(8 มี.ค. 68) เพจ ‘ซิริอุส เป็นชื่อของดวงดาว’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...
รู้หรือไม่? เยอรมันประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันหนึ่งของยุโรป และ อันดับสามของโลก ครั้งหนึ่งเคยประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรงส่งผลให้ค่าเงินมาร์คไร้มูลค่ายิ่งกว่าสกุลเงินของซิมบับเว และเวเนซุเอลา ในปัจจุบัน
หลังพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่1 ในปี ค.ศ. 1923 เยอรมันประสบปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดครั้งนึงของโลก ถึงขั้นที่ประชาชนต้องขนเงินเป็นแสนๆ ล้านมาร์ค ใส่ตะกร้าเพื่อไปจ่ายตลาด
เมื่อสงครามโลกครั้งที่1 สิ้นสุดลง อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินเยอรมัน(ดอยช์มาร์ค)อยู่ที่ราวๆ 1เหรียญสหรัฐ = 4มาร์ค และดิ่งลงไปแตะที่ 1เหรียญสหรัฐ = 4.2 ล้านล้านมาร์ค ในปี 1923 ..... ล้านสองครั้งนะครับ
ทำให้เยอรมันต้องพิมพ์ธนบัตรที่มีมูลค่าหน้าธนบัตรสูงลิบ ฉบับละเป็นร้อยเป็นพันล้านมาร์คเข้าสู่ระบบให้ประชาชนใช้จ่ายแทนธนบัตรเดิมที่ไร้มูลค่าลงเรื่อยๆ
ในช่วงวิกฤติ ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงมาก ทำให้ราคาสินค้าต่างๆ พุ่งขึ้นไม่หยุดปรับราคากันตลอดเวลา เงินที่พอจะซื้อขนมปังได้ในตอนเช้า อาจไม่พอซื้อในตอนบ่าย ทำให้ห้างร้านต่างๆ แน่นไปด้วยผู้คนที่เข้าคิวรอซื้อของ และยังทำให้สินค้าอื่นๆ เช่นบุหรี่ ฯลฯ ถูกใช้เป็นของแลกเปลี่ยนแทนเงินที่ไร้เสถียรภาพจนแทบจะไม่เหลือมูลค่า ไร้มูลค่าถึงขนาดที่ ปชช.นำธนบัตรมาเผาแทนฟืน เพราะไม้ฟืนยังมีมูลค่ามากกว่าธนบัตร
วิกฤติเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในครั้งนี้ทำให้เงินเก็บทั้งชีวิตของหลายคนมีค่าพอซื้อไข่ได้แค่แผงเดียว หรือ ขนมปังแถวเดียว ซึ่งในช่วงพีคขนมปังแถวนึงมีราคาสูงถึง 200,000,000,000 มาร์ค (สองแสนล้านมาร์ค) ในการซื้อ-ขาย หลายแห่งจึงใช้วิธีชั่งน้ำหนักกองธนบัตรเอา เพราะไม่มีเวลามานั่งนับ
ส่วนชนชั้นกลางที่กินเงินเดือน แม้จะมีความพยายามขึ้นเงินเดือนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แต่ราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา จะมีราคาสูงกว่าเงินเดือนที่ออกเดือนละครั้งสองครั้งอยู่เสมอ
สาเหตุของวิกฤติเงินเฟ้อที่รุนแรงของเยอรมันมาจาก หลังสงครามโลกครั้งที่1 ยุโรปและสหรัฐต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง แต่เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงครามฯหนักกว่าใคร เพราะนอกจากต้องแบกหนี้ที่เกิดจากสงครามแล้ว ยังต้องแบกค่าปฏิกรรมสงครามจากสนธิสัญญาแวร์ซาย เท่ากับว่าผลผลิตต่างๆของประเทศส่วนนึงจะกลายเป็นค่าปฏิกรรมสงครามไปแบบเปล่าๆ
สถานการณ์ของเยอรมันที่กำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้ออยู่แล้ว ต้องย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อไม่สามารถจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามในรอบปี 1922
ทำให้ฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมส่งกองทัพเข้ายึด Ruhr valley ที่เป็นเขตอุตสาหกรรมหลักของเยอรมัน เพื่อยึดสินค้าที่เยอรมันผลิตได้เป็นค่าปฏิกรรมสงคราม เพราะไม่เชื่อว่าเยอรมันไม่มีจ่าย แต่ตั้งใจเบี้ยวมากกว่า
เยอรมันตอบโต้ด้วยการประกาศชักจูงให้คนงานทั้งหมดหยุดงาน โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินเดือนให้ ซึ่งการจ่ายเงินเดือนนี้ก็เป็นการพิมพ์เงินออกมาจ่ายเอาดื้อๆโดยไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง ซ้ำเติมวิกฤติเงินเฟ้อที่สาหัสอยู่แล้วให้หนักขึ้นไปอีก
ฝรั่งเศสตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยการยิงคนงานในโรงงานผลิตเหล็ก และ เนรเทศคนที่ไม่ยอมรับคำสั่งจากฝรั่งเศสออกจาก Ruhr valley
เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 132 คน ถูกเนรเทศกว่า 1.5 แสนคน ส่งผลให้เศรษฐกิจของเยอรมันที่ร่อแร่อยู่แล้วดับสนิท อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
ความวุ่นวายของเยอรมันหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่1 ได้ส่งผลให้บุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอาสานำพาเยอรมันฝ่าวิกฤติที่กำลังเผชิญอยู่ และชื่อของเค้าจะเป็นที่รู้จักและจดจำไปอีกนาน
*****หมายเหตุ*****
จริงๆ แล้ว สหรัฐไม่เห็นด้วยและได้ทักท้วงในการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมันมากขนาดนั้น เพราะนอกจากจะก่อความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไปแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังอีกด้วย แต่ฝรั่งเศสดึงดันต้องให้เยอรมันจ่ายให้ได้ รวมๆ แล้วๆ เยอรมันต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามมูลค่าเทียบเท่าทองคำ 1แสนตัน และเพิ่งจ่ายหมดไปเมื่อปี 2010 หรือเกือบร้อยปีหลังสงครามโลกครั้งที่1 สิ้นสุดลง
การยึดอาณานิคมของเยอรมันและการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามโหดแสนโหด ก็เพื่อกดเยอรมันไม่ให้ฟื้นตัวได้อีก อันอาจเป็นการคุกคามฝรั่งเศสในอนาคต
...... ภูมิศาสตร์ด้านชายแดนตะวันออกของฝรั่งเศสที่ติดกับเยอรมัน ป้องกันยากแต่ง่ายสำหรับเยอรมันที่จะรุกเข้ามา เป็นการอธิบายว่าทำไมฝรั่งเศสจึงต้องสร้างแนวป้องกันบริเวณนั้นที่เรียกว่า 'Maginot Line' ในเวลาต่อมา
อีกปัจจัยหนึ่งก็เชื่อว่าเป็นเพราะ ฝรั่งเศสเจ็บใจมาตั้งแต่สงคราม ฝรั่งเศส-ปรัสเซีย/Franco-Prussian War ปี ค.ศ.1870 ที่ไปแพ้ปรัสเซียอย่างน่าอับอาย เสียดินแดนไปบางส่วน แถมเหล่ารัฐเยอรมันยังไปใช้ Hall of Mirrors ที่พระราชวังแวร์ซาย สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสในการประกาศรวมชาติสถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน (ปรัสเซียคือชื่อประเทศที่เป็นแกนกลางของรัฐเยอรมันก่อนรวมชาติ)
ต่อมาก็ปรากฏว่า สหรัฐคาดการณ์ถูก ว่าจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนและสร้างปัญหาตามมา เพราะอีกไม่นานฮิตเลอร์ได้ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางความวุ่นวาย ความไม่พอใจ และ ความสิ้นหวังของชาวเยอรมัน
เพราะสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของเยอรมันในตอนนั้น พอฮิตเลอร์ปรากฏตัวออกมาชูนโยบาย 'ชักดาบ' ฯลฯ ประกอบกับการเป็นนักปราศรัยที่เก่งมาก (public speaker) เลยได้รับความนิยม ได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก
..... แล้วก็เป็นฮิตเลอร์ที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเยอรมันได้สำเร็จ นำเยอรมันกลับขึ้นไปเป็นหนึ่งในมหาอำนาจยุโรปได้ในเวลาเพียง 6 ปี
ความสำเร็จของฮิตเลอร์ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ส่วนคนที่รู้ก็ไม่ค่อยอยากพูดถึง และ ผลพวงที่ตามมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง (ทั้งนี้ ความสำเร็จและผลงานของฮิตเลอร์ที่มีต่อเยอรมันไม่สามารถนำไปหักล้างสิ่งเลวร้ายที่ฮิตเลอร์ได้ทำลงไปเช่นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ)
ในช่วงพีค อัตราว่างงานในเยอรมันถึงกับติดลบ ต้องนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่ยุโรปและสหรัฐกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง (the great depression) เป็นการกู้คืนศักดิ์ศรี และความเป็นอยู่ของชาวเยอรมันที่สูญเสียไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สำเร็จ (ในส่วนอัตราว่างงาน ฮิตเลอร์มีเทคนิคในการตบแต่งตัวเลขอัตราว่างงานโดยเอาคนว่างงาน อันธพาล ฯลฯ เข้ากองทัพ สนับสนุนให้ผู้หญิงแต่งงานมีลูก อยู่บ้านเลี้ยงลูก ฯลฯ )
ฮิตเลอร์เป็นมังสวิรัติและรักสัตว์ บางคนก็เชื่อว่าเป็นเพราะเค้ารักสัตว์เลยกลายมาเป็นมังสวิรัติ เยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์ได้ออกกฎหมายคุ้มครองสัตว์ตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ครองอำนาจในปี ค.ศ.1933 ซึ่งเป็นชาติแรกๆ ในยุโรป ตามหลังเพียงไอร์แลนด์และอังกฤษ แต่เยอรมันมีเนื้อหาที่เข้มงวด ครอบคลุมมากกว่า เช่น กำหนดให้เจ้าของที่ปล่อยปละละเลยสัตว์เลี้ยงมีความผิดทางกฎหมาย, ห้ามทำร้ายสัตว์หรือทำให้สัตว์ตกอยู่ในอันตราย, ห้ามขุนสัตว์ให้อ้วน (เพื่อนำมาฆ่าเป็นอาหาร) ฯลฯ
เป็นยุคที่วงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ยา และ นวัตกรรมต่างๆ เฟื่องฟู ก้าวหน้ามาก เพราะรัฐบาลสนับสนุนทุนการวิจัยพัฒนา และ ด้านอื่นๆอย่างจริงจัง เต็มที่
โอลิมปิคที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพในปี ค.ศ.1936 เป็นโอลิมปิคครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดสด
เป็นยุคที่มีการริเริ่มจัดระบบสวัสดิการสังคม การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การลาคลอด ดูแลสิทธิสตรี ต่อต้านสื่อลามก ฯลฯ
นโยบายสนับสนุนด้านความบันเทิงให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็น โอเปร่า หนัง โรงละคร ฯลฯ ทำให้ประชาชนทุกส่วนเข้าถึงได้ แทนที่เดิมทีจำกัดไว้สำหรับชนชั้นสูงเพราะมีราคาสูงเกินสำหรับคนทั่วไป
โครงการถนนออโต้บาห์น และ รถราคาถูกสำหรับทุกครอบครัว อันเป็นที่มาของรถโฟล์คสวาเกน (โฟล์คเต่า) โครงการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ ซึ่งเป็นอะไรที่ล้ำมากในสมัยเมื่อ 80+ ปีก่อน ฯลฯ ...... ลุงหนวดจิ๋วแกเกลียดบุหรี่
Walther Funk ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจคนสำคัญของฮิตเลอร์เคยคาดการณ์ไว้แล้วว่า ยุโรปจะต้องรวมกันเข้าเป็นเขตเศรษฐกิจเดียวเหมือนอียูในปัจจุบัน หากเยอรมันชนะสงคราม องค์กรที่เหมือนกับอียูก็น่าจะถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยนั้น
เพราะความสำเร็จในด้านต่างๆ ของเยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์ซึ่งเกิดที่ออสเตรีย เมื่อกองทัพเยอรมันที่มีฮิตเอลร์ร่วมด้วย เดินทัพเข้าออสเตรียประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมัน เลยไม่มีการต่อต้าน แถมประชาชนยังออกมาต้อนรับ มอบดอกไม้ให้ทหารเยอรมันอีกด้วย
ผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้อังกฤษ และ ฝรั่งเศสอ่อนแอลงมาก จนต้องยอมปล่อยอาณานิคมของตนในหลายๆ แห่งทั่วโลก (หลายแห่งก็ปล่อยไม่จริง อย่างกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันตก-กลาง อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส)
ส่งผลให้โซเวียตฯกลายเป็นมหาอำนาจทัดเทียมกับสหรัฐในเวลาต่อมา ก่อนที่จะล่มสลายในช่วงยุคปี 1990
..... และยังทำให้ชาวยิวมีประเทศเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสองพันห้าร้อยปี จากการขีดพื้นที่บางส่วนของอาหรับปาเลสไตน์ใส่พานให้
(ถ้าจะว่ากันถึงเชื้อสายยิว ชาวปาเลสไตน์มีเชื้อชายยิวเข้มข้นกว่ายิวอิสราเอลที่อพยพมาจากยุโรป เพราะชาวปาเลสไตน์ก็สืบเชื้อสายมาจากยิวแล้วอยู่กันที่นั่นมาตลอดไม่ได้ไปไหน แต่ภายหลังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น ...... เป็นเรื่องตลกร้ายที่กลุ่มคนที่มีเชื้อสายยิวเข้มข้นน้อยกว่าพยายามก่อตั้งรัฐยิว โดยรุกล้ำยึดครอง ผลักดัน 'เข่นฆ่า' กลุ่มคนที่มีเชื้อสายยิวเข้นข้นกว่าออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น)
การพิจารณาคดีที่เนิร์นแบร์ค (Nuremberg trials) ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้เหล่าผู้นำฯที่ก่อสงคราม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำโดยการถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีฯ และ ข้ออ้างที่ว่า ทำตามคำสั่ง ไม่สามารถใช้ลบล้างความผิดได้
..... หากฮิตเลอร์ไม่ก่อสงคราม บางทีโลกอาจจะจดจำเค้าในอีกแบบหนึ่ง