Friday, 19 April 2024
ECONBIZ

‘อ.พงษ์ภาณุ’ แนะรัฐหาแรงจูงใจเอกชน ลุยธุรกิจลดโลกร้อน ปั้นระบบนิเวศให้พร้อม สู่การสร้างเงินจากสภาพภูมิอากาศ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ' (Climate Finance) เมื่อวันที่ 24 มี.ค.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) โดยการเก็บภาษีคาร์บอน และการใช้กลไกตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต จะเป็นกุญแจสำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกสีเขียว (Green Transition) ได้อย่างราบรื่นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากภาคการเงินการคลังไม่ช่วยระดมทรัพยากรมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และเทคโนโลยี ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว

ประการแรก ด้วยข้อจำกัดของทรัพยากรของรัฐบาล เงินลงทุนส่วนใหญ่จึงต้องมาจากภาคเอกชน ภาครัฐต้องจัดโครงสร้างสิ่งจูงใจ (Incentive Structure) ที่เอื้อให้เอกชนกล้าลงทุนในโครงการ/อุตสาหกรรมที่ลดโลกร้อน การเก็บภาษีคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตเป็นก้าวแรก ที่สำคัญกว่านั้นคือ การยกเลิกการอุดหนุนคาร์บอน (Carbon Subsidies) ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน

ประการที่สอง การจัดทำข้อมูลสารสนเทศ การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นมาตรฐานและมีการรับรอง รวมทั้งการจัดกลุ่ม/นิยามกิจกรรมที่ลดโลกร้อน (Green Taxonomy) จะช่วยให้ตลาดการเงินและสถาบันการเงินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและจัดสรรทรัพยากรอย่างตรงเป้ามากขึ้น

ตลาดการเงินและธนาคารพาณิชย์เริ่มนำผลิตภัณฑ์สีเขียวมาให้บริการบ้างแล้ว สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มเป็นที่นิยม กองทุน ESG มีจำนวนมากขึ้นและได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ แม้ว่ายังไม่ชัดเจนว่าหลักเกณฑ์ ESG ของตลาดกับเป้าหมายการลดคาร์บอนจะตรงกันหรือไม่ หรือบางทีอาจขัดแย้งกันด้วยซ้ำ และอาจนำไปสู่การฟอกเขียว (Greenwashing)

ในสาขาพลังงาน ซึ่งเป็นสาขาที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ปัจจุบันยังมีโครงสร้างที่พึ่งพา Fossils อยู่ค่อนข้างสูง กล่าวคือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าในไทยยังอาศัยก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นตัวขับเคลื่อนถึงกว่า 80% และใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นสัดส่วนน้อย ดังนั้นภาคพลังงานจึงมีความจำเป็นต้องลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งจากภาครัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและระบบสายส่ง และภาคเอกชนในรูปแบบโรงไฟฟ้า IPP SPP และ VSPP รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย

การลงทุนและการแบ่งรับภาระความเสี่ยงระหว่างรัฐกับเอกชนร่วมกันในรูปแบบ PPP น่าจะเป็นทางออกสำคัญ IPP และ SPP เป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับเอกชนที่ประสบความสําเร็จมาแล้วในภาคพลังงาน มีความเป็นไปได้ที่จะขยาย PPP ในโครงการลดคาร์บอนในสาขาอื่นๆ ด้วย

ตลาดการเงินและสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีเครื่องมือทางการเงินมากมายที่สามารถเสริมทรัพยากรในประเทศได้ รัฐบาลประเทศร่ำรวยประกาศใน COP 28 สนับสนุนงบประมาณแก่ประเทศกำลังพัฒนา 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีบริการพิเศษที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนในโครงการลดคาร์บอนในประเทศกำลังพัฒนา

ประการสุดท้าย ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่โลกสีเขียว ย่อมมีกลุ่มเปราะบางที่อาจไม่สามารถรับมือกับผลกระทบได้ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะนำรายได้ที่จัดเก็บได้เพิ่มเติมจากภาษีคาร์บอนไปช่วยเป็นมาตรการรองรับทางสังคมแก่กลุ่มคนเหล่านี้

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ในรายการ คนชนข่าว ทางช่องTNN เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67

ต้นทุนราคาน้ำมันถ้าเราไม่รู้ต้นทุน เราจะรู้ได้ไงว่าราคามันควรจะเป็นเท่าไหร่

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ให้สัมภาษณ์ในรายการ คนชนข่าว ทางช่องTNN เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67

‘รมว.ปุ้ย’ ห่วงใย เอสเอ็มอี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สั่งการ SME D Bank เร่งช่วยเหลือ ผู้ประกอบการในพื้นที่

(23 มี.ค.67) ตามที่ได้เกิดเหตุก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้หลายจุด ในช่วงวันศุกร์ที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ในเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา ส่งผลกระทบต่อสถานประกอบการ SMEs ในพื้นที่ดังกล่าวหลายรายได้รับความเสียหาย นั้น 

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหาย สำรวจความต้องการของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และเร่งให้ความช่วยเหลือในทุกด้านที่กระทรวงสามารถให้ได้

“เบื้องต้น ทราบข้อมูลจากหน่วยงานในพื้นที่ว่า มีผู้ประกอบการจำนวน 7 ราย ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รู้สึกเป็นห่วงและเห็นใจผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยได้มอบให้ SME D Bank กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด เข้าไปตรวจสอบและสอบถามผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทุกราย สำหรับในส่วนของ SME D Bank สามารถพิจารณาให้ความช่วยเหลือเยียายา ด้านการเงิน อาทิ การพักชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ การให้สินเชื่อ Soft Loan พิเศษ แก่ผู้ได้รับผล กระทบ ส่วนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม มีศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 สามารถเข้าไปช่วยเหลือในด้านเทคนิค การตลาด และเงินทุนหมุนเวียน โดยจะเร่งให้ทุกหน่ายในสังกัดกระทรวง บูรณาการกับพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

เปิดใจ 'วิชัย ทองแตง' ลั่น!! ขอใช้ทั้งชีวิตจากนี้ตามรอย 'ศาสตร์พระราชา' พร้อมผุด 'หยุดเผา-เรารับซื้อ' แก้โลกเดือด แถมช่วยเกษตรกรมีรายได้ยั่งยืน

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ คุณวิชัย ทองแตง ทนายคนดังสู่มหาเศรษฐีของไทย ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในปัจจุบัน ในหัวข้อ 'บุกตลาดคาร์บอนเครดิต แก้ปัญหาโลกเดือด'

คุณวิชัย กล่าวว่า ในเรื่องสิ่งแวดล้อมจำเป็นต้องกระตุ้นเตือนในทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเดิมครอบครัวของตนเป็นครอบครัวที่ปลูกฝังเรื่องรักษาสิ่งแวดล้อมมายาวนาน โดยหลักง่ายๆ ที่วิชัยใช้สอนลูกหลาน คือ 4R ได้แก่ Rethink, Recycle, Reuse และ Reduce 

- Rethink ต้องคิดใหม่ว่าโลกใบนี้ห้อมล้อมเรา เราต้องอยู่กับโลกใบนี้ให้ได้ 
- Recycle การนำเอาวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้งานแล้วมา 'แปรรูป' กลับเอามาใช้ใหม่ได้ 
- Reuse ง่ายกว่าเรื่องใดๆ เพียงแค่นำมาใช้ซ้ำอีกครั้งโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการอะไร 
- ส่วน Reduce พยายามใช้ทรัพยากรให้น้อยหรือลดการใช้ เมื่อมาถึงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องโลกร้อนธรรมดาแล้วแต่เป็นโลกเดือด

เมื่อถามว่า อะไรเป็นแรงผลักดันทำให้คุณวิชัยสนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม? คุณวิชัยตอบว่า "ผมจะไม่เพิกเฉยกับเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ ปัจจุบันครอบครัวเราได้ตั้งมูลนิธิหนึ่งน้ำใจขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาสตามชายแดน โดยปัจจุบันได้สร้างโรงเรียน 19 แห่ง ซึ่งล้วนเดินทางยากลำบากมาก 

"ขณะเดียวกัน ในช่วงตลอดระยะเวลา 19 ปี ที่ทีมงานของเราได้ขึ้นลงไปสำรวจในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่องนั้น ก็ทำให้ได้รับรู้ปัญหาอื่นที่ควบคู่ ผ่านความรู้สึกของชาวบ้านที่พูดถึงมหันตภัยสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ ซึ่งเราก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่พอจังหวัดเชียงใหม่เกิดปัญหามีค่าฝุ่น PM 2.5 ขึ้นอันดับหนึ่งของโลก ผมรับไม่ได้ เลยพูดคุยถึงแนวคิด 'โครงการหยุดเผา เรารับซื้อ' ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมองเห็นว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ชาวบ้านเผาป่า เราก็เลยคิดว่าทำอย่างไรให้ชาวบ้านหยุดเผา"

คุณวิชัย เผยว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้ คือ แปลงเป็นเงิน เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นไปในตัว โดยนำสิ่งที่จะเผา เช่น วัสดุทางการเกษตรทั้งต้นทั้งซังมาขายให้กับเรา ด้วยการให้นักธุรกิจในพื้นที่รวบรวมจากชาวบ้านแล้วส่งมาที่โรงงาน จากนั้นทางโรงงานก็จะแปรรูปเป็นชีวมวลอัดเม็ด (Biomass Pallets) ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น"

คุณวิชัย มองว่า ตรงนี้ถือเป็นการสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยมองไปที่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีตลาดขนาดใหญ่และมีความต้องการสูงในเรื่องนี้ เช่น ประเทศญี่ปุ่นประเทศเดียวก็มีความต้องการ 10 ล้านตันต่อปีแล้ว และต้องการเซ็นสัญญายาวล่วงหน้า 20 ปี 

"หัวใจของธุรกิจนี้คือ ต้องมีวัสดุเหลือใช้มากพอเข้ามาป้อนโรงงาน จึงอยากให้นักธุรกิจในท้องถิ่นได้มีส่วนช่วยในการรวบรวมเศษวัสดุมาให้เรา ส่วนความคืบหน้าของโครงการฯ ตอนนี้เรามีหนึ่งโรงงานที่ อำเภอจอมทอง ส่วนโรงงานที่สองน่าจะเกิดขึ้นที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่"

คุณวิชัย เล่าอีกว่า "รู้สึกเสียดายที่โครงการนี้เกิดขึ้นได้ช้า เพราะหลักๆ เราใช้โมเดลที่ไม่ได้พึ่งพางบประมาณของรัฐบาลเลย โดยระดมทุนสร้างโรงงานมูลค่า 300 ล้านบาท รับซื้อแบบไม่จำกัด ซึ่งการรับซื้อก็ช่วยสร้างความยั่งยืนในระดับหนึ่ง แต่เราต้องเติมความยั่งยืนให้กับชาวบ้านอีกว่า เงินของชาวบ้านจะสามารถเพิ่มพูนงอกเงยขึ้นได้อีกอย่างไร...

"อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผมได้คุยกับทาง กฟผ. แล้ว ถ้าเราสามารถสร้างโรงงานพร้อมกันได้ 10 แห่ง ภายในปี พ.ศ. 2568 ปัญหาเรื่อง PM 2.5 ก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งนอกจากทางภาคเหนือแล้ว ตอนนี้เรามีการขยายไปทางภาคใต้ด้วย เช่น การพัฒนาสนามกอล์ฟรูปแบบ Carbon Neutral ที่จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟ Carbon Neutral อันดับที่ 2 ของเอเชียรองจากประเทศสิงคโปร์ และทีมงานยังได้ศึกษาต้นปาล์มด้วยว่าสามารถนำมาทำ Pallets ได้ไหมสรุปว่าสามารถทำได้ก็จะขยายความร่วมมือและต่อยอดต่อไป"

เมื่อถามถึงภาพรวมของตลาดคาร์บอนเครดิตในไทย? คุณวิชัยกล่าวว่า "องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีการเดินหน้าเป็นอย่างดี และมีการสร้างแพลตฟอร์มซื้อขายตลาดคาร์บอนเครดิตขึ้นเช่นกัน ผมได้เจอนักธุรกิจสิงคโปร์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากกองทุน 'เทมาเส็ก' หรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์ โดยกำลังทำแพลตฟอร์มด้านคาร์บอนเครดิตระดับเอเชีย จึงอยากขอให้ไทยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งเขาก็ตอบรับและเข้ามาประชุมแล้ว เรียกว่ามีโอกาสสูงที่จะได้ร่วมมือกัน เพราะทางสิงคโปร์เองก็ต้องการคาร์บอนเครดิตอีกมาก ถือเป็นโอกาสของประเทศไทย"

เมื่อถามถึงทิศทางการเติบโตคาร์บอนเครดิตในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป? คุณวิชัยกล่าวว่า "ผมมองเห็นการเติบโต เราสามารถแปลงวิกฤตเป็นโอกาสและสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับเกษตรกรไทยทั่วประเทศได้ วัตถุดิบทางการเกษตรที่เหลือใช้หลายอย่างสามารถแปลงเป็นภาชนะที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมได้ ยกตัวอย่าง บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อแบรนด์ 'เกรซ' สามารถนำวัสดุทางการเกษตรที่เหลือใช้ เช่น ซังข้าว, ข้าวโพด, อ้อย และอื่นๆ มาแปลงเป็น ถ้วยชาม หลอด รักษ์โลก เราจึงพยายามเชื่อมโยงบริษัทฯ นี้กับพื้นถิ่นที่เรากำลังจะสนับสนุนด้านคาร์บอนเครดิต...

"เมื่อก่อนเราผลิตเพื่อทดแทนพลาสติก แต่ไม่สามารถทดแทนได้หมดเนื่องจากราคาสูง ปัจจุบันสามารถทำราคาได้ใกล้เคียงกับพลาสติกแล้ว ต่างกันแค่ 20-30% และสามารถเคลมคาร์บอนเครดิตได้ สร้างความยั่งยืนได้ เมื่อย่อยสลายสามารถกลายเป็นปุ๋ยได้ และยังฝังเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นไว้ในผลิตภัณฑ์ทำให้กลายเป็นต้นไม้ได้อีก สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ ซึ่งเป็นความคิดของคนไทยที่น่าภาคภูมิใจ...

"ส่วนการขยายไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เกิดจากได้ทราบแนวคิดของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่งจะเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับมาเลเซีย เลยมีแนวคิดนำคาร์บอนเครดิตลงไปแนะนำในท้องถิ่น ซึ่งถ้า SEC เกิดขึ้นจริง พื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีศักยภาพสูงพอที่จะสามารถลงทุนพัฒนาได้ในอนาคต"

เมื่อถามถึงเรื่อง BCG? คุณวิชัย เผยว่า "เราสนใจมานานแล้ว นักธุรกิจควรเน้นเรื่อง ESG (Environmental, Social, Governance) เป็นหลักโดยเฉพาะกองทุน ESG ต้องเชื่อมโยงกับกองทุนเหล่านี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งเราก็พึ่งเริ่มทำ โดยพยายามถ่ายทอดความรู้ในเรื่องนี้ในการบรรยายให้กับธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ให้สนใจเรื่องนี้ เพื่อให้ธุรกิจนั้นเป็น ESG ด้วยหลักคิดง่ายๆ 4 ประการ ได้แก่ Net Zeo, Go Green, Lean เหลื่อมล้ำ, ย้ำร่วมมือ เป็นการสร้างคุณค่าใหม่ให้กับประเทศตาม Passion ของผม เกษตรกรต้องไม่จน"

เมื่อถามถึงความคืบหน้าจากโครงการ 'กวี คีตา อัมพวาเฟส' ที่ผ่านมา? คุณวิชัย กล่าวว่า โครงการนี้เกิดจากแรงบันดาลใจเนื่องจากตนเป็นเขยสมุทรสงคราม มีความผูกพันกับแม่น้ำแม่กลอง ชอบธรรมชาติและใส่ใจในสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์สร้างโมเดล Cultural Carbon Neutral Event แห่งแรกของไทยและของโลก ด้วยการจัด Event วัฒนธรรมและสอดแทรกเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย 

"ผมอยากให้เกิดโมเดลแบบนี้ไปทั่วประเทศ จึงเกิดการต่อยอดโดยหลานทั้งสองของผม อายุ 16 ปีและอายุ 14 ปี ที่มีความคิดอยากทำตาม Passion ของปู่ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม Carbon Neutral ให้ยั่งยืนต่อเนื่องกับอัมพวาจริงๆ ก็เลยมีแนวคิดเปลี่ยนเรือในคลองอัมพวา จากเรือสันดาปใช้พลังงานน้ำมัน เป็นเรือใช้พลังงานไฟฟ้า โดยจะเริ่มจากคลองเฉลิมพระเกียรติ หรือคลองบางจาก ใน Concept Net Zero อัมพวา อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหลานๆ เกิดความสำนึกต่อการรักษ์โลกใบนี้ก็ถือว่าเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งแล้ว...

"ขณะเดียวกัน ก็มี 'สวนสมดุล' ที่เกิดจากลูกชายคนเล็กของผม ที่ขอไปเป็นเกษตรกรตามรอยศาสตร์พระราชา ทุกตารางนิ้วในสวนเป็น Organic ทั้งหมด ไม่ใช้สารเคมีเลย โดยมุ่งหวังสร้างผลิตภัณฑ์มาตรฐานไทยขึ้นมาซึ่งคุณภาพไม่ได้ด้อยกว่าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เช่น ครีมอาบน้ำ น้ำยาล้างจาน เป็นต้น รวมถึงยังเลี้ยงผึ้งชันโรง และตั้งรัฐวิสาหกิจชุมชนอย่างแท้จริง"

เมื่อพูดถึงศาสตร์พระราชาถูกมาใช้ในการบริหารธุรกิจอย่างไร? คุณวิชัยกล่าวว่า "หลังจากผมประกาศว่าเมื่อผมอายุครบ 70 ปี อยากทำตาม Passion ตัวเอง 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ 1.เกษตร 2.การศึกษา 3.ร้านค้าปลีกโชห่วยที่ได้รับความเดือดร้อน ผมก็ได้เดินสายบรรยายไปทั่วประเทศ แต่ทุกครั้งที่เดินสาย ถ้ามีโอกาสผมจะพูดถึงปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีความลึกซึ้งถ้าเรียนรู้และนำไปปรับใช้อย่างแท้จริงแล้ว เราจะไม่ได้เพียงการดำรงชีวิตที่อยู่ได้ แต่เรายังสามารถสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจที่ตัวเองทำ...

"ในหลวงท่านไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเทคโนโลยี แต่แนวคิดท่านทำให้คนเริ่มบาลานซ์เทคโนโลยีกับวิถีชีวิตจริง วิถีเกษตรกรรมที่สามารถสร้างผลตอบแทนมาที่ตัวเราได้โดยไม่ต้องต่อต้านเทคโนโลยี แต่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ อย่างเด็กเกษตรที่ผมเคยบรรยายก็ได้ตระหนักถึงปรัชญานี้ ผมจึงมีโครงการมาตรฐานการเกษตรที่ชลบุรีบ้านเกิดผม โดยจะแนะนำเทรนด์เรื่องการบริหารฟาร์มและสร้างหลักสูตรที่เรียกว่า 'เกษตรหัวขบวน' เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาให้เข้าใจเรื่องการบริหารจัดการฟาร์ม เข้าใจแผนงานการตลาดและความต้องการของตลาดในปัจจุบัน"

เมื่อถามถึงเป้าหมายสำคัญของ คุณวิชัย ที่สอดคล้องไปกับฉายา Godfather of Startup ว่าคืออะไร? คุณวิชัย เผยว่า ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าเด็กไทยเก่งมาก แต่ขาดเวทีในการแสดงความสามารถ ซึ่งตนประกาศว่ากำลังตามหายูนิคอร์นตัวใหม่ วันนี้จึงขอฝากถึงทุกภาคส่วน เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อที่จะทำให้ไทยพบช้างเผือกในป่าลึก กล้าคิด กล้าทำ กล้านำเสนอ ซึ่งจะสร้างความภาคภูมิใจให้ประเทศไทยได้ในอนาคต ขณะเดียวกันก็ฝากถึงนักธุรกิจที่อยากประสบความ ก็ต้องยึดหลัก กล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ ด้วย

"สิ่งหนึ่งที่เด็กไทยมักจะขาดก็คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกระบวนการต่างๆ เช่น Collaboration, Connectivity, M&A ในการเริ่มต้นอย่าคิดว่าเก่งคนเดียวต้อง Collaboration ถ้าเก่งบวกเก่ง กลายเป็นซุปเปอร์เก่งเลย เราต้องทำให้สินค้าบริการให้ครบวงจร อย่ามอง Hedge Fund อย่างเดียว อาจไม่ยั่งยืน และต้องมีเป้าหมายยิ่งใหญ่ อย่าทำผ่านๆ ไป เป้าหมายจะไปที่ไหน ต้องเขียน Roadmap อย่างไร ถามว่าคุณวิชัยเคยล้มเหลวไหม คุณวิชัยตอบว่า เยอะมาก จำไว้เลยนะครับว่าไม่มีใครสำเร็จอย่างเดียว และไม่มีใครล้มเหลวอย่างเดียว ความล้มเหลว คือ บทเรียนที่คุ้มค่าให้เราเรียนรู้ได้เสมอ อย่ากลัวความล้มเหลว"

คุณวิชัย ฝากทิ้งท้ายบทสัมภาษณ์นี้อีกด้วยว่า "ประเทศนี้ให้ผมมาเยอะแล้ว ผมต้องสร้างคน สร้างธุรกิจใหม่ๆ พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า เพื่อคืนให้กับสังคม คืนให้กับประเทศชาติจนกว่าชีวิตผมจะหาไม่ ซึ่งเวลาผมไปบรรยายต้องให้ผู้ฟังช่วยปฏิญาณไปกับผมด้วยเสมอ คือ 1.เราจะไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อโกงหรือหลอกลวงผู้อื่น 2.เราจะเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีมีคุณธรรม 3.เราจะแบ่งปันความรู้และโอกาสให้แก่ผู้ที่ด้อยกว่า เป็นสิ่งที่ผมอยากปลูกฝังระบบคุณธรรมให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป"

‘WHA Group’ ปลื้ม!! กระแสตอบรับยอดจองหุ้นกู้ล้นเกินเป้ากว่า 3 เท่า ตอกย้ำ!! การเป็นผู้นำในด้าน ‘โลจิสฯ-นิคมอุตฯ-สาธารณูปโภค-พลังงาน’

(22 มี.ค.67) บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group เสิร์ฟข่าวดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากสร้างออลไทม์ไฮสูงสุด 2 ปีติดต่อกันเป็นประวัติการณ์สำหรับผลประกอบการปี 2565 และปี 2566 และล่าสุด WHA Group ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ในการออกหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2567 มูลค่าเสนอขาย 5,000 ล้านบาท + Greenshoe 2,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาท ตอกย้ำถึงความสำเร็จจากความมุ่งมั่นของการเป็นผู้นำใน 4 กลุ่มธุรกิจ ทั้งโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัล ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม อีกทั้งยังสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ โครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง และแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจนและยั่งยืน

ด้านประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม WHA Group ‘จรีพร จารุกรสกุล’ มั่นใจสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ สำหรับปี 2567 และเดินหน้าพัฒนาโซลูชันทางธุรกิจและอุตสาหกรรมเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ และร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้ประเทศไทย โดยมีภารกิจสำคัญคือการบรรลุเป้าหมายที่จะเป็น Technology Company อย่างเต็มตัว ด้วยกลยุทธ์ AI Transformation มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล ยกระดับการดำเนินงานด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อคงความเป็นผู้นำในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และต่อยอดโครงการ Digital Transformation ที่มีอยู่กว่า 38 โครงการ 

ทั้งนี้ 4 กลยุทธ์สำคัญของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในปี 2567 ประกอบด้วย Extend Leadership เร่งขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งในประเทศและตลาดภูมิภาค Embrace Innovation and Technology นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-curve ให้กับองค์กร Enhance the Prominence on Green and Sustainability เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ในปี 2593 (Net-Zero 2050) และ Build High-Performance Organization ด้วยการพัฒนายกระดับด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูง

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ให้การตอบรับอย่างดีเยี่ยมด้วยยอดจองล้นเกินเป้ากว่า 3 เท่า สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2567 ของบริษัทฯ มูลค่า 5,000 ล้านบาท + Greenshoe 2,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาท หลังจากที่เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 18-20 มีนาคม 2567 ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 3 ราย ประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารยูโอบี โดยการเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวได้แบ่งเป็น 3 ชุด โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 จำนวน 2,500 ล้านบาท มีอายุ 3 ปี 6 เดือน หุ้นกู้ชุดที่ 2 จำนวน 2,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 (หุ้นกู้ที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย/Zero Coupon Bond) จำนวน 2,500 ล้านบาท อายุ 2 ปี 7 เดือน 30 วัน โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และประเทศโดยรวม สำหรับเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน/เงินลงทุน/ค่าใช้จ่ายลงทุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ

ทั้งนี้ หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ A- แนวโน้ม ‘คงที่’ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ จากผลงานที่ได้รับการยอมรับในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้า/โรงงานตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-suit Warehouse/ Factory) และธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานรายได้ประจำจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากธุรกิจสินทรัพย์ให้เช่า ตลอดจนธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค และเงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ตลอดจนความยืดหยุ่นทางการเงินจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) อีกด้วย

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการดำเนินงานในปี 2566 ที่ทุบสถิติใหม่สร้างออลไทม์ไฮสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกปี ซึ่งตอกย้ำถึงความสำเร็จจากความมุ่งมั่นของการเป็นผู้นำใน 4 กลุ่มธุรกิจ ทั้งโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัล ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม บริษัทฯ วางกลยุทธ์ปี 2567 เพื่อมุ่งต่อยอดพันธกิจ ‘We Shape the Future’ เสริมศักยภาพทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจให้แข็งแกร่งครบวงจร

ธุรกิจโลจิสติกส์  มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และขยายธุรกิจในการพัฒนาโครงการ Built-to-Suit และคลังสินค้า/โรงงานคุณภาพสูงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อีคอมเมอร์ซ และอุตสาหกรรมที่เป็น New S-curve นอกจากนี้ยังเสริมศักยภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และการส่งเสริมแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน โดยมีโครงการ Green Logistics ซึ่งจะมีการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า และพัฒนาแอปพลิเคชันที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการยานยนต์ไฟฟ้ารวมถึงแบตเตอรี่เพื่อสนับสนุนและเร่งการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการลดต้นทุนโลจิสติกส์ในระยะยาว รวมถึงการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติไปพร้อมๆ กัน 

สำหรับ Office Solutions บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานที่ทันสมัย ปัจจุบันมีโครงการอาคารสำนักงานให้เช่า 5 แห่ง พื้นที่รวมมากกว่า 120,000 ตารางเมตร และเริ่มขยายสู่โครงการพาณิชยกรรมรูปแบบใหม่ๆ

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม มุ่งรักษาความเป็นผู้นำในประเทศไทยและขยายธุรกิจในเวียดนามให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรองรับการย้ายฐานทุนและฐานการผลิตที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเดินหน้าพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate) โดยขยายขีดความสามารถให้ครอบคลุม 6 องค์ประกอบสำคัญ คือ Smart Services, Smart Mobility, Smart Communication, Smart Power, Smart Water และ Smart Security ภายใต้การบริหารจัดการโดยศูนย์ควบคุมกลาง Unified Operation Center (UOC) และต่อยอดการเป็น Total Solutions Partner ให้กับลูกค้าด้วยการให้บริการแบบครบวงจร  

ธุรกิจสาธารณูปโภค ยังคงมุ่งเน้นธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม และขยายการให้บริการน้ำทุกประเภทในโครงการนิคมใหม่ๆ ของ WHA และนอกนิคมของ WHA ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเดินหน้าพัฒนา Smart Water Platform และมองหาโอกาสขยายธุรกิจใหม่ๆ อาทิ โซลูชันสิ่งแวดล้อม และสาธารณูปโภคสำหรับอุตสาหกรรมอื่น มุ่งพัฒนาการให้บริการใหม่ๆ ที่ครบวงจร

ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน พร้อมทั้งการหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจเพื่อสร้าง New S-Curve อาทิ สถานีชาร์จ EV รองรับธุรกิจ Green Logistics ระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (BESS : Battery Energy Storage Systems) การซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS)

ธุรกิจดิจิทัล เดินหน้ายกระดับการพัฒนาองค์กรและบุคลากรของบริษัทฯ มุ่งสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 โดยเดินหน้าในการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนองค์กร ภายใต้ภารกิจ ‘Mission To The Sun’ ผ่าน 9 โครงการในการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล อาทิ โครงการ Green Logistics ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวมบริการต่างๆ (Geen Mobility Platform) สำหรับลูกค้ายานยนต์ไฟฟ้าภาคธุรกิจ อาทิ การบริหารยานพาหนะ (Fleet Management) การวางแผนเส้นทาง (Route Optimization) และการเชื่อมโยงโครงข่ายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Roaming) เป็นต้น และโครงการ Digital Health Tech ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน WHAbit ที่ช่วยให้สามารถจัดการสุขภาพแบบองค์รวม ซึ่งทางบริษัทฯ มีแผนเริ่มต้นการให้บริการแอปพลิเคชันแก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งแรกของปี

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้ตั้งเป้าดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2593 ผ่านการดำเนินงานภายใต้ 3 หลักการ ได้แก่ Design & Resource, Green Products และ Operation Excellence เพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระบบนิเวศของบริษัทฯ

นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทฯ เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล (กองทรัสต์ WHAIR) ภายในไตรมาส 4/2567 ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้

สุดท้ายนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและยกระดับศักยภาพในทุกด้านเพื่อการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สอดคล้องกับพันธกิจ ‘WHA: WE SHAPE THE FUTURE’ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับผู้คน สังคม และประเทศไทย

เปิด 3 นายทุนระดับบิ๊ก ชิงไลเซนส์ 'เวอร์ชวลแบงก์' ด้าน ธปท.อุบ!! ใครร่อนใบสมัครแล้ว เผยรอลุ้นอีก 6 เดือน

(22 มี.ค.67) ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดให้ยื่นผู้สนใจสมัครประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแบงก์) โดยเปิดให้ยื่นวันแรก (20 มี.ค.)

ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า จากที่ ธปท.ได้เปิดให้ผู้สนใจยื่นใบสมัครเข้าคัดเลือกเปิดเวอร์ชวลแบงก์นั้น แต่ ธปท.เพิ่งจัดเวทีให้ผู้สนใจสมัครขอใบอนุญาตดังกล่าว เข้ารับฟังเกณฑ์ต่าง ๆ ไปเมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้น แม้จะเริ่มเปิดให้ส่งใบสมัครวันแรก (20 มี.ค.) และตามระยะเวลาได้กำหนดปิดรับสมัครวันที่ 19 ก.ย.67 นับเป็นเวลา 6 เดือน ขณะนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ว่ามีผู้สมัครจำนวนเท่าไหร่ และมีรายใดที่ได้ยื่นใบสมัครแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกระทรวงการคลังออกประกาศเรื่องหลักเกณฑ์ฯ การขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (เวอร์ชวลแบงก์) ซึ่งมีกลุ่มทุนที่แสดงความสนใจจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์แล้ว 3 ราย ดังนี้

1.นายสารัชถ์ รัตนาวะดี กรรมการ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับการดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแบงก์) โดย กัลฟ์ จะร่วมมือกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะยื่นใบอนุญาตภายในปี 2567 ด้วยเงินลงทุนเบื้องต้น 5,000 ล้านบาท เนื่องจากกัลฟ์มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ส่วนเอไอเอส ถือมีความพร้อมความเข้าใจในสายธุรกิจดีจากลูกค้า 45 ล้านเลขหมาย ขณะที่กรุงไทยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก

2.นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบีเอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้บริษัทจะประกาศพันธมิตรเพิ่มเติมอีก 1 ราย ซึ่งเป็นบริษัทเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีจากประเทศจีนในการยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (เวอร์ชวลแบงก์) หลังจากก่อนหน้านี้ได้ลงนามความร่วมมือกับกาเกาแบงก์ (KakaoBank) ผู้นำด้านธนาคารดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้

และ 3.นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (กลุ่มซีพี) กล่าวว่า การขอจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์ ปัจจุบันบริษัทอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมความพร้อม ส่วนที่จะจับมือกับพันธมิตรรายอื่นเพื่อจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์หรือไม่ ณ วันนี้ยังไม่มี แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้น แต่บริษัทในเครือมีความพร้อมอยู่แล้ว และมีพาร์ตเนอร์ชิปที่แข็งแกร่ง คือทรูมันนี่ รวมถึงแอนท์ กรุ๊ป เป็นต้น

ทั้งนี้ หลังจากปิดรับสมัครแล้ว ธปท.ตรวจสอบเอกสารและพิจารณาคัดเลือกแล้วเสร็จจะส่งรายชื่อให้กระทรวงการคลังพิจารณาอีกครั้ง และกระทรวงการคลังจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกในเดือนมิถุนายน 2568 จากนั้นเวอร์ชวลแบงก์จะเปิดให้บริการได้ในปี 2569

'รมว.ปุ้ย' จี้ ‘กรมโรงงาน’ แก้ปมใบ ‘ร.ง.4’ ค้างกว่า 200 ฉบับ ชี้!! หากล่าช้า กระทบต่อภาคการลงทุน-เศรษฐกิจไทย

(22 มี.ค. 67) แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนหลายแห่งได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากปัญหาในการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) ทั้งในส่วนของประกอบกิจการใหม่ และการขออนุญาตขยายโรงงานล่าช้า

ทั้งนี้ เบื้องต้นรับทราบข้อมูลมาว่า การขอใบอนุญาตทั้ง 2 ประเภทของกรมโรงงานฯ ค้างอยู่ไม่ต่ำกว่า 200 ราย สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนอย่างมาก ทั้งที่ประเทศไทยตอนนี้ต้องการมูลค่าการลงทุน เพื่อเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับประสบปัญหาเรื่องการขอใบอนุญาตฯ 

อย่างไรก็ดี ต้องการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) แก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวนี้อย่างเร่งด่วน เพราะที่ผ่านมาปัญหาการขอใบอนุญาตร.ง.4 เป็นประเด็นร้อนที่นักลงทุนจากทั่วโลกที่เข้ามาลงทุนในไทยร้องเรียนอย่างหนักว่า ขั้นตอนยุ่งยาก มีความล่าช้าอย่างมาก และถูกตราหน้าว่าเป็นปัจจัยถ่วงการลงทุน

“ก่อนหน้านี้ปัญหาใบร.ง.4 เริ่มคลี่คลายลงแล้ว แต่ปัญหานี้เริ่มกลับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยแก้ปัญหากันไปเยอะแล้ว ตอนนี้ไม่เข้าใจว่า ทำไมปัญหากลับมาอีก ทั้งที่รัฐบาลก็ประกาศเรื่องอำนวยความสะดวกนักลงทุน แต่ใบร.ง.4 กลับเป็นตัวถ่วงอย่างหนัก ต้องการให้ กรอ. เร่งแก้ปัญหาโดยด่วน บางรายเอกสารครบถ้วน รอแค่เซ็นใบอนุญาตจากผู้บริหาร แต่ต้องรอมาเป็นปี โดยทุกอย่างดูติดขัดล่าช้าไปหมด ไม่รู้ว่า ติดปัญหาอะไร"

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ต้องการให้เร่งแก้ปัญหา เพราะไม่ต้องการให้ถูกมองเรื่องต้องจ่ายใต้โต๊ะหรือไม่ ถึงจะได้ใบอนุญาตเร็วขึ้น เพราะตอนนี้ยังมองในแง่ดีว่า ไม่น่าจะเป็นเหตุผลนั้น แต่ไม่รู้ว่า ติดอะไร ถ้าต่อไปยังล่าช้าอีก คงต้องยอมรับว่า อดไม่ได้ที่จะต้องมองแบบนั้น

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนเรื่องการขอใบอนุญาตลงทุนมาเช่นกัน โดยตนได้เรียกประชุมในวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา และสั่งการให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดี กรอ. รวบรวมข้อมูลการขออนุญาตที่ค้างอยู่ในระบบทั้งหมดว่าอยู่ในระบบนานเท่าไร สาเหตุของการตกค้าง และเรื่องดังกล่าวอยู่ที่ใด

โดยต้องกำหนดแนวทางในการจัดการคำขออนุญาต มาแจ้งตนในการประชุมวันที่ 26 มี.ค. ที่จะถึงนี้  เนื่องจากขัดแย้งกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการอำนวยความสะดวกในการลงทุนให้กับนักลงทุนทุกรายที่ทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว  

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้เข้าไปตรวจสอบพบว่า ยังตกค้างอยู่ในกระทรวงอุตสาหกรรมกว่าร้อยเรื่อง ไม่สามารถออกให้แก่ภาคเอกชนได้ ซึ่งอาจเกิดจากเอกสารประกอบการพิจารณาไม่ครบถ้วน การรอข้อมูลจากหน่วยงานภายนอก เช่น การขออนุญาตโรงไฟฟ้า หรือโรงแปรรูปไม้ หรืออาจเกิดจากการทำงานที่เป็นการตั้งรับมากกว่าเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ 

สำหรับในลำดับแรกจะต้องเร่งเร่งเคลียร์ใบอนุญาตที่ค้างในระบบของกรอ. ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากผู้ประกอบการลงทุนรายใดเอกสารไม่ครบ ก็ต้องเร่งแจ้งว่าขาดอะไร รายใดเอกสารถูกต้องครบแล้ว ก็ต้องเร่งให้ใบอนุญาตออกไป

“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ต้องผ่านหลายขั้นตอน หลายฝ่าย หลายโต๊ะ หลายคน ทำให้ขาดประสิทธิภาพ เรื่องนี้ตนยอมไม่ได้ ต้องเร่งเคลียร์ เร่งอนุญาตให้แก่นักลงทุนและผู้ประกอบการโดยเร็ว ต่อไปต้องเร่งปรับปรุงกระบวนการพิจารณาออกใบอนุญาตให้เป็นวัน สต็อป เซอร์วิสอย่างแท้จริง เพื่อลดระยะเวลาการออกใบอนุญาต และให้ทุกคำขออยู่ภายในกรอบเวลาของคู่มือการให้บริการประชาชน”

'กฟผ.' ชี้!! ร้อนปีนี้บิลค่าไฟฟ้าอาจแพงขึ้น แม้รัฐตรึง 4.18 บาทต่อหน่วย หลังหน้าร้อนมาเร็วกว่าเดิม ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่ม อุปกรณ์ทำงานหนัก

(22 มี.ค. 67) นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่ กล่าวว่า ปีนี้หน้าร้อนมาเร็วขึ้น ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว จึงมีแนวโน้มว่าหน้าร้อนนี้จะมีปริมาณการใช้ไฟพีกกว่าปีที่แล้ว แต่ยืนยันว่าค่าไฟฟ้าต่อหน่วยยังเท่าเดิม ตามที่รัฐบาลตรึงไว้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย แต่การที่บิลค่าไฟฟ้าแพงขึ้นในช่วงหน้าร้อน เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานหนักขึ้น

ส่วนค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค. - ส.ค. 2567 ที่มี 3 แนวทาง โดยค่าไฟฟ้าต่ำสุดอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และสูงสุดอยู่ที่  5.44 บาทต่อหน่วย ขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนนั้น ผู้ว่าการ กฟผ.กล่าวว่า หากค่าไฟฟ้างวดหน้ายังเก็บในอัตราเดิม คือ 4.18 บาทต่อหน่วย ก็ต้องแบ่งจ่ายคืนหนี้คงค้างให้ กฟผ. 7 งวด งวดละ 14,000 ล้านบาท รวมยอดหนี้คงค้าง 99,689 ล้านบาท ซึ่งหากชำระหนี้คืน กฟผ.ได้หมดภายใน 7 งวดจริง  ก็ไม่มีปัญหาต่อสภาพคล่องของ กฟผ. แต่สิ่งที่ต้องการคือความแน่นอน และความมั่นใจว่าการชำระหนี้จะเป็นไปตามเงื่อนไข ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะส่งผลกระทบต่อการวางแผนการดำเนินงานของ กฟผ. ความน่าเชื่อถือ และเครดิตเรทติ้งของกฟผ.ด้วย 

“กฟผ. เป็นกลไกหนึ่งของรัฐซึ่งพร้อมสนับสนุนในการดูแลค่าไฟ ซึ่งเป็นต้นทุนของทุกอุตสาหกรรม และเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดย กฟผ. สนับสนุนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ เช่น ก๊าซ ลิกไนท์ ถ่านหิน มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพื่อให้ต้นทุนค่าไฟลดลง รวมถึงสนับสนุนนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำของ สปป.ลาว เพราะเป็นพลังงานสีเขียวและราคาถูก เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่มได้รับความเป็นธรรม และสามารถเข้าถึงราคาค่าไฟได้” นายเทพรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้ นายเทพรัตน์ ยังเปิดตัวต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก ในฐานะ ผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่ พร้อมชู 5 ภารกิจสำคัญเร่งด่วน ได้แก่

1. รักษาความมั่นคงทางด้านไฟฟ้า เนื่องจากไฟฟ้าเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ มีส่วนในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ 

2. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ทำให้ราคาไฟฟ้ามีเสถียรภาพ และอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น ก๊าซ ลิกไนท์ ถ่านหิน มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด รวมถึงสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการปรับปรุงโครงสร้างค่าไฟฟ้า 

3. รักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม
4. ตอบสนองนโยบายรัฐบาล
5. นำส่งรายได้เข้ารัฐ

หักปากกาเซียน!! 'ตุ๋ย-ปุ้ย' ควงอันดับกระทรวงงบฯ น้อยสุด สวนทางผลงาน 6 เดือนเข้าตา ช่วยย้ำ!! งบต่ำแต่โต ถ้าตั้งใจ

พลันเมื่อตัวเลขงบประมาณ 2567 ของประเทศไทยออกมาแล้วปรากฏว่า สองกระทรวงภายใต้การกำกับดูแลของพรรครวมไทยสร้างชาติ (ตั้งแต่ 1 กันยายน พ.ศ. 2566) ซึ่งได้แก่ กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม ก็กลายเป็นสองกระทรวงที่ได้รับงบประมาณ 2567 น้อยที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ 

'กระทรวงพลังงาน' ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ 'รองตุ๋ย' พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตผู้พิพากษา อดีต สส. 7 สมัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มีพันธกิจสำคัญ คือ...

1) จัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการและกำหนดโครงสร้างราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม 

2) พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานพลังงานให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ 

3) กำกับกิจการพลังงานให้มีมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย 

4) ส่งเสริมการผลิต การใช้พลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงานเพื่อสอดรับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน 

และ 5) ส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงาน และเตรียมความพร้อมรองรับโอกาสธุรกิจพลังงานในอนาคต ด้วยการบริหารงานอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล

ทว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรหนนี้ น้อยที่สุดเพียง 1,856 ล้านบาท แต่ต้องรับผิดชอบภารกิจที่สำคัญอันยิ่งใหญ่ เพราะเป็นองค์กรหลักในการกำกับดูแลธุรกิจพลังงานของประเทศซึ่งเป็นต้นทุนและปัจจัยที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมากที่สุด ด้วยมูลค่าของธุรกิจพลังงานในประเทศมีมูลค่าปีละราวสองล้านล้านบาท มีหน่วยงานระดับกรมในสังกัด 6 หน่วยงาน และรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ 2 หน่วยงาน และอีก 1 หน่วยงานที่กำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 

ถึงกระนั้น หากไล่ทวนผลงานของกระทรวงพลังงานภายใต้ 'รองตุ๋ย' จะพบว่า การออกมาตรการแบบเข้มข้นในช่วง 6 เดือนแรก ได้สร้างความมั่นคงด้านพลังงานแก่ประเทศและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยแบบทันทีทันใด ดังนี้...

1) พลังงานไฟฟ้า ได้ผลักดันการลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนและสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ให้สูงขึ้นตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ มีการเร่งรัดในการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนปากมูลและเขื่อนสิรินธรที่ยืดเยื้อมาหลายทศวรรษ 

2) น้ำมัน ทำการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำมันโดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกลไกทางภาษีด้วยความร่วมมือจากกระทรวงการคลัง เร่งรัดในการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง มีการออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลต้นทุนน้ำมันเพื่อป้องกันการค้ากำไรเกินควร 

3) ก๊าซ มีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) เพื่อให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในภาพรวมลดลงและเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ ติดตามเร่งรัดการขุดเจาะและผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า มีการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบผู้ใช้ NGV โดยเฉพาะกลุ่มรถแท็กซี่ กลุ่มรถโดยสาร และรถบรรทุกด้วยความร่วมมือจาก ปตท.

ข้ามมาทางฟาก 'กระทรวงอุตสาหกรรม' ซึ่งได้รับงบประมาณ 2567 น้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ราว 4.5 พันล้านบาทนั้น อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีหญิงแกร่ง 'ปุ้ย' พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช เขต 10 ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการสตรีคนที่ 2 ของกระทรวงแห่งนี้ 

จะว่าไปบทบาทหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมไทยที่ผ่านมาส่วนใหญ่ อาจจะเทไปในเชิงรับเสียมากกว่าเชิงรุก ทั้งๆ ที่เป็นองค์กรภาครัฐหลักในกำกับดูและจัดการอุตสาหกรรมของประเทศทั้งระบบ มีหน่วยราชการระดับกรมในสังกัด 8 หน่วย 2 รัฐวิสาหกิจ 12 สถาบันเครือข่าย และ 1 หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีฯ ซึ่งหน่วยงานทั้งหมดกว่า 20 หน่วยงานนี้ถือเป็นอวัยวะสำคัญในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมที่เป็นแกนหลักของความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย  

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลงานของ 'รมว.ปุ้ย' ในช่วง 6 เดือนที่ผ่าน ก็ทำให้ชื่อของกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้ 'รมว.ปุ้ย' ไม่น้อยหน้ากระทรวงพลังงาน เช่นกัน อาทิ...

1) ให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดำเนินการกับสินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค 

2) ติดตามเร่งรัดผู้ประกอบการในประเทศให้เพิ่มการผลิตแร่ 'โปแตช' วัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย เพื่อแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพงของพี่น้องเกษตรกร 

3) ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องทั้งนักลงทุนรายใหม่และผู้ประกอบการรายเดิมซึ่งต้องปรับตัวจากการผลิตรถสันดาป 

4) ยกระดับอุตสาหกรรมฮาลาลด้วยมาตรการต่าง ๆ เพื่อยกระดับให้เกิดนวัตกรรมและความหลากหลาย เพิ่มคุณภาพ มาตรฐาน และปริมาณการผลิต 

5) สนับสนุน Green Productivity ทั้งการจัดหาไฟฟ้าสีเขียวด้วยกระบวนการรับรองอย่างมีมาตรฐานและมีปริมาณเพียงพอเพื่อรองรับความต้องการพลังงานสะอาดของภาคอุตสาหกรรม, แก้ปัญหาเรื้อรังในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นของอุตสาหกรรมน้ำตาล, ส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของผู้คนในยุคปัจจุบันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยไปสู่ยุคใหม่

สนับสนุน SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นให้ได้รับวงเงินสินเชื่อธุรกิจเพียงพอในการต่อยอดธุรกิจ เป็นกลไกหมุนเวียนรายได้และกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนทั่วประเทศ, ส่งเสริมการสร้างต้นแบบ Smart Farmer สร้างรายได้ ลดค่าใช้จ่ายด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงาน, เริ่มบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 สำหรับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ช่วยลดมลพิษจากฝุ่น PM2.5 และกำหนดยุทธศาสตร์ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงการแลนด์บริดจ์เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

เมื่อเทียบงบประมาณที่ทั้ง 2 กระทรวงได้รับเป็น % กับภาระงานที่ต้องรับผิดชอบแล้ว จะเห็นได้ว่าทั้งสองกระทรวงได้รับงบประมาณน้อยมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ต้องกำกับดูแล รับผิดชอบทำเรื่องราวต่าง ๆ เยอะแยะมากมาย 

โดยกระทรวงพลังงานได้รับงบประมาณเพียง 0.1415% ของมูลค่าธุรกิจพลังงานในประเทศโดยรวม และกระทรวงอุตสาหกรรมยิ่งได้รับงบประมาณน้อยกว่าเพียง 0.045% ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมของประเทศเท่านั้น 

จากผลลัพธ์ที่พูดได้ว่า 'สอบผ่าน' ของทั้งสองกระทรวงนี้ สะท้อนให้เห็นว่า คนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ตลอดจนคณะทำงาน และข้าราชการของทั้ง 2 กระทรวง ออกแววสานต่อสายเลือดลุงตู่ที่อยู่และทำเพื่อประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติและประชาชนได้ชัดเจนพอดู 

ยิ่งได้เห็นตัวเลขงบประมาณอันน้อยนิดที่ได้รับ แต่ก็ไม่ได้มีการปรับท่าทีใด แถมยังพร้อมลุยงานตามเป้าหมายต่อทันที ก็ยิ่งดูเป็นนิมิตหมายอันดีของชาติ ที่มีคนกล้าเปลี่ยนแนวคิดและความเชื่อที่มีมาอย่างยาวนานในระบบราชการและการเมืองที่ว่า...

“งานจะสำเร็จได้ต้องมีงบประมาณมากพอเท่านั้น” มาเป็น “หากมี ‘ความตั้งใจ’ แล้ว แม้ ‘งบประมาณจะน้อย’ แต่งานก็สามารถสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีได้”

‘กฟผ. - Metlink’ แลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนฯ ปักหมุด!! วิธี ‘ไครโอเจนิค’ เล็งต่อยอดใช้งานในโรงไฟฟ้าของ กฟผ.

เมื่อวันที่ (20 มี.ค.67) นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน เป็นผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามสัญญารักษาความลับ Confidentiality Agreement (CA) ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้เทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีไครโอเจนิค (Cryogenic Carbon Capture: CCC) กับนายประพันธ์ อัศวพลังพรหม กรรมการและประธานบริหาร ผู้แทนจาก บริษัท เมทลิงค์ อินโฟ จํากัด (Metlink Info Co.,Ltd) โดยมีนายฉัตรชัย มาวงศ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการวิศวกรรมและก่อสร้างโรงไฟฟ้า กฟผ. และนายนิพนธ์ ลิ่มบุญสืบสาย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เมทลิงค์ อินโฟ จํากัด ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี

นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน กฟผ. กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า เป็นก้าวสำคัญในการขยายองค์ความรู้ด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กว้างขึ้น โดยการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีไครโอเจนิคหรือความเย็นยิ่งยวด Cryogenic Carbon Capture: CCC เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าสนใจ สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ได้ในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Triple S: Sink ของ กฟผ. ด้วยวิธี ‘การดักจับ ใช้ประโยชน์และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS)’ ซึ่งจะตอบโจทย์แผน EGAT Carbon Neutrality ที่มีเป้าหมายเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 

นายประพันธ์ อัศวพลังพรหม กรรมการและประธานบริหาร ตัวแทนจาก บริษัท Metlink เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ กฟผ. สามารถบรรลุเป้าหมายของ CCUS ด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยการดักจับคาร์บอนด้วยวิธีความเย็นยิ่งยวด เป็นเทคโนโลยีทางเลือกในการดักจับคาร์บอน และกำลังได้รับการพัฒนาเพื่อใช้งานในโรงไฟฟ้า สามารถแข่งขันได้ในเชิงต้นทุน และคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จากการดักจับมีความบริสุทธิ์เกือบ 100% จึงมีศักยภาพที่จะนำไปใช้งานได้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และทางการแพทย์ เป็นต้น

‘OR’ นำร่องใช้รถไฟฟ้าขนาดใหญ่ขนส่งเมล็ดกาแฟดิบ ระยะทางไกล ‘เชียงใหม่-อยุธยา’ รายแรกของไทย

(21 มี.ค. 67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วย ดร.อารยา คงสุนทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (WICE) และ นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจกลุ่มบริษัท WICE ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการทดลองการขนส่งเมล็ดกาแฟดิบ โดยยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ (EV Truck) หรือ Green Logistics for Café Amazon Project ระหว่าง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) โดยมี นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR และ นายธเนศ เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ WICE ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องพลังไทย 2 ชั้น M อาคาร 2 อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่

นายดิษทัต เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ WICE ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการร่วมกันศึกษาและสร้างต้นแบบ (Prototype) ‘กรีน โลจิสติกส์’ (Green Logistics) สำหรับทดลองระบบการขนส่งสินค้าระยะไกลด้วย EV Truck เป็นเจ้าแรกของประเทศไทย เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี และความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีให้แก่ OR ต่อไป 

โดย OR และ WICE จะร่วมกันออกแบบ EV Truck พร้อมทดลองการขนส่ง โดยกำหนดเส้นทางการขนส่ง ‘กรีน คอฟฟี่ บีน รูท’ (Green Coffee Bean Route) เพื่อขนส่งเมล็ดกาแฟดิบจากต้นทางที่โกดังเก็บเมล็ดกาแฟของ OR อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ มายังปลายทางที่โกดังเก็บเมล็ดกาแฟที่ศูนย์ธุรกิจไลฟ์สไตล์คาเฟ่อเมซอน (OASYS) อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้เครือข่ายสถานีชาร์จ EV Station PluZ ของ OR ในเส้นทาง ‘Green Coffee Bean Route’ เป็นจุดพักเพื่อชาร์จไฟของรถขนส่ง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกิจกรรมการขนส่งสินค้า ตลอดจนช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างต้นแบบของการนำห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจสู่ความเป็น Green ทั้งระบบนิเวศของ OR และการพัฒนา Ecosystem ของกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเมล็ดกาแฟแบบยั่งยืน โดยก่อนหน้านี้ OR ได้เปิดจุดรับซื้อและโรงแปรรูปกาแฟคาเฟ่ อเมซอน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดรับซื้อเมล็ดกาแฟกะลาอะราบิกาจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรโดยตรงในราคาที่เป็นธรรม รวมถึงได้เปิดแผนการดำเนินโครงการอุทยาน คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon Park) ที่จังหวัดลำปาง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจต้นน้ำของคาเฟ่อเมซอน และเป็นการสร้างแลนด์มาร์กแห่งใหม่ ณ จังหวัดลำปาง เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

ดร.อารยา กล่าวว่า สำหรับความร่วมมือ กับ OR ในครั้งนี้ จะส่งเสริมแนวทางการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ให้สอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของ WICE พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของบริษัท ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ไปพร้อมกับการดูแลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน (Green Logistics) และช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ด้าน ESG ของ OR ในการผลักดันการใช้รถไฟฟ้าในการเดินทางและขนส่งให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานอย่างไร้รอยต่อ และมุ่งเน้นให้การใช้ยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกภาคส่วน ซึ่งการให้บริการด้านยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) เป็นหนึ่งโครงการที่ WICE ได้ริเริ่มและผลักดันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับพันธมิตรและคู่ค้า เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ ไปสู่ระบบยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) อย่างแท้จริง

“ความร่วมมือในครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR SDG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ‘G’ หรือ ‘GREEN’ หรือการสร้างโอกาสเพื่อสังคมสะอาด โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของ OR รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) และบรรลุเป้าหมายของ OR 2030 Goals หรือเป้าหมายขององค์กรในการสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกับสังคมชุมชน สิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับผลดำเนินการงานที่ดี” นายดิษทัต กล่าวเสริมในตอนท้าย

‘ผู้ว่าฯ กฟผ.’ แนะ!! รัฐฯ ควรเคาะ ‘ค่าไฟ’ ปีละ 1 ครั้ง หวังลดภาระประชาชน - เอื้อเอกชนในการคิดต้นทุน

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.67) ที่สำนักงานใหญ่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. คนใหม่ (คนที่ 16) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานของ กฟผ. และแนวทางการบริหารงาน ว่า ระยะเวลา 1 ปี 4 เดือน ในฐานะผู้ว่าการ กฟผ. จะเร่งเดินหน้า 5 ภารกิจสำคัญ คือ 1.รักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้า 2.บริหารจัดการค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรมและแข่งขันได้ 3.ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศ 4.ดำเนินการตามนโยบายภาครัฐ และ 5.เป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐ โดย กฟผ. เป็นกลไกของรัฐเพื่อดำเนินนโยบายด้านพลังงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในการพัฒนาประเทศ ในช่วงที่ประเทศไทยเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ระบบไฟฟ้าต้องมีประสิทธิภาพและความมั่นคงสูง พร้อมส่งต่อไฟฟ้าที่มีคุณภาพไฟไม่ตก ไม่ดับ ควบคู่กับการดูแลค่าไฟฟ้าให้สามารถแข่งขันได้และเป็นธรรม เพื่อเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ

นายเทพรัตน์ กล่าวว่า นอกจากนี้อยากให้ภาครัฐพิจารณาปรับรูปแบบการคำนวณค่าไฟของประเทศให้ต่ำและนิ่งกว่านี้ จากปัจจุบันค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) จะคำนวณตามต้นทุนเชื้อเพลิงทุก 4 เดือน ทำให้ค่าไฟขึ้นลงผันผวน กระทบต่อค่าครองชีพประชาชน การคำนวณต้นทุนของภาคเอกชน ซึ่งปกติเอกชนจะโควทต้นทุนที่สูงที่สุดของปีและเมื่อค่าไฟถูกลงก็ไม่ได้ลดราคาสินค้าลง ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรกำหนดค่าไฟให้ต่ำและนิ่งอาจคำนวณทุก 1 ปี เพื่อให้ทุกภาคส่วนรับรู้ต้นทุนระยะยาว เพราะราคาพลังงานขึ้นลงเป็นปกติ สามารถหักลบกัน เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนไทยทั้งประเทศแน่นอน

นายเทพรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบัน กฟผ.รับภาระค่าไฟแทนประชาชนอยู่ที่ 99,689 ล้านบาท คาดว่าค่าไฟงวดใหม่ เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567 ที่อยู่ระหว่างรับฟังความเห็นจากประชาชนจะสรุปตัวเลขที่ 4.18 บาทต่อหน่วย โดย กฟผ.จะได้เงินคืน 7 งวด งวดละ 14,000 ล้านบาท หรือ 20.51 สตางค์ต่อหน่วย คาดหวังอัตราค่าไฟหลังจากนี้ กฟผ.จะได้เงินคืนรูปแบบนี้ทั้ง 7 งวดเพื่อบริหารสภาพคล่อง กฟผ. โดยปี 2567 กฟผ.ตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท เน้นลงทุนปรับปรุงระบบสายส่ง และโซลาร์ลอยน้ำ และปัจจุบัน กฟผ.มีสัดส่วนผลิตไฟฟ้าประมาณ 30% ของการผลิตทั้งประเทศ

‘BWG-ETC’ 2 หุ้นธุรกิจขยะอุตสาหกรรมน่าจับตามอง หลังปิดดีลหมื่นล้าน ลงทุนโรงไฟฟ้าขยะอุตฯ-ผลิตเชื้อเพลิง

เรียกว่าเป็นหุ้นธุรกิจขยะอุตสาหกรรมคู่หูดูโอ้ ที่น่าจับตาจริง ๆ สำหรับ หุ้นบมจ.เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) และบมจ.เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ (ETC) เพราะล่าสุดได้ประกาศบิ๊กดีล จนกลายเป็น talk of the town ในการผนึกร่วมลงทุนกับ GULF จำนวน 12 โครงการ และโครงการลงทุนโรงงานผลิตเชื้อเพลิง SRF จำนวน 3 โครงการ เพื่อลุยลงทุนโรงไฟฟ้าขยะ-ผลิตเชื้อเพลิง SRF 20,800 ล้านบาท จนถูกยกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมเบอร์ 1 ของประเทศไปแล้ว 

เรียกว่ามาเหนือเฆมจริง ๆ และแว่ว ๆ ว่าหลังจากนี้จะเข้าสู่โหมดจัดกระบวนทัพการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะตามแผนที่วางไว้ สู่การเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป 

สงสัยว่างานนี้ FC นั่งคำนวณบวกลบคูณหารรายได้ที่จะเข้าทยอยตามสัดส่วนของทั้ง 12 โครงการ     กันแล้ว เพราะหากทุกโปรเจกต์แล้วเสร็จทั้ง BWG และ ETC คงเปิดกระเป๋ารับทรัพย์กับแบบคึกคักกันอย่างแน่นอน 

แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่า ‘ขยะอุตสาหกรรมทองคำที่น่าลงทุน’

'รมว.ปุ้ย' ชวนยล!! เสน่ห์แห่ง 'ผ้ายกเมืองนคร' ผลิตภัณฑ์ผ้านครศรีฯ ที่ลือชื่อมาแต่ครั้งโบราณ

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึง 'ผ้ายกเมืองนคร' ผ้าดีจากเมืองคอนที่สร้างชื่อกระฉ่อนในวงการผ้าไทย ว่า...

"มีคนถามปุ้ยมาค่ะ 'ผ้ายกเมืองนคร' ทำอย่างไรให้ขึ้นชื่อลือชากระฉ่อนในวงการผ้าไทย นี่เลยค่ะ ปุ้ยใช้ผ้ายกเมืองนครจากนครศรีธรรมราช บ้านเราค่ะ 

"ต้องเล่าความเป็นมาก่อนนะคะ ผ้ายกเมือง เป็นผ้าจากฝีมือการทอผ้าของชาวเมืองนครศรีธรรมราช มีชื่อนามปรากฏในประวัติศาสตร์เรื่องราวต่างๆ มานับร้อยปี เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ 'ผ้ายกเมืองนคร' 

"สมัยก่อนชาวเมืองนครศรีธรรมราชนิยมนุ่งผ้าโจงกระเบน รวมถึงข้าราชการกรมเมือง ข้าราชการศาลและราษฎรทั่วไปนุ่งกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะเจ้านายฝ่ายหญิงของเมืองนครฯ แต่โบราณ จะนุ่งผ้ายกจีบเวลาออกรับแขกบ้านแขกเมือง หรือไปทำการงานพิธีบุญต่างๆ และมีผ้ายกสำคัญที่ชื่อ 'ผ้ายกขาวเชิงทอง' ใช้นุ่งในพิธีการถือพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราช  

"ผู้ที่เข้าพิธีถือน้ำจะต้องนุ่งผ้ายกขาวเชิงทองเรียกว่าหรือเรียกอีกชื่อว่า 'ผ้าสัมมะรส' และยังมีผ้ายกทองซึ่งมีด้ายทำจากทองคำ จะใช้สำหรับเฉพาะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในรั้วในวังหรือเจ้าพระยาเท่านั้น ซึ่งมีบันทึกตรงกันหลายแหล่งว่าเจ้าพระยานครได้ส่งผ้ายกเข้ามาถวายเจ้านายในเมืองหลวง ส่วนผ้ายกธรรมดาก็ใช้กันโดยทั่วไป

"ปัจจุบันผ้ายกเมืองนคร เป็นที่นิยมมากค่ะ เป็นผ้าที่มีความเป็นมายาวนานอยู่ในวัฒนธรรมของชาวนครศรีธรรมราช มีคุณลักษณะพิเศษคือ สามารถนำมาออกแบบตัดเย็บได้อย่างหลากหลาย ทั้งชุดสวมใส่เพื่อความสวยงามทั่วไป ชุดเครื่องแต่งกายที่มีระเบียบแบบแผน หรือพิธีการสำคัญต่างๆ ผ้ายกเมืองนครจะโดดเด่นมากค่ะ หรือจะเป็นชุดสูททางการเช่นที่ปุ้ยจะนิยมนำมาใช้เสมอมาแบบนี้ ทำนองนี้ค่ะ 

"ช่างตัดเย็บ นักออกแบบสามารถออกแบบได้อย่างหลากหลายตามสมัยค่ะ"

‘บางกอกเคเบิ้ล’ เปิดแผนกลยุทธ์ปี 67 ทุ่มงบกว่า 500 ล้านบาท ขยายกำลังผลิต ‘สายไฟฟ้า-สายเคเบิ้ล’ หวังรองรับการเติบโตในอนาคต

(20 มี.ค.67) บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) ผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลชั้นนำในภูมิภาค เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เผยแผนกลยุทธ์ปี 2567 ซึ่งมุ่งเน้นการขยายตลาดทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับความต้องการด้านพลังงานและเทรนด์ของพลังงานหมุนเวียน โดยเพิ่ม

โดยงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตสายไฟฟ้าชนิดแรงดันปานกลางและแรงดันสูงพิเศษเป็น 2 เท่า และเพิ่มยอดจำหน่ายสายโซลาร์เซลล์หรือสายเคเบิ้ล PV (Photovoltaic Cable) เป็น 3 เท่า พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า 30% และขยายส่วนแบ่งตลาดเป็น 35% ตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพมาตรฐานระดับโลก ที่รองรับทุกการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ด้าน นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) เปิดเผยว่า “เพื่อให้สอดรับกับความต้องการใช้สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การใช้พลังงานหมุนเวียน รวมถึงพลังงานทางเลือกอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ ในปีนี้ BCC จึงได้กำหนดแผนการดำเนินงานที่ท้าทายการเติบโตของธุรกิจยิ่งกว่าที่ผ่านมา โดยวางงบลงทุนไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตในกลุ่มสายไฟฟ้าชนิดแรงดันปานกลางและแรงดันสูงพิเศษเป็น 2 เท่า และเพิ่มสัดส่วนยอดขายในประเภทสายโซลาร์เซลล์เป็น 3 เท่า พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโต ไม่น้อยกว่า 30% และส่วนแบ่งการตลาด 35%”

ทั้งนี้ ความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเป็น 3 เท่าในอีก 30 ปีข้างหน้านับจากปี 2563 รวมถึงเทรนด์ ESG และ Net Zero เป็นการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานจากแหล่งดั้งเดิมไปสู่พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น สอดคล้องกับทิศทาง

การใช้พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าในปี 2567 จะขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 3.5% และเพิ่มขึ้น 3.3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า สอดรับกับนโยบายภาครัฐ เช่น แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ แผนการใช้ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมรถยนต์พลังงานสะอาด ซึ่งมีความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มสูงขึ้น

ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 55,000 ล้านบาท โดย BCC ครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 25% สัดส่วนรายได้หลักของธุรกิจส่วนใหญ่มาจากการขายภายในประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจก่อสร้างและอาคาร 31% กลุ่มอุตสาหกรรม 26% กลุ่มไฟฟ้าและพลังงาน 23% และอื่น ๆ 19% โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา BCC มีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 12,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% (Double-digit growth) เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้ 11,400 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 60 ปี

สำหรับการขยายตลาดในต่างประเทศ ตลาดหลักของ BCC อยู่ในแถบภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา โดยเจาะกลุ่มธุรกิจรีเทล ตลาดค้าส่ง และโครงการภายใต้การสนับสนุนของภาครัฐ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา BCC มียอดขายในเมียนมากว่า 1,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ ก้าวขึ้นครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในเมียนมาและสปป.ลาว นอกจากนี้ มีการส่งออกไปยังสิงคโปร์ จีน ฟิลิปปินส์ อินเดีย เม็กซิโก และออสเตรเลีย

ด้วยการวิจัยและพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้ BCC เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ที่ตอบโจทย์การใช้งานในตลาดทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ ชนิดแรงดันต่ำ แรงดันปานกลาง แรงดันสูง และแรงดันสูงพิเศษ รองรับความต้องการของทั้ง 7 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักทั้งภายในและต่างประเทศได้อย่างลงตัว ได้แก่ กลุ่มธุรกิจก่อสร้างและอาคาร (Construction & Building) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) กลุ่มอุตสาหกรรม (Industrial) กลุ่มธุรกิจยานยนต์ (Automotive) กลุ่มจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) กลุ่มการส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) และกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy)

ปัจจุบัน BCC ถือเป็นเจ้าตลาดในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกการใช้งาน โดดเด่นด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสูง ในราคาที่แข่งขันได้ การส่งมอบที่รวดเร็ว โดยเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลเพียงรายเดียวในประเทศไทยที่อยู่ในสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กขององค์การสหประชาชาติ (UN Global Compact Network Thailand: UNGCT) เครือข่ายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

“BCC มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จากการขยายฐานลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ ในอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล เช่น โครงสร้างพื้นฐาน โครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน ท่าอากาศยาน และท่าเรือ ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ เดินหน้าพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ผสานความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรม เพื่อส่งมอบสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลมาตรฐานระดับสูง รองรับการเติบโตของตลาดไฟฟ้าและพลังงาน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น” คุณพงศภัค กล่าวสรุป

ทั้งนี้ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) ผู้นำเทคโนโลยีการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลระดับภูมิภาค เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับโลก ครอบคลุมทุกการใช้งาน ผสานความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรม เพื่อการส่งมอบที่รวดเร็ว ในราคาที่แข่งขันได้ ตลอดระยะเวลา 60 ปี BCC ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลรายแรกของประเทศ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตเคียงข้างการพัฒนาประเทศและภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top