Sunday, 5 May 2024
COLUMNIST

เปิดเรื่องราว ‘Genepil’ ราชินีองค์สุดท้ายแห่งดินแดนมองโกเลีย สู่แรงบันดาลใจชุดเจ้าหญิง ‘Padmé’ ในภาพยนตร์ Star Wars


อดีตราชอาณาจักรมองโกเลีย ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ส่วนได้แก่ สาธารณรัฐมองโกเลีย ซึ่งได้รับเอกราชจากสาธารณรัฐจีนในปี 1911 และเขตปกครองตนเองมองโกเลียในภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน โดย Genepil (เกอเนอพิล) เป็นพระชายาองค์ที่ 2 ของ Bogd Khanate (Bogd Khan : ผู้ปกครองผู้ศักดิ์สิทธิ์) กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรมองโกเลีย (มองโกลข่านองค์สุดท้าย) ระหว่างปี 1911 ถึง 1924 

ในปี 1921 มองโกเลียเกิดการปฏิวัติของตนเองซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติรัสเซีย ทำให้ Bogd Khanate ถูกกักบริเวณในวัง ในเวลาต่อมาได้รับอิสรภาพและกลับคืนสู่สถานะเดิม แต่ก็เป็นผู้ปกครองเพียงแต่ในนามเท่านั้น 

สำหรับ Genepil เป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนาง เธอเกิดในปี 1905 ที่เมือง Tseyenpil ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของมองโกเลียไม่ไกลจาก Baldan Bereeven อารามที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในมองโกเลีย 


หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระราชินี Dondogdulam ในปี 1923 Genepil ได้รับเลือกให้เป็นพระมเหสีจากกลุ่มสตรีชาวมองโกเลียที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 20 ปี ซึ่งได้รับการเลือกโดยคณะองคมนตรีของกษัตริย์ Bogd Khanate แม้ว่าขณะนั้น Genepil ได้สมรสกับชายชาวมองโกเลียชื่อ Luvsandamba อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรค เนื่องจากเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าการเป็นพระชายาของกษัตริย์ Bogd Khanate นั้นเป็นไปในนามเท่านั้น และการอภิเษกสมรสก็จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อถูกนำตัวไปที่พระราชวัง Genepil ได้รับการบอกเล่าถึงชะตากรรมของเธอเมื่อเธอมาถึงพร้อมกับคำรับรองขององคมนตรีว่า ในไม่ช้าเธอจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้เนื่องจาก Bogd Khanate เองทรงมีสุขภาพไม่ดี


แต่ Genepil ได้รับการสถาปนาเป็นพระราชินีได้ไม่ครบปี กษัตริย์ Bogd Khanate ก็สิ้นพระชนม์ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1924 ซึ่งเป็นช่วงที่ระบอบกษัตริย์ของมองโกเลียถูกยกเลิก เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย (ระหว่างปี 1924 ถึง 1992) อันเนื่องจากการเข้ามาแทรกแซงของสหภาพโซเวียต หลังจากออกจากราชสำนักมองโกเลีย อดีตราชินี Genepil ต้องกลับไปอยู่ครอบครัวของพระนาง 


ต่อมารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียในในช่วงทศวรรษที่ 1930 ภายใต้จอมพล Khorloogiin Choibalsan ผู้นำมองโกเลียและจอมพลแห่งกองทัพประชาชนมองโกเลีย ผู้ได้รับฉายาว่า 'Stalin' แห่งมองโกเลีย' ได้ดำเนินการปราบปรามกวาดล้างบรรดาผู้เห็นต่างลัทธิคอมมิวนิสต์ตามระบบสตาลินเพื่อกำจัดวัฒนธรรมมองโกเลียและส่วนที่เหลือของระบอบการปกครองเก่า 

ปฏิบัติการอันโหดร้ายนี้ส่งผลให้บรรดาหมอผีและลามะในมองโกเลียถูกกวาดล้างไปจนเกือบหมด ประมาณการว่ามี ‘ศัตรูของการปฏิวัติ’ ระหว่าง 20,000 ถึง 35,000 รายถูกประหารชีวิตในช่วงเวลานี้ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 3 ถึง 5 ของประชากรทั้งหมดของมองโกเลียในขณะนั้น 

และในปี 1937 รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียได้ตั้งข้อกล่าวหาว่า อดีตราชินี Genepil และพรรคพวกได้ทำการรวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อก่อการจลาจลโดยได้รับความช่วยเหลือจากจักรววรดิญี่ปุ่น ต่อมาเธอถูกจับกุมและประหารชีวิตในปี 1938 ในขณะที่เธอถูกประหารชีวิตนั้น เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่


ทั้งนี้ เครื่องแต่งกายของ Genepil ถูกมองว่าเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดของเจ้าหญิง Padmé Amidala Naberrie ในภาพยนตร์ Star Wars (Star Wars : The Phantom Menace) จากภาพลักษณ์ของสตรีชาวมองโกเลียในปี 1921 ซึ่งน่าจะเป็นอดีตราชินี Genepil นั่นเอง 

ซึ่งในภาพยนตร์ Star Wars เจ้าหญิง Padmé Amidala ผู้เป็นราชินีแห่ง Naboo และวุฒิสมาชิกแห่งวุฒิสภา Galactic ด้วย เธอได้แต่งงานกับ Anakin Skywalker (Darth Vader) ผู้เป็นบิดาของ Luke Skywalker ดังนั้นเธอจึงเป็นมารดาของ Luke พระเอกของภาพยนตร์ Star Wars เธอเสียชีวิตในขณะที่ให้กำเนิดลูกแฝด Luke Skywalker และ Leia Organa เธอเป็นแรงกระตุ้นให้ Anakin Skywalker เข้าไปสู่ด้านมืดของพลัง และในที่สุดกลายเป็น Darth Vader ไป

ทั้งนี้ เจ้าหญิง Padmé Amidala Naberrie ซึ่งรับบทโดย Natalie Portman สวมชุดสีแดงสดสะดุดตาที่มีแขนเสื้อกว้างและเครื่องประดับศีรษะที่แวววาวซึ่งชวนให้นึกถึงเขาวัว ชุดนี้เป็นหนึ่งในชุดยอดนิยมของผู้ที่ชื่นชอบแต่ง Cosplay ภาพยนตร์ Star Wars มาก และนักออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์ Star Wars ก็ยอมรับว่า พวกเขาได้เห็นเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมของทิเบตและมองโกเลีย จึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดของ เจ้าหญิง Padmé Amidala Naberrie ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกสุนทรีย์ที่ให้ความรู้สึกแบบเอเชีย


แม้ว่า มองโกเลียจึงได้รับเอกราชจากจีนในปี 1911 ได้สำเร็จ แต่ก็ถูกแบ่ง 2 ส่วน ด้วยอิทธิพลของสหภาพโซเวียต ซึ่งส่งกองทหารเข้ามายังมองโกเลียตั้งรัฐบาลใหม่แล้วบังคับให้ชาวมองโกเลียเลิกใช้อักษรมองโกเลีย โดยเปลี่ยนไปใช้อักษรสลาโวนิกที่ใกล้เคียงกับภาษารัสเซียมากกว่าแทน 

แต่เขตปกครองตนเองมองโกเลียในภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งไม่ได้ถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียตยังคงใช้ภาษามองโกเลียต่อมาจนถึงทุกวันนี้ 

นอกจากนี้ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาสคริปต์ภาษามองโกเลียดิจิทัลโดยมหาวิทยาลัยจีนจนสามารถพิมพ์ภาษามองโกเลียในเว็บไซต์ต่าง ๆ  ได้แล้ว ขณะที่ตอนนี้ชาวมองโกเลียในของสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และ GDP เฉลี่ยต่อคนมากกว่าสาธารณรัฐมองโกเลียถึง 2 เท่า 

ไม่นานมานี้สาธารณรัฐมองโกลประกาศว่า จะเลิกใช้ภาษาสลาโวนิก และกลับมาเรียนรู้และใช้สคริปต์ภาษามองโกเลียที่ใช้ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียในของจีน 

สถานการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในทิเบตและซินเจียงเช่นกัน อักษรทิเบตและอักษรอุยกูร์ทั้งหมดถูกแปลงเป็นดิจิทัลโดยมหาวิทยาลัยจีน สามารถพิมพ์บนอินเทอร์เน็ตได้ และเป็นข้อพิสูจน์ว่า การที่โลกตะวันตกมักจะเอ่ยอ้างว่า รัฐบาลจีนได้ทำลายล้างวัฒนธรรมของชาวมองโกล ชาวทิเบต และชาวซินเจียง จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

👍 ติดตามผลงาน อาจารย์ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/ดร.ปุณกฤษ%20ลลิตธนมงคล 
 

‘Volkswagen’ พ่าย 'BYD' รถยนต์ขายดีในจีน แต่ยังครองแชมป์ 'แบรนด์รถยนต์ต่างชาติ’ ยอดนิยม

แม้ว่าปี 2023 ที่ผ่านมาจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ Volkswagen ไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในจีนแล้วก็ตาม และยังต้องสูญเสียตำแหน่งนี้ให้กับ BYD แบรนด์รถยนต์ของจีนเอง แต่ Volkswagen ก็ยังคงเป็นแบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับหนึ่งของจีน โดยยอดขายทิ้งห่าง Toyota แบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับสองถึงกว่า 500,000 คัน และหากรวมเอายอดขายของ Audi แบรนด์รถยนต์ต่างชาติในเครือของ Volkswagen แล้วยอดขายของสองแบรนด์รถยนต์จะพุ่งขึ้นเฉียดสามล้านคัน ยังไม่รวมแบรนด์รถยนต์อื่น ๆ ภายใต้ Volkswagen Group China อันได้แก่ Škoda , Bentley และ Lamborghini ซึ่งจะทำให้ยอดขายโดยรวมมากกว่าสามล้านคันเลยทีเดียว

28 มีนาคม 1937 'Gesellschaft zur Vorbereitung des Deutschen Volkswagens GmbH' ก่อตั้งขึ้นในประเทศเยอรมนี ต่อมาในวันที่ 16 กันยายน 1938 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 'Volkswagenwerk GmbH' ปัจจุบัน Volkswagen เป็นบริษัทรถยนต์นานาชาติรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งผลิตและจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลก บริษัทเยอรมันแห่งนี้เป็นเจ้าของรถยนต์แบรนด์ดังระดับโลกหลายยี่ห้อ เช่น Audi, Skoda, Lamborghini, Bentley, Porsche, Bugatti, Seat และ Scania

ในจีน Volkswagen ดำเนินการภายใต้บริษัท Volkswagen Group China โดยตลาดรถยนต์จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของ Volkswagen โดยคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขายทั่วโลกของ Volkswagen การดำเนินงานของ Volkswagen ในประเทศจีน ได้แก่ การผลิต การขาย และการบริการรถยนต์ทั้งคัน ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง และ จำหน่ายและบริการรถยนต์นำเข้า ยานพาหนะที่ผลิตในประเทศและนำเข้าของบริษัทจำหน่ายภายใต้ชื่อแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศจีน โดย Volkswagen Group China เป็นบริษัทร่วมทุนระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด และประสบความสำเร็จมากที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน บริษัทเริ่มเข้ามาบุกเบิกในจีนตั้งแต่ช่วงต้นปี 1978 และเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ของจีนมายาวนานหลายทศวรรษ จีนเป็นตลาดเดียวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ Volkswagen 

การเข้าสู่ประเทศจีนของ Volkswagen เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 1985 เมื่อก่อตั้ง Shanghai Volkswagen โรงงานแห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ เป็นบริษัทร่วมทุน โดยจีนและเยอรมนีต่างถือครองเงินลงทุนเริ่มแรกฝ่ายละครึ่ง ปัจจุบันเป็นฐานการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ภายใต้แบรนด์หลักสองแบรนด์ Volkswagen และ Skoda ครอบคลุม ตลาด A0, A, B และ SUV แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทผลิตรถยนต์ต่างประเทศรายอื่น อาทิ Santana Motor บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติสเปน และแน่นอนในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับคู่แข่งซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ท้องถิ่น เช่น BYD (ซึ่งสามารถแซงหน้า Volkswagen ได้แล้ว) Geely หรือ Changan ฯลฯ

แม้ว่าตลาดรถยนต์ของจีนอยู่ในช่วงการเติบโตที่ลดลง สืบเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง และกำลังเริ่มฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตที่สูงของตลาดรถ SUV (Sport Utility Vehicle) ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์หลายราย ตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2017 ยอดขายรถ SUV เติบโตอย่างรวดเร็วในจีน โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 27% ส่วนแบ่งของ SUV ในตลาดจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ SUV รุ่น Teramont และ Phideon ของ Volkswagen สะท้อนถึงแนวโน้มสำคัญในตลาดรถยนต์จีน Teramont ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์ SUV ปัจจุบันรถยนต์จดทะเบียนใหม่ในจีนประมาณ 40% เป็นรถยนต์ SUV และตัวเลขดังกล่าวก็กำลังเพิ่มขึ้น เฉพาะแบรนด์ Volkswagen เพียงแบรนด์เดียวก็มีรถยนต์ SUV มากกว่า 10 รุ่นในตลาด SUV ภายในสิ้นปี 2020 ในปี 2018 มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่น Tharu, Tayron, Touareg และ T-Roc ในปี 2564 Volkswagen ได้ลงทุนมากกว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มรถ SUV ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้

ปัจจุบันจีนมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำเทรนด์ของโลกและเป็นตลาดด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60 ของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลกในปี 2018 และมียอดขายรถยนต์โดยสารระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าประมาณหนึ่งล้านคันในจีน โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 50% ในปี 2019 รัฐบาลจีนให้ความสนใจอย่างมากต่อรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในปี 2020 ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยของยานพาหนะอยู่ที่ 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เพื่อพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น รัฐบาลจีนจึงกำหนดโควตารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้บริษัทผู้ผลิตในจีนที่ขายรถยนต์มากกว่า 30,000 คันในจีนต้องผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 10% 

Volkswagen กับตลาดรถยนต์สีเขียวของจีน โดย Volkswagen Anhui (ชื่อเดิม JAC-Volkswagen) เป็นการร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ระหว่าง JAC Motors กับ Volkswagen ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเหอเฟย มณฑลอานฮุย โดยเริ่มแรกเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้ แบรนด์ SEAT และต่อมาคือแบรนด์ Sehol ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Volkswagen Anhui หลังจากที่ Volkswagen เข้าถือหุ้นใหญ่ (75%) ในบริษัทในปี 2020 พร้อมกับถือหุ้น 50% ใน JAG (บริษัทแม่ของ JAC) ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของในข้อตกลงมูลค่าหนึ่งพันล้านยูโร บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า โดยมีศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา e-Mobility ที่จะให้บริการแก่ Volkswagen Group ทั้งหมดในประเทศจีน Volkswagen กำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม MEB ของ Volkswagenโดยมีกำลังการผลิต 350,000 คันต่อปีภายใต้บริษัท ควบคู่ไปกับโรงงานระบบแบตเตอรี่ภายใต้บริษัท VW Anhui Components ที่ถือหุ้นทั้งหมด 

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนเพิ่มอีก 23.1 พันล้านหยวน (3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ใน Volkswagen Anhui ซึ่งประกอบด้วย 14.1 พันล้านหยวนสำหรับศูนย์วิจัยและพัฒนา และเกือบ 9.1 พันล้านหยวนในระยะแรกของฐานการผลิตในเหอเฟย ทั้งนี้ในเดือนเมษายน ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านยูโร (1.1 พันล้านดอลลาร์) ในศูนย์กลางแห่งใหม่ของจีนที่เรียกว่า 100% TechCo เพื่อการพัฒนา นวัตกรรม และการจัดหารถยนต์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออย่างเต็มรูปแบบ โรงงานดังกล่าวจะตั้งอยู่ในเมืองเหอเฟย ใกล้กับ Volkswagen Anhui ด้วยจำนวนพนักงาน 2,000 คน โดย Volkswagen มีแผนที่จะผสานการวิจัยและพัฒนายานยนต์และส่วนประกอบเข้ากับการจัดซื้อ ซึ่งจะทำให้วงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่สั้นลงประมาณ 30% คาดว่าจะ "มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโมเดลแบรนด์ Volkswagen ในอนาคตที่จะเปิดตัวในปี 2567

หลายสิบปีมาแล้วที่ Volkswagen เป็นรถ Taxi ยอดนิยมในจีน

กลับมาดูบ้านเราแม้จะเป็นฐานการผลิตของรถยนต์มากมายหลายแบรนด์ทั้งค่ายตะวันตกและตะวันออก ทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศรองรับเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มรถยนต์ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากพลังงานสันปดาบมาเป็นพลังไฟฟ้าแล้ว แต่จนทุกวันนี้บ้านเราก็ยังไม่มีวี่แววที่จะได้เห็นแบรนด์รถยนต์แห่งชาติเลย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าที่สุดแล้วจะมีนักลงทุนชาวไทยได้คิดที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แบรนด์ไทยให้ได้ใช้กันในอนาคต
 

รู้จัก 'ลุงดอน' ตัวเดินเรื่องแห่ง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ หน่วยราชการพิเศษ ผู้ภักดีและอยู่เคียงข้าง ‘ในหลวง ร.๗’

ผมไม่แน่ใจว่าท่านผู้อ่านจะได้ชมภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง '๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' หรือ '2475 Dawn of Revolution' กันแล้วหรือยัง? จะมีมุมมองในเหตุการณ์ที่แอนิเมชันเรื่องนี้ได้นำมาเล่าเรื่องราวแบบไหน? อันนี้แล้วแต่วิจารณญาณและภูมิรู้ที่แตกต่างกันไปนะครับ 

ขอบอกว่าบทความนี้มีสปอยภาพยนตร์เรื่องนี้บางส่วน หากชมแล้วก็คงไม่มีปัญหา ส่วนผู้ที่ยังไม่ชมแนะนำว่าอ่านแล้วรีบไปชมกันนะครับ

มีเรื่องหนึ่งที่ทีมงานอยากให้ผมเล่าเกร็ดเล็ก ๆ ของตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ ‘ลุงดอน’ ซึ่งในเพจ #ปราชญ์สามสี ได้ลงข้อมูลว่าเป็นตัวละครที่ได้รับแรงบันดาลใจว่ามาจาก นาย ‘พโยม โรจนวิภาต’ ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง...เขาเป็นทั้งนักเขียน และเป็นถึงคนสนิทของ ‘รัชกาลที่ ๗’

เอาล่ะ!! ผมจะขยายความและเล่าเรื่องเล็ก ๆ ของ 'ลุงดอน' คนนี้ 

‘นายพโยม โรจนวิภาต’ เป็นมหาดเล็กรายงานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โดยตอนเป็นนักเขียนเขามีนามปากกา อ.ก. รุ่งแสง ซึ่งในภาษาอังกฤษ ก็คือ Dawn นั่นเอง (ติดตามอ่านเพิ่มเติมที่ #ปราชญ์สามสี ได้นะครับ : https://www.facebook.com/share/p/CtEEho9UgcQru1EM/?mibextid=oFDknk 

ที่มาของเรื่องราวสายลับนั้น เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม่นาน ซึ่งคณะราษฎร ซึ่งเป็นรัฐบาลกุมอำนาจการปกครองในเวลานั้น ได้จัดตั้งกองตำรวจพิเศษขึ้น โดยใช้ชื่อว่า ‘กองตำรวจสันติบาล' โดยให้มีหน้าที่สืบสวนหาข่าวสารทางการเมือง ติดตามสอดส่องการเคลื่อนไหวของบุคคลต่าง ๆ นั้น โดยเฉพาะพวกที่เชื่อได้ว่าเป็นพวก ‘กษัตริย์นิยม’ หรือ ‘รอยัสลิสต์’ ทั้งยังมี ‘กองนักสืบพลเรือน’ คอยสอดส่องเหตุการณ์ต่าง ๆ พร้อมรายงานหากบุคคลใด ๆ แสดงท่าทีอันเป็นปรปักษ์ต่อระบอบใหม่ โดยทำงานสอดประสานกับ ‘กองตำรวจสันติบาล’

ส่วนทางราชสำนัก ก็ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวขึ้นเช่นกัน แต่วัตถุประสงค์ไม่ได้เป็นไปในทางที่คณะราษฎรทำเลยแม้แต่นิดเดียว!!! 

เนื่องด้วย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงเกรงว่าพระราชวงศ์บางพระองค์อาจแสดงความไม่พอใจและมีปฏิกิริยาต่อทางรัฐบาลจนเกิดเป็นเรื่องขึ้น จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ฝ่ายราชสำนักจัดตั้งหน่วยราชการพิเศษ ให้คอยสอดส่องความประพฤติของพระราชวงศ์ รวมทั้งความเคลื่อนไหวในด้านต่าง ๆ ของบ้านเมืองโดยทั่วไปด้วย เพื่อทรงทราบว่าใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหนบ้าง ย้ำนะครับว่า 'พระราชวงศ์'

หน่วยราชการพิเศษนี้ใช้คนน้อยมาก ๆ ทั้งยังไม่ได้นำงบจากภาษีของประชาชนมาใช้เพื่อกำจัดใคร โดยหน่วยราชการนี้ประกอบด้วย ผู้สำเร็จราชการพระราชวังในฐานะหัวหน้าหน่วย และผู้ที่ข้าราชการผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดพระองค์ได้คัดเลือกแล้วว่าเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการข่าวสาร, หนังสือพิมพ์, วงสังคมทหารและพลเรือน เรียกว่าเป็นคนแบบ 'ไปที่ไหนก็เข้าได้' ที่สำคัญเป็นผู้ที่เคยถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามมากกว่า ๗ ครั้งอีกด้วย 

หน่วยราชการพิเศษที่ทรงตั้งขึ้นนี้ นอกจากเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว.เย็น อิศรเสนา) ผู้สำเร็จราชการพระราชวัง, มหาเสวกตรี พโยม โรจนวิภาต ซึ่งมีรหัสลับแทนตัวว่า 'พ. 27' กับ 'ผู้ช่วย' ที่ไม่ปรากฏชื่อแล้ว ซึ่งจะมีใครอีกหรือไม่ และจบบทบาทลงเมื่อใด ก็มิปรากฏชัดเจน โดย นายพโยม โรจนวิภาต เล่าถึงการตั้งหน่วยราชการพิเศษนี้ว่า...

“…เมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่พสกนิกรไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเกรงว่าอาจจะมีพระราชวงศ์บางองค์ คิดต่อต้านการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงทรงโปรดให้จัดตั้งหน่วยสอดส่อง ความประพฤติของบรรดาเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และทูลเกล้าฯ ถวายรายงานการเคลื่อนไหว แต่การณ์กลับปรากฎว่า พ.๒๗ ได้พบแต่ปฏิกิริยาของพวกคณะปฏิวัติ ทะเลาะวิวาท เพื่อแย่งชิงอำนาจกันเอง ทั้งยังสร้างความสะเทือนพระราชหฤทัยนานาประการ” 

หน่วยราชการพิเศษนี้ ทำหน้าที่เสมือนเป็นนักรายงานข่าว นักรวบรวมข้อมูลข่าว นักวิเคราะห์ข่าว และนักประเมินข่าว 'รายวัน' โดยใน ๑ วัน หน่วยงานนี้จะต้องรวบรวมข่าวสารการเมือง ที่นอกเหนือไปจากเรื่องที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งหลาย พร้อมสืบไปถึงเบื้องลึก เบื้องหลังอย่างแท้จริง และต้องกรองออกมาจนกลายเป็น 'ข่าวกรอง' ที่ได้กลั่นกรองมาแล้วอย่างแท้จริง โดยมีหลักสำคัญคือ ต้องไม่เสนอข่าวลือ ไม่เสนอข่าวที่ไม่ได้สอบสวนข้อเท็จจริงและต้องไม่สอดแทรกความคิดเห็นใด ๆ ใส่ลงไปนอกจากจะเป็นความคิดเห็นของบุคคลในข่าว ตามที่ได้สืบสวนมาเท่านั้น 

การรายงานข่าวดังกล่าวนี้ จะต้องรวบรวมเสนอผู้สำเร็จราชการพระราชวัง ในทุกคืน จนเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว ก็ต้องรีบจัดพิมพ์ให้เสร็จและอ่านให้ผู้สำเร็จฯ ฟังอีกครั้งหนึ่งเพื่อทวนความ ก่อนจะลงนามกำกับแล้วจึงนำไปผนึกซอง 'ติดครั่ง' ประทับตราพิเศษเป็นอักษรไขว้ พ.ร.ว. (แหวนตราชื่อย่อ พโยม โรจนวิภาต) เสร็จแล้วนำส่งเจ้าหน้าที่กรมวังก่อนย่ำรุ่ง เพื่อ 'เดินหนังสือ' ด้วยรถไฟขบวนแรกจากพระนครไปหัวหิน โดยรายงานนี้จะถึงพระราชวังไกลกังวลราวบ่ายโมงเศษ ซึ่งรัชกาลที่ ๗ จะทรงรับและเปิดซองนี้ด้วยพระองค์เองเพื่อทรงทอดพระเนตรในทันทีที่รายงานไปถึง

เหตุสำคัญครั้งหนึ่ง พ.๒๗ ได้เขียนรายงานไปยังในหลวงรัชกาลที่ ๗ ว่าจะมีการก่อกบฎต่อต้านรัฐบาล โดยโค้ดหมายเลข ๑ แทนตัวพระองค์เจ้าบวรเดช และโค้ดหมายเลข ๒ แทนตัวรองแม่ทัพกบฏคือพระยาศรีสิทธิสงคราม แต่รายงานที่ พ.๒๗ ส่งไปในครั้งนี้ ในหลวงท่านรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดกบฎต่อต้านรัฐบาล ซึ่งนำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชฯ ในหลวงตรัสกับ พ.๒๗ ว่า “ฉันนึกว่าแกจะรู้ลึกกว่านี้” 

ที่พระองค์ตรัสดังนี้ ไม่ใช่ว่าพระองค์มีส่วนรู้เห็นกับการก่อกบฏแต่ประการใด แต่เพราะพระองค์ทรงประเมินและทรงทราบมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วว่า พระองค์เจ้าบวรเดชมีใจอยากจะคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแต่แรกก่อนคณะราษฎร และคิดจะกำจัดพระยาพหลฯ มาตั้งแต่เริ่มมีเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เพราะพระองค์เคยทรงปรามไว้ จนทำให้พระองค์เจ้าบวรเดชทรงขุ่นเคือง ร.๗ เป็นอย่างมาก 

นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเตือนพระยาพหลฯ ไว้แล้วด้วยซ้ำว่า ให้ระวังพระองค์เจ้าบวรเดชไว้ (ใครจะบอกว่าพระองค์ทรงรู้เห็นและสนับเรื่องกบฏบวรเดชผมขออนุญาตตบปากสัก ๗ ครั้งนะครับ)

กลับมาที่ พ.๒๗ เขาได้เล่าไว้ในหนังสือ 'พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้า' ถึง 'แผนหลั่งเลือดในวังปารุสก์' โดยระบุไว้ว่า...

"…แผนหลั่งเลือดในวังปารุสก์ ซึ่งกลุ่มผู้ก่อการในกรุงเทพฯ จัดขึ้น นอกเหนือแผนการของพระองค์เจ้าบวรเดช คือการบุกเข้าประหาร 'คนสำคัญ' ของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งพักอยู่ในวังปารุสกวัน ทราบว่ากลุ่มนี้ได้ว่าจ้างนักเลงปืนชั้นยอดจากต่างจังหวัดมากำจัดบุคคลสำคัญคนหนึ่ง ในจังหวะที่บุคคลนั้นพรวดพราดออกมาจากห้องนอน ขณะมีเสียงสัญญาณบอกเหตุร้ายดังขึ้น เมื่อกองทัพฝ่ายโคราชยกมาถึงสถานีจิตรลดา และกองหน้าส่วนหนึ่งกำลังบุกเข้าวังปารุสก์"

โดยแผนนี้จะดำเนินการในวันที่ ๑๐ ตุลาคม เมื่อคณะผู้ก่อการเดินทางออกจากจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่ 'พระยาพหลฯ' หากแต่เป็น 'หลวงพิบูลสงคราม' ซึ่งนับว่าประหลาดมาก 

แต่เดชะบุญกลุ่มผู้ก่อการได้เลื่อนแผนการออกไป ๑ วัน โดยคณะผู้ก่อการได้ออกเดินทางจากโคราชในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ทำให้แผนสังหารไม่สามารถดำเนินไปได้ เลยเป็นอันว่า 'แผนหลั่งเลือดในวังปารุสก์' ไม่เกิดขึ้น 

ทำไม? ถึงไม่จัดการสังหารผู้นำของคณะราษฎรในวันนั้นซะล่ะ ??? 

ไม่ใช่ว่า พ.๒๗ จะกลัวตายเลยไม่ดำเนินตามแผนต่อเนื่องไปนะครับ โดยเขาเล่าว่าหากเขาลงมือ “กลัวว่าจะกลายเป็นหลักฐานพยานให้ฝ่ายรัฐบาลกล่าวหาได้ว่า ‘พระมหากษัตริย์ทรงมีส่วนรู้ร่วมคิดกับฝ่ายทหารหัวเมือง’ เพราะข่าวทางลับของคณะราษฎรได้มาถึงมือผู้นำของพวกเขาแล้ว ด้วยการข่าวของผู้ก่อการรั่วและเป็นปฐมเหตุให้การต่อต้านรัฐบาลล้มเหลว (พระยาพหลฯ รู้ก่อนคณะผู้ก่อการออกจากโคราช และหลวงพิบูลได้เตรียมการรบแล้ว) ซึ่ง พ.๒๗ มีสิทธิ์โดนสอยร่วงตายอย่างไร้ประโยชน์ ทั้งยังจะเป็นเหตุใช้ปรักปรำในหลวงรัชกาลที่ ๗ เพราะ พ.๒๗ ซึ่งเป็นข้าราชการในวังแต่มา 'ตาย' อยู่ที่วังปารุก์วัน 

หลังจากกบฏบวรเดชถูกปราบปรามล่วงไปแล้ว ๔ เดือน ได้มีคำสั่งระบุว่า “สำนักพระราชวังก็มีคำสั่งปลด รองเสวกตรี พโยม โรจนวิภาต ออกจากราชการ ฐานหย่อนสมรรถภาพ” ทั้งยังเป็นที่ต้องการตัว เนื่องจากถูกมองว่ามีส่วนพัวพันในกรณี 'กบฏบวรเดช' ทำให้เขาต้องเดินทางออกนอกประเทศเพื่อหลบภัยการเมือง โดยเขาบรรยายการตามจับบุคคลที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับกบฏบวรเดชไว้ว่า...

"ผู้เอาใจช่วยพวกกบฎและประณามรัฐบาลได้แก่ ใครๆ ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม ที่เต้นแร้งเต้นกา หรือซุบซิบ เห็นพ้องด้วยกับการกบฎ เพื่อล้มรัฐบาลพระยาพหลฯ คนกบฎประเภทนี้ คือ คนปากเสีย มีโทษติดตะรางได้สวยเหมือนกัน" 

ก่อนที่ พ.๒๗ จะหนีออกนอกประเทศเขาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ โดยทรงมีพระเมตตาพระราชทานเงินให้ ๓,๐๐๐ บาท แล้วทรงให้ออกนอกประเทศ ไปลี้ภัยอยู่ที่ปีนังและสิงคโปร์ จึงเดาได้ว่าในหลวง ร.๗ ท่านทรงคาดไว้แล้ว

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น นายพโยม โรจนวิภาต ได้เข้าร่วมเป็นเสรีไทย โดยเป็นผู้จัดการวิทยุภาคภาษาไทย ได้พูดโจมตีรัฐบาลไทยภายใต้การคุมอำนาจของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังได้แต่งกลอนตำหนิ หัวหน้ารัฐบาลที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของญี่ปุ่น ผ่านสถานีวิทยุ ไว้ว่า...

เป็นจอมพลไฉนยอมเป็นจอมแพ้...
ทำผิดแล้วคิดแก้ไม่ได้หรือ...
เกิดเป็นชายชาตรีมีฝีมือ...
ไฉนจึงดื้อให้ไพรีนั่งขี่คอ...

จนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ยุติลง พร้อมกับรัฐบาลประกาศนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองทั้งหมดแล้ว เขาจึงเดินทางกลับมาประเทศไทย 

ถ้าเราอยากจะรู้จักเขามากกว่านี้ลองไปหาหนังสือที่เขาเขียนชื่อ 'พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้า' อ่านกันนะครับ สนุกแน่

เปิดเรื่องราว ‘Lykov’ ครอบครัวเก่าแก่ ที่หันหลังให้กับความศิวิไลซ์ เอาชีวิตรอดจากธรรมชาติหฤโหดสุดเหน็บหนาวใน Siberian 42 ปี

พื้นที่ Abakan ในดินแดน Tashtypsky เขต Khakassia ทางตอนใต้ของ Siberia (วงกลม)

Siberian ดินแดนทางเหนือสุดของทวีปเอเชียตั้งแต่เทือกเขาอูราลไปจนจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่ในเขตของประเทศรัสเซียปัจจุบัน พื้นที่ 13.1 ล้านตารางกิโลเมตร (5,100,000 ตารางไมล์) ของ Siberian ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ (ราว 77%) ของรัสเซีย และเกือบ 9% ของพื้นผิวโลกทั้งหมด และเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อถึงความหฤโหดของความหนาวเย็นในฤดูหนาว ยุคอดีตสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1929 ถึง 1953 มีนักโทษทางการเมืองหลายล้านคนถูกส่งมายังค่ายกักกันและเรือนจำใน Siberian

Karp Lykov

ในปี 1936 ครอบครัว Lykovs ซึ่งเป็นสมาชิกของ Old Believers ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของ Russian Orthodox นำโดย Karp Lykov หัวหน้าครอบครัวได้หลบหนีเข้าไปในส่วนลึกมากของพื้นที่ Abakan ในดินแดน Tashtypsky เขต Khakassia ทางตอนใต้ของ Siberian เพื่อหลบหนีการปราบปรามผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนาภายใต้ระบอบการปกครองของสหภาพโซเวียต พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากชุมชนที่ใกล้ที่สุดมากกว่า 150 ไมล์ ในพื้นที่ป่าของเทือกเขา Sayan

Karp, Agafia และ Natalia Lykov ถ่ายในปี 1978 สวมใส่เสื้อผ้าที่ได้รับมา

ครอบครัวที่มีสมาชิก 6 คนใช้เวลา 42 ปีในการแยกตัวออกจากสังคมมนุษย์อาศัยในพื้นที่ซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่ สมาชิกของครอบครัวประกอบด้วย

1. Karp Osipovich Lykov (c. 1901–16 กุมภาพันธ์ 1988) (Карп Лыков) พ่อ
2. Akulina Lykov (c. 1900–16 กุมภาพันธ์ 1961) (Акулина Лыкова) แม่
และลูก ๆ อีก 4 คน
3. Savin (c. 1927– 1981) (Савин)
4. Natalia (c. 1934–1981) (Наталия)
5. Dmitriy (1940–1981) (Дмитрий)
6. Agafia (born 1944) (Агафья)

ครอบครัว Lykov เดินเท้าเปล่า

หลังจากที่พี่ชายของ Karp Lykov ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจของสหภาพโซเวียต Karp และ Akulina Lykov พร้อมลูกสองคน Savin และ Natalia ก็หลบหนีออกจากบ้านเกิดที่เมือง Lykovo (Tyumen Oblast) ไปทางตะวันออก ต่อมาพวกเขามีลูกอีก 2 คนคือ มีเด็กอีกสองคนคือ Dmitriy และ Agafia การหลบหนีของพวกเขาจบลงที่ตอนใต้ของ Siberia ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนที่ใกล้ที่สุด 250 กิโลเมตร (160 ไมล์) และอยู่ห่างจากชายแดนมองโกเลียประมาณ 160 กิโลเมตร พวกเขานำสิ่งของจำเป็นเพียงไม่กี่อย่างได้แก่ กาต้มน้ำ เมล็ดพืช กังหันล้อหมุน และส่วนประกอบของเครื่องทอผ้า

พวกเขาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าจนพัง สิ่งของดั้งเดิมหลายชิ้นเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างขึ้นในป่า พวกเขาเปลี่ยนรองเท้าที่ชำรุดด้วยรองเท้าที่มีพื้นเป็นเปลือกไม้ และใช้ป่านที่ปลูกจากเมล็ดพืชมาทดแทนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น อย่างไรก็ตามโลหะก็ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ เมื่อกาต้มน้ำชำรุดเสียหาย และอาหารก็กลายเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนค้นหาทุกวัน ครอบครัวนี้อาศัยอยู่อย่างอดอยากต่อเนื่องตลอดมา โดยส่วนใหญ่มีชีวิตรอดจากมันฝรั่งบดผสมกับเมล็ดป่านและข้าวไรย์บด ชีวิตไม่มีความแน่นอนจนพวกเขาต้องประชุมครอบครัวเป็นประจำทุกปีเพื่อหารือกันว่า ควรเพาะเมล็ดพันธุ์สำหรับปีต่อไป หรือกินเป็นอาหารเพื่อยังชีพตอนนั้น ในปี 1961 Akulina ผู้เป็นแม่ก็เสียชีวิตลงด้วยสาเหตุจากความอดอยาก สมาชิกครอบครัวแต่ละคนมีจุดแข็งและความรอบรู้ของตนเอง พวกเขาแต่ละคนจะจัดการส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของพวกเขา Dmitriy ซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กที่เกิดในป่า โตพอก็ออกล่าสัตว์ บางครั้งเขาก็หายไปหลายวัน หลับนอนโดยไม่มีที่พักพิงภายใต้อุณหภูมิที่เย็นจัด โดยไม่มีกับดักหรืออาวุธสมัยใหม่ เขาอาศัยกับดักที่ซ่อนอยู่ด้วยการขุดเอง หรือติดตามล่าเหยื่อจนในที่สุดก็จัดการได้เมื่อพวกมันอ่อนล้าหมดแรง

วันหนึ่งในปี 1978 นักธรณีวิทยากลุ่มหนึ่งนั่งเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นพื้นที่โล่ง เนื่องจากไม่มีบันทึกการอยู่อาศัยของมนุษย์ในบริเวณนี้ พวกเขาจึงวนเวียนอยู่สองสามครั้ง หลักฐานนั้นน่าสนใจ สวนที่ใหญ่พอที่จะสังเกตได้จากบนอากาศนั้นมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สร้างได้ พวกเขาหาที่ลงจอดและออกเดินทางเพื่อตรวจสอบ สิ่งที่พวกเขาพบนั้นท้าทายความเชื่อมาก เมื่อไปพบกับบ้านหลังหนึ่งซึ่งต่อมาได้ถูกบรรยายไว้ว่า “ไม่ใหญ่ไปกว่าโพรง เต็มไปด้วยเขม่าดำคล้ำ และเย็นเหมือนห้องใต้ดิน คับแคบ สกปรก มีห้องเดียว พื้นปูด้วยเปลือกมันฝรั่งและลูกสน มีหญิงสาวสองคนที่แลดูกำลังหวาดกลัวอยู่ที่มุมห้อง กลุ่มนักธรณีวิทยาต้องการมอบอาหาร ชา ขนมปัง ขนมหวาน และสิ่งอื่น ๆ ที่ Karp ชายชรารู้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เป็นสิ่งที่ลูก ๆ ของเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

Karp กับ Agafia ลูกสาวในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1988

ยิ่งไปกว่านั้นลูก ๆ ของครอบครัว Lykov ไม่เคยพบใครเลยนอกจากพ่อแม่ของพวกเขา พวกเขารู้ว่า มีสถานที่ห่างไกลที่ผู้คนอาศัยอยู่ตามตึกสูง พวกเขาได้ยินมาว่า มีประเทศอื่นนอกเหนือจากสหภาพโซเวียต แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ห่างไกลสำหรับพวกเขามาก พวกเขาเรียนรู้ที่จะเขียนและอ่านจากแม่ และหนังสือเล่มเดียวที่พวกเขาเคยเห็นคือ พระคัมภีร์ไบเบิลและพระกิตติคุณที่พ่อแม่ของพวกเขานำติดตัวไปด้วย กลุ่มนักธรณีวิทยาได้ถอยออกจากบ้านเพื่อให้ครอบครับ Lykov  มีเวลาปรับตัวเข้ากับผู้มาเยี่ยมที่ไม่คุ้นเคย เพื่อเพิ่มโอกาสเชิงบวกในการติดต่อครั้งแรก พวกเขารอให้ครอบครัว Lykovs มาหาพวกเขา ที่นั่นพวกเขาได้เรียนรู้เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของ Lykovs หญิงสาวทั้งสองพูดภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง พวกเขาเคยได้ยินแนวคิดเกี่ยวกับเมืองและประเทศต่าง ๆ ผ่านเรื่องราวที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง แต่สื่อการอ่านเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือหนังสือเกี่ยวกับศาสนาและพระคัมภีร์ เมื่อนักธรณีวิทยาคนหนึ่งเสนอขนมปัง หญิงสาวคนหนึ่งตอบว่า “เราไม่ได้รับอนุญาต” อันที่จริงเธอไม่เคยรู้หรือได้ยินเกี่ยวกับอาหารประเภทนี้มาก่อน ความบันเทิงหลักของครอบครัวคือให้ทุกคนเล่าความฝันของตน

Agafia ลูกสาวผู้เหลือรอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว Lykov

แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและโลกก็รู้จักพวกเขา แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งใหม่ ๆ เข้าสู่วิถีชีวิตของพวกเขา หลังจากการค้นพบไม่นาน Savin และ Natalia ก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการขาดอาหารที่รุนแรงของพวกเขา ในปีเดียวกันนั้นเอง Dmitriy ก็เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมหลังจากปฏิเสธที่จะรับการขนส่งทางอากาศไปยังโรงพยาบาล Karp ชายชราผู้เป็นพ่อเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในปี 1988 และในปี 2022 Agafia ลูกสาวผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว Lykov ยังคงอาศัยอยู่ตามลำพังในถิ่นทุรกันดารบนความสูง 2,000 เมตรที่ครอบครัว Lykov ได้มาตั้งรกรากตั้งแต่ปี 1936

'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์' ยอดนักกินจอมชักดาบ อดีตนักเรียนนอกรสนิยมสูง แต่ไม่มีสตางค์

วันนี้มาเล่าเรื่องจริงในอดีตในแบบเบา ๆ กันบ้างดีกว่า ผมเชื่อว่าทุกคนคงรู้จักคำว่า 'กินแล้วชักดาบ' คือการฉ้อฉลรูปแบบหนึ่ง โดยการทำตนเป็นลูกค้า ที่มาสั่งและบริโภคอาหารและเครื่องดื่มจากร้านอาหาร ภัตตาคาร เมื่อบริโภคเสร็จแล้วก็ไม่ยอมจ่ายเงิน โดยอาจจะยอมรับแบบตาใสว่าไม่มีเงินจ่าย หรือหาวิธีหลบเลี่ยงออกไปอย่างแยบยล ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 'ชักดาบ' หมายถึง ไม่ยอมจ่ายเงิน 

ซึ่งที่มาที่ไปของคำว่า 'ชักดาบ' นี้ บ้างก็ว่าเกิดขึ้นช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาโดยทหารญี่ปุ่นที่เข้าไปกินอาหารในร้านค้าของคนไทย พอกินเสร็จเจ้าของร้านจะเก็บเงินก็เอาชักดาบออกมาวางบนโต๊ะแล้วมองหน้าแบบขึงขัง ประมาณว่า “กูไม่จ่าย” เจ้าของร้านก็ไม่กล้าเก็บเรียกเก็บเงินซ้ำ ทหารญี่ปุ่นก็ออกจากร้านไปโดยไม่จ่ายเงินจากทหารหนึ่งกลุ่มก็กลายเป็นทหารหลายกลุ่มที่ทำเหมือนกันจนกลายเป็นพฤติกรรมปกติ ซึ่งทำให้คนไทยเข็ดขยาดและไม่ค่อยอยากรับลูกค้าที่เป็นทหารญี่ปุ่นนัก ซึ่งอันนี้ผมว่าก็ฟังแล้วขำ ๆ นะครับ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงในบริบท ณ ช่วงเวลานั้น แต่เรื่องจริง ๆ เมืองไทยช่วงเวลานั้นมีเงินเฟ้อค่อนข้างสูง เพราะญี่ปุ่นเล่นผลิตเงินใช้เอง บ้างก็ใช้เครดิตไว้กับร้านค้า พอสงครามยุติก็หายต๋อม คนไทยก็รับกรรมเรื่องหนี้ไป ก็อาการโดยรวมทั้ง 'ชักดาบ' หน้าร้าน หรือไม่มาจ่ายหนี้ก็อารมณ์เดียวกัน

ทีนี้ในเมืองไทยมันมีเรื่องราวของ 'ยอดนักชักดาบ' อยู่คนหนึ่ง ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2526 - 2528 ซึ่งยอดชายคนนี้มีชื่อและนามสกุลว่า 'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์'

นายโพธิ์เงิน กระตุฤกษ์ มีชาติกำเนิดที่เรียกได้ว่าดีเยี่ยมเพราะเป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 4 คนของ คุณเวช กระตุฤกษ์ เจ้าของสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ ซึ่งในเวลานั้นเป็นครองตลาดหนังสือนวนิยายของเมืองไทย โดยมีนักเขียนชื่อดังที่เขียนประจำอย่างมากมาย เช่น ส.บุญเสนอ, จ.ไตรปิ่น, ป.อินทรปาลิต, ไม้ เมืองเดิม, อรวรรณ จนถึง พนมเทียน และน.นพรัตน์ ฯลฯ เรียกว่าสุดยอดในยุคนั้น 

แต่ด้วยความที่ครอบครัวอาจจะไม่อบอุ่นเพราะเมื่อเขาเกิดมาไม่นาน คุณแม่ของเขาก็ป่วยหนัก ต้องจ้างพยาบาลมาดูแล ส่วนคุณพ่อด้วยความความเจ้าชู้ ก็เลยได้พยาบาลที่ดูแลแม่ของเขานั่นแหละมาเป็นภรรยาอีกคน ส่วนเขาได้รับการเลี้ยงดูจากแม่นมแทน แถมยังโดนแม่บอกว่าเขาเป็นตัวอัปมงคล เลยถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ แล้วก็ถูกส่งไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ เรียกว่าขาดอบอุ่นสุด ๆ ทำให้ตัวเขาเป็นคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจ โดยเฉพาะการเปย์เพื่อน หน้าใหญ่ เพื่อต้องการเป็นคนดังในหมู่เพื่อน ๆ จนความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ติดตัวจนกลายเป็นคน 'จมไม่ลง' และกลายมาเป็น 'ยอดนักชักดาบ' 

เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยก็มาทำงานหลาย ๆ อย่าง จนพ่อของเขาเสียชีวิต กิจการต่าง ๆ ก็ล่มสลาย ส่วนตัวเขาก็ไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันนัก จะมีที่พอนับได้ก็คงเป็นบริษัททัวร์ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ท้ายที่สุดไม่รู้เหตุผลใดที่ทำให้เขากลายเป็นจอมชักดาบ ซึ่งการชัดดาบของเขานั้นเป็นการชักดาบ ตั้งแต่ร้านเพิงริมถนนไปจนถึงร้านหรูในโรงแรมระดับ 5 ดาว 

ยอดชายจอมชักดาบผู้นี้มีการเตรียมตัวมาอย่างดี พร้อมรับสถานการณ์จากร้านที่เขาเข้าไป ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสถานเบาอย่างการด่าทอ เหยียดหยาม ข่มขู่ ไปจนถึงสถานหนักอย่างการถูกตบ ถูกต่อย ถูกกระทืบ เรียกว่าแกรับได้ทุกสถานการณ์ 

การไป 'ชักดาบ' ของโพธิ์เงินนั้น ด้วยความเป็นหนุ่มนักเรียนนอกบุคลิกดี แกจะแต่งตัวอย่างดี สวมใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว บางที่ก็ใส่สูทอย่างหรู เวลาเข้าไปร้านอาหารไหน หรือภัตตาคารใด เขาก็ต้อนรับแกอย่างพระเอก โดยไม่รู้ว่าตอนจบจะกลายเป็นพระเอกจะกลายเป็นโจร

ไม่ใช่แค่ร้านอาหารอย่างเดียวนะครับที่แกเข้าไปชักดาบ 'อาบอบนวด' สถานบันเทิงของท่านชายแกก็เคยไปป่วน 'อาบน้ำฟรี' มาแล้ว โดยเรียกหมอนวดมานวดแบบบีคอร์ส (อาบน้ำแบบพิเศษ) พอถึงเวลาเก็บเงิน แกก็บอกไปอย่างหน้าด้าน ๆ ว่าไม่มีเงิน เรียกว่าไม่ได้สงสารหมอนวดเลย 

ว่ากันว่าโพธิ์เงิน เคยถูกตำรวจจับกุมถึง 28 ครั้ง ซึ่งแกบอกว่าไม่ใช่ แกเคยทำมาร่วม '100 กว่าครั้งแล้ว' และแกตั้งใจจะทำให้ครบ 40,000 ครั้ง (ช่างกล้าจริง ๆ) เคยโดยหมั่นไส้และโดนสั่งสอนมานับไม่ถ้วนจนสุดท้ายญาติพี่น้องน่าจะเอือมระอาเลยปล่อยให้แกโดยจับดำเนินคดีไป ครั้งสุดท้ายถูกขังคุกนาน 45 วัน ข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ถูกคุมประพฤติเป็นเวลา 1 ปี โดยคดีที่แกโดนตำรวจจับจนขึ้นเป็นข่าวคราวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมีดังนี้

11 มกราคม 2526 โดนจับกุมข้อหาฉ้อโกงเนื่องจากกินอาหาร ที่ร้าน ‘แม่พลอย’ ย่านเยาวราช ในราคา 513 บาท แล้วไม่จ่ายเงิน

7 กรกฎาคม 2526 โดนจับกุมข้อหาฉ้อโกงเนื่องจากกินอาหารและใช้บริการอาบอบนวด ทั้งแบบบีคอร์ส และธรรมดา ในสถานอาบอบนวด 'วิลันดา' ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าออสก้า ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แล้วไม่จ่ายเงิน 

25 มกราคม 2528 โดนจับกุมเนื่องจากกินอาหาร ที่ห้องอาหาร 'โรส' บนชั้นสองของโรงภาพยนตร์อินทรา ในราคา 200 บาท แล้วไม่จ่ายเงิน ถูกเจ้าของแจ้งความดำเนินคดี และถูกศาลสั่งกักขังแทนค่าปรับเป็นเวลา 10 วัน

8 กุมภาพันธ์ 2528 โดนจับกุมข้อหาฉ้อโกงเนื่องจากกินอาหาร ร้าน 'เจ๊ฮ้อ' ตลาดโต้รุ่ง ประตูน้ำ ถนนเพชรบุรี ในราคา 520 บาท แล้วไม่จ่ายเงิน เลยถูกจับส่งตำรวจใน แถมถูกลูกค้าในร้านตบสั่งสอน

18  มีนาคม 2528 ถูกศาลลงโทษจำคุก 45 วัน ให้คุมประพฤติเป็นเวลา 1 ปี โทษฐานกระทำความผิดข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ (ค่าอาหาร) 

ซึ่งหลังจากถูกศาลลงโทษจำคุกและคุมประพฤติเรื่องราวของแกก็ค่อย ๆ หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ ส่วนหนึ่งอาจะเพราะร้านอาหารและสถานบริการต่าง ๆ ได้มีติดรูปของแกไว้เพื่อป้องกันการชักดาบเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง 

ปัจจุบันแกได้เสียชีวิตมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เรื่องราวความกล้าในการ 'ชักดาบ' ของแก เรียกได้ว่าเป็นตำนานที่คงไม่มีใครอยากจะเลียนแบบนัก แต่ 'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์' ก็เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่ริอ่าน 'กินฟรี เที่ยวฟรี' 

ไม่เหมือนกลุ่มคนบางจำพวกที่มักใช้อำนาจหน้าที่ของตนในการเบ่งกินฟรี เที่ยวฟรี อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ เคยได้ยินได้ฟังกันมาตลอดในบ้านเรา เมืองเรา เอวัง

เทียบ!! ‘Gaza West Bank’ VS ‘Xinjiang’ ความต่างของการปกครองระหว่าง ‘พระเดช-พระคุณ’

การปกครองในพื้นที่ซึ่งผู้ถูกปกครองส่วนใหญ่มีเชื้อชาติ ความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา ฯลฯ ที่แตกต่างไปจากการปกครองเกิดขึ้นบนโลกนี้มากมายหลายแห่ง รวมทั้งในบ้านเราเองด้วย ซึ่งการปกครองนั้นมีเพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็น สันติสุข อันจะนำไปสู่การพัฒนาและที่สุดจะนำมาซึ่งความเจริญสู่พื้นที่นั้น ๆ จึงถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่น่าเรียนรู้ บทความนี้ขอนำเรื่องราวความแตกต่างที่เกิดขึ้นและเป็นข่าวอันโด่งดังที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเปรียบเทียบระหว่าง 2 พื้นที่ได้แก่ Gaza-West Bank ซึ่งถูกควบคุมโดยอิสราเอล และ Xinjiang ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยทั้ง 2 พื้นที่สามารถหยิบยกรูปแบบการปกครองควบคุมด้วยการใช้พระเดชกับพระคุณให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน Gaza-West Bank ก็ด้วยเพราะอิสราเอลใช้อำนาจทางทหาร หรือพระเดชในการจัดการกับชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนที่อยู่ใน Gaza-West Bank กระทั่งชาว Gaza ต่างพากันเรียก Gaza บ้านของพวกเขาว่าเป็น ‘เขตกักกัน’ ที่เสมือนกับเป็น ‘เรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ด้วยจำนวนผู้คนร่วม 2 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ที่นี่ บนพื้นที่เพียง 365 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประชากรในฉนวน Gaza สองในสามอายุน้อยกว่า 25 ปี อาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ‘António Guterres’ เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เตือนว่า ฉนวน Gaza จะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ภายในปี 2020 เว้นแต่จะมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปรับปรุงบริการและโครงสร้างพื้นฐาน 

เปรียบเทียบปริมาณการใช้น้ำระหว่างชาวอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์ซึ่งต่างกันถึง 4 เท่า

ภายใต้การปิดล้อมของอิสราเอลเป็นสาเหตุในการโจมตีอิสราเอลของกลุ่ม Hamas สิ่งที่ประเทศตะวันตกปล่อยให้อิสราเอลกระทำต่อชาวปาเลสไตน์ เป็นเรื่องราวที่ไม่ปรากฏในสื่อหลักของโลกตะวันตก ไม่ว่าการปิดล้อมฉนวน Gaza การให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีไฟฟ้าใช้ได้เพียงวันละ 4 ชั่วโมง การขาดแคลนน้ำเพื่อการบริโภคอย่างหนักในฉนวน Gaza เรื่องราวการกดขี่ข่มเหงต่าง ๆ ที่กระทำโดยอิสราเอลนั้นทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือ 1.) การต่อสู้กับผู้ปิดล้อม หรือ 2.) ขอให้อิสราเอลยอมผ่อนปรนมาตรการลดการปิดล้อม และยอมปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ใช้ชีวิตอย่างอิสระเยี่ยงเสรีชนของรัฐอิสระปกติทั่วไป (https://thestatestimes.com/post/2023101017)

รถไฟความเร็วสูงใน Xinjiang

ในขณะที่สื่อหลักของโลกตะวันตกพากันประณามสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรณีของ Xinjiang ในประเด็นที่ว่า มี ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ และ ‘การบังคับใช้แรงงาน’ ใน Xinjiang โดยคำว่า ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ น่าจะถือเป็น ‘คำโกหกคำโต’  เพราะหลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดตั้งเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ซินเจียง (Xinjiang Uygur Autonomous Region) เป็นต้นมา ชาวอุยกูร์ (ซึ่งเป็นประชากรดั้งเดิมในพื้นที่) เพิ่มมากขึ้นจากกว่า 3 ล้านคนมาเป็นกว่า 12 ล้านคนในปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของประชากรชนเผ่าต่าง ๆ ในเขต Xinjiang สูงขึ้นจากเฉลี่ยราว 30 ปีในสมัยก่อนมาเป็น 75.6 ปีในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเสรีภาพในการนับถือศาสนาของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดีด้วย

เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ซินเจียง (Xinjiang Uygur Autonomous Region)

สิ่งที่เรียกว่า ‘การบังคับใช้แรงงาน’ นั้นยิ่งเป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนร้ายแรง โดยใช้คำว่า ‘การบังคับใช้แรงงาน’ เป็นข้ออ้าง ในการทำให้บริษัทต่าง ๆ ของจีนที่เข้าไปลงทุนใน Xinjiang ถูก Boycott จนไม่สามารถจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ที่ผลิตในพื้นที่ดังกล่าวได้ รัฐบาลจีนได้กล่าวว่า การพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีนทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจและวิตกกังวลในบางประเทศ จุดประสงค์ของพวกเขาในการสานต่อคำโกหกที่เกี่ยวข้องกับเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์คือ การขัดขวางการพัฒนาความเจริญของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ 

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ใน Xinjiang

ด้วยเหตุนี้การโฆษณาชวนเชื่อของสื่อตะวันตกจึงเป็นการขัดขวางการพัฒนาและการฟื้นฟูของจีนโดยรวม แต่จีนก็ยังคงมีพัฒนาความเจริญอย่างไม่หยุดยั้ง ความทันสมัยของประชากร 1.4 พันล้านคนจะเป็นความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในกระบวนการอารยธรรมของมนุษย์ การก่อตัวของตลาดขนาดใหญ่พิเศษของจีนจะมอบโอกาสการพัฒนาใหม่ ๆ ให้กับทุกประเทศ รวมทั้งช่วยให้โลกบรรลุการพัฒนาร่วมกันและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ดังที่ ‘ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง’ ได้เน้นย้ำว่ามนุษย์อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกัน และทุกประเทศในโลกต่างก็ต้องอาศัยอยู่บนเรือที่มีชะตากรรมร่วมกัน พลโลกจึงต้องก้าวข้ามความแตกต่าง โดยสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ และทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มนุษยชาติอาศัยอยู่ได้ นี่คือความรู้สึกของจีนต่อโลกใบนี้ และถือเป็นเป้าหมายทางการทูตของจีนอีกด้วย

‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ใน Gaza-West Bank มีหลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏมากมาย

เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Gaza-West Bank และ Xinjiang จึงบ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างการปกครองด้วยพระเดชกับพระคุณอย่างเป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจน วิธีการปฏิบัติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นวิธีการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับของรัฐบาลไทยในกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นการปฏิบัติต่อพลเมืองในพื้นที่ด้วยความเมตตา ความเข้าใจ ความยุติธรรม บนพื้นฐานของการมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่าง ๆ การบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมกันกับพลเมืองทั้งประเทศ ในขณะที่วิธีการปฏิบัติของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ใน Gaza-West Bank มีความชัดเจนว่า เป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏมากมาย แต่ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสื่อหลักตะวันตกกลับหลับตาเพื่อให้มองไม่เห็น และสนับสนุน ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ต่อไป โลกใบนี้ยังคงตัดสินความถูกผิดของมวลมนุษยชาติด้วยชี้นำจากการโฆษณาชวนเชื่อของชาติตะวันตกโดยสื่อหลักตะวันตกเช่นนั้นหรือ?

ทำไม? ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงต้องการปราสาทขอม  ประวัติศาสตร์เรื่องอาณานิคม ที่คนรุ่นใหม่เล่าไม่ครบบริบท 

เมื่อประมาณสักหลายเดือนก่อน ผมได้ลองอ่านเรื่องประวัติศาสตร์อ่านสนุก ๆ ในโลก Social Media ซึ่งเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และปราสาทนครวัดจำลองในพื้นที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งปราสาทจำลององค์นี้ ซึ่งพระองค์มีพระราชบัญชาให้ขุนนางได้จำลองมาไว้ แต่ประเด็นที่น่าสนใจไม่ใช่เรื่องราวของการนำเอาปราสาทนครวัดมาจำลองไว้ แต่มันเกี่ยวกับเรื่องของการรื้อถอนปราสาทหินจากเขมรเพื่อนำมาไว้ในสยาม แต่ประวัติศาสตร์อ่านสนุกนั้นไม่บอกไว้ว่าทำไม ? ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ถึงต้องรื้อปราสาทหินมาไว้ในพระนคร นอกจากพระองค์ยังทรงต้องการที่จะให้ชาวพระนครได้ชมปราสาทหินเขมร ซึ่งมันคือ 'เรื่องปลายทาง'

จากการไม่อธิบายตรงนั้น ทำให้หลายต่อหลายคนที่ได้มาอ่านก็คิดไปกันเองโดยไม่เข้าใจว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ เพียงแค่ต้องการปราสาทหินมาไว้ในพระนครเพื่อแสดงความเป็นเจ้าเหนือหัวของกษัตริย์เมืองเขมรที่เป็นประเทศราช ซึ่งผมมองว่าไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก หากจะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ สมควรจะเล่าบริบทให้ครบ

'เรื่องต้นทาง'

ในช่วงรัชกาลที่ ๔  สยามเริ่มเข้าสู่ความเชี่ยวกรากของนักล่าอาณานิคมโดยเฉพาะ 'นักล่าหน้าใหม่' ซึ่งมีความกระหายในการ 'ล่าเมืองขึ้น' ไม่ให้น้อยหน้าชาติในยุโรปที่ออกมาหาเมืองขึ้นก่อนหน้านั่นก็คือฝรั่งเศส ซึ่งกระโดดเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังอังกฤษ แต่ต้องการแสดงแสนยานุภาพให้โลกเห็นว่าตนเองก็ไม่ธรรมดา และการหาเมืองขึ้นเพื่อเชื่อมโยงตั้งแต่ทะเลจีนใต้ไปถึงประเทศจีนเป็นหมุดหมายสำคัญของฝรั่งเศสในช่วงเวลานั้น 

หลังจากผ่านพ้นช่วงการเมืองอันวุ่นวาย ฝรั่งเศสก็มีแนวความคิดที่จะออกสู่โลกอันกว้างใหญ่เพื่อหาเมืองขึ้น โดยสร้างชมรมนักสำรวจโดยสมอ้างมันคือชมรมการสำรวจอารยธรรมเพื่อความรู้ใหม่ของชาติ แต่เอาจริง ๆ ก็คือการสำรวจเพื่อประเมินทรัพยากรก่อนเข้ายึดครองนั่นเอง ซึ่งหนึ่งในการสำรวจครั้งนั้นก็มี ญวณ เขมร และลาว ซึ่งทุกประเทศล้วนเกี่ยวข้องกับสยาม ซึ่งเรื่องเล่านี้เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงทราบกันเป็นอย่างดีแล้ว 

ภายหลังจากภาพชุดแรกของนักธรรมชาติฝรั่งเศสชื่อ อองรี มูโอต์ ได้วาดและระบายสีภาพ 'อังกอร์วัด' และเมืองโบราณาอื่น ๆ กว่า ๘๐๐ ภาพ ในช่วงปี ค.ศ. ๑๘๕๙ ก่อนนำไปตีพิมพ์ในวารสารเที่ยวรอบโลก Le Tour Du Monde ในช่วง ค.ศ. ๑๘๖๓ ซึ่งขณะที่มูโอต์ได้พบอังกอร์วัด กองทัพฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองญวณภาคใต้ได้สำเร็จ จากญวณก็พุ่งเป้าไปยังกัมพูชาเพื่อต่อยอดแผนอันทะเยอทะยานในการมีอิทธิพลเหนือภูมิภาคนี้แต่เพียงผู้เดียว โดย นาวาตรีโบนาร์ด ข้าหลวงใหญ่แห่งโคชินไชน่า ได้เข้าไปในนครเสียมราฐอย่างเงียบ ๆ เพื่อศึกษาลู่ทางต่าง ๆ โดยเขาพบว่า 'นครวัด' อันรกร้างเหมาะจะเป็น 'สัญลักษณ์' ที่เหมาะสมที่สุดแห่งความชอบธรรมของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส เพราะว่าฝรั่งเศสกำลังจะพลิกฟื้นซากแห่งอารยธรรมโบราณให้แก่ประเทศที่ขาดการพัฒนา เพียงแต่อังกอร์วัดยังเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่ชื่อว่า 'สยาม'

'เรื่องกลางทาง'

การที่ฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาสนใจเขมรนั้น อยู่ในพระเนตรพระกรรณของในหลวงรัชกาลที่ ๔ มาตลอด พระองค์ทรงตระหนักถึงพิษภัยการคุกคามของฝรั่งเศสที่มีมากกว่าอังกฤษ แถมการทูตใด ๆ ก็ไม่สามารถระงับความอยากได้เขมรของฝรั่งเศสได้ เพราะฝรั่งเศสเดินเกมลุกอย่างหนักทั้งจากการเข้าเฝ้า 'สมเด็จพระนโรดมฯ พรหมบริรักษ์' เพื่อเสนอผลประโยชน์ที่เขมรจะได้รับหากแยกทางกับสยาม

การตอบโต้ฝรั่งเศสในครั้งนั้นของในหลวงรัชกาลที่ ๔ เพื่อตอบโต้การคุกคามของฝรั่งเศสในก็คือพระราชบัญชาให้ขุนนางไทยสำรวจปราสาทนครวัดอย่างถ้วนถี่ เพื่อรื้อถอนเข้ามายังสยาม แต่ในขณะที่สยามกำลังสำรวจนี้ ฝรั่งเศสได้ขนวัตถุโบราณออกจากเขมรไปอย่างต่อเนื่อง หลักฐานการขนสามารถดูได้จากหลักฐานของฝรั่งเศสเองซึ่งเยอะมาก ๆ 

แต่การตอบโต้แรกไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากปราสาทนครวัดนั้นใหญ่โตเกินไป แผนถัดไปจึงมีพระบรมราชโองการให้รื้อถอนปราสาทหินขนาดย่อม ๆ เข้ามาสัก ๒ หลัง โดยส่งกำลังพลถึง ๑,๐๐๐ คนเข้าไปโดยมุ่งไปที่ปราสาทพระขรรค์และปราสาทตาพรหม ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถูกฝรั่งเศสเพ่งเล็งและรายงานไปยังข้าหลวงใหญ่ในโคชินไชน่าแทบจะทันที

ถ้าอ่านถึงตรงนี้หลายคนที่อ่านก็คงดรามากันแล้ว เหมือนจากเหตุต้นเรื่องที่ผมได้เล่ามา แต่พระบรมราโชบายนี้มีความลึกซึ้งกว่าที่เราจะมองเผิน ๆ ได้ เพราะเรามีปราสาทขอมในสยามที่ใกล้กรุงเทพฯ เยอะแยะ ทำไม ? ถึงต้องเอาปราสาทที่ไกลจากสยามออกถึงขนาดนั้น และไม่ใช่แค่พระองค์อยากนำปราสาทมาก่อไว้เพื่อเกียรติยศแต่อย่างใด

พระองค์ดำเนินพระราโชบายการรื้อถอนปราสาทหินเขมรเข้ามาเพื่อแสดงความเป็น 'เจ้าอธิราช' เหนือเขมรอย่างถูกต้องทั้งพฤตินัยและนิตินัย เพราะฝรั่งเศสในขณะนั้นเขามาลักกินขโมยกิน ทั้ง ๆ ที่ผู้สถาปนากษัตริย์เขมรคือพระมหากษัตริย์แห่งสยาม 

'เรื่องปลายทาง'

โครงการรื้อถอนปราสาทพระขรรค์และปราสาทตาพรหม ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากมีทหารป่าเขมรประมาณ ๓๐๐ คน เข้ามาโจมตีขุนนางสยามจนล้มตาย บาดเจ็บไปหลายคน แต่กระนั้นในหลวงรัชกาลที่ ๔ ยังคงมีพระราชบัญชาให้ดำเนินการต่อ 'เอาเข้ามาให้จงได้' เพราะเดิมครั้งนั้นคือการเสียบ้านเสียงเมืองในส่วนของเขมรซึ่งอยู่กับสยามมาอย่างยาวนานนับเนื่องมาถึง ๔ รัชกาล 

แต่ในท้ายที่สุดเหล่าขุนนาง เสนาบดีได้เข้าชื่อทำเรื่องทูลเกล้าฯ ขอพระราชทาน 'ระงับ' เพราะเหลือกำลังที่จะรื้อ หรือถ้ารื้อมาแล้วการประกอบขึ้นใหม่ถ้าทำแล้วไม่เหมือน ไม่สมบูรณ์ ก็จะเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติยศไปเสียอีก ทำให้เวลาต่อมาจึงได้ทรงมีพระราชบัญชาให้สร้างปราสาทนครวัดจำลอง ย่อส่วนลงมาไว้เป็นที่ระลึกภายในพื้นที่ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวังที่เราได้เห็นกันอยู่ถึงวันนี้

นอกเหนือการนำปราสาทหินเขมรเข้าในพระนคร ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ยังคงมีสัญญาลับที่ทำกับเขมรในปี ค.ศ. ๑๘๖๓ เพื่อยังคงดำเนินการักษาอธิราชของสยามที่มีต่อเขมรไว้ แต่ฝรั่งเศสก็ขัดขวางไว้เช่นเคย โดยใช้เรือปืนมาข่มขู่สยามถึงปากน้ำเจ้าพระยาจนเราต้องยอม ส่วนทางเขมรฝรั่งเศสก็ส่งตัวแทนเข้าสู่ราชสำนักเขมรและเสนอผลประโยชน์เพื่อให้เขมรเลิกเป็นประเทศราชของสยาม และเป็นมาเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส 

สุดท้ายเขมรก็ตกลงเพราะประโยชน์ที่ได้มันค่อนข้างจะคุ้มค่ามาก ๆ ในช่วงเวลานั้น ทำให้การลักกิน ขโมยกินของฝรั่งเศสเป็นเรื่องถูกต้องทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย สัญญาลับที่เราทำกับเขมรก็เป็นโมฆะไปโดยปริยาย แล้วฝรั่งเศสก็เดินหน้ายึดพื้นที่ไปเรื่อย ๆ จนพื้นที่ญวณ เขมร และลาวเป็นพื้นที่ในอารักขาของฝรั่งเศสไปทั้งหมด 

สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงดำเนินพระราโชบายและที่ทรงได้มีพระราชบัญชา เป็นการมองการณ์ไกล เพื่อแสดงความเป็นเจ้าอธิราชให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการรุกรานของฝรั่งเศสที่จะเกิดขึ้น เพราะหากฝรั่งเศสได้เขมร พื้นทื่อื่น ๆ ที่ติดกับเขมรย่อมต้องเสียตามไปอีกเป็นแน่แท้ แล้วการณ์ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่พระองค์คาดไว้ จากนโยบายเรือปืนของฝรั่งเศส ที่เราได้ผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องในอีกถึง ๒ รัชกาล

‘SAVAK’ ตำรวจลับของ ‘Shah แห่งอิหร่าน’ สมัยราชวงศ์ปาห์ลาวี องค์กรที่ขึ้นชื่อด้าน ‘การทรมาน’ จนทำให้ชาวอิหร่าน ‘เกลียดชัง-หวาดกลัว’

สืบเนื่องจากที่ผู้เขียนได้โพสต์เล่าเรื่องราวของงานวันชาติสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และฉลอง 400 ปี ความสัมพันธ์สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจักรไทยใน FB ดร.โญ มีเรื่องเล่า ของผู้เขียน มีผู้อ่านท่านหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นว่า ไม่เห็นด้วยกับงานวันชาติซึ่งเป็นวันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่านอีกด้วย ซึ่งผู้เขียนจึงได้อธิบายว่า “บริบทของแต่ละประเทศแตกต่างกันครับ บทบาทหน้าที่ของราชวงศ์ก็แตกต่างกันออกไปด้วย บูรพมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่ก่อร่างสร้างชาติมาร่วมพันปี กระทั่งถึงราชวงศ์จักรีสามารถครองคนและครองใจได้ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยเพราะพระราชกรณียกิจอันทรงประโยชน์มากมายมหาศาลแก่พสกนิกรทั่วหล้า เอามาเปรียบกันไม่ได้ดอกครับ ทุกวันนี้สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านยังคงยึดมั่นในสถาบันศาสนาอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ชาติไทยของเราดำรงคงอยู่ได้ด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สามสถาบันหลักอันเป็นที่เคารพรักยิ่งของคนไทยครับ”

Mohammad Reza Pahlavi (Shah of Iran)

จึงขอนำเรื่องราวสาเหตุสำคัญประการหนึ่งอันเป็นสาเหตุการล่มสลายของราชวงศ์  Pahlavi มาบอกเล่าให้ได้ทราบ ระบอบการปกครองของอิหร่านภายใต้ Mohammad Reza Pahlavi (Shah of Iran) เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งได้รับความสนับสนุนอย่างเต็มที่จากประเทศมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ได้มีการสนับสนุนต่อกษัตริย์ Reza Pahlavi มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและที่ปรึกษาทางทหาร การขายอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมากมาย อาทิ เครื่องบินขับไล่แบบ F-14 ซึ่งสหรัฐฯ ไม่เคยขายให้กับชาติใดเลย คงมีใช้แต่เพียงกองทัพเรือสหรัฐฯ และกองทัพอากาศอิหร่านเท่านั้น ภายหลังจากการรัฐประหารในอิหร่าน ปี 1953 ด้าน Mohammad Mosaddeq นายกรัฐมนตรีถูกปลดออกจากตำแหน่ง กษัตริย์ Reza Pahlavi ได้ทรงตั้งหน่วยข่าวกรองขึ้นโดยมีอำนาจเช่นเดียวกับตำรวจ เป้าหมายของ Shah คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบอบการปกครองของพระองค์ โดยการจัดวางฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองให้อยู่ภายใต้การสอดแนมและมีการปราบปรามการเคลื่อนไหวของเหล่าบรรดาผู้ที่เห็นต่างอย่างโหดเหี้ยม

นายพล Teymur Bakhtiar 

สำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) ได้ส่งพันเอกสังกัดกองทัพบกสหรัฐฯ ไปยังอิหร่านในเดือนกันยายน 1953 เพื่อทำงานร่วมกับนายพล Teymur Bakhtiar ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเตหะราน (ฝ่ายทหาร) ในเดือนธันวาคม 1953 และเริ่มรวบรวมแกนกลางขององค์กรข่าวกรองใหม่ทันที พันเอกนายดังกล่าวทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายพล Bakhtiar และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา โดยจัดระบบสั่งการสำนักงานข่าวกรองใหม่และฝึกอบรมสมาชิกเกี่ยวกับเทคนิคข่าวกรองขั้นพื้นฐาน เช่น วิธีการสอดแนมและการสอบสวน การใช้เครือข่ายข่าวกรอง และการรักษาความปลอดภัยขององค์กร องค์กรนี้เป็นหน่วยข่าวกรองที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพแห่งแรกที่ดำเนินงานในอิหร่าน ความสำเร็จหลักเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 1954 เมื่อหน่วยงานของนายพล Bakhtiar สามารถค้นพบและทำลายเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ของ Tudeh (พรรคคอมมิวนิสต์ของอิหร่าน) ที่จัดตั้งขึ้นในกองทัพอิหร่านได้สำเร็จ

พลตรี Herbert Norman Schwarzkopf

ในเดือนมีนาคม 1955 CIA ได้ส่งทีมงานซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของ CIA 5 นายมาแทนที่ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติการลับ การวิเคราะห์ข่าวกรอง และการต่อต้านข่าวกรอง รวมถึงพลตรี Herbert Norman Schwarzkopf (บิดาของพลเอก Norman Schwarzkopf Jr. ผบ.กองกำลังพันธมิตรในยุทธการพายุทะเลทราย) ที่ดำเนินการ ‘ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของ SAVAK รุ่นแรกเกือบทั้งหมด’ ในปี 1956 หน่วยงานนี้ได้รับการจัดระเบียบใหม่และตั้งชื่อว่า Sazeman-e Ettela'at va Amniyat-e Keshvar (SAVAK) การจัดการต่าง ๆ รวมทั้งการฝึกฝนอบรมถูกแทนที่ด้วยเจ้าหน้าที่ของ SAVAK เองในปี 1965 SAVAK มีอำนาจเซ็นเซอร์สื่อ คัดกรองผู้สมัครเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ และ ติดตามแหล่งข้อมูลตะวันตกที่เชื่อถือได้ โดยใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็น รวมถึงการตามล่า การทรมานเหล่าบรรดาผู้เห็นต่าง หลังปี 1963 Shah ทรงขยายหน่วยงานรักษาความมั่นคงของพระองค์ ซึ่งรวมถึง SAVAK ที่ขยายจนมีจำนวนเจ้าหน้าที่เต็มเวลามากกว่า 5,300 ราย และสายข่าวอีกเป็นจำนวนมาก (ไม่ทราบจำนวน) ในปี 1961 รัฐบาลอิหร่านได้ปลดนายพล Teymur Bakhtiar ซึ่ง ผู้อำนวยการคนแรกของหน่วยงานนี้ออก และต่อมาเขาก็กลายเป็นผู้เห็นต่างทางการเมืองของรัฐบาลอิหร่าน ในปี 1970 เจ้าหน้าที่ SAVAK ได้ลอบสังหารเขา โดยทำให้ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นเหมือนอุบัติเหตุ

นายพล Hassan Pakravan

นายพล Hassan Pakravan ผู้อำนวยการ SAVAK ตั้งแต่ปี 1961 ถึง 1966 เขามีชื่อเสียงในด้านความอ่อนโยนและมีเมตตา เช่น รับประทานอาหารร่วมกับอยาตุลลอฮ์ Khomeini เป็นประจำทุกสัปดาห์ ขณะที่โคไมนีถูกกักบริเวณในบ้าน และต่อมาได้เข้าแทรกแซงเพื่อป้องกันการประหารชีวิตของอยาตุลลอฮ์ Khomeini โดยให้เหตุผลว่า เรื่องดังกล่าวจะ ‘ทำให้ประชาชนทั่วไปของอิหร่านโกรธเคือง’ อย่างไรก็ตาม หลังการปฏิวัติอิหร่าน นายพล Pakravan กลับเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่กลุ่มแรก ๆ ของ Shah ที่ถูกรัฐบาลของอยาตุลลอฮ์ Khomeini ประหารชีวิต นายพล Pakravan ถูกแทนที่ในปี 1966 โดยนายพล Nematollah Nassiri ซึ่งเป็นนายทหารใกล้ชิดของ Shah และมีการจัดระบบใหม่และมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเมื่อเผชิญกับกลุ่มติดอาวุธฝ่ายซ้ายและกลุ่มอิสลามิสต์ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความไม่สงบทางการเมือง รวมถีงเป็นผู้จุดชนวนแงความเกลียดชังของชาวอิหร่านต่อ Shah 

นายพล Nematollah Nassiri

จุดเปลี่ยนในชื่อเสียงของ SAVAK ในด้านความโหดร้ายที่โหดเหี้ยมมีรายงานว่ามีการโจมตีที่ทำการทหารในหมู่บ้าน Siahkal แคสเปียนโดยกลุ่มมาร์กซิสต์ติดอาวุธกลุ่มเล็ก ๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ 1971 อีกทั้งมีข่าวว่า เจ้าหน้าที่ของ SAVAK ได้ทรมานจนอยาตอลเลาะห์ Muhammad Reza Sa'idi นักบวชชีอะห์จนเสียชีวิต ในปี 1970 ตามคำบอกของ Ervand Abrahamian นักประวัติศาสตร์การเมืองชาวอิหร่านซึ่งระบุว่า หลังจากการโจมตีครั้งนั้น เจ้าหน้าที่สอบสวนของ SAVAK ถูกส่งไปต่างประเทศเพื่อรับการฝึกอบรมทางวิทยาศาสตร์เพื่อป้องกันการเสียชีวิตที่ไม่พึงประสงค์จาก 'การใช้กำลังอย่างโหดเหี้ยม' ซึ่งประกอบด้วย Bastinado (การเฆี่ยนตรงฝ่าเท้า) การบังคับให้อดนอน การขังเดี่ยวอย่างยาวนาน การไฟฉายส่องนาน ๆ การยืนขาเดียวเป็นเวลาหลายชั่วโมง การถอนเล็บ งู (นิยมใช้กับผู้หญิง) การช็อตไฟฟ้าด้วยตราประทับสัตว์ (ซึ่งมักจะสอดเข้าทางทวารหนั​​ก) การจี้ด้วยบุหรี่ การนั่งบนเตาร้อน การหยดน้ำกรดเข้ารูจมูก การจับกดน้ำ การข่มขู่ทรมานต่าง ๆ และการใช้เก้าอี้ไฟฟ้าที่มีหน้ากากโลหะขนาดใหญ่เพื่อปิดเสียงกรีดร้อง (อุปกรณ์นี้เรียกว่า Apollo แคปซูลอวกาศของสหรัฐอเมริกา) นอกจากนี้ นักโทษยังถูกทำให้อับอายจากการข่มขืน การปัสสาวะรด และการถูกบังคับให้ยืนเปลือยกาย 

Bastinado (การเฆี่ยนตรงฝ่าเท้า)

แม้จะมีวิธีการ 'ทางวิทยาศาสตร์' ใหม่ แต่การทรมานที่เลือกยังคงเป็นวิธีการดั้งเดิมที่ใช้ในการตีฝ่าเท้า ‘เป้าหมายหลัก’ ของการทารุณกรรมโดยการใช้วิธี Bastinado คือ “การค้นหาคลังอาวุธ สถานที่หลบซ่อน และสอบเค้นหาผู้สมรู้ร่วมคิด” Abrahamian ประเมินว่า SAVAK (รวมถึงตำรวจและทหารหน่วยอื่น ๆ) สังหารฝ่ายต่อต้านไปราว 368 คน รวมทั้งผู้นำขององค์กรต่อต้านในเมืองใหญ่ ๆ (องค์กร Fedai Guerrillas แห่งประชาชนอิหร่าน, Mujahedin ของประชาชนแห่งอิหร่าน) เช่น Hamid Ashraf ระหว่างปี 1971–1977 และมีการประหารชีวิตนักโทษทางการเมืองมากถึง 100 คน ระหว่างปี 1971 ถึง 1979 ซึ่งเป็นยุคที่มีความรุนแรงที่สุดในระหว่างการดำรงอยู่ของ SAVAK ภายในสิ้นปี 1975 กวี นักประพันธ์ อาจารย์ ผู้กำกับละคร และผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงจำนวน 22 คน ถูกจำคุกเนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการปกครองของ Shah และอีกหลายคนถูกทำร้ายร่างกายเนื่องจากปฏิเสธที่จะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ การปราบปรามผ่อนคลายลงเนื่องจากการประชาสัมพันธ์และการตรวจสอบโดย ‘องค์กรระหว่างประเทศและหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจำนวนมาก’ และเมื่อ จิมมี คาร์เตอร์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และเขาได้หยิบยกประเด็นสิทธิมนุษยชนในรัฐจักรวรรดิแห่งอิหร่านขึ้นมา ทำให้สภาพภายในเรือนจำเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ผู้ต้องขังขนานนามสิ่งนี้ว่าเป็นรุ่งอรุณของระบอบ ‘Jimmykrasy’

ส่วนหนึ่งของภาพผู้ที่เสียชีวิตและสูญหายด้วยฝีมือเจ้าหน้าที่ของ SAVAK

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคำถามเกี่ยวกับจำนวนเจ้าหน้าที่ของ SAVAK เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันโดยนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยหลายคน เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าอิหร่านไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานลับ นักประวัติศาสตร์จำนวนมากให้ตัวเลขที่ขัดแย้งกันสำหรับจำนวนบุคลากรของ SAVAK ตั้งแต่ 6,000 ถึง 60,000 คน ในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของ Shah เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1974 Shah ตรัสว่า พระองค์เองก็เขาไม่ทราบจำนวนเจ้าหน้าที่ของ SAVAK ที่แน่นอน อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงประเมินว่า จำนวนเจ้าหน้าที่ของ SAVAK ทั้งหมดคงจะน้อยกว่า 2,000 คน สำหรับคำถามเกี่ยวกับ ‘การทรมานและความโหดร้าย’ ของ SAVAK Shah ทรงตอบว่า รายงานของหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ ‘ความเด็ดขาดและความโหดร้ายของ SAVAK’ เป็นการโกหกและการใส่ร้าย เอกสารแผ่นพับที่เผยแพร่หลังการปฏิวัติอิสลามระบุว่า มีชาวอิหร่าน 15,000 คนเป็นเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการของ SAVAK ไม่รวมถึงสายข่าวที่ไม่เป็นทางการอีกเป็นจำนวนมาก

ในช่วงที่มีอำนาจสูงสุด SAVAK มีพลังที่แทบไม่มีขีดจำกัด ดำเนินการศูนย์กักขังของตนเอง เช่น เรือนจำเอวิน นอกเหนือจากการรักษาความปลอดภัยภายในประเทศแล้ว ภารกิจของ SAVAK ยังขยายไปถึงการสอดแนมชาวอิหร่านในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะนักศึกษาที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาล นอกจากนั้นแล้ว SAVAK ยังร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ CIA โดยส่งสายลับไปยังนครนิวยอร์กเพื่อแบ่งปันและหารือเกี่ยวกับกลวิธีในการสอบสวน นิตยสารไทม์เขียนในช่วงเวลาแห่งการโค่นล้มพระเจ้าชาห์เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1979 โดยบรรยายถึง SAVAK ว่าเป็น ‘หน่วยงานที่ชาวอิหร่านทั้งเกลียดชังและหวาดกลัวที่สุดมายาวนาน’ ซึ่ง ‘ได้’ ทำการทรมานและสังหารศัตรูของ Shah ไปหลายพันคน นักวิทยาศาสตร์อเมริกันยังพบว่ามีความผิดฐาน ‘ทรมานและประหารชีวิตนักโทษการเมืองหลายพันคน’ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘การปกครองของ Shah ระหว่างปี 1963-79’ รายการวิธีการทรมาน SAVAK  ได้แก่ ‘การช็อตไฟฟ้า การเฆี่ยนตี การทุบตี การเหยียบแก้วที่แตก และการเทน้ำเดือดลงในทวารหนัก การมัดตุ้มน้ำหนักไว้ที่ลูกอัณฑะ และการถอนฟันและถอดเล็บ’

พิพิธภัณฑ์ ‘Ebrat’ ในอดีตเรือนจำ Towhid ใจกลางกรุงเตหะราน
เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเอกสารและเรื่องราวความโหดร้ายของ SAVAK

SAVAK ถูกปิดตัวลงไม่นานก่อนการโค่นล้ม Shah และการขึ้นสู่อำนาจของอยาตุลลอฮ์ Ruhollah Khomeini ในการปฏิวัติอิหร่านเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1979 หลังจากการจากไปของ Shah ในเดือนมกราคม 1979 เจ้าหน้าที่ส่วนกลางและสายข่าวกว่า 3,000 คนของ SAVAK ตกเป็นเป้าหมายของการแก้แค้น อย่างไรก็ตาม Hossein Fardoust อดีตเพื่อนร่วมชั้นวันเด็กของ Shah ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการของ SAVAK จนกระทั่งเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ตรวจราชการของจักรวรรดิอิหร่าน หรือที่รู้จักในชื่อหน่วยข่าวกรองพิเศษ เพื่อตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง รวมถึงผู้อำนวยการของ SAVAK แต่ต่อมา Fardoust ได้เปลี่ยนข้างระหว่างการปฏิวัติและสามารถรักษาเจ้าหน้าที่ของ SAVAK จำนวนมากไว้ได้ ตามคำกล่าวของ Charles Kurzman นักเขียนซึ่งระบุ SAVAK ไม่เคยถูกปิด เพียงแค่เปลี่ยนชื่อและผู้นำ และดำเนินการต่อด้วยหลักปฏิบัติเดิม และมี ‘เจ้าหน้าที่’ ที่ปฏิบัติงานเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง SAVAK ถูกแทนที่ด้วย ‘ที่ใหญ่กว่ามาก’ SAVAMA (Sazman-e Ettela'at va Amniat-e Melli-e Iran) หรือที่รู้จักในชื่อว่ากระทรวงข่าวกรองและความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่าน ภายหลังการปฏิวัติอิหร่าน มีการเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งขึ้นในอดีตเรือนจำ Towhid ใจกลางกรุงเตหะรานที่เรียกว่า ‘Ebrat’ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเอกสารและเรื่องราวความโหดร้ายของ SAVAK แน่นอนว่า ไม่มีสถาบันหลักใด ๆ ในโลกนี้จะสามารถดำรงคงอยู่ได้โดยปราศจากความรัก ความศรัทธา ของประชาชนคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น ๆ ซึ่งเกิดจากความวิริยะ อุตสาหะ ความเมตตากรุณา ของสมาชิกในสถาบันหลักนั้น ๆ และกลายเป็นพลังแห่งความจงรักภักดีที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นในบ้านเมืองของเราอยู่เสมอมาและจะดำรงคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป 

รู้จัก ‘Fu-Go balloon bomb’ อาวุธลับ ‘กองทัพญี่ปุ่น’ ในสงครามโลกครั้งที่ 2

เคยเล่าถึงเรื่องของ ‘ภัยความมั่นคง ‘สหรัฐฯ’ ชิงลงมือ สอย ‘บอลลูนจีน’ ร่วงนอกชายฝั่ง หวั่นซ้ำรอย ‘Fu-Go’ บอลลูนมหาภัย เมื่อ 78 ปีก่อน (https://thestatestimes.com/post/2023021803)’ แต่ยังไม่ได้เล่าเรื่องของ Fu-Go บอลลูนมหาภัย ซึ่งเป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่กองทัพญี่ปุ่นนำมาใช้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หากย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 13 เมื่อพายุไซโคลนสองระลอกพัดเข้าโจมตีกองเรือของผู้รุกรานชาวมองโกลนำโดยกุบไลข่าน ด้วยชาวญี่ปุ่นเชื่อมานานแล้วว่า เทพเจ้าได้ส่ง ‘ลมแห่งสวรรค์’ ที่เรียกว่า ‘กามิกาเซ’ เพื่อปกป้องพวกเขา

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นเชื่อว่า ลมจะสามารถช่วยพวกเขาชนะสงครามได้อีกครั้ง ด้วยนักวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นค้นพบว่า กระแสอากาศทางทิศตะวันตกบนความสูง 30,000 ฟุต ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ‘กระแสอากาศ Jet’ สามารถขนส่งบอลลูนที่เติมไฮโดรเจนไปถึงทวีปอเมริกาเหนือได้ในเวลา 3-4 วัน (ใช้เวลาประมาณ 70 ชั่วโมงในการข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก) ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นจึงใช้เวลา 2 ปี ผลิตบอลลูนหลายพันลูกด้วยหนังที่มีน้ำหนักเบาแต่ทนทาน และกระดาษที่ทำจากต้นหม่อนซึ่งถูกเย็บเข้าด้วยกันจากฝีมือของเด็กนักเรียนหญิงที่ถูกเกณฑ์โดยให้ทำงานไม่สนใจถึงวัตถุประสงค์ที่เลวร้ายของกองทัพ ใช้เชือกยาว 40 ฟุตติดกับบอลลูนผูกอุปกรณ์ทางการทหาร ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์จุดระเบิดและระเบิดแรงสูงขนาด 30 ปอนด์เพื่อปล่อยลงเหนือทวีปอเมริกาเหนือ และสามารถทำให้เกิดไฟป่าครั้งใหญ่เพื่อทำให้เกิดความตื่นตระหนก และอาจทำให้เกิดความขาดแคลนทรัพยากรที่จะนำไปใช้ในสงคราม เมื่อระเบิดหรือไฟไหม้แล้ว อุปกรณ์จุดระเบิดจะทำลายตัวเอง โดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ 

ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 1944 ถึงเดือนเมษายน 1945 กองทัพญี่ปุ่นได้เปิดตัวอาวุธที่ไร้คนควบคุมมากกว่า 9,000 ลูกในปฏิบัติการที่มีชื่อรหัสว่า ‘Fu-Go’ บอลลูนส่วนใหญ่ตกลงไปในมหาสมุทรแปซิฟิกโดยไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่ฝ่ายใด แต่มีบอลลูนทรงกลมสีขาวรูปทรงทันสมัยกว่า 300 ลูกที่สามารถข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปได้กว่า 5,000 ไมล์ และพบว่า ล่องลอยบนท้องฟ้าทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตั้งแต่เมืองโฮลีครอส มลรัฐ Alaska ไปจนถึงเมืองโนกาเลส มลรัฐ Arizona และไกลออกไปทางตะวันออกอย่างเมืองแกรนด์แรพิดส์ มลรัฐ Michigan ในเดือนมีนาคม 1945 บอลลูนลูกหนึ่งชนเข้ากับสายไฟแรงสูงและทำให้ไฟฟ้าดับชั่วคราวที่โรงงานแฮนฟอร์ด มลรัฐวอชิงตัน ซึ่งกำลังผลิตพลูโตเนียมที่จะใช้ในการสร้างระเบิดปรมาณูซึ่งจะทิ้งที่เมืองนางาซากิในอีกห้าเดือนต่อมา อย่างไรก็ตามไม่มีบอลลูนลูกใดที่ทำให้เกิดอัตรายใด ๆ จนกระทั่งกลุ่มสมาชิกคริสตจักรของ สาธุคุณ Archie Mitchel ไปเจอซากบอลลูนลูกหนึ่งบนภูเขา Gearhart เข้า 

สำหรับสาธุคุณ Archie Mitchell ฤดูใบไม้ผลิปี 1945 เป็นฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแต่สาธุคุณและ Elsie ภรรยาของเขาเท่านั้นที่เฝ้ารอลูกคนแรกของพวกเขา แต่เขายังยอมรับตำแหน่งใหม่ในฐานะศิษยาภิบาลของคริสตจักรพันธมิตรคริสเตียนและมิชชันนารีในเมือง ที่อุดมไปด้วยป่าไม้อันเงียบสงบของเมือง Bly มลรัฐ Oregon เพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น สาธุคุณ Mitchell จึงชวนเด็ก ๆ ห้าคนจากชั้นเรียนในโรงเรียนวันอาทิตย์ของพวกเขา เด็กทุกคนอายุระหว่าง 11 ถึง 14 ปี มาปิกนิกท่ามกลางลำธารที่ไหลแรงจนเต็มไปด้วยฟอง และต้นสน Ponderosa บนภูเขา Gearhart ทางตะวันออกเฉียงเหนือสิบสามไมล์หรือประมาณหกสิบไมล์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Klamath Falls ที่อยู่ใกล้ ๆ 

วันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม 5 พฤษภาคม 1945 หลังจากขับตัดเข้าถนนลูกรังหนึ่งเลน สาธุคุณ Mitchell ก็จอดรถเก๋งของเขาและเริ่มขนตะกร้าปิกนิกและคันเบ็ด ขณะที่ Elsie ผู้ภรรยากำลังท้องได้ห้าเดือน และเด็ก ๆ ก็เริ่มสำรวจเนินเขาที่ลาดลงไปยังลำห้วยใกล้ ๆ เมื่อ Joan Patzke วัย 13 ปี พบผ้าใบสีขาวแปลก ๆ บนพื้นป่า เด็กสาวซึ่งอยากรู้อยากเห็นได้บอกกับคนอื่น ๆ ในกลุ่ม "ดูสิว่า เราเจออะไร" ขณะที่ Elsie เรียกสามีกลับมาที่รถ "ดูเหมือนบอลลูนบางชนิด" ศิษยาภิบาลมองไปยังกลุ่มเด็ก ๆ ที่ยืนเป็นวงกลมรอบ ๆ จุดแปลก ๆ ที่อยู่ห่างออกไป 50 หลา ในขณะที่เด็กคนหนึ่งเอื้อมมือไปแตะมัน สาธุคุณก็เริ่มตะโกนเตือน แต่ไม่มีโอกาสพูดให้จบก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ เมื่อสาธุคุณวิ่งไปถึงที่นั่น พบพวกเขาตายหมดแล้ว "

การระเบิดครั้งใหญ่บนภูเขาที่เคยเงียบสงบ ทำให้ Elsie รวมถึงทารกในครรภ์และเด็กทั้งห้าถูกระเบิดเสียชีวิตเกือบจะในทันที ผู้ที่เสียชีวิตได้แก่  Elsie Mitchel อายุ, 26 ปี, Dick Patzke อายุ 14 ปี, Jay Gifford อายุ 13 ปี, Edward Engen อายุ 13 ปี, Joan Patzke อายุ 13 ปี และ Sherman Shoemaker อายุ 11 ปี รวม 6 คน เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในบริเวณใกล้เคียงมาถึงที่เกิดเหตุ เขาพบเหยื่อที่ถูกไฟลุกไหม้ราวกับปากปล่องภูเขาไฟที่ระอุ และสาธุคุณวัย 26 ปีก็พยายามตบไฟที่ไหม้บนชุดของภรรยาเขาด้วยมือเปล่าการระเบิดทำให้เกิดหลุมลึก 3 ฟุตกว้าง 3 ฟุต พบชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดกระจายรัศมี 400 ฟุตจากจุดระเบิด 

โดยอ้างถึงความจำเป็นในการป้องกันความตื่นตระหนก และหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลบอกตำแหน่งที่อาจทำให้ฝ่ายศัตรูสามารถกำหนดเป้าหมายได้ จึงมีการเซ็นเซอร์รายงานข่าวดังกล่าวโดยกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับเรื่องการระเบิดบอลลูนของญี่ปุ่น แม้ว่าคนในพื้นที่เมือง Bly หลายคนจะทราบความจริง แต่พวกเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งทางทหารอย่างไม่เต็มใจ และใช้รหัสแห่งความเงียบในโศกนาฏกรรม ดังที่สื่อรายงานว่า เหยื่อเสียชีวิตจาก "การระเบิดโดยไม่ระบุแหล่งที่มา" อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 1945 รัฐบาลได้ตัดสินใจโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน จึงยอมเปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงของการระเบิดและเตือนชาวอเมริกันให้ระวังบอลลูนสีขาวลักษณะแปลก ๆ ที่พวกเขาอาจพบ

ท้ายที่สุด Fu-Go ก็กลายเป็นความล้มเหลวทางทหารของกองทัพญี่ปุ่น เพราะมีบอลลูนเพียงไม่กี่ลูกก็มาถึงเป้าหมาย และกระแสอากาศ Jet มีพลังเพียงพอในฤดูหนาวเท่านั้น เมื่อสภาพหิมะและความชื้นของป่าในอเมริกาเหนือเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของอุปกรณ์การจุดระเบิด เกิดการบาดเจ็บล้มตายเพียงครั้งเดียวคือการระเบิดจนมีการเสียชีวิตของเด็กบริสุทธิ์ 5 คนและหญิงตั้งครรภ์อีกหนึ่ง ซึ่งเป็นการเสียชีวิตครั้งแรกและครั้งเดียวในทวีปอเมริกา อันเนื่องจากการกระทำของศัตรูในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามบอลลูนระเบิดมีส่วนในการกำหนดอนาคตของสงคราม ในหนังสือ ‘Fu-Go: The Curious History of Japan's Balloon Bomb Attack on America’ Ross Coen ผู้เขียน เรียกอาวุธดังกล่าวว่า ‘ขีปนาวุธข้ามทวีปแบบแรกของโลก’ และการส่งความตายด้วยบอลลูนไร้ตนบังคับได้รับการขนานนามว่า ‘โดรนแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2’ 70 ปีต่อมา บอลลูนระเบิดที่อาจเป็นอันตรายหลายร้อยลูกอาจยังคงตกค้างอยู่ในสถานที่ห่างไกลและทุรกันดารของตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017 คนตัดไม้สองคนในเมือง Lumby รัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดาก็พบเศษของบอลลูนระเบิดซึ่งต่อมาได้ถูกทำลายด้วยการระเบิดของเจ้าหน้าที่ EOD ก่อนที่มันจะทำให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมซ้ำกับเมื่อ 70 ปีก่อนอีกครั้งหนึ่ง

ระหว่างสงครามเย็น ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้พัฒนาระเบิดบอลลูน E77 โดยใช้แนวคิดของบอลลูน Fu-Go บอลลูนนี้มีไว้เพื่อสลายสารต่อต้านพืช (สารจำพวกฝนเหลือง) อย่างไรก็ตามไม่มีการใช้ในการดำเนินการ โปรแกรม WS-124A Flying Cloud ใน 1954-1955 ได้ทดสอบบอลลูนในระดับความสูงมาก ๆ เพื่อปล่อยอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง แต่พบว่าไม่สามารถทำได้ เพราะขาดความแม่นยำ 

การใช้งานปัจจุบัน ในฉนวนกาซา นักรบปาเลสไตน์ได้ใช้บอลลูนที่มีวัสดุไวไฟ ปล่อยจากเขต Bureij ในฉนวนกาซา นับตั้งแต่การเริ่มต้นของการประท้วงบริเวณชายแดนฉนวนกาซาในปี 2018 ชาวปาเลสไตน์ได้เริ่มจากการใช้ว่าวก่อความไม่สงบต่ออิสราเอลในรูปแบบของการใช้บอลลูนก่อกวน ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2018 บอลลูนที่ใช้ก่อความไม่สงบเติมด้วยก๊าซฮีเลียมถูกนำมาใช้ร่วมกับว่าว ลูกโป่งกาซานถูกประดิษฐ์ขึ้นจากลูกโป่งปาร์ตี้ที่บรรจุฮีเลียมหรือถุงยางอนามัยที่ร้อยเข้าด้วยกัน โดยมีเศษผ้าไฟเป็นอุปกรณ์ก่อความไม่สงบอื่น ๆ หรือมีวัตถุระเบิดที่พันอยู่ด้านล่าง ลมที่พัดเข้ามาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำให้บอลลูนจากฉนวนกาซาเข้าสู่อิสราเอล ตามรายงานใน Ynet เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2018 ว่าวและบอลลูนทำให้เกิดไฟไหม้ 678 ครั้งในอิสราเอล เผาป่าไม้ 910 เฮกตาร์ (2,260 เอเคอร์) พืชผลทางการเกษตร 610 เฮกตาร์ (1,500 เอเคอร์) และทุ่งโล่ง บอลลูนบางลูกตกลงในเขตภูมิภาคเอชคอล และเขตภูมิภาคซดอตเนเกฟ แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และมีบอลลูนจำนวนหนึ่งสามารถลอยไปไกลถึงเขต Beersheba ซึ่งอยู่ห่างจากฉนวนกาซาประมาณ 40 กิโลเมตร (25 ไมล์)

โจทย์ใหญ่!! การถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จฯ ในวันที่ไทยมี ‘คนไม่ปกติ’ หมายคิดแต่จะล้มเจ้า

ผมอาจจะเขียนเรื่องนี้ช้าไปกว่าทุก ๆ คน แต่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องช้าที่ช่วยย้ำเตือนถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ของพวกเราชาวไทย แม้ว่าคนอาจจะพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบ ยกเลิกระบบ และแก้ไขกฎหมายอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในสภาและนอกสภา

จากเหตุการณ์ป่วนขบวนเสด็จฯ ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มันมีความจริงด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจราจรเมื่อขบวนเสด็จฯ และกฎหมายเกี่ยวกับการถวายความปลอดภัยเมื่อมีขบวนเสด็จฯ ซึ่งหลายคนไม่เคยสนใจรับรู้ โดยเฉพาะเยาวชนที่เรียกตัวเองว่าผู้นำการเปลี่ยนแปลง (ซึ่งบางคนมันก็ไม่ใช่เยาวชนแล้วล่ะ) แต่มักจะทำผิดกฎหมายอยู่บ่อย ๆ โดยมักจะอ้างว่าตัวเองมีสิทธิ เสรีภาพในการกระทำการนั้น ๆ ผมอยากจะพรุสวาทเบ ๆ ด้วยคำสั้น ๆ ถึงพวกเขาเหล่านั้นว่า ‘ไอ้บ้า’ ประเทศมีกฎหมายถ้าอยากอยู่แบบทำอะไรก็ได้ ก็ไปอยู่ในสถานที่ ที่เขาไม่มีกฎหมาย แต่คงยากเพราะไปที่ไหนเขาก็มีกฎควบคุมทั้งนั้นสรุปคือ ‘ลำบาก’ กับการอยู่ละ!!

กลับมาดูกฎหมายที่ผมจะเล่ากันดีกว่า...

เริ่มต้นด้วยกฎหมายเกี่ยวกับขบวนเสด็จฯ โดยเฉพาะว่าด้วยการจราจร ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์เมื่อมีการเสด็จฯ และจำเป็นต้องปิดการจราจร ทรงเกรงว่าการเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ และพระบรมวงศานุวงศ์ จะกระทบกับการเดินทางของประชาชน จึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดแนวทางอำนวยความสะดวกด้านการจราจรมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 โดยมีแนวทางในการปฏิบัติ 10 ข้อ ดังนี้….

1. ไม่ให้ปิดการจราจร เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เส้นทางได้ตามปกติ

2.ในเส้นทางเสด็จฯ ให้จัดช่องทางเสด็จฯ และช่องทางประชาชน โดยใช้อุปกรณ์ เช่น กรวยยาง ป้ายไฟ เพื่อความสะดวก

3. เส้นทางฝั่งตรงข้ามทางเสด็จฯ กรณีที่มีเกาะกลางถนนเส้นทางฝั่งตรงข้าม สามารถใช้ได้ตามปกติ กรณีไม่มีเกาะกลางถนน ให้ใช้อุปกรณ์ เช่น กรวยยางวาง โดยประชาชนสามารถวิ่งตามเส้นทางที่จัดไว้ได้ตามปกติ

4. กรณีทางร่วมทางแยกให้ประชาชนใช้เส้นทางได้ตามปกติ โดยใช้วิธีการควบคุมรถ เช่น ใช้กรวยยางวางควบคุมกระแสรถ

5. สำหรับสะพานกลับรถ หรือสะพานข้าม ให้ประชาชนใช้ได้ตามปกติ

6. กรณีทางพิเศษที่มีด่านเก็บเงิน ให้วางแนวกรวยยางด้านซ้ายให้ประชาชนเดินรถได้ โดยให้เหลือช่องทางสำหรับขบวนเสด็จอย่างน้อย 2 ช่องทาง

7. กรณีเส้นทางร่วมทางแยก ไม่ให้บังคับให้ประชาชนเปลี่ยนเส้นทาง ให้คำนึงถึงความตั้งใจของประชาชนเป็นหลัก

8. เน้นย้ำในการวางอุปกรณ์ให้พิจารณาตามความเหมาะสม ให้คำนึงถึงเวลา ให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด

9. ใช้มาตรการประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดกับทั้งประชาชนและผู้ปฏิบัติหน้าที่

10. ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นต้องลงไปกำกับดูแลด้วยตนเอง สำหรับผู้ปฏิบัติให้ใช้วาจา กิริยา ท่าทางด้วยความสุภาพ ไม่ให้ประชาชนรู้สึกว่าถูกบังคับ

การดำเนินการปรับรูปแบบการถวายการอารักขาระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปตามวัตถุประสงค์หลัก เพื่อถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ในระดับสูงสุด เพื่อให้สมกับพระเกียรติ และเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ก็เลยไม่เข้าใจว่าเมื่อดำเนินการลักษณะดังกล่าวนี้แล้วทำไมยังไป ‘หนักศีรษะ’ ของหญิงสาวและชายหนุ่มคู่นั้นอีก (ไม่อยากพิมพ์ชื่อให้เป็นเสนียดคีย์บอร์ดครับ) หรือมันยังไม่สาแก่ใจในการ ‘ด่า’ และ ‘ความต้องการบางอย่าง’ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเจ้า เรื่องนาย ทำให้ต้องรีบขับรถด้วยความเร็วเพื่อเข้าไปแทรกขบวนเสด็จฯ แต่เมื่อโดนกัก ก็ลงไปลำเลิก ว่ากล่าว เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ถวายการอารักขาอย่างคนไร้อารยะ ซึ่งเขาทั้งคู่คงลืมเรื่องกฎแห่งความปลอดภัยทางการจราจร และกฎหมายอีกหลายต่อหลายข้อ โดยเฉพาะกฎหมายตาม พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 ซึ่ง ‘ไอ้คนพวกนี้’ มันไม่เคยสนใจอยู่แล้ว แต่ผมขอตัดบางข้อใน พรบ. เพื่อนำไปสู่ข้อความสำคัญดังนี้...

การถวายความปลอดภัย หมายความว่า “การรักษาความปลอดภัยสําหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป และให้หมายความรวมถึงการรักษาความปลอดภัยสําหรับผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์.....และบุคคลที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นพระราชอาคันตุกะ....โดยครอบคลุม พระราชฐาน ที่ประทับหรือที่พัก...ขณะที่เสด็จฯ ไปหรือไปยังที่ใด รวมตลอดถึงการรักษาความปลอดภัยของ ยานพาหนะ และสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้อง”

โดยมี ‘หน่วยราชการในพระองค์’ และ ‘หน่วยงานรัฐ’ เป็นผู้รับผิดชอบ โดยไปอ่านฉบับเต็มได้นะครับ ไม่ยาวแค่ 3 หน้าสั้น ๆ ที่ https://www.royaloffice.th/wp-content/uploads/2018/09/พรบ-ถวายความปลอดภัย.pdf 

แต่คุณเชื่อไหม? ว่ากฎหมายฉบับนี้ก็มีช่องที่ทำให้พวกคนไร้อารยะเห็นช่องในการจะก่อการ เพราะกฎหมายฉบับนี้ไม่มีบทลงโทษใด ๆ ครับ จะเอาผิดไอ้คนพวกนี้ก็ทำได้แค่ ‘กฎหมายจราจร’ เท่านั้น (ซึ่งหลายคนจะพยายามโยงไปที่ ม.112 มันก็ไม่สามารถนะโยม อย่ามั่ว!! เพราะล่าสุดที่พวกมันโดนจับคือคดีเก่าล้วนๆ และเจตนาพวกมันก็ชัดว่าต้องการประทุษร้ายต่อพระบรมวงศานุวงศ์ โดนถอนประกันไม่ใช่เรื่องแปลก และจะโดน ม.116 ก็สมควรได้รับไปครับ) 

ปกติประเทศไทยของเรานี้ ไม่มีใครที่จะกระทำการอันมิบังควรต่อองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ นอกจากไอ้คนประเภทที่เราได้เห็นกันมานี่ล่ะครับ 

จากเหตุการณ์และกฎหมายที่ว่ามา ก็เลยทำให้สภาเดือดครับ เพราะเล็งเห็นแล้วว่ามี ‘คนไม่ปกติ’ อยู่ในสังคมไทยของเรา ทั้งยังกล้าที่จะกระทำการมิบังควรให้เกิดขึ้นโดยไม่มีจิตสำนึก จึงได้มีการผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อ ‘เพิ่มโทษ’ และ ‘ลดจุดอ่อน’ พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 โดยเป็นโทษหนักต่างกรรมต่างวาระ ทั้งโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี และปรับถึง 500,000 บาท ในกรณีที่ก่อเกิดอันตรายต่อร่างกายและชีวิตขององค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งข้อนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเป็นแน่ (ยกเว้นพวกมัน) 

แต่สภาก็ยังคงมีท่านผู้ทรงเกียรติหลายท่าน ‘ขวาง’ ทั้งยังไม่พูดถึงกรณีการละเมิดดังกล่าว แต่เฉไฉไปพูดถึงเรื่องความปลอดภัยและโทษที่ ‘คนไม่ปกติ’ ได้รับ ทั้งยังไปยกเรื่องการปะทะกันของกลุ่มคน โดยไม่สนใจถึงมูลเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ก็อย่างว่าน่าจะเป็น ‘พรรคพวกเดียวกัน’ หรือไม่ก็คงเป็น ‘คนไม่ปกติ’ เหมือนกัน ไม่แปลกที่ใครจะคิดไปในทางเดียวกันว่าพรรคของพวกท่านนั่นแหละที่อยู่เบื้องหลัง โดยอาจจะเป็นผู้นำจิตวิญญาณของท่านหรือสาวคางทูมเป็นผู้บงการก็ได้ 

อ่านมาถึงตรงนี้ทุกท่านมองว่าเราควรทำอย่างไรกันดี? เมื่อเรามีพวก ‘คนไม่ปกติ’ คิดแต่จะล้มเจ้าอยู่ทุกวัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top