท) แต่ก็ยังหาเครื่องบิน MH 370 ไม่พบ ทิ้งไว้แต่เพียงความสิ้นหวังของครอบครัวผู้โดยสาร และ ลูกเรือ ที่หายสาบสูญไปพร้อมกับเที่ยวบินมรณะ 

แต่มาวันนี้ แอนโธนี โลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้กล่าวในงานรำลึกครบรอบ 10 ปี โศกนาฏกรรมเที่ยวบิน MH 370 ว่า รัฐบาลมาเลเซียยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะค้นหา และ การค้นหาจะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน 

พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้กำลังพิจารณาแผนการของ บริษัทสำรวจพื้นผิวใต้ทะเลของสหรัฐอเมริกา Ocean Infinity ที่ได้ยื่นเสนอโครงการค้นหา MH 370 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ทีมสำรวจก่อนหน้าประสบความล้มเหลวไปแล้วถึง 2 ครั้ง 

รัฐมนตรี โลค กล่าวว่า ตอนนี้ โครงการครั้งใหม่ของ Ocean Infinity กำลังได้รับการพิจารณาในสภา โดยบริษัทสำรวจของสหรัฐฯ ยินดีรับประกันผลงานแบบ ‘ไม่เจอ ไม่ต้องจ่าย’ แต่ถ้าหาเจอ ทางรัฐบาลมาเลเซียถึงจะจ่ายค่าบริการสำรวจให้แก่ Ocean Infinity เป็นเงิน 70 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดหวังว่า การค้นหาครั้งใหม่จะเริ่มต้นได้ในเร็ว ๆ นี้

แต่สำหรับครอบครัว และ ญาติมิตรผู้สูญเสีย หลังจากผ่านมา 10 ปี พวกเขาคิดอย่างไรกับการติดตามหาเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ที่สาบสูญ 

ครอบครัวผู้เสียชีวิตบางกลุ่ม เรียกร้อง และ ยืนยันให้รัฐบาลมาเลเซียค้นหาเครื่องบินจนเจอ เพื่อให้เกิดความกระจ่างในกระบวนการยุติธรรม 

อาทิ นาย ไป๋ จง ชาวจีนผู้สูญเสียภรรยาจากเหตุโศกนาฏกรรม กล่าวหนักแน่นว่า ไม่ว่าจะผ่านไป 10 ปี 20 ปี หรือนานกว่านั้น ก็ยังคงต้องการคำตอบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเชื่อว่าเราจะสามารถค้นพบความจริงได้ในสักวันหนึ่ง

ในขณะที่ เกรซ นาธาน ทนายความมาเลเซียผู้สูญเสียแม่ไปกับเหตุการณ์ครั้งนั้น กล่าวว่าเธอรู้สึกยินดีที่ได้ยินว่าจะมีการเริ่มโครงการค้นหาซากเครื่องบินอีกครั้ง แต่ก็ควรอยู่ในโลกความจริง และไม่ต้องการให้รัฐบาลเสียงบประมาณเป็นพัน ๆ ล้านไปกับการพยายามค้นหาโดยเปล่าประโยชน์ 

แต่หากมองในอีกแง่หนึ่ง การผลักดันให้มีการค้นหา MH 370 จนสำเร็จก็เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมการบิน เพราะ MH370 จะไม่ถูกทิ้งเป็นประวัติศาสตร์ แต่จะนำไปสู่อนาคตของการวางมาตรฐานความปลอดภัยในการบิน เป็นเครื่องเตือนใจที่จะทำให้ผู้ที่รับผิดชอบนึกถึงทุกครั้งก่อนนำเครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้า 

ซึ่งเชื่อว่า ปริศนา MH 370 ถูกค้นพบ และ คลี่คลายได้อย่างแน่นอนในสักวันหนึ่ง

โรงเรียนในสหรัฐฯ ให้นักเรียนเลียเท้าแลกรับเงินบริจาค พอถูกวิจารณ์อย่างหนัก ก็รีบออกมาขอโทษผู้ปกครอง

เมื่อไม่นานมานี้ โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในรัฐโอคลาโฮมา สหรัฐฯ ถูกสืบสวน หลังปรากฏคลิปไวรัลเป็นภาพเด็กนักเรียนทำชาเลนจ์ ดูดและเลียเท้ากัน ภายในงานระดมทุนที่ได้รับการอนุมัติจากโรงเรียน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งโหมกระพือเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด

วิดีโอที่ก่อความไม่สบายใจดังกล่าวเป็นภาพเด็กอย่างน้อย 4 คนของโรงเรียนมัธยมเดียร์ ครีก กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นของโรงยิมเนเซียม และจากนั้นก็ทั้งดูดและเลียเนยถั่วลิสง ที่ทาอยู่บนเท้าเปล่าของเพื่อนนักเรียน 

"เขากำลังกลืนมัน" เสียงนักเรียนรายหนึ่งพูดขึ้น ในขณะที่คนอื่น ๆ ในฉากหลังพากันส่งเสียงเชียร์ ในการแข่งขันที่แปลกประหลาดดังกล่าว

ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง มีผู้เข้าชมคลิปนี้บนสื่อสังคมออนไลน์เกือบ 50 ล้านวิว และนำมาซึ่งการเปิดสืบสวนอย่างเป็นทางการของกระทรวงศึกษาธิการรัฐโอคลาโฮมา 

"มันน่าสะอิดสะเอียนมาก เราจำเป็นต้องกำจัดสิ่งสกปรกโสโครกเหล่านี้ออกจากโรงเรียนต่าง ๆ ในโอคลาโฮมา หน่วยงานของเรากำลังทำการสืบสวน" ไรอัน วอลเตอร์ส ผู้รับผิดชอบด้านการบริหารการศึกษาสูงสุดของรัฐโอคลาโฮมากล่าว

คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี (29 ก.พ.) ณ ที่ชุมนุม Clash of Classes ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานระดมทุนนานหนึ่งสัปดาห์ของโรงเรียนมัธยมแห่งนี้

นักเรียนสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรมนี้ ในนั้นรวมถึงทัวร์นาเมนต์การแข่งขันเลียเท้า และรายงานข่าวระบุว่า บางส่วนรู้สึกสนุกกับมัน แต่ครั้งที่วิดีโอเริ่มถูกส่งต่ออย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ บรรดาผู้ปกครองก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพบเห็น

ในตอนแรกคณะผู้บริหารโรงเรียนกล่าวชื่นชมเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมงานระดมทุน Wonderful Week of Fundraising ซึ่งรวบรวมเงินได้ 152,830.38 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักก็เริ่มคิดได้ ออกมาขอโทษองค์กรนักเรียน และพ่อแม่ผู้ปกครอง

ผู้ปกครองรายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่าไม่อยากเชื่อตอนที่ได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับกิจกรรมแข่งเลียเท้าในครั้งนี้ "ตอนที่ฉันได้ยินลูกบอกในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ฉันจำเป็นต้องถามย้ำกลับไปอีกรอบ เดี๋ยวก่อน ว่าไงนะ พวกเขาให้เลียเนยถั่วลิสงออกจากเท้าเนี่ยนะ"

"ฉันสนับสนุนทุกการระดมทุนและทุกสิ่ง ๆ ที่เป็นเรื่องสนุก แต่คราวนี้ดูเหมือนว่ามันจะเลยเถิดจนเกินไป" ผู้ปกครองอีกคนกล่าว

เกมการแข่งขันที่แลกกับเงินบริจาคครั้งนี้ยังได้รับความสนใจจาก เทด ครูซ วุฒิสมาชิกรีพับลิกันเช่นกัน ซึ่งถึงขั้นประณามการแข่งขันบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่าเป็นการทำทารุณเด็ก

‘ชาวไทย’ จองเที่ยวจีนพุ่งสูง หลังเปิดศักราช 'ยุคฟรีวีซ่า' สัมพันธ์ครั้งใหญ่ ดัน ‘ธุรกิจ-วัฒนธรรม’ 2 ชาติแน่นแฟ้น

(4 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ข้อตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างจีนและไทยสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดศักราช ‘ยุคปลอดวีซ่า’ ระหว่างจีนและไทยซึ่งเป็นประเทศที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งนักท่องเที่ยวที่สำคัญของกันและกัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และนักท่องเที่ยวชาวไทยก็เดินทางไปเที่ยวยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ในวันแรกของการดำเนินข้อตกลงยกเว้นวีซ่า ด่านตรวจคนเข้าเมืองหลายแห่งในจีนมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าประเทศแตะจุดสูงสุด โดยเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) เที่ยวบิน ดีดี3110 (DD3110) ซึ่งให้บริการโดยสายการบินนกแอร์ บินตรงจากกรุงเทพฯ สู่นครหนานหนิง ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง อู๋ซวี ในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีนอย่างราบรื่นในช่วงเที่ยง โดยในเที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารชาวไทย 56 รายที่ใช้สิทธิ์นโยบายฟรีวีซ่าได้สำเร็จในขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและเริ่มการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศจีน

นักเดินทางชาวไทยคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าการเดินทางเข้าประเทศจีนจะสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังจากการยกเว้นวีซ่าดังกล่าว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักธุรกิจที่เดินทางระหว่างจีนและไทยในระยะยาว

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวของจีน พบว่าปัจจุบันมีเที่ยวบินระหว่างจีนและไทยที่ด่านหนานหนิงราว 46 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางการบินของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่จำนวนผู้โดยสารชาวไทยทั้งขาเข้าและขาออกผ่านด่านหนานหนิงคิดเป็น 2 ใน 5 ของจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติทั้งหมดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเหตุผลหลักในการเดินทางเข้าออกประเทศจีนคือการท่องเที่ยว การเยี่ยมครอบครัว และการเดินทางเพื่อธุรกิจ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ซีทริป (www.ctrip.com) ระบุว่าในวันที่ 1 มี.ค. ยอดจองผลิตภัณฑ์ของนักเดินทางชาวไทยไปยังจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 160 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019 โดยเมืองระดับหนึ่งของจีนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางชาวไทย ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจว ขณะเดียวกันการค้นหาและพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเมืองต่างๆ อย่างฉงชิ่งและซีอัน ของคนไทยรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมจีนสมัยนิยม อาทิ ภาพยนตร์และซีรีส์จีนในเว็บไซต์ฯ ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ จีนยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวน้ำแข็งและหิมะที่ใกล้ที่สุดของไทย โดยตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว การท่องเที่ยวธีมน้ำแข็งและหิมะในกว่างซี อวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ฮาร์บิน และภูมิภาคอื่นๆ ต่างได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเช่นไทย เป็นอย่างมาก

อ้ายหนิง ชาวไทยที่ศึกษาและทำงานในหนานหนิงมานานหลายปี ระบุว่าหลายปีที่ผ่านมาเธอได้เห็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วของจีน รวมถึงความสำเร็จในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยหลังจากการดำเนินนโยบายยกเว้นวีซ่าร่วมกัน เธอตั้งตารอที่จะเห็นเพื่อนชาวไทยเดินทางมายังจีนและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ในจีนมากขึ้น โดยเธอระบุว่าชาวไทยที่เดินทางมายังจีน จะได้สัมผัสกับความงดงามของภูมิประเทศทางธรรมชาติของจีน และรับรู้ถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยีของจีน อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและพลังงานใหม่ อีกทั้งจะได้ลิ้มรสชาติอาหารอร่อยๆ มากมายด้วย

อ้ายหนิง ระบุว่า พื้นที่ชมวิวและจุดให้บริการหลายแห่งในจีนได้ติดตั้งป้ายภาษาไทย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวไทย เธอแนะนำให้เพื่อนชาวไทยที่เดินทางมาจีนทำความเข้าใจในนโยบายฟรีวีซ่าและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวิธีการชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มบนโทรศัพท์มือถือของจีน รวมถึงศึกษาแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ เหม่ยถวน เสี่ยวหงซู เพื่อเป็นคู่มือในการเดินทาง

เหยาหัว ผู้อำนวยการสถาบันสังคมวิทยา สังกัดสถาบันสังคมศาสตร์กว่างซี ระบุว่าการยกเว้นวีซ่าร่วมกันระหว่างจีนและไทยจะช่วยเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองด้านการท่องเที่ยว ส่งผลให้ผู้คนจากทั้งสองประเทศดำเนินการเจรจาทางธุรกิจและแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมได้สะดวกยิ่งขึ้น อันเป็นการกระชับความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตรระหว่างจีนและไทย

‘มาเลเซีย’ หนุนเรียนสายอาชีพ ด้านเกษตรกรรม เพื่อลดการพึ่งพา สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ

(3 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัว เจ้าหน้าที่มาเลเซียระบุ ว่ารัฐบาลมาเลเซียตั้งเป้ากระชับและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ด้วยการเพิ่มจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาด้านเทคนิคและการอาชีวศึกษา รวมถึงผู้สำเร็จการฝึกอบรม

โมฮัมหมัด ซาบู รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและความมั่นคงอาหารของมาเลเซีย กล่าวกับผู้สื่อข่าว หลังการเปิดตัวงานแสดงสินค้าเกษตร ว่านอกเหนือจากการดึงดูดนักศึกษาให้มาเรียนด้านเกษตรกรรมกันมากขึ้นแล้ว รัฐบาลมาเลเซียยังมีเป้าหมายส่งเสริมผู้สำเร็จการศึกษาจากสาขาวิชาอื่นๆ หลากหลายแขนงให้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในภาคส่วนนี้

โมฮัมหมัด ให้ข้อมูลว่า เป้าหมายสำคัญของกระทรวงฯ ในปีนี้คือการพัฒนาอุตสาหกรรม 4 ประเภทที่มีความสำคัญ ได้แก่ ข้าวและข้าวเปลือก ไก่ เป็ดและไข่เป็ด หอมแดง และสับปะรด

สำหรับโครงการริเริ่มเกี่ยวกับข้าวที่เปิดตัวในปีนี้ ตั้งเป้าเพิ่มระดับการพึ่งพาข้าวในประเทศให้แตะอย่างน้อยร้อยละ 80 เพื่อลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ในอีก 10 ปีข้างหน้า

อนึ่ง งานแสดงสินค้าเกษตรข้างต้นจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน โดยเป็นเวทีว่าด้วยความยั่งยืนของระบบนิเวศด้านการจัดหาอาหาร และเวทีเพื่อการนำเสนอนวัตกรรม แนวปฏิบัติ และเทคโนโลยีต่างๆ ในภาคการเกษตร

‘เจอโรนิโม’ วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดียแดง  ผู้ยอมมอบตัว เพื่อปกป้องรักษา ชีวิตของคนทั้งเผ่า 

(3 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ของ เจอโรนิโม วีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่าง เพื่อรักษาชีวิตของคนทั้งเผ่า โดยระบุว่า ...

การตัดสินใจ "ไม่ทำสงคราม" มีความสำคัญพอๆหรือสำคัญยิ่งกว่าการตัดสินใจ "ทำสงคราม" ด้วยซ้ำ สิ่งนี้สะท้อนวุฒิภาวะของผู้นำ ที่การตัดสินใจของเขามีอนาคตของเผ่าพันธุ์หรือประเทศของตนเป็นเดิมพัน ในมุมมองของผู้นำทัพสูงสุด สงครามมีแค่สองประเภทเท่านั้น คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม"

เครซี่ ฮอร์ส (1840-1877) รู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น ชีวิตของเขาจึงต้องจบสิ้นตั้งแต่วัยฉกรรจ์

กษัตริย์พม่าพระองค์สุดท้ายก็ทรงรู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น จึงต้องเสียท่าแก่จักรวรรดินิยมอังกฤษ และทำให้สถาบันกษัตริย์ถึงแก่การล่มสลายในพม่าไปตลอดกาล

ขณะที่กษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีทรงมีพระปรีชาญาณและวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล จึงทรงรู้จักสงครามทั้งสองประเภท คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม" ทำให้สามารถนำพาบ้านเมืองรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น ... เกาะกูดยังเป็นของไทยก็เพราะเหตุนี้ด้วย

เกริ่นมาเสียยืดยาว ก็เพื่อที่จะแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักเรื่องราวของ "เจอโรนิโม" หนึ่งในสี่ของนักรบชาวพื้นเมืองอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ และสงครามทั้งสองประเภทของเขา 
ในปี ค.ศ. 1858 เจอโรนิโม (1829-1909) ผู้เป็นนักรบอาปาเช่เพิ่งเดินทางกลับจากการไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่เม็กซิโก เขาพบว่าแม่ เมีย และลูกทั้งสามคนของเขาถูกพวกทหารสเปนชาวผิวขาวจากเม็กซิโกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน 

คนขาวเหล่านั้นกระทำกับผู้หญิง คนแก่และเด็กราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด หลังจากนั้นมา เจอโรนิโมได้สาบานกับตัวเองว่าเขาจะฆ่าคนขาวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และมันก็เป็นจริงตามนั้น

หลังจากนั้นเจอโรนิโมจะใช้ทุกโอกาสที่มีเข้าโจมตีและฆ่าทหารของกองทัพของเม็กซิโก เจอโรนิโมโดนทหารเม็กซิกันจับได้หลายครั้ง แต่เขาก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัวหลบหนีออกมาได้ทุกครั้ง และกลับไปล้างแค้นต่อ จนคนขาวเข็ดขยาดในความเก่งกาจและโหดเหี้ยมของนักรบอาปาเช่

อาปาเช่เป็นภาษาของเผ่าชิริคาฮัว ... "อาปาเช่" มีความหมายว่า "คนปากกว้าง" 
เจอโรนิโมเป็นวีรุบุรุษผู้กล้าหาญและหัวหน้าเผ่าชิริคาฮัว อาปาเช่ ในศตวรรษที่ 19 ที่กล้าเปิดสงครามต่อสู้กับทหารอเมริกันและทหารเม็กซิโกที่พยายามขยายดินแดนล่วงล้ำเข้าไปยังดินแดนของอาปาเช่ จนรู้จักกันในชื่อของ "สงครามอาปาเช่" 

เจอโรนิโม (Geronimo) หรือโกยาทเล เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1829 ในเผ่าอาปาเช่ (Apache) สาขาเบดอนโคเฮ (Bedonkohe) ในดินแดนที่เป็นรัฐนิวเม็กซิโกในปัจจุบันนี้ 
ในเวลานั้น สหรัฐอเมริกากำลังทำสงครามกับเม็กซิโกเพื่อขยายดินแดนไปทางตะวันตก และพยายามขับไล่กวาดล้างชาวพื้นเมืองอเมริกา (อินเดียนแดง) ออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ชาวพื้นเมืองบางส่วนต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของตนจากผู้รุกราน โดยการดักปล้นเสบียงและอาวุธจากฝ่ายอเมริกา

จุดเริ่มต้นที่ทำให้เจอโรนิโม (โกยาทเล) กลายมาเป็นนักรบนั้นเกิดขึ้นในปี 1858 ตอนเขาอายุ 29 ปี ขณะที่เขาและผู้ชายชาวอาปาเช่บางส่วนได้เดินทางไปทำการค้าขายในเมืองอยู่นั้น ปรากฏว่ามีกองทหารเม็กซิโกเข้าโจมตีค่ายของอาปาเช่และสังหารคนในค่ายจนหมด ถึงรวมถึงแม่ ภรรยาและลูก ๆ ของเจอโรนิโมด้วย จึงทำให้ชาวเผ่าอาปาเช่สาขาต่าง ๆ ได้แก่ เบดอนโคเฮ โชโกเนน (Chokonen) และเน็ดนี (Nedni) ประกาศร่วมมือกันเพื่อทำสงครามตอบโต้เม็กซิโกตั้งแต่ปี 1859 เป็นต้นมา 

ซึ่งเจอโรนิโมก็ได้เป็นหนึ่งในผู้นำของชาวอาปาเช่ในการเข้าโจมตีและปล้นสะดมชาวเม็กซิโกอย่างต่อเนื่องโดยที่รัฐบาลเม็กซิโกไม่สามารถจับกุมตัวได้ และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง พวกชาวเม็กซิโกก็ตั้งฉายาของโกยาทเลว่า “เจอโรนีโม” ซึ่งกล่าวกันว่าเกิดจากคำอุทานของทหารเม็กซิกันที่มักจะขอความกรุณาจากเซนต์เจโรม (Jerome) นั่นเอง

เจอโรนิโม คือชายผู้ไม่ยอมแพ้แก่อเมริกันชนผู้มาปล้นชิงแผ่นดินเกิด โดยอินเดียแดงบางเผ่าถึงกับถูกคนขาวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนไม่เหลือใครสักคนเดียว

ในช่วงปลายสงคราม เหลือชาวอินเดียนแดงอยู่แค่ไม่กี่เผ่าเท่านั้น พวกเขายังคงใช้ชีวิตต่อสู้กับชาวยุโรปตลอดมา และหนึ่งจำนวนนั้นคือ เจอโรนิโม หัวหน้าเผ่าอาปาเช่ ชายที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการปกป้องผืนแผ่นดินบ้านเกิด 

เจอโรนิโมเป็นชาวอินเดียนแดงที่สหรัฐและเม็กซิโกต้องการจับตัวมากที่สุด ต้องการขนาดยอมร่วมมือกันเพื่อออกตามล่าตัวเจอโรนิโมอย่างเร่งด่วน เพราะเจอโรนิโมเป็น 1 ในแกนนำของ 3 ชนเผ่าอย่างที่ได้รวมตัวกัน เพื่อต่อสู้ทำสงครามอาปาเช่กับสหรัฐและเม็กซิโกอย่างถึงที่สุด 

สงครามอาปาเช่นี้เริ่มต้นในปี 1859 จนถึงปี 1862 มีแกนนำหลายคนเสียชีวิตและถูกจับกุมตัว แต่มีเพียง เจอโรนิโมเท่านั้นที่ยังคงหยัดยืนเป็นแกนนำหลักของทั้ง 3 เผ่าทำสงครามอาปาเช่อย่างไม่หยุดหย่อน จนกลางปี 1862 สหรัฐและเม็กซิโกได้เสนอการทำสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อขอสงบศึกกับทั้ง 3 เผ่าอินเดียนแดง 

หัวหน้าเผ่าทุกคนยอมรับข้อเสนอดังกล่าว แต่ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าหัวหัวหน้าเผ่าโชโกเนนจะไม่เดินทางไปทำสนธิสัญญาด้วย จะมีเพียงหัวหน้าเผ่าของเบคอนโคเฮกับหัวหน้าเผ่าเน็ดนีเดินทางไปเท่านั้น

ตัวแทนจากทั้ง 2 เผ่าออกเดินทางไปทำสนธิสัญญา และก็เป็นไปตามคาดคณะของหัวหน้าเผ่าทั้งสองที่ยกไปทำสนธิสัญญาสงบศึกได้ถูกลอบสังหารจนหมดสิ้น
จากนั้นยังกองทหารสหรัฐ-เม็กซิโกยังยกทัพไปกวาดล้างชนเผ่าอาปาเช่ต่อ
ครั้นพอทราบข่าวหัวหน้าเผ่าโชโกเนน เขาจึงฝากฝังเจอโรนิโมให้พาเด็กและสตรีหลบหนีไปก่อน ส่วนเขาได้ยกพวกเข้าต่อสู้กับทหารอเมริกันจนเสียชีวิตในสนามรบ
ทำให้เจอโรนิโมกลายเป็นหัวหน้าเผ่าของอาปาเช่เพียงคนเดียวที่เหลือรอดอยู่ในปี 1862 ตอนนั้นเจอโรนิโมอายุ 33 ปี

ภารกิจหนึ่งเดียวที่เหลือหลังจากนั้นของเจอโรนิโมในฐานะผู้นำสูงสุดของเผ่าอาปาเช่ คือต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อปกป้องชนเผ่าที่เหลือให้อยู่รอดให้จงได้ 
เจอโรนีโมต้องพาคนในเผ่าของเขาการอพยพย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อหนีการตามไล่ล่าของพวกทหารผิวขาว

เจอโรนีโมได้พยายามปกป้องชาวอาปาเช่ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดอย่างกล้าหาญ แม้จะต้องอพยพหลบหนีภัยสงครามอยู่หลายครั้ง ทำให้ฝ่ายเม็กซิโกและอเมริกาที่ต้องการจับตัวของเจอโรนีโมต้องใช้เวลาตามล่าและพบกับความสูญเสียไปไม่น้อย กว่าที่นายพลเนลสัน ไมลส์ จะนำกำลังเข้าล้อมจับชาวอาปาเช่ได้ที่สเกเลตัน แคนยอน รัฐอริโซนา เมื่อปีกันยายน ปี 1886 ขณะนั้นเจอโรนิโมอายุ 57 ปี

ถึงจะรบไม่เคยแพ้ แต่เจอโรนิโม กลับยอมมอบตัว แต่โดยดี
เจอโรนีโมจำต้องยอมให้ทหารอเมริกันจับกุมตัวเพื่อรักษาชีวิตของชาวอาปาเช่ที่เหลือทั้งหมด ... นี่คือ "สงครามที่ที่ไม่สู้สงคราม" ของเจอโรนิโม

เมื่อนายพลเนลสัน ไมลส์ ให้สัญญาลมๆ แล้งๆ ว่า จะได้กลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวใหม่และสมาชิกในเผ่า ซึ่งถูกบังคับให้ต้องเดินทางไกลย้ายถิ่นฐานจากเขตสงวนในรัฐอริโซนาไปที่รัฐฟลอริดา อันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางของน้ำตาและความตาย 

แต่แล้วกองทัพสหรัฐก็กลืนน้ำลายตัวเอง ไม่ได้รักษาคำสัญญานั้น กลับจับวีรบุรุษผู้กล้าของอาปาเช่อย่างเจอโรนิโมไปขังคุกในฐานะเชลยสงคราม แถมยังขยันย้ายคุกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเจอโรนิโมแก่ตัวไร้พิษสงและเขี้ยวเล็บแล้วจึงถูกย้ายไปอยู่ที่ฟอร์ท ฮิลล์ รัฐโอคลาโฮมาเป็นแห่งสุดท้าย 

เจอโรนีโมได้ถูกนำตัวออกแสดงต่อสาธารณชนที่ต้องการชมหัวหน้าชาวอาปาเช่ผู้มีชื่อเสียงอยู่หลายครั้ง รวมถึงในปี 1905 เจอโรนีโม ยังได้เขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตัวเขาเองเอาไว้เกี่ยวกับประวัติชีวิตและยุทธวิธีในการรบของเขา

เจโรนิโม ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างดีก็แค่ไปร่วมงานฉลองเล็กๆ น้อยๆ ของอินเดียนแดง ระหว่างนั้นเขาเคยปรารภหลายครั้งว่าสิ่งเดียวที่เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือการหลงเชื่อน้ำคำของนายพลอเมริกันจนสมัครใจยอมแพ้แล้วถูกหักหลัง ทำให้ตัวเขาไม่ได้ตายในสนามรบอย่างกล้าหาญ 

สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมใจเขาไว้ได้ คือการที่เขาสามารถรักษาชีวิตของคนในเผ่าอาปาเช่ที่เหลืออยู่น้อยนิดไม่ให้ถูกกวาดล้างจนสิ้นเผ่าพันธุ์ได้ เพราะเขาเลือกที่จะไม่ต่อสู้จนตัวตายในสนามรบเอง

และแล้ววันหนึ่งในปี 1909 ขณะขี่ม้ากลับบ้าน เจอโรนิโม ผู้ชราในวัย 80 ปีก็ถูกม้าสลัดตกต้องนอนกลางดินท่ามกลางความหนาวเย็นถึงหนึ่งคืนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ แต่เจอโรนิโม ก็เสียชีวิตหลังจากนั้นด้วยโรคปอดบวม หลังจากที่ต้องอยู่ในฐานะนักโทษของอเมริกาเป็นเวลากว่า 23 ปี เป็นการปิดตำนานของนักรบผู้ปกป้องพื้นแผ่นดินชาวอินเดียนแดงคนสุดท้ายแต่เพียงเท่านี้

เครซี่ ฮอร์ส เป็นนักรบอินเดียนแดงที่ยิ่งใหญ่ เพราะไร้พ่ายก็จริง
แต่เจอโรนิโม เป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่กว่าเครซี่ ฮอร์ส อีก 
เพราะ เขา ‘ปกป้องชีวิต’ และ ‘รักษาชีวิต’ ของเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้ ด้วยการทำ ‘สงครามที่ไม่สู้สงคราม’

แถมยังสามารถเขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตนเองให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความโหดร้ายและความยากลำบากชนิดเลือดตาแทบกระเด็นของการปกป้องแผ่นดินเกิดและการรักษาเผ่าพันธุ์

นิยามของวีรบุรุษ มี 2 แบบ วีรบุรุษระห่ำที่ไม่กลัวตาย ไม่เสียดายชีวิต กับวีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่างเพื่อความผาสุกของคนทั้งหมด

ผู้มีปัญญาย่อมรู้เองว่า วีรษรุษแบบไหนคือวีรบุรุษที่แท้จริง

ด้วยจิตคารวะ

สุวินัย ภรณวลัย

'สื่ออังกฤษ' ยก สนามบิน 'โหน่ยบ่าย' ดีที่สุดใน 'เอเชีย-อาเซียน' ส่วน 'ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ' ติดกลุ่ม 10 อันดับแย่ที่สุด

(3 มี.ค.67) เพจ 'BTimes' ได้รายงานว่า บิสสิเนส แทรเวลเลอร์ (Business Traveller) สื่อผลิตเนื้อหาและข้อมูลด้านการเดินทางและท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกจากอังกฤษมีอายุมาถึง 48 ปี และได้รับการยอมรับจากนักเดินทางและนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะนักธุรกิจและนักบริหาร เปิดเผยรายงานผลการจัดอันดับสนามบินนานาชาติดีที่สุดและแย่เลวร้ายที่สุดในทวีปเอเชียประจำปี 2023 พบว่า สนามบินนานาชาติทึ่ดีที่สุด ได้แก่ สนามบินโหน่ยบ่าย กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ขณะที่สนามบินที่แย่ที่สุด ได้แก่ สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพ ประเทศไทย ส่วนสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ อยู่อันดับที่ 7 จากทั้งหมด 10 อันดับสนามบินนานาชาติที่แย่ที่สุด 

สำหรับสนามบินนานาชาติที่ดีที่สุด 10 อันดับในทวีปเอเชีย ปี 2023 มีดังนี้... 

อันดับ 1 สนามบินโหน่ยบ่าย (ฮานอย) เวียดนาม 6.80 คะแนน 
อันดับ 2 สนามบินชางฮี สิงคโปร์ 6.63 คะแนน 
อันดับ 3 สนามบินเช็คแลปก๊อก ฮ่องกง 6.48 คะแนน 
อันดับ 4 สนามบินฮาหมัด กาตาร์ 6.44 คะแนน 
อันดับ 5 สนามบินนาริตะ (โตเกียว) ญี่ปุ่น 6.23 คะแนน 
อันดับ 6 สนามบินฮาเนดะ (โตเกียว) ญี่ปุ่น 5.82 คะแนน 
อันดับ 7 สนามบินเกมเปโควทา (เบงกาลูรู) อินเดีย 5.56 คะแนน 
อันดับ 8 สนามบินไท่หยวน ไต้หวัน 5.29 คะแนน 
อันดับ 9 สนามบินฉัตรปตี ศิวาจี มหาราช (มุมไบ) อินเดีย 5.22 คะแนน 
และอันดับ 10 สนามบินอินทิรา คานธี (นิวเดลี) อินเดีย 4.60 คะแนน 

ทั้งนี้ สนามบินโหน่ยบ่าย (ฮานอย) เวียดนาม ที่ได้ 6.80 จาก 10 คะแนนในครั้งนี้นั้น ถูกยกย่องหลายด้านโดยเฉพาะระบบการจัดคิวผู้โดยสารที่ใช้บริการที่สนามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สำหรับสนามบินนานาชาติที่เลวร้ายที่สุด 10 อันดับในทวีปเอเชีย ปี 2023 (คะแนนน้อยที่สุด คือยอดแย่ที่สุด จากคะแนนเต็ม 10) มีดังนี้...

อันดับ 1 สนามบินคูเวต คูเวต 1.69 คะแนน 
อันดับ 2 สนามบินอัลมาตี คาซัคสถาน 2.62 คะแนน 
อันดับ 3 สนามบินคิง อับดุลาซิ ซาอุดีอาระเบีย 2.72 คะแนน 
อันดับ 4 สนามบินนินอย อาคีโน ฟิลิปปินส์ 2.78 คะแนน 
อันดับ 5 สนามบินอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรต 2.88 คะแนน 
อันดับ 6 สนามบินเชนไน อินเดีย 3.00 คะแนน 
อันดับ 7 สนามบินสุวรรณภูมิ ไทย 3.25 คะแนน 
อันดับ 8 สนามบินดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต 3.36 คะแนน 
อันดับ 9 สนามบินกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 3.36 คะแนน 
และอันดับ 10 สนามบินดอนเมือง ไทย 3.45 คะแนน

เมื่อพิจารณาเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน พบว่า สนามบินนานาชาติที่ดีที่สุดในอาเซียนยังคงเป็นของสนามบินหน่อยไบ๋ (ฮานอย) เวียดนาม ตามด้วยสนามบินชางฮี สิงคโปร์ ขณะที่สนามบินนินอย อาคีโน ฟิลิปปินส์ เป็นสนามบินที่แย่ที่สุดในอาเซียน โดยมีสนามบินดอนเมือง กรุงเทพ ประเทศไทยรั้งรองสุดท้ายของอันดับสนามบินแย่ที่สุดในอาเซียน 

สนามบินคูเวต คูเวต ที่ได้คะแนนต่ำที่สุดที่ 1.69 จาก 10 คะแนน ส่งผลเป็นสนามบินนานาชาติที่ยอดแย่ที่สุดของโลก ที่สำคัญ เป็นเพียงสนามบินเดียวในทวีปเอเชียที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่า 2 คะแนน พบว่า ผู้โดยสารแสดงความไม่พอใจอย่างมากกับกลิ่นเหม็น หรือกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาภายในสนามบิน นอกจากนี้ มีปัญหาด้านขั้นตอนการบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่องที่ช้ามาก 

ทั้งนี้ บิสสิเนส แทรเวลเลอร์ (Business Traveller) ทำการจัดอันดับรายงานดังกล่าวจากการเก็บข้อมูลโดยตรงจากการแสดงความคิดเห็นของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินจากทุกสนามบินทั่วโลกผ่านแอร์ไลน์ควอลิตึ้ดอทคอม นอกจากนี้ ยังเป็นสื่อชั้นนําสําหรับนักเดินทางเพื่อธุรกิจที่มีการผลิตเนื้อหาถึง 14 ประเทศสำคัญ ได้แก่ สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, เอเชีย-แปซิฟิก, ตะวันออกกลาง, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, เดนมาร์ก, ฮังการี, แอฟริกา, รัสเซีย, โปแลนด์, อิสราเอล และอินเดีย รวมถึงเว็บไซต์ต่างๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top