Saturday, 14 June 2025
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

รักนิรันดร ‘Yasuo Takamatsu’ ชายผู้ดำน้ำตามหาภรรยา ที่หายตัวไปจากเหตุสึนามิที่ญี่ปุ่น ในปี 2011

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2011 เกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิโทกุที่พัดถล่มชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น ทำให้ผู้คนราว ๆ หนึ่งในสี่ล้านคนต้องสูญเสียบ้าน และคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบ ๒๐,๐๐๐ คน และเหยื่อจากสึนามิครั้งนั้นมากกว่า ๒,๕๐๐ รายยังคงสูญหาย


Yasuo Takamatsu ก็เป็นหนึ่งในผู้สูญเสียจากเหตุการณ์สินามิครั้งนั้นเช่นกัน โดยเขาได้สูญเสีย Yuko ภรรยาสุดที่รักของเขา 

ขณะเกิดเหตุสินามิ Yasuo อยู่กับมารดาที่โรงพยาบาลในเมืองใกล้เคียง ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปยังเมืองที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิทำลายล้าง ซึ่งในเวลานั้น ตึกรามบ้านช่อง รถยนต์ และเรือตกปลาจำนวนมากถูกทำลาย และโรงพยาบาลซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาถูกกำหนดให้เป็นศูนย์อพยพ โดยมีผู้คนหลายร้อยคนไปพึ่งพิงที่โรงพยาบาลแห่งนั้นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวได้ไม่นาน

หลายเดือนภายหลังจากภัยพิบัติผ่านพ้นไป Yasuo ก็พบเพียงโทรศัพท์ของภรรยาในลานจอดรถของธนาคารที่เธอทำงานอยู่ เขากล่าวถึงความ ‘น่าหดหู่ใจ’ ที่ต้องคิดถึงการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีภรรยา 

หากย้อนกลับไปยังวันที่เกิดเหตุสึนามิ ขณะที่ภรรยาของเขากำลังทำงานอยู่ เธอได้ส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ เธอถามผู้เป็นสามีว่า “คุณสบายดีไหม” และในข้อความสุดท้ายของเธอถึงสามีมีเพียงข้อความว่า “ฉันอยากกลับบ้าน” และหลังจากนั้นเธอก็ขาดการติดต่อ

Yasuo ได้ใช้เวลาค้นหาภรรยาบนบกนานกว่าสองปีครึ่งภายหลังสึนามิถล่มแผ่นดินใหญ่ และยังคงพยายามค้นหาเธอทุกวิถีทาง จนในที่สุด Yasuo Takamatsu ในวัย ๕๗ ปี ก็เริ่มเรียนดำน้ำในเดือนกันยายน ค.ศ. 2013 จนได้รับใบอนุญาตในการดำน้ำระดับสูงเพื่อค้นหาภรรยาของเขา

เดิมที Yasuo Takamatsu เป็นพนักงานขับรถบัส และไม่ชอบการดำน้ำ แต่ด้วยความต้องการที่จะค้นหาภรรยาให้พบ จึงกลายเป็นเรื่อง ‘บังคับ’ ให้เขาดำลงในมหาสมุทรไปโดยปริยาย

อดีตที่ขมขื่น!! ความเจ็บปวดใต้การปกครองของชาติอาณานิคม ส่งผลให้ ‘ชาวอินโดนีเซีย’ รักบ้านเกิดเมืองนอนยิ่งกว่าชีวิต

การล่าอาณานิคม คือ หลักการการผนวกเอาดินแดนหรืออำนาจทางเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่แล้วจะต้องใช้ ‘กำลังทหาร’ เข้าช่วย 

สำหรับราชอาณาจักรสยาม หรือราชอาณาจักรไทยนั้น ผ่านพ้นเหตุการณ์เช่นนั้นมาด้วยพระปรีชาสามารถในพระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ คนสยามหรือคนไทยในปัจจุบัน จึงไม่เคยลิ้มชิมรสชาติของการเป็นพลเมืองของชาติอาณานิคมที่ถูกเจ้าอาณานิคมชาติตะวันตกปกครอง 

แต่สำหรับชาวอินโดนีเซียแล้ว พวกเขามีช่วงเวลาที่เลวร้ายกับการตกเป็นอาณานิคมของต่างชาติมานานกว่า ๓๕๐ ปี ความเป็นอาณานิคมเพิ่งสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 เมื่ออินโดนีเซียประกาศเอกราช แต่หลังจากนั้น ต่างชาติจากยุโรปซึ่งก่อนหน้านี้ถูกนาซีเยอรมันยึดครองได้พยายามกลับมายึดครองอินโดนีเซียอีกครั้งด้วยปฏิบัติการทางทหารถึงสองครั้งในปี ค.ศ. 1947 และ ค.ศ. 1948 แต่ก็ประสบความล้มเหลวทั้งสองครั้งสองครา

เหล่าต่างชาติที่เคยรุกราน ยึดครอง และแสวงหาประโยชน์จากอินโดนีเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1509 - 1948 ได้แก่ โปรตุเกส (ค.ศ. 1509 - 1595) สเปน (ค.ศ. 1521 - 1629) ดัตช์ (ค.ศ. 1602 - 1942) ฝรั่งเศส (ค.ศ. 1806 - 1861) อังกฤษ (ค.ศ. 1811 - 1816) และญี่ปุ่น (ค.ศ. 1942 - 1945) 

ในช่วงที่ตกเป็นอาณานิคม ชาวอินโดนีเซียในท้องถิ่นไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น การอ่านและการเขียน และคนในท้องถิ่นก็ยากจนลงอย่างเป็นระบบ อดอยากจนตาย และถูกเลือกปฏิบัติอย่างเลวร้าย ต่างชาติที่ยึดครองอินโดนีเซียในขณะนั้นถือว่าชาวอินโดนีเซียเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ และคาดหวังจะทำให้ชาวอินโดนีเซียเป็นทาสในอาณานิคมของตน

ทหาร-ตำรวจของเจ้าอาณานิคมปฏิบัติต่อชาวบ้านในอืนโดนีเซียช่วงเวลาที่ถูกยึดครอง

 

การบังคับใช้แรงงานในยุคอาณานิคมในอินโดนีเซีย

 

มหาสงครามอาเจะห์

สงคราม Padri ในสุมาตราตะวันตก


กษัตริย์ Sisingamaraja จาก North Sumatera ผู้นำประชาชนต่อสู้กับชาวดัตช์

กุหลาบแห่งโตเกียว ‘Tokyo Rose’ อาวุธร้ายแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่ใช้โจมตีขวัญกำลังใจของทหารสัมพันธมิตรใน WW II

ขึ้นชื่อว่าสงคราม หลายคนคงจะนึกถึงการใช้ความรุนแรง อาวุธ หรือกำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คาดหวังหรือมุ่งหมาย แต่จริงๆ แล้วในการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญมากกว่าอาวุธและขาดไม่ได้เลยคือ ‘สงครามจิตวิทยา’ (Psychological warfare) 

‘สงครามจิตวิทยา’ คือการทำสงครามที่ใช้ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาที่มุ่งเน้นให้เกิดผลกระทบต่อ ‘ความคิด’ และ ‘ความเชื่อ’ ของบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อร่วมกับปฏิบัติการจิตวิทยา 

สงครามจิตวิทยานั้นสามารถทำได้ทั้งในยามสงบและยามสงคราม ทั้งฝ่ายข้าศึกและฝ่ายเดียวกัน รวมถึงฝ่ายเป็นกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการทหาร ในระดับยุทธศาสตร์ ยุทธการ และระดับยุทธวิธี

เมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เช่นกัน ในสมรภูมิตะวันออก (เอเชีย-แปซิฟิก) สงครามจิตวิทยาที่กองทัพญี่ปุ่นนำมาใช้กับกองกำลังสัมพันธมิตรคือ ‘การโฆษณาชวนเชื่อทางวิทยุ’ โดยหญิงที่ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีฉายาว่า ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo Rose) อันเป็นชื่อที่ทหารกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ปฏิบัติการในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ใช้เรียกโฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษราว ๆ ๑๒ นาง

โฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายขวัญและกำลังใจของกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ฟังการแพร่สัญญาณ โดยเน้นย้ำถึงความยากลำบากในการทำสงครามและความสูญเสียทางทหารที่เกิดขึ้นมากมาย ผู้ประกาศหญิงหลายคนดำเนินการโดยใช้นามแฝงที่แตกต่างกัน และกระจายเสียงในเมืองต่าง ๆ ทั่วดินแดนที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครอง รวมถึง โตเกียว มะนิลา และเซี่ยงไฮ้ 

ทั้งนี้ ชื่อ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ไม่เคยถูกใช้โดยฝ่ายญี่ปุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1943 ทหารอเมริกันในแปซิฟิกมักฟังการแพร่สัญญาณโฆษณาชวนเชื่อเพื่อรับทราบถึงผลของการปฏิบัติทางทหารของพวกตน โดยจับความหมายโดยนัย นอกเหนือจากการปฏิบัติแล้ว ยังมีการขวัญในหมู่ทหารอเมริกันว่า เรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอ มักมีความแม่นยำอย่างน่ากลัว สามารถกล่าวถึง หน่วยทหารและกระทั่งชื่อของทหารบางคนได้ แม้ว่าเรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอเหล่านี้ไม่เคยมีเอกสารพิสูจน์ เช่น บทและการแพร่สัญญาณที่ถูกบันทึกเอาไว้ 

Iva Ikuko Toguri D'Aquino (4 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 – 26 กันยายน ค.ศ. 2006) เป็นนักจัดรายการและนักจัดรายการวิทยุชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยร่วมจัดรายการวิทยุภาษาอังกฤษที่ส่งโดย Radio Tokyo ไปยังกองทหารสัมพันธมิตรในรายการวิทยุ The Zero Hour แม้ว่าเธอจะออกอากาศโดยใช้ชื่อ ‘Orphan Ann’ แต่ Iva Toguri ก็เป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Tokyo Rose’ 

Iva Toguri เป็นพลเมืองอเมริกัน เกิดที่นครลอสแองเจลิส พ่อ-แม่ของเธอเป็นผู้อพยพชาวญี่ปุ่น จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตนครลอสแองเจลิส ในปี ค.ศ. 1940 ด้วยปริญญาตรีด้านสัตววิทยา 

ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 เธอต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมอาการป่วยของญาติ โดยพักอยู่กับครอบครัวของป้า ก่อนการโจมตีอ่าวเพิร์ลของกองทัพญี่ปุ่น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกใบรับรองประจำตัวให้เธอ เพราะเธอไม่มีหนังสือเดินทาง และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน Iva Toguri ได้ยื่นขอหนังสือเดินทางต่อรองกงสุลสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น โดยระบุว่า เธอต้องการกลับบ้านในสหรัฐฯ 
 

คำขอของเธอถูกส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ และท้ายที่สุดเธอไม่สามารถเดินทางออกจากญี่ปุ่นได้เมื่อเกิดสงครามกับสหรัฐอเมริกา ทั้งยังไม่สามารถอยู่กับครอบครัวของป้าได้ เพราะเธอเป็นพลเมืองอเมริกัน ซ้ำร้ายเธอยังไม่สามารถรับความช่วยเหลือใด ๆ จากพ่อแม่ของเธอที่ถูกกักไว้ในค่ายกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในมลรัฐแอริโซนาอีกด้วย และที่เจ็บปวดที่สุดคือหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ (7 ธันวาคม ค.ศ. 1941) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะรับรองการเป็นพลเมืองของเธออีก

เมื่อชีวิตดูมืดมิดและมาถึงทางตัด Iva Toguri จึงต้องจำใจยอมรับงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดชั่วคราวที่ Radio Tokyo (NHK) 

ต่อมาเธอได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ประกาศของ The Zero Hour รายการโฆษณาชวนเชื่อความยาว ๗๕ นาทีอย่างรวดเร็ว ซึ่งรายการนี้ประกอบด้วย เรื่องตลก รายงานข่าว และเพลงอเมริกันยอดนิยม 

เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 เธอถูกกองทัพสหรัฐฯ ควบคุมตัวเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนที่เธอจะถูกปล่อยเนื่องจากขาดหลักฐาน เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมเห็นพ้องต้องกันว่า การออกอากาศของเธอ ‘ไม่มีพิษมีภัย’

เผด็จการผู้ยิ่งใหญ่!! รู้จัก ‘Thomas Isidore Noël Sankara’ ผู้นำการปฏิวัติแห่ง ‘Burkina Faso’

Thomas Isidore Noël Sankara เป็นนายทหารยศร้อยเอกในกองทัพ Upper Volta อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศสในแอฟริกาตะวันตก เขาเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการทำรัฐประหารโค่น พันเอก Saye Zerbo จนต้องออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1982 

เขาสืบทอดอำนาจจาก พันตรี Jean-Baptiste Ouedraogo จากการแย่งชิงอำนาจในประเทศได้สำเร็จ และกลายเป็นประธานาธิบดีของประเทศ Upper Volta ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 1983 เขานำนโยบายฝ่ายซ้ายสุดโต่งมาใช้ และพยายามลดการทุจริตของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เขาเป็นผู้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก Upper Volta เป็น Burkina Faso ซึ่งแปลว่า ‘ดินแดนแห่งมนุษย์ผู้เที่ยงธรรม’ 

Thomas Isidore Noël Sankara (21 ธันวาคม ค.ศ. 1949 - 15 ตุลาคม ค.ศ. 1987) นอกจากจะเป็นร้อยเอกในกองทัพ Upper Volta (Burkina Faso) แล้วยังเป็นนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ์ นักทฤษฎีชาวแอฟริกัน และประธานาธิบดีแห่ง Burkina Faso ระหว่างปี ค.ศ. 1983 ถึง ค.ศ. 1987 ผู้ที่สนับสนุนเขาต่างมองว่า เขาเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์ และเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ จนได้รับการขนานนามเขา โดยเรียกกันทั่วไปว่า ‘Che Guevara แห่งแอฟริกา’

Sankara ยึดอำนาจในการก่อรัฐประหารที่ประชาชนสนับสนุนเมื่อปี ค.ศ. 1983 ขณะอายุ ๓๓ ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัดการทุจริตคอร์รัปชัน และการครอบงำของ ฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคม เขาเปิดตัวหนึ่งในโครงการที่แสดงถึงความทะยานอยากที่สุดในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่เคยมีมาในทวีปแอฟริกา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองตนเอง และการเกิดใหม่นี้ เขาจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก Upper Volta เป็น Burkina Faso (ดินแดนแห่งมนุษย์ผู้เที่ยงธรรม) 

Sankara ดำเนินนโยบายนโยบายต่างประเทศโดยมุ่งเน้นไปที่การต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งรัฐบาลของเขาได้ยอมละทิ้งความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด ผลักดันให้มีการลดหนี้ที่ไม่เหมาะสม ยึดเอาที่ดิน สินแร่ และทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดให้ตกเป็นของรัฐ ตลอดจนขัดขวางอำนาจและอิทธิพลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก 

นโยบายภายในประเทศของเขามุ่งเน้นไปที่การป้องกันความอดอยาก ด้วยการพึ่งพาตนเองในไร่นาและการปฏิรูปที่ดิน จัดลำดับความสำคัญของการศึกษาด้วยการรณรงค์ให้ความรู้ทั่วประเทศ และส่งเสริมสุขภาพของประชาชนด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้เหลือง และโรคหัดแก่เด็กสองล้านห้าแสนคนคน

นอกจากนี้ยังมีนโยบายอื่น ๆ ที่เป็นวาระแห่งชาติ เช่น การปลูกต้นไม้กว่าสิบล้านต้นเพื่อหยุดยั้งการกลายเป็นทะเลทรายที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นภาษีเลือกตั้งและค่าเช่าบ้านในชนบท และสร้างโครงการก่อสร้างถนนและทางรถไฟเพื่อนำไปสู่การ ‘รวมชาติเป็นหนึ่ง’

ในระดับท้องถิ่น Sankara ยังเรียกร้องให้ทุกหมู่บ้านสร้างคลินิกเอง และให้ชุมชนกว่า ๓๕๐ แห่งสร้างโรงเรียนด้วยแรงงานของตนเอง 

นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อสิทธิสตรีทำให้เขาออกกฎหมายห้ามการขริบอวัยวะเพศหญิง การบังคับแต่งงาน และการแต่งงานที่มีภรรยาหลายคน ขณะเดียวกันก็แต่งตั้งสตรีให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล และสนับสนุนให้พวกเธอทำงานนอกบ้านและเข้าโรงเรียนแม้ว่าจะตั้งครรภ์ก็ตาม

ความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ของ Sankara ได้เปลี่ยนประเทศของเขาจากประเทศในแอฟริกาตะวันตกที่เงียบสงบด้วยการเปลี่ยนชื่อประเทศซึ่งเป็นอดีตอาณานิคม Upper Volta เพื่อให้กลายเป็นวงล้อแห่งความก้าวหน้าภายใต้ชื่ออันน่าภาคภูมิใจว่า Burkina Faso (ดินแดนแห่งมนุษย์ผู้เที่ยงธรรม) เขาเป็นผู้คิดและทำโครงการปฏิรูปที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในทวีปแอฟริกา ซึ่งพยายามที่จะย้อนกลับความเหลื่อมล้ำทางสังคมเชิงโครงสร้างที่สืบทอดมาจากการเป็นอดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส

Sankara เน้นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของรัฐกับคนส่วนใหญ่ชายขอบในชนบท และนำที่ดินจากนายทุนเจ้าของที่ดินไปแบ่งให้ชาวนา 

เดิมที่ประเทศในแอฟริกาส่วนใหญ่พึ่งพาอาหารที่นำเข้าและความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อการพัฒนาประเทศ

แต่ Sankara กลับสนับสนุนการผลิตและการบริโภคสินค้าที่ผลิตในท้องถิ่น เพราะเขาเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า ชาว Burkina Faso จะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อขับเคลื่อนสังคมร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาของพวกเขา เพราะเดิมทีส่วนใหญ่ขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม แต่ Burkina Faso ก็สามารถทำให้เกษตรกรชาว Burkina Faso เพิ่มการผลิตข้าวสาลีเป็นสองเท่า ได้

‘Howard Unruh’ มือสังหารหมู่ด้วยอาวุธปืน ในที่สาธารณะรายแรกของสหรัฐอเมริกา

ในสังคมมนุษย์ของเรานั้น มีความรุนแรงหลายรูปแบบ และเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน ‘เหตุการณ์สังหารหมู่ด้วยอาวุธในที่สาธารณะ’ ก็เป็นหนึ่งในความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ และเกิดขึ้นมานานมากแล้ว เราจะเห็นเรื่องราวเช่นนี้ได้ชัดจากสถานการณ์ สงคราม การยึดอำนาจ การปฏิวัติ หรือการทำรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นไปทั่วโลก และเกิดขึ้นในทุกภูมิภาค 

สำหรับ ‘เหตุการณ์สังหารโดยใช้อาวุธปืนในที่สาธารณะ’ เกิดขึ้นมาราวๆ ๑๐๐ ปีเศษ อันเนื่องมาจากพัฒนาการของอาวุธปืนแบบบรรจุเอง หรือปืนแบบกึ่งอัตโนมัติ และปืนแบบอัตโนมัติในเวลาต่อมา 

สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุตสาหกรรมอาวุธปืนขนาดใหญ่มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และถือเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีด้านอาวุธสงครามที่ทันสมัย นั่นจึงไม่แปลก หากจะเป็นประเทศที่เกิดเหตุความรุนแรงเนื่องมาจากอาวุธปืนบ่อยครั้ง

ส่วนเหตุการณ์สังหารหมู่ด้วยอาวุธปืนในที่สาธารณะครั้งแรกของสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1949 ซึ่งมีชาวอเมริกันถูกสังหารไปถึง ๑๓ คน ในเวลา ๑๒ นาทีที่เดินทางผ่านย่านที่พักอาศัยของ ‘มือปืน’ ในเมือง Camden มลรัฐ New Jersey  

Howard Barton Unruh

มือปืนรายนี้คือ ‘Howard Barton Unruh’ (21 มกราคม ค.ศ. 1921 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2009) บุตรชายของ Samuel Shipley Unruh และ Freda E. Vollmer เขามีน้องชายคนหนึ่งชื่อ James พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูจากแม่หลังจากที่พ่อและแม่ได้แยกทางกัน 

Unruh เติบโตในเขต East Camden มลรัฐ New Jersey และเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมต้น Cramer Junior และจบการศึกษามัธยมปลายจากโรงเรียนมัธยมปลาย Woodrow Wilson ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1939 หนังสือรุ่นประจำปีของโรงเรียนมัธยมปลาย Woodrow Wilson ในปี ค.ศ. 1939 ระบุว่า เขาเป็นคนขี้อาย และความใฝ่ฝันของเขาคือ การได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ 

Unruh สมัครเป็นทหารในกองทัพบกสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1942 และเข้าประจำการในฐานะพลประจำรถถังทำการรบในสมรภูมิยุโรประหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 ถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1945 

Norman E. Koehn หัวหน้าของ Unruh ระบุว่า เขาจำ Unruh ได้ว่า เคยเป็นพลทหารชั้นหนึ่งที่ไม่เคย ดื่มเหล้า สบถ หรือไล่ตามสาว ๆ และเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านพระคัมภีร์ และเขียนจดหมายยาว ๆ ถึงแม่ของเขา เล่ากันว่า Unruh จดบันทึกเกี่ยวกับศัตรูที่ถูกสังหารในการต่อสู้อย่างพิถีพิถัน โดยลงไปจนถึงรายละเอียดของศพ 


Victory Medal ซึ่งเป็นหนึ่งในเหรียญรางวัลเชิดชูเกียรติที่ Howard Unruh ได้รับ

Unruh ได้รับเหรียญรางวัลเชิดชูเกียรติ European Theatre of Operations Medal, Victory Medal และ Good Conduct Medal เขาได้รับการปลดประจำการอย่างมีเกียรติเมื่อสิ้นสุดสงคราม และกลับไปยังมลรัฐ New Jersey เพื่ออยู่กับแม่ของเขา ทั้งน้องชายและพ่อของเขาระบุในภายหลังว่า ประสบการณ์ในช่วงสงครามของ Unruh ทำให้เขาเปลี่ยนไป ทำให้เขาอารมณ์แปรปรวน ประหม่า และแยกตัวจากครอบครัว

หลังจากปลดประจำการ Unruh ได้ผันตัวมาเป็นคนงานของโรงงานโลหะแผ่น แต่ก็เข้าทำงานเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ 

หลังจากนั้นเขาก็สมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยเภสัชกรรม มหาวิทยาลัย Temple มลรัฐ Philadelphia แต่ลาออกหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน โดยอ้างถึง ‘เหตุผลทางสุขภาพ’ 

Unruh อยู่ได้โดยอาศัยรายได้ของแม่ของเขา ซึ่งเป็นพนักงานโรงงานสบู่ Unruh เก็บตัวในบ้าน ประดับเหรียญรางวัลเชิดชูเกียรติของเขา อ่านพระคัมภีร์ และฝึกยิงปืนในห้องใต้ดิน ซึ่งถูกดัดแปลงให้เป็นห้องฝึกซ้อมยิงปืน


ภาพวาดของ Howard Unruh

ในช่วงเวลานี้เองที่ความสัมพันธ์ของ Unruh กับเพื่อนบ้านของเขาเลวร้ายลง ซ้ำร้ายความขุ่นเคืองใจของเขาก็เพิ่มขึ้นจากสิ่งที่เขามองว่าเป็น ‘คำพูดที่ดูถูกเกี่ยวกับตัวตนของเขา’ จากเพื่อนบ้าน

โดย James น้องชายของเขาได้ชี้ไปที่ประเด็นความบาดหมางระหว่าง Unruh กับเพื่อนบ้านของเขาคือ ‘ดร. Maurice Cohen’ มีอาชีพเป็นเภสัชกร ทั้งสองบาดหมางกันเรื่องที่ Unruh ใช้สวนหลังบ้านของ Cohen เพื่อเป็นทางเข้าอพาร์ตเมนต์ของเขา 

โดยก่อนเกิดการสังหาร ‘Unruh’ ได้ไปที่โรงภาพยนตร์ใน Philadelphia และชมภาพยนตร์ไปหลายเรื่องก่อนที่จะกลับบ้านในช่วงเวลาตีสาม ทั้งนี้เขาไปโรงภาพยนตร์เพื่อพบกับชายคนหนึ่งตามนัด แต่เขาไปสาย และไม่ได้เจอกับชายคนที่เขานัดเอาไว้ และเมื่อกลับถึงบ้าน ประตูที่เขาได้ติดตั้งในวันนั้นก็ถูกถอดออกไปแล้ว

ปืนพกแบบ Luger P08

เวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. ของวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1949 Unruh รับประทานอาหารเช้าที่แม่ของเขาเตรียมไว้ จากนั้นจึงออกไปพบ ‘Carolina Pinner’ เพื่อนบ้านในเวลาประมาณ ๐๙.๒๐ น. เขาพกปืนพกแบบ ‘Luger P08’ ซึ่งบรรจุกระสุนได้ ๘ นัด และกระสุนอีกจำนวนมากในกระเป๋า เขาออกจากอพาร์ตเมนต์ และเดินออกไปที่ถนน River เมื่อเดินเข้าใกล้รถบรรทุกส่งขนมปัง Unruh ดันปืนพกของเขาผ่านประตูแล้วยิงไปที่คนขับ เขายิงพลาดไปสองสามนิ้ว และแม้คนขับจะพยายามเตือนชาวบ้านแต่ก็ไม่เป็นผล


แผนผังแสดงตำแหน่งที่พบศพของเหยื่อและผู้บาดเจ็บแต่ละราย

‘Unruh’ เข้าไปในร้านทำรองเท้า ‘John Pilarchik’ ซึ่งเป็นร้านของหนึ่งในเพื่อนบ้านของเขา เมื่อเข้าไปถึงเขาได้ลั่นไกยิงทันที 

หลังจากนั้น เขาตรงไปที่ร้านตัดผมของ Clark Hoover เพื่อนบ้านอีกคน ซึ่งกำลังตัดผมให้ Orris Smith เด็กชายวัยหกขวบ เขายิง Hoover เข้าที่ศีรษะ และยิง Smith เข้าที่คอ ทั้งคู่เสียชีวิตทันที 

จากนั้น Unruh ยังวิ่งต่อไปที่ร้านขายยาของ Cohen โดยได้พบกับ James Hutton และยิงเขาทันที จากนั้น Unruh ก็เดินเข้าไปยังด้านหลังของร้านขายยา และเห็น Cohen และ Rose ภรรยากำลังวิ่งขึ้นบันไดเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของพวกเขา 

เมื่ออยู่ในอพาร์ตเมนต์ Cohen ปีนผ่านหน้าต่างขึ้นไปบนหลังคาเฉลียง ขณะที่ Rose และ Charles ลูกชายวัย ๑๒ ปี ของพวกเขาซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าคนละใบ อย่างไรก็ตาม Unruh พบตู้เสื้อผ้าใบที่ Rose ซ่อนตัวอยู่ จึงยิงทะลุประตูตู้เข้าไป ๓ นัด ก่อนที่จะเปิดออก และยิงเข้าที่หน้าของ Rose อีกนัด เมื่อเดินข้ามอพาร์ตเมนต์ เขาก็เห็น Minnie แม่ของ Cohen วัย ๖๓ ปี พยายามโทรหาตำรวจ เขาใส่ยิงเธอหลายนัด จากนั้นเขาก็เดินตาม Cohen ขึ้นไปบนระเบียงหลังคา แล้วยิง Cohen เข้าที่ด้านหลัง ทำให้ Cohen ตกลงไปยังพื้นเบื้องล่าง ส่วน Charles ที่ซ่อนตัวอยู่ในตู้อีกใบ และสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย

‘Henry Darby’ สุดยอดครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston คุณครูผู้อุทิศตัวเพื่อลูกศิษย์และทำหน้าที่มากกว่า ‘เรือจ้าง’

Henry Darby ครูใหญ่ คุณครูผู้เป็นมากกว่าเรือจ้าง

‘ครูใหญ่’ เป็นคำที่ผู้เขียนชอบมากกว่า ‘อาจารย์ใหญ่’ หรือ ‘ผู้อำนวยการ’ เพราะเติบโตและเล่าเรียนในยุคที่เราเรียกคุณครูผู้ที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างในโรงเรียนว่า ‘ครูใหญ่’ (Principal) เช่นเดียวกับ Henry Darby ครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston ในเมือง North Charleston มลรัฐ South Carolina

‘สังคมไทย’ เปรียบ ‘คุณครู’ เสมือนหนึ่ง ‘เรือจ้าง’ ที่มีความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ ดูแล อบรม บอกสอน ลูกศิษย์ทุกคน ด้วยความรัก ความเมตตา ความเอื้ออาทร ความใส่ใจในการดูแลอย่างดีที่สุดในระหว่างการเดินทาง เมื่อ ‘ลูกศิษย์’ ที่เสมือนเป็น ‘ผู้โดยสาร’ ถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย และสามารถที่จะดำเนินชีวิตที่ดีมีคุณภาพ สามารถพึ่งตนเองได้อย่างมั่นคง เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมที่หล่อเลี้ยงชีวิต คุณครูผู้เป็นดั่งเรือจ้างทุกลำนี้ก็จะสุขใจ ปลื้มปีติทุกครั้งไป

‘Henry Darby’ ครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston ในเมือง North Charleston มลรัฐ South Carolina ก็ทำหน้าที่ดั่งเรือจ้างลำหนึ่งเช่นกัน ในฐานะครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชากรราว 20% อยู่ในเกณฑ์ยากจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ 90% ของนักเรียนมีครอบครัวซึ่งอยู่ข้างใต้ของเส้นแบ่งความยากจน ทำให้นักเรียนของเขาต้องการรับความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา 

“มีเด็กบางคนที่เมื่อผมไปเยี่ยมที่บ้านของพวกเขา แม่ของพวกเขาไม่ยอมให้ผมเข้าไปในบ้าน แต่ผมเห็นว่า บ้านของพวกเขามืดมาก พวกเขาไม่มีไฟฟ้า หรือคุณอาจเห็นพวกเขากำลังนอนอยู่กับฟูกบนพื้น และที่แย่ไปกว่านั้น…มีนักเรียนคนหนึ่งต้องอาศัยหลับนอนใต้สะพานด้วย” Henry Darby กล่าวถึงช่วงเวลาที่เขาได้ไปเยี่ยมบ้านของนักเรียน

ในฐานะที่ครูใหญ่ Darby เองก็เติบโตมาท่ามกลางความยากจนข้นแค้น เรื่องราวแบบนี้ของบรรดานักเรียนจึงเป็นจุดอ่อนของครูใหญ่ Darby ด้วยเช่นกัน 

“ผมพบว่า ตัวเองติดบ่วงอยู่ในกองทุนฉุกเฉิน และผมไม่ต้องการทำเช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ต้องการพูดว่า ‘ไม่’ กับใคร” Henry Darby บอก 

ดังนั้นครูใหญ่ Darby ซึ่งเป็นสมาชิกของสภาแห่งเทศมณฑล Charleston จึงได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ยากจนและขัดสน

และเพื่อหาเงินมาเป็นทุนช่วยเหลือบรรดานักเรียนที่ยากจนและขัดสน ครูใหญ่ Darby จึงตัดสินใจสมัครทำงานนอกเวลาที่ห้างสรรพสินค้า Walmart และเลือกที่จะไม่บอกผู้จัดการห้างฯ ของเขาว่า เขาทำงานเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมปลายในช่วงเวลากลางวัน 

“ก่อนที่เราจะรู้ แต่ก็มีหลายอย่างที่ทำให้เขาดูเป็นคนที่มีความพิเศษ” Cynthia Solomon ผู้จัดการห้างสรรพสินค้า Walmart สาขาที่ครูใหญ่ Darby ทำงานบอกกับสื่อ

เมื่อ ครูใหญ่ Henry Darby เริ่มงานที่ห้างสรรพสินค้า Walmart ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 ครูใหญ่ Darby ต้องทำงานห้าคืนต่อสัปดาห์ ตั้งแต่เวลา ๒๒.๐๐ น. ถึง ๐๗.๐๐ น. แต่ในที่สุดเขาก็ขอลดวันทำงานลงเหลือสามวัน โดยเขาบอกเล่าว่า 

“ในคืนแรกของการทำงาน ลูกศิษย์ของผมคนหนึ่งเห็นผมเข้า นักเรียนคนนั้นถามผมว่า ‘ครูใหญ่ Darby ครูทำงานที่ Walmart ด้วยเหรอ’ ผมพูดกับตัวเองว่า ‘โอ้พระเจ้า ตอนนี้ทุกคนจะต้องรู้แล้วว่า ผมทำงานที่นี่’”

การจัดเรียงชั้นวางสินค้าในกะกลางคืน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับครูใหญ่ Darby ผู้ซึ่งมีอายุมากถึง ๖๖ ปีแล้ว ซ้ำครูใหญ่ยังมีอาการบาดเจ็บที่คอจากการถูกรถชน หลังจากเลิกงานที่ห้างสรรพสินค้า Walmart ตอนเช้าในเวลา ๐๗.๐๐ น. เขาต้องรีบไปเข้าทำงานหลักเป็นครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston ซึ่งมีนักเรียนประมาณ ๖๐๐ คน ภายในเวลา ๐๗.๔๕ น. 

“ผมไม่เคยเหน็ดเหนื่อยเลยจนกระทั่งวันสุดท้ายของสัปดาห์ ผมก็จะนอนเต็มที่ในวันเสาร์ ผมนอนหลับเป็นตายเลย” ครูใหญ่ Darby กล่าว

สตรีผู้ทรงอิทธิพล!! รู้จัก ‘Valentina Matviyenko’ หญิงเหล็กแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย สตรีผู้ได้รับฉายา ‘สตรี...ผู้เป็นมือขวาของประธานาธิบดีปูติน’

หากเอ่ยถึงประเทศรัสเซีย ทุกคนต้องนึกถึงหน้าตาของประธานาธิบดีปูตินเป็นแน่ เพราะชายผู้นี้ถือว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลของโลกใบนี้ แต่รู้หรือไม่ว่ามีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทของประธานาธิบดีปูตินและมีอิทธิพลมากๆ ในรัฐเซีย ถ้าอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร…ตามอ่านมาได้เลย

สาเหตุที่ทำให้ Valentina Matviyenko เป็นหญิงเหล็ก...สตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย เพราะเธอเป็นพันธมิตรทางการเมืองที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี Vladimir Putin มายาวนานมาก จึงเป็นสตรีที่ประธานาธิบดีปูตินไว้วางใจมากที่สุด โดยเธอดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซีย และบรรดาสื่อตะวันตกได้ให้ฉายาเธอว่า ‘สตรี...ผู้เป็นมือขวาของประธานาธิบดี Putin’

Sergey Matviyenko บุตรชายคนเดียวของ Valentina Matviyenko

Valentina Matviyenko เกิดเมื่อ 7 เมษายน ค.ศ. 1949 เกิดที่เมือง Shepetivka เขต Khmelnytskyi ของ ยูเครนตะวันตก สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันอยู่ในประเทศ Ukraine) Valentina สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเคมีและเภสัชแห่งเลนินกราด ในปี ค.ศ. 1972 ที่ซึ่งเธอได้พบกับสามีของเธอ Vladimir Vasilyevich Matviyenko พวกเขาแต่งงาน และมี Sergey บุตรชายคนเดียวในปี ค.ศ. 1973 

Valentina Matviyenko เริ่มงานทางการเมืองของเธอในช่วงทศวรรษ 1980 ในนครเลนินกราด (ปัจจุบันคือ นคร Saint Petersburg) โดยดำรงตำแหน่งบริหารหลายตำแหน่งของ Komsomol (องค์กรเยาวชนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต) จนถึงปี ค.ศ. 1984 เธอกลายเป็นเลขาธิการคนแรกของพรรคคอมมิวนิสต์เขต  Krasnogvardeysky ของนครแห่งนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 ถึง 1986 

Valentina Matviyenko กับ Guido de Marco อดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ Malta

ในปี ค.ศ. 1990 เธอได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครรัฐทูตรัสเซียประจำมอลตา (ค.ศ. 1991-1995) และกรีซ (ค.ศ. 1997-1998) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 ถึง 2003 เธอเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านสวัสดิการ และดำรงตำแหน่งเป็นผู้แทนประธานาธิบดีสำหรับเขตสหพันธรัฐทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในปี ค.ศ. 2003 ด้วยความที่เธอเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับประธานาธิบดี Vladimir Putin ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ทำให้เธอได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่าการนคร Saint Petersburg อันเป็นบ้านเกิดของประธานาธิบดีปูติน

Valentina Matviyenko ขณะเป็นผู้ว่าการหญิงคนแรกของนคร Saint Petersburg กับ Jacques Chirac อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ Gerhard Schroeder อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนีในพิธีเฉลิมฉลองครบ ๓๐๐ ปีของนคร Saint Petersburg เมื่อปี ค.ศ. 2003

Valentina กลายเป็นผู้ว่าการหญิงคนแรกของนคร Saint Petersburg ตั้งแต่เธอเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ว่าการ เงินภาษีจำนวนมากถูกโอนจากงบประมาณของรัฐบาลกลางไปยังงบประมาณท้องถิ่น และทำให้เศรษฐกิจของนคร Saint Petersburg เฟื่องฟู ทำให้เกิดการปรับปรุงบรรยากาศการลงทุนทั้งมาตรฐานการครองชีพในนคร Saint Petersburg ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้เธอยังสามารถทำให้ระดับรายได้เฉลี่ยของประชากรใกล้เคียงกับประชากรในกรุง Moscow และเหนือกว่าเมืองสำคัญอื่น ๆ ของสหพันธรัฐรัสเซีย

เขื่อน Saint Petersburg ซึ่งสร้างแล้วเสร็จในยุคที่ Valentina Matviyenko ผู้ว่าการฯ 
โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัยซ้ำซากของนคร Saint Petersburg

ผลงานในการพัฒนานคร Saint Petersburg ของเธอทำให้นครแห่งนี้มีความโดดเด่นเพิ่มมากขึ้น โดยมีการย้ายศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐรัสเซียจากกรุง Moscow ในปี ค.ศ. 2008 เธอได้ทำการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่จำนวนมากทั้งในด้านที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างถนนวงแหวน Saint Petersburg ซึ่งรวมถึง สะพานใหญ่ Obukhovsky (สะพานข้ามแม่น้ำ Neva เพียงแห่งเดียวในนครแห่งนี้) สร้างเขื่อน Saint Petersburg จนแล้วเสร็จ โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัยซ้ำซากของนคร Saint Petersburg 

เธอเปิดใช้เส้นทางรถไฟใต้ดินสาย 5 ของรถไฟใต้ดินของนคร Saint Petersburg และเริ่มต้นการถมที่ดินในบริเวณ Neva Bay สำหรับสร้างโครงการพัฒนาริมน้ำแห่งใหม่ของนครแห่งนี้ โดยเป็นโครงการพัฒนาริมน้ำที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งมีท่าเรือโดยสารของ St. Petersburg อยู่ด้วย

สถานีรถไฟใต้ดิน Obvodny ของรถไฟใต้ดินสาย Frunzensko–Primorskaya ของนคร Saint Petersburg

บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายแห่งถูกดึงดูดไปยังนคร Saint Petersburg และพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึง Toyota, General Motors, Nissan, Hyundai Motor, Suzuki, Magna International, Scania และ MAN SE (ทั้งหมดมีโรงงานอยู่ในเขตอุตสาหกรรม Shushary) ส่งผลให้นคร Saint Petersburg กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญของสหพันธรัฐรัสเซีย 

การพัฒนาที่สำคัญของ Valentina ในฐานะของผู้ว่าการนคร Saint Petersburg อีกด้านหนึ่งคือ การท่องเที่ยว ภายในปี ค.ศ. 2010 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนนคร Saint Petersburg เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและสูงถึง 5.2 ล้านคน ซึ่งทำให้นคร Saint Petersburg อยู่ในกลุ่มศูนย์กลางการท่องเที่ยวห้าอันดับแรกของยุโรป

Valentina Matviyenko ประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซีย กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

วันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ไม่นานหลังจากสร้างเขื่อน Saint Petersburg และถนนวงแหวน Saint Petersburg แล้วเสร็จ Valentina Matviyenko ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการนคร Saint Petersburg โดย Georgy Poltavchenko ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการตำแหน่งผู้ว่าการนคร Saint Petersburg แทนเธอ 

เธอได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดี Dmitry Medvedev ให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซีย (วุฒิสภาของสหพันธรัฐรัสเซีย) โดยที่ Sergey Mironov ประธานคนก่อนของสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซียถูกถอดถอนในเดือนพฤษภาคม Valentina ในฐานะสมาชิกของพรรค United Russia Party ของประธานาธิบดีปูติน ในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2011 เธอได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 140 เสียง โดยงดออกเสียงหนึ่งครั้ง และไม่มีเสียงคัดค้าน โดยเป็นประธานที่ได้รับคะแนนจากการเลือกตั้งสูงสุดเป็นอันดับสามของประเทศ

Valentina Matviyenko ประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
รับเครื่องอิสริยาภรณ์จากประธานาธิบดี Vladimir Putin แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย

เนื่องจากบทบาทของเธอในการลงประชามติเกี่ยวกับสถานะของดินแดนไครเมีย Valentina จึงกลายเป็นหนึ่งในบุคคลกลุ่มแรกๆ ที่ถูกคว่ำบาตรจากประธานาธิบดี Barak Obama แห่งสหรัฐอเมริกา มาตรการคว่ำบาตรอายัดทรัพย์สินของเธอในสหรัฐอเมริกา และห้ามไม่ให้เธอเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา 

พ่อแม่ต้องรู้!! ‘เลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์’ ส่งผลร้ายแรง ลูกขาดความมั่นใจ - ความสัมพันธ์ครอบครัวย่ำแย่

ระยะนี้มีข่าวเกี่ยวกับการแสดงออกอย่างไม่ค่อยเหมาะสมจากผู้คนในวิชาชีพต่าง ๆ ซึ่งได้มีการโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียหลากหลายช่องทาง ผู้เขียนมั่นใจว่า ปัญหาสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการ ‘อบรมเลี้ยงดู’ และการไม่เข้าอกเข้าใจกันระหว่างพ่อ-แม่และลูกๆ 

ตัวอย่างเช่น บางคนไม่ได้ชอบวิชาชีพที่เล่าเรียนเลย แต่ก็ต้องตามใจ พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ญาติพี่น้อง คุณครู ฯลฯ อดทนเล่าเรียนด้วยความไม่ชอบ เมื่อจบมาแล้วก็ต้องอดทนประกอบวิชาชีพนั้น ๆ ทั้งที่ใจไม่รัก และไม่ชอบเลย แทนที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสิ่งที่ตนชอบ กลับต้องมาทนทุกข์ทรมานกับงานที่ตนเองไม่ได้รักชอบเลย 

ซึ่ง พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ต่างก็นึกเอาเองว่า เป็นความปรารถนาดีต่อลูกต่อหลาน แต่จริง ๆ แล้วผู้ที่ต้องอดทนทำและอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบก็ไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็น จึงทำให้เกิดการแสดงออกดังที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ บ่อยครั้ง มากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่รู้ว่าจะหมดไปจากสังคมเมื่อไหร่

พฤติกรรมเช่นนั้นของพ่อแม่น่าจะตรงกับคำว่า ‘การเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์’ หมายถึงการที่ พ่อ แม่ ผู้ปกครองเข้ามีบทบาทเกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกมากจนเกินไป จากการที่พ่อ แม่ ผู้ปกครองเฝ้าดูลูกอยู่ใกล้ ๆ เหมือนกับการที่เฮลิคอปเตอร์ลอยตัวนิ่ง ๆ อยู่บนอากาศ และจะโฉบลงมาเพื่อช่วยลูกในสัญญาณแรกของปัญหาที่ลูกเผชิญ 

วลีนี้ปรากฏครั้งแรกในปี ค.ศ. 1969 ในหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกวัยรุ่นของ Dr. Haim G. Ginott ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ 2000 การเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์กลายเป็นวิธีที่นิยมในการอธิบายลักษณะการเลี้ยงลูกแบบนี้ และในวันนี้ การวิจัยได้เปิดเผยถึงผลกระทบของการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์แล้ว

นอกจากนี้ การเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์ยังทำให้เกิดคำว่า ‘พ่อ-แม่แบบเครื่องตัดหญ้า (lawnmower parents)’ และ ‘พ่อ-แม่แบบเครื่องกวาดหิมะ (snowplow parents)’ อีกด้วย 

พ่อ-แม่แบบดังกล่าวไม่เพียงแต่บินโฉบเท่านั้น แต่ยังทำการ ตัด กวาด หรือไถสิ่งกีดขวางใด ๆ ในเส้นทางชีวิตของเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นด้วย ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังคงทำพฤติกรรมแบบนี้จากระยะไกลเมื่อลูกวัยรุ่นอยู่ในมหาวิทยาลัยอีกด้วย 

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดประการหนึ่งเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์คือ เด็ก ๆ ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ทำความรู้จักกับโลกด้วยตัวเอง และนั่นอาจส่งผลเสียต่ออารมณ์ และทำให้สุขภาพจิตของเด็ก ๆ เป็นไปในทางลบ

ลักษณะของผู้ปกครองที่เลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์ มักจะไม่ได้ตระหนักว่า ตัวของพวกเขากำลังโฉบอยู่เหนือลูก ๆ ของพวกเขา 

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ตระหนักว่าบุตรหลานของตนอาจได้รับผลกระทบจากการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์ 

และนี่คือตัวอย่างการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์บางส่วนที่บ่งชี้ว่าผู้ปกครองได้เข้ามาปกป้องหรือยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของวัยรุ่นมากเกินไป 

- ไม่อนุญาตให้วัยรุ่นทำการเลือกทำอะไรที่เหมาะกับวัย
- ทำความสะอาดห้องของวัยรุ่น
- ก้าวเข้าสู่ความเกี่ยวข้องในการเจรจาข้อขัดแย้งระหว่างวัยรุ่นกับเพื่อน
- ดูแลการบ้านและโครงการโรงเรียนของลูก ๆ ที่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย
- ตรวจสอบอาหารและการออกกำลังกายของวัยรุ่น
- ส่งข้อความหลายอันในแต่ละวันถึงลูก ๆ ที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว
- แทรกแซงชีวิตของวัยรุ่นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาล้มเหลวในงานหรือความพยายามอื่น ๆ

ผลกระทบของการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์ต่อเด็กและวัยรุ่นนั้นไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด เพราะหากมองดูดีๆ แล้ว พ่อแม่เหล่านี้มักจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและเอาใจใส่ลูก ๆ ดังนั้นอาจบอกได้ว่าการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้ปกครองที่อบอุ่นและให้การสนับสนุน ซึ่งรวมถึงการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนทางอารมณ์ และการเปิดกว้างระหว่างพ่อ-แม่และลูก

‘Bacchus Ladies’ โสเภณีรุ่นยายในเกาหลีใต้ สะท้อน ‘ความเหลื่อมล้ำ-ปัญหาสังคม’ ที่ยังไม่ได้สะสาง

Bacchus Ladies โสเภณีหญิงชราในเกาหลีใต้

สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวที่น่าสลดใจในเกาหลีใต้คือ เหตุการณ์เหยียบกันตายในงาน Halloween ในย่าน ‘อิแทวอน’ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์นี้ทุกท่านด้วย 

ทั้งนี้ ด้วยภาพลักษณ์ของเกาหลีใต้ที่เราท่านเห็นกันในปัจจุบันคือ เป็นประเทศที่เจริญแล้ว อาคารบ้านเรือนสะอาด และทันสมัย ผู้คนแลดูมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว แต่ในความจริงกลับปรากฏว่า ในเกาหลีใต้ยังมี ‘Bacchus Ladies’ (โสเภณีหญิงชรา) อยู่

ในปี ค.ศ. 2020 อัตราความยากจนสัมพัทธ์ (Relative poverty rate  ซึ่งเป็นวิธีการวัดความยากจนโดยใช้การเปรียบเทียบ มาตรฐานการดำรงชีวิตของครัวเรือนกับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของสังคมโดยเฉลี่ย) ในเกาหลีใต้อยู่ที่ประมาณ 15.3% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (ค.ศ. 2019) อัตราความยากจนสัมพัทธ์ซึ่งเป็นส่วนแบ่งของผู้ที่อาศัยอยู่โดยมีรายได้เฉลี่ยไม่ถึงครึ่งของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขยังค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ อัตราความยากจนสัมพัทธ์ในผู้สูงอายุในเกาหลีใต้ยังคงเพิ่มขึ้น ปีที่แล้ว (ค.ศ. 2021) ประชากรผู้สูงอายุที่มีอายุ ๖๕ ปีขึ้นไปมีสัดส่วนประมาณ 16.5% ของประชากรเกาหลีใต้ทั้งหมด โดยคาดว่าเกาหลีใต้จะกลายเป็นสังคม ‘สูงวัย’ ในปี ค.ศ. 2025

โดยผู้ที่มีอายุ ๖๕ ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุจะดีขึ้นแต่ก็เพียงเล็กน้อย เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรสูงอายุยังอยู่ในเกณฑ์ของความยากจนสัมพัทธ์ ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในกลุ่มประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (the Organization for Economic Co-operation and Development : OECD)

เกาหลีใต้มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดใน OECD โดยมีผู้เสียชีวิตราว ๑๓,๐๐๐ คนในปี ค.ศ. 2020 อัตราการฆ่าตัวตายในผู้สูงอายุนั้นสูงเป็นพิเศษ ในปี ค.ศ. 2020 ประชากรชายสูงอายุที่มีอายุ ๘๐ ปีขึ้นไปมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุด โดยมีอัตราผู้เสียชีวิต ๑๑๘ รายต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน ส่วนสาเหตุของการฆ่าตัวตายก็มีความซับซ้อน 

ทว่าในการสำรวจในปี ค.ศ. 2020 ที่จัดทำขึ้นในหมู่ผู้ที่มีอายุ ๖๕ ปีขึ้นไป ปัญหาทางการเงินถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุอันดับสองสำหรับความคิดในการฆ่าตัวตายของพวกเขา รองลงมาจากปัญหาสุขภาพ

ชายสูงอายุมักมาร่วมตัวสังสรรค์กันในสวนสาธารณะ Jongmyo ในกรุงโซล

จากปัญหาที่กล่าวมา จึงทำให้ในเกาหลีใต้ มีอาชีพที่เรียกว่า ‘Bacchus Ladies’ (โสเภณีหญิงชรา) ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงในวัยตั้งแต่ ๕๐ ขึ้นไปกระทั่งบางส่วนอายุมากถึง ๘๐ ปี ที่ชักชวนชายในสวนสาธารณะหรือพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ ของกรุงโซล เพื่อขายบริการทางเพศใน Motel ที่อยู่ใกล้เคียงในราคาประมาณ 20,000 ถึง 30,000 วอน ($ 18–26 USD ราว ๗๐๐-๙๐๐ บาท) หรือน้อยกว่านั้นหากชายคนนั้นเป็นลูกค้าประจำ 

โดยเหล่า ‘Bacchus Ladies’ จะแฝงอาชีพขายบริการด้วยการขายเครื่องดื่มให้พลังงาน Bacchus-F ตามสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นที่นิยมของชายสูงอายุซึ่งกลายมาเป็นลูกค้าของพวกเขา แต่ผู้ชายอายุน้อยกว่าอาทิ ในวัย ๒๐ - ๔๐ ปี ส่วนหนึ่งก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำในจำนวนที่มากขึ้นเช่นกัน (ดร.Lee Ho-Sun นักวิจัยในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ระบุว่า มีหญิงประมาณ ๔๐๐ คนทำงานลักษณะนี้ในสวนสาธารณะ Jongmyo ในกรุงโซล)

การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเกาหลีใต้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 หรือที่รู้จักในชื่อปาฏิหาริย์บนแม่น้ำ Han (the Miracle on the Han River)

เชื่อกันว่าปรากฏการณ์ ‘Bacchus Ladies’ เกิดขึ้นหลังจากวิกฤตการเงินในเอเชียในปี ค.ศ. 1997 (วิกฤตต้มยำกุ้ง) โดยเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปัญหาทางการเงินมากที่สุด 

ซึ่งตามปกติแล้วในสังคมขงจื๊อตามประเพณีของเกาหลีใต้ พ่อแม่ผู้สูงอายุจะได้รับความนับถืออย่างสูง และเมื่ออยู่ในวัยชราสามารถพึ่งพาบุตรหลานของตนในการดูแล โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเกาหลีใต้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 หรือที่รู้จักในชื่อ ‘ปาฏิหาริย์บนแม่น้ำ’ Han (the Miracle on the Han River) นำไปสู่การถอนรากถอนโคนวัฒนธรรมนี้ในหมู่ชาวเกาหลีใต้ที่อายุน้อย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้นในสังคมและทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่ตามมาอย่างรวดเร็ว 

ส่งผลให้อัตราความยากจนของผู้หญิงเกาหลีใต้อายุเกิน ๖๕ ปีอยู่ที่ 47.2% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 76.6% สำหรับหญิงสูงอายุที่โสด เงินบำนาญของรัฐที่จัดทำโดยระบบสวัสดิการของเกาหลีใต้มักไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นในวัยชรา 

Bacchus-F เครื่องดื่มชูกำลังยอดนิยมในเกาหลีใต้

อีกทั้ง วัฒนธรรมของเกาหลีใต้ที่ถูกครอบงำโดยผู้ชายมาตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ จนถึงยุคปัจจุบันก็ยังคงอยู่ นั่นจึงหมายความว่า ผู้หญิงที่มีอายุมากจำนวนมากจึงไม่มีเงินออมหรือเงินบำนาญส่วนตัว เพราะในวัยเยาว์พวกเธอไม่ได้รับการศึกษา และขาดโอกาสในการทำงานที่เท่าเทียมกันกับชาย 

ศาสตราจารย์ Lee Ho-Sun จากมหาวิทยาลัย Korea Soongsil Cyber ​​ในกรุงโซลได้ทำการวิจัย และพบว่า ผู้หญิงจำนวนมากที่กลายเป็น ‘Bacchus Ladies’ เข้ามามีส่วนกับการค้าประเวณีในช่วงปีแรก ๆ จากการทำงานในบาร์คาราโอเกะและโรงน้ำชา แต่การกลับไปค้าประเวณีอีกในปีต่อ ๆ มา อันมาเนื่องจากปัญหาการเงินและแรงกดดันอื่นๆ 

ในตอนแรก ‘Bacchus Ladies’ จะหาเลี้ยงชีพด้วยการขาย Bacchus-F ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชูกำลังยอดนิยมในเกาหลีใต้ ซึ่งขายให้กับชายสูงอายุที่ไปมักร่วมสังสรรค์กันตามสวนสาธารณะและพลาซ่าในกรุงโซล ในที่สุด ผู้ชายเหล่านี้หลายคนก็กลายเป็นลูกค้าหลักของพวกเธอภายหลังจากเปลี่ยนอาชีพมาเป็นโสเภณี

แม้ว่า การค้าประเวณีในเกาหลีใต้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และตำรวจก็ทำการตรวจตราลาดตระเวนในพื้นที่ที่มี ‘Bacchus Ladies’ แวะเวียนมาขายบริการอยู่เสมอ โดยหลัก ๆ แล้วอยู่ในเขต Jongno ทางตอนเหนือของกรุงโซล ตำรวจนครบาลแห่งกรุงโซลได้ดำเนินการปราบปรามกลุ่ม ‘Bacchus Ladies’ อยู่เป็นระยะๆ แต่หญิงที่ถูกจับกุมมักจะได้รับเพียงคำเตือนหรือถูกปรับเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย มีหญิง ๓๓ คน รวมทั้งหญิงชราวัย ๘๔ ปีหนึ่งคน ถูกจับโดยเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามในช่วงต้นปี ค.ศ. 2015 

หลังจากการกวาดล้างจับกุมทำให้จำนวนคนงานของ ‘Bacchus Ladies’ ลดลงเหลือประมาณ ๒๐๐ คน ตำรวจท้องที่เชื่อว่า ปัญหา ‘Bacchus Ladies’ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปราบปราม และนโยบายดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง

‘Bacchus Ladies’ ทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted infections : STIs) ในกลุ่มผู้สูงอายุชาวเกาหลีใต้ สาเหตุหลักมาจากการใช้สารเพิ่มการแข็งตัวของอวัยวะเพศซึ่งมักถูกฉีดเข้าเส้นเลือดของลูกค้าชายสูงอายุของ Bacchus Ladies แต่เข็มฉีดยาอาจถูกนำมาใช้ซ้ำมากถึง ๑๐ ถึง ๒๐ ครั้ง จากการสำรวจในพื้นที่ของ Bacchus Ladies ในปี ค.ศ. 2014 พบว่า 40% ของชายสูงอายุที่เป็นลูกค้า ‘Bacchus Ladies’ ติดเชื้อ ในขณะที่ยังไม่ได้ทำการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดบางโรค ทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่นเสนอชั้นเรียนเพศศึกษาให้กับผู้สูงอายุ

ระบบประกันสังคมของเกาหลีให้ความช่วยเหลือสาธารณะและประกันสังคมสำหรับพลเมืองของเกาหลีใต้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี มีคุณภาพ มีชีวิตที่ดีงาม รัฐบาลได้ดำเนินโครงการประกันสังคมที่หลากหลายเพื่อสร้างมาตรฐานการครองชีพขั้นพื้นฐาน และเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของพลเมืองทุกคน

รู้จัก ‘Talgat Musabayev’ วีรบุรุษแห่งรัสเซีย-คาซัคสถาน ผู้ท่องอวกาศมากถึง 3 ครั้ง รวมระยะเวลา 341 วัน

วุฒิสมาชิก Talgat Musabayev บนสถานีอวกาศ Mir ของสหพันธรัฐ Russia

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เขียนมีโอกาสได้ร่วมต้อนรับวุฒิสมาชิก Talgat Musabayev แห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ซึ่งมาเยือนประเทศไทยอย่างไม่เป็นทางการ จึงเกิดไอเดียอยากแชร์เรื่องราวของวุฒิสมาชิก Talgat Musabayev แห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ขอบอกเลยว่า เรื่องราวน่าสนใจมากๆ แต่จะเป็นอย่างไร ตามไปอ่านกันครับ

วุฒิสมาชิก Talgat Amangeldyuly Musabayev เกิดเมื่อ 7 มกราคม ค.ศ. 1951 เป็นนักบินทดสอบของอดีตสหภาพโซเวียต สหพันธรัฐ Russia และสาธารณรัฐ Kazakhstan และเป็นอดีตนักบินอวกาศซึ่งได้เดินทางไปในอวกาศถึงสามครั้ง 

โดยการเดินทางไปในอวกาศสองครั้งแรกเป็นการประจำการระยะยาวบนสถานีอวกาศ Mir ของสหพันธรัฐ Russia ส่วนการบินในอวกาศครั้งที่สามเป็นภารกิจนำ Dennis Tito นักท่องเที่ยวอวกาศรายแรกของโลกไปเยี่ยมเยียนสถานีอวกาศนานาชาติเป็นระยะเวลาสั้นๆ 

วุฒิสมาชิก Musabayev เกษียณจากอาชีพนักบินอวกาศในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2003 และในปี ค.ศ. 2007 วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการ KazCosmos สำนักงานงานอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐ Kazakhstan 

สามนักบินอวกาศชาว Kazakhstan

วุฒิสมาชิก Musabayev สำเร็จการศึกษาจากสถาบันวิศวกรการบินพลเรือน Riga (สาธารณรัฐ Latvia ในปัจจุบัน) ในปี ค.ศ. 1974 จากนั้นในปี ค.ศ. 1983 สำเร็จการศึกษาจาก Higher Military Aviation School ใน Akhtubinsk โดยได้รับประกาศนียบัตรวิศวกรรมศาสตร์ วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับรางวัลมากมายหลายรางวัลในฐานะนักบินผาดโผน และได้รับเลือกให้เป็นนักบินอวกาศเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1990 ในปี ค.ศ. 1991 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนาวากาศตรี และย้ายไปประจำกลุ่มงานนักบินอวกาศของกองทัพอากาศสหภาพโซเวียต ซึ่งต่อมากลายเป็นสหพันธรัฐ Russia 

วุฒิสมาชิก Talgat Musabayev กับทีมนักบินอวกาศของภารกิจในอวกาศครั้งแรก Mir EO-16

ภารกิจในอวกาศครั้งแรกของวุฒิสมาชิก Musabayev ในฐานะสมาชิกลูกเรือของภารกิจระยะยาว Mir EO-16 เดินทางโดยยานอวกาศ Soyuz TM-19 ซึ่ง วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับมอบหมายให้เป็นวิศวกรการบิน ภารกิจดำเนินไปตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 รวมระยะเวลา ๑๒๕ วัน ๒๒ ชั่วโมง ๕๓ นาที ได้ทำ Spacewalk สองครั้ง ระยะเวลารวม ๑๑ ชั่วโมง ๗ นาที 

ต่อมาภารกิจในอวกาศครั้งที่สอง วุฒิสมาชิก Musabayev ได้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการของการสำรวจระยะยาว Mir EO-25 ซึ่งเดินทางโดยยานอวกาศ Soyuz TM-27 ภารกิจมีระยะเวลาตั้งแต่ 29 มกราคม ถึง 25 สิงหาคม ค.ศ. 1998 รวมระยะเวลา ๒๐๗ วัน ๑๒ ชั่วโมง ๕๑ นาที ๒ วินาที ได้ทำ Spacewalk ห้าครั้ง รวมระยะเวลา ๓๐ ชั่วโมง ๘ นาที

วุฒิสมาชิก Talgat Musabayev กับภารกิจในอวกาศครั้งที่สาม ISS EP-1

ภารกิจที่สามอันเป็นภารกิจครั้งสุดท้ายในอวกาศของวุฒิสมาชิก Musabayev คือการเป็นผู้บัญชาการของ ISS EP-1 ซึ่งเป็นภารกิจเยือนสถานีอวกาศนานาชาติ เดินทางโดยยานอวกาศ Soyuz TM-32 และกลับสู่พื้นโลกโดยยานอวกาศ Soyuz TM-31 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 รวมระยะเวลา ๗ วัน ๒๒ ชั่วโมง ๔ นาที ภารกิจเยี่ยมเยียนครั้งนี้มีความพิเศษคือ การพา Dennis Tito นักท่องอวกาศคนแรกของโลกที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองไปในอวกาศ (ค่าใช้จ่ายในขณะนั้นราว US$20,000,000 แต่ค่าใช้จ่ายในปัจจุบันวุฒิสมาชิก Musabayev คาดว่า น่าจะราว ๆ US$50,000,000) ในปี ค.ศ. 2007 วุฒิสมาชิก Musabayev ถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน ๓๐ นักบินอวกาศที่ใช้เวลาอยู่ในอวกาศมากที่สุดคือ ๓๔๑ วัน 

วุฒิสมาชิก Musabayev ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐ Kazakhstan หรือ KazCosmos

วุฒิสมาชิก Musabayev เกษียณจากการเป็นนักบินอวกาศในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2003 และดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันวิศวกรรม Zhukovsky กองทัพอากาศสหพันธรัฐ Russia และได้รับแต่งตั้งให้เป็นพลตรีในเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ถึง ค.ศ. 2007 

นอกจากนี้ยังได้เป็นผู้อำนวยการของ ‘Bayterek Corp.’ ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนระหว่าง Kazakhstan-Russia สำหรับการสร้าง Baiterek space complex ที่ ฐานปล่อยจรวด Baikonur ต่อมา 11 เมษายน ค.ศ. 2007 วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐ Kazakhstan หรือ KazCosmos ตามมติของรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan 

วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ด้านการบินพลเรือนและกิจกรรมอวกาศตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ลงวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 2014 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการการบินและอวกาศของสาธารณรัฐ Kazakhstan ตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนและการพัฒนาแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ลงวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2014 

ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2016 ตามคำสั่งของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan และได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาของรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 โดยคำสั่งของประมุขแห่งรัฐ 

ปัจจุบันวุฒิสมาชิก Musabayev ยังเป็นกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ กลาโหม และความมั่นคงของวุฒิสภาแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan อีกด้วย

วุฒิสมาชิก Musabayev กับ Nursultan Nazarbayev ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐ Kazakhstan 

นอกจากนี้แล้ววุฒิสมาชิก Musabayev ยังเป็นศาสตราจารย์ในสาขาวิชา จรวดและ เทคโนโลยีอวกาศ echnology เป็นสมาชิก : the National Academy of Sciences สาธารณรัฐ Kazakhstan, the National Engineering Academy สาธารณรัฐ Kazakhstan, the International Academy of Astronautics, the International Academy of Informatization, Tsiolkovsky Russian Cosmonautics Academy, Russian Academy of Natural Sciences


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top