Wednesday, 2 April 2025
WORLD

ญี่ปุ่นยุคใหม่ เตรียมพึ่งพาแรงงานจากต่างแดนมากขึ้น คาด 10% ของประชากรจะเป็นชาวต่างชาติใน 20 ปี

(26 มี.ค. 68) รายงานล่าสุดจากสื่อญี่ปุ่นระบุว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนผ่านสู่สังคมที่มีชาวต่างชาติคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด ท่ามกลางวิกฤติประชากรลดลงและแรงงานขาดแคลน

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญปัญหาการลดลงของจำนวนประชากรอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราการเกิดต่ำและประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงต้องปรับนโยบายเพื่อเปิดรับแรงงานต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ขาดแคลนแรงงาน เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ก่อสร้าง และเทคโนโลยี

ข้อมูลจากนักวิชาการด้านประชากรศาสตร์ชี้ว่า หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2045 ชาวต่างชาติอาจมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่น และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมของประเทศ

แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มี วัฒนธรรมแบบเอกลักษณ์และค่อนข้างปิดต่อแรงงานต่างชาติในอดีต แต่สถานการณ์ปัจจุบันบีบบังคับให้ต้องเปิดรับแรงงานจากต่างประเทศมากขึ้น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น ขยายโครงการวีซ่าทำงาน และผ่อนปรนกฎระเบียบสำหรับแรงงานทักษะสูง เพื่อดึงดูดคนจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แม้การเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติจะช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่ก็อาจนำไปสู่ความท้าทายด้านการปรับตัวทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นระบบสวัสดิการ การศึกษา และการอยู่ร่วมกันของคนหลายเชื้อชาติ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า หากญี่ปุ่นสามารถปรับตัวได้ดี ประเทศอาจกลายเป็นสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต

ผลสำรวจชี้ ชาวโปแลนด์กว่าครึ่งไม่ต้องการเข้าร่วมการฝึกทหารอดีตหน่วยรบพิเศษ GROM ผิดหวัง เตือนควรตื่นตัวมากกว่านี้

(26 มี.ค. 68) ผลสำรวจโดย Opinia24 สำหรับสถานีวิทยุ RMF FM เผยให้เห็นว่า ประชาชนโปแลนด์มีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับโครงการฝึกทหารของรัฐบาล โดยมีเพียง 35% เท่านั้นที่พร้อมเข้าร่วมการฝึกโดยสมัครใจ ขณะที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร (54%) ไม่ต้องการเข้าร่วม

สำหรับรายละเอียดของผลสำรวจพบว่า 14% ของผู้ตอบแบบสอบถาม “พร้อมอย่างแน่นอน” 21% “ค่อนข้างพร้อม” 21% “ค่อนข้างไม่พร้อม” 33% “ไม่พร้อมอย่างแน่นอน” และอีก 12% ระบุว่า "ไม่ทราบ/ยากที่จะตอบ" 

โดยโครงการฝึกอบรมทางทหารดังกล่าวเป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีโดนัลด์ ทุสก์ (Donald Tusk) ประกาศเมื่อต้นเดือนมีนาคม กำหนดให้ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนต้องเข้ารับการฝึก ขณะที่ผู้หญิงสามารถเข้าร่วมได้โดยสมัครใจ

ด้าน พาเวล มาเตนชุก (Paweł Mateńczuk) อดีตทหารจากหน่วยรบพิเศษ GROM และปัจจุบันเป็นผู้แทนกระทรวงกลาโหมด้านเงื่อนไขการรับราชการทหาร ได้แสดงความผิดหวังต่อผลสำรวจดังกล่าว โดยเขาระบุว่า

“ผมมั่นใจในกองทัพโปแลนด์ในฐานะสถาบันที่พัฒนาตัวเองเพื่อปฏิบัติภารกิจปกป้องประเทศของเรา (แต่ผมรู้สึกเศร้าเมื่อเห็นสถิติเหล่านี้ เพราะผมคิดว่าเมื่อมีโอกาสในการฝึกทหาร และเรามีพรมแดนติดกับประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม สังคมของเราควรมีความกระตือรือร้นมากกว่านี้”

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นถึงกระแสต่อต้านจากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งอาจมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาระหน้าที่ ความเสี่ยง และมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับนโยบายด้านกลาโหมของรัฐบาล

ขณะที่รัฐบาลยังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับกระแสต่อต้านจากประชาชน การสำรวจนี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวทางการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงในอนาคต

เตรียมเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่เดือนกรกฎาคมนี้ รับการท่องเที่ยวและธุรกิจเติบโต ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในเอเชีย

(25 มี.ค. 68) กัมพูชาประกาศเตรียมเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยจะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หลังจากที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

สนามบินแห่งใหม่ของพนมเปญ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ สนามบินนานาชาติเทโช เริ่มสร้างขึ้นในปี 2562 ครอบคลุมพื้นที่ 6,425 เอเคอร์ ตั้งอยู่ที่ชายแดนของจังหวัดกันดาลและตาแก้ว ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร

ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและภาคเอกชน จะเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานระดับสากล คาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 10 ล้านคนในปีแรกของการเปิดใช้งาน

โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา ซึ่งต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติ ท่ามกลางการเติบโตที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดนี้

สถาปนิกของสนามบินแห่งนี้คือบริษัท Foster + Partners ของประเทศอังกฤษ โดยเว็บไซต์ของบริษัทระบุว่า “การออกแบบสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่แข็งแกร่งของสถานที่ และตอบสนองต่อสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อน”

ส่วนอาคารเทอร์มินัลตั้งอยู่ใต้สิ่งที่เรียกว่าหลังคาทรงโค้งเดี่ยวที่เป็นโครงเหล็กน้ำหนักเบา พร้อมหน้าจอนวัตกรรมที่กรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างให้กับพื้นที่เทอร์มินัลอันกว้างใหญ่

การก่อสร้างจะดำเนินการเป็น 3 ระยะ โดยในระยะแรกคาดว่าสนามบินจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 13 ล้านคนต่อปี และจะเพิ่มความจุเป็น 30 ล้านคนหลังปี 2030 และสูงสุด 50 ล้านคนในปี 2050

สนามบินแห่งนี้จะเป็นสนามบินหลักแห่งที่สองของกัมพูชาที่จะเปิดให้บริการภายในระยะเวลาสองปี โดยในปี 2023 สนามบินนานาชาติเสียมเรียบ-อังกอร์ ซึ่งได้รับเงินทุนจากจีนได้เริ่มเปิดให้บริการในจังหวัดเสียมเรียบทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากนครวัดซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศซึ่งมีอายุกว่าหลายศตวรรษไปทางทิศตะวันออกประมาณ 40 กิโลเมตร 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้แต่ละประเทศในภูมิภาคต่างพยายามลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กัมพูชาหวังว่าการเปิดสนามบินแห่งใหม่จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ

สนามบินแห่งนี้จะเปิดให้บริการในช่วงฤดูร้อนของปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มฟื้นตัวหลังจากผลกระทบของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 โดยคาดว่าการเดินทางทางอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจของกัมพูชา ตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยว กัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6.7 ล้านคนในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% จากปี 2023

ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชามั่นใจว่าโครงการสนามบินแห่งใหม่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในระยะยาว และจะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ในตลาดการท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูงในภูมิภาคนี้

ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ออกแถลงการณ์ขอโทษ หลังบินไปแล้ว 2 ชม. ต้องวกกลับกลางทาง

(25 มี.ค. 68) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ (United Airlines) ออกแถลงการณ์ขอโทษหลังจากเที่ยวบิน UA198 ซึ่งมุ่งหน้าไปยังเซี่ยงไฮ้จากลอสแอนเจลิส ต้องบินกลับกลางทางหลังจากเดินทางไปได้เพียง 2 ชั่วโมง เนื่องจากนักบินลืมนำหนังสือเดินทางติดตัวไปด้วย

เที่ยวบินดังกล่าวซึ่งออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส (LAX) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม เวลา 14:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 787-9 Dreamliner ได้บินไปได้ประมาณสองชั่วโมง ก่อนที่ทีมบินจะตระหนักถึงความผิดพลาดของนักบินที่ไม่มีเอกสารสำคัญสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ

หลังจากพบปัญหาดังกล่าว ทีมบินจึงตัดสินใจบินกลับและลงจอดที่ ท่าอากาศยานนานาชาติซานฟรานซิสโก (SFO) โดยไม่ได้เดินทางต่อไปยังเซี่ยงไฮ้ตามที่กำหนดไว้ ก่อนที่เที่ยวบินจะถูกเลื่อนออกไป

ทาง ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ พร้อมยืนยันว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และจะทำการตรวจสอบการทำงานภายในเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ขณะเดียวกันผู้โดยสารบนเครื่องก็ได้รับการดูแลและข้อเสนอในการเปลี่ยนแปลงกำหนดการเดินทางใหม่ และทางสายการบินระบุว่าได้ทำทุกอย่างเพื่อให้การเดินทางดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุด

“นักบินไม่ได้พกหนังสือเดินทางติดตัวมาด้วย” ยูไนเต็ดกล่าวในแถลงการณ์ “เราได้จัดเตรียมลูกเรือชุดใหม่เพื่อพาลูกค้าของเราไปยังจุดหมายปลายทางในเย็นวันนั้น โดยมอบคูปองอาหารและเงินชดเชยให้กับลูกค้า”

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ โดยหลายคนไม่พอใจและตั้งคำถามว่า ทำไมถึงไม่มีการตรวจสอบเอกสารของนักบินก่อนการเดินทางไกล ส่งผลให้เที่ยวบินต้องล่าช้าและสร้างความไม่สะดวกให้กับผู้โดยสารจำนวนมาก

เดินทางเข้าสหรัฐฯ เสี่ยงถูกส่งกลับโดยไม่ทราบสาเหตุ LGBTQ+ อาจเจออุปสรรคหนัก หลังทรัมป์ประกาศนโยบายจำกัดเพศ

(25 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลายประเทศในยุโรปออกคำเตือนแก่พลเมืองของตนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการเดินทางเข้าสหรัฐฯ หลังมีรายงานเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจากยุโรปถูกกักตัวที่สนามบิน ถูกสอบสวนอย่างเข้มงวด และบางรายถูกส่งตัวกลับโดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน

รัฐบาลฝรั่งเศส เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศที่ออกแถลงการณ์เตือนพลเมืองให้ระมัดระวังในการเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยระบุว่าผู้โดยสารบางรายแม้จะมีวีซ่าถูกต้องหรือเดินทางภายใต้โครงการ Visa Waiver Program (VWP) ก็ยังเผชิญกับการปฏิเสธเข้าเมืองโดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ

กระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีแนะนำให้พลเมืองที่มีแผนเดินทางไปสหรัฐฯ “เตรียมเอกสารประกอบให้ครบถ้วน และพร้อมรับมือกับกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น” ขณะที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ระบุว่า “มีพลเมืองถูกกักตัวหลายชั่วโมงโดยไม่มีการชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน”

นอกจากคำเตือนเรื่องการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้นแล้ว กระทรวงการต่างประเทศเดนมาร์ก ได้ออกคำแนะนำเพิ่มเติมบนหน้าเว็บไซต์ทางการ โดยระบุว่า พลเมืองข้ามเพศ หรือชาว LGBTQ+ ทั้งหลาย ที่ต้องการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้น หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าสหรัฐฯ จะรับรองเพียงสองเพศ คือ ชาย และ หญิง เท่านั้น

แถลงการณ์ของรัฐบาลเดนมาร์กระบุว่า “ถือแค่พาสปอร์ต เดินสวย-หล่อเข้าเมืองแบบที่แล้วมาไม่ได้อีกแล้ว” พร้อมแนะนำให้ชาว LGBTQ+ ที่ต้องการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับกฎหมายท้องถิ่นและมาตรการของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อลดความเสี่ยงในการเผชิญกับการปฏิเสธเข้าเมืองหรือถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการที่สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการคัดกรองเข้มงวดขึ้นจากเหตุผลด้านความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และบางประเทศในยุโรปเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ขณะที่ทางการสหรัฐฯ ยังไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายตรวจคนเข้าเมือง แต่กระแสความกังวลในยุโรปอาจส่งผลต่อกระแสการเดินทางและความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกในอนาคต

ทั้งนี้ นักเดินทางจากยุโรปที่มีแผนจะเดินทางเข้าสหรัฐฯ จึงถูกแนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับมาตรการเข้าเมือง และเตรียมพร้อมสำหรับการถูกสอบสวนที่อาจเกิดขึ้นก่อนเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่คาดคิด

GDP พุ่ง 4.1% เร็วที่สุดในกลุ่ม G20 รั้งอันดับ 3 ของโลก แม้เผชิญคว่ำบาตร

(25 มี.ค. 68) รัสเซียสร้างแรงสั่นสะเทือนให้เวทีเศรษฐกิจโลก หลังสามารถขึ้นเป็นอันดับ 3 ของประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในกลุ่ม G20 ประจำปี 2024 ด้วยอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 4.1% ติดต่อกันเป็นปีที่สอง ตามการวิเคราะห์ของ Sputnik International ที่อ้างอิงจากข้อมูลสถิติระดับประเทศ

อินเดียจะชะลอตัวจาก 8.8% ในปี 2023 ลงมาอยู่ที่ 6.7% ในปี 2024 แต่ก็ยังครองอันดับ 1 ของกลุ่ม G20 ตามมาด้วยจีน ซึ่งขยายตัว 5% เท่ากับอินโดนีเซีย ขณะที่รัสเซียไต่อันดับขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางแรงกดดันจากชาติตะวันตก เศรษฐกิจรัสเซียยังสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่ 

1. การพึ่งพาตลาดภายในประเทศ – กระตุ้นการบริโภคและการผลิตภายใน ลดการพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศ 
2. การส่งออกพลังงานไปยังพันธมิตรใหม่ – หันไปทำการค้ากับจีน อินเดีย ตุรกี และประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งช่วยชดเชยตลาดที่สูญเสียจากการคว่ำบาตร 
3. การลงทุนภาครัฐในอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน – โครงการขนาดใหญ่ได้รับงบประมาณสนับสนุนต่อเนื่อง กระตุ้นเศรษฐกิจภายในให้เติบโต

นอกจากอินเดีย จีน อินโดนีเซีย และรัสเซียแล้ว บราซิล มาเป็นอันดับ 4 ด้วยอัตราการเติบโต 3.4% ขณะที่ ตุรกี อยู่อันดับ 5 ที่ 3.2%

ในทางกลับกัน เยอรมนีและอาร์เจนตินา เผชิญกับเศรษฐกิจหดตัวติดต่อกันเป็นปีที่สอง ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจในบางส่วนของโลกตะวันตก ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครน

ความสำเร็จของรัสเซียในการรักษาการเติบโตสูงภายใต้แรงกดดันจากตะวันตก อาจสะท้อนให้เห็นแนวโน้มใหม่ของ การจัดระเบียบเศรษฐกิจโลก โดยประเทศที่เคยถูกมองว่า 'ถูกตัดขาด' จากระบบการเงินตะวันตก กลับสามารถปรับตัวและขยายเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่ง

สหรัฐฯ เผลอเผยแผนโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในแชต เจ้าหน้าที่มะกันยอมรับความผิดพลาดและเตรียมตรวจสอบภายใน

(25 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปิดเผยแผนการรบที่กำหนดไว้ในเยเมนในแชตกลุ่มที่มีนักข่าวอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่แผนนั้นจะถูกนำไปใช้ในการโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนในเวลาต่อมา

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้อภิปรายแผนการทางทหารในเยเมนในกลุ่มแชตที่มีผู้เข้าร่วมหลากหลาย รวมถึงนักข่าวที่ทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวสู่สาธารณะ 

โดยหนึ่งในนักข่าวที่อยู่ในกลุ่มแชตดังกล่าวคือ เจฟฟรี่ย์ โกลด์เบิร์ก จากนิตยสาร The Atlantic ซึ่งเขาอ้างว่าได้ถูกเพิ่มเข้าไปในกลุ่มลับที่มีรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ และรัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ  อยู่ด้วย โดยไม่ได้ตั้งใจ

โกลด์เบิร์กกล่าวอีกว่า เขาเห็นแผนการทางทหารลับของสหรัฐฯ สำหรับการโจมตีกลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งรวมถึงชุดอาวุธ เป้าหมาย และกำหนดเวลา สองชั่วโมงก่อนที่จะเกิดเหตุระเบิด

และเพียงไม่นานหลังจากแผนรบถูกเปิดเผยในแชต กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนก็ถูกโจมตีตามแผนที่ถูกเปิดเผย ซึ่งทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของข้อมูลลับ และการควบคุมข้อมูลภายในรัฐบาลสหรัฐฯ

“มันเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้น” นายโรเจอร์ วิกเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการกองทัพวุฒิสภา ซึ่งเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันของรัฐมิสซิสซิปปี้กล่าว

ล่าสุด เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องได้แถลงการณ์ขอโทษเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสารที่ไม่ระมัดระวัง และยืนยันว่าจะมีการตรวจสอบภายในเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวในแถลงการณ์ว่า “การโจมตีกลุ่มฮูตีประสบความสำเร็จและมีประสิทธิผลเป็นอย่างมาก ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงมีความเชื่อมั่นสูงสุดต่อทีมความมั่นคงแห่งชาติของเขา รวมถึงที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ ไมค์ วอลทซ์”

ขณะที่แผนการโจมตีฮูตีในเยเมนยังคงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ และพันธมิตรในตะวันตกมองว่า กลุ่มฮูตีมีบทบาทสำคัญในการปั่นป่วนเสถียรภาพของเยเมนและภาคพื้นใกล้เคียง

ขณะเดียวกัน กลุ่มฮูตีและพันธมิตรของพวกเขาในเยเมนได้ตอบโต้การโจมตีครั้งนี้ด้วยการประณามการกระทำของสหรัฐฯ และกล่าวหาว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นการแทรกแซงที่ไม่เป็นธรรมในกิจการภายในของประเทศ

ทั้งนี้ การเปิดเผยแผนการทางทหารในแชตกลุ่มนี้สร้างแรงกระเพื่อมในแวดวงการทูตและความมั่นคงทั่วโลก โดยมีการเรียกร้องให้มีการดำเนินการที่เข้มงวดขึ้นในการรักษาความลับ และข้อมูลทางทหารในอนาคต

รองนายกฯ เซอร์เบียโวย การประท้วงได้รับการหนุนจากต่างชาติ ชี้ USAID คือแหล่งทุนสำคัญในการเคลื่อนไหวครั้งนี้

(25 มี.ค. 68) กระแสความไม่พอใจในเซอร์เบียยังคงเดือดดาล หลังเกิดการประท้วงต่อเนื่องทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 2024 โดยล่าสุด นายอเล็กซานดาร์ วูลิน รองนายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย ให้สัมภาษณ์กับ Sputnik โดยกล่าวหาว่าการประท้วงที่ลุกลามไปทั่วประเทศเป็นส่วนหนึ่งของ “แผนปฏิวัติสี” ซึ่งได้รับการวางแผนและสนับสนุนจากหน่วยข่าวกรองของชาติตะวันตก

โดยความตึงเครียดในเซอร์เบียยังคงเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางการประท้วงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่ปลายปี 2024 ล่าสุด ประธานาธิบดี อเล็กซานดาร์ วูชิช ยืนยันว่าเขาได้เตือนถึงความพยายามแทรกแซงจากชาติตะวันตกตั้งแต่ปี 2023 และได้กล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้งในปี 2024 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก หน่วยข่าวกรองรัสเซีย ที่ชี้ชัดถึงการเคลื่อนไหวที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติในประเทศเซอร์เบีย

วูลินระบุว่า เห็นสัญญาณของความพยายามแทรกแซงจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากประเทศในกลุ่ม สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมถึง USAID เป็นแหล่งทุนใหญ่ ซึ่งเขาเชื่อว่าการประท้วงที่กำลังเกิดขึ้นอาจเชื่อมโยงกับ “ปฏิวัติสี” (Color Revolution) ที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศในยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมชี้ว่า “นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของประชาชนเพียงลำพัง แต่เป็นการดำเนินงานตามกลยุทธ์ของต่างชาติที่ต้องการแทรกแซงกิจการภายในของเซอร์เบีย”

คำว่า “ปฏิวัติสี” หมายถึง การลุกฮือของประชาชนที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ไม่เป็นที่พอใจของชาติตะวันตก โดยมักเกิดขึ้นในช่วงที่มีความไม่พอใจในรัฐบาล และความเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

สำหรับการประท้วงในเซอร์เบียครั้งนี้ เกิดการปะทุขึ้นจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ปัญหาเศรษฐกิจ คอร์รัปชัน ไปจนถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีอเล็กซานดาร์ วูซิช 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเซอร์เบียมองว่าการชุมนุมที่ขยายตัวขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปฏิกิริยาของประชาชน แต่เป็นแผนการที่มีการจัดตั้งและสนับสนุนจากภายนอก

ด้านผู้จัดการชุมนุมและนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่มออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐบาล โดยยืนยันว่าการประท้วงเกิดขึ้นจากความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อปัญหาภายในประเทศ และไม่มีอิทธิพลจากต่างชาติแทรกแซง

ขณะที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า ประเด็นนี้อาจเพิ่มความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์ระหว่างเซอร์เบียกับชาติตะวันตกมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การประท้วงยังไม่มีท่าทีจะลดความร้อนแรงลง ท่ามกลางความกังวลว่าสถานการณ์อาจนำไปสู่ความไม่สงบในระดับที่รุนแรงขึ้น ขณะที่รัฐบาลเซอร์เบียยืนยันว่าจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศต่อไป

จีนปัดข่าวเจรจาภารกิจสันติภาพกับยูเครนในบรัสเซลส์ ยืนยันหนุนแนวทางการทูต หวังยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

(25 มี.ค. 68) รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์ปฏิเสธรายงานของสื่อที่อ้างว่าคณะนักการทูตจีนกำลังเจรจาในกรุงบรัสเซลส์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพในยูเครน โดยระบุชัดว่าข่าวดังกล่าว “ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง”

นายกัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันจันทร์ว่า “จุดยืนของจีนต่อวิกฤตการณ์ในยูเครนนั้นมีความชัดเจนและสอดคล้องกันมาโดยตลอด” พร้อมยืนยันว่าจีนยังคงสนับสนุนแนวทางทางการทูตและการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่าคณะนักการทูตจีนได้หารือกับเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปเกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ของจีนในภารกิจรักษาสันติภาพในยูเครน

อย่างไรก็ตาม จีนได้ปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวอย่างเด็ดขาด พร้อมเน้นย้ำถึงการสนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาทางการทูต แทนที่จะมีส่วนร่วมในปฏิบัติการทางทหาร

การตอบโต้อย่างชัดเจนของจีนสะท้อนถึงความพยายามของปักกิ่งในการรักษาภาพลักษณ์ความเป็นกลางในสงครามยูเครน ซึ่งเป็นท่าทีที่จีนดำเนินมาตลอดนับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซียเริ่มต้นขึ้น ในขณะที่หลายประเทศตะวันตกเรียกร้องให้จีนมีบทบาทที่ชัดเจนขึ้นในการยุติความขัดแย้ง

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า การปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวของจีนสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลปักกิ่งในการรักษาความสัมพันธ์กับทั้งรัสเซียและชาติตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่จีนต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจจากนานาชาติ

สหรัฐฯ เล็งแบนวีซ่านักเรียนจีน อ้างเหตุผลความมั่นคง นักวิชาการเตือน อาจทำลายอนาคตนวัตกรรมอเมริกา

(25 มี.ค. 68) ไรลีย์ มัวร์ (Riley Moore) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ได้เสนอร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรชื่อ “Stop CCP VISAs Act” ที่มีเป้าหมายเพื่อห้ามไม่ให้พลเมืองจีนสามารถขอรับวีซ่านักเรียนเข้าสหรัฐอเมริกา โดยให้เหตุผลว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศและเพื่อป้องกันการจารกรรมทางเทคโนโลยีและข่าวกรองจากรัฐบาลจีน

มัวร์ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะจำกัดอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากนักศึกษาจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐจีน

“ทุกปี เราอนุญาตให้ชาวจีนเกือบ 300,000 คนเดินทางมายังสหรัฐอเมริกาด้วยวีซ่านักเรียน เราเชิญชวนพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาสอดส่องกองทัพของเรา ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของเรา และคุกคามความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง” มัวร์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และองค์กรที่สนับสนุนเสรีภาพทางการศึกษา โดยพวกเขาเตือนว่าการจำกัดวีซ่าเช่นนี้อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และส่งผลเสียต่อสถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐฯ ที่พึ่งพานักศึกษาต่างชาติในการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา

ขณะที่ แกรี ล็อก (Gary Locke) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่าร่างกฎหมายที่มัวร์เสนอ “ไม่เพียงแต่เหยียดเชื้อชาติ แต่ยังเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ” เพราะการปิดโอกาสนักเรียนจีนจะบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

ล็อกเน้นย้ำว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ อาศัยความสามารถของนักวิจัยและนักศึกษาต่างชาติอย่างมาก และการจำกัดวีซ่าจะเป็นการทำร้ายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง

ด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาแสดงท่าทีไม่พอใจต่อร่างกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน โดยมองว่าเป็นมาตรการที่ไม่เป็นธรรมและอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดมากขึ้น 

อย่างไรก็ดีร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร และยังไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการนี้จะได้รับการสนับสนุนมากน้อยเพียงใดจากสมาชิกสภาคองเกรสทั้งสองพรรค

ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎหมายนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ เกี่ยวกับบทบาทของจีนในด้านเทคโนโลยีและความมั่นคงของประเทศ

มาเลเซียเตรียมล้อมกรอบชิป AI คุมเข้มนำเข้า-ส่งออก หวั่นเทคโนโลยีรั่วไหลสู่จีนตามข้อกังวลของสหรัฐฯ

(24 มี.ค. 68) รัฐบาลมาเลเซียเตรียมเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าและส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ต้องการจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

รายงานระบุว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า ซาฟรูล อาซิส กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้มาเลเซียติดตามการเคลื่อนตัวของชิป Nvidia ระดับไฮเอนด์ที่เข้ามาในประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความสงสัยว่าชิปจำนวนมากอาจลงเอยที่จีน

“สหรัฐฯ ขอให้เราตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราได้ตรวจสอบการขนส่งทุกครั้งที่มาถึงมาเลเซีย เมื่อเกี่ยวข้องกับชิป Nvidia” อาซิสกล่าวกับหนังสือพิมพ์

ปัจจุบัน มาเลเซียเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก โดยมีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งตั้งฐานการผลิตและประกอบชิปในประเทศ ซึ่งนโยบายใหม่นี้อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไฮเทคในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซียยังคงเดินหน้าสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย โดยระบุว่า จะกำหนดมาตรการที่ไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในประเทศมากเกินไป

ด้าน สหรัฐฯ ได้เพิ่มแรงกดดันต่อประเทศพันธมิตรทั่วโลกให้เข้าร่วมมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI และการทหารไปยังจีน โดยก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูงแล้ว

นอกจากนี้ รัฐบาลมาเลเซียกำลังเร่งตรวจสอบว่ามีการละเมิดกฎหมายท้องถิ่นหรือไม่ ในกรณีการขนส่งเซิร์ฟเวอร์ที่อาจเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงมูลค่า 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสิงคโปร์ ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นอาจมีชิปขั้นสูงที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ

การสืบสวนเกิดขึ้นหลังจากอัยการสิงคโปร์เปิดเผยในศาลเมื่อต้นเดือนมีนาคมว่า บริษัทแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ถูกกล่าวหาว่าจัดหาเซิร์ฟเวอร์จากสหรัฐฯ ให้กับมาเลเซียโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่สื่อในสิงคโปร์รายงานว่าคดีนี้อาจเกี่ยวข้องกับการโอนถ่ายชิป AI ขั้นสูงของ Nvidia ไปยังบริษัทปัญญาประดิษฐ์ของจีน DeepSeek

DeepSeek ตกเป็นเป้าสายตาของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากเปิดตัวโมเดล AI อันทรงพลังเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงเทคโนโลยี ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเทคโนโลยีของบริษัทนี้อาจใช้ชิปที่ถูกสหรัฐฯ ควบคุมและจำกัดการส่งออก

ขณะที่ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าสอบสวนกรณีนี้อย่างใกล้ชิด โดยก่อนหน้านี้ วอชิงตันได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงให้กับจีน เพื่อลดความสามารถของปักกิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

ทั้งนี้ การสืบสวนครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน และสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI ที่กำลังเป็นจุดศูนย์กลางของการแข่งขันระดับโลก

รัฐมนตรีคลังอังกฤษเผยแผนลดข้าราชการ 10,000 ตำแหน่ง หวังลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ 15%

(24 มี.ค. 68) ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอังกฤษ ได้ออกมาเปิดเผยแผนการปรับลดข้าราชการ 10,000 ตำแหน่ง โดยมีเป้าหมายหลักในการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของภาครัฐลงให้ได้ 15% ภายในระยะเวลาอันใกล้

การประกาศดังกล่าวถือเป็นการดำเนินมาตรการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวิกฤตโควิด-19 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลอังกฤษหวังว่าจะสามารถใช้มาตรการดังกล่าวในการปรับโครงสร้างการบริหารงานภาครัฐเพื่อความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต

“เราต้องการทำให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพและค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้สามารถลงทุนในโครงการที่สำคัญและสร้างผลประโยชน์ระยะยาวต่อประชาชน” ราเชล รีฟส์กล่าวในการแถลงข่าว

แม้ว่าการปรับลดข้าราชการจะส่งผลกระทบต่อบางส่วนของภาครัฐ แต่รัฐบาลอังกฤษได้ยืนยันว่าจะมีการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่และองค์กรต่างๆ เพื่อรับรองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการภาครัฐ

สำหรับการตัดสินใจนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลอังกฤษในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อและลดภาระหนี้สาธารณะ เพื่อรักษาความสามารถทางการคลังและเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ณ เดือนธันวาคม 2567 มีการคาดการณ์ว่าข้าราชการพลเรือนมีพนักงานประมาณ 547,735 คน ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงพนักงานชั่วคราวและพนักงานชั่วคราว 

โดยมาตรการลดข้าราชการจะเริ่มต้นภายในปีหน้าและรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายให้เสร็จสิ้นการปรับโครงสร้างการจ้างงานภาครัฐในช่วงปลายปี 2569 ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้รัฐบาลสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวคาดว่าจะได้รับการจับตามองจากหลายฝ่าย ทั้งในแง่ของผลกระทบต่อข้าราชการและการให้บริการภาครัฐ รวมถึงการทบทวนว่ามาตรการนี้จะมีผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและสังคมอังกฤษในอนาคตอย่างไร

ผู้แทนทรัมป์เผยเคียฟตกลงเลือกตั้งใหม่ พร้อมอ้างว่าผู้นำยูเครนยอมรับ ไม่เป็นสมาชิกนาโต

(24 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ผู้พัฒนาและนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก ที่ดำรงตำแหน่งผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ ทัคเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวสหรัฐฯ 

โดยเปิดเผยว่า เคียฟตกลงที่จะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในยูเครน และเสริมว่าผู้นำของประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงครามแห่งนี้ (ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี) ก็ตกลงกับเรื่องนี้แล้ว เนื่องจากกำลังตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบากมาก เพราะรัสเซียมีประชากรและมีอาวุธนิวเคลียร์ที่มากกว่า

วิตคอฟฟ์เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี และอันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดียูเครน ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดแล้วว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของ นาโต (NATO) ในอนาคตอันใกล้

การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงจากผู้นำยูเครน ซึ่งในอดีตเคยหวังที่จะเข้าร่วมกลุ่มนาโตอย่างเต็มที่ เพื่อต่อสู้กับความท้าทายด้านความมั่นคงจากรัสเซียที่ขยายอิทธิพลในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีและเยอร์มักได้ยืนยันว่า ยูเครนจะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของนาโตได้ตามที่เคยตั้งใจไว้

“พวกเขา (เซเลนสกีและเยอร์มัก) ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของนาโตในตอนนี้ และการเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์นี้เป็นการยอมรับสถานการณ์ปัจจุบัน” วิทคอฟฟ์กล่าวในระหว่างการสัมภาษณ์กับคาร์ลสัน

การยอมรับนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยูเครนต้องเผชิญกับความท้าทายจากการรุกรานของรัสเซีย และการทำงานร่วมกับนาโตในหลายๆ ด้าน เช่น การสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจ ถึงแม้ยูเครนจะยังคงคาดหวังการสนับสนุนจากนาโตในด้านอื่นๆ แต่การเข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มตัวอาจเป็นเรื่องที่ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน

สถานการณ์ในยูเครนยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงท่าทีนี้อาจมีผลต่อการเจรจาทางการเมืองในอนาคตระหว่างยูเครนและนาโต รวมถึงความสัมพันธ์กับรัสเซียและประเทศพันธมิตรต่าง ๆ

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเซี่ยงไฮ้เติบโตไม่หยุด กวาดรายได้ปี 2567 แตะ 576,000 ล้านหยวน

(24 มี.ค. 68) สำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้เปิดเผยว่า เซี่ยงไฮ้สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 สูงเป็นประวัติการณ์ โดยแตะระดับ 576,000 ล้านหยวน (ราว 2.67 ล้านล้านบาท) สะท้อนถึงการฟื้นตัวและเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างแข็งแกร่ง

รายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้เดินทางมาเยือนเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของจีน ซึ่งขึ้นชื่อด้านสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น หอไข่มุกตะวันออก (Oriental Pearl Tower), ถนนนานจิง (Nanjing Road), ย่านเดอะบันด์ (The Bund), และสวนสนุกเซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์

นอกจากนี้ นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของทางการจีน รวมถึงมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับบางประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ยังช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก 

ข้อมูลระบุว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่เซี่ยงไฮ้มากกว่า 300 ล้านคน ทั้งจากภายในประเทศและจากนานาชาติ 

โดยรายงานจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระบุว่า การเติบโตของการท่องเที่ยวเรือสำราญในจีนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ผ่านมา การขยายตัวของการท่องเที่ยวทางเรือสำราญได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

ส่งผลให้เซี่ยงไฮ้และฮ่องกงยังคงเป็นเมืองที่มีความสำคัญในวงการการท่องเที่ยวทางเรือ และคาดว่าในอนาคตท่าเรือสำราญในจีนจะได้รับการพัฒนาและขยายเพิ่มขึ้น เพื่อตอบรับกับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของการท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้จะดำเนินต่อไปในปี 2568 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการพัฒนาโครงการท่องเที่ยวใหม่ๆ และการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองหลักๆ ของประเทศ โดยเซี่ยงไฮ้ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก ด้วยความลงตัวของวัฒนธรรมดั้งเดิมและความทันสมัยที่โดดเด่น

ร้านอาหารชื่อดังญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ขอโทษ หลังลูกค้าพบ ‘หนู’ ลอยอยู่ในถ้วยน้ำซุปมิโซะ

(24 มี.ค. 68) ร้าน ซูกิยะ (Sukiya) ร้านข้าวหน้าเนื้อชื่อดัง  ที่มีสาขามากกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น และหลายสาขาในเอเชีย 

ร้านซูกิยะ แถลงของโทษ และ ยอมรับ ว่าพบหนูลอยอยู่ในชามซุปมิโซะที่ร้านแห่งหนึ่งในเมืองทตโตริ ประเทศญี่ปุ่น

กระแสไวรัล และ ถกเถียงในสื่อออนไลน์  หลังจาก ลูกค้ารายหนึ่งโพสต์รูปถ่ายถ้วยซุปมีหนู บน Google Reviews โดยอ้างว่าพบหนูตัวดังกล่าวขณะรับประทานอาหารเมื่อ  21 มกราคม  ที่ผ่านมา 

หลายคนแสดงความเห็นว่าเป็น ภาพตัดต่อ  หรือทำขึ้นจากเอไอ โพสต์ถ้วยซุปถูกแชร์ไปอย่างกว้างขวาง ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และผู้โพสต์ยังใช้วันที่  21/1/2028 ซึ่งเป็นปีอนาคต  ผู้คนจึงตั้งคำถาม จริง หรือ เท็จ 

วันที่ 22 มีนาคม ร้านซูกิยะ ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อสาธารณชนเพื่อยืนยัน เหตุการณ์ดังกล่าว โดยบริษัทแจ้งว่าลูกค้ารายหนึ่งได้แจ้งว่าพบสิ่งแปลกปลอมในถ้วยซุปมิโซะเมื่อวันที่ 21 มกราคม หลังจากการตรวจสอบภายใน พบว่าอาจมีหนูเข้าไปอยู่ในซุปโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากพนักงานไม่ได้ตรวจสอบด้วยสายตาระหว่างการเตรียมอาหาร   

ร้านซูกิยะ ยืนยันว่าว่าไม่มีการเสิร์ฟอาหารปนเปื้อนในลักษณะเดียวกันให้กับลูกค้าท่านอื่น  และได้ปิดร้านที่เกิดเหตุเป็นเวลา 2  วัน เพื่อทำความสะอาด ทบทวนมาตรการ ฝึกอบรมพนักงาน 

ร้านซูกิยะ  ยังแจ้งทุกสาขาต้องตรวจสอบอาหารอย่างละเอียดก่อนเสิร์ฟให้ลูกค้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top