Sunday, 15 September 2024
WORLD

‘รัฐบาลจีน’ เดินหน้าโครงการดาวเทียม ‘Thousand Sails’ ตั้งเป้ายิงดาวเทียมอีก 15,000 ลูก ชิงตลาดแข่ง ‘Starlink’

เมื่อวันอังคารที่ 6 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา จีนได้ส่งดาวเทียมชุดแรก จำนวน 18 ลูก ขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จ ถือเป็นก้าวสำคัญของ ‘Thousand Sails Constellation’ โครงการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมระดับเมกะโปรเจกต์ ของรัฐบาลจีน ที่ตั้งเป้าส่งดาวเทียมให้ได้ถึง 15,000 ลูก ครอบคลุมการให้บริการอินเทอร์เนตทั่วทุกมุมโลก

เชียนฟาน ซิงจั้ว (千帆星座) หรือโครงการดาวเทียมเรือใบพันดวง แต่เริ่มเดิมทีใช้ชื่อว่า ‘G60 Starlink’ ดูแลโดย Shanghai Spacecom Satellite Technology (SSST) บริษัท Start-up ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ ถึง 6.7 พันล้านหยวน เพื่อพัฒนาดาวเทียมอินเทอร์เนตที่ใช้ได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ และ การทหาร 

หลังจากที่เพิ่งประกาศเริ่มโครงการเมื่อปี 2566 ผ่านไปเพียง 1 ปี ก็สามารถส่งดาวเทียมชุดแรก 18 ดวง โดยจรวด Long March 6A ที่ฐานปล่อยยาน Taiyuan Satellite Launch Center ที่ตั้งอยู่ในมณฑลซานซี ทางตอนเหนือของจีนได้สำเร็จแล้วในวันนี้

สื่อ CCTV ของจีนรายงานว่า ภายในปี 2568 จีนมีเป้าหมายที่จะส่งดาวเทียมอีก 648 ดวง แล้วจะเริ่มเข้าสู่เฟสแรกของการสร้างโครงข่ายดาวเทียมสัญชาติจีน ซึ่งจะถือเป็นก้าวสำคัญในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของจีนในการมุ่งสู่ธุรกิจบรอดแบนด์เชิงพาณิชย์ที่กำลังเติบโตในระดับโลก 

จากข้อมูลล่าสุด ปี 2567 มีดาวเทียมที่ใช้งานกันอยู่ในโลกประมาณ 10,000 ดวงบนชั้นบรรยากาศ โดยผู้บริโภคทั่วไป องค์กรเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และ การทหาร ซึ่งบริษัทที่เป็นเจ้าตลาดผู้ให้บริการโครงข่ายอินเทอร์เนตดาวเทียมก็คือ Starlink ของ อีลอน มัสก์ ที่ครอบครองดาวเทียมมากที่สุดถึง 6,646 ดวง และมีแผนที่จะเพิ่มเป็น 12,000 ดวงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 

ซึ่งโครงการ ‘Thousand Sails’ ของจีน มีการตั้งเป้าส่งดาวเทียมวงโคจรต่ำให้ได้ถึง 15,000 ลูกเช่นกัน  ที่ไม่ใช่เพียงแค่แข่งขันกับโครงข่าย Starlink ของอีลอน มัสก์ เท่านั้น แต่เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และความทะเยอทะยานในเทคโนโลยีด้านอวกาศของจีน ที่จะแข่งขันกับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาให้ได้ในอนาคตอันใกล้

การพัฒนาด้านเทคโนโลยีอวกาศของจีนทะยานอย่างก้าวกระโดดในช่วงเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2563 จีนสามารถพัฒนาดาวเทียม BeiDou ที่ใช้สนับสนุนระบบนำทางและระบุตำแหน่งพิกัดระดับโลก ที่เทียบได้กับระบบ GPS ของรัฐบาลสหรัฐฯ

อีกทั้งความสำเร็จของโครงการฉางเอ๋อ 6 ที่สามารถลงจอดบนพื้นผิวด้านมืดของดวงจันทร์ที่ยังไม่เคยมีชาติใดสำรวจมาก่อน และยังสามารถพายานกลับถึงเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ พร้อมตัวอย่างหินด้านมืดของดวงจันทร์ที่เป็นประโยชน์ในงานวิจัยอีกจำนวนหนึ่ง

และโครงการสร้างเครือข่ายดาวเทียมขนาดใหญ่ ‘Thousand Sails’ เป็นการตอกย้ำให้ถึงความพร้อมของจีน ในการท้าชิงตำแหน่งมหาอำนาจด้านอวกาศ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ความฝันที่ไกลตัวอีกต่อไป แต่จีนจะไปได้ไกลแค่ไหนกับโครงการเทคโนโลยีอวกาศ เป็นเรื่องที่น่าติดตามไม่น้อยทีเดียว

‘ดร.อักษรศรี’ มอง ‘วิคเตอร์ อเซลเซ่น’ อยู่เป็น เลือกคบคนจีน มีโอกาสมหาศาล

(7 ส.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง วิคเตอร์ อเซลเซ่น นักแบดมินตันชาวเดนมาร์ก แชมป์เหรียญทองโอลิมปิก ว่า...

#อยู่เป็น 🇨🇳 #แปลงจีนให้เป็นโอกาส วิคเตอร์ ฝรั่งแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกแบดมินตันชาวเดนมาร์ก 🇩🇰 เพิ่งให้สัมภาษณ์ด้วยภาษาจีน พูดภาษาจีนคล่องมาก เขาเลือกเรียนภาษาจีน #เลือกคบจีน เพราะรู้สึกว่า คู่แข่งนักแบดมินตันชาวจีนฝีมือเก่งมาก เลยอยากรู้ว่า จีนฝึกนักกีฬาของตัวเองกันอย่างไร และถ้าเขาเองพูดภาษาจีนได้ ก็จะได้โอกาสจากงานที่จะเข้ามา จะได้สปอนเซอร์เข้ามา คนจีนชอบแบดมินตันมากกก โอกาสมหาศาลเลยค่า

ฝรั่งคนนี้อยู่เป็น !! เลือกคบจีน ไม่อคติกับจีน และพูดจีนเก่งแค่ไหน คลิกฟังคลิปได้เลยจ้า #olympics2024

'ซัมซุง' โชว์แบตฯ EV ตัวใหม่ ชาร์จ 9 นาที วิ่งได้ระยะ 'กรุงเทพฯ-ภูเก็ต' คาด!! นำมาตอบโจทย์ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าระดับซูเปอร์พรีเมียม

บริษัทซัมซุง เอสดีไอ (Samsung SDI) ซึ่งเป็นบริษัทสำหรับการผลิตระบบกักเก็บพลังงานโดยเฉพาะ ในเครือของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้อย่างซัมซุง (Samsung) แสดงความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยีแบตเตอรี่โซลิดสเตต ซึ่งอ้างว่าสามารถชาร์จ 9 นาทีและวิ่งได้ระยะทาง 600 ไมล์ หรือประมาณ 965 กิโลเมตร เทียบเท่าวิ่งจากกรุงเทพฯ ไปภูเก็ตได้โดยยังเหลือแบตเตอรี่อีกจำนวนหนึ่ง ที่สำคัญคือมีอายุการใช้งานแบตยืนยาวประมาณ 20 ปี

เทคโนโลยีแบตเตอรี่โซลิดสเตตออกไซด์ของซัมซุง มีความหนาแน่นของพลังงาน 500 วัตต์ชั่วโมงต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่ามากกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปประมาณ 2 เท่า ซึ่งมีความหนาแน่นประมาณ 270 วัตต์ชั่วโมงต่อกิโลกรัม ความหนาแน่นที่เพิ่มขึ้น อาจจะช่วยเพิ่มระยะทางในการเดินทางของรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่ารถยนต์ปัจจุบันได้เป็น 2 เท่า ทั้งนี้ข้อมูลการชาร์จ 9 นาทีนั้น เว็บไซต์ Interesting Engineering ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นการชาร์จจากร้อยละ 10 หรือ 20 ไปเป็นร้อยละ 80 มากกว่าที่จะเป็นจาก 0 ถึงเต็ม 100 เนื่องมาจากถือว่าเป็นแนวทางของอุตสาหกรรม ที่การชาร์จแบตเกินร้อยละ 80 จะช้าลงอย่างมาก เพื่อปกป้องสุขภาพและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

แบตเตอรี่โซลิดสเตตเหล่านี้คาดว่าจะมีขนาดเล็ก เบา และปลอดภัยกว่าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ใช้ในยานพาหนะไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น แปลว่ามันจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ EV ซึ่งบริษัทเปิดเผยว่าหากนำไปใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า มันก็จะทำให้ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บแบตเตอรี่น้อยกว่า ส่งผลให้น้ำหนักรถโดยรวมเบาลงไปด้วย ซึ่งยังมีต้นทุนในการผลิตที่สูง ดังนั้นจึงคาดว่ามันจะถูกนำไปใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าระดับซูเปอร์พรีเมียมเท่านั้น ซึ่งซูเปอร์พรีเมียมในที่นี้หมายถึง รถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะทางการขับขี่ประมาณ 965 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 

Samsung SDI ได้จัดแสดงเทคโนโลยีนี้ในงานแสดงสินค้าที่เน้นเทคโนโลยีแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน SNE Battery Day 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 23 - 24 กรกฎาคม 2024 ที่ผ่านมา บริษัทเปิดเผยว่าตอนนี้ได้นำร่องเปิดสายการผลิตแบตเตอรี่โซลิดสเตตอย่างเต็มรูปแบบ ยิ่งไปกว่านั้น แบตเตอรี่ชุดแรกได้ถูกส่งไปยังผู้ผลิต EV เพื่อทำการทดสอบแล้ว พร้อมกับกล่าวเพิ่มเติมว่า “เราจัดส่งตัวอย่างให้กับลูกค้าตั้งแต่ปลายปีที่แล้วถึงต้นปีนี้ และได้รับการตอบรับเชิงบวก” และภายในปี 2026 จะมีการผลิตออกมาจำนวนมาก

นอกเหนือจากการพัฒนาแบตเตอรี่โซลิดสเตตแล้ว Samsung SDI ยังพัฒนาแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนฟอสเฟต (LFP) และแบตเตอรี่ลิเทียมโคบอลต์ที่ราคาถูกลง รวมถึงวิธีการผลิตอิเล็กโทรดแห้ง หรือก็คือแบตเตอรี่อิเล็กโทรดที่ไม่ต้องใช้ตัวทำละลายของเหลว เพื่อลดต้นทุนด้วย

อย่างไรก็ตาม Interesting Engineering รายงานว่าเรื่องการชาร์จเร็วเป็นหนึ่งในสิ่งที่หลาย ๆ บริษัทกำลังพัฒนา แต่แนวทางที่ผู้ผลิตแบตเตอรี่เกือบทุกรายให้ความสำคัญและกำลังพัฒนาควบคู่ไปด้วยก็คือการเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานขึ้น อย่างเช่นบริษัทผู้ผลิตระบบกักเก็บพลังงานสัญชาติจีน ซีเอทีแอล (CATL) และผู้ผลิตแบตเตอรี่รายอื่น ๆ ได้ประกาศเปิดตัวแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งาน 20 ปี ซึ่งมักเรียกกันว่าแบตเตอรี่ล้านไมล์ (Million-Mile Batteries) ดังนั้นวิสัยทัศน์ของซัมซุงที่จะ "ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่เป็น 20 ปี" จึงสอดคล้องกับแนวโน้มตลาดโดยรวม

'มินอ่องหล่าย' ประกาศเอง 'ไทย' เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กองทัพเมียนมาพ่าย กลายสภาพเป็นหนึ่งในโจทก์ ใต้จังหวะ 'การเมือง-กองทัพ' ที่ยังเพิกเฉย

เป็นเรื่องจนได้ หลังจากเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ประกาศแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ โดยระบุว่า ความพ่ายแพ้ของกองทัพเมียนมาในรัฐฉานเหนือเป็นผลมาจากอาวุธ และ เสบียง ที่ถูกส่งมาจากพรมแดนไทยและจีน ให้แก่กองทัพชนกลุ่มน้อย  

พร้อมกันนี้ ยังระบุอีกว่า โดรนและจรวดที่ใช้โดยกองกำลังโกก้าง หรือ MNDAA ซึ่งยึดครองพื้นที่โกก้างและเมืองล่าเสี้ยวในรัฐฉานเหนือขณะนี้ เป็นอาวุธที่ได้รับการอัปเกรดด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ ซึ่งต้องใช้ทั้งทรัพยากรมนุษย์และเงินทุนมหาศาลในการพัฒนาอาวุธเหล่านี้  

นอกจากนี้ ยังมีการอ้างถึงองค์กร Free Burma Ranger ที่ตั้งสำนักงานอยู่ในประเทศไทยด้วยว่า ไม่ใช่องค์กรช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หรือองค์กรทางศาสนา แต่เป็น 'ทหารรับจ้างต่างชาติ' ที่เข้ามาฝึกกองกำลัง จัดหาอาวุธและเสบียงให้กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามชายแดนไทยเพื่อให้ต่อสู้กับกองทัพเมียนมา 

เอย่า รู้สึกแปลกใจเหมือนกันนะว่า ที่ผ่านมาทางการไทย โดยเฉพาะกองทัพบก ผู้มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของไทย 'ไม่ทราบ' หรือ 'ไม่สนใจ' กับคำกล่าวของทางฝั่งเมียนมา ทั้ง ๆ ที่แหล่งข่าวระดับสูงในเมียนมาอ้างว่า มีการประชุมนอกรอบกับฝั่งไทยหลายครั้งถึงการให้ฝั่งไทยจัดการกับ 'นายเดวิด อูแบงก์' ผู้นำกลุ่ม Free Burma Ranger แต่ทางการไทย รวมถึงกองทัพไทย ก็ไม่เคยสนใจกับคำขอร้องนี้ของทางฝั่งกองทัพเมียนมา เพียงเพราะว่า นายเดวิด อูแบงก์ คนนี้เดินเข้าออกสถานทูตประเทศหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่เป็นว่าเล่น

อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทางเมียนมาออกมาระบุชัดเจนว่า มีการสนับสนุนอาวุธและเงินทุนมาจากทางชายแดนไทยและจีน จนเป็นผลให้การต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ ไม่นับคลิปที่ว่อนตามโซเชียลมีเดียที่แสดงให้เห็นว่า มีนักรบรับจ้างชาติตะวันตกที่หลายสื่อที่เป็นของชนกลุ่มน้อยออกมาระบุว่า นักรบรับจ้างเหล่านั้นเข้ามารบให้แบบไม่รับค่าจ้าง แต่เพราะว่าทนเห็นสภาพบ้านเมืองแบบที่เป็นอยู่ไม่ไหว ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทองที่ขุดมาจากเหมืองของชนกลุ่มน้อยต่างหาก

ตอนนี้ ประเทศไทย เลยกลายเป็น 1 ในโจทก์ของเมียนมาไปโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง แต่เพราะความเพิกเฉยของทั้งฝ่ายการเมืองก็ดี ฝ่ายกองทัพไทยก็ดี ทำให้เรากลายเป็นแหล่งซ่องสุมและกระจายยุทโธปกรณ์และเงินทุนของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลของเขา

สุดท้ายคนที่ต้องรับแรงกระเพื่อมจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนไทย ไม่ว่าจะต้องเจอกับปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่นำมาสู่การเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม โดยนำคำว่ามนุษยธรรมมาอ้าง, การมาแย่งอาชีพคนไทยทำโดยสมบูรณ์ รวมถึงเรื่องของอาชญากรรม ทั้งลักขโมย จนไปถึงการปล้น ทะเลาะ วิวาท ระหว่างคนไทยกับคนเหล่านี้ อีกทั้งยังเรื่องยาเสพติดที่มีมากขึ้น หลังจากการรัฐประหาร เพราะชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ใช้ยาเสพติดในการระดมเงินทุนจัดหาอาวุธและเสบียงอีกทางหนึ่ง

ปัญหาล้นขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องขึ้นกับทางกองทัพไทยแล้วว่า คำว่า 'วางตัวเป็นกลาง' คือ ทำตัวไม่รับรู้ถึงไฟไหม้บ้านข้างๆ แล้วให้คนที่มาใช้บ้านเราเติมเชื้อไฟเข้าไป สุดท้ายพอบ้านเขามอดไหม้หมด ก็คงไม่พ้นบ้านเราที่จะต้องไหม้เองต่อจากนั้น หรือจะเลือกช่วยบ้านข้างๆ ดับไฟเพราะอย่าลืมว่าบ้านข้าง ๆ มีพรมแดนติดกับบ้านเราถึงกว่า 2,400 กิโลเมตร  

"สุดท้ายแล้วกองทัพไทย พวกท่านได้ทำอย่างที่ได้เคยให้สัจจะไหมว่า จักรักษามรดกของบูรพกษัตริย์หรือในที่สุด แค่รักษาประโยชน์ส่วนตัว"

‘เกาหลีใต้’ วุ่น!! คนในชาติคลั่งการเมืองหนัก สะเทือนลามเรื่องความรัก หลังผลโพล ชี้!! 58.2% ไม่อยากอินเลิฟกับคนเห็นต่างทางการเมือง

เมื่อวานนี้ (6 ส.ค. 67) นสพ.The Korea Herald ของเกาหลีใต้ รายงานข่าว 6 in 10 S. Koreans won't date across political lines: survey ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2567 สถาบันสุขภาพและกิจการสังคมแห่งเกาหลี เผยแพร่ผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวเกาหลีใต้จำนวน 3,950 คน อายุระหว่าง 19 - 75 ปี ซึ่งดำเนินการเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 58.2 ไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์โรแมนติกกับบุคคลที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน

กลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 70 ยังคัดค้านการทำงานร่วมกับบุคคลที่มีความเชื่อทางการเมืองตรงข้ามกัน และร้อยละ 33 ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานสังสรรค์ทางสังคม กับคนที่มีมุมมองทางการเมืองตรงข้ามกัน และผลการสำรวจอื่น ๆ ยังแสดงให้เห็นว่า เกาหลีใต้กำลังประสบกับปัญหาประชาชนมีความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองอย่างมาก ซึ่งชี้ให้เห็นถึงรอยร้าวที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างกลุ่มเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมในประเทศ

รายงานข่าว กล่าวต่อไปว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 92.3 มองว่าความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวามีนัยสำคัญ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 87 ในปี 2561 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ 21 เท่านั้นที่ระบุว่าไว้วางใจรัฐสภา ส่วนความขัดแย้งอื่น ๆ ในสังคมเกาหลีใต้ที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุ ได้แก่ ระหว่างพนักงานประจำกับพนักงานชั่วคราว ร้อยละ 82.2 ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ร้อยละ 79.1 ระหว่างคนรวยกับคนจน ร้อยละ 78 และระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ร้อยละ 71.8

โดยรวมแล้ว กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนความสามัคคีในสังคมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.2 จากระดับ 10 ซึ่งลดลงจาก 4.31 ในปี 2565 และ 4.59 ในปี 2564 ในขณะเดียวกัน ระดับความขัดแย้งทางสังคมโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2.93 จาก 4 เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.88 ในปี 2561 อย่างไรก็ตาม นอกจากความแตกต่างทางสังคมและการเมืองแล้ว ระดับความพึงพอใจในชีวิตของแต่ละบุคคลกลับเพิ่มขึ้น โดยระดับความสุขโดยเฉลี่ยในระดับ 10 อยู่ที่ 6.76 เมื่อปี 2566 เพิ่มขึ้น 0.43 จุดจาก 6.33 ในปี 2564 ในทางกลับกัน ระดับภาวะซึมเศร้าลดลงเหลือ 2.57 เมื่อปี 2566 จาก 2.92 ในปี 2564

‘วิคเตอร์ อเซลเซ่น’ เปิดใจ เหตุผลที่เรียนรู้ ‘ภาษาจีน’ จนคล่องปร๋อ เพราะเป็นอีกทักษะ 'สร้างสัมพันธ์-เรียนรู้ทริก' จากเพื่อนแบดฯ ต่างถิ่น

(6 ส.ค. 67) จากเพจ Tutustory 图图是道 ได้แชร์ข้อมูลของ เพจ Main Stand ระบุว่า…

#MainStand : ภาษาจีน ... การเรียนรู้ของ วิคเตอร์ อเซลเซ่น ทำให้เป็นนักแบดมินตันที่ดีขึ้น
การคว้าเหรียญทองโอลิมปิกสมัย 2 แถมยังเป็นการชนะนักกีฬาขวัญใจชาวไทยอย่าง ‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ทำให้แฟนกีฬาแดนสยามจำนวนไม่น้อย ได้รับรู้เรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของ วิคเตอร์ อเซลเซ่น นักตบลูกขนไก่ชาวเดนมาร์ก Final Boss แห่งแบดมินตันชายเดี่ยวยุคนี้มากขึ้น

และหนึ่งในเรื่องที่ทำให้หลายคนทึ่งคือ นอกจากภาษาเดนิช ภาษาบ้านเกิด และภาษาอังกฤษแล้ว วิคเตอร์ยังสามารถพูดภาษาจีนได้ชนิดคล่องปร๋อเลยทีเดียว และเรื่องนี้มีที่มา …

วิคเตอร์เล่าถึงการเรียนภาษาจีนว่า ตัวเขาเริ่มเรียนเมื่อปี 2014 ส่วนเหตุผลนั้น เจ้าตัวพูดแบบติดตลกว่า "การเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ จะช่วยให้เขาเป็นนักแบดมินตันที่ดีขึ้นได้"

ทว่าเมื่อเรียนอย่างจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ วิคเตอร์ก็ได้รู้ว่า การเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ ช่วยให้เขาเป็นนักแบดมินตันที่ดีขึ้นได้จริง ๆ และมันช่วยเขาได้ทั้งในและนอกสนามเลยทีเดียว

"ผมไม่รู้ว่าภาษาจีนกลางช่วยผมในสนามได้มากแค่ไหน สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมคือการได้พูดคุยกับผู้เล่นหลาย ๆ คน โดยเฉพาะผู้เล่นชาวจีน รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกัน นั่นทำให้คุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้อง คุณสามารถเรียนรู้บางอย่างจากผู้เล่นชาวจีนได้"

หลังจบการแข่งขันโอลิมปิก ริโอ 2016 วิคเตอร์ที่คว้าเหรียญทองแดงในครั้งนั้น จากการชนะ หลิน ตัน ตำนานนักตบลูกขนไก่อาร์ตตัวพ่อชาวจีน CCTV สถานีโทรทัศน์แห่งชาติของแดนมังกรยื่นไมค์สัมภาษณ์เขา และวิคเตอร์ตอบด้วยภาษาจีนกลางชนิดคล่องปร๋อ

เหตุการณ์นั้น ทำให้เขากลายเป็นชาวต่างชาติคนดังในประเทศจีน หนึ่งในชาติที่แบดมินตันเป็นกีฬายอดนิยมทันที โดยตอนนี้เขามีผู้ติดตามบน Weibo โซเชียลมีเดียดังแดนมังกรมากกว่า 1.2 ล้านคนแล้ว

แน่นอนว่า เพื่อให้เข้าถึงตลาดจีน วิคเตอร์ก็มีชื่อจีนด้วย ซึ่งคุณครูสอนภาษาจีนกลางของเขาตั้งให้ว่า ‘อัน ไซ่ หลง’ (ซึ่งอันที่จริงก็คือการนำนามสกุล อเซลเซ่น มาดัดแปลงเป็นภาษาจีนนั่นเอง) โดยมีความหมายว่า ‘มังกรนักสู้ผู้เยือกเย็น’

ไม่เพียงแค่ในประเทศจีนเท่านั้น การเรียนรู้ภาษาจีนของวิคเตอร์ ยังทำให้เขาได้สร้างสัมพันธ์กับนักแบดมินตันอีกมากมาย รวมถึงในประเทศที่มีคนเชื้อสายจีนอยู่ด้วย เพราะหนึ่งในเพื่อนที่เขาสนิทสนมจากการเรียนภาษาจีนคือ ‘ลี ชอง เหว่ย’ ตำนานนักตบลูกขนไก่ชาวมาเลเซีย ซึ่งมีเชื้อสายจีน

วิคเตอร์ยังเล่าด้วยว่า การที่เขาเป็นนักแบดมินตันอาชีพ ทำให้เขาเกิดแพชชั่นในการเรียนภาษาใหม่ ๆ เพื่อเข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลายยิ่งขึ้น

"เมื่อคุณเป็นนักกีฬา คุณจะต้องเดินทางบ่อย ๆ คุณจะได้ยินภาษาต่าง ๆ ดังนั้น ผมคิดว่ามันน่าสนใจ มันเป็นสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้ในขณะที่คุณอยู่บนท้องถนน"

และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ วิคเตอร์ อเซลเซ่น ทำให้มุกตลกที่เขาเล่น ไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไป เพราะการเรียนรู้ภาษาใหม่ ทำให้ วิคเตอร์ อเซลเซ่น เป็นนักแบดมินตันที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง

'เดวิด หย่ง' เซเลปเศรษฐีผู้โชว์รวยใน Super Rich in Korea ของ Netflix ถูกจับโป๊ะ!! ข้อหาปลอมแปลงเอกสารเงินกู้ของบริษัทตัวเอง

หากใครเคยผ่านตา Super Rich in Korea รายการ Reality Show ของเกาหลีใต้ที่ถ่ายทอดชีวิตติดหรูสุดๆ ของสังคมมหาเศรษฐีที่ฉายทาง Netflix จะต้องรู้จัก 'เดวิด หย่ง' หรือชื่อจริงว่า 'หย่ง คัง หลิน' กับคำเคลมสุดฮิตที่ใช้เปิดรายการของเขาว่าเป็นมหาเศรษฐีระดับ Top 1% 'Super Rich' ของสิงคโปร์

ที่มาของความร่ำรวยของ เดวิด หย่ง มหาเศรษฐีวัยเพียง 38 ปีชาวสิงคโปร์ มาจาก Evergreen Group Holdings บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่ลงทุนในธุรกิจหลากหลายตั้งแต่ การค้าไม้, อสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงธุรกิจสันทนาการและวงการบันเทิง 

จนเมื่อปี 2020 เดวิด หย่ง ตัดสินใจย้ายไปอยู่กรุงโซล เกาหลีใต้ เพราะสนใจธุรกิจ K-Pop และได้ร่วมลงทุนในค่ายเพลงเกาหลีใต้เล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ชื่อว่า Attrakt ถึง 1 หมื่นล้านวอน และมีศิลปินในสังกัดที่เดบิวต์แล้วเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ป Fifty Fifty ก็ทำให้ชื่อเสียงของเดวิด หย่ง เป็นที่จับตาในแวดวงไฮโซ ในเกาหลีใต้ จนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในรายการ Super Rich in Korea

โดยในรายการนั้น เจ้าตัว ได้เปิดเผยไลฟ์สไตล์เหนือระดับคนทั่วไปในห้องชุดสุดหรูบนตึกระฟ้า Lotte World Tower ในกรุงโซล เดินทางด้วยเครื่องบินเจทส่วนตัว ซื้อของแบรนด์เนมเป็นว่าเล่น และ มีธุรกิจทั้งในเกาหลีใต้, สิงคโปร์ และ กัมพูชา 

แต่มาวันนี้เซเลปเศรษฐีบนยอดพีระมิด 1% ของสิงคโปร์กลับเจอปัญหาเสียแล้ว เมื่อทางการสิงคโปร์ได้ออกหมายจับกุม และดำเนินคดี เดวิด หย่ง เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมานี้เอง ในข้อหาปลอมแปลงเอกสารการเงิน เพื่อใช้ประกอบการกู้เงินสำหรับบริษัท Evergreen Group ของเขา 

โดย เดวิด หย่ง ถูกกล่าวหาว่ามีเจตนาทุจริต และยังให้การสนับสนุน 'โจลีน โลว์ มง ฮาน' ผู้ช่วยของเขา ปลอมแปลงเอกสาร และ ใบกำกับภาษี ของ Evergreen Group ลงวันที่ 1 กันยายน 2021 เพื่อขายอุปกรณ์และเครื่องใช้ภายในบ้านจำนวนมากให้กับบุคคลที่ชื่อ 'รอย เตียว' ที่พบว่าเป็นเอกสารปลอม 

หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง เดวิด หย่ง อาจถูกตัดสินโทษจำคุกได้ถึง 10 ปี หรือ ทั้งจำ ทั้งปรับ ตามมาตรา 477A ของสิงคโปร์ ที่ว่าด้วยเรื่องความผิดฐานการปลอมแปลงบัญชี

ทว่า คดีความของ เดวิด หย่ง ไม่ได้มีเพียงแค่นี้!!

สำนักงานกำกับดูแลการบัญชีและองค์กร พบว่า Evergreen Group ซึ่งเดิมใช้ชื่อว่า Evergreen Teak Trading มีทุนจดทะเบียน 490,000 เหรียญสิงคโปร์ โดยมี หย่ง อิงฟัต พ่อของ เดวิด หย่ง เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นเพียงคนเดียว ส่วน เดวิด หย่ง ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และได้ยุติบทบาทการเป็นกรรมการของบริษัทตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2566 หลังจากที่ย้ายไปเกาหลีใต้ 

ต่อมา บริษัท Evergreen Group ของเขาก็ถูกระบุอยู่ในรายชื่อเพื่อแจ้งเตือนนักลงทุนของสำนักงานการเงินสิงคโปร์ ว่าบริษัทนี้ไม่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจการให้บริการทางการเงินในสิงคโปร์

และเมื่อ เดวิด หย่ง ถูกหมายจับคดีปลอมแปลงเอกสารในวันนี้ กรมกิจการพาณิชย์ก็จะดำเนินการสอบสวนกิจกรรมทางธุรกิจของ Evergreen Group ในข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกงอีกด้วย

นี่จึงกลายเป็นข่าว Talk of the town เมาต์กันสนั่นเมืองทั้งในสิงคโปร์ และ เกาหลีใต้ ถึง เดวิด หย่ง ที่เคยถูกมองว่าเป็นมหาเศรษฐีสิงคโปร์ผู้รวยล้นฟ้าตามแบบฉบับชาว Crazy Rich Asians หรืออัศวินขี่ม้าขาวผู้กอบกู้ค่ายเพลงเล็ก ๆ ในเกาหลีใต้ 

แต่ดูเหมือนมาวันนี้ เจ้าตัวจะเข้าตำรา ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง หรือเปล่าน้า?

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้ สงคราม ‘E-Commerce’ ในโลกทุนนิยม เน้นแข่งกันทำ Price War

(5 ส.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"สงคราม E-Commerce ในโลกทุนนิยม นำทัพโดยชาติคอมมิวนิสต์!! เน้นแข่งกันทำ Price War เพื่อฆ่าคู่แข่ง? ภาครัฐจะทำไรได้บ้าง?"

พร้อมเผยอีกว่า เรื่องบางเรื่องถ้ารัฐจะยื่นมือเข้ามา ก็ต้องคิดให้รอบด้าน ก่อนลงมือทำ

#เกาไม่ถูกที่คัน 🇹🇭

'แรงงานนอกระบบ' เสี่ยงเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในไทย บนความสบายใจของคนไทยที่รักสบายจนเคยตัว

อย่างที่เราทราบกันว่าตอนนี้มีแรงงานผิดกฎหมายเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งกลุ่ม NGO ทั้งหลายก็พยายามผลักดันและกดดันให้ไทยรับแรงงานเหล่านี้เข้าระบบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของไทยเลย  

จากการเรียกร้องของกลุ่ม NGO โดยเฉพาะฝั่งพม่าที่พยายามผลักดันมากเสียจนดูน่าสงสัยไปหมด เมื่อไปตามดูสายสัมพันธ์ของคนเหล่านี้จะพบว่าคนเหล่านี้มีสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ในไทยทั้งในระดับปฏิบัติการและระดับนโยบายถึงขั้นพยายามผลักดันนโยบายอะไรบางอย่างในไทยได้ 

เพราะล่าสุดเห็นระบบการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวในไทย ระบบใหม่มีภาษาต่างชาติทั้งอังกฤษ, พม่า, ลาว, เวียดนาม และภาษาเขมร โดยเหมือนตั้งใจที่จะให้แรงงานสามารถแจ้งเองได้เลย ซึ่งจะต่างจากในอดีตที่จะให้นายจ้างไทยเป็นคนแจ้งออก

ถามว่าการทำแบบนี้ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ นายจ้างชาวไทย? หรือ แรงงานข้ามชาติ? 

บางที เอย่า ก็สงสัยจุดประสงค์ของกรมแรงงาน ว่าต้องการให้ไทยพัฒนาไปได้ในทิศทางที่ถูกต้องหรือต้องการแค่ใครก็ได้ที่มาทำแล้วผลักงานให้พ้นตัวไป?

มาอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่นานมานี้ เอย่า ได้รับรายงานมาว่า สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งมีสาขาที่จังหวัดท่องเที่ยวในประเทศไทย มีเจ้าของเป็นคนไทย ประกาศรับแคดดี้ชาวพม่าเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-25 ปี โดยต้องมีทักษะพูดภาษาต่างประเทศได้ เช่น จีน, เกาหลี โดยจะได้รับเงินเดือน 12,000 บาท พร้อมสวัสดิการชุดพนักงาน ที่พักและอาหารฟรี

นอกจากนี้ ผู้สมัครจะต้องผ่านการทดสอบทักษะทางภาษาก่อน หากได้งานต้องทำงานไปก่อน 6 เดือน หลังพ้นระยะทดลองงาน 6 เดือนถึงจะทำบัตรชมพูให้ และในช่วงดังกล่าวพนักงานต้องห้ามเดินทางออกนอกสถานที่เด็ดขาด โดยการทำงานนี้มีสัญญาจ้าง 2 ปี ถ้าลาออกก่อนหรือทำงานไม่ครบสัญญาจะถูกปรับเป็นเงิน 300,000 บาท

หากมองว่าเป็นงานถูกกฎหมาย ก็น่าจะไม่ผิดกฎหมาย แต่การรับสมัครงานแบบนี้ไม่ถูกต้องไปตามการจ้างแรงงานต่างด้าว และบริษัทน่าจะรู้ดีว่าการจ้างต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารเป็นความผิด เพราะนายจ้างจะต้องไปขึ้นทะเบียนจ้างคนต่างด้าวก่อน จึงจะสามารถรับคนงานได้ 

ในส่วนของลูกจ้างที่ควรจะคำนึงคือ การที่ต้องไปทำงานในที่ใดที่หนึ่งไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้เลยไม่ต่างอะไรกับการถูกหลอกไปทำงานในเขตจีนเทา เขาจะทำอะไรกับคุณก็ได้ เพราะคุณอยู่ในอาณาเขตของเขา อีกอย่างหากถูกลวนลามจากนักกอล์ฟจะสามารถหาทางเอาตัวรอดได้หรือไม่ อย่างไรกัน เพราะไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้เลย แม้ทางรีสอร์ตจะเสนอว่าหากทำครบ 1 ปีแล้วสามารถขอลาได้ 15 วัน และมีรถรับส่งไปยังชายแดนหรือสนามบินก็ตาม

ปัจจุบันนี้แรงงานที่หนีเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายคงไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ถึงกระนั้นขบวนการฟอกขาวที่นำโดยกลุ่มที่มาก่อนถึง แม้บางคนจะได้สัญชาติไทยไปแล้ว ก็ยังพยายามที่จะทำให้คนเหล่านั้นเข้ามาในระบบอย่างไม่ถูกต้อง โดยพยายามเรียกร้องว่า ไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์สัญชาติหรือประวัติอาชญากรรม 

ประเด็นคือ ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานพวกนี้จริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้วคือ เรารักสบายจนเคยตัว และใช้เงินแก้ปัญหาจนเคยชิน โดยที่ไม่เคยสนใจว่าสิ่งที่เราก่อขึ้นจะส่งผลอะไรกลับมาบ้างในประเทศของเรา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  

หากทุกท่านยังไม่เข้าใจ อาจจะต้องลองไปถามคนไทยในแม่สอดดูว่า เขารู้สึกอย่างไรที่พม่าเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้ามาอาศัยเพิ่มมากขึ้น

ตามเชียร์รอบหน้า 'จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง' เจอนักชกโครโมโซม XY ฟาก 'ทรัมป์' ร่วมวงขัดขวางผู้ชายเข้าแข่งกีฬาประเภทหญิง

(4 ส.ค. 67) เอ็นบีซี/ฟ็อกซ์นิวส์ เผย เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความบนบัญชีทรัสต์ โซเชียลของตนเอง บอกว่าเขาจะสู้เพื่อขัดขวางผู้ชายจากการเข้าแข่งขันกีฬาประเภทหญิง ท่ามกลางประเด็นเกี่ยวกับนักมวยสมัครเล่นหญิงชาวแอลจีเรีย ในศึกโอลิมปิกเกมส์ แผ่ลามเรื่องถกเถียงนี้เข้าสู่แวดวงทางการเมือง

ทรัมป์ แชร์วิดีโอหนึ่งเป็นภาพการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นหญิงในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ระหว่าง 'อังเจลา คารินี' จากอิตาลี กับ 'อิมาน เคลิฟ' จากแอลจีเรีย 

ทั้งนี้ เคลิฟ ผ่านคุณสมบัติเข้าแข่งขันปารีสเกมส์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยถูกสหพันธ์มวยสากลนานาชาติ (IBA) ตัดสิทธิจากการเข้าแข่งขันชิงแชมป์โลก 2023 เนื่องจากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านคุณสมบัติขององค์กร

ด้าน อูมาร์ เครมเลฟ ประธาน IBA ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งของรัสเซีย ณ ขณะนั้นว่า เคลิฟ มีโครโมโซม XY ของชายแท้

ประเด็นถกเถียงโหมกระพือขึ้น หลังจาก เคลิฟ ใช้เวลาเพียง 46 วินาที เอาชนะ คารินี ที่ขอยอมแพ้ จากนั้น คารินี ให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่าเธอถอนตัวเพราะไม่สามารถสู้ต่อไปได้

ขณะเดียวกัน ใเวลานี้ เคลิฟ ได้ผ่านเข้าสู่รองชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางประเด็นถกเถียงที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และคู่ต่อสู้ด่านต่อไปของเธอก็คือ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง นักชกสาวจากประเทศไทย ที่จะชกกันวันที่ 6 ส.ค.นี้ เวลา 18.34 น. ตามเวลาประเทศไทย

"ผมจะกีดกันผู้ชายออกจากกีฬาของผู้หญิง" ทรัมป์เขียน พร้อมกับแชร์คลิปแมตช์การแข่งขันดังกล่าว

สมาชิกรีพับลิกันคนอื่นๆ ก็แสดงความขุ่นเคืองต่อกรณีนี้อย่างรวดเร็ว โดยใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ประณามการเข้าร่วมของเคลิฟ ในนั้นรวมถึงวุฒิสมาชิกเทด ครูซ จากเทกซัส และ ส.ส.มาร์จอรี เทย์เลอร์ กรีน จากจอร์เจีย ซึ่งประณาม คาลิฟ ว่า "โกง นักต้มตุ๋นและคนโกหก"

"มันน่าละอายกับใครก็ตามที่ปล่อยให้ผู้ชายลงแข่งกับผู้หญิง" เทย์เลอร์ กรีน ระบุ "พวกเดโมแครตสนับสนุนเรื่องนี้ เคยมีคำสอนว่าผู้ชายอย่าได้ทำร้ายผู้หญิง แต่ตอนนี้มันมีคำถามในด้านคุณธรรม"

สหพันธ์มวยสากลนานาชาติ (ไอบา) ถูกคณะกรรมการโอลิมปิกสากลตัดสิทธิจากการเป็นผู้จัดการแข่งขันกีฬามวยสากลสมัครเล่นในโอลิมปิกเกมส์เมื่อปีที่แล้ว ท่ามกลางเสียงร้องเรียนจากนานาชาติเกี่ยวกับคำตัดสิน ซึ่งมันโหมกระพือความบาดหมางระหว่าง 2 ฝ่ายมานับแต่นั้น

ในวันศุกร์ (2 ส.ค. 67) ไอบา เปิดเผยว่าพวกเขาจะมอบเงินรางวัลแก่ คารินี จำนวน 50,000 ดอลลาร์ ปลอบใจที่พ่ายแพ้แก่ เคลิฟ ในรอบ 16 คนสุดท้าย นอกจากนี้ โค้ชของเธอก็จะได้รับเงินอีก 25,000 ดอลลาร์เช่นกัน

"ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงอยากฆ่าการแข่งขันการชกมวยของผู้หญิง" อูมาร์ เครมเลฟ ประธานไอบา ระบุ "มีเพียงนักกีฬาที่มีสิทธิเท่านั้นที่ควรได้รับอนุญาตให้ขึ้นชกบนสังเวียน เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของนักกีฬา ผมไม่กล้าจะมองเธอตอนที่เธอร้องไห้เลยด้วยซ้ำ"

เหตุใด Berkshire ของ 'ปู่บัฟเฟตต์' จึงเทขายหุ้น Apple ออก 49% แม้จะทำกำไรได้สวย และไม่น่าจะเป็นแค่การประหยัดภาษี

(4 ส.ค. 67) นักลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศกำลังสนใจและอยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อมีข้อมูลว่า เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) บริษัทโฮลดิงของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทแอปเปิล (Apple Inc.) ได้ขายหุ้นแอปเปิลออกไปแล้วเกือบครึ่งหนึ่งในไตรมาส 2 ปี 2024 ที่ผ่านมา หลังจากที่ขายออกไป 13% ในไตรมาสแรก ขณะที่ฝั่งแอปเปิลนั้น เพิ่งรายงานผลการดำเนินงานว่ามีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 (เมษายน-มิถุนายน) ของปีงบการเงิน 2024 ทำสถิติสูงสุด 21,448 ล้านดอลลาร์ 

ซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานในวันที่ 3 สิงหาคมว่า เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ เปิดเผยว่า ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2024 บริษัทถือหุ้นแอปเปิลอยู่เป็นมูลค่า 84,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทของบัฟเฟตต์ได้ขายหุ้นแอปเปิลออกไปถึง 49.4% ของจำนวนที่เคยถืออยู่เมื่อเริ่มต้นไตรมาส 

ทั้งนี้ บัฟเฟตต์ลดการถือหุ้นของแอปเปิลลง 13% ในไตรมาสแรกของปีนี้ และแย้มในการประชุมประจำปีของ เบิร์กเชียร์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านว่า เหตุผลที่ขายออกไปนั้นเป็นเพราะเหตุผลด้านภาษี และบัฟเฟตต์บอกว่าการขายหุ้น ‘แอปเปิลจำนวนเล็กน้อย’ ในปีนี้จะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นของเบิร์กเชียร์ในระยะยาว หากรัฐบาลสหรัฐต้องการขึ้นอัตราภาษีกำไรจากการขายหุ้นในอนาคตเพื่ออุดช่องว่างทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ขนาดของการขายหุ้นครั้งนี้บ่งชี้ว่าอาจมีเหตุผลมากกว่าแค่เรื่องการประหยัดภาษี

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของแอปเปิลร่วงลงในไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าแอปเปิลจะล้าหลังในด้านนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่ในไตรมาสที่ 2 หุ้นแอปเปิลก็พุ่งขึ้นถึง 23% สู่ระดับสูงสุดใหม่ หลังจากที่บริษัทได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมแก่ผู้ลงทุนเกี่ยวกับอนาคตของบริษัทในด้านปัญญาประดิษฐ์

ซีเอ็นบีซีระบุว่า ยังไม่ชัดเจนว่าเหตุใดนักลงทุนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการเน้นลงทุนระยะยาวอย่างบัฟเฟตต์จึงขายหุ้นที่ซื้อมาเมื่อ 8 ปีก่อน อาจจะเป็นเหตุผลของบริษัทเอง หรือการประเมินมูลค่าตลาด หรือเพราะข้อกังวลด้านการจัดการพอร์ตโฟลิโอ (โดยปกติแล้วบัฟเฟตต์ไม่อยากให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีสัดส่วนในพอร์ตใหญ่มากเกินไป) ซึ่งหุ้นแอปเปิลที่เบิร์กเชียร์ถืออยู่นั้น ครั้งหนึ่งเคยมีจำนวนมากจนกินสัดส่วนครึ่งหนึ่งของพอร์ต 

นอกจากหุ้นแอปเปิลแล้ว เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ของบัฟเฟตต์ได้ขายหุ้นธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) อย่างต่อเนื่อง 12 วันติดต่อกัน นับถึงวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ทั้งนี้ โดยภาพรวม รายงานประจำไตรมาส 2/2024 ของเบิร์กเชียร์แสดงให้เห็นว่าบัฟเฟตต์เทขายหุ้นออกไปในไตรมาสดังกล่าว ในช่วงที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะ ‘ชะลอตัว’ และล่าสุด การลงจอดอย่างนุ่มนวล (Soft Landing) ถูกตั้งคำถาม เนื่องจากรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนกรกฎาคมที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม ออกมาต่ำกว่าคาด

ด้านรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ดูเหมือนว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีความกังวลเกี่ยวกับหุ้นมากขึ้น จึงเลือกที่จะไม่ใช้เงินลงทุนแล้วปล่อยให้เงินสดของเบิร์กเชียร์สูงเกือบ 277,000 ล้านดอลลาร์ และยังขายหุ้นแอปเปิลออกไปจำนวนมาก แม้ว่าแอปเปิลจะรายงานกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ทำสถิติกำไรรายไตรมาสสูงที่สุดก็ตาม

'Yusuf Dikec' ความสำเร็จบนมือข้างหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋า เพราะความผ่อนคลายแบบเก๋าๆ ทำให้เหล่าคู่แข่งรู้สึกปั่นป่วน

(3 ส.ค.67) มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า ไม่ใส่แว่นตาพิเศษสำหรับการยิงปืน สวมเสื้อยืดสบาย ๆ และดูท่าทางผ่อนคลายสุดขีด นี่คือภาพของ ยูซุฟ ดิเคช นักกีฬายิงปืนโอลิมปิกจากตุรกี ที่กลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย โดยบางความเห็นบอกว่า ‘ตุรกีส่งนักฆ่ามาแข่งขันโอลิมปิก’

‘ถึงแม้ว่าผมจะดูเท่ แต่ในใจผมมันตรงกันข้าม’ ยูซุฟ ดิเคช บอกกับสื่อตุรกี หลังจากคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันยิงปืนลมระยะ 10 เมตร ประเภททีมผสม ร่วมกับเพื่อนนักกีฬาหญิง เซฟวาล อิลายดา ทาร์ฮาน

‘แต่ภายนอกของผมที่ผ่อนคลาย ทำให้คู่แข่งของผมปั่นป่วน’ เขากล่าวเสริม

โซเชียลมีเดียของโอลิมปิกเกมส์ เผยแพร่ภาพของยูซุฟ และคิม เยจี นักแม่นปืนหญิงจากเกาหลีใต้ โดยบรรยายว่าพวกเขาคือ ‘ดาวเด่นในกีฬายิงปืนโอลิมปิกที่พวกเราไม่รู้มาก่อนว่าเราต้องการ’

ในสัปดาห์นี้ ยูซุฟ ดิเคช สร้างประวัติศาสตร์กับเพื่อนร่วมทีมด้วยการคว้าเหรียญโอลิมปิกในกีฬายิงปืนเป็นเหรียญแรกให้กับตุรกี

ความตรงกันข้ามระหว่างยูซุฟและคู่แข่งของเขาที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งแตกต่างกับท่าทางสบาย ๆ ของยูซุฟ ทำให้เกิดมีมจำนวนมากเกี่ยวกับนักแม่นปืนตุรกีผู้นี้บนโซเชียลมีเดีย
เมื่อถามถึงวิธีการยิงปืนที่ดูผ่อนคลายแบบนั้น ยูซุฟในวัย 51 ปี บอกว่า เขาเป็น ‘นักยิงปืนโดยธรรมชาติ’

‘บางครั้งกรรมการก็ถามว่า คุณไม่มีแว่นตายิงปืนหรือรองเท้าแข่งโดยเฉพาะหรือ’

‘ผมตอบไปว่า ไม่มีครับ ผมเป็นนักยิงปืนโดยธรรมชาติ แล้วก็ขำๆ ไป

เหตุผลที่มือข้างหนึ่งต้องล้วงกระเป๋าไม่ได้เป็นเพราะเพื่อความเท่ แต่ยูซุฟบอกว่า เขาล้วงกระเป๋าเพื่อให้ร่างกายมีสมดุลที่ดีขึ้น

ทักษะการยิงปืนของยูซุฟไม่ได้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ในฐานะนักกีฬาเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าเขามีอาชีพเป็นทหาร

เขาเป็นอดีตจ่าสิบเอกที่เกษียณอายุแล้วจากกองกำลังผสมทหารตำรวจของตุรกี

เส้นทางการกีฬาของยูซุฟเริ่มต้นตอนที่เขาอายุ 28 ปี โอลิมปิกที่ปารีส เป็นการแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ 5 ติดต่อกัน แต่เขาไม่เคยมีผู้ฝึกสอนกีฬาเลย

‘ในการฝึกซ้อม ผมจะฝึกท่าทางของตัวเอง ถ้ามีผู้ฝึกสอน เขาก็อาจจะคอยสังเกตและจดบันทึกลักษณะท่าทางของผมได้และมีตารางการฝึกเป็นเรื่องเป็นราว’

แต่แม้ว่ายูซุฟจะไม่มีผู้ฝึกสอนหรือโค้ช เขาก็สามารถคว้าแชมป์โลกยิงปืนได้สองแชมป์เมื่อปี 2014 จากการแข่งขันยิงปืนพกมาตรฐานระยะ 25 เมตร และปืนสั้นฉนวนกลางระยะ 25 เมตร และในโอลิมปิกครั้งนี้เขาสามารถคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันยิงปืนลมระยะ 10 เมตร ได้สำเร็จ

ยูซุฟยังเป็นแชมป์ยิงปืนยุโรป 7 สมัย โดยล่าสุดเป็นแข่งขันในปีนี้ที่เมืองเจอร์ (Győr) ประเทศฮังการี

ระหว่างเดินทางกลับตุรกี เขากล่าวถึงเป้าหมายในการแข่งขันโอลิมปิก ฤดูร้อนปี 2028 ที่ลอสแอนเจลิสด้วยว่าจะเข้าร่วมการแข่งขันแต่ต้องดูสภาพร่างกายก่อนว่าพร้อมหรือไม่

‘ผมจะเริ่มเตรียมตัวสำหรับแข่งโอลิมปิก 2028 ตั้งแต่วันนี้ เราจะเดินหน้าต่อไปจนกว่าเราจะได้เหรียญทอง เราเสียมันไปในนาทีสุดท้าย ซึ่งถือว่าโชคไม่ดี’

‘ผมบอก (ทีมชาติเซอร์เบียที่ได้เหรียญทอง) ว่าเราแค่ให้ยืมเหรียญทองเท่านั้นนะ และเราจะมาเอาคืนในปี 2028’

เมื่อส่องประวัติของยูซุฟบนเว็บไซต์ของโอลิมปิก เขาเขียนบรรยายตัวเองว่า ‘ความสำเร็จไม่ได้มาจากการที่มือสองข้างเอาแต่ล้วงอยู่ในกระเป๋า’

ทว่าสำหรับการคว้าเหรียญโอลิมปิกครั้งล่าสุด ได้พิสูจน์แล้วว่าความสำเร็จก็อาจจะมีขึ้นได้เพราะมือข้างหนึ่งอยู่ในกระเป๋า และจากการฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นเวลาหลายปี

‘ปูติน’ ต้อนรับ 'พลเมืองรัสเซีย' ที่ถูกปล่อยตัว หลังบรรลุ ‘ดีล’ แลกนักโทษ กับชาติตะวันตก

เมื่อวานนี้ (2 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ ประธานาธิบดีรัสเซีย เดินทางไปต้อนรับพลเมืองรัสเซียหลายคนที่ได้รับการปล่อยตัวภายใต้ข้อตกลงแลกเปลี่ยนนักโทษกับประเทศตะวันตก 

เที่ยวบินพิเศษที่ขนส่งชาวรัสเซียกลุ่มนี้ลงจอดที่ท่าอากาศยานวนูโคโว-2 ในกรุงมอสโก โดยมีการปูพรมแดงและมีกองทหารเกียรติยศจากหน่วยทหารพิเศษของประธานาธิบดีรัสเซียรอต้อนรับ ขณะที่ปูตินได้จับมือและกอดทักทายผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวแต่ละคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘วาดิม คราซิคอฟ’ ที่ได้รับการปล่อยตัวจากเยอรมนี

อังเดร เบลูซอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอเล็กซานเดอร์ บอร์ตนิคอฟ ผู้อำนวยการหน่วยความมั่นคงกลางของรัสเซีย ได้มาร่วมต้อนรับชาวรัสเซียที่เดินทางกลับมาด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ปูตินได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อความภักดีของชาวรัสเซียกลุ่มดังกล่าว และแสดงความยินดีกับพวกเขาที่ได้เดินทางกลับรัสเซีย

‘นักเตะฝรั่งเศส’ ปะทะเดือด ‘นักเตะอาร์เจนตินา’ หลังกรรมการ เป่านกหวีดจบเกม ปม!! เหยียดเชื้อชาติ ทำตะลุมบอนวุ่นวาย ‘อองรี’ ขอโทษที่ไม่สามารถระงับเหตุได้

(3 ส.ค.67) ภายหลังจบเกมการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ 2024 รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่สนาม สต๊าด มัตมุต-อัตลานติก บอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส คืนวันที่ 2 ส.ค.67 ระหว่างทีมชาติ ‘ฝรั่งเศส’ พบกับทีมชาติ ‘อาร์เจนตินา’ โดยผลการแข่งขันเป็นทีมเจ้าภาพ เอาชนะ ทัพฟ้าขาวไปได้ 1-0 และหลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกมได้เกิดเหตุเหตุการณ์เดือดผู้เล่นทั้งสองทีมตะลุมบอนกัน

ทั้งนี้ ก่อนเกมการแข่งขัน ทั้ง 2 ทีมถูกจับตามองเป็นพิเศษอยู่แล้ว เนื่องจากมีประเด็นเหยียดเชื้อชาติกันมาตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2022

ต่อมา เอนโซ แฟร์นานเดซ มาเติมเชื้อไฟกับการร้องเพลงดูถูกผู้เล่นฝรั่งเศส หลังคว้าแชมป์โคปา อเมริกา ก่อนหน้าโอลิมปิกเกมส์ที่ปารีส จะเริ่มต้นขึ้นไม่กี่สัปดาห์

สำหรับเกมเมื่อคืนวันศุกร์ เพลงชาติอาร์เจนตินาก็ถูกโห่ขับไล่จากแฟนบอลที่บอร์กโดซ์ เช่นเดียวกับผู้เล่นอาร์เจนตินาที่ถูกโห่เป็นระยะด้วย

จนกระทั่งสิ้นเสียงนกหวีดจบเกม ระหว่างที่ผู้เล่นฝรั่งเศสกำลังวิ่งลงไปในสนามเพื่อฉลองชัยชนะ พวกเขาเกิดไปปะทะกับผู้เล่นอาร์เจนตินาที่ไม่พอใจอะไรสักอย่าง จนเรื่องราวลุกลาม ผู้เล่นและทีมงานกรุเข้าหากัน ทั้งห้ามทัพและผสมโรง

ขณะที่ เอนโซ มิโลท์ ผู้เล่นฝรั่งเศสถูกใบแดงหลังจากที่เกมจบลงแล้วด้วย

โดยมีรายงานข่าวว่า ในอุโมงค์เข้าสนามก็มีเหตุการณ์วุ่นวายในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีก

เธียร์รี่ อองรี กุนซือทีมตราไก่ให้สัมภาษณ์หลังเกม ยืนกรานว่า ชัยชนะในเกมนี้ไม่ใช่การแก้แค้นอาร์เจนตินา ที่เคยชนะพวกเขาตอนฟุตบอลโลก

"เราไม่ถือว่านี่คือการแก้แค้น เพราะฟุตบอลโลกมันคืออีกทีม" อองรี กล่าว

"ผมต้องขอโทษสำหรับเหตุการณ์วุ่นวายในช่วงหลังจบเกม มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการและผมไม่สามารถควบคุมมันได้ อันที่จริง พวกเขาได้ให้ใบแดงผู้เล่นด้วย"

‘ซิโมเน ไบลส์’ โพสต์ไอจี ‘ผู้ชนะโอลิมปิกที่ขี้เกียจ ไม่มีพรสวรรค์’ แซะอดีตเพื่อนร่วมทีมที่เคยจิกกัดทีมชาติชุดนี้ "ไร้พรสวรรค์-ขี้เกียจ"

(3 ส.ค.67) ต้องเรียกได้ว่าสมมงสำหรับทีมยิมนาสติกหญิงของสหรัฐอเมริกา ที่สามารถคว้าเหรียญทองประเทศทีมอุปกรณ์ร่วมมาครองได้สมกับที่หลายฝ่ายคาดไว้ เพราะได้ตัวเทพอย่าง ซิโมเน ไบลส์ ซุปเปอร์เกิร์ลของวงการยิมนาสติกมานำทีม ซึ่งหลังคว้าชัยชนะมาได้ เธอได้โพสต์อินสตาแกรมภาพของสมาชิกในทีมพร้อมแคปชันว่า “พวกเรา เหล่าผู้ชนะโอลิมปิกที่ขี้เกียจ ไม่มีพรสวรรค์” ซึ่งทำเอาหลายคนงงว่าทำไมถึงโพสต์แบบนี้

ซึ่งข้อความนี้เป็นการแซะอดีตเพื่อนร่วมทีมอย่าง มิเคล่า สกินเนอร์ ที่เคยคว้าเหรียญเงินโอลิมปิกครั้งก่อน ออกมาจิกกัด ทีมชาติสหรัฐชุดนี้นอกจากซิโมเน แล้ว ที่เหลือเป็นพวกไม่มีพรสวรรค์ แถมขี้เกียจ พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ถึงตารางซ้อมที่ไม่เต็มที่ แถมโค้ชไม่เข้มงวด เหมือนรุ่นก่อน ๆ โดยภายหลังเธอได้ออกมาขอโทษคำพูดนี้ โดยกล่าวว่าเธอไม่ได้ว่ากล่าวเหล่านักกีฬา แต่หมายถึงกฎใหม่ของสมาคมกีฬาที่เน้นเรื่องห้ามการลงโทษ หรือการซ้อมแบบโหด ๆ ที่ถือเป็นการทารุณนักกีฬา

หลังจากที่ซิโมเนโพสต์ภาพนี้แล้ว ก็มีนักกีฬาหลายคนเข้ามาคอมเมนต์ เข้าข้างและแสดงความขำขันกัน ซึ่งมีข่าวว่าสกินเนอร์ เจ้าตัวที่โดนแซะ ได้บล็อกไอจีของซิโมเนไปแล้วเรียบร้อย เรียกได้ว่างานนี้น่าจะสร้างรอยร้าวที่ประสานไม่ได้ระหว่างอดีตเพื่อนร่วมทีม 2 คนนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่างานนี้จะจบตรงไหน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top