Thursday, 28 March 2024
POLITICS

‘ดร.อานนท์’ เตือน 2 บุตรีของปรีดี อย่าใช้แค่วาทกรรม แนะ!! งัดหลักฐานโต้ หาก ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ นำเสนอบิดเบือน

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค. 67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Arnond Sakworawich’ ระบุว่า…

“ผมเข้าใจได้นะครับว่าทายาทของตระกูลพนมยงค์ย่อมไม่พอใจกับภาพยนตร์แอนิเมชัน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ และมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นปกป้องบรรพบุรุษของตนหรือแม้แต่ฟ้องร้องผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังได้ครับ

“แต่ผมคิดว่าในฐานะของลูกหลานปัญญาชนผู้อภิวัฒน์สยาม ก็ควรแสดงหลักฐานและเอกสารชั้นต้นออกมาต่อสู้กันว่าในภาพยนตร์มีสิ่งใดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ อะไรที่ทางครอบครัวพนมยงค์คิดว่าไม่เป็นความจริง ก็โต้มาด้วยหลักฐาน

“แต่การประดิษฐ์วาทกรรมลอย ๆ เรียกตนเองเป็นฝ่ายธรรมะ และเรียกทีมผู้สร้างภาพยนตร์ว่าเป็นฝ่ายอธรรม ช่างเป็นสงครามวาทกรรมที่แสนเหยียด ขาดความเคารพในความเห็นต่าง ไม่เป็นประชาธิปไตย คงใช้ชีวิตและเติบโตมาจากภาพยนตร์จีนกำลังภายในมากไปหรือไม่”

ผศ.ดร.อานนท์ ระบุต่อว่า “บรรพบุรุษของท่านทั้งสอง เป็นผู้ประดิษฐ์มนูธรรม เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ทำไมลูกหลานจึงเป็นได้แค่ผู้ประดิษฐ์วาทกรรม ช่างแตกต่างจากบรรพบุรุษเหลือเกินครับ การกระทำเช่นนี้ของทายาทของครอบครัวพนมยงค์ ทำให้เกียรติยศของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เสียหายมากนะครับ ว่าลูกหลานขาดวุฒิภาวะในการแสดงความคิดเห็นเยี่ยงอารยะและผู้มีการศึกษา

“การเขียนแถลงการณ์โดยไม่แสดงภูมิปัญญาความรู้ มีแต่วาทกรรมเหยียดและอารมณ์คุกรุ่นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หาใช่วิสัยปัญญาชนอย่างท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ไม่

“ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เองก็ยอมรับในบั้นปลายชีวิตเมื่อให้สัมภาษณ์กับนักข่าวแอนโทนี่ พอลว่าข้อผิดพลาดประการหนึ่งในชีวิตคือการนำเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม

“ไฉนเลยลูกหลานแห่งตระกูลพนมยงค์จะยังคงซ้ำรอยวิธีการที่ผิดพลาดในการนำเสนอความคิดเห็น ซึ่งน่าจะทำได้ดีกว่านี้มากครับ อย่าได้ทำอะไรผิดพลาดเช่นที่ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ได้เคยทำผิดพลาดด้วยการนำเสนอผิดวิธีอีกเลยครับ”

สำหรับข้อความเห็นจาก สุดา พนมยงค์ และดุษฎี พนมยงค์ 2 บุตรีของนายปรีดี พนมยงค์ ได้ระบุไว้ว่า…

ข้อคิดเห็นบางประการเรื่องที่ฝ่ายอธรรมกำลังปลุกกระแส โดยสร้างและเผยแพร่ ภาพยนตร์ 2475 อยู่ในขณะนี้

1. การโต้ตอบโดยตรง อาจไม่เป็นผลดีต่อสถาบันปรีดีฯ ทำให้เข้าทางฝ่ายตรงข้าม ที่หวังสร้างข้อมูลเท็จบิดเบือนประวัติศาสตร์ ยั่วยุเพื่อให้เกิดกระแสด้านลบต่อฝ่ายธรรมะ

2. สถาบันปรีดีฯ เผยแพร่ความรู้ และข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อผู้ที่สนใจจะสามารถสืบค้น เข้าถึงได้สะดวกขึ้น

3. เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เคยมีการสร้างสื่อในลักษณะใส่ร้ายและโจมตีการอภิวัฒน์ 2475 แต่ไม่ได้รับความสนใจจากสังคม จึงไม่ประสบความสำเร็จในการปลุกกระแสดังกล่าว

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น การต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะ และฝ่ายอธรรม ยังคงดำเนินต่อไปในสังคมอีกยาวนาน ขอบคุณกรรมการทุกท่าน ที่ได้ช่วยกันพิจารณาวิถีทางรับมือกับกระแสดังกล่าว และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องเสมอไป

'เอกนัฏ' ยัน!! กมธ.งบประมาณฯ พิจารณางบคลังอย่างดีแล้ว  ย้ำ!! งบที่ทุกกรมได้รับแม้จะน้อย แต่จะใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ได้ชี้แจงข้อสงสัยของสมาชิกในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 ในส่วนมาตรา 9 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังว่า กระทรวงการคลังมีภารกิจสำคัญมากโดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ให้ประเทศ ถ้ากระทรวงการคลังไม่สามารถทำงานตามเป้าหมายได้ เราคงไม่ต้องมีงบประมาณมาพิจารณากันในที่ประชุมแห่งนี้

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบงบประมาณที่กระทรวงการคลังได้รับกับกระทรวงอื่นถือว่าน้อยมากจำนวน 1.1 หมื่นกว่าล้าน ส่วนหนึ่งเป็นงบที่ตั้งโดยกรมธนารักษ์สำหรับจ่ายค่าเช่าตามมติครม.เกือบ 4 พันล้าน งบที่กรรมาธิการฯ ปรับลดเหลือเพียง 7 พันกว่าล้านเท่านั้น มีทั้งหมด 10 หน่วยงาน เฉลี่ยได้ว่าแต่ละหน่วยงานมีงบประมาณใช้น้อยมาก แต่มีภารกิจสำคัญ ต้องจัดเก็บรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตนได้ฟังคำชี้แจงของผู้บริหารกระทรวงการคลัง นอกจากเห็นใจแล้ว ตนการันตีกับทุกคนได้ว่า มั่นใจเข้าใจภารกิจในการทำงานของแต่ละกรมเป็นอย่างดี มีความมั่นใจว่าเป้าหมายในการจัดเก็บที่ตั้งไว้ และการปราบปรามการกระทำผิดสามารถลุล่วงได้อย่างดีแน่นอน

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในการพิจารณากรรมาธิการฯ อาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานมาช่วยกันกลั่นกรองงบประมาณที่เป็นส่วนเกินให้สามารถใช้ได้ทันในปี 2567 โดยหน่วยงานยืนยันไม่กระทบกับภารกิจและเป้าหมายของทุกหน่วยงาน เช่น กรมสรรพสามิตที่ทำภารกิจร่วมกับจเรตำรวจแห่งชาติได้ปรับลดอากาศยานไร้คนขับที่เติมน้ำมันออกไป ส่วนโดรนที่เหลืออยู่ใช้ระบบไฟฟ้า หน่วยงานยืนยันยังมีความสำคัญต่อภารกิจจึงต้องคงไว้ในงบส่วนนี้

นายเอกนัฏ กล่าวว่า งบของกรมศุลกากรได้มีการปรับลดด่านที่ไม่สามารถทำได้ในปี 2567 รวมถึงกรมธนารักษ์ตั้งงบประมาณมากว่า 4 พันล้าน ก็เป็นงบจ่ายค่าเช่าแทนหน่วยงานราชการทั้งหมดที่มีการเช่าพื้นที่ในศูนย์ราชการ มีการปรับลดงบซื้อเครื่องปั๊มลมสำหรับผลิตเหรียญกษาปณ์ ส่วนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร.ก็ปรับลดค่าจ้างที่ปรึกษาที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันไปในปี 2567 ออกไปทุกคนช่วยกันเต็มที่ แต่ตนยืนยันว่างบประมาณที่เหลืออยู่มีความจำเป็นมากกับการต้องลงทุนกับระบบของกระทรวงการคลัง งบส่วนมากเป็นการบำรุงรักษาระบบไอที เครื่องคอมพิวเตอร์ งบส่วนมากถูกจัดสรรไปซื้อคอมพิวเตอร์แทนเครื่องเก่า สำหรับกรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต ตนขำอยู่ในใจแต่หัวเราะไม่ออก เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ปกติแล้ว 7-8 ปี เปลี่ยนครั้งหนึ่ง แต่สำหรับ 2 กรมนี้ใช้งานเกิน 10 ปีจนเป็นตู้ปลา จนลือกันว่าเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ขอบเขตอำนาจของกรรมาธิการฯมีข้อจำกัด เช่น เรื่องการชำระค่าเช่า 3,976 ล้านของกรมธนารักษ์เป็นไปตามมติครม. ในส่วนของการบริหารจัดการมีประสิทธิภาพคุ้มค่าหรือไม่ อยู่นอกอำนาจของกรรมธิการฯ พิจารณา ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติงานโครงการดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพหรือมีปัญหาสามารถไปยื่นเรื่องต่อกรรมาธิการฯ สามัญคณะอื่นๆตรวจสอบ เพื่อให้ทบทวนได้ กรณีของสแตมป์ในกรมสรรพสามิต งบประมาณปี 2567 ล่าช้า มีการจัดสรรงบประมาณให้ใช้พรางก่อนแล้ว 134 ล้านบาทเต็มจำนวน ถ้าจะไปปรับลดจะมีปัญหา แต่ว่าข้อสังเกตของเพื่อนสมาชิกสามารถส่งไปยังกรมสรรพสามิตได้ ถ้ามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะช่วยทำให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นทางผู้บริหารไม่ขัดข้องที่จะดำเนินการ

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในส่วนของกรมบัญชีกลาง กรรมาธิการฯพิจารณาในส่วนของงบประมาณเท่านั้น งบส่วนใหญ่ที่ให้กรมบัญชีกลางมีความสำคัญกับการพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างให้ทันสมัย ระบบบล็อกเชนที่ถูกพัฒนาขึ้นมาและใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ช่วยทำให้การจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใส ทำให้ได้รับการยอมรับจากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจากองค์กรระหว่างประเทศ เราก็อยากจะสนับสนุนให้ทำมากกว่านี้ แต่ในส่วนการพิจารณาเงื่อนไข หลักเกณฑ์ต่างๆ ไม่ได้อยู่ในอำนาจของกรรมาธิการฯ แต่ก็มีข้อสังเกตไปถึงหน่วยงานหลายเรื่อง เช่น การจัดซื้อจัดจ้างของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นที่กรรมาธิการฯ มีความกังวลมากว่า จะไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปี 2567 ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ เพราะมีความล่าช้าจากเรื่องร้องเรียน หรือ กระบวนการประมูลมีปัญหา ทั้งเรื่องคุณภาพ การฟันราคา การทิ้งงาน สิ่งเหล่านี้เป็นข้อสังเกตที่เราส่งให้หน่วยงานทั้งหมด

“ทั้งหมดเป็นข้อสังเกตที่เราควรตั้งไว้ แล้วเก็บไว้ใช้เป็นประโยชน์ในการพิจารณางบประมาณในปีถัดไป ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่มีงบผูกพันโดยมติครม. โครงการที่มีงบผูกพันมาอย่างต่อเนื่องในปีก่อนๆ หรือข้อสังเกตที่สำคัญเป็นการเฉพาะสำหรับปีงบประมาณปี 2567 ที่มีการใช้งบปี 2566 ไปพลางก่อน ส่วนไหนที่เราปรับลดได้โดยไม่กระทบกับภารกิจสำคัญของหน่วยงานเราใช้วิธีการทำความร่วมมือกับทุกหน่วยงานเข้ามายืนยันหมด ส่วนไหนที่ซ้ำซ้อนหรือบางส่วนก็เลื่อนออกไปเพื่อตั้งงบประมาณดำเนินการในปี 2568 -2569 อย่างไรก็ตามขอยืนยันต่อเพื่อนสมาชิกว่ากรรมาธิการฯได้พิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงการคลังอย่างดีแล้วจึงขอยืนตามมติของกรรมาธิการฯ” นายเอกนัฏ กล่าว

‘ช่อ’ โต้!! ‘ผอ.นิด้า’ ปม ‘ยุบก้าวไกล’ จะปั้นหัวหน้าคนใหม่คงไม่ง่าย ลั่น!! อนาคตใหม่ พิสูจน์แล้ว 4 ปีที่ผ่านมา คนเลือกพรรคที่แนวทาง

(20 มี.ค.67) จากกรณี ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผอ.ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล ระบุว่า หากพรรคก้าวไกลถูกยุบ จะปั้นหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทนคุณพิธานั้นไม่ง่ายเลย

ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่าน X ถึงเรื่องดังกล่าวว่า…

“ตอนยุบอนาคตใหม่ นักวิเคราะห์ก็พูดกันแบบนี้ ไม่มีธนาธร ก้าวไกลคงไม่รอด 4 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าคนเลือกพรรคที่แนวทาง จุดยืนทางการเมือง และนโยบาย ทัศนคติแบบที่มองว่าพรรคก้าวไกลชนะเพราะปั่นกระแสขึ้นมา เพราะคนเห่อหัวหน้าพรรค ไม่ใช่การดูถูกพรรค แต่ดูถูกประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

หากก้าวไกลชนะเพราะปั่นกระแส ทำไมกระแสแลนด์สไลด์ที่แรงมาก จึงไม่สามารถนำพาเพื่อไทยให้ชนะการเลือกตั้งได้?”

ถอดรหัส ‘ทักษิณ’ กินรวบ!! กับดักอันตราย ‘ฝ่ายอนุรักษ์นิยม’ ในวันที่ขั้วอำนาจเดิมต้องอาศัยเสียง 'เพื่อไทย' สยบ 'ก้าวไกล'

บทสรุปของทักษิณ ชินวัตร ในการเดินทางไปปิ๊กบ้าน กราบไหว้อัฐิบรรพบุรุษที่เชียงใหม่ระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค. 67 สมควรจะถูกบันทึกไว้สั้น ๆ อีกครั้ง หลังจากที่สัปดาห์ก่อน ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้กล่าวถึงภารกิจสำคัญของทักษิณไปบ้างแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามนั้น…

มองย้อนปรากฏการณ์ทักษิณปิ๊กบ้านหนนี้ แล้วสรุปเป็นข้อ ๆ ในเชิงวิเคราะห์ข่าวได้ดังนี้…

1. ทักษิณใช้ต้นทุนสูงมากในภารกิจครั้งนี้...ต้นทุนสูงที่สุดก็คือการเปลือยให้คนทั้งประเทศมีความรู้สึกอย่างเดียวกันว่า...ที่ผ่านมาทักษิณไม่ได้ป่วยหนักหรือป่วยวิกฤตจริง ๆ

จากนี้ไปการตรวจสอบข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ หน่วยงานที่รู้เห็นเป็นใจในการช่วยทักษิณแม้แทบจะมองไม่เห็นหนทางชนะในตอนนี้ แต่อนาคตอะไรก็อาจเกิดขึ้นได้...

2.การไปเชียงใหม่ทักษิณได้รับการต้อนรับ ดูแล เอออวยจากฝ่ายการเมือง ฝ่ายประจำยิ่งกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี และพี่น้องคนเสื้อแดงที่บริหารจัดการกันมาจำนวนหนึ่ง...มองให้ลึกลงไปค่อนข้างจะขาดความมีชีวิต แม้ว่าในทางการเมืองการปิ๊กบ้านของทักษิณหนนี้จะเป็นการส่งสัญญาณให้คนเชียงใหม่รู้ว่าทักษิณกลับมาแล้วก็ตาม…

3.สมการการเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน สส. 10 คน เป็นพรรคก้าวไกล 7 คน เพื่อไทย 2 คน พลังประชารัฐ 1 คน ส่วนนายก อบจ. คือ ‘สว.ก๊อง’ หรือ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร คนของพรรคเพื่อไทย...ตอนแรกคาดกันว่าตระกูล ‘บูรณุปกรณ์’ บ้านใหญ่ที่เคยล่มหัวจมท้ายกับเพื่อไทยจะหวนคืนมาจับมือกับทักษิณ-เพื่อไทยในทันที แต่ยังไม่เห็นภาพนั้น ดูแล้วแต่ละฝ่ายยังตรึงกำลังกันอยู่…

3.1 ศึกชิงนายกอบจ. ต้นปี 2568 เพื่อไทย-เจ๊แดง หรือเยาวภา วงษ์สวัสดิ์ คงจะหนุน สว.ก๊อง ลงนายกอบจ.ต่อ ขณะที่พรรคก้าวไกล จะส่ง ‘ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์’ อดีตผอ.สำนักงานนวัตกรรมแห่งประเทศ (NIA) คนหนุ่มคนเชียงใหม่ลงสมัคร ทำให้ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีตสส.เพื่อไทย ที่ไปลุ้นอยู่ด้วยอกหัก…

3.2 การเลือก สส. บารมีทักษิณน่าจะช่วยให้พรรคเพื่อไทยทวงคืนเก้าอี้ในบางเขตกลับคืนมาได้บ้าง...แต่หนทางที่จะกวาดยกจังหวัดแบบเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว ยากที่จะเกิดขึ้นได้อีก...ด้วยหลายเหตุผล

4. อย่างไรก็ตาม…สำหรับการเมืองระดับชาติในขณะนี้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ พูดคุยเสวนากับนักวิชาการมาหลายสำนัก มีความเห็นตรงกันประการหนึ่งว่า… ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ถือไพ่ดุลอำนาจเหนือกว่าทุกฝ่าย จนพูดกันว่า ‘ทักษิณกินรวบ’ เหตุเพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือขั้วอำนาจเดิมยังต้องอาศัยเสียงของพรรคเพื่อไทย สยบหรือตรึงพรรคก้าวไกลที่ถูกขีดเส้นใต้ว่าเนื้อแท้แล้วยังเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันฯ…

ดังนั้นการล้ำเส้นความเป็นอภิสิทธิ์ชนของทักษิณในเวลานี้ยังไม่ใช่ปัญหาหลักในสายตาของผู้นำฝ่ายอนุรักษ์นิยม ทั้งที่เป็นจุดแห่งความเสื่อม...

ฝ่ายอนุรักษ์นิยมระแวงเหมือนกันว่าพรรคเพื่อไทยว่าจะเบี้ยวข้อตกลง...โดยเฉพาะหลังวันที่ 10 พ.ค. 67 วันที่สมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันหมดวาระและสิ้นอำนาจในการโหวตเลือกนายกฯ...พรรคเพื่อไทยอาจไปจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลได้…เพียงแต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมประเมินว่าทักษิณใจไม่กล้าพอที่จะเลือกหนทางนั้น…

เพราะสุ่มเสี่ยงที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย...!!

ความร่มเย็นของชาติบ้านเมืองจะกลายเป็น 'ความฝัน' ความล้าหลังของประเทศชาติจะกลายเป็น 'ความจริง'

(19 มี.ค.67) ในการเลือกตั้ง 2566 ของไทย มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,238,594 คน มีผู้ใช้สิทธิ 39,514,973 คน (75.71%) โดยพรรคก้าวไกลได้คะแนนเลือกตั้ง สส. แบบบัญชีรายชื่อ 14,438,851 คะแนน และได้คะแนนเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขต 9,665,433 คะแนน คิดเป็นเพียง 36.54% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งคะแนนเลือกตั้งทั้ง 2 แบบ ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง (19,757,487 คะแนน) แต่อย่างใด และยังคงห่างไกลจากคะแนนเลือกตั้งอดีตพรรคไทยรักไทย (พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน) ในการเลือกตั้ง 2548 ที่ได้คะแนนเลือกตั้ง 18,993,073 คะแนน หรือ 61.17% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนั้นจำนวน 32,341,330 คน ได้สส.จำนวน 377 คน ในขณะที่การเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลได้สส. 151 คน

ข้อมูลตัวเลขที่ได้นำมาเสนอนี้ แค่อยากแสดงให้เห็นว่า ผลการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลนำมาอวดอ้างบ่อยๆ นั้น หากเทียบกับการเลือกตั้งปี 2548 ฟากพรรคไทยรักไทยยังเคยทำไว้ดีกว่า ซ้ำยังเป็นชัยชนะที่ได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง กลับกันหากนำจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,238,594 คนในการเลือกตั้ง 2566 มาคำนวณแล้ว เท่ากับว่าทั้งประเทศจะมีผู้ที่เลือกพรรคก้าวไกลเพียง 27.64% หรือไม่ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 

ตัวเลขข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนในสังคมไทยไม่ได้นำมาศึกษา พินิจ วิเคราะห์ พิจารณากันแต่อย่างใด หากแต่ถกโหมด้วยสื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ที่ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคการเมืองดังกล่าวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ส่งผลให้พรรคก้าวไกล มักนำผลการเลือกตั้ง 2566 มาทำการอวดอ้างในเชิงเกินจริง ซึ่งทำให้คนที่ไม่เข้าใจข้อเท็จจริงในระบอบประชาธิปไตยหลงทางจนเข้าใจผิดคิดไปว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเสมอไป 

ทั้งๆ ที่การจัดตั้งรัฐบาลในหลายประเทศที่เป็นรัฐบาลผสมจากหลายๆ พรรคนั้น แกนนำรัฐบาลหลายครั้งหลายหนก็ไม่ได้มาการพรรคการเมืองที่มี สส.จำนวนมากที่สุด และเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในบ้านเราแล้ว เช่น การเลือกตั้ง 2518 ยุคหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งมี สส. เพียง 18 คน แต่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (14 มีนาคม พ.ศ. 2518 - 20 เมษายน พ.ศ. 2519) ได้ ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคกิจสังคมได้เลือกตั้งมาเป็นอันดับ 5 ก็ตาม 

พูดถึงเรื่องพรรคก้าวไกลที่เคลมประชาธิปไตยมาสร้างความเป็นธรรมแบบคาดเคลื่อนแล้ว ก็อดเลื่อนกลับไปมองผลลัพธ์ในการเลือกตั้ง 66 ของอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้

เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้พรรคต่างๆ ได้คะแนนเท่านั้น มาจาก...

1) คนไทยเป็นคนที่รู้สึกเบื่อง่าย โดยปราศจากการพิจารณา ใคร่ครวญ และไตร่ตรอง ความเบื่อหน่ายจึงถูกนำมาเป็นอาวุธทางจิตวิทยาที่ใช้โดยทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยในการจัดการกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อย่างได้ผลที่สุด (แต่ผลงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ปรากฏภายหลังการเลือกตั้งทำให้ผู้คนในสังคมไทยต่างก็รู้สึกผิดพลาดและเสียดาย) 

2) ความอ่อนด้อยในการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ โดยเฉพาะเรื่องของ Social Media ซึ่งพรรคก้าวไกลทำได้ดีกว่ามาก กอปรกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์นำงบประมาณไปเป็นงบลงทุนในการพัฒนาประเทศ สื่อหลักต่างๆ จึงไม่ได้รับงบประมาณในการประชาสัมพันธ์จากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เช่นที่เคยได้รับจากรัฐบาลก่อนๆ ปีละนับพันล้านบาท 

3) ปัญหาระหว่างประเทศอันเนื่องมาจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นมากมายหลายรายการ ซ้ำมีการใช้เรื่องของค่าไฟฟ้าแพงมาโจมตีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในระหว่างการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ผู้กำหนดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าคือ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไม่ใช่รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานแต่อย่างใด 

4) มีหน่วยงานของรัฐบาลชาติมหาอำนาจตะวันตกเข้ามาแทรกแซง ด้วยหวังประโยชน์จากรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งที่จะได้พรรคการเมืองที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกสามารถใช้อิทธิพลในการครอบงำ ก้าวก่ายนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายความมั่นคงและนโยบายต่างประเทศได้ 

5) การต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง 2566 ของ 5 อดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งต่างก็ไม่มียุทธศาสตร์ ขาดเอกภาพ ด้วยมุ่งหวังแต่คะแนนเลือกตั้งเฉพาะของพรรคตนเท่านั้น จึงยากที่จะช่วงชิงคะแนนเสียงจากพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้

หากพิจารณาคะแนนเลือกตั้งที่บรรดาอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้แก่ ภูมิใจไทย, พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ได้รับแล้ว ในส่วนของคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้ 7,560,081 คะแนน และคะแนนเลือกตั้งแบบแบ่งเขตทั้ง 5 พรรคได้รวม 15,791,519 คะแนน ซึ่งคะแนนเหล่านี้หากนำมารวมกัน ก็จะกลายเป็นคะแนนเสียงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของผู้ที่ใช้สิทธิในการเลือกตั้ง 2566 ทั้งหมดเลยทีเดียว 

แต่แน่นอนว่า การเลือกตั้งจบแล้ว ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามระเบียบกติกาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นการที่ 5 อดีตพรรคร่วมฯ จะได้จำนวน สส.เพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในอนาคตข้างหน้า จึงจำเป็นต้องมีการร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง 5 อดีตพรรคร่วมฯ เสียใหม่ ด้วยควรที่จะมุ่งแข่งขันกันเฉพาะการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเท่านั้น 

ขณะที่การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 5 อดีตพรรคร่วมฯจะต้องตกลงกันเพื่อคัดเลือกผู้สมัครของ 5 อดีตพรรคร่วมฯ คนใดคนหนึ่งที่รับคะแนนเลือกตั้งสูงสุดในเขตเลือกตั้งนั้นเพียงคนเดียวจากพรรคเดียว เป็นต้น

หากมีความร่วมมือเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว 5 อดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จึงจะกลับมามีโอกาสในการกลับมาจัดตั้งรัฐบาลได้ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง

...และเพื่อให้เห็นภาพ จึงขอนำเอาผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตที่ 5 อดีตพรรคร่วมฯ แย่งคะแนนกันเองจนสูญเสียที่นั่ง สส.ทั้งจังหวัด มาฉายซ้ำ โดยยกจังหวัดภูเก็ตทั้ง 3 เขต ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง สส.ไปทั้ง 3 เขต ดังนี้...

>> เขตเลือกตั้งที่ 1 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 21,252 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯ ได้รวม 43,709 คะแนน 
>> เขตเลือกตั้งที่ 2 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 21,913 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯได้รวม 33,861 คะแนน 
>> และเขตเลือกตั้งที่ 3 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 20,421 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯได้รวม 35,817 คะแนน 

หาก 5 อดีตพรรคร่วมฯ สามารถตกลงพูดคุยกันแล้ว สส. ทั้ง 3 เขตก็จะเป็นตัวแทนจาก 5 พรรคร่วมฯอย่างแน่นอน 

แต่ก็อย่างว่า...แนวคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างยากยิ่งในบ้านเมืองนี้ ด้วยนักการเมืองและพรรคการเมืองส่วนใหญ่ มักจะนึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวกเพื่อนพ้องมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของชาติบ้านเมือง และในไม่ช้า...ที่สุดแล้วเราคงจะต้องยอมยกชาติบ้านเมืองให้พรรคการเมืองที่เก่งแต่บน Social Media ถนัดแต่สร้างวาทกรรมที่เพ้อเจ้อโดยไม่มีตรรกะแม้แต่น้อย จนคนที่น่าจะฉลาดและเป็นกำลังสำคัญของสังคมกลับกลายเป็นเหยื่อและสาวกไป 

...และที่เลวร้ายที่สุดคือ รับงานมหาอำนาจตะวันตกมาเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและสร้างความสัมพันธ์อันเลวร้าย เกิดเป็นความกินแหนงแคลงใจกับประเทศเพื่อนบ้าน 

ถึงตอนนั้นแล้วความสงบสุขร่มเย็นของชาติบ้านเมืองจะกลายเป็นความฝัน ความเสื่อมถอยล้าหลังของประเทศชาติจะกลายเป็นความจริง 

เช่นนั้นแล้ว เราๆ ท่านๆ คงทำได้เพียงแต่ภาวนาให้สรรพสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย ได้โปรดช่วยปกป้องราชอาณาจักรไทยอันเป็นที่รักของเราตลอดไปด้วยเทอญ...เท่านั้น...

‘ดร.เสรี’ กังวล ‘นักการเมืองเศรษฐี’ ใช้เงินยึดวุฒิสภา ห่วง!! ‘นักการเมืองธรรมดา’ จะเอาอะไรไปต่อกรด้วย

(19 มี.ค. 67) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าวิธีเลือก สว. อันสลับซับซ้อนอย่างที่เห็น ถ้าดูดี ๆ ถ้าใช้เงิน 250 ล้าน สามารถยึดวุฒิสภาได้เลยนะ

เพื่ออำนาจ เพื่อผลประโยชน์ที่ต้องการ ท่านคิดว่าจะมีคนใช้เศษเงินของเขา 250 ล้านยึดวุฒิสภาไหมคะ

สว. มีบทบาทในการผ่านกฎหมาย การคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและข้าราชการ

เมืองไทยมีเศรษฐีที่มาทำงานการเมือง โดยที่เงิน 250 ล้านเป็นเศษเงินของเขาอยู่หลายคน

แล้วนักการเมืองที่ไม่มีเงินมากพอที่จะต่อกรกับนักการเมืองที่เป็นเศรษฐี จะเอาอะไรมาชนะพวกเขาในสังคมที่นักการเมืองบางคนคิดว่ามีเงินดีกว่ามีจริยธรรม

คิดแล้ว มันน่าเป็นห่วงจริงๆนะคะ

หรือเราทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากทำใจ

“เงินตกใส่ทราย ทรายทรุด เงินตกใส่มนุษย์ มนุษย์ไม่มีจริยธรรม” เรื่องนี้ท่าจะจริงนะคะ

'รทสช.' จัดทัพ 18 สส. ถกงบประมาณปี 67 วาระ 2-3 กำชับ 'สส.-กมธ.งบประมาณฯ' ยึดประโยชน์ 'ชาติ-ปชช.'

เมื่อวานนี้ (18 มี.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เผยว่า พรรครวมไทยชาติได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วาระ 2 และ 3 ในวันที่ 20-22 มีนาคมนี้ ทั้งในส่วนของสส.ของพรรคที่ได้สงวนคำแปรญัตติไว้ และในส่วนของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่พรรคส่งไปเป็นกมธ. ทั้งสส.และกมธ.ที่เตรียมข้อมูลอภิปรายมี 18 คน

ทั้งนี้ กมธ.ของพรรคจะมีการชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงที่มีรัฐมนตรีของพรรคดูแลอยู่ ถึงเหตุผลในการพิจารณางบประมาณของแต่ละกระทรวงที่ไม่ได้ปรับลดงบประมาณลงว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง ขณะที่สส.จะอภิปรายถึงเหตุผลในการสงวนคำแปรญัตติในการขอปรับลดงบประมาณโดยมีเป้าหมายที่ประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สส. และกมธ.ที่พรรคได้ส่งไปทำงาน

'ภูมิใจไทย' จัดทัพหลวงปูพรมขยายฐาน 'นครศรีฯ' หลังเขต 8 จ่อเลือกตั้งใหม่ 'ปชป.-พปชร.-ก้าวไกล' พร้อมหน้า

27 มีนาคมนี้ นครศรีฯ จะคึกคักอีกครั้ง เมื่อเสนาบดีสังกัดพรรคภูมิใจไทยเดินทางไปเหยียบเมือง เน้นพื้นที่เขตเลือกที่ 8 

นายอนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค รัฐมนตรีมหาดไทย รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในสังกัด ตลอดจนกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค จะร่วมงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดธาตุน้อย ต.หลักช้าง อ.ช้างกลางในเวลา 15.30 น. 

โดยก่อนเข้าร่วมงานแห่ผ้าขึ้นธาตุนั้น ในเวลา 14.00 น. นายอนุทินและนายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ จะร่วมพบปะผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นและตัวแทนสถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ เขต 8 ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช 

มีรายงานว่า ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย จะเดินทางลงมาพร้อมกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กระทรวงแรงงาน โดยนายชาดาจะแยกเดินทางต่อไปยัง อ.พิปูนและฉวาง เพื่อพบปะกับชาวบ้าน ส่วนนายพิพัฒน์ เข้าพื้นที่ อ.นาบอน เพื่อพบปะพูดคุยกับชาวบ้านและผู้ประกอบการโรงงานยางพารา ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อเปิดเวทีปราศรัย ที่ อ.ช้างกลาง มีนายอนุทินเป็นหัวหน้าคณะ

เป็นการยกทัพหลวงชุดใหญ่ลงพื้นที่เน้นเขตเลือกตั้งที่ 8 นครศรีฯ และเป็นการลงพื้นที่หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติส่งฟ้อง 'มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล' ชงให้มีการเลือกตั้งใหม่

โดยพรรคภูมิใจไทยได้เตรียมหาผู้สมัครแทนไว้แล้ว และเดินสายพบปะประชาชนอยู่ต่อเนื่อง หลัง กกต.ชงศาลให้สั่งจัดการเลือกตั้งใหม่ แน่นอนว่าการลงพื้นที่แบบเต็มแม็กของภูมิใจไทย เป็นการส่งสัญญาณชัดถึงการเลือกตั้งใหม่

สำหรับคู่แข่งของพรรคภูมิใจไทย จะมีพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันแล้วว่าจะส่ง ชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต สส.หลายสมัยที่สอบตกครั้งที่แล้ว ลงพิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง

พรรคพลังประชารัฐ ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคยืนยันว่า ส่งคนเดิม คือ สุนทร รักษ์รงค์ ที่ครั้งผ่านมาได้อันดับ 2 ที่คงจะสรุปบทเรียนถึงความผิดพลาดครั้งที่ผ่านมาแล้ว

พรรคก้าวไกล มีอยู่สองตัวเลือก ชายคนหญิงคน รอสรุปว่าจะเลือกใคร หลังพรรคให้ทั้งสองคนไปทำการบ้านมา คนหนึ่งเป็นหญิงสาวชาวจันดี อายุ 26 ปี

พรรครวมไทยสร้างชาติก็หึ่มๆ ว่าจะส่งอยู่เหมือนกัน แต่ภาพยังไม่ชัดนักว่าจะส่งใครลงชิงสำหรับสนามช้างกลาง, ฉวาง, นาบอน, พิปูน

'บุ้ง ทะลุวัง' ร่ายยาว!! จดหมายจากเรือนจำ ถึง 'ทักษิณ-เพื่อไทย' ยาหอม!! ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมง่ายมาก แต่สุดท้ายตลบตะแลง

(18 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ทะลุวัง’ ได้โพสต์ข้อความจากจดหมายของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง แกนนำกลุ่มทะลุวัง ที่ส่งจากเรือนจำ โดยระบุถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย มีใจความว่า

“ด้วยวิธีการที่คุณเลือกจะกลับบ้านคือการเอาเสียงของประชาชนไปแลก ทำให้คุณเป็นได้แค่นักการเมืองน้ำเลวคนหนึ่ง จดหมายฉบับนี้อยากพูดถึงคุณทักษิณและพรรคการเมืองที่แสนกลับกลอกของเขาสักหน่อย ถึงจะอดอาหารเอาชีวิตและร่างกายแลกเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมถูกปฏิรูปอยู่ แต่ตอนนี้บุ้งก็ได้ข่าวของคุณทักษิณอยู่บ้างจากการที่เพื่อน ๆ เล่าให้ฟัง

“ในสายตาบุ้ง คุณทักษิณเป็นคนที่น่ารังเกียจเหลือเกิน ไม่ว่าจะเคยมีคุณงามความดีอะไร ตอนนี้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของคุณไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตปรสิต ส่วนคุณอุ๊งอิ๊งก็น่าเสียดายเหลือเกิน คุณไม่จำเป็นต้องทำตามที่พ่อสั่งทุกอย่างก็ได้นะคะ แต่อนิจจาลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น พ่อเป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้น

“ครั้งหนึ่งตอนที่ทะลุวังประกาศว่าจะไปเยือนเพื่อไทย คุณทักษิณเคยพูดว่า “อย่าทะลุวังเลยมาทะลุทำเนียบเถอะ” และให้การต้อนรับบุ้งเป็นอย่างดี อีกทั้งยังให้บุ้งและเพื่อน ๆ นั่งคุยกับคนของเพื่อไทยเพื่อฟังคำขอของบุ้ง ถึงแม้จะมัดมือชกไล่สื่อออกจากห้อง ทั้ง ๆ ที่บุ้งต้องการให้เป็นการคุยแบบเปิดก็ตาม

“คนของพรรคเพื่อไทยรับปากกับบุ้งว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมนั้นง่ายมากและจะเป็นสิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยทำ บุ้งดีใจมากนะคะและเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะทำตามคำพูด เพราะคนที่ได้รับปากเป็นผู้ใหญ่แล้ว และคนเราจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้ก็เพราะรักษาคำพูดของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วโลกของผู้ใหญ่ก็ทำให้บุ้งผิดหวัง เมื่อพรรคเพื่อไทยตอ…ตลบตะแลง กลับกลอกปลิ้นปล้อน อย่างหน้าไม่อาย บุ้งและเพื่อน ๆ ผิดหวังเสียใจ และหมดสิ้นซึ่งศรัทธาในตัวพรรคการเมือง แต่ถึงกระนั้นความหวังที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงและคนตากใบยังไม่หายไปหรอกค่ะ บุ้ง ตะวัน และแฟรงค์ จึงเอาชีวิตเข้าแลก เมื่อความหวังไม่มี เรา 3 คน จึงเลือกสร้างมันขึ้นมาเอง โดยกลั่นจากชีวิตเลือดเนื้อและอุดมการณ์ของพวกเรา

“ที่เล่าเพราะอยากให้คนข้างนอกเข้าใจ ว่าที่เราทำไม่ใช่เพราะพวกเราบุ่มบ่าม ก้าวร้าว ทำอะไรไม่คิด แต่เพราะนักการเมืองทำให้เราผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเราไม่เลือกที่จะนอนอยู่บ้านเฉย ๆ แต่เราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม

“แน่นอนว่ามันไม่ง่ายหรอกค่ะ ทุกวินาทีที่ผ่านไปในตอนนี้เวลาของพวกเรานับถอยหลังลงทุกที แต่พวกเราแลกได้เพราะเลือกแล้วที่จะทำ

“ขอให้คนข้างนอกที่ไม่หยุดสู้ สู้ต่อไป สักวันชัยชนะต้องเป็นของประชาชน

“บุ้งยังคงยืนยันที่จะอดอาหารจนกว่าข้อเรียกร้องจะสำเร็จ อยากให้ทุกคนเข้าใจบุ้งด้วยนะคะ”

‘อมรัตน์’ ซัดใส่ ‘ทักษิณ’ ทุเรศ หลังให้สัมภาษณ์ ขอความเห็นใจ พูดได้หน้าไม่อาย ลากประเทศไทยให้ถอยหลัง แล้วบอกให้ ต่างคนต่างอยู่

(17 มี.ค.67) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กต่อเนื่อง ให้ความเห็นกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าใครที่ไม่ชอบหน้า ขอให้ต่างคนต่างอยู่ 

โดยโพสต์แรก นางอมรัตน์ได้แชร์ข่าวพร้อมระบุว่า ดีลของคุณมันเห็นแก่ตัวเกินไป เมื่อเลือกที่จะเห็นแก่ได้จนกระทบความรู้สึกผู้คนทั้งสังคม 

ต่อมาได้โพสต์คลิปและข้อความอีกว่า เป็นคน "มาสว่างไปมืด" ไปเสียแล้ว ก็ควรน้อมรับเสียงก่นด่าวิพากษ์วิจารณ์ แหงนหน้าก็อายฟ้า ก้มหน้าก็อายดิน ทุเรศ !

และโพสต์สุดท้ายเป็นข้อความ ว่า ลากประเทศถอยหลังเสร็จบอกขอความเห็นใจให้ต่างคนต่างอยู่ Sus

‘ลิณธิภรณ์’ ฟาดใส่ ‘พิธา’ เดินสายไร้เป้าหมาย แนะควรรู้จักหน้าที่ ชี้ ‘เศรษฐา’ ขึ้นเชียงใหม่ 3 ครั้ง เดินหน้าแก้ฝุ่น ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้

(16 มี.ค.67) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีกำหนดร่วมภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 16 - 17 มี.ค.ในระยะเวลาเดียวกันกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจราชการในพื้นที่ จ.เชียงใหม่และลำพูน ระหว่างวันที่ 15 - 17 มี.ค.ว่า นายเศรษฐาประกาศนโยบายการจัดการปัญหาฝุ่น ตั้งแต่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย จนถึงการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายเศรษฐายังตอบสนองตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากมีข้อสั่งการของนายกฯ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.66 และมีมติคณะรัฐมนตรีในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด พ.ศ. … ต่อรัฐสภาแล้ว นายเศรษฐายังลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฝุ่นด้วยตนเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่นายกฯ เดินทางไปแล้วถึง 3 ครั้ง 

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ย.66 นายกฯ มอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองปี 67 ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับอากาศสะอาด ย้ำทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ผ่านไป 2 เดือน นายกฯ เยือน จ.เชียงใหม่ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 11 ม.ค.67 เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า โดยเน้นย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการความร่วมมือตาม 6 แนวทางการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา และครั้งล่าสุดตามกำหนดการครั้งนี้ เพื่อเฝ้าสอบถามและติดตามความคืบหน้าต่อไปตามบทบาทหน้าที่ของฝ่ายบริหาร

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ผ่านมาเกือบ 7 เดือนแล้วนับแต่การจัดตั้งรัฐบาล พรรคก.ก.โดยเฉพาะผู้บริหารพรรค ควรเข้าใจบทบาทของฝ่ายค้านตามระบอบประชาธิปไตยได้แล้ว ว่าฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารหรือเสนอแนะรัฐบาล หากทำงานผิดพลาดหรือใช้งบประมาณโดยไม่ถูกต้อง แต่หากนายพิธาและพรรคก.ก.เคลื่อนไหวในลักษณะนอกบทบาทหน้าที่ที่ไม่อาจเกิดการพัฒนาได้ ก็จะสร้างคำถามและความสับสนขึ้นได้ ว่าการเดินสายลักษณะนี้ใครจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะประเทศชาติกำลังเดินหน้าไปสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

“อยากให้นายพิธามูฟออนกลับมาสู่ความเป็นจริง ที่สำคัญคือเข้าใจบทบาทหน้าที่ของฝ่ายค้านที่เป็นอยู่ ไม่ใช่คิดแต่จะเดินสายโดยไร้เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนอย่างที่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา จริงจังกับการเดินหน้าติดตามแก้ไขปัญหาฝุ่นควันต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างแท้จริง” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว

‘ธนกร’ หนุน ‘อนุทิน’ กวดขันหาดป่าตอง เร่งแก้ปัญหา ต่างชาติแย่งงานคนไทย เชื่อหากวางระบบความปลอดภัยให้ดี มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น อีกหลายเท่าตัว

(16 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และได้แจ้งข้อมูลให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทราบแล้วนั้น ล่าสุดต้องขอขอบคุณ นายอนุทิน ที่ได้ลงพื้นที่หาดป่าตองจังหวัดภูเก็ตด้วยตัวเอง  พร้อมทั้งยังได้สั่งการให้ อธิบดีกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจพื้นที่ แก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวทันที มีการดำเนินคดีฝรั่งที่ก่อเหตุทำร้ายแพทย์หญิง รวมถึงกรณีอื่นๆที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวด้วย จึงเชื่อว่าการแก้ปัญหามาเฟียต่างชาติจะหมดไป

ทั้งนี้ขอฝากนายอนุทิน พิจารณาขยายพื้นที่โซนนิ่งเปิดสถานบริการถึงเวลา 04:00 น. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและพื้นที่อื่น ๆ ให้เกิดความคึกคัก โดยควบคู่กับการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยและระบบดูแลอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและเพียงพอ เชื่อว่า จะสร้างความมั่นใจและดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศเข้ามาในพื้นที่อีกจำนวนมาก จะสร้างงานสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการและประชาชนมากขึ้นเป็นเท่าตัว

“ต้องขอบคุณ มท.1 ที่เมื่อผมได้ส่งข้อมูลเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและผู้ประกอบการในภูเก็ตให้ ท่านก็ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง ทันที พร้อมสั่งการให้ผู้ว่าฯเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกวดขัน ไม่ยอมปล่อยให้มาเฟียต่างชาติ เข้ามายึดพื้นที่ แย่งงานคนไทยได้ และเชื่อว่าหากมีการวางระบบรักษาความปลอดภัยการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจะสร้างความมั่นใจดึงดูดให้มีการเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่มากยิ่งขึ้น หากภาครัฐพิจารณาขยายเวลาเปิดสถานบริการเพิ่มขึ้นไปถึงตี 4 เชื่อว่า จะสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวได้มากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน” นายธนกร กล่าว

‘อาจารย์อุ๋ย’ ฟาด ‘เศรษฐา’ วางตัวไม่เหมาะสม เหตุไปขอคำปรึกษาจาก ‘นักโทษคดีทุจริต’ ชี้ ทำต่างชาติ หมดความเชื่อมั่น

เมื่อวานนี้ (15 มี.ค.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสเฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า 

บางท่านอาจจะยังไม่รู้ว่า หลักนิติธรรม ซึ่งหมายถึง หลักการปกครองที่กฎหมายเป็นใหญ่และบังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาคคำนึงถึงสิทธิพื้นฐานของประชาชน ตัวกฎหมายมีความเป็นธรรม ทันสมัย มีที่มาชอบธรรม บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมมีความเที่ยงธรรม ประชาชนเข้าถึงและได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม กับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีความเกี่ยวพันกันอย่างยิ่ง 

เพราะหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจในระบบกฎหมายของประเทศที่ตนจะมาลงทุน ไม่ต้องกังวลกับ 'ต้นทุน' หรือ cost ที่มองไม่เห็น และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจจะต้องหมดไปกับการคอร์รัปชันและการเผชิญกับอุปสรรคที่เกิดจากกฎหมายหรือการบังคับใช้กฎหมายที่บิดเบือน และตั้งแต่ พ.ศ. 2558 สหประชาชาติได้ประกาศให้หลักนิติธรรมเป็น 1 ใน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่ง Word Justice Project (WJP) ได้จัดทำดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) เพื่อเป็นเครื่องมือในการประเมินความมีนิติธรรมของแต่ละประเทศในทุกปี ประกอบด้วย 8 ปัจจัยชี้วัดหลัก ได้แก่ การจำกัดอำนาจรัฐอย่างเหมาะสม การปราศจากการคอร์รัปชัน รัฐบาลโปร่งใส สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคง การบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

ทั้งนี้ ในปี 2566 ประเทศไทยได้คะแนนดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม 0.49 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 82 จาก 142 ประเทศทั่วโลก ถดถอยลงจากปี 2565 ที่ได้คะแนน 0.50 และต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2558 ที่ประเทศไทยเข้าสู่การสำรวจ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวัน 11 กันยายน 2566 ว่า “รัฐบาลจะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ เพราะการมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดและสังคมที่สําคัญของประเทศ เป็นการลงทุนทําให้ประเทศไทยมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือที่ใช้งบประมาณของรัฐน้อยที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดในการพัฒนาประเทศ” 

แต่วันนี้นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยกลับหน้าระรื่นไปดินเนอร์กับคุณทักษิณ ซึ่งยังคงอยู่ในสถานะของ 'นักโทษคดีทุจริต' ซึ่งอยู่ระหว่างพักโทษ ออกสื่อไปทั่วโลก แถมบอกหน้าตาเฉยด้วยว่าได้ขอคำปรึกษาการบริหารเศรษฐกิจจากคุณทักษิณ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่า ต่างชาติเขาจะมองเราอย่างไรที่ผู้นำประเทศต้องไปขอคำปรึกษาจากผู้ต้องโทษคดีทุจริตต่อบ้านเมือง ซึ่งสวนทางกับมาตรฐานของสากลโลกในเรื่องระบบนิติธรรม และสวนทางกับนโยบายที่ท่านนายกแถลงออกจากปาก สงสัยว่าที่ท่านนายกและคณะบินไปประเทศนู้นนี้ (ด้วยเงินภาษี) และจีบแขกบ้านแขกเมืองมาลงทุน จะสูญเปล่าเสียแล้วกระมัง เมื่อต่างชาติเขาเห็นผู้นำประเทศของเราไปสนิทสนมและปรึกษาราชการงานเมืองกับนักโทษคดีทุจริต แล้วเขาจะคาดหวังได้มั้ยว่าประเทศไทยจะมีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง เพื่อรองรับการลงทุนของเขา

ด้วยความปรารถนาดี   

‘ไอติม’ แจง!! ปม ‘พิธา’ ลงเชียงใหม่ชน ‘ทักษิณ-เศรษฐา’ ยัน!! เป็นกำหนดการของพรรค ที่วางแผนล่วงหน้าไว้นานแล้ว

(15 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เตรียมลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่วันพรุ่งนี้ (16 มี.ค.) ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อยู่ในพื้นที่พอดีว่า เป็นแผนการดำเนินงานของพรรคก้าวไกลเกี่ยวกับเรื่องไฟป่า ที่วางแผนล่วงหน้ามานานแล้ว เพราะเป็นการศึกษาผลกระทบที่มีต่อประชาชนในภาคเหนือ เพื่อหวังจะถอดบทเรียนในการนำเสนอนโยบาย และการแก้ไขปัญหา พร้อมยืนยันไม่ได้มีการจัดตารางลงพื้นที่ชนกันกับนายกรัฐมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี

เมื่อถามว่ามองภาพนายเศรษฐา นายทักษิณ และนายพิธา ลงพื้นที่พร้อมกัน ที่เหมือน 3 นายกฯ ในวันเดียวกันอย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลยึดถือมาตลอดคือยึดปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะมีปัญหาของประชาชนเยอะมาก โดยเฉพาะปัญหาไฟป่า พร้อมย้ำว่าจะนำปัญหาดังกล่าวมาผลักดันโดยกลไกของสภา จึงไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ย้ำมาตลอด ว่าเราไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง ในการทำหน้าที่ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อรับใช้ประชาชน

ส่วนประชาชนที่อาจจะคิดว่าเป็นการเปรียบเทียบรัศมีนั้น ถือเป็นสิทธิของประชาชนที่จะวิเคราะห์ แต่ขอยืนยันต่อสาธารณะว่าพรรคก้าวไกลไปดำเนินการเรื่องไฟป่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงพื้นที่ของใคร

เมื่อถามว่าเรื่องไฟป่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นมาอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า อาจจะเป็นหนึ่งในประเด็นการอภิปราย แต่ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการคัดเลือก สส. ไปอภิปรายว่าผ่านการคัดเลือกหรือไม่ และหัวข้ออะไร ทั้งนี้เชื่อว่าการอภิปรายครั้งนี้จะใช้เวลาอภิปราย ทั้ง 2 วันให้ครอบคลุมนโยบายสำคัญ ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม 

เมื่อถามว่าในฐานะฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมองหน่วยงานราชการที่เข้ารายงานนายทักษิณระหว่างลงพื้นที่เชียงใหม่อย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ต้องให้รัฐบาลตอบว่า การดำเนินการทั้งหมด เป็นไปตามระเบียบราชการหรือไม่ ดังนั้น เรื่องความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมในการจัดสรรบุคลากรไปให้ข้อมูล จึงเป็นคำถามที่รัฐบาลควรตอบ

เมื่อถามถึงกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไปคอยให้การต้อนรับนายทักษิณ ที่เชียงใหม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนเห็น คำชี้แจงผ่านๆ ว่าไปภารกิจอื่น แต่หากประชาชนยังเคลือบแคลงสงสัย เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ต้องชี้แจงให้ประชาชนมั่นใจ ว่าไม่ได้มีการจัดสรรบุคลากรภาครัฐ ที่ไม่เหมาะสม แม้รัฐมนตรีจะอ้างว่าลางานไป แต่เป็นสิ่งที่จะต้องตอบ และสิ่งที่พรรคก้าวไกล เวลาเลือกจะไปจังหวัดไหนจะยืดปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง เป็นมาตรฐานที่หวังว่า พรรคการเมืองอื่น ทุกพรรคจะนำไปใช้ 

นายพริษฐ์ ยังกล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ของพรรคก้าวไกลว่า เป็น 1 ใน 16 จังหวัด ที่พรรคก้าวไกลประกาศรับสมัคร นายก อบจ. ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น เพื่อประชาสัมพันธ์ และเป็นแรงจูงใจ ให้คนมาสมัคร ส่วนจะส่งผู้สมัครครบทั้ง 16 จังหวัดหรือไม่ต้องรอผลการคัดเลือก เพราะจะเน้นผู้สมัครที่มีคุณภาพ ไม่ได้เน้นจำนวนเพียงอย่างเดียว เน้นบุคลากรที่เชื่อมั่นว่าจะชนะการเลือกตั้งด้วย

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ถ้าหากประชาชนสงสัยเรื่องมีนายกฯ หลายคน ก็เป็นสิ่งที่นายเศรษฐา จะต้องให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชน ว่าถึงแม้จะมีสิทธิปรึกษาใครหลายคน แต่การตัดสินใจทุกอย่าง จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ส่วนการลงพื้นที่เชียงใหม่ของนายทักษิณ จะทำให้กระแสพรรคก้าวไกลลดลงหรือไม่นั้น พรรคก้าวไกลปีที่แล้วเป็นอย่างไรปีนี้ก็เป็นเช่นนั้น ใครที่เคยสนับสนุนพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง เราก็จะพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ แม้จะไม่ได้เป็นรัฐบาล และหวังว่าการทำงานของก้าวไกล จะทำให้คนที่ยังไม่ตัดสินใจ เลือกเปิดใจมาให้โอกาสมากขึ้น

นับถอยหลัง ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ กระบวนทัพใหม่ ‘ไอติม’ มีแววคุมพรรค

สองเรื่องการเมืองร้อนฉ่ามาในสัปดาห์เดียวกัน ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอมัดรวมมากรองแก่นแกนสถานการณ์ให้เห็นภาพ...โดยเฉพาะกรณี ‘พรรคก้าวไกล’

กกต. มีมติเอกฉันท์ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง (เลขาธิการ กกต.) ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค ข้อหาความผิดพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 (1) และ (2) พูดสั้น ๆ (1) นั้นข้อหาล้มล้างการปกครองฯ ส่วน (2) นั้นกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ

ในอดีตปี 2562 กกต. เคยยุบพรรคไทยรักษาชาติ ความผิดมาตรา 92 นี่แหละ แต่ (2) อย่างเดียว…กรรมการบริหารพรรคโดนตัดสิทธิ์ไปคนละสิบปี แต่กรณีพรรคก้าวไกลโดนทั้ง (1) และ (2) เลยมีคำถามว่า...ถ้าโดนตัดสิทธิ์จะสิบปีหรือตลอดชีวิต..

สองวงเล็บ..สยองกันทั้งพรรค

กรณีที่ศาลสั่งยุบ กรรมการบริหารโดนตัดสิทธิ์ 10 คน…ในจำนวน 10 คนนี้ จะมี สส. 5 คน คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ชัยธวัช ตุลาธน, ประดิพัทธ์ สันติภาดา, เบญจา แสงจันทร์ และสุเทพ อู่อ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวจี๊ดตัวตึง และคนสำคัญ โดยเฉพาะ ‘พิธา-ชัยธวัช’

วันนี้…ในพรรคก้าวไกลมองไปถึงแถวสองบวกแถวสาม ที่คาดหมายว่าเมื่อถึงเวลาอาจจะเป็นตัวเลือก หัวหน้าพรรคคนใหม่ เช่น ศิริกัญญา ตันสกุล, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, หรือแถวสามที่โดดเด่นอย่าง ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ์, ‘เท้ง’ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

‘ไหม ศิริกัญญา’ กับ ‘ไอติม พริษฐ์’ ดูเหมือนจะโดดเด่น...ส่วน ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ลูกเจ้าสัวฝั่งธนที่เก่งกาจเรื่องไฮเทคและ ‘ธนาธร’ ชื่นชอบ จะวางตัวให้เป็นเลขาธิการพรรคก็ย่อมได้…

อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่า...วิบากกรรมพรรคก้าวไกลอันเนื่องจากเหาะเหินเกินลงกา อ้างว่าแก้มาตรา 112 แต่จริง ๆ ขอให้ยกเลิกนั้น...มีผู้ไปร้องต่อ ป.ป.ช. ว่า 44 สส. ที่ลงชื่อขอแก้ไข (ยกเลิก) มาตรา 112 ดังกล่าวผิด-ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงขอให้เพิกถอนสิทธิ์ฯ เหมือนที่ปารีณา ไกรคุปต์, ช่อ พรรณิการ์ เคยโดนมาแล้ว

ดังนั้นหากสมมุติ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องศาลฎีกาฯ และศาลตัดสินเพิกถอนสิทธิ์คนละสิบปี มันก็จะเกิดปรากฏการณ์.. ‘ไม่มีพวกคุณ ไม่มีพวกเรา’ ที่คุณพิธาโพสต์ไว้ในไอจีเมื่อไม่กี่วันก่อน…

ตรวจดูรายชื่อ 44 คนแล้ว มีทั้งชื่อ ไหม ศิริกัญญา, เท้ง ณัฐพงษ์ รวมอยู่ด้วย...นี่เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า พรรคก้าวไกลต้องรีบคัดกรองเตรียมตัวสำรองแถว 4 ที่เจ๋ง ๆ เอาไว้เนิ่น ๆ...เพราะกว่าแถว 1 อย่างธนาธร, ปิยบุตร...จะกลับมาผุดมาเกิดทางการเมืองก็อีก 6 ปีกว่า...

และแน่นอนว่า…น่าจะช้ากว่าแผนการลับของเจ้าชายมูลเมือง ที่อาการดีวันดีคืน เพิ่งปักหมุดเชียงใหม่ถอดปลอกคอซดไวน์ได้แล้ว...รายนั้นปีหน้าเขาจะเดินแผนขอล้างมลทินโทษ หวนคืนเก้าอี้นายกฯ อีกครั้ง…

แล้ว ‘ไอติม’ จะเอาอะไรไปสู้!!??


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top