Monday, 29 April 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

‘ญี่ปุ่น’ ทำแบบสำรวจ ใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไปที่ดีที่สุดจาก ‘8 ตัวเต็ง’  ผลปรากฏ!! ไม่มีผู้สมัครคนไหนได้รับคะแนนสนับสนุนมากกว่า 1 ใน 3


ไม่มีสิ่งใดที่กล่าวมาจะส่งผลต่อการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่น เพราะมีโอกาสน้อยมากที่พรรคอื่น ๆ ของญี่ปุ่นจะสามารถเอาชนะพรรคเสรีประชาธิปไตย (พรรค LDP) ได้

โดยผลการเลือกตั้งของญี่ปุ่นและสิงคโปร์ในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีพรรคที่ชนะการเลือกตั้งและมีอำนาจทางการเมืองเพียงพรรคเดียวโดยตลอด ช่วงเวลานี้แม้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่การจัดอันดับในค่าดัชนีความเป็นประชาธิปไตยนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยญี่ปุ่นอยู่ลำดับที่ 26 และสิงคโปร์อยู่ลำดับที่ 86 ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของการคำนวณในการจัดลำดับของค่าดัชนีความเป็นประชาธิปไตย

ทั้งนี้ แบบสำรวจของ Mainichi Shimbun ในคำถามที่ว่า “ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนต่อไปได้ดีที่สุด” มีชาวญี่ปุ่นผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 1% เท่านั้นที่เลือก Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน โดยตัว Kishida นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของญี่ปุ่นกำลังดิ้นรนอย่างหนัก จากการสำรวจล่าสุดจาก Mainichi Shimbun สื่อใหญ่ของญี่ปุ่นได้ถามคำถามกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจว่า ใครสมควรที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปที่ดีที่สุดในบรรดาผู้สมัคร 8 คนจากพรรครัฐบาล (พรรค LDP) 

ซึ่งคำตอบก็คือ…

- Shigeru Ishiba อดีตเลขาธิการพรรค LDP ได้ 25%
- Yoko Kamikawa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ 12%
- Sanae Takaichi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ได้ 9%
- Shinjiro Koizumi อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม ได้ 9%
- Taro Kono รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ได้ 7%
- Seiko Noda อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร ได้ 2%
- Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้ 1%
- Toshimitsu Motegi เลขาธิการพรรค LDP ได้ 1% 

และไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนสนับสนุนมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 34%

เปิดเรื่องราว ‘Lykov’ ครอบครัวเก่าแก่ ที่หันหลังให้กับความศิวิไลซ์ เอาชีวิตรอดจากธรรมชาติหฤโหดสุดเหน็บหนาวใน Siberian 42 ปี

พื้นที่ Abakan ในดินแดน Tashtypsky เขต Khakassia ทางตอนใต้ของ Siberia (วงกลม)

Siberian ดินแดนทางเหนือสุดของทวีปเอเชียตั้งแต่เทือกเขาอูราลไปจนจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่ในเขตของประเทศรัสเซียปัจจุบัน พื้นที่ 13.1 ล้านตารางกิโลเมตร (5,100,000 ตารางไมล์) ของ Siberian ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ (ราว 77%) ของรัสเซีย และเกือบ 9% ของพื้นผิวโลกทั้งหมด และเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อถึงความหฤโหดของความหนาวเย็นในฤดูหนาว ยุคอดีตสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1929 ถึง 1953 มีนักโทษทางการเมืองหลายล้านคนถูกส่งมายังค่ายกักกันและเรือนจำใน Siberian

Karp Lykov

ในปี 1936 ครอบครัว Lykovs ซึ่งเป็นสมาชิกของ Old Believers ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของ Russian Orthodox นำโดย Karp Lykov หัวหน้าครอบครัวได้หลบหนีเข้าไปในส่วนลึกมากของพื้นที่ Abakan ในดินแดน Tashtypsky เขต Khakassia ทางตอนใต้ของ Siberian เพื่อหลบหนีการปราบปรามผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนาภายใต้ระบอบการปกครองของสหภาพโซเวียต พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากชุมชนที่ใกล้ที่สุดมากกว่า 150 ไมล์ ในพื้นที่ป่าของเทือกเขา Sayan

Karp, Agafia และ Natalia Lykov ถ่ายในปี 1978 สวมใส่เสื้อผ้าที่ได้รับมา

ครอบครัวที่มีสมาชิก 6 คนใช้เวลา 42 ปีในการแยกตัวออกจากสังคมมนุษย์อาศัยในพื้นที่ซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่ สมาชิกของครอบครัวประกอบด้วย

1. Karp Osipovich Lykov (c. 1901–16 กุมภาพันธ์ 1988) (Карп Лыков) พ่อ
2. Akulina Lykov (c. 1900–16 กุมภาพันธ์ 1961) (Акулина Лыкова) แม่
และลูก ๆ อีก 4 คน
3. Savin (c. 1927– 1981) (Савин)
4. Natalia (c. 1934–1981) (Наталия)
5. Dmitriy (1940–1981) (Дмитрий)
6. Agafia (born 1944) (Агафья)

ครอบครัว Lykov เดินเท้าเปล่า

หลังจากที่พี่ชายของ Karp Lykov ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจของสหภาพโซเวียต Karp และ Akulina Lykov พร้อมลูกสองคน Savin และ Natalia ก็หลบหนีออกจากบ้านเกิดที่เมือง Lykovo (Tyumen Oblast) ไปทางตะวันออก ต่อมาพวกเขามีลูกอีก 2 คนคือ มีเด็กอีกสองคนคือ Dmitriy และ Agafia การหลบหนีของพวกเขาจบลงที่ตอนใต้ของ Siberia ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนที่ใกล้ที่สุด 250 กิโลเมตร (160 ไมล์) และอยู่ห่างจากชายแดนมองโกเลียประมาณ 160 กิโลเมตร พวกเขานำสิ่งของจำเป็นเพียงไม่กี่อย่างได้แก่ กาต้มน้ำ เมล็ดพืช กังหันล้อหมุน และส่วนประกอบของเครื่องทอผ้า

พวกเขาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าจนพัง สิ่งของดั้งเดิมหลายชิ้นเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างขึ้นในป่า พวกเขาเปลี่ยนรองเท้าที่ชำรุดด้วยรองเท้าที่มีพื้นเป็นเปลือกไม้ และใช้ป่านที่ปลูกจากเมล็ดพืชมาทดแทนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น อย่างไรก็ตามโลหะก็ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ เมื่อกาต้มน้ำชำรุดเสียหาย และอาหารก็กลายเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนค้นหาทุกวัน ครอบครัวนี้อาศัยอยู่อย่างอดอยากต่อเนื่องตลอดมา โดยส่วนใหญ่มีชีวิตรอดจากมันฝรั่งบดผสมกับเมล็ดป่านและข้าวไรย์บด ชีวิตไม่มีความแน่นอนจนพวกเขาต้องประชุมครอบครัวเป็นประจำทุกปีเพื่อหารือกันว่า ควรเพาะเมล็ดพันธุ์สำหรับปีต่อไป หรือกินเป็นอาหารเพื่อยังชีพตอนนั้น ในปี 1961 Akulina ผู้เป็นแม่ก็เสียชีวิตลงด้วยสาเหตุจากความอดอยาก สมาชิกครอบครัวแต่ละคนมีจุดแข็งและความรอบรู้ของตนเอง พวกเขาแต่ละคนจะจัดการส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของพวกเขา Dmitriy ซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กที่เกิดในป่า โตพอก็ออกล่าสัตว์ บางครั้งเขาก็หายไปหลายวัน หลับนอนโดยไม่มีที่พักพิงภายใต้อุณหภูมิที่เย็นจัด โดยไม่มีกับดักหรืออาวุธสมัยใหม่ เขาอาศัยกับดักที่ซ่อนอยู่ด้วยการขุดเอง หรือติดตามล่าเหยื่อจนในที่สุดก็จัดการได้เมื่อพวกมันอ่อนล้าหมดแรง

วันหนึ่งในปี 1978 นักธรณีวิทยากลุ่มหนึ่งนั่งเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นพื้นที่โล่ง เนื่องจากไม่มีบันทึกการอยู่อาศัยของมนุษย์ในบริเวณนี้ พวกเขาจึงวนเวียนอยู่สองสามครั้ง หลักฐานนั้นน่าสนใจ สวนที่ใหญ่พอที่จะสังเกตได้จากบนอากาศนั้นมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สร้างได้ พวกเขาหาที่ลงจอดและออกเดินทางเพื่อตรวจสอบ สิ่งที่พวกเขาพบนั้นท้าทายความเชื่อมาก เมื่อไปพบกับบ้านหลังหนึ่งซึ่งต่อมาได้ถูกบรรยายไว้ว่า “ไม่ใหญ่ไปกว่าโพรง เต็มไปด้วยเขม่าดำคล้ำ และเย็นเหมือนห้องใต้ดิน คับแคบ สกปรก มีห้องเดียว พื้นปูด้วยเปลือกมันฝรั่งและลูกสน มีหญิงสาวสองคนที่แลดูกำลังหวาดกลัวอยู่ที่มุมห้อง กลุ่มนักธรณีวิทยาต้องการมอบอาหาร ชา ขนมปัง ขนมหวาน และสิ่งอื่น ๆ ที่ Karp ชายชรารู้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เป็นสิ่งที่ลูก ๆ ของเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

Karp กับ Agafia ลูกสาวในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1988

ยิ่งไปกว่านั้นลูก ๆ ของครอบครัว Lykov ไม่เคยพบใครเลยนอกจากพ่อแม่ของพวกเขา พวกเขารู้ว่า มีสถานที่ห่างไกลที่ผู้คนอาศัยอยู่ตามตึกสูง พวกเขาได้ยินมาว่า มีประเทศอื่นนอกเหนือจากสหภาพโซเวียต แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ห่างไกลสำหรับพวกเขามาก พวกเขาเรียนรู้ที่จะเขียนและอ่านจากแม่ และหนังสือเล่มเดียวที่พวกเขาเคยเห็นคือ พระคัมภีร์ไบเบิลและพระกิตติคุณที่พ่อแม่ของพวกเขานำติดตัวไปด้วย กลุ่มนักธรณีวิทยาได้ถอยออกจากบ้านเพื่อให้ครอบครับ Lykov  มีเวลาปรับตัวเข้ากับผู้มาเยี่ยมที่ไม่คุ้นเคย เพื่อเพิ่มโอกาสเชิงบวกในการติดต่อครั้งแรก พวกเขารอให้ครอบครัว Lykovs มาหาพวกเขา ที่นั่นพวกเขาได้เรียนรู้เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของ Lykovs หญิงสาวทั้งสองพูดภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง พวกเขาเคยได้ยินแนวคิดเกี่ยวกับเมืองและประเทศต่าง ๆ ผ่านเรื่องราวที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง แต่สื่อการอ่านเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือหนังสือเกี่ยวกับศาสนาและพระคัมภีร์ เมื่อนักธรณีวิทยาคนหนึ่งเสนอขนมปัง หญิงสาวคนหนึ่งตอบว่า “เราไม่ได้รับอนุญาต” อันที่จริงเธอไม่เคยรู้หรือได้ยินเกี่ยวกับอาหารประเภทนี้มาก่อน ความบันเทิงหลักของครอบครัวคือให้ทุกคนเล่าความฝันของตน

Agafia ลูกสาวผู้เหลือรอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว Lykov

แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและโลกก็รู้จักพวกเขา แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งใหม่ ๆ เข้าสู่วิถีชีวิตของพวกเขา หลังจากการค้นพบไม่นาน Savin และ Natalia ก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการขาดอาหารที่รุนแรงของพวกเขา ในปีเดียวกันนั้นเอง Dmitriy ก็เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมหลังจากปฏิเสธที่จะรับการขนส่งทางอากาศไปยังโรงพยาบาล Karp ชายชราผู้เป็นพ่อเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในปี 1988 และในปี 2022 Agafia ลูกสาวผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว Lykov ยังคงอาศัยอยู่ตามลำพังในถิ่นทุรกันดารบนความสูง 2,000 เมตรที่ครอบครัว Lykov ได้มาตั้งรกรากตั้งแต่ปี 1936

สำรวจแสนยานุภาพทางทะเลของจีน ปี 2024 คืนชีพ ‘Liaoning’ - เครื่องบินขับไล่ พร้อมปฏิบัติการ

เรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning

‘Liaoning’ เรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีน ได้เริ่มดำเนินการทดสอบทางทะเล หลังจากใช้เวลาปรับปรุงซ่อมแซมใหม่มา 1 ปีเต็ม บรรดาผู้สังเกตการณ์ทางทหารกล่าวว่า การปรับปรุงซ่อมแซมที่ยืดเยื้อนี้ น่าจะทำให้เครื่องบินขับไล่ล่องหนรุ่นใหม่ของจีนสามารถปฏิบัติการจากเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ได้

ขณะเดียวกัน มหาอำนาจตะวันตกกำลังติดตามการพัฒนาทางทหารของจีนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมองว่า จีนเป็นภัยคุกคามต่อพลังอำนาจทางทหารของสหรัฐฯ มากที่สุด แท้จริงแล้ว มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อศักยภาพของจีน เช่น คลังอาวุธนิวเคลียร์ ประชากรที่มากที่สุดในโลก เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (ด้วยศักยภาพล่าสุดที่กำลังจะกลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) เครือข่ายที่กำลังเติบโตผ่านโครงการ Belt & Road Initiative ของเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงถึงกัน และเทคโนโลยีเครื่องบินรบยุคที่ 5 (Gen 5 Fighter)

เครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-20

จีนซึ่งมีเครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-20 มากกว่า 200 ลำ เป็นหนึ่งในสองประเทศที่มีเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ในปริมาณที่มีผลต่อพลังอำนาจทางการทหาร (อีกประเทศหนึ่งคือสหรัฐอเมริกาซึ่งส่งเครื่องบินขับไล่ F-22 และ F- 35) แม้ว่า J-20 จะเป็นจุดเด่นของฝูงบินยุคที่ 5 ของจีน แต่จีนก็กำลังทำงานอย่างแข็งขันเพื่อพัฒนาเครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ FC-31 ซึ่งมีรุ่นที่สามารถปฏิบัติการจากเรือบรรทุกเครื่องบินได้ที่เรียกว่า เครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-35

เรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning และเครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-35 (ภาพมุมบนซ้าย)

ผู้เชี่ยวชาญของจีนวิเคราะห์เกี่ยวกับการที่มีรายงานว่า สหรัฐฯ ได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปยังหน้าประตูบ้านของจีนมากขึ้น จนทำให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ต้องมีเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีขีดความสามารถมากขึ้นนั้น เพื่อสร้างสมดุลแห่งอำนาจเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ความมั่นคง และผลประโยชน์ด้านการพัฒนา ตลอดจนการปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค

เครื่องบินขับไล่หลากภารกิจแบบ J-15

ดังนั้น จึงได้มีการเปิดตัวเครื่องบินขับไล่ล่องหนรุ่นที่ 5 คือ J-35 บนหมู่เรือบรรทุกเครื่องบินของจีน โดยเฉพาะบนเรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning จะแสดงนัยสำคัญถึงขีดความสามารถการต่อสู้ที่ครอบคลุม เนื่องจากเครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-35 เป็นเครื่องบินขับไล่ขนาดกลาง โดยจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการครองความเหนือกว่าทางอากาศและเจาะแนวป้องกันศัตรู ในขณะที่เครื่องบินขับไล่หลากภารกิจแบบ J-15 จะยังคงเป็นกำลังสำคัญในการใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถในการบรรทุกอาวุธจำนวนมาก สำหรับการต่อต้านเรือและการโจมตี 

ทั้งนี้ การรวมกันของเครื่องบินขับไล่ล่องหน J-35 และเครื่องบินขับไล่หลากภารกิจแบบ J-15 จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้เป็นอย่างมาก

‘BBC’ ชี้!! ปี 66 คนไทยกว่า 10 ล้านคน แห่รักษาอาการป่วย ผลพวงจาก ‘มลพิษทางอากาศ’ ที่ลุกลามอย่างกว้างขวาง


BBC รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2566 มีคนไทย 10 ล้านคนเข้ารับการรักษาอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษ

ทางการไทยระบุในปี พ.ศ. 2566 คนไทยมากกว่า 10 ล้านคนเข้ารับการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาในขณะที่คุณภาพอากาศของประเทศไทยแย่ลง การเผาป่าและไฟป่าที่ลุกลามอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศ มักก่อให้เกิดหมอกควันพิษในช่วงต้นปี 


ต้นปี พ.ศ. 2567 มีผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลภาวะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับปีก่อน จาก 1.3 ล้านคนในช่วง 9 สัปดาห์แรกของปี พ.ศ. 2566 จำนวนผู้ที่เข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 ล้านคนในต้นปี พ.ศ. 2567 AFP รายงานว่า ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 72 ล้านคน กรณีรวมถึงผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งปอด หลอดลมอักเสบ หอบหืด และโรคหัวใจ


ประเทศไทยต้อง ‘จัดลำดับความสำคัญ... ผลกระทบของ PM2.5 ต่อสุขภาพของประชาชน’ สศช. ระบุ PM 2.5 หมายถึงระดับของอนุภาคอันตรายขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 ไมโครเมตรหรือเล็กกว่า ที่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางปอดได้ การสัมผัสกับมลพิษขนาดเล็กเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนและคันในดวงตาและผิวหนัง รวมถึงอาการไอและแน่นหน้าอก อาการเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นในผู้ที่มีภาวะหัวใจหรือปอดอยู่แล้ว


จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยบางจังหวัดได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกจากเว็บไซต์ติดตามคุณภาพอากาศ เชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง ได้รับการจัดอันดับ ‘ไม่ดีต่อสุขภาพ’ จาก Platform ติดตาม IQAir มลพิษทางอากาศของประเทศไทยเป็นปัญหาในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งโดยปกติจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเผาไร่อ้อยและนาข้าวตามฤดูกาลของเกษตรกร


เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ให้คำมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพอากาศ ฝ่ายนิติบัญญัติยังเห็นชอบร่างกฎหมายที่มุ่งแก้ไขปัญหานี้ด้วย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไทยได้ประกาศแผนการจัดเตรียมเครื่องบิน 30 ลำทั่วประเทศเพื่อทำฝนเทียมบรรเทามลพิษ ในเดือนกุมภาพันธ์ หน่วยงานภาครัฐในกรุงเทพฯ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ทำงานจากบ้านเป็นเวลาสองวัน เนื่องจากระดับมลพิษในเมืองหลวงและจังหวัดใกล้เคียงถึงระดับที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้อยู่อาศัยและกลุ่มสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยยังได้ยื่นฟ้องเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการต่อต้านมลพิษ เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 1,700 คน ได้ฟ้องร้องอดีตนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา และหน่วยงานของรัฐ 2 แห่ง ที่ไม่ใช้อำนาจลดมลพิษในภาคเหนือ ซึ่งพวกเขากล่าวว่าทำให้ชีวิตแต่ละคนสั้นลงประมาณ 5 ปี ในเดือนมกราคมปีนี้ ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งให้รัฐบาลจัดทำแผนฉุกเฉินเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศภายใน 90 วัน

เทียบ!! ‘Gaza West Bank’ VS ‘Xinjiang’ ความต่างของการปกครองระหว่าง ‘พระเดช-พระคุณ’

การปกครองในพื้นที่ซึ่งผู้ถูกปกครองส่วนใหญ่มีเชื้อชาติ ความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา ฯลฯ ที่แตกต่างไปจากการปกครองเกิดขึ้นบนโลกนี้มากมายหลายแห่ง รวมทั้งในบ้านเราเองด้วย ซึ่งการปกครองนั้นมีเพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็น สันติสุข อันจะนำไปสู่การพัฒนาและที่สุดจะนำมาซึ่งความเจริญสู่พื้นที่นั้น ๆ จึงถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่น่าเรียนรู้ บทความนี้ขอนำเรื่องราวความแตกต่างที่เกิดขึ้นและเป็นข่าวอันโด่งดังที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเปรียบเทียบระหว่าง 2 พื้นที่ได้แก่ Gaza-West Bank ซึ่งถูกควบคุมโดยอิสราเอล และ Xinjiang ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยทั้ง 2 พื้นที่สามารถหยิบยกรูปแบบการปกครองควบคุมด้วยการใช้พระเดชกับพระคุณให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน Gaza-West Bank ก็ด้วยเพราะอิสราเอลใช้อำนาจทางทหาร หรือพระเดชในการจัดการกับชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนที่อยู่ใน Gaza-West Bank กระทั่งชาว Gaza ต่างพากันเรียก Gaza บ้านของพวกเขาว่าเป็น ‘เขตกักกัน’ ที่เสมือนกับเป็น ‘เรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ด้วยจำนวนผู้คนร่วม 2 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ที่นี่ บนพื้นที่เพียง 365 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประชากรในฉนวน Gaza สองในสามอายุน้อยกว่า 25 ปี อาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ‘António Guterres’ เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เตือนว่า ฉนวน Gaza จะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ภายในปี 2020 เว้นแต่จะมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปรับปรุงบริการและโครงสร้างพื้นฐาน 

เปรียบเทียบปริมาณการใช้น้ำระหว่างชาวอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์ซึ่งต่างกันถึง 4 เท่า

ภายใต้การปิดล้อมของอิสราเอลเป็นสาเหตุในการโจมตีอิสราเอลของกลุ่ม Hamas สิ่งที่ประเทศตะวันตกปล่อยให้อิสราเอลกระทำต่อชาวปาเลสไตน์ เป็นเรื่องราวที่ไม่ปรากฏในสื่อหลักของโลกตะวันตก ไม่ว่าการปิดล้อมฉนวน Gaza การให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีไฟฟ้าใช้ได้เพียงวันละ 4 ชั่วโมง การขาดแคลนน้ำเพื่อการบริโภคอย่างหนักในฉนวน Gaza เรื่องราวการกดขี่ข่มเหงต่าง ๆ ที่กระทำโดยอิสราเอลนั้นทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือ 1.) การต่อสู้กับผู้ปิดล้อม หรือ 2.) ขอให้อิสราเอลยอมผ่อนปรนมาตรการลดการปิดล้อม และยอมปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ใช้ชีวิตอย่างอิสระเยี่ยงเสรีชนของรัฐอิสระปกติทั่วไป (https://thestatestimes.com/post/2023101017)

รถไฟความเร็วสูงใน Xinjiang

ในขณะที่สื่อหลักของโลกตะวันตกพากันประณามสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรณีของ Xinjiang ในประเด็นที่ว่า มี ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ และ ‘การบังคับใช้แรงงาน’ ใน Xinjiang โดยคำว่า ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ น่าจะถือเป็น ‘คำโกหกคำโต’  เพราะหลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดตั้งเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ซินเจียง (Xinjiang Uygur Autonomous Region) เป็นต้นมา ชาวอุยกูร์ (ซึ่งเป็นประชากรดั้งเดิมในพื้นที่) เพิ่มมากขึ้นจากกว่า 3 ล้านคนมาเป็นกว่า 12 ล้านคนในปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของประชากรชนเผ่าต่าง ๆ ในเขต Xinjiang สูงขึ้นจากเฉลี่ยราว 30 ปีในสมัยก่อนมาเป็น 75.6 ปีในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเสรีภาพในการนับถือศาสนาของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดีด้วย

เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ซินเจียง (Xinjiang Uygur Autonomous Region)

สิ่งที่เรียกว่า ‘การบังคับใช้แรงงาน’ นั้นยิ่งเป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนร้ายแรง โดยใช้คำว่า ‘การบังคับใช้แรงงาน’ เป็นข้ออ้าง ในการทำให้บริษัทต่าง ๆ ของจีนที่เข้าไปลงทุนใน Xinjiang ถูก Boycott จนไม่สามารถจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ที่ผลิตในพื้นที่ดังกล่าวได้ รัฐบาลจีนได้กล่าวว่า การพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีนทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจและวิตกกังวลในบางประเทศ จุดประสงค์ของพวกเขาในการสานต่อคำโกหกที่เกี่ยวข้องกับเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์คือ การขัดขวางการพัฒนาความเจริญของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ 

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ใน Xinjiang

ด้วยเหตุนี้การโฆษณาชวนเชื่อของสื่อตะวันตกจึงเป็นการขัดขวางการพัฒนาและการฟื้นฟูของจีนโดยรวม แต่จีนก็ยังคงมีพัฒนาความเจริญอย่างไม่หยุดยั้ง ความทันสมัยของประชากร 1.4 พันล้านคนจะเป็นความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในกระบวนการอารยธรรมของมนุษย์ การก่อตัวของตลาดขนาดใหญ่พิเศษของจีนจะมอบโอกาสการพัฒนาใหม่ ๆ ให้กับทุกประเทศ รวมทั้งช่วยให้โลกบรรลุการพัฒนาร่วมกันและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ดังที่ ‘ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง’ ได้เน้นย้ำว่ามนุษย์อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกัน และทุกประเทศในโลกต่างก็ต้องอาศัยอยู่บนเรือที่มีชะตากรรมร่วมกัน พลโลกจึงต้องก้าวข้ามความแตกต่าง โดยสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ และทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มนุษยชาติอาศัยอยู่ได้ นี่คือความรู้สึกของจีนต่อโลกใบนี้ และถือเป็นเป้าหมายทางการทูตของจีนอีกด้วย

‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ใน Gaza-West Bank มีหลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏมากมาย

เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Gaza-West Bank และ Xinjiang จึงบ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างการปกครองด้วยพระเดชกับพระคุณอย่างเป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจน วิธีการปฏิบัติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นวิธีการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับของรัฐบาลไทยในกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นการปฏิบัติต่อพลเมืองในพื้นที่ด้วยความเมตตา ความเข้าใจ ความยุติธรรม บนพื้นฐานของการมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่าง ๆ การบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมกันกับพลเมืองทั้งประเทศ ในขณะที่วิธีการปฏิบัติของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ใน Gaza-West Bank มีความชัดเจนว่า เป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏมากมาย แต่ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสื่อหลักตะวันตกกลับหลับตาเพื่อให้มองไม่เห็น และสนับสนุน ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ต่อไป โลกใบนี้ยังคงตัดสินความถูกผิดของมวลมนุษยชาติด้วยชี้นำจากการโฆษณาชวนเชื่อของชาติตะวันตกโดยสื่อหลักตะวันตกเช่นนั้นหรือ?

‘SAVAK’ ตำรวจลับของ ‘Shah แห่งอิหร่าน’ สมัยราชวงศ์ปาห์ลาวี องค์กรที่ขึ้นชื่อด้าน ‘การทรมาน’ จนทำให้ชาวอิหร่าน ‘เกลียดชัง-หวาดกลัว’

สืบเนื่องจากที่ผู้เขียนได้โพสต์เล่าเรื่องราวของงานวันชาติสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และฉลอง 400 ปี ความสัมพันธ์สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจักรไทยใน FB ดร.โญ มีเรื่องเล่า ของผู้เขียน มีผู้อ่านท่านหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นว่า ไม่เห็นด้วยกับงานวันชาติซึ่งเป็นวันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่านอีกด้วย ซึ่งผู้เขียนจึงได้อธิบายว่า “บริบทของแต่ละประเทศแตกต่างกันครับ บทบาทหน้าที่ของราชวงศ์ก็แตกต่างกันออกไปด้วย บูรพมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่ก่อร่างสร้างชาติมาร่วมพันปี กระทั่งถึงราชวงศ์จักรีสามารถครองคนและครองใจได้ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยเพราะพระราชกรณียกิจอันทรงประโยชน์มากมายมหาศาลแก่พสกนิกรทั่วหล้า เอามาเปรียบกันไม่ได้ดอกครับ ทุกวันนี้สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านยังคงยึดมั่นในสถาบันศาสนาอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ชาติไทยของเราดำรงคงอยู่ได้ด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สามสถาบันหลักอันเป็นที่เคารพรักยิ่งของคนไทยครับ”

Mohammad Reza Pahlavi (Shah of Iran)

จึงขอนำเรื่องราวสาเหตุสำคัญประการหนึ่งอันเป็นสาเหตุการล่มสลายของราชวงศ์  Pahlavi มาบอกเล่าให้ได้ทราบ ระบอบการปกครองของอิหร่านภายใต้ Mohammad Reza Pahlavi (Shah of Iran) เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งได้รับความสนับสนุนอย่างเต็มที่จากประเทศมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ได้มีการสนับสนุนต่อกษัตริย์ Reza Pahlavi มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและที่ปรึกษาทางทหาร การขายอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมากมาย อาทิ เครื่องบินขับไล่แบบ F-14 ซึ่งสหรัฐฯ ไม่เคยขายให้กับชาติใดเลย คงมีใช้แต่เพียงกองทัพเรือสหรัฐฯ และกองทัพอากาศอิหร่านเท่านั้น ภายหลังจากการรัฐประหารในอิหร่าน ปี 1953 ด้าน Mohammad Mosaddeq นายกรัฐมนตรีถูกปลดออกจากตำแหน่ง กษัตริย์ Reza Pahlavi ได้ทรงตั้งหน่วยข่าวกรองขึ้นโดยมีอำนาจเช่นเดียวกับตำรวจ เป้าหมายของ Shah คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบอบการปกครองของพระองค์ โดยการจัดวางฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองให้อยู่ภายใต้การสอดแนมและมีการปราบปรามการเคลื่อนไหวของเหล่าบรรดาผู้ที่เห็นต่างอย่างโหดเหี้ยม

นายพล Teymur Bakhtiar 

สำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) ได้ส่งพันเอกสังกัดกองทัพบกสหรัฐฯ ไปยังอิหร่านในเดือนกันยายน 1953 เพื่อทำงานร่วมกับนายพล Teymur Bakhtiar ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเตหะราน (ฝ่ายทหาร) ในเดือนธันวาคม 1953 และเริ่มรวบรวมแกนกลางขององค์กรข่าวกรองใหม่ทันที พันเอกนายดังกล่าวทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายพล Bakhtiar และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา โดยจัดระบบสั่งการสำนักงานข่าวกรองใหม่และฝึกอบรมสมาชิกเกี่ยวกับเทคนิคข่าวกรองขั้นพื้นฐาน เช่น วิธีการสอดแนมและการสอบสวน การใช้เครือข่ายข่าวกรอง และการรักษาความปลอดภัยขององค์กร องค์กรนี้เป็นหน่วยข่าวกรองที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพแห่งแรกที่ดำเนินงานในอิหร่าน ความสำเร็จหลักเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 1954 เมื่อหน่วยงานของนายพล Bakhtiar สามารถค้นพบและทำลายเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ของ Tudeh (พรรคคอมมิวนิสต์ของอิหร่าน) ที่จัดตั้งขึ้นในกองทัพอิหร่านได้สำเร็จ

พลตรี Herbert Norman Schwarzkopf

ในเดือนมีนาคม 1955 CIA ได้ส่งทีมงานซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของ CIA 5 นายมาแทนที่ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติการลับ การวิเคราะห์ข่าวกรอง และการต่อต้านข่าวกรอง รวมถึงพลตรี Herbert Norman Schwarzkopf (บิดาของพลเอก Norman Schwarzkopf Jr. ผบ.กองกำลังพันธมิตรในยุทธการพายุทะเลทราย) ที่ดำเนินการ ‘ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของ SAVAK รุ่นแรกเกือบทั้งหมด’ ในปี 1956 หน่วยงานนี้ได้รับการจัดระเบียบใหม่และตั้งชื่อว่า Sazeman-e Ettela'at va Amniyat-e Keshvar (SAVAK) การจัดการต่าง ๆ รวมทั้งการฝึกฝนอบรมถูกแทนที่ด้วยเจ้าหน้าที่ของ SAVAK เองในปี 1965 SAVAK มีอำนาจเซ็นเซอร์สื่อ คัดกรองผู้สมัครเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ และ ติดตามแหล่งข้อมูลตะวันตกที่เชื่อถือได้ โดยใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็น รวมถึงการตามล่า การทรมานเหล่าบรรดาผู้เห็นต่าง หลังปี 1963 Shah ทรงขยายหน่วยงานรักษาความมั่นคงของพระองค์ ซึ่งรวมถึง SAVAK ที่ขยายจนมีจำนวนเจ้าหน้าที่เต็มเวลามากกว่า 5,300 ราย และสายข่าวอีกเป็นจำนวนมาก (ไม่ทราบจำนวน) ในปี 1961 รัฐบาลอิหร่านได้ปลดนายพล Teymur Bakhtiar ซึ่ง ผู้อำนวยการคนแรกของหน่วยงานนี้ออก และต่อมาเขาก็กลายเป็นผู้เห็นต่างทางการเมืองของรัฐบาลอิหร่าน ในปี 1970 เจ้าหน้าที่ SAVAK ได้ลอบสังหารเขา โดยทำให้ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นเหมือนอุบัติเหตุ

นายพล Hassan Pakravan

นายพล Hassan Pakravan ผู้อำนวยการ SAVAK ตั้งแต่ปี 1961 ถึง 1966 เขามีชื่อเสียงในด้านความอ่อนโยนและมีเมตตา เช่น รับประทานอาหารร่วมกับอยาตุลลอฮ์ Khomeini เป็นประจำทุกสัปดาห์ ขณะที่โคไมนีถูกกักบริเวณในบ้าน และต่อมาได้เข้าแทรกแซงเพื่อป้องกันการประหารชีวิตของอยาตุลลอฮ์ Khomeini โดยให้เหตุผลว่า เรื่องดังกล่าวจะ ‘ทำให้ประชาชนทั่วไปของอิหร่านโกรธเคือง’ อย่างไรก็ตาม หลังการปฏิวัติอิหร่าน นายพล Pakravan กลับเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่กลุ่มแรก ๆ ของ Shah ที่ถูกรัฐบาลของอยาตุลลอฮ์ Khomeini ประหารชีวิต นายพล Pakravan ถูกแทนที่ในปี 1966 โดยนายพล Nematollah Nassiri ซึ่งเป็นนายทหารใกล้ชิดของ Shah และมีการจัดระบบใหม่และมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเมื่อเผชิญกับกลุ่มติดอาวุธฝ่ายซ้ายและกลุ่มอิสลามิสต์ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความไม่สงบทางการเมือง รวมถีงเป็นผู้จุดชนวนแงความเกลียดชังของชาวอิหร่านต่อ Shah 

นายพล Nematollah Nassiri

จุดเปลี่ยนในชื่อเสียงของ SAVAK ในด้านความโหดร้ายที่โหดเหี้ยมมีรายงานว่ามีการโจมตีที่ทำการทหารในหมู่บ้าน Siahkal แคสเปียนโดยกลุ่มมาร์กซิสต์ติดอาวุธกลุ่มเล็ก ๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ 1971 อีกทั้งมีข่าวว่า เจ้าหน้าที่ของ SAVAK ได้ทรมานจนอยาตอลเลาะห์ Muhammad Reza Sa'idi นักบวชชีอะห์จนเสียชีวิต ในปี 1970 ตามคำบอกของ Ervand Abrahamian นักประวัติศาสตร์การเมืองชาวอิหร่านซึ่งระบุว่า หลังจากการโจมตีครั้งนั้น เจ้าหน้าที่สอบสวนของ SAVAK ถูกส่งไปต่างประเทศเพื่อรับการฝึกอบรมทางวิทยาศาสตร์เพื่อป้องกันการเสียชีวิตที่ไม่พึงประสงค์จาก 'การใช้กำลังอย่างโหดเหี้ยม' ซึ่งประกอบด้วย Bastinado (การเฆี่ยนตรงฝ่าเท้า) การบังคับให้อดนอน การขังเดี่ยวอย่างยาวนาน การไฟฉายส่องนาน ๆ การยืนขาเดียวเป็นเวลาหลายชั่วโมง การถอนเล็บ งู (นิยมใช้กับผู้หญิง) การช็อตไฟฟ้าด้วยตราประทับสัตว์ (ซึ่งมักจะสอดเข้าทางทวารหนั​​ก) การจี้ด้วยบุหรี่ การนั่งบนเตาร้อน การหยดน้ำกรดเข้ารูจมูก การจับกดน้ำ การข่มขู่ทรมานต่าง ๆ และการใช้เก้าอี้ไฟฟ้าที่มีหน้ากากโลหะขนาดใหญ่เพื่อปิดเสียงกรีดร้อง (อุปกรณ์นี้เรียกว่า Apollo แคปซูลอวกาศของสหรัฐอเมริกา) นอกจากนี้ นักโทษยังถูกทำให้อับอายจากการข่มขืน การปัสสาวะรด และการถูกบังคับให้ยืนเปลือยกาย 

Bastinado (การเฆี่ยนตรงฝ่าเท้า)

แม้จะมีวิธีการ 'ทางวิทยาศาสตร์' ใหม่ แต่การทรมานที่เลือกยังคงเป็นวิธีการดั้งเดิมที่ใช้ในการตีฝ่าเท้า ‘เป้าหมายหลัก’ ของการทารุณกรรมโดยการใช้วิธี Bastinado คือ “การค้นหาคลังอาวุธ สถานที่หลบซ่อน และสอบเค้นหาผู้สมรู้ร่วมคิด” Abrahamian ประเมินว่า SAVAK (รวมถึงตำรวจและทหารหน่วยอื่น ๆ) สังหารฝ่ายต่อต้านไปราว 368 คน รวมทั้งผู้นำขององค์กรต่อต้านในเมืองใหญ่ ๆ (องค์กร Fedai Guerrillas แห่งประชาชนอิหร่าน, Mujahedin ของประชาชนแห่งอิหร่าน) เช่น Hamid Ashraf ระหว่างปี 1971–1977 และมีการประหารชีวิตนักโทษทางการเมืองมากถึง 100 คน ระหว่างปี 1971 ถึง 1979 ซึ่งเป็นยุคที่มีความรุนแรงที่สุดในระหว่างการดำรงอยู่ของ SAVAK ภายในสิ้นปี 1975 กวี นักประพันธ์ อาจารย์ ผู้กำกับละคร และผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงจำนวน 22 คน ถูกจำคุกเนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการปกครองของ Shah และอีกหลายคนถูกทำร้ายร่างกายเนื่องจากปฏิเสธที่จะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ การปราบปรามผ่อนคลายลงเนื่องจากการประชาสัมพันธ์และการตรวจสอบโดย ‘องค์กรระหว่างประเทศและหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจำนวนมาก’ และเมื่อ จิมมี คาร์เตอร์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และเขาได้หยิบยกประเด็นสิทธิมนุษยชนในรัฐจักรวรรดิแห่งอิหร่านขึ้นมา ทำให้สภาพภายในเรือนจำเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ผู้ต้องขังขนานนามสิ่งนี้ว่าเป็นรุ่งอรุณของระบอบ ‘Jimmykrasy’

ส่วนหนึ่งของภาพผู้ที่เสียชีวิตและสูญหายด้วยฝีมือเจ้าหน้าที่ของ SAVAK

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคำถามเกี่ยวกับจำนวนเจ้าหน้าที่ของ SAVAK เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันโดยนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยหลายคน เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าอิหร่านไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานลับ นักประวัติศาสตร์จำนวนมากให้ตัวเลขที่ขัดแย้งกันสำหรับจำนวนบุคลากรของ SAVAK ตั้งแต่ 6,000 ถึง 60,000 คน ในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของ Shah เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1974 Shah ตรัสว่า พระองค์เองก็เขาไม่ทราบจำนวนเจ้าหน้าที่ของ SAVAK ที่แน่นอน อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงประเมินว่า จำนวนเจ้าหน้าที่ของ SAVAK ทั้งหมดคงจะน้อยกว่า 2,000 คน สำหรับคำถามเกี่ยวกับ ‘การทรมานและความโหดร้าย’ ของ SAVAK Shah ทรงตอบว่า รายงานของหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ ‘ความเด็ดขาดและความโหดร้ายของ SAVAK’ เป็นการโกหกและการใส่ร้าย เอกสารแผ่นพับที่เผยแพร่หลังการปฏิวัติอิสลามระบุว่า มีชาวอิหร่าน 15,000 คนเป็นเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการของ SAVAK ไม่รวมถึงสายข่าวที่ไม่เป็นทางการอีกเป็นจำนวนมาก

ในช่วงที่มีอำนาจสูงสุด SAVAK มีพลังที่แทบไม่มีขีดจำกัด ดำเนินการศูนย์กักขังของตนเอง เช่น เรือนจำเอวิน นอกเหนือจากการรักษาความปลอดภัยภายในประเทศแล้ว ภารกิจของ SAVAK ยังขยายไปถึงการสอดแนมชาวอิหร่านในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะนักศึกษาที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาล นอกจากนั้นแล้ว SAVAK ยังร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ CIA โดยส่งสายลับไปยังนครนิวยอร์กเพื่อแบ่งปันและหารือเกี่ยวกับกลวิธีในการสอบสวน นิตยสารไทม์เขียนในช่วงเวลาแห่งการโค่นล้มพระเจ้าชาห์เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1979 โดยบรรยายถึง SAVAK ว่าเป็น ‘หน่วยงานที่ชาวอิหร่านทั้งเกลียดชังและหวาดกลัวที่สุดมายาวนาน’ ซึ่ง ‘ได้’ ทำการทรมานและสังหารศัตรูของ Shah ไปหลายพันคน นักวิทยาศาสตร์อเมริกันยังพบว่ามีความผิดฐาน ‘ทรมานและประหารชีวิตนักโทษการเมืองหลายพันคน’ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘การปกครองของ Shah ระหว่างปี 1963-79’ รายการวิธีการทรมาน SAVAK  ได้แก่ ‘การช็อตไฟฟ้า การเฆี่ยนตี การทุบตี การเหยียบแก้วที่แตก และการเทน้ำเดือดลงในทวารหนัก การมัดตุ้มน้ำหนักไว้ที่ลูกอัณฑะ และการถอนฟันและถอดเล็บ’

พิพิธภัณฑ์ ‘Ebrat’ ในอดีตเรือนจำ Towhid ใจกลางกรุงเตหะราน
เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเอกสารและเรื่องราวความโหดร้ายของ SAVAK

SAVAK ถูกปิดตัวลงไม่นานก่อนการโค่นล้ม Shah และการขึ้นสู่อำนาจของอยาตุลลอฮ์ Ruhollah Khomeini ในการปฏิวัติอิหร่านเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1979 หลังจากการจากไปของ Shah ในเดือนมกราคม 1979 เจ้าหน้าที่ส่วนกลางและสายข่าวกว่า 3,000 คนของ SAVAK ตกเป็นเป้าหมายของการแก้แค้น อย่างไรก็ตาม Hossein Fardoust อดีตเพื่อนร่วมชั้นวันเด็กของ Shah ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการของ SAVAK จนกระทั่งเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ตรวจราชการของจักรวรรดิอิหร่าน หรือที่รู้จักในชื่อหน่วยข่าวกรองพิเศษ เพื่อตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง รวมถึงผู้อำนวยการของ SAVAK แต่ต่อมา Fardoust ได้เปลี่ยนข้างระหว่างการปฏิวัติและสามารถรักษาเจ้าหน้าที่ของ SAVAK จำนวนมากไว้ได้ ตามคำกล่าวของ Charles Kurzman นักเขียนซึ่งระบุ SAVAK ไม่เคยถูกปิด เพียงแค่เปลี่ยนชื่อและผู้นำ และดำเนินการต่อด้วยหลักปฏิบัติเดิม และมี ‘เจ้าหน้าที่’ ที่ปฏิบัติงานเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง SAVAK ถูกแทนที่ด้วย ‘ที่ใหญ่กว่ามาก’ SAVAMA (Sazman-e Ettela'at va Amniat-e Melli-e Iran) หรือที่รู้จักในชื่อว่ากระทรวงข่าวกรองและความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่าน ภายหลังการปฏิวัติอิหร่าน มีการเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งขึ้นในอดีตเรือนจำ Towhid ใจกลางกรุงเตหะรานที่เรียกว่า ‘Ebrat’ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเอกสารและเรื่องราวความโหดร้ายของ SAVAK แน่นอนว่า ไม่มีสถาบันหลักใด ๆ ในโลกนี้จะสามารถดำรงคงอยู่ได้โดยปราศจากความรัก ความศรัทธา ของประชาชนคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น ๆ ซึ่งเกิดจากความวิริยะ อุตสาหะ ความเมตตากรุณา ของสมาชิกในสถาบันหลักนั้น ๆ และกลายเป็นพลังแห่งความจงรักภักดีที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นในบ้านเมืองของเราอยู่เสมอมาและจะดำรงคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป 

รู้จัก ‘Fu-Go balloon bomb’ อาวุธลับ ‘กองทัพญี่ปุ่น’ ในสงครามโลกครั้งที่ 2

เคยเล่าถึงเรื่องของ ‘ภัยความมั่นคง ‘สหรัฐฯ’ ชิงลงมือ สอย ‘บอลลูนจีน’ ร่วงนอกชายฝั่ง หวั่นซ้ำรอย ‘Fu-Go’ บอลลูนมหาภัย เมื่อ 78 ปีก่อน (https://thestatestimes.com/post/2023021803)’ แต่ยังไม่ได้เล่าเรื่องของ Fu-Go บอลลูนมหาภัย ซึ่งเป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่กองทัพญี่ปุ่นนำมาใช้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หากย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 13 เมื่อพายุไซโคลนสองระลอกพัดเข้าโจมตีกองเรือของผู้รุกรานชาวมองโกลนำโดยกุบไลข่าน ด้วยชาวญี่ปุ่นเชื่อมานานแล้วว่า เทพเจ้าได้ส่ง ‘ลมแห่งสวรรค์’ ที่เรียกว่า ‘กามิกาเซ’ เพื่อปกป้องพวกเขา

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นเชื่อว่า ลมจะสามารถช่วยพวกเขาชนะสงครามได้อีกครั้ง ด้วยนักวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นค้นพบว่า กระแสอากาศทางทิศตะวันตกบนความสูง 30,000 ฟุต ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ‘กระแสอากาศ Jet’ สามารถขนส่งบอลลูนที่เติมไฮโดรเจนไปถึงทวีปอเมริกาเหนือได้ในเวลา 3-4 วัน (ใช้เวลาประมาณ 70 ชั่วโมงในการข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก) ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นจึงใช้เวลา 2 ปี ผลิตบอลลูนหลายพันลูกด้วยหนังที่มีน้ำหนักเบาแต่ทนทาน และกระดาษที่ทำจากต้นหม่อนซึ่งถูกเย็บเข้าด้วยกันจากฝีมือของเด็กนักเรียนหญิงที่ถูกเกณฑ์โดยให้ทำงานไม่สนใจถึงวัตถุประสงค์ที่เลวร้ายของกองทัพ ใช้เชือกยาว 40 ฟุตติดกับบอลลูนผูกอุปกรณ์ทางการทหาร ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์จุดระเบิดและระเบิดแรงสูงขนาด 30 ปอนด์เพื่อปล่อยลงเหนือทวีปอเมริกาเหนือ และสามารถทำให้เกิดไฟป่าครั้งใหญ่เพื่อทำให้เกิดความตื่นตระหนก และอาจทำให้เกิดความขาดแคลนทรัพยากรที่จะนำไปใช้ในสงคราม เมื่อระเบิดหรือไฟไหม้แล้ว อุปกรณ์จุดระเบิดจะทำลายตัวเอง โดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ 

ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 1944 ถึงเดือนเมษายน 1945 กองทัพญี่ปุ่นได้เปิดตัวอาวุธที่ไร้คนควบคุมมากกว่า 9,000 ลูกในปฏิบัติการที่มีชื่อรหัสว่า ‘Fu-Go’ บอลลูนส่วนใหญ่ตกลงไปในมหาสมุทรแปซิฟิกโดยไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่ฝ่ายใด แต่มีบอลลูนทรงกลมสีขาวรูปทรงทันสมัยกว่า 300 ลูกที่สามารถข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปได้กว่า 5,000 ไมล์ และพบว่า ล่องลอยบนท้องฟ้าทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตั้งแต่เมืองโฮลีครอส มลรัฐ Alaska ไปจนถึงเมืองโนกาเลส มลรัฐ Arizona และไกลออกไปทางตะวันออกอย่างเมืองแกรนด์แรพิดส์ มลรัฐ Michigan ในเดือนมีนาคม 1945 บอลลูนลูกหนึ่งชนเข้ากับสายไฟแรงสูงและทำให้ไฟฟ้าดับชั่วคราวที่โรงงานแฮนฟอร์ด มลรัฐวอชิงตัน ซึ่งกำลังผลิตพลูโตเนียมที่จะใช้ในการสร้างระเบิดปรมาณูซึ่งจะทิ้งที่เมืองนางาซากิในอีกห้าเดือนต่อมา อย่างไรก็ตามไม่มีบอลลูนลูกใดที่ทำให้เกิดอัตรายใด ๆ จนกระทั่งกลุ่มสมาชิกคริสตจักรของ สาธุคุณ Archie Mitchel ไปเจอซากบอลลูนลูกหนึ่งบนภูเขา Gearhart เข้า 

สำหรับสาธุคุณ Archie Mitchell ฤดูใบไม้ผลิปี 1945 เป็นฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแต่สาธุคุณและ Elsie ภรรยาของเขาเท่านั้นที่เฝ้ารอลูกคนแรกของพวกเขา แต่เขายังยอมรับตำแหน่งใหม่ในฐานะศิษยาภิบาลของคริสตจักรพันธมิตรคริสเตียนและมิชชันนารีในเมือง ที่อุดมไปด้วยป่าไม้อันเงียบสงบของเมือง Bly มลรัฐ Oregon เพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น สาธุคุณ Mitchell จึงชวนเด็ก ๆ ห้าคนจากชั้นเรียนในโรงเรียนวันอาทิตย์ของพวกเขา เด็กทุกคนอายุระหว่าง 11 ถึง 14 ปี มาปิกนิกท่ามกลางลำธารที่ไหลแรงจนเต็มไปด้วยฟอง และต้นสน Ponderosa บนภูเขา Gearhart ทางตะวันออกเฉียงเหนือสิบสามไมล์หรือประมาณหกสิบไมล์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Klamath Falls ที่อยู่ใกล้ ๆ 

วันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม 5 พฤษภาคม 1945 หลังจากขับตัดเข้าถนนลูกรังหนึ่งเลน สาธุคุณ Mitchell ก็จอดรถเก๋งของเขาและเริ่มขนตะกร้าปิกนิกและคันเบ็ด ขณะที่ Elsie ผู้ภรรยากำลังท้องได้ห้าเดือน และเด็ก ๆ ก็เริ่มสำรวจเนินเขาที่ลาดลงไปยังลำห้วยใกล้ ๆ เมื่อ Joan Patzke วัย 13 ปี พบผ้าใบสีขาวแปลก ๆ บนพื้นป่า เด็กสาวซึ่งอยากรู้อยากเห็นได้บอกกับคนอื่น ๆ ในกลุ่ม "ดูสิว่า เราเจออะไร" ขณะที่ Elsie เรียกสามีกลับมาที่รถ "ดูเหมือนบอลลูนบางชนิด" ศิษยาภิบาลมองไปยังกลุ่มเด็ก ๆ ที่ยืนเป็นวงกลมรอบ ๆ จุดแปลก ๆ ที่อยู่ห่างออกไป 50 หลา ในขณะที่เด็กคนหนึ่งเอื้อมมือไปแตะมัน สาธุคุณก็เริ่มตะโกนเตือน แต่ไม่มีโอกาสพูดให้จบก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ เมื่อสาธุคุณวิ่งไปถึงที่นั่น พบพวกเขาตายหมดแล้ว "

การระเบิดครั้งใหญ่บนภูเขาที่เคยเงียบสงบ ทำให้ Elsie รวมถึงทารกในครรภ์และเด็กทั้งห้าถูกระเบิดเสียชีวิตเกือบจะในทันที ผู้ที่เสียชีวิตได้แก่  Elsie Mitchel อายุ, 26 ปี, Dick Patzke อายุ 14 ปี, Jay Gifford อายุ 13 ปี, Edward Engen อายุ 13 ปี, Joan Patzke อายุ 13 ปี และ Sherman Shoemaker อายุ 11 ปี รวม 6 คน เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในบริเวณใกล้เคียงมาถึงที่เกิดเหตุ เขาพบเหยื่อที่ถูกไฟลุกไหม้ราวกับปากปล่องภูเขาไฟที่ระอุ และสาธุคุณวัย 26 ปีก็พยายามตบไฟที่ไหม้บนชุดของภรรยาเขาด้วยมือเปล่าการระเบิดทำให้เกิดหลุมลึก 3 ฟุตกว้าง 3 ฟุต พบชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดกระจายรัศมี 400 ฟุตจากจุดระเบิด 

โดยอ้างถึงความจำเป็นในการป้องกันความตื่นตระหนก และหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลบอกตำแหน่งที่อาจทำให้ฝ่ายศัตรูสามารถกำหนดเป้าหมายได้ จึงมีการเซ็นเซอร์รายงานข่าวดังกล่าวโดยกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับเรื่องการระเบิดบอลลูนของญี่ปุ่น แม้ว่าคนในพื้นที่เมือง Bly หลายคนจะทราบความจริง แต่พวกเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งทางทหารอย่างไม่เต็มใจ และใช้รหัสแห่งความเงียบในโศกนาฏกรรม ดังที่สื่อรายงานว่า เหยื่อเสียชีวิตจาก "การระเบิดโดยไม่ระบุแหล่งที่มา" อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 1945 รัฐบาลได้ตัดสินใจโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน จึงยอมเปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงของการระเบิดและเตือนชาวอเมริกันให้ระวังบอลลูนสีขาวลักษณะแปลก ๆ ที่พวกเขาอาจพบ

ท้ายที่สุด Fu-Go ก็กลายเป็นความล้มเหลวทางทหารของกองทัพญี่ปุ่น เพราะมีบอลลูนเพียงไม่กี่ลูกก็มาถึงเป้าหมาย และกระแสอากาศ Jet มีพลังเพียงพอในฤดูหนาวเท่านั้น เมื่อสภาพหิมะและความชื้นของป่าในอเมริกาเหนือเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของอุปกรณ์การจุดระเบิด เกิดการบาดเจ็บล้มตายเพียงครั้งเดียวคือการระเบิดจนมีการเสียชีวิตของเด็กบริสุทธิ์ 5 คนและหญิงตั้งครรภ์อีกหนึ่ง ซึ่งเป็นการเสียชีวิตครั้งแรกและครั้งเดียวในทวีปอเมริกา อันเนื่องจากการกระทำของศัตรูในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามบอลลูนระเบิดมีส่วนในการกำหนดอนาคตของสงคราม ในหนังสือ ‘Fu-Go: The Curious History of Japan's Balloon Bomb Attack on America’ Ross Coen ผู้เขียน เรียกอาวุธดังกล่าวว่า ‘ขีปนาวุธข้ามทวีปแบบแรกของโลก’ และการส่งความตายด้วยบอลลูนไร้ตนบังคับได้รับการขนานนามว่า ‘โดรนแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2’ 70 ปีต่อมา บอลลูนระเบิดที่อาจเป็นอันตรายหลายร้อยลูกอาจยังคงตกค้างอยู่ในสถานที่ห่างไกลและทุรกันดารของตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017 คนตัดไม้สองคนในเมือง Lumby รัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดาก็พบเศษของบอลลูนระเบิดซึ่งต่อมาได้ถูกทำลายด้วยการระเบิดของเจ้าหน้าที่ EOD ก่อนที่มันจะทำให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมซ้ำกับเมื่อ 70 ปีก่อนอีกครั้งหนึ่ง

ระหว่างสงครามเย็น ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้พัฒนาระเบิดบอลลูน E77 โดยใช้แนวคิดของบอลลูน Fu-Go บอลลูนนี้มีไว้เพื่อสลายสารต่อต้านพืช (สารจำพวกฝนเหลือง) อย่างไรก็ตามไม่มีการใช้ในการดำเนินการ โปรแกรม WS-124A Flying Cloud ใน 1954-1955 ได้ทดสอบบอลลูนในระดับความสูงมาก ๆ เพื่อปล่อยอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง แต่พบว่าไม่สามารถทำได้ เพราะขาดความแม่นยำ 

การใช้งานปัจจุบัน ในฉนวนกาซา นักรบปาเลสไตน์ได้ใช้บอลลูนที่มีวัสดุไวไฟ ปล่อยจากเขต Bureij ในฉนวนกาซา นับตั้งแต่การเริ่มต้นของการประท้วงบริเวณชายแดนฉนวนกาซาในปี 2018 ชาวปาเลสไตน์ได้เริ่มจากการใช้ว่าวก่อความไม่สงบต่ออิสราเอลในรูปแบบของการใช้บอลลูนก่อกวน ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2018 บอลลูนที่ใช้ก่อความไม่สงบเติมด้วยก๊าซฮีเลียมถูกนำมาใช้ร่วมกับว่าว ลูกโป่งกาซานถูกประดิษฐ์ขึ้นจากลูกโป่งปาร์ตี้ที่บรรจุฮีเลียมหรือถุงยางอนามัยที่ร้อยเข้าด้วยกัน โดยมีเศษผ้าไฟเป็นอุปกรณ์ก่อความไม่สงบอื่น ๆ หรือมีวัตถุระเบิดที่พันอยู่ด้านล่าง ลมที่พัดเข้ามาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำให้บอลลูนจากฉนวนกาซาเข้าสู่อิสราเอล ตามรายงานใน Ynet เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2018 ว่าวและบอลลูนทำให้เกิดไฟไหม้ 678 ครั้งในอิสราเอล เผาป่าไม้ 910 เฮกตาร์ (2,260 เอเคอร์) พืชผลทางการเกษตร 610 เฮกตาร์ (1,500 เอเคอร์) และทุ่งโล่ง บอลลูนบางลูกตกลงในเขตภูมิภาคเอชคอล และเขตภูมิภาคซดอตเนเกฟ แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และมีบอลลูนจำนวนหนึ่งสามารถลอยไปไกลถึงเขต Beersheba ซึ่งอยู่ห่างจากฉนวนกาซาประมาณ 40 กิโลเมตร (25 ไมล์)

‘สถานทูตอิหร่านประจำประเทศไทย’ จัดงาน ‘วันชาติอิหร่าน’ เฉลิมฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ฯพณฯ Seyed Reza Nobakhti เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทยได้จัดงานวันชาติสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และฉลอง 400 ปี ความสัมพันธ์สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจักรไทย ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ

รัฐพิธีเริ่มต้นด้วยเพลงชาติของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และเพลงสรรเสริญพระบารมี คำปราศรัยเนื่องในโอกาสวันชาติสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และฉลอง 400 ปี ความสัมพันธ์สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจักรไทย โดย ฯพณฯ Seyed Reza Nobakhti และนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาไทยและประธานสภาผู้แทนราษฎร

ฯพณฯ Seyed Reza Nobakhti ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอิหร่านว่า “ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและแน่นแฟ้นมากว่า 400 ปี โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีความร่วมมือหลายด้านร่วมกันทั้ง ด้านแรงงาน อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การค้า เศรษฐกิจ และ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม และสืบเนื่องจากเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นายอาลี บาเกรี คานี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศของอิหร่านเดินทางเยือนประเทศไทย ก็ได้มีการหารือร่วมกับตัวแทนจากฝั่งไทยและเป็นที่คาดหวังว่าในอนาคตไทยและอิหร่านจะมีความร่วมมือในอีกหลากหลายมิติมากขึ้นกว่าเดิมด้วย”

ในโอกาสนี้ ฯพณฯ Seyed Reza Nobakhti ได้กรุณาให้เกียรติเชิญ ผู้บริหาร บรรณาธิการ และ ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล นักเขียน สำนักข่าว THE STATES TIMES ด้วย 

โดย ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล ได้เป็นผู้แทนของสำนักข่าว THE STATES TIMES เข้าร่วมรัฐพิธีครั้งนี้ ในวาระนี้สำนักข่าว THE STATES TIMES ขอแสดงความยินดีและขอส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชนแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านขอองค์อัลเลาะห์ (ซบ.) ได้ทรงบันดาลความสันติสุขและความเจริญก้าวหน้าแก่สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ขอให้ความสัมพันธ์สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจักรไทยยั่งยืนตลอดไป

พันตรี ‘Deeksha C. Mududevan’ นายทหารหญิงสุดแกร่ง ฝ่าฟันอุปสรรค กลายเป็น ‘นักรบพิเศษหญิง’ คนแรกแห่งกองทัพบกอินเดีย

การเป็นทหารหญิงในกองทัพอินเดียถือเป็นความยากลำบากมากมายแล้ว แต่การสมัครเข้ารับการทดสอบเพื่อคัดเลือกเข้าฝึกในหลักสูตรนักรบพิเศษ (Balidan) ของกองทัพบกอินเดียถือเป็นความยากลำบากที่มากกว่าปกติธรรมดามากมายหลายเท่า เมื่อภาพของพันตรี ‘Deeksha’ นายทหารหญิงแห่งกองทัพบกอินเดียประดับเครื่องหมาย Balidan อันทรงเกียรติในระหว่างขบวนพาเหรดวันสาธารณรัฐปี 2024 เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตจึงเป็นที่ฮือฮาในสังคมอินเดียเป็นอันมาก เพราะเกียรติยศที่หาได้ยากนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความทุ่มเทและการทำงานหนักของเธอในกองทัพ อันแสดงถึงความสามารถ ความเข้มแข็ง และความอดทนเพื่อให้การผ่านการคัดเลือกและฝึกฝนอันโหดทรหดที่สุดของกองทัพบกอินเดียเพื่อที่จะเป็น ‘นักรบพิเศษ’ 

เรื่องราวของพันตรี Deeksha เป็นมากกว่าความสำเร็จของเธอ ด้วยความปรารถนาของเธอที่จะมุ่งมั่นที่จะตอบแทนประเทศชาติ ภาพของเธอที่เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตกลายเป็นแรงจูงใจและกระตุ้นให้ชาวอินเดียในการเข้าร่วมกับกองทัพเป็นจำนวนมาก ผู้พวกเขาประกอบอาชีพในกองทัพ ทั้งนี้ พันตรี Deeksha มาจากเมือง Davangere รัฐ Karnataka เริ่มต้นจากการฝึกฝนอบรมใน National Cadet Corps (NCC) เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรขั้นพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ (MOBC) ที่ Army Medical Corps Center ในเมืองลัคเนา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทหารอันน่าทึ่งของเธอ ต่อมาเข้าฝึกฝนอบรมในหลักสูตร CDS Exam OTA Online Coaching ในฐานะเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในกองทัพบกอินเดีย 

ในที่สุดร้อยเอก Deeksha (ยศขณะนั้น) ก็ได้ประจำการในกองพันทหารพลร่ม (กองกำลังรบพิเศษ) บทบาทของเธอมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอได้ฝึกฝนร่วมกับกองกำลังรบพิเศษ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติการพิเศษ ความท้าทายหลักประการแรกของร้อยเอก Deeksha คือความพยายามของเธอในการเข้าร่วมกรมทหารพลร่ม แม้ว่าในตอนแรกจะถูกปฏิเสธสองครั้งเนื่องจากข้อจำกัดทางกายภาพและการบาดเจ็บระหว่างความพยายามในครั้งที่สอง แต่ความมุ่งมั่นของเธอก็ไม่เคยสั่นคลอน ด้วยแรงบันดาลใจจากผู้บังคับบัญชาของเธอ พันเอก Shivesh Singh ทำให้เธออดทนอย่างหนัก และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของหน่วยพลร่ม และต่อมาเป็นกองกำลังพิเศษในเดือนธันวาคม 2022 หลังจากได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลสนาม 303 ในเมือง Tangtse ของเขต Leh

พิธีมอบรางวัล Best in Physical training 
(หลักสูตรขั้นพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ MOBC)

ร้อยเอก Deeksha ต้องเผชิญและเอาชนะอุปสรรคมากมาย ความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอเป็นข้อพิสูจน์ถึงลักษณะนิสัยและความทุ่มเทของเธอในการรับใช้ประเทศชาติ ในความสำเร็จอันน่าทึ่งของเธอ ผู้ที่สนับสนุนและให้คำปรึกษาของเธอเป็นพิเศษคือ พันเอก Bindu Nair ซึ่งมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของเธอ เนื่องจากการชี้แนะและการสนับสนุนของเขาทำให้เธอได้รับรางวัล Best in Physical training (หลักสูตรขั้นพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ MOBC) 

เรื่องราวของพันตรี Deeksha เป็นมากกว่าความสำเร็จของเธอ ด้วยปณิธานของเธอที่จะเข้าร่วมกองทัพอินเดียและรับใช้ชาติ เครื่องหมาย Balidan ที่เธอประดับไม่ได้เป็นเพียงความสำเร็จส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของเธอและความเป็นไปได้ที่รออยู่ข้างหน้าสำหรับสตรีในกองทัพอินเดีย เมื่อเรื่องราวของเธอแพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต พันตรี Deeksha จึงถือเป็นแบบอย่างของสตรีอินเดียที่ทรงพลัง โดยแสดงให้เห็นว่าด้วยความอุตสาหะและความทุ่มเทของเธอ จนสามารถทำลายอุปสรรคและบรรลุสิ่งพิเศษได้ และได้รับการเลื่อนยศเป็นพันตรี และความสำเร็จของเธอในการประดับเครื่องหมาย Balidan ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวอินเดียทุกคนที่มีความปรารถนาที่จะรับใช้ประเทศชาติอีกด้วย

โดยเครื่องหมาย Balidan ถือเป็นเครื่องหมายประดับที่มีเกียรติและมีความโดดเด่นสูงสุดของกองทัพอินเดีย โดยเฉพาะในกองกำลังพิเศษของกรมทหารพลร่ม เครื่องหมาย Balidan ถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญในฐานะสัญลักษณ์แห่งความเสียสละขั้นสูงสุดและความกล้าหาญที่ปราศจากความย่อท้อ ต้นกำเนิดของเครื่องหมาย Balidan สามารถสืบย้อนไปถึงกองกำลังพิเศษชั้นยอดของกองทัพอินเดียที่รู้จักในชื่อ Parachute Regiment (กรมทหารพลร่ม) ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม การเคลื่อนกำลังที่รวดเร็ว และความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ แนวคิดเบื้องหลังเครื่องหมาย Balidan เกิดขึ้นเพื่อเป็นการให้เกียรติและยกย่องความเสียสละอันสูงสุดของทหารแห่งกองทัพอินเดียในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคำว่า ‘Balidan’ มาจากภาษาสันสกฤต โดย ‘Bali’ หมายถึงการเสียสละ และ ‘Dan’ หมายถึงเครื่องบูชา ดังนั้น เครื่องหมาย Balidan จึงสื่อถึงการกระทำอย่างไม่เห็นแก่ตัวในการสละชีวิตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ แสดงถึงความกล้าหาญ และการอุทิศตนของทหารที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องอธิปไตยของอินเดีย การออกแบบและรูปลักษณ์ เครื่องหมาย Balidan ประกอบด้วยกริชคอมมานโดชี้ลง พร้อมด้วยปีกที่ยื่นขึ้นไปจากใบมีด นอกจากนี้ยังมีม้วนหนังสือวางทับอยู่บนใบมีด โดยแสดงคำจารึกว่า ‘Balidan’ ด้วยอักษรเทวนาครี

เครื่องหมาย Balidan ถือเป็นเครื่องหมายเกียรติยศสูงสุดของกองทัพอินเดีย ซึ่งสวมใส่โดยสมาชิกของกองกำลังพิเศษของกรมทหารพลร่มเท่านั้น ทหารพลร่มอินเดียทั้งหมดเป็นอาสาสมัคร โดยบางคนเข้าร่วมกับกรมทหารพลร่มโดยตรงหลังจากการสมัคร ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนย้ายจากหน่วยอื่น ๆ ทั่วไป ในการเป็นสมาชิกกองกำลังพิเศษ จะต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด ในขั้นต้นทุกคนจะต้องมีคุณสมบัติเป็นพลร่มก่อนจึงจะสามารถเลือกเข้าสู่การคัดเลือกเป็นสมาชิกของกองกำลังพิเศษได้ การคัดเลือกจะดำเนินการปีละสองครั้งในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง และมีชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในการฝึกอบรมที่ท้าทายและยาวนานที่สุดในโลก ซึ่งผู้สมัครจะต้องอดนอน อดทนต่อ ความอัปยศอดสู ความเหนื่อยล้า และความท้าทายที่รุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีการรายงานการเสียชีวิตในระหว่างกระบวนการคัดเลือกและอัตราการลาออกสูงมาก โดยการคัดเลือกจะไม่เกิน 10% ของผู้สมัคร แม้ว่าจะผ่านกระบวนการคัดเลือกได้สำเร็จ แค่พวกเขาจะยังไม่ถือว่าเป็นสมาชิกกองกำลังพิเศษ กว่าพวกเขาจะสำเร็จ ‘หลักสูตร Balidan’ ระยะเวลาหนึ่งปี หากสามารถฝึกฝนจนผ่านพ้นจากช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ พวกเขาจะได้รับเครื่องหมาย Balidan และได้รับแต่งตั้งเข้าสู่กรมทหารพลร่มอย่างเป็นทางการ 

การประดับเครื่องหมาย Balidan เป็นข้อพิสูจน์ถึงความกล้าหาญที่ไม่ธรรมดาและความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของเหล่าทหาร และทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงการเสียสละของพวกเขา ทั้งยังเป็นวิธีในการทำให้ความทรงจำของพวกเขาคงอยู่ตลอดไป โดยทั่วไปตราจะติดไว้ที่กระเป๋าหน้าอกด้านขวาของเครื่องแบบ ใกล้กับหัวใจ ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อมโยงชั่วนิรันดร์ระหว่างชาติและทหารพลร่ม อีกทั้ง เครื่องหมาย Balidan มีความสำคัญต่อความรู้สึกสำหรับครอบครัวของหน่วยรบพิเศษเป็นอย่างมาก ด้วยเครื่องหมาย Balidan ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจและการปลอบโยน โดยเป็นสัญลักษณ์ที่จับต้องได้เพื่อเป็นเกียรติแก่การเสียสละของผู้เป็นที่รัก และเครื่องหมาย Balidan แสดงถึงความกตัญญูของประเทศชาติและเป็นสิ่งเตือนใจอยู่เสมอว่าหน้าที่และความเสียสละของพวกเขาจะไม่มีวันลืม เครื่องหมาย Balidan สัญลักษณ์แห่งความเสียสละ ความกล้าหาญ และการอุทิศตนที่ยั่งยืนในกองทัพอินเดีย เป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณอันเสียสละของทหารที่พร้อมเสียสละเพื่อชาติอย่างสูงสุด ด้วยการให้เกียรติในความทรงจำและรับทราบถึงความกล้าหาญของพวกเขา เครื่องหมาย Balidan จะรับประกันว่า มรดกของพวกเขาจะคงอยู่ต่อไป โดยสร้างแรงบันดาลใจให้กับทหารรุ่นต่อ ๆ ในการรับใช้ประเทศชาติด้วยเกียรติยศและความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแน่วแน่

สำหรับบ้านเราแล้ว พลร่มหญิงรุ่นแรกถือกำเนิดในปี พ.ศ. 2507 ครบ 60 ปีพอดี โดยสังกัดศูนย์สงครามพิเศษหรือหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษในปัจจุบัน ทุกวันนี้นักรบหญิงไทยสังกัดกองกำลังทหารพรานแห่งกองทัพบกและกองกำลังทหารพรานนาวิกโยธินแห่งกองทัพเรือได้ปฏิบัติหน้าที่เยี่ยงนักรบชายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้และพื้นที่ชายแดนทั่วประเทศไทย น่าเสียดายที่เหล่าทัพต่าง ๆ ห่วงใยนักรบหญิงมากจนเกินไป ทำให้ทหารหญิงของไทยส่วนใหญ่แล้วได้ปฏิบัติหน้าที่เพียงแต่งานธุรการและสนับสนุนการรบ อาทิ แพทย์ พยาบาล ในโลกยุคปัจจุบันเหล่าทัพต่าง ๆ ของไทยควรที่จะได้เปลี่ยนวิธีคิด โดยสนับสนุนให้ทหารหญิงมีบทบาทหน้าที่ในภารกิจหลักของกองทัพให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความทัดเทียมและความเสมอภาคเฉกเช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศ อันจะเป็นการสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้กับหญิงไทยและสังคมไทยในภาพรวมต่อไป

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

ทหารหญิงอิสราเอลเชื้อสายจีนถูกเพื่อนทหารข่มขืน ข่าวที่ไม่ปรากฏในบรรดาสื่อที่สนับสนุนอิสราเอล

ทหารหญิงอิสราเอลที่เกิดในจีนถูกเพื่อนทหารข่มขืน ข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนทหารหญิงอิสราเอลที่มีเชื้อสายจีนโดยเพื่อนทหารของเธอระหว่างที่เธอมีส่วนร่วมในการสู้รบในฉนวนกาซาได้แพร่สะพัดใน Social media ระบุว่า ‘Abigail Weinberg’ ทหารหญิงอิสราเอลซึ่งอพยพมาจากประเทศจีน และเข้าร่วมในกองทัพอิสราเอล ในระหว่างที่เธอมีส่วนร่วมในการสู้รบในฉนวนกาซา เธอถูกเพื่อนทหารข่มขืน 

‘Watan’ หรือ เว็บไซต์ข่าวรายวันของอียิปต์ ได้ติดตามคดีนี้ที่เผยแพร่บน Social media และพบบทความที่ตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ภาษาฮีบรู ‘Yedioth Ahronoth’ เมื่อเดือนกันยายน 2023 ได้เล่าเกี่ยวกับทหารหญิงเชื้อสายจีนในกองทัพอิสราเอล โดยระบุว่าเธอชื่อ ‘Abigail Weinberg’ บทความในหนังสือพิมพ์กล่าวถึงว่า ‘Abigail Weinberg’ อพยพมาจากจีนมายังอิสราเอลตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก และตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพอิสราเอล โดยปัจจุบันเธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานในกองพลทหารปืนใหญ่ที่ 215 และหน่วยของเธอได้ปฏิบัติการในที่ราบสูงโกลาน

ข่าวการข่มขืน Abigail ถูกเผยแพร่โดย Israeli Broadcasting Corporation กล่าวถึงการจับกุมและดำเนินคดีทหารจากกองกำลังสำรองของอิสราเอลในข้อหาข่มขืนเพื่อนร่วมงาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการร่วมกับเขาในฉนวนกาซา รายงานเสริมว่าคำฟ้องของทหารรายนี้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนดึกของช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของสงครามอิสราเอลในฉนวนกาซา เนื้อข่าวยังเปิดเผยว่าสารวัตรทหารอิสราเอลจับกุมทหารรายดังกล่าวในข้อหาข่มขืนเพื่อนร่วมงานระหว่างปฏิบัติการทางทหาร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top