Saturday, 15 March 2025
ECONBIZ

Finno Efra Accelerator Demo Day Batch 1 เตรียมบินลัดฟ้า ร่วมงานเทคใหญ่ 3 ประเทศ

(15 มี.ค. 68) ‘Krungsri Finnovate’ จับมือ "คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ" ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อีฟราสทรัคเจอร์ จำกัด จัดงาน "Finno Efra Accelerator Demo Day Batch 1" เพื่อเป็นสะพานพาสตาร์ทอัพไทยให้เติบโต ปั้นระบบนิเวศของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน ณ Grand Hall ชั้น 3, WEST Building True Digital Park พร้อมเหล่า Startup, Investor, Regulator และ Corporate มาร่วมงาน

สำหรับโปรแกรม "Finno Efra Accelerator Batch 1" เป็นโรงเรียนสอน Startup ส่งเสริมความเป็นผู้นำ ช่วยติดสปีดให้ธุรกิจโตเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี Startup เข้าร่วมสมัครจำนวนมากถึง 200 ทีม หลังจากผ่านการคัดเลือก ได้เหลือเพียง 12 ทีม เพื่อเข้า Bootcamp อย่างเข้มข้นกับเมนเทอร์แถวหน้าของไทยและต่างประเทศ จนก้าวสู่เวที Pitching ใหญ่อย่างงาน "Demo Day" ในวันนี้ และได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ของ Finno Efra Accelerator Demo Day Batch 1 มาตัดสิน คือ 

1.คุณรถพร เอกบุตร, Head of Digital and Innovation Group at Bank of Ayudhya PCL.
2.Mr. Arun Pai, Principal at Monk’s Hill Ventures
3.Mr. Ali Fancy, Partner at Cento Ventures
4.Mr. Koichi Saito, Founder and General Partner at KK Fund
5.Ms. Carmen Yuen, Advisor at Vertex Ventures SE Asia and India

สำหรับ 12 ทีม Startup ที่ผ่านการคัดเลือกประกอบไปด้วย
1.Wang: Data Market - แพลตฟอร์มที่เปลี่ยนเวลาว่างของทุกคนให้มีคุณค่า ด้วยการเปิดโอกาสให้คนที่มีเวลาว่างเข้ามาให้ข้อมูลเพื่อสร้างรายได้ และนักวิจัยที่ต้องการเก็บข้อมูลสำหรับนำไปพัฒนา AI โดยเป็นตลาดออนไลน์ระหว่างบุคคล 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ที่ต้องการข้อมูล และผู้ที่มีเวลาว่างทุก ๆ คน
2.PAM Real CDP - แพลตฟอร์มที่ช่วยนักการตลาดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า เพื่อใช้ในการทำแคมเปญการตลาดที่สร้างประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลให้กับลูกค้าอย่างอัตโนมัติ
3.Spacely AI - แพลตฟอร์มการออกแบบสถาปัตยกรรมด้วย AI และ Algorithm สำหรับสถาปนิกทั่วโลก
4.Graffity - พัฒนาแผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งด้วย AI ซึ่งมีความแม่นยำสูงกว่า GPS ถึง 5 เท่า
5.GOWAJEE - เป็นบริษัททำ speech recognition ภาษาไทย และมี product อีกตัวชื่อ GCI (Gowajee Call Intelligence) ที่เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยทีม contact center ด้วยการวิเคราะห์การสนทนาทางโทรศัพท์ทั้งแบบ real-time และ post-call.
6.ThaiHand Massage - แพลตฟอร์มยกระดับวงการนวดสปาไทย ทั้งในฝั่งของลูกค้าที่จะจองร้านนวดง่ายขึ้น ฝั่งของร้านค้าที่จะบริหารร้านได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และหมอนวดที่สามารถติดตามประวัติการทำงานของตัวเองได้ผ่านระบบออนไลน์
7.AIYA - แพลตฟอร์มสื่อที่ขับเคลื่อนด้วยตำแหน่งที่ตั้ง ปฏิวัติการโฆษณา OOH แบบเจาะจงเป้าหมาย ยกระดับการมีส่วนร่วมของลูกค้าผ่านโซลูชันการตลาด O2O ที่ล้ำสมัย ซึ่งรู้ตำแหน่งที่ตั้ง สร้างผลลัพธ์แคมเปญที่ดียิ่งขึ้นสำหรับแบรนด์ และ AI มอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลสำหรับผู้บริโภค
8.MUI-Robotics - แพลตฟอร์มประสาทประดิษฐ์ (Artificial Senses Platform) ที่ทำให้ AI และหุ่นยนต์มีประสาทสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง เช่นเดียวกับมนุษย์
9.Vansales - แพลตฟอร์มที่ช่วยให้การขายและการกระจายสินค้าเป็นเรื่องง่าย ครอบคลุมการจัดการสต็อกสินค้า, การเยี่ยมลูกค้า และการสั่งซื้อแบบเรียลไทม์ ทำให้ธุรกิจของคุณทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
10.Osseolabs - พัฒนาระบบวางแผนการผ่าตัดแบบดิจิทัลและกระดูกเทียมเฉพาะบุคคล สำหรับศัลยกรรมกระดูกและใบหน้า ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติและ AI
11.Daywork - แพลตฟอร์มจัดหาพนักงานชั่วคราวตามความต้องการภายใน 24 ชั่วโมง สรรหาคนได้แม่นยำและรวดเร็วด้วย AI
12.JobsLab - ขับเคลื่อนการจ้างงานชั่วคราวสำหรับพนักงานระดับเริ่มต้น และนายจ้างคุณภาพสูงในประเทศไทย

และหลังจาก Startup ทั้ง 12 ทีม Pitching อย่างเข้มข้น นำเสนอธุรกิจของตนเองให้เข้าตานักลงทุนที่มาร่วมงาน พร้อมชิงรางวัลไป Innovation Trip ที่ต่างประเทศ ก็ได้ผู้ชนะที่คว้ารางวัลของ Finno Efra Acccelerator Batch 1 ดังนี้
•รางวัลชนะเลิศ ที่ได้รับโอกาสในเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเข้าร่วมงาน "VivaTech" ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้แก่ทีม Spacely AI แพลตฟอร์มการออกแบบสถาปัตยกรรมด้วย AI และ Algorithm สำหรับสถาปนิกทั่วโลก
•รางวัลพิเศษ เข้าร่วมงาน "NextRise" ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ได้แก่ทีม Osseolabs ที่พัฒนาระบบวางแผนการผ่าตัดแบบดิจิทัลและกระดูกเทียมเฉพาะบุคคล สำหรับศัลยกรรมกระดูกและใบหน้า ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติและ AI
•รางวัลพิเศษ เข้าร่วมงาน  "InnoVex" ณ ไทเป ไต้หวัน ได้แก่ทีม MUI-Robotics แพลตฟอร์มประสาทประดิษฐ์ (Artificial Senses Platform) ที่ทำให้ AI และหุ่นยนต์มีประสาทสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง เช่นเดียวกับมนุษย์

"คุณปาลิดา อธิศพงศ์" ACTING MANAGING DIRECTOR AND HEAD OF PORTFOLIO GROWTH เผยว่า "ขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตมีคุณภาพ ช่วยติดสปีดให้ธุรกิจช่วง Seed ถึง Pre-series A ผ่านเครื่องมือและการถ่ายทอดประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้แก่สตาร์ทอัพ เพื่อเอาชนะอุปสรรคที่ท้าทาย เพิ่มโอกาสผลักดันสู่การเป็นยูนิคอร์น ซึ่งเชื่อมั่นว่าครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แม้ครั้งนี้จะเป็น Batch 1 แต่ก็ได้รับผลตอบรับที่ดี เชื่อว่า Batch หน้าจะเข้มข้นกว่า ใครที่พลาดไปไม่ต้องเสียใจ เจอกันใหม่ใน Batch หน้านะคะ"

กรุงเทพมหานคร ยึดเบอร์ 2 ของโลก เมืองแห่งอาหารที่ดีที่สุด ประจำปี 2568

แบงค์คอก สตรีทฟู้ด กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก จาก Time Out ชี้จุดแข็งความอร่อยสุดฮิต ดันเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยว

(14 มี.ค. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองอาหารที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลกประจำปี 2568 จากนิตยสารระดับโลก Time Out ขยับขึ้นจากอันดับ 6 เมื่อปีที่แล้ว เป็นรองเพียง นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เท่านั้น โดยการสำรวจพบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรุงเทพฯ ติดอันดับสูงขึ้นคือ 'รสชาติที่อร่อย' ตามมาด้วย 'ความสะดวกและรวดเร็ว' ที่ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงอาหารคุณภาพได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นร้านสตรีทฟู้ดริมทางที่พร้อมเสิร์ฟในเวลาไม่กี่นาที หรือบริการเดลิเวอรี่ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถเพลิดเพลินกับอาหารจานโปรดได้ทุกที่

กรุงเทพฯ เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งสตรีทฟู้ดระดับโลก มากกว่าการเป็นศูนย์รวมร้านอาหารหรู โดย ‘ย่านเยาวราช’ ยังคงเป็นย่านอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยเมนูชื่อดังอย่าง ก๋วยจั๊บ ข้าวต้มโต้รุ่ง และเกาลัด รวมถึงบาร์ค็อกเทลที่เปิดให้บริการตลอดคืน ขณะที่ ‘ย่านบรรทัดทอง’ ซึ่งเคยเงียบเหงา ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งรวมสตรีทฟู้ดที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ถนนที่ดีที่สุดอันดับ 14 ของโลก จาก Time Out ด้วยเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยสีสัน

อย่างไรก็ตาม แม้กรุงเทพฯ จะขึ้นแท่นเป็นเมืองอาหารระดับโลก แต่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า วงการอาหารไทยยังสามารถเติบโตได้อีก หากร้านอาหารมีการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ ในราคาที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ร้านอาหารที่มีนวัตกรรมและนำเสนอเมนูสร้างสรรค์ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มร้านพรีเมียมที่มีราคาสูง ขณะที่ร้านระดับกลางที่พัฒนาเมนูใหม่ ๆ ในราคาที่เข้าถึงได้ยังมีไม่มากนัก หากมีการเพิ่มทางเลือกที่สร้างสรรค์และราคาเป็นมิตร จะช่วยให้กรุงเทพฯ ก้าวขึ้นไปอีกระดับในฐานะศูนย์กลางแห่งรสชาติที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักชิมจากทั่วโลกได้มากยิ่งขึ้น

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารของไทย โดยสนับสนุนการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีในประเทศ และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหาร (Food Hub) ของภูมิภาค อาหารไทยถือเป็น ซอฟต์พาวเวอร์สำคัญ ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก การที่กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของไทยที่มีแนวโน้มเติบโตในหลายมิติ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การส่งออกอาหาร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรกรรม โรงแรม และโลจิสติกส์ ซึ่งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

ถนนสาย R11 เชื่อมมิตรภาพ 75 ปี ไทย-ลาว หนุนการค้าการลงทุน - ท่องเที่ยวระหว่าง 2 -ประเทศ

นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) หรือ NEDA เปิดเผยว่า การพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงครกข้าวดอ - บ้านโนนสะหวัน -สานะคาม - บ้านวัง - บ้านน้ำสัง ได้ถูกออกแบบให้เป็นถนน 2 ช่องจราจรตามมาตรฐานทางหลวงอาเซียน โดยเป็นส่วนสำคัญของระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ (CVEC) ซึ่งมุ่งเสริมสร้างการเชื่อมโยงและการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว เริ่มต้นเชียงใหม่ - ลำพูน - ลำปาง - แพร่ - อุตรดิตถ์ - ด่านภูดู่ - เมืองสังข์ทอง - เวียงจันทน์ รวมระยะทางในประเทศไทยประมาณ 391 กม. ผ่านเข้าสู่ สปป.ลาว ประมาณ 238 กม. รวมระยะทางตามแนวการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ ประมาณ 629 กิโลเมตรเพื่อให้เห็นภาพรวมของแนวการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ที่ สพพ. ได้ให้ความช่วยเหลือทำงการเงินสำหรับโครงการแรก คือ 

(1) โครงการก่อสร้างถนนภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) ถึง เมืองปากลาย แขวงไชยะบุรี สปป.ลาว ระยะทางรวม 32 กม. ในวงเงิน 718 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเดือนธันวาคม 2555 แล้วเสร็จเดือนมิถุนายน 2557 (2) โครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 ช่วงบ้านตาดทอง-น้ำสัง และเมืองสังข์ทอง ระยะทางรวม 82 กม. ในวงเงิน 1,392 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง เดือนพฤษภาคม 2554 แล้วเสร็จเดือนกรกฎาคม 2557 และ (3) โครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงครกข้าวดอ - บ้านโนนสะหวัน - สานะคาม - บ้านวัง -บ้านน้ำสัง ระยะทางรวม 124 กม. ในวงเงิน 1,826.50 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง เดือนตุลาคม 2562 แล้วเสร็จเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งทั้ง 3 โครงการมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเมืองหลักทรงเศรษฐกิจของไทยและสปป.ลาว รวมถึง เชียงใหม่และเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือของไทยและสปป.ลาว ตำมลำดับถนนสายนี้ เชื่อมจาก ด่านภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นด่านถาวร เพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศ ไปยัง แขวงไชยะบุรี เมืองปากลาย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวในลุ่มแม่น้ำโขง ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-เมืองปากลาย โดยเชื่อมต่อจากด่านภูดู่ถึงเมืองปากลายระยะทาง 32 กม. และต่อไปยังเมืองสังข์ทอง แขวงนครหลวงเวียงจันทน์ ผ่านโครงการถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงบ้านตาดทอง -น้ำสัง และเมืองสังข์ทอง รวมระยะทาง 82 กม.เส้นทางนี้ เป็น Missing Link สุดท้ายที่เติมเต็มโครงข่ายคมนาคมของระเบียงเศรษฐกิจ CVEC โดยช่วยลดระยะทางกว่า 234 กิโลเมตร จากเส้นทางเดิม (เชียงใหม่-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก-ขอนแก่น-หนองคาย-นครหลวงเวียงจันทน์) ที่มีระยะทางประมาณ 863 กิโลเมตร ทำให้ประหยัดเวลาเดินทางได้มากกว่า 3 ชั่วโมง และมีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เส้นทางนี้ ลัดเลาะไปตามแม่น้ำโขง มีทัศนียภาพงดงาม และช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ชุมชนท้องถิ่นในเมืองสานะคาม บ้านวัง และบ้านน้ำสัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของพื้นที่ 1 โดยรวมแล้วการเดินทางจากเชียงใหม่สู่ด่านภูดู่ และเข้าสู่เส้นทาง R11 ผ่านเมืองสังข์ทองไปจนถึงครกข้าวดอ ใช้เวลารวมประมาณ 10 - 11 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพถนนและสภาพอากาศ เส้นทางนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางระหว่างภาคเหนือของไทยกับนครหลวงเวียงจันทน์ แต่ยังเป็นเส้นทางที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่ และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและ สปป.ลาว ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของโครงการ R11. สร้างความเชื่อมโยงเชิงกายภาพระหว่างสองประเทศและอนุภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การเดินทางของประชาชนและการขนส่งตามแนว CVEC มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้นทำให้ต้นทุนการเดินทางและขนส่งระหว่างกันลดต่ำลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศให้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการค้าชายแดน ณ ด่านภูดู่ 2. ส่งเสริมการใช้สินค้า วัสดุ และอุปกรณ์ก่อสร้างของไทย และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทย เข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว มากขึ้น 3. ส่งเสริมการเชื่อมโยงเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยและลาว โดยเฉพาะในแขวงไชยะบุรี เมืองปากลาย และแขวงนครหลวงเวียงจันทน์ และเพิ่มโอกาสทางการค้าชายแดนผ่านด่านภูดู่ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นด่านถาวร 4. สนับสนุนการท่องเที่ยวและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน 5. ลดระยะทางและระยะเวลาการเดินทาง และเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในเส้นทางอาเซียน-จีน และสอดคล้องกับแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ GMS (Greater Mekong Subregion)

‘เสธ.หิ’ ออกโรงแจง 3 ประเด็น ปมตรวจสอบจ้างขุด-ขนถ่านหินแม่เมาะ ชี้ เป็นสิ่งควรทำเพื่อให้การประมูลโปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อ กฟผ.

(13 มี.ค. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...การตรวจสอบอย่างยุติธรรม เป็นสิ่งที่ควรกระทำ

วันนี้ผมได้ฟังสื่อใหญ่พร้อมพิธีกรผู้มีชื่อเสียงในวงการสื่อมวลชน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผลการตรวจสอบ การจ้างขุดถ่านหินเมืองแม่เมาะ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งผลการออกตรวจสอบ ก็ออกมาทันเวลา ไม่ได้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแต่อย่างใด ปฐมบทในเรื่องนี้ เกิดจากการร้องเรียนของผู้เข้าร่วมประมูลถึงความโปร่งใสของขั้นตอนต่างๆ ดังนั้นการที่ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สั่งตรวจสอบความถูกต้อง จึงเป็นเรื่องที่พึงควรจะทำ หลังจากการตรวจสอบแล้ว เมื่อไม่พบการกระทำที่ผิดระเบียบและกฎหมาย ก็แจ้งให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งสามารถตอบคำถามให้ผู้ร้องเรียนเข้าใจในข้อสงสัยต่าง ๆ ได้

การตรวจสอบดังกล่าวจึงเป็นไปอย่างบริสุทธิ์และยุติธรรม ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ผู้ใดหรือผลประโยชน์ของส่วนรวมต้องเสียหาย ทั้ง 3 ข้อสังเกต ที่ส่งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตไปพิจารณานั้น ก็เป็นหน้าที่ของกรรมการผู้บริหารของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จะเป็นผู้พิจารณาปรับปรุงแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยต่อการประมูลครั้งต่อไป ว่าได้คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของรัฐและส่วนรวมแล้วหรือยัง

ผมขออาศัยพื้นที่ตรงนี้ ชี้แจงข้อสังเกต 3 ข้อ ที่ได้ส่งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ได้พิจารณาเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติได้

1.การขุด-ขนถ่านหิน ไม่จำเป็นต้องเร่งด่วน เรื่องนี้มีการกล่าวหาว่าท่านพีระพันธุ์ฯ จะเป็นต้นเหตุของค่าไฟแพง เนื่องจากหากไม่รีบดำเนินการจะต้องไปใช้ก๊าซ ซึ่งมีราคาแพงกว่าถ่านหินมาก 
มุมมองที่ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนนั้น ผมคงไม่ต้องชี้แจงมาก เพราะทาง กฟผ.ได้โหมสื่อประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้ไปอย่างมากแล้ว แต่มาดูมุมมองที่ว่าไม่เร่งด่วนนั้น เป็นเพราะวิกฤตการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ไม่ได้ขยายตัวและส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างที่วิตกกังวลในตอนแรกแต่อย่างใด รวมทั้งการขุด-ขน ตามสัญญาที่ผ่านมาก็สามารถทำได้เกินเป้า ทำให้มีปริมาณถ่านหินสำรองไว้ใช้สำหรับการผลิตได้ถึงประมาณ 3-4 เดือน 

ข้อสังเกตที่ 2.ควรเปิดประมูลตามปกติ และ 

3.ไม่จำเป็นต้องจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ อันนี้เป็นเหตุผลต่อเนื่องมาจากข้อสังเกตที่ 1 ซึ่งตรงไปตรงมาอยู่แล้ว แต่ผมอยากชี้แจงมุมความคิดอีกด้านซึ่งอาจตรงกันข้ามกับท่านพิธีกรดังนี้นะครับ 

ปัจจุบันเหมืองแม่เมาะมีผู้รับเหมาที่รับจ้าง ขุด-ขนดินและถ่าน อยู่จำนวน 2 รายใหญ่ 2 สัญญา คือ 

1.สัญญา 8 ผู้ได้สัญญาคือ บ.สหกล อิควิปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) SQ เริ่มสัญญา 1 ม.ค. 2559 ครบ สัญญา เม.ย.2569

2.สัญญา 9 ผู้ได้รับสัญญา บ.อิตาเลียนไทย ดีเวลเมนท์ จำกัด (มหาชน) ITD เริ่ม สัญญา 1 ม.ค.2562 ครบ สัญญา 31 ธ.ค.2571

ผมอยากให้ท่านดูเวลาที่ประมูลนะครับ สัญญาที่ 8 เริ่มสัญญา 1 ม.ค.2559 แสดงว่าขั้นตอนการประมูลอยู่ในปี 2558 ปีนี้ 2568 ก็คือ 10 ปี มาแล้วนะครับ สัญญาที่ 9 เริ่มสัญญา 1 ม.ค.2562 แสดงว่าขั้นตอนการประมูลอยู่ในปี 2561 ปีนี้ 2568 ก็คือ 7 ปี มาแล้วครับ ผมคิดแบบโง่ๆนะครับ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าเร็วมาก ในปี 2558 กับปี 2561 อาจจะมีบริษัทที่มีเทคโนโลยี สามารถรับงานนี้ได้อยู่จำนวนหนึ่ง หากเราเปิดกว้างให้ประมูลตามปกติไม่เฉพาะเจาะจง ผมเชื่อว่าจะมีบริษัทที่มีเทคโนโลยีสามารถรับงานนี้ได้มากกว่าปี 2558 กับปี 2561 อย่างแน่นอน อีกข้อหนึ่งในเรื่องของเงินทุน เวลาที่ต่างกันมาถึง 10 ปี เนื่องจากความก้าวหน้าทางการเคลื่อนย้ายทุนของโลก ผมเชื่อว่าบริษัทที่มีเงินทุนที่สามารถจะทำงานนี้ได้ก็มีจำนวนมากกว่าในปี 2558 กับปี 2561 เช่นกัน

เนื่องจากระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นระเบียบของตัวเอง ไม่ได้ใช้ระเบียบของทางราชการซึ่งมีความรัดกุมและโปร่งใส จากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ถึงเวลาแล้วหรือยังครับ ที่คณะผู้บริหารของ กฟผ. จะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น อาจจะใช้ระเบียบของทางราชการมาใช้เลยก็ได้ เพื่อลดดุลย์พินิจของเจ้าหน้าที่และมีมาตรฐานมากขึ้น เช่นในการประมูลลักษณะนี้ ควรแยกซองเทคนิคกับซองราคา ออกจากกันหรือไม่ ควรประกาศผลซองเทคนิคก่อนหรือไม่ เพื่อให้ผู้ร่วมประมูลสามารถอุทธรณ์ โต้แย้ง และชี้แจงกับคณะกรรมการได้ เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ว่าบริษัทใดผ่านทางด้านเทคนิค และสามารถทำงานได้ จึงค่อยเปิดซองราคาต่อไป เหมือนที่หน่วยราชการทั่วไปเขาทำ ก็น่าจะลดข้อกังวลสงสัยของบริษัทผู้ร่วมประมูลได้

มุมมองของผมที่นำเสนอมานี้ อาจจะแตกต่างจากความคิดของท่านพิธีกรทั้ง 2 ท่าน ตามที่กล่าวมานะครับ ผมมีความเห็นว่า การตรวจสอบของท่านพีรพันธุ์สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการทรงพลังงาน ในกรณีนี้เป็นสิ่งที่พึงกระทำ และเมื่อไม่พบความผิดตามระเบียบและกฎหมายก็รีบแจ้งให้ทาง กฟผ.ทราบ เพื่อรีบดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งผมยังไม่เห็นว่าการตรวจสอบนี้จะทำให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม น่าจะเป็นประโยชน์ ต่อผู้บริหาร กฟผ. ได้ไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข ระเบียบปฏิบัติต่างๆให้ดียิ่งๆขึ้นไป เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

บีโอไอ อนุมัติ ‘ซันโวด้า’ ลงทุน 5 หมื่นล้าน ผุดโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นน้ำแห่งแรกในไทย

บีโอไอ ไปเขียว ‘ซันโวด้า’ ผู้ผลิตแบตเตอรี่ Top 10 ของโลก ตั้งโรงงานแบตเตอรี่ต้นน้ำแห่งแรกของไทย กว่า 5 หมื่นล้านบาท ผุดโรงงาน 2 แห่งที่ชลบุรี เติมซัพพลายเชน EV - พลังงานสะอาดไทย

(13 มี.ค.68) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ได้อนุมัติให้การส่งเสริมลงทุนแก่บริษัท ซันโวด้า ออโตโมทีฟ เอนเนอร์จี เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตแบตเตอรี่ ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน Top 10 ของโลกจากประเทศจีน

ซึ่งจะเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่เซลล์นอกประเทศจีนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของกลุ่ม Sunwoda ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท โดยจะตั้งโรงงาน 2 แห่ง ที่จังหวัดชลบุรี และจะจ้างงานบุคลากรไทยรวมกว่า 4,000 คน ในจำนวนนี้เป็นวิศวกร และนักวิจัยไทยกว่า 900 คน

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดสายการผลิตได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่ในประเทศไทย เพื่อเติมเต็มห่วงโซ่อุปทานของการใช้รถยนต์ EV และรองรับการจัดการแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพของผู้ใช้รถยนต์ EV ในอนาคตอีกด้วย

สำหรับบริษัท ซันโวด้า ออโตโมทีฟ เอนเนอร์จี เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จัดตั้งขึ้นในเดือนเมษายน 2567 โดยมีบริษัทแม่ คือ ซันโวด้า อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ดำเนินธุรกิจผลิตแบตเตอรี่หลากหลายประเภท เช่น แบตเตอรี่สำหรับคอมพิวเตอร์ เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า และระบบกักเก็บพลังงาน

ปัจจุบันซันโวด้าเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ป้อนให้กับรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลกหลายราย โดยบริษัท SEVB ซึ่งเป็นบริษัทลูกของซันโวด้า มียอดจำหน่ายแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) สูงเป็นอันดับ 1 และสำหรับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ เป็นอันดับ 3 ในประเทศจีน 

ซันโวด้า ตัดสินใจลงทุนโครงการผลิตแบตเตอรี่ในระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ในประเทศไทย ทั้งผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ และส่งออกไปตลาดในต่างประเทศ เพื่อรองรับความต้องการใช้แบตเตอรี่ของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งแบบ BEV, PHEV, HEV

รวมทั้งความต้องการของกลุ่มผู้ผลิตระบบกักเก็บพลังงานที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากเทรนด์การใช้พลังงานสะอาดที่เพิ่มสูงขึ้น โดยฐานการผลิตในประเทศไทย จะเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำที่มีเครื่องจักร และเทคโนโลยีทันสมัยที่สุด

เช่น การควบคุม และปรับปรุงสายการผลิตผ่านระบบ “โรงงานเสมือนจริง” (Virtual Factory) ที่จำลองโรงงานทั้งหมดมาควบคุม ประเมิน และปรับปรุงในระบบคอมพิวเตอร์ หรือระบบการผลิตอัตโนมัติ (Automation) เน้นการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิต ควบคู่กับการลงทุนด้านวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ซันโวด้า จะมีการฝึกอบรม และถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ให้กับบุคลากรไทยกว่า 4,000 คน และจะมีโปรแกรมคัดเลือกนักศึกษาระดับเทคนิค และอาชีวะกว่า 600 คน เข้ารับการฝึกอบรมและมีโอกาสทำงานกับบริษัท

รวมทั้งจะมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา และวิจัยในประเทศ เพื่อร่วมทำโครงการวิจัย และพัฒนากับบริษัทไม่น้อยกว่า 9 โครงการ อีกทั้งบริษัทยังมีแผนจะเชื่อมโยง และพัฒนาผู้ประกอบการไทย ให้สามารถเข้าไปอยู่ใน Supply Chain ระดับโลกของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ โดยตั้งเป้าจะจัดซื้อวัตถุดิบ และชิ้นส่วนในประเทศไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปีด้วย 

“แบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน ในการผลิตแบตเตอรี่ ขั้นตอนการผลิตเซลล์ ถือเป็นต้นน้ำที่สำคัญที่สุด ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และมีการลงทุนสูง การตัดสินใจลงทุนของบริษัท ซันโวด้า นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวของประเทศไทยที่สามารถดึงดูดโครงการผลิตแบตเตอรี่ต้นน้ำระดับเซลล์จากบริษัทระดับโลกให้เข้ามาตั้งฐานในไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยเติมเต็มซัพพลายเชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ให้มั่นคง และพร้อมก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตชั้นนำของโลก อีกทั้งจะช่วยสนับสนุนการผลิตระบบกักเก็บพลังงาน และการใช้พลังงานสะอาดให้ขยายตัวมากขึ้นอีกด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บีโอไอได้ให้การส่งเสริมกิจการผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการผลิตในขั้นโมดูล และแพ็ก จำนวน 48 โครงการ จาก 41 บริษัท มูลค่าเงินลงทุนรวม 27,257 ล้านบาท โดยโครงการของบริษัท ซันโวด้า จะเป็นการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ครั้งแรกของประเทศไทย

‘เอกนัฏ’ ลั่นไม่ปล่อยผ่าน ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ ยึดเหล็กข้ออ้อยสเปกต่ำ จำนวน 230 ตัน มูลค่า 4.6 ล้าน เตือนหากยังนิ่งอาจโดนคดีเพิ่ม

(13 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังได้รับรายงานว่ามีการนำเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และเหล็กข้ออ้อยที่ไม่ได้มาตรฐานมาจำหน่ายในท้องตลาด จึงได้ส่งทีมตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม

นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม นายเตมีย์ พันธุวงค์ราช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นายสุนัย พิริยสกุลพัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าตรวจสอบบริษัท เอบี สตีล จำกัด ต.ศาลาลำดวน อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว พบว่ามีการผลิตเหล็กข้ออ้อยที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน จึงได้ดำเนินการยึดอายัดเหล็กดังกล่าว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

“เหล็กข้ออ้อยที่ตรวจพบ ตกเกณฑ์มาตรฐานในรายการความยาว แม้จะไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่ถือว่าไม่ควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ จึงได้สั่งการให้ทีมสุดซอยฯ เข้าตรวจยึดอายัดเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 230 ตัน มูลค่าราว 4.6 ล้านบาท และให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศที่ผลิตเหล็กได้มาตรฐาน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศ” นายเอกนัฏ ระบุ

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ดังกล่าวได้รับใบอนุญาตทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจาก สมอ. จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ เหล็กเส้นกลม มอก. 20-2559, เหล็กข้ออ้อย มอก. 24-2559 ชั้นคุณภาพ SD 40 ซึ่งจากการตรวจสอบในวันนี้ พบว่า มีเหล็กข้ออ้อย ขนาด DB 20 ชั้นคุณภาพ SD 40 ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ในรายการความยาว โดยมีขนาดสั้นกว่าที่มาตรฐานกำหนด ประมาณ 15-30 มิลลิเมตร

ซึ่งการกำหนดเกณฑ์ความยาวในมาตรฐาน เป็นการคุ้มครองให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ตรงตามการแสดงเครื่องหมายและฉลากของผู้ผลิต สมอ. จึงได้อายัดเหล็กข้ออ้อย ความยาว 10 เมตร จำนวน 9,320 เส้น น้ำหนักประมาณ 230 ตัน มูลค่าประมาณ 4.6 ล้านบาท รวมทั้งจะดำเนินคดีกับผู้ประกอบการรายนี้ให้ถึงที่สุด โทษฐานทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้งสั่งให้บริษัทเรียกคืนเหล็กที่จำหน่ายออกไปแล้วกลับคืนมา หากไม่ดำเนินการ สมอ. ก็จะตามยึดอายัดที่วางจำหน่ายในท้องตลาดและดำเนินคดีตามกฎหมายในส่วนนี้ด้วย

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวต่อว่า บริษัท เอบี สตีล จำกัด จะถูกดำเนินคดีความผิดฐานทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดฐานแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานจำหน่ายสินค้า ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ยังพบว่าโรงงานยังปฏิบัติในด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมไม่ครบถ้วน อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้วจึงมีคำสั่งให้บริษัท เอบี สตีล จำกัด ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ครบถ้วน โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2567 หากไม่ปฏิบัติให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดจะยกระดับคำสั่งที่เข้มข้นขึ้น

‘รถไฟฟ้าสายสีแดง’ สแกนจ่ายค่าตั๋วโดยสารได้แล้ว ผ่าน QR Code ทุกธนาคารและแอป e-Wallet

รถไฟฟ้าสายสีแดง เปิดบริการใหม่ ซื้อตั๋วโดยสาร เติมเงินบัตรโดยสาร สามารถสแกนจ่ายผ่าน QR Code ทุกธนาคารและแอป e-Wallet ได้แล้ววันนี้ ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ RED Line SRTET ระบุว่า ซื้อตั๋ว เติมเงิน รถไฟฟ้าสายสีแดง สามารถสแกนจ่ายผ่าน QR Code ได้แล้ว และสามารถใช้งานได้ทุกธนาคาร รวมถึงแอปพลิเคชัน e-Wallet เช่น TrueMoney Wallet

โดยสามารถชำระเงินด้วย QR Code ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารเท่านั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 06.00 น. - 24.00 น. และต้องเป็นชื่อบัญชี "การรถไฟแห่งประเทศไทย รายได้รถไฟฟ้าสายสีแดง"

ก่อนหน้านี้ รถไฟฟ้าสายสีแดง เปิดให้บริการ รับบัตรเครดิต เดบิต และสแกน QR Code ผ่านเครื่อง EDC ทุกสถานี มาตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2565 โดยมีเงื่อนไข คือ รับชำระบัตร เครดิต เดบิต และสแกน QR Code ทุกธนาคาร สำหรับรายการที่เกี่ยวกับบัตรโดยสารทุกประเภทขั้นต่ำ 300 บาท และสามารถจ่ายผ่านช่องทางดังกล่าวได้ตั้งแต่เวลา 06:00 น. ถึง 20:30 น.

‘พีระพันธุ์’ ยันทำตามหน้าที่ ปมเบรกประมูลขุด-ขนถ่านหินแม่เมาะ ชี้ชัด เพิกเฉยไม่ได้หลังมีผู้ร้องให้ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างที่หละหลวม

‘พีระพันธุ์’ สั่ง กฟผ.เคลียร์ประมูลขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะให้ถูกต้อง ชี้จัดซื้อจัดจ้างหละหลวม ไม่มีความจำเป็นต้องประมูลด้วยวิธีการพิเศษ 

(13 มี.ค. 68) นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทำหนังสือถึงผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ้ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงวันที่ 7 มี.ค.2568 เรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ.พร้อมกับส่งสรุปรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ ของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ.เพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามความถูกต้องเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ต่อไป 

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะกำกับดูแลการไฟฟ้าฝ้ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ.เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2567 นั้น บัดนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว 

รวมทั้งในหนังสือดังกล่าวได้ขอให้ผู้ว่า กฟผ.พิจารณาดำเนินการตามความถูกต้องเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ตรวจสอบรายงานของคณะกรรมการฯ ประกอบข้อเท็จจริงต่างๆ แล้ว เห็นว่ามีประเด็นที่เป็นข้อสังเกตโดยสรุป ดังนี้

1.กรณีความจำเป็นเร่งด่วนของการจัดจ้าง ปรากฏสาเหตุที่ กฟผ.อ้างว่าต้องดำเนินการจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะตามสัญญาโดยเร่งด่วน เพราะมติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2567 ซึ่งเมื่อตรวจสอบมติ กพช.ดังกล่าว พบว่ามีสาเหตุมาจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2565 พิจารณาการเลื่อนแผนการปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 8-11 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2568 เนื่องจากคาดการณ์ราคาก๊าชธรรมชาติเหลว (LNG) มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงจนถึงปี 2568 หรือปี 2569 เพราะเหตุสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่ข้อยุติ รวมทั้งหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย โดยอุปทานเพิ่มเติมจากโครงการผลิต LNG ยังคงจำกัด เพราะการลงทุนก่อสร้างโครงการผลิตใหม่ลดลง 

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามมติ กพช.ดังกล่าวจะส่งผลให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 2 ล้านตัน ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 จากเหตุดังกล่าวเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของ กฟผ.จึงเสนอให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะโดยวิธีพิเศษ เป็นสัญญาที่ 8/1 แต่มีข้อขัดข้องหลายประการจึงทำให้ล่าช้า

โดยเฉพาะประเด็นใช้วิธีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาเดิม (สัญญาที่ 4 และสัญญาที่ 9) หรือต้องดำเนินการจัดจ้างใหม่ รวมทั้งหากต้องจัดจ้างใหม่จะดำเนินการโดยวิธีใด และเป็นกรณีเช่นใด 

อย่างไรก็ตามจากความล่าช้าในการดำเนินการดังกล่าวทำให้ปรากฎข้อเท็จจริงว่าสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับราคาและการขาดแคลนก๊าซที่จะนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าตามการคาดการณ์ของ กบง.ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ มิ.ย.2565 ที่ให้เสนอต่อ กพช.เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2565 นั้น ไม่เกิดขึ้นจริง

ดังนั้น เหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนตามข้อเสนอของ กบง.จึงผ่านพ้นไปแล้ว เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะโดยวิธีพิเศษจึงหมดสิ้นไปแล้ว ซึ่งควรเสนอ กพช.ให้ทราบสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อที่ กพช.จะพิจารณามีมตีในเรื่องนี้ใหม่ แต่กลับไม่มีการดำเนินการเช่นนั้น

อีกทั้งมีข้อมูลน่าเชื่อได้ว่า กฟผ.ยังคงมีสต๊อกสำรองถ่านหินปริมาณมากพอสมควร

นอกจากกรณีข้างต้นแล้วปรากฏว่า ในการประชุม กพช.เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2565 มีมติเห็นชอบให้ กฟผ.นำโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 4 กลับมาผลิตไฟฟ้าในช่วงปี 2565-2568 ซึ่งหากนับระยะเวลาที่คณะกรรมการ กฟผ.จะอนุมัติให้ว่าจ้างชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะเมื่อปลายปี 2567 แล้ว ก็เหลือเวลาเพียง 1 ปี ต้องยกเลิกการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าถ่านหินดังกล่าว

รวมทั้งหากพิจารณาตาม PDP 2018 Revision 1 กำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญามีอัตราสูงกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของระบบอยู่แล้ว ดังนั้น ปริมาณงานที่จะว่าจ้างให้ชุด-ขนถ่านหินตามสัญญาที่ 8/1 ดังกล่าว ย่อมมีปริมาณที่มากเกินความจำเป็นอีกด้วย ดังนั้น จึงไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการว่าจ้างโดยวิธีพิเศษอีกต่อไป

2.การว่าจ้างชุด-ขนถ่านหินแม่เมาะสามารถดำเนินการได้ โดยการเปิดประมูลตามปกติ กฟผ.มีสายงานที่รับผิดชอบในส่วนเหมืองแม่เมาะเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว จึงอยู่ในวิสัยที่ กฟผ.จะทราบความจำเป็นที่จะต้องว่าจ้างชุด-ขนถ่านหินได้ล่วงหน้า ซึ่งทำให้วางแผนและเตรียมการเปิดประมูลขุด-ขนถ่านหินแบบกรณีปกติได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ เพราะตามเงื่อนไขสัญญาที่ 4 จะสิ้นลงช่วงสิ้นปี  2568 

ทั้งนี้ หาก กฟผ.จำเป็นต้องใช้ถ่านหินเพิ่มเติม กฟผ.ก็เตรียมการล่วงหน้าที่จะเปิดประมูลขุด-ขนถ่านหินเพิ่มเติมได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ แต่กรณีที่ กฟผ.กล่าวอ้างมติ กพช.เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2565 ว่ามีกรณีจำเป็นเร่งด่วนจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน จึงเป็นเหตุที่นำมาใช้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ แต่เมื่อสถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้ไม่เกิดขึ้นก็อยู่ในวิสัยที่ กฟผ.จะปรับแก้การดำเนินการดังกล่าวให้เหมาะสมและถูกต้องตาม PDP 2018 Revision 1 ได้

3.การพิจารณาการดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ กรณีนี้แม้มีข้อโต้แย้งจากผู้เกี่ยวข้องก็ตาม แต่โดยรูปคณะกรรมการฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเห็นว่าเป็นข้อโต้แย้งในด้านการดำเนินการในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งอยู่ในถ้อยความรู้ของคู่กรณีที่ไม่อาจหาข้อยุติได้สืบเนื่องจากกฎระเบียบของ กฟผ.ในกรณีการจัดซื้อจัดจ้างมีความหละหลวมหลายประการ จึงเป็นเรื่องที่คู่กรณีพึงใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการต่อไปเอง

‘เอกนัฏ’ เผยจ่อเซ็น MOU ไทย-จีน หนุนอุตสาหกรรมแฝด ขยายความร่วมมือเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกับมณฑลอานฮุย

(12 มี.ค. 68) รัฐบาลไทยเดินหน้าผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกับจีนอย่างต่อเนื่อง โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าภายในปีนี้คาดว่าจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมของไทยและมณฑลอานฮุยของจีน ภายใต้โครงการ 'Two Countries, Twin Parks' ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมแฝดระหว่างสองประเทศ เพื่อขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน

นายเอกนัฏกล่าวว่า ระหว่างการเดินทางเยือนจีนเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือกับ นายลี จง รองผู้ว่าการมณฑลอานฮุย เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความร่วมมือจากเดิมที่มีเพียง กรมพาณิชย์มณฑลอานฮุย และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สู่ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันร่าง MOU ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงอุตสาหกรรม ก่อนส่งต่อให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบเนื้อหา และเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ โดยกำหนดกรอบดำเนินงานให้สามารถลงนามได้ภายในปีนี้

นายเอกนัฏระบุว่า โครงการ 'Two Countries, Twin Parks' จะมุ่งเน้นการพัฒนา อุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ พลังงานใหม่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอาหารปลอดภัย นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำความร่วมมือในการพัฒนา บุคลากรไทยและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทย

“โครงการนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะดึงดูดนักลงทุนจากจีน โดยเฉพาะจากมณฑลอานฮุย ให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยไปขยายธุรกิจในจีนด้วย” นายเอกนัฏ กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับ การพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนและค้าขายร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการค้าไทย-จีน รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการซื้อขายสินค้าระหว่างสองประเทศ และยกระดับห่วงโซ่อุปทานให้แข็งแกร่งขึ้น

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ กนอ. และรักษาการผู้ว่าการ กนอ. กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยมี จุดยุทธศาสตร์สำคัญ ในการเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วย ยกระดับซัพพลายเชนและอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย

“ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นภายใต้กรอบ Belt and Road Initiative (BRI) หรือ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ เราหวังว่าแพลตฟอร์มการลงทุนและการค้าระหว่างไทย-จีนจะช่วยดึงดูดนักลงทุนจากจีนให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยมากขึ้น” นายสุเมธ กล่าว

ทั้งนี้ กนอ. มีแผนศึกษาแนวทางพัฒนา นิคมอุตสาหกรรมแฝด และความร่วมมือด้านอื่นๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของ MOU และผลักดันให้โครงการ 'Two Countries, Twin Parks' บรรลุเป้าหมายสูงสุด

และในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน นายเอกนัฏเน้นย้ำว่าความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของทั้งสองประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาภูมิภาคให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“ผมเชื่อว่าหากความร่วมมือกับมณฑลอานฮุยประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นต้นแบบที่สามารถขยายไปสู่มณฑลอื่นๆ ของจีน และช่วยให้เศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว” นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

รัฐบาลไทยตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจปี 2568 ทุ่ม 150,000 ล้านบาท หวังดัน GDP โตเกิน 3%

(12 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า รัฐบาลไทยตั้งเป้ายกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สูงกว่า 3% ในปี 2568 โดยอาศัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม มูลค่า 150,000 ล้านบาท (ราว 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งจะถูกนำไปปฏิบัติภายในสิ้นไตรมาสที่ 3 โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

“เรามีกระสุนเตรียมไว้เพียงพอ” นายเผ่าภูมิกล่าว พร้อมย้ำว่าการใช้จ่ายของรัฐจะเป็นไปอย่างชาญฉลาดและเหมาะสมกับช่วงเวลา

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่รัฐบาลให้ความหวังคือโครงการ “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” มูลค่า 450,000 ล้านบาท (13,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมีเป้าหมายโอนเงิน 10,000 บาท (ราว 300 ดอลลาร์สหรัฐ) ให้ประชาชนราว 45 ล้านคน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังซบเซาตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าการบริโภคยังคงเป็นปัญหา แม้ว่าการชำระเงินในระยะก่อนหน้าจะถูกนำไปใช้บางส่วน แต่มีประชาชนจำนวนหนึ่งนำเงินไปชำระหนี้มากกว่าการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วอยู่ที่เพียง 3.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวเพียง 2.5% ซึ่งต่ำกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ และตามหลังประเทศคู่แข่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เฟสต่อไปของโครงการแจกเงิน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล จะใช้ช่องทางดิจิทัลในการส่งเงินให้กับประชาชนอายุระหว่าง 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน โดยจะเริ่มต้นในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า “เพราะเราใช้กลไกของเงินดิจิทัลวอลเล็ต มันจึงสามารถควบคุมและส่งเงินไปยังที่ที่ต้องการมากขึ้นได้”

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยเดินหน้าผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น โครงการรถไฟทางคู่สายใต้และโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อยกระดับระบบขนส่งและการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมภาคการส่งออกและการบริการด้วยมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวและ Soft Power

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะโครงการแลนด์บริดจ์ที่คาดว่าจะช่วยให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญในภูมิภาค
"โครงการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้การขนส่งสินค้าเร็วขึ้นและลดต้นทุนทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคต" นายเผ่าภูมิกล่าว

นอกจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแล้ว รัฐบาลยังเดินหน้าผลักดันภาคบริการและการส่งออก โดยใช้มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพัฒนา Soft Power เช่น การสนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิง อาหาร และวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว

‘สมาคมนักบินไทย’ เตรียมยื่นศาลปกครอง 14 มี.ค.นี้ ขอให้คุ้มครองเพิกถอนมติ ‘นักบินต่างชาติบินในประเทศ’

(12 มี.ค. 68) สมาคมนักบินไทยยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง วันที่ 14 มี.ค.นี้ ขอคุ้มครองชั่วคราว เพิกถอนคำสั่งกระทรวงแรงงาน กรณีอนุญาตให้สายการบินใช้นักบินต่างชาติบินในประเทศ

จากกรณีที่ ครม.มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 อนุญาตให้สายการบินทำการจัดหาเครื่องบินแบบ Wet Lease (เช่าเครื่องบินพร้อมนักบิน) เป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี สิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (ต่ออายุให้ครั้งละ 6 เดือน เป็นจำนวน 2 ครั้ง) ซึ่งในขณะนี้มีสายการบินไทยเวียตเจ็ท เพียงสายการบินเดียวที่ใช้สิทธินี้ ดังนั้นจะเห็นนักบินต่างชาติ สามารถทำการบินเส้นทางบินในประเทศได้

ล่าสุด กัปตัน ธีรวัจน์ อังคสกุลเกียรติ นายกสมาคมนักบินไทย กล่าวว่า ในวันที่ 14 มีนาคม 2568 นี้ สมาคมนักบินไทย เตรียมจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพิกถอนคำสั่งประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องการอนุญาตให้นักบินต่างด้าว(นักบินต่างชาติ) สามารถบินในประเทศได้ 

โดยสมาคมนักบินไทยจะยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง  เพื่อขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว กรณี กระทรวงแรงงานและคณะรัฐมนตรี อนุญาตให้นักบินต่างชาติสามารถเข้ามาปฏิบัติการบินในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว ผ่านแนวทาง การเช่าเครื่องบินพร้อมลูกเรือ (Wet Lease) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักบินไทยที่กำลังว่างงานเป็นจำนวนมาก

ทำไมสมาคมนักบินไทยต้องยื่นฟ้องศาลปกครอง กระทบต่ออาชีพนักบินไทย ปัจจุบันมีนักบินไทยจำนวนมากที่ยังว่างงานและพร้อมปฏิบัติการบิน แต่การเปิดช่องให้นักบินต่างชาติเข้ามาทำงาน อาจเป็นการลดโอกาสในการจ้างงานของนักบินไทย

ขัดต่อกฎหมายแรงงานไทย ตามประกาศกระทรวงแรงงาน งานควบคุมอากาศยานภายในประเทศถือเป็นอาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนไทยเท่านั้น ยกเว้นกรณีบินระหว่างประเทศ

กระทบต่อมาตรฐานอุตสาหกรรมการบินไทยในระยะยาว หากปล่อยให้แนวทาง Wet Lease กลายเป็นแนวปฏิบัติปกติ อาจส่งผลให้สายการบินลดการลงทุนในการพัฒนานักบินไทย และกระทบต่อความมั่นคงของอุตสาหกรรมการบินของประเทศ

สมาคมนักบินไทยขอเรียกร้องให้ภาครัฐทบทวนมาตรการดังกล่าว และให้ความสำคัญกับนักบินไทยเป็นลำดับแรก

พวกเราขอยืนยันว่าจะดำเนินการเพื่อปกป้องสิทธิ์ของนักบินไทยทุกคน และขอแรงสนับสนุนจากสมาชิกและผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการบินให้ร่วมกันแสดงจุดยืนที่สมาคมนักบินไทยยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ขอให้คุ้มครองชั่วคราว กรณีการอนุญาตให้นักบินต่างชาติปฏิบัติการบินภายในประเทศ 

กัปตัน ธีรวัจน์ กล่าวต่อว่า สำหรับข้อสังเกตเกี่ยวกับความถูกต้องของประกาศฉบับนี้

ข้อสังเกตที่ 1 การออกประกาศนี้ขัดกับหลักเกณฑ์ทางกฎหมายเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ 2 กฎหมายหลัก ได้แก่
พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 

พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
ประกาศกระทรวงแรงงาน ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ห้ามคนต่างด้าวขับขี่เครื่องบินภายในประเทศ ตาม มาตรา 7 ของพระราชกำหนดฯ

อย่างไรก็ตาม มาตรา 14 ของกฎหมายเดียวกันอนุญาตให้มีข้อยกเว้นได้เฉพาะ 3 กรณีเท่านั้น คือ

เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ
เพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
เพื่อป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ
กรณีนี้ แม้จะอ้างว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่ก็ไม่น่าจะเข้าข่าย “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ” ในระดับที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ควรสามารถใช้ มาตรา 14 เป็นเหตุผลในการออกข้อยกเว้น

ข้อสังเกตที่ 2: ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
กฎหมาย พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 กำหนดชัดเจนว่า นักบินที่ปฏิบัติหน้าที่ต้องมีสัญชาติไทย โดยอ้างอิงจาก

มาตรา 44 ของพระราชบัญญัติฯ ซึ่งกำหนดว่าผู้ประจำหน้าที่ต้องมีสัญชาติไทย หากจะมีข้อยกเว้น ต้องได้รับการอนุมัติจาก ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ซึ่ง ยังไม่มีการออกประกาศยกเว้นใด ๆ

กรณีนี้ Wet Lease ถือว่านักบินเป็นผู้ประจำหน้าที่ ตามนิยามของพระราชบัญญัติการเดินอากาศ แต่กลับไม่มีการประกาศยกเว้นจาก CAAT ก่อน กระทรวงแรงงานและคณะรัฐมนตรีจึง ไม่มีอำนาจออกประกาศอนุญาตให้คนต่างด้าวปฏิบัติหน้าที่นักบินในประเทศ ถือเป็นการออกประกาศที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ทำให้สมาคมนักบินไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อ ศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้มีคำสั่ง คุ้มครองชั่วคราว กรณี กระทรวงแรงงานและคณะรัฐมนตรี อนุญาตให้นักบินต่างชาติสามารถเข้ามาปฏิบัติการบินในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว ผ่านแนวทาง การเช่าเครื่องบินพร้อมลูกเรือ (Wet Lease) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักบินไทยที่กำลังว่างงานเป็นจำนวนมาก

‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ ยืนหนึ่ง ‘ธนาคารกลางแห่งปี 2025’ จาก ‘Central Banking Publications’ สื่อชั้นนำด้านการเงินของโลก

(12 มี.ค. 68) ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับรางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 (Central Bank of The Year 2025) จากการมอบรางวัล Central Banking Awards ในปีนี้

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับรางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 (Central Bank of The Year 2025) จาก Central Banking Publications ที่เป็นสื่อชั้นนำด้านการเงินและการธนาคารกลางของโลก เพื่อยกย่ององค์กรและบุคคลในแวดวงธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นด้านการดำเนินนโยบายการเงิน การกำกับดูแลทางการเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในระดับสากล

รางวัล Central Banking Awards แบ่งออกเป็น 16 สาขา มีรางวัลธนาคารกลางแห่งปีเป็นรางวัลสูงสุด โดย ธปท. ถือเป็นธนาคารกลางแห่งที่ 12 จากธนาคารกลางทั่วโลกที่ได้รับรางวัลนี้ นับแต่เริ่มการมอบรางวัลในปี 2014 เป็นต้นมา

Central Banking Publications ระบุว่า รางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 นี้ สะท้อนการทำงานของ ธปท. ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจการเงินระยะยาว ด้วยการรักษาสมดุลของการดูแลเศรษฐกิจและการมุ่งรักษาเสถียรภาพราคาและเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งผสมผสานนโยบายเพื่อดูแลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานทางการเงินของประเทศให้พร้อมสำหรับอนาคต

อีกทั้ง ธนาคารกลางประเทศไทย ยังมีผลงานที่โดดเด่นด้านการบริหารจัดการเพื่อฝ่าฟันสถานการณ์ความผันผวน และความไม่แม่นอนของโลกที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งเหมือนกับบรรดาธนาคารกลางทั่วไป แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศไทย และเผชิญกับแรงกดดันตากการเมืองครั้งสำคัญด้วย

ธนาคารกลาง ประเทศไทย ยังได้แสดงออก และรักษาความเป็นอิสระขององค์กรท่ามกลางการปฏิรูปด้านภาคการเงินหลายๆ ด้าน นอกจากนี้ ยังแสดงความมุ่งมั่นในการยึดหลักความมีเสถียรภาพด้านราคา หรือภาวะเงินเฟ้อ และนโยบายการเงิน

เกี่ยวกับรางวัล Central Banking Awards

รางวัล Central Banking Awards จัดขึ้นโดย Central Banking Publications ซึ่งเป็นสื่อชั้นนำด้านธนาคารกลางระดับโลก เพื่อยกย่ององค์กรและบุคคลที่มีผลงานโดดเด่นในการดำเนินนโยบายการเงิน การกำกับดูแลทางการเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในระดับสากล

โดยรางวัล Central Bank of The Year เป็นหนึ่งในรางวัลสำคัญของเวทีนี้ ที่มอบให้แก่ธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นในด้านความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบาย ความโปร่งใส และการสื่อสารกับสาธารณะ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อเสถียรภาพและการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว

‘กรวิน’ จับมือ ‘MASTER’ ทุ่ม 250 ล้าน เปิด “KRM Plastic Surgery Hospital” รพ.ศัลยกรรมความงามใหญ่สุดแห่งแรกในอีสานตอนกลาง

‘กรวิน คลินิก’ จับมือ ‘MASTER’ ทุ่มลงทุน 250 ล้านบาท เปิดตัว “KRM Plastic Surgery Hospital” โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งใหญ่สุดแห่งแรกในภาคอีสานตอนกลางอย่างเป็นทางการ เน้นศัลยกรรมความงามครบวงจร ชูจุดเด่นทำเลดีใกล้สนามบิน รองรับกลุ่มลูกค้าขอนแก่น-พื้นที่ใกล้เคียงและต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน พร้อมส่องเทรนด์ความงามปี 2568 ยังโตดี ตอบโจทย์ดีมานด์เน้นความปลอดภัย มาตรฐานโรงพยาบาล และแพทย์ชำนาญการเป็นหลัก ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 15-20% 

เมื่อวันที่ (11 มี.ค. 68) นายแพทย์กรวิน ศิริโรจนทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เค เมดิคอล (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ประกอบการสถานพยาบาลด้านศัลยกรรมความงาม ภายใต้แบรนด์ ‘กรวิน คลินิก’ ‘รณภีร์ คลินิก’ และ ‘KRM Plastic Surgery Hospital’ เปิดเผยว่า บริษัทร่วมทุนกับ บมจ.มาสเตอร์ สไตล์ (MASTER) ในนามโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ในฐานะพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เปิดตัว “KRM Plastic Surgery Hospital” โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งเคอาร์เอ็ม ขอนแก่น โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรใหญ่สุดแห่งแรกในภาคอีสานตอนกลางอย่างเป็นทางการ ด้วยเงินลงทุน 250 ล้านบาท เพื่อให้บริการด้านศัลยกรรมเสริมจมูกเทคนิคปิด และขยายเพิ่มบริการใหม่ๆ เช่น ดึงหน้า ยกคิ้ว เสริมหน้าอก ตัดหนังหน้าท้อง ดูดไขมัน ปลูกผม บริการด้านผิวพรรณ และตรวจสุขภาพ เป็นต้น รองรับกลุ่มลูกค้าในขอนแก่นและพื้นที่ใกล้เคียง เช่น นครราชสีมา อุดรธานี มหาสารคาม หนองคาย ชัยภูมิ บุรีรัมย์ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น 

KRM Plastic Surgery Hospital ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติขอนแก่น เป็นอาคารสูง 3 ชั้น ขนาดพื้นที่กว่า 3,500 ตร.ม. ประกอบด้วย ห้องผ่าตัด (OR) จำนวน 7 ห้อง ห้องพักฟื้น 8 เตียง ห้อง IPD  6 เตียง ห้องเวชภัณฑ์ปลอดเชื้อ (CSSD) พร้อมอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ประจำโรงพยาบาล เช่น 
•นายแพทย์ศิรพล ประชากุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ศัลยแพทย์เฉพาะทางตกแต่งใบหน้า (Facial Plastic Surgery) ชำนาญหัตถการเสริมจมูก ดึงหน้า และยกคิ้วส่องกล้อง 
•นายแพทย์กวีศักดิ์ เสาทองหลาง ศัลยแพทย์เฉพาะทางตกแต่ง (Plastic Surgery) ชำนาญหัตถการเสริมหน้าอก ยกกระชับหน้าอก ตัดหน้าอก ดึงหน้า ตัดหนังหน้าท้อง ยกคิ้วส่องกล้อง และดูดไขมัน 
•นายแพทย์พิจักษณ์ สิริรัตนากุล ศัลยแพทย์ทั่วไป (General Surgery) ชำนาญการหัตถการเสริมหน้าอก ยกกระชับหน้าอก ดูดไขมัน และตัดเหนียง
•นายแพทย์อภิชิต วิรัชพงศานนท์ ศัลยแพทย์ทั่วไป (General Surgery) ชำนาญหัตถการเสริมหน้าอก  ตา 2 ชั้น ปากกระจับ เสริมจมูก และเสริมคาง 
•นายแพทย์อธิกร เทียบพา ศัลยแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมประสาทและสมอง (Neuro Surgery) ชำนาญการหัตถการดึงหน้า ยกคิ้ว ส่องกล้อง เสริมหน้าผาก เสริมขมับ เสริมร่องแก้ม ตา 2 ชั้น ปากกระจับ เสริมจมูก และเสริมคาง 
•นายแพทย์ชนัตถ์ มาลัยกนก ศัลยแพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวช (OB /GYN Surgery) ชำนาญการหัตถการตกแต่งเลเบีย 
ยกกระชับช่องคลอด และฟิลเลอร์เติมเต็มน้องสาว 
•แพทย์หญิงปิยทิพย์ ปิยอรรถกิจ แพทย์หญิงณัฐวรรณ ครุธามาศ และ แพทย์หญิงดรรชนี สิงห์ไธสง แพทย์ประจำศูนย์ความงาม และ Wellness 

“จังหวัดขอนแก่นจัดเป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก ตามกลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยว ในฐานะเป็น MICE City 1 ใน 5 พื้นที่ของประเทศ ด้วยศักยภาพความพร้อม ทั้งศูนย์กลางทางการแพทย์ การลงทุน การค้า เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การคมนาคม การศึกษา และศูนย์ราชการ ทำให้มีผู้คนสัญจรและเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้าจังหวัดจำนวนมากและต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจของ KRM Plastic Surgery Hospital และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการศัลยกรรมความงามของภาคอีสานตอนกลาง ด้วยความมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลสู่ระดับสากลและความปลอดภัยสูงสุด” นายแพทย์กรวินกล่าว  

ทั้งนี้ ประเมินว่าปี 2568 อุตสาหกรรมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าและรูปร่างอยู่ในช่วงขาขึ้นและเติบโตต่อเนื่อง ตามตลาดความงามที่มีความต้องการซื้อสูง ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความปลอดภัยอย่างสูงสุด และได้รับการดูแลจากแพทย์ที่ชำนาญการสูงสุดด้านการศัลยกรรม ผสมผสานความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ากับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยส่วนใหญ่จะเน้นความละเอียดอ่อน และผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ รวมถึงการเลือกสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานโรงพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ และมีแพทย์ชำนาญการเฉพาะทาง

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 นี้ เน้นสร้างความเชื่อมั่นให้ KRM Plastic Surgery Hospital เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และนำเสนอบริการต่าง ๆ ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการที่ MASTER เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีส่วนสนับสนุนให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจ นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งระบบสารสนเทศโรงพยาบาล Hospital Information Systems (HIS) รวมถึงระบบงานบริหารจัดการความพึงพอใจของลูกค้า Customer Relationship Management (CRM) อีกด้วย

ขณะเดียวกัน บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดแบบ Online Marketing มากขึ้น แนะนำบริการด้านศัลยกรรมความงามกับกลุ่มเป้าหมายในทุกระดับ ซึ่งต่อจากนี้บริษัทจะทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของศูนย์ดูแลผิวพรรณ ได้นำนวัตกรรมเครื่องยกกระชับรุ่นใหม่ “Ulthera Prime” (อัลเทอร่าไพร์ม) ที่ช่วยฟื้นฟูผิวชั้นลึก ลดริ้วรอย รอยใต้ตา ยกหางตา-หางคิ้ว ร่องแก้ม ช่วยเก็บกรอบหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผิวหน้าเรียบเนียน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อย ผิวไม่ค่อยกระชับ แบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เพื่อเพิ่มรายได้ของการดูแลผิวพรรณอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 560 ล้านบาท หรือคิดเป็นเติบโต 15-20%

นอกจากนี้ภายในงานเปิดตัว “KRM Plastic Surgery Hospital” ยังแต่งแต้มสีสันกับทัพเหล่าดารา คนดัง และ อินฟลูเอนเซอร์ เช่น คุณแม่นกน้อยอุไรพร, เฮียหน่อย หมอลำไอดอล, บอสโจ และ น้องอุ๋งอิ๋ง สาวน้อยเพชรบ้านแพง, ผู้ใหญ่บ้านฟินแลนด์ และคุณโกกิ โตเกียวมิวสิค, คุณใหม่ พัชรี, คุณบิว จิตรฉรีญา, คุณป๊ายปาย โอริโอ, คุณดิว ธีรภัทร, ธัญญ่า อาร์สยาม, กิ๊ก รุ่งนภา, นะนุ่น & Collarich, Team Mister Khonkaen 2024, นางสาวไทยสกลนคร 2568  มาร่วมแสดงความยินดีกับงานเปิดตัวโรงพยาบาล  

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ในนาม โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ผู้นำอันดับต้นของอุตสาหกรรมด้านความงามในไทยและเอเชีย ในฐานะ Regional Company กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าถือหุ้น 40% ใน กรวิน คลินิก การร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER ทำให้สามารถเพิ่มรายได้และยังสร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 

โดย MASTER พร้อมให้การสนับสนุน กรวิน คลินิก ในทุกมิติ ด้วยการส่งทีมแพทย์ของโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช เช่น หมอกาย- นพ.ณัฐดนัย ชาวชายโขง แพทย์ชำนาญการหัตถการดูดไขมัน, หมอเป็ด-นายแพทย์ชิดพงศ์ ทองกุม แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า และหมอฟรี-นายแพทย์วรดร สกลพรวศิน แพทย์ชำนาญการด้านสุขภาพเพศชาย มาร่วมเสริมทัพที่ KRM Plastic Surgery Hospital ด้วย และในโอกาสนี้ร่วมยินดีกับ กรวิน คลินิก ที่สามารถเปิดตัวโรงพยาบาลได้สำเร็จตามแผนที่ตั้งไว้  

“เรียกได้ว่า กรวิน คลินิก เป็นหนึ่งในผู้นำด้านศัลยกรรมเสริมจมูกเทคนิคปิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้เริ่มทำศัลยกรรม ถือเป็นตลาดใหญ่ติด 1 ใน 3 ของตลาดเสริมจมูกเทคนิคปิด ดำเนินธุรกิจมามากกว่า 16 ปี มีจุดเด่น คือ แพทย์เป็นเจ้าของเองและมีความชำนาญการด้านการเสริมจมูกเทคนิคปิดโดยเฉพาะ พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาความงามทั้งใบหน้าและผิวหน้าแบบครบวงจร โดยออกแบบใบหน้าเคสต่อเคส ดูแลทุกขั้นตอนด้วยแพทย์ พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย เพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันนาน 12 เดือน ถือเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่สำคัญ ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มสร้างผลกำไรให้ MASTER เข้าเต็มปี 2569 เป็นปีแรก” นางสาวลภัสรดากล่าว

MASTER พร้อมรับโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต ทั้งด้าน Organic และ Inorganic พร้อมด้วยกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) ทั้ง Cross Border - Cross Selling และ Cross Synergy ซึ่งที่ผ่านมา MASTER ขยายการลงทุนเข้าไปถือหุ้นสัดส่วน 36-40% ของบริษัทชั้นนำในวงการศัลยกรรมความงาม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจำนวน 15 บริษัท ครอบคลุมทั้ง 3 กลุ่มกลยุทธ์ทางธุรกิจ ทำให้เป็นแรงสนับสนุนการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกันของกลุ่มบริษัท และส่งเสริมให้ MASTER ครองมาร์เก็ตแชร์ในตลาดศัลยกรรมความงามและแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น อย่างไรก็ตามปี 2568 MASTER ยังมั่นใจผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดหวังลูกค้าต่างประเทศจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40%   

“มาดามแป้ง” เคลื่อนไหวเดือดถึง “สมยศ” หลัง ส.บอลแพ้คดีต้องจ่าย 360 ล้าน พร้อมปูดอดีตนายกสมาคมฯ คนเก่า กู้เงินฟีฟ่า 155 ล้าน

(11 มี.ค. 68) จากกรณีคดีพิพาทระหว่าง สยามสปอร์ต กับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้บทสรุปว่า สมาคมฯ จะต้องจ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยให้ สยามสปอร์ต 360 ล้านบาท หลังมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นตั้งแต่ยุค "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง เป็นนายกสมาคมฯ แต่มามีคำพิพากษาในยุคของ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ที่เพิ่งทำงานในฐานะนายกสมาคมฯ ครบ 1 ปีไปไม่นานนี้

ล่าสุด "มาดามแป้ง" ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงเวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า 

"วันที่เลื่อนแถลงข่าวที่ผ่านมา เพราะป่วย และที่ผ่านมาติดภารกิจไปพบฟีฟ่าที่ต่างประเทศ"

"ในขณะที่แป้งเข้ามารับตำแหน่ง สภากรรมการได้มีมติให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ทรัพย์สิน หนี้สิน สมาคมฟุตบอล จากการตรวจสอบพบว่า สมาคมมีเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสด อยู่ 27 ล้านบาท มีหนี้สิน 132 ล้านบาท เรื่องทั้งหมดนี้ถูกตรวจสอบทั้งหมด แต่แป้งไม่เคยออกมาพูด"

"เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ท่านอดีตนายกสมาคมฯได้สารภาพ ว่าได้กู้ยืมเงินระยะยาวจากฟีฟ่า โดยเป็นเงินกู้และเบิกรับครั้งเดียว 5 ล้านเหรียญ คือ 155 ล้านบาท โดยแบ่งจ่าย 10 งวด 10 ปี"

"แป้งคงไว้ไม่ยกเลิกสัญญากับแพลนบี เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเดียวกับสยามสปอร์ต โดยที่แพลนบีการันตีรายได้ให้มากขึ้น แพลนบีคืนสิทธิ์ในการจำหน่ายตั๋ว และวางหลักประกัน การถ่ายทอดสดกับไทยรัฐหรือพีพีทีวี"

"สมาคมในยุคที่แล้วได้มีการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีกให้ต่างประเทศ แป้งได้ไปซื้อกลับมา และยังขายสิทธิ์ที่นำมาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดแก่คนนอก นั่นคือ Data analysis ถูกขายไปจนถึงปี 2571 ให้กับ perform มาเลเซีย"

"ตั้งแต่แป้งเข้ามารับตำแหน่งไม่เคยรับเงินเดือน แต่ในยุคก่อนท่านรับเงินเดือนจากทั้งสมาคมฟุตบอลและไทยลีก รวม 2 ที่ 1 ล้านบาท ไม่รวมโบนัส และส่งผลให้มีการร้องเรียนถึงความเหมาะสม ล่าสุดมีการพิจารณาว่านายกสมาคมไม่สามารถรับเงินเดือนได้ เพราะไม่ใช่ลูกจ้างสมาคม เป็นการอาสาเข้ามา และยังไม่พบว่ามีการคืนเงินให้สมาคมแล้ว"

"ปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้น เกิดในสมัยสภากรรมการชุดเดิม แป้งเข้ามาและทราบข้อความจากฝ่ายกฎหมายแล้วว่าศาลชั้นต้นแพ้ให้สยามสปอร์ต ต้องจ่าย 50 ล้าน"

"ต่อมาศาลอุทธรณ์ให้สมาคมจ่าย 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย จากนั้นคำพิพากษาศาลฎีกา ให้สมาคมฯ จ่าย 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย"

"จำเลยที่ 2-19 ท่านอดีตนายกสมาคม ไม่ต้องรับผิดชอบการเงินเป็นการส่วนตัว เพราะเป็นการกระทำในกรอบอำนาจหน้าที่"

"ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการยกเลิกสัญญาที่ไม่ถูกต้อง จากคำพิพากษาจากแฟนบอลทั่วไป หรือหลายท่าน ที่อดีตนายกสมาคม ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น คือจริงๆ ไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทย์คือสยามสปอร์ต แต่อย่างไรก็ตามแป้งและฝ่ายกฎหมายศึกษาอย่างเด่ดชัดแล้วว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 76 จึงเป็นที่มาว่า แป้งตัดสินใจแล้ว จะนำเรื่องนี้เข้าสู่สภากรรมการเฉพาะกิจเร่งด่วนเพื่อฟ้องไล่เบี้ยแก่จำเลยที่ 2 และสภากรรมการยุคนั้น"

ทั้งนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว มาดามแป้ง ได้โพสต์เพซบุ๊กว่า 
“ปกติทุกท่านคงจะทราบ แป้ง เป็นมือประสานสิบทิศ ไม่อยากเป็นศัตรูของใครเลย แต่การทำงานของ แป้งในวันนี้ แป้ง ทำด้วยผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก”

“กีฬาฟุตบอลไทย เป็นกีฬาที่คนไทยดูมากที่สุด 70% และคนเล่นสูงสุดรองจากมวย ดังนั้น แป้ง คิดว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาของคนทั้งชาติ สิ่งที่แป้งและคณะกรรมการ จะทำต่อไป ไม่ได้มีความขัดแย้ง ส่วนตัวกับท่านใด แต่ทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสมาคมฯ และของชาติไทย”

'กกพ.' เสนอ 3 ทางเลือกค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค. 68 ที่ 4.15-5.16 บาท/หน่วย ชี้ แนวโน้มอาจตรึงค่าเอฟทีเท่าปัจจุบัน เหตุภาระหนี้และต้นทุนเชื้อเพลิงยังกดดัน

‘กกพ.’ เสนอ 3 ทางเลือกค่าไฟงวด พ.ค. – ส.ค. 2568 ที่ 4.15 – 5.16 บาทต่อหน่วย ชี้หลายปัจจัยยังคงกดดันค่าไฟ ทั้งภาระหนี้ต่อ กฟผ. อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่ผันผวนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ ปริมาณความต้องการไฟฟ้าเพิ่มต่อเนื่อง ปริมาณไฟฟ้าพลังน้ำนำเข้าลดลงตามฤดูกาล และแนวโน้มต้นทุนไฟฟ้าจากถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้น

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ค่าเอฟทีในงวดเดือน พ.ค.- ส.ค. 2568 ยังคงมีภาระการชดเชยต้นทุนคงค้างที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. นอกจากนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังผันผวนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ และการระบายน้ำของเขื่อนในประเทศได้ลดลงในฤดูแล้ง แม้จะมีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินแล้ว แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามสภาพอากาศร้อน ทำให้ กกพ. ยังไม่สามารถประกาศปรับลดค่าเอฟทีลงได้

“ปัจจัยหลักๆ ยังคงเป็นภาระการชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับเป็นช่วงฤดูแล้งและอากาศที่ร้อนทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าต้นทุนต่ำลดลงตามฤดูกาล ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้ากลับเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยลบที่กดดันค่าเอฟที และไม่สามารถปรับลดค่าเอฟทีลงได้อีก” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว

ดร.พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่ กกพ. ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อร่วมหาแนวทางใหม่เพิ่มเติม ในการปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ กกพ.ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเพิ่มเติม ที่จะสามารถนำมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีได้ทันตามวงรอบปกติของการพิจารณาค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค.- ส.ค. 2568 ที่ถูกกำหนดให้ต้องทบทวนค่าเอฟที และค่าไฟฟ้า ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 1 เดือนก่อนที่การประกาศจะมีผลบังคับใช้

ทั้งนี้ในการประชุม กกพ. ครั้งที่ 9/2568 เมื่อวันพุธที่ 5 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กกพ. มีมติให้สำนักงาน กกพ. ดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 2568 แบ่งเป็น 3 กรณีตามเงื่อนไข ดังนี้

กรณีที่ 1: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) และการคำนวณกรณีเรียกเก็บมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าปี 2566 ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 137.39 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟทีที่สะท้อนแนวโน้ม (1) ต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และ (2) เงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 71,740 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 99.98 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) จำนวน 15,084 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 21.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมจำนวน 121.00 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 – ธันวาคม 2567 ในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.16 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน

กรณีที่ 2: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 116.37 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟทีที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 71,740 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 99.98 สตางค์ต่อหน่วย) โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.95 บาท ต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน ทั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) อีกจำนวน 15,084 ล้านบาท

กรณีที่ 3: กรณีตรึงค่าเอฟทีเท่ากับงวดปัจจุบัน (ข้อเสนอ กฟผ.) ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุน AF คงค้างสะสมได้จำนวน 14,590 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 20.33 สตางค์ต่อหน่วย) เพื่อนำไปพิจารณาทยอยคืนภาระค่า AF ให้แก่ กฟผ. และมูลค่าส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับค่าก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บ เดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) ในระบบของ กฟผ. ต่อไป โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. รับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ที่ 60,474 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) อีกจำนวน 15,084 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คงที่เท่ากับ 4.15 บาทต่อหน่วย เช่นเดียวกับงวดปัจจุบัน

“จากแนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจากงวดก่อนหน้า 0.91 บาทต่อเหรียญสหรัฐ (งวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 68) เป็น 34.27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2568 ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลดลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง โดยการไฟฟ้าได้ลดต้นทุนโดยซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ยังต้องจัดหานำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวแบบสัญญาตลาดจร (LNG Spot) มากกว่าช่วงต้นปี โดยราคา LNG Spot ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามปริมาณความต้องการในตลาดโลกมาอยู่ที่ 14.0 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ปัจจัยที่ยังไม่สามารถทำให้ค่าไฟลดลงได้ยังคงมาจากภาระหนี้ค่าเชื้อเพลิงสะสมในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าจะลดลงมากจากงวดก่อนหน้า แต่ภาระหนี้ที่มีอยู่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงและต้องได้รับการดูแลเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศด้วย” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว

ดร.พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสาเหตุหลักซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวลดลง แต่เมื่อรวมกับการทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงค้างชำระในงวดก่อนหน้าที่ยังคงสูงอยู่ ส่งผลให้ค่าไฟในช่วงกลางปี 2568 นี้ อาจจะต้องปรับเพิ่มค่าเอฟทีขึ้นสู่ระดับ 116.37 – 137.39 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อคืนหนี้คงค้างให้กับ กฟผ. และ ปตท. ซึ่งทำให้เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บในงวด พ.ค. – ส.ค. 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 4.95 – 5.16 บาทต่อหน่วย หรือหากตรึงค่าเอฟทีไว้ที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย โดยทยอยคืนหนี้คงค้างควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อการปรับค่าไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดดเพื่อลดภาระของประชาชน ค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับปัจจุบัน

สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆ 5 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งานปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 5 ป. จะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองด้วย

ทั้งนี้ กกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 11 – 24 มีนาคม 2568 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top