Monday, 29 April 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

'สส.หญิงอิสราเอล' เรียกร้องให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ถล่มฉนวน Gaza หวังให้กลายเป็น 'วันโลกาวินาศ' (Doomsday) ของชาวปาเลสไตน์

เฮลิคอปเตอร์ AH-64 Apache ของอิสราเอลโจมตีกลุ่ม Hamas ด้วยปืนใหญ่อัตโนมัติ และ ขีปนาวุธ Hellfire

Revital 'Tally' Gotliv ทนายความชาวอิสราเอลและสมาชิกสภา Knesset สังกัดพรรค Likud ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ได้เรียกร้องให้กองทัพอิสราเอลใช้อาวุธนิวเคลียร์ เพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่ม Hamas โดยได้ตีพิมพ์โพสต์หลายโพสต์ที่สนับสนุนการตอบโต้อย่างแข็งขันภายหลังเหตุโจมตีฉนวน Gaza อย่างไม่คาดคิดเมื่อวันเสาร์ด้วยน้ำมือของกลุ่ม Hamas ซึ่งเป็นองค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวปาเลสไตน์ที่สหรัฐอเมริการะบุว่า 'เป็นองค์กรก่อการร้าย'

มีรายงานว่าชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์มากกว่า 1,600 คนถูกสังหารนับตั้งแต่กลุ่ม Hamas เปิดการโจมตี ตามรายงานของ Associated Press และอีกหลายพันคนได้รับบาดเจ็บ มีรายงานว่ากลุ่ม Hamas ได้จับตัวประกันไปจำนวนหนึ่งแล้วในขณะที่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

จรวด Jericho 3 (YA-4) ICBM ติดอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล

"จรวด Jericho! จรวด Jericho! การแจ้งเตือนเชิงยุทธศาสตร์ ก่อนที่จะพิจารณาการนำกองกำลังเข้าไป ใช้อาวุธแห่งวันโลกาวินาศ! นี่คือความคิดเห็นของฉัน ขอให้พระเจ้ารักษาความแข็งแกร่งทั้งหมดของเราไว้" Gotliv เขียนบน X ซึ่งเดิมคือ Twitter เมื่อวันจันทร์ (เชื่อกันว่า จรวด Jericho 3 (YA-4) เป็น ICBM ติดอาวุธนิวเคลียร์ที่เข้าประจำการในกองทัพอิสราเอลในปี 2011)

ภายหลังชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวน Gaza พากันอพยพออกจากบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2023 นั้นทาง Revital 'Tally' Gotliv สมาชิกสภานิติบัญญัติหญิงชาวอิสราเอลคนหนึ่งกลับเรียกร้องและสนับสนุนให้รัฐบาลของเธอใช้ 'อาวุธแห่งวันโลกาวินาศ' เพื่อระเบิดทำลายล้างกลุ่ม Hamas โดยปราศจากความเมตตา ซึ่งมีอีกโพสต์หนึ่งของเธอกล่าวไว้ด้วยว่า....

"ฉันขอให้คุณทำทุกอย่างและใช้อาวุธแห่งวันโลกาวินาศ (Doomsday) กับศัตรูของเราอย่างไม่กริ่งเกรงใดๆ" และเสริมว่ากองทัพอิสราเอล "ต้องใช้อาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ในคลังแสง" และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เธอยังคงกล่าวคำเรียกร้องต่อไปให้กองทัพอิสราเอลเร่งใช้อาวุธทำลายล้างสูงอีกด้วย

"มีเพียงการระเบิดที่เขย่าตะวันออกกลางเท่านั้นที่จะฟื้นฟูศักดิ์ศรี ความแข็งแกร่ง และความมั่นคงของประเทศนี้!" สส. Gotliv โพสต์และเผยต่ออีกว่า "ถึงเวลาจุมพิตวันโลกาวินาศแล้ว ใช้ขีปนาวุธอันทรงพลังที่ไร้ขีดจำกัดไปทำให้ย่านนั้นราบเรียบ บดขยี้ฉนวน Gaza...อย่างไร้ความเมตตา! ไร้ความปราณี"

ทั้งนี้ในโพสต์ต่อเนื่องของเธอ ยังเน้นย้ำให้รัฐบาลอิสราเอลในการตอบโต้กลุ่ม Hamas อย่างรวดเร็วที่ปฏิบัติการ "เยาะเย้ยและหยามเหยียด" ประเทศนี้

ดร. Nikolai Sokov

ด้าน ดร. Nikolai Sokov นักวิเคราะห์อาวุโสของศูนย์การลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธแห่งกรุงเวียนนา บอกกับ Newsweek ทางอีเมลว่า "การพูดโดยไม่คิด" เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์กลายเป็นเรื่องที่แพร่หลายและเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากสงครามในยูเครน และตอนนี้จากความรุนแรงในฉนวน Gaza

เขากล่าวว่ามีส่วนหนึ่งที่เข้าใจได้ เนื่องจากวิกฤตการณ์ด้านความมั่นคงที่ร้ายแรง การขาดความรู้เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ตำแหน่งทางการเมืองที่มองเห็นได้ และโดยทั่วไปผู้คนจำนวนมากขึ้นไตร่ตรองการใช้อาวุธดังกล่าวและผลกระทบในระดับโลก

"สำหรับอิสราเอล การพูดโดยไม่คิดเช่นนั้นอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่า เนื่องจากอิสราเอลไม่ยอมรับว่า ตนเองมีอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นการพูดโดยไม่คิดเช่นนี้จึงเป็นการยืนยันทางอ้อมและไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของอิสราเอลเอง" ดร. Sokov กล่าว

บางส่วนของความเสียหายในฉนวน Gaza

ดร. Sokov กล่าวเสริมว่า การเรียกร้องของ สส. Gotliv สำหรับมาตรการยกระดับนั้น เป็นเรื่องที่ไร้วิสัยทัศน์ ด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก เป้าหมายที่เป็นไปได้ใดๆ อยู่ในบริเวณใกล้เคียงย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นความเสียหายต่ออิสราเอลจึงมีความสำคัญมาก และประการที่สอง ประโยชน์ใช้สอยทางการทหารของอาวุธนิวเคลียร์มักถูกประเมินสูงเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์อย่างจำกัดหรือไม่มีเลย

"จริงๆ แล้ว ในสงครามหรือความขัดแย้งครั้งนี้ไม่มีเป้าหมายสำหรับอาวุธนิวเคลียร์เลย" เขากล่าว

สส. Gotliv เป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีเบนจามิน Netanyahu ของอิสราเอล ซึ่งร่วมกับ Yoav Gallant ลันต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ออกแถลงการณ์ในการป้องกันเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) และหน่วยงานด้านความมั่นคง ในเดือนกันยายน เธอกล่าวหา IDF และ Shin Bet (หน่วยงานความมั่นคงของอิสราเอล) ว่าทำงานให้กับ 'ผู้ก่อการร้ายและนักโทษด้านความมั่นคง' ชาวปาเลสไตน์ ตามรายงานของ The Jerusalem Post หลังจากที่รัฐบาลอิสราเอลประณามคำกล่าวหาที่ 'สร้างความโมโห' เธอก็ลดความรุนแรงลงสองเท่าและให้ความชอบธรรมในการโจมตีฉนวน Gaza โดยกองทัพอิสราเอลในฐานะสมาชิกสภา Knesset

สำหรับ Netanyahu ได้ประกาศสงครามกับกลุ่ม Hamas และสัญญาว่าจะลดจำนวนผู้ก่อการร้ายให้กลายเป็นซากปรักหักพังที่พวกเขาจะจดจำ 'ไปอีกนานหลายทศวรรษ' อย่างไรก็ตาม เขาเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์ครั้งใหม่เกี่ยวกับความล้มเหลวด้านความมั่นคงและข่าวกรองที่ถูกกล่าวหาซึ่งเกิดขึ้นก่อนการโจมตีดินแดนอิสราเอลที่อันตรายที่สุดในรอบกว่าห้าทศวรรษ หนึ่งวันหลังจากวิพากษ์วิจารณ์ Netanyahu ในวันอังคาร Haaretz หนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายของอิสราเอลได้พาดหัวข่าวว่า 'Netanyahu : ลาออกเดี๋ยวนี้!' โดยกล่าวว่า เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อ "ความล้มเหลวที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้"

บทความนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า อิสราเอลกับปาเลสไตน์มีความโกรธเกลียดกันอย่างมากมหาศาล ชนิดที่สามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อีกฝ่ายหนึ่งได้โดยไม่มีความลังเลใจอะไรเลย แม้กระทั่งสส. ซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องมีวุฒิภาวะ (Maturity) เป็นอย่างมาก ต้องมีทั้งสติและความยับยั้งชั่งใจ ยังแสดงออกถึงความกระหายเลือดมากมายถึงเพียงนี้ แล้วประชาชนคนธรรมดาทั่วไปจะมีความโกรธเกลียดและอาฆาตแค้นชิงชังกันมากเพียงใด?

แต่ที่น่าสงสัยก็คือ อิสราเอลที่บอกกับคนทั้งโลกว่า ตน (ชาวยิว) ตกเป็นเหยื่อ ถูกกระทำ ถูกสังหารหมู่ด้วยการรมแก๊ส โดยนาซีเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พฤติการณ์และพฤติกรรมที่กองทัพอิสราเอลกระทำย่ำยีต่อชาวปาเลสไตน์อย่างไม่ลังเลใจ ไม่รู้สึกเขินอายที่จะทำกับผู้อื่นอย่างที่พวกตนเคยถูกกระทำเลยแม้แต่น้อย กองทัพอิสราเอลก็จึงไม่ต่างจากกองกำลัง SS และรัฐบาลอิสราเอลก็ไม่ต่างไปจากรัฐบาลนาซีเยอรมันแต่อย่างใดเลย

ระบบสกัดกั้นขีปนาวุธอัจฉริยะ เกราะป้องกันภัยหมื่นล้านของ ‘อิสราเอล’ ตรวจจับอันตรายด้วยเรดาร์ พร้อมหน่วยยิง Tamir คล่องตัว-แม่นยำสูง

‘Iron Dome’ เกราะป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล… ทำงานอย่างไร?

ในท้องฟ้ายามค่ำคืนมองเห็นจรวดที่ยิงจาก Beit Lahiya ทางตอนเหนือของฉนวน Gaza ไปยังอิสราเอล เส้นแสงที่โค้งไปมาคือ ‘ระบบสกัดกั้น’ (Iron Dome)

ความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่ปกครองฉนวน Gaza ทำให้เกิดการเผชิญหน้าอันน่าตื่นตะลึง โดยฮามาสและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์อื่น ๆ ยิงจรวดถล่มใส่อิสราเอลมากกว่า 5,000 ลูก ในช่วงไม่กี่วันผ่านมา แต่จรวดของฮามาสและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์อื่น ๆ ยิงประมาณ 90% ถูกสกัดกั้นโดย ‘ระบบป้องกันขีปนาวุธ’ (Iron Dome) จากแถลงการณ์ของกองทัพอิสราเอล 

‘ระบบป้องกันขีปนาวุธ’ (Iron Dome) ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากจรวดและปืนใหญ่ ในระยะตั้งแต่ 4 กม. ถึง 70 กม. (2.5 ไมล์ ถึง 43 ไมล์) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาเพื่อขยายระยะไปถึง 250 กม.

ระบบนี้เกิดจากการที่อิสราเอลสู้รบกับ ‘ขบวนการฮิซบอลเลาะห์’ (Hezbollah) กลุ่มติดอาวุธในเลบานอนในปี 2006 มีการยิงจรวดหลายพันลูกเข้าสู่อิสราเอล ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง มีการอพยพผู้คนจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย หลังจากนั้น อิสราเอลจึงเริ่มการพัฒนาเกราะป้องกันจรวดขึ้น

‘Iron Dome’ ซึ่งสร้างขึ้นโดย ‘Rafael Advanced Defense Systems’ บริษัทอิสราเอล ร่วมกับ ‘Israel Aerospace Industries’ โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินและทางเทคนิคจากสหรัฐฯ เริ่มประจำการในปี 2011 Iron Dome ถือเป็นระบบป้องกันจรวดที่ทันสมัยที่สุดในโลก ใช้เรดาร์เพื่อตรวจจับ ประเมิน และสกัดกั้นเป้าหมายระยะสั้นที่หลากหลาย เช่น จรวด ปืนใหญ่ และปืนครก รวมถึงภัยคุกคามที่เข้ามาก่อนที่จะสร้างความเสียหาย เช่น จรวดที่ยิงจากฉนวน Gaza ระบบป้องกันขีปนาวุธ Iron Dome ใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดจนถึงในทุกสภาพอากาศ รวมถึงเมฆต่ำ ฝน พายุฝุ่น และหมอก 

‘Iron Dome’ ใช้งบประมาณในการพัฒนาสูงมาก แต่ผู้ผลิตกล่าวว่ามีความคุ้มค่า เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้มีความสามารถในการแยกความแตกต่างระหว่าง จรวดที่มีแนวโน้มที่จะโจมตีพื้นที่ที่จะสร้างความเสียหาย และไม่สกัดกั้นจรวดที่จะตกในพื้นที่ที่ไม่สร้างความเสียหาย ขีปนาวุธจะถูกยิงเพื่อสกัดกั้นสิ่งใดก็ตามที่ถูกระบุความว่า ‘สร้างความเสียหายจนเป็นอันตราย’ เท่านั้น

Iron Dome มีส่วนประกอบหลัก 3 อย่าง :
1.) เรดาร์ตรวจจับและติดตาม : ระบบเรดาร์สร้างโดย Elta ของอิสราเอล และบริษัทในเครือของ Israel Aerospace Industries และ IDF

2.) การจัดการการรบและการควบคุมอาวุธ (BMC) : ศูนย์ควบคุมถูกสร้างขึ้นสำหรับ Rafael โดย mPrest Systems ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ของอิสราเอล

3. ) หน่วยยิงขีปนาวุธ : หน่วยยิงขีปนาวุธสกัดกั้น Tamir ซึ่งติดตั้งเซ็นเซอร์ไฟฟ้าออปติกและครีบบังคับเลี้ยวหลายอันเพื่อความคล่องตัวสูง ขีปนาวุธนี้สร้างโดย Rafael โดย EL/M-2084 เรดาร์ของระบบจะตรวจจับการปล่อยจรวดและติดตามวิถีของมัน BMC จะคำนวณจุดผลกระทบตามข้อมูลที่รายงาน และใช้ข้อมูลนี้เพื่อพิจารณาว่าเป้าหมายถือเป็นภัยคุกคามต่อพื้นที่ที่กำหนดหรือไม่ เฉพาะเมื่อมีการระบุภัยคุกคามแล้ว ขีปนาวุธสกัดกั้นจะถูกยิงเพื่อทำลายจรวดที่เข้ามาก่อนที่จะถึงพื้นที่ที่คาดการณ์ไว้ว่าจะชน

กว่าหนึ่งทศวรรษนับตั้งแต่ Iron Dome เข้าประจำการ ปัจจุบันอิสราเอลมีชุดยิงของ Iron Dome 10 ชุดที่ประจำการอยู่ทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดยิงของ Iron Dome ประกอบด้วย 20 ท่อยิงขีปนาวุธ ซึ่งสามารถสกัดกั้นจรวดได้ราว 1 ต่อ 5 โดยมีความแม่นยำราว 96.5% ระบบ Iron Dome สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกมากและใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการติดตั้ง และขีปนาวุธสกัดกั้น Tamir มีความคล่องตัวสูง มีความยาว 3 เมตร (เกือบ 10 ฟุต) มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว (15 ซม.) และมีน้ำหนัก 90 กิโลกรัม (198 ปอนด์) แต่ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน Iron Dome อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่จรวดของฮามาสแม้ว่าจะดูหยาบและไม่มีระบบนำทาง แต่จำนวนที่แท้จริงและต้นทุนที่ต่ำของจรวดเหล่านี้ก็เป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับ Iron Drome ด้วยจรวดของฮามาสอาจมีราคาเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์ แต่ราคาขีปนาวุธที่ใช้ในระบบ Iron Drome แต่ละลูกมีราคาประมาณ 40,000 เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น การสกัดกั้นจรวดที่เข้ามานับพันลูก อิสราเอลจึงมีค่าใช้จ่ายมหาศาล ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทุ่มเงินกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ให้แก่อิสราเอล เพื่อสนับสนุนโครงการ Iron Dome มาแล้ว

เวอร์ชันกองทัพสหรัฐฯ ในปี 2019 กองทัพสหรัฐฯ ได้ประกาศความตั้งใจที่จะซื้อระบบ Iron Dome 2 ชุดยิง เพื่อเติมเต็มความต้องการความสามารถในการป้องกันจรวด ด้วยความสนใจในความสามารถเฉพาะตัวของ Iron Dome ของสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ‘Raytheon’ จึงได้เปิดตัวระบบ SkyHunter โดยความร่วมมือกับ ‘Rafael’ ด้วยพื้นฐานจาก Iron Dome ทำให้ SkyHunter สามารถผลิตได้ในสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายความพร้อมใช้งานและขีดความสามารถสำหรับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ระบบเหล่านี้ป้องกันระดับพื้นฐาน โดย Raytheon ยังร่วมมือกับ Rafael ในระบบ David's Sling System ซึ่งป้องกันในระดับที่มีความก้าวหน้ากว่า

‘ฉนวน Gaza’ เขตกักกันอันแสนสิ้นหวัง-ไร้มนุษยธรรม ที่ทั่วโลกมองข้าม ชนวนเหตุในการโต้ตอบด้วยความรุนแรงจากกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอล

ฉนวน Gaza เขตกักกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ทำไมกลุ่ม ‘Hamas’ จึงกล้าโจมตีอิสราเอลอย่างบ้าเลือด ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าจะต้องถูกอิสราเอลตอบโต้เอาคืนอย่างรุนแรง เมื่อได้พยายามหาข้อมูลที่เขียนจากแหล่งข้อมูลที่มีความเป็นกลางที่สุด ก็ทำให้ได้บทความนี้มา ซึ่งเป็นบทความที่เขียนโดย ‘War Child International’ องค์กรเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร (NGO) ที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยสงครามจากความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธในที่ต่าง ๆ บนโลกนี้

คำเตือนที่สิ้นหวัง 
ชาว Gaza เรียกบ้านของพวกเขาว่าเป็น ‘เขตกักกัน’ ที่เสมือนกับเป็น ‘เรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ด้วยจำนวนผู้คนร่วม 2 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ที่นี่ บนพื้นที่เพียง 365 ตารางกิโลเมตร ประชากรในฉนวน Gaza สองในสามอายุน้อยกว่า 25 ปี อาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ‘António Guterres’ เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เตือนว่า ฉนวน Gaza จะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ภายในปี 2020 เว้นแต่จะมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปรับปรุงบริการและโครงสร้างพื้นฐาน

ด้วยผลจากการปิดล้อม ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ต้องดิ้นรนกับสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ อันเนื่องมาจากอัตราความยากจนและการว่างงานที่สูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ฉนวน Gaza มีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก สำนักงานสถิติกลางกาซา ระบุว่า มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 5,453 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งมากกว่าความหนาแน่นของประชากร 13 เท่าในพื้นที่ที่ถูกอิสราเอลยึดครอง คือ 400 คนต่อตารางกิโลเมตร ความยาวของฉนวน Gaza ไม่เกิน 41 กม. และความกว้างระหว่าง 6 ถึง 12 กม. สถิติท้องถิ่นแสดงให้เห็นว่า อัตราการว่างงานในฉนวน Gaza เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยแตะระดับ 50.2% และเนื่องจากการปิดล้อมฉนวน Gaza อย่างต่อเนื่องและยาวนาน การโจมตีของอิสราเอล ทำให้ประชากรชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ประมาณ 85% อยู่ในระดับที่ ‘ต่ำกว่าเส้นของความยากจน’

สงครามใหญ่ 4 ครั้งในรอบ 16 ปี

เด็ก ๆ และผู้ปกครองในฉนวน Gaza ไม่รู้อะไรเลยนอกจากชีวิตภายใต้การปิดล้อม และไม่สามารถออกไปไหนได้ แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม หนึ่งทศวรรษหลังจากที่กลุ่ม Hamas ยึดครองดินแดนที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ผู้อยู่อาศัยต้องมีชีวิตที่ต้องผ่านการสู้รบครั้งใหญ่ถึง 4 ครั้ง ในปี 2008-2009, 2012, 2014 และ 2021 และตอนนี้กำลังอยู่ในครั้งที่ 5

ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2018 มีประชากรในฉนวน Gaza ได้รับบาดเจ็บแล้วกว่า 23,500 ราย มากกว่า 5,500 รายถูกยิงโดยกองกำลังความมั่นคงของอิสราเอล ผลการประท้วงตามแนวชายแดนส่งผลให้มีเด็กได้รับบาดเจ็บ 4,250 ราย และมีผู้เสียชีวิต 31 ราย (ไม่นับรวบเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในห้วงเวลานี้)

การจัดการกับความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
หลายปีมานี้ สถานการณ์ในฉนวน Gaza ย่ำแย่ลงจนเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ระบบการดูแลสุขภาพและการศึกษาในท้องถิ่นจวนเจียนที่จะล่มสลาย และการเผชิญกับความรุนแรงในระยะยาวยังคงส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ ทั้งทางสุขภาพกายและสุขภาพทางใจของเด็ก ๆ และเยาวชน พ่อแม่ ผู้ดูแล และนักสังคมสงเคราะห์ต้องดิ้นรน เพื่อรับมือกับความเครียดในระดับที่ท่วมท้นและหันไปใช้วิธีทุก ๆ รูปแบบเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาไม่สามารถให้การสนับสนุนแก่เด็ก ๆ ตามที่ต้องการได้

การวิจัยแสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่มีอัตราสูงในฉนวน Gaza ทำให้เกิดภาวะทางจิตซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมมากมาย รวมถึงโรคความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า อาการเหล่านี้มีความรุนแรงในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เด็กกว่าครึ่งหนึ่งในฉนวน Gaza กล่าวว่า “พวกเขาไม่มีความหวังอะไรเลยสำหรับอนาคตของพวกเขา”

‘Rami’ เด็กชายชาวปาเลสไตน์วัย 10 ขวบ เติบโตภายใต้การปิดล้อมฉนวน Gaza ของอิสราเอล

เรื่องราวของ ‘Rami’ (10 ขวบ) ผู้ซึ่งเติบโตภายใต้การปิดล้อมฉนวน Gaza ของอิสราเอล
‘Rami’ เป็นเด็กชายชาวปาเลสไตน์วัย 10 ขวบ เขาและน้องชายอีก 3 คน ต้องใช้ชีวิตในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลยึดครองมาทั้งชีวิต ‘Haifa’ แม่ของเด็ก ๆ พยายามดิ้นรนเพื่อปกป้องลูก ๆ ของเธอจากความทุกข์ทรมานตลอดกาล และการถูกคุกคามจากความรุนแรง

“พื้นที่ที่เราอาศัยอยู่นั้นอันตรายมากในช่วงสงคราม มีการโจมตีด้วยขีปนาวุธเป็นประจำ” เธอกล่าว

ครอบครัวนี้ต้องอพยพออกจากบ้านหลายครั้งหลายหน เพื่อหลบหนีการโจมตีด้วยรถถังและระเบิดของอิสราเอล “หลายปีแห่งความหวาดกลัว มันหมายความว่า เราไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้ ไม่ใช่เพียงแค่ด้านจิตใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านการเงินด้วย” เธอกล่าวเสริม โดยอ้างถึงนโยบายการปิดล้อมและการปิดเมืองอย่างถาวรที่บังคับใช้ในฉนวน Gaza

เพื่อเรียนรู้วิธีจัดการกับประสบการณ์ของเธอและช่วยเหลือลูก ๆ Haifa จึงเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการของ ‘War Child’ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กในสภาวะสงคราม ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจการให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตของสังคมในฉนวน Gaza โดยเจ้าหน้าที่ของ War Child ได้สัมภาษณ์พวกเขาเกี่ยวกับเวลาที่พวกเขาเข้ามาร่วมโครงการ Haifa กล่าวว่า “ฉันรู้สึกสบายใจมากที่ได้อยู่กับกลุ่มนี้ ฉันสามารถปรับตัวได้ในเวลาไม่นาน และรู้สึกว่าได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนเป็นอย่างดี ฉันยังคงต้องฝึกหัดจินตนาการและผ่อนคลายมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งช่วยให้ฉันมีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้น”

ก่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่มที่รับการดูแลของ War Child ทำให้ Haifa พบว่า การแสดงความรู้สึกของเธอออกมานั้นเป็นเรื่องยาก เธอไม่อยากสร้างภาระให้คนรอบข้าง ในระหว่างการประชุม เธอเรียนรู้ที่จะเปิดใจอย่างช้า ๆ แต่แน่นอน สิ่งนี้ได้ช่วยให้ Haifa สร้างความผูกพันอันแน่นแฟ้นกับแม่ของเธอ และเรียนรู้ที่จะพึ่งพาผู้อื่นเพื่อรับการสนับสนุน Haifa พบว่า แม่ของเธอสามารถให้ที่หลบภัยแก่เธอได้อย่างแท้จริง “ฉันกลัวมากในระหว่างการสู้รบ และลูก ๆ ของฉันก็ได้รับความหวาดกลัวนั้นไปด้วย”

Rami กับแม่และน้องชาย

ความฝันแรกของ Rami คือการเป็นศัลยแพทย์เพื่อที่เขาจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ Haifa ได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก ๆ ของเธอ เมื่อก่อนบางครั้งเธอก็อารมณ์เสีย แต่ตอนนี้เธอต้องนับหนึ่งถึงสิบเพื่อสงบสติอารมณ์ เธอยังสอนวิธีนี้ให้สามีของเธอและเตือนเขาเสมอเมื่อเขาโกรธลูก ๆ พ่อ-แม่ทั้งสองกลายเป็นผู้รับฟังที่ดีและพยายามให้กำลังใจลูกให้มากที่สุด Rami ได้เห็นความแตกต่างซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในตัวแม่ของเขา เธอไม่ดุเขาและน้อง ๆ ของเขาอีกแล้ว แต่กลับเล่นกับพวกเขาแทน นอกจากนั้นเธอยังแบ่งปันแบบฝึกหัดการผ่อนคลายกับพวกเขาอีกด้วย Rami กล่าวเสริมว่า “ตอนนี้ผมรู้สึกว่า มันง่ายขึ้นที่จะบอกแม่เกี่ยวกับความรู้สึกและปัญหาของตัวผมเอง หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็รู้สึกอายน้อยลง และตอนนี้ผมก็กล้าที่จะแสดงรู้สึกมากขึ้น” Rami บอก

กล้าที่จะฝัน
Rami มีความสุขมากที่ได้มีส่วนร่วมกับโปรแกรมของ War Child ในฉนวน Gaza “มันช่วยให้ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็รู้สึกเขินอายน้อยลง และทุกวันนี้ผมก็กล้าที่จะแสดงรู้สึกมากขึ้น” ตอนนี้เขาตั้งตารอถึงอนาคตและสิ่งที่เขาต้องการจะบรรลุในปีต่อ ๆ ไป “ความฝันแรกของผมคือ การเป็นศัลยแพทย์เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คนได้ เป็นคุณหมอมีความรัก ความฝันที่สองของผมคือ การสร้างครอบครัวและมีลูกเป็นของตัวเอง”

*ชื่อทั้งหมดในบทความนี้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความปลอดภัยของเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมในโครงการของ War Child

ที่มา : https://www.warchildholland.org/stories-of-children/Rami/

ทางเข้าออกฉนวน Gaza ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของอิสราเอล

บทความนี้เป็นเรื่องราวอีกด้านที่เกิดขึ้นในฉนวน Gaza ภายใต้การปิดล้อมของอิสราเอล อันเป็นสาเหตุในการโจมตีอิสราเอลของกลุ่ม Hamas ส่วนตัวแล้วไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงใด ๆ ในการแก้ไขปัญหา เพราะประวัติศาสตร์ของโลก ไม่เคยมีครั้งใดที่สามารถการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งสำเร็จลงได้ ด้วยการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นประหัตประหารกัน แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นลักษณะเลือดเข้าตาหรือจนตรอกของชาวปาเลสไตน์ก็ตาม สิ่งที่ประเทศตะวันตกปล่อยให้อิสราเอลกระทำต่อชาวปาเลสไตน์ เป็นเรื่องราวที่ไม่ปรากฏในสื่อหลักของโลกตะวันตก ไม่ว่าการปิดล้อมฉนวน Gaza การให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีไฟฟ้าใช้ได้เพียงวันละ 4 ชั่วโมง การขาดแคลนน้ำเพื่อการบริโภคอย่างหนักในฉนวน Gaza และการปิดล้อมไม่ให้นำอาหารและเวชภัณฑ์เข้าไปในฉนวน Gaza ของอิสราเอล ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น

ทางเข้าออกฉนวน Gaza ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของอิสราเอล

โดยอิสราเอลได้เพิ่มแรงกดดันต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza นับตั้งแต่ปี 2007 ด้วยการสร้างกำแพงรักษาความปลอดภัยรอบฉนวน Gaza อันเป็นส่วนสำคัญของการลงโทษของอิสราเอลต่อประชาชนชาวปาเลสไตน์ หลังจากชัยชนะของกลุ่ม Hamas ในการเลือกตั้งรัฐสภาปาเลสไตน์เมื่อต้นปี ค.ศ. 2006 และการยึดครองฉนวน Gaza ของกลุ่ม Hamas ในกลางปี 2007 กำแพงล้อมรอบฉนวน Gaza จากตะวันออกไปเหนือมีระยะทางประมาณ 65 กม. และสร้างอาคารสถานีคอนกรีต 6 แห่งตามแนวพรมแดนติดกับฉนวน Gaza ซึ่งอิสราเอลได้มีการควบคุมฉนวน Gaza ทั้งน่านน้ำและน่านฟ้าของตน และมีกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดในการเคลื่อนย้ายผู้คนและสินค้าเข้าออกฉนวน Gaza ทั้งมีการปิดกั้นห้ามเคลื่อนย้ายผู้คนและสินค้าเข้าออกอยู่บ่อยครั้ง

เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือ 1.) การต่อสู้กับผู้ปิดล้อม หรือ 2.) ขอให้อิสราเอลยอมผ่อนปรนมาตรการลดการปิดล้อม และยอมปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีตามปกติ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เหตุการณ์ความรุนแรงก็ต้องเกิดขึ้น เป็นเพราะกลุ่ม Hamas มองว่าเป็นความชอบธรรมในการเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ที่อิสราเอลเป็นผู้กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza และทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza โดยกลุ่ม Hamas จึงต้องตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ 1 คือ การสู้รบกับอิสราเอลที่ปิดล้อมนั่นเอง

ซึ่งอันที่จริงแล้วสิ่งที่ประชาคมโลกควรจะทำ นอกจากการประณามต่อการใช้ความรุนแรงของกลุ่ม Hamas แล้ว ก็คือการกดดันให้อิสราเอลปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ด้วยความมีมนุษยธรรม เพื่อไม่ให้กลุ่ม Hamas มีเหตุผลอ้างในการโจมตีอิสราเอลอีกต่อไป

‘Zhang Xinyang’ สุดยอดเด็กจีนอัจฉริยะ จบโทตอน 15 ต่อเอกตอน 16 สู่ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักโต เพราะพิษผลพวงจากความคาดหวังของพ่อ-แม่

‘Zhang Xinyang’ อัจฉริยะ...ผู้ล้มเหลว

ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ของ ‘พ่อ-แม่’ อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสของผู้เป็นลูก ข่าวของเด็กชายวัย 14 ปี ที่ใช้อาวุธปืนกราดยิงในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน นำมาซึ่งความหดหู่เศร้าใจแก่สังคมไทยอย่างมาก มีเรื่องราวที่กล่าวถึงมากมาย ซึ่งรวมแล้วสรุปความได้ว่า “ความคาดหวังต่อลูกของพ่อ-แม่นั้น เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการกำหนดชะตาชีวิตของเด็ก”

เคยนำเรื่องของ ‘Kim Ung-Yong’ มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับเส้นทางชีวิตที่เลือกจะขอมี ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความสำเร็จ’  https://thestatestimes.com/post/2023061701 มาเล่าแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้จะขอนำเรื่องราวของ ‘Zhang Xinyang’ อัจฉริยะชาวจีน ผู้ซึ่งจบปริญญาตรีในวัยเพียงอายุ 13 ปี จบปริญญาโท และเรียนปริญญาเอกด้วยวัยเพียง 16 ปี ปัจจุบันนี้เขาอายุ 28 ปีแล้ว แม้จะมีวุฒิปริญญาเอกติดตัว แต่ทุกวันนี้เขายังต้องขอเงินพ่อ-แม่ใช้อยู่เลย

‘Zhang Xinyang’ วัย 28 ปี ผู้ซึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘สุดยอดเด็กอัจฉริยะของจีน’ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “การนั่งเฉย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือกุญแจสู่ความสุขตลอดชีวิต” ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมานั้น Zhang กล่าวว่า ตอนนี้เขากำลังทำงานฟรีแลนซ์ และเขายังต้องขอพึ่งพาทางการเงินจากพ่อแม่ของเขาอยู่

Zhang เข้าเรียนปริญญาตรีที่วิทยาลัยวิศวกรรม Tianjin เมื่ออายุ 10 ขวบ โดยพ่อของเขาต้องลาออกจากงานเพื่อตามมาดูแล และแม่ของเขาซึ่งเป็นครู ต้องย้ายมาสอนที่โรงเรียนใกล้ ๆ ครอบครัวต้องพักอาศัยอยู่รวมกันในหอพักของมหาวิทยาลัย และเมื่ออายุ 13 ปี เขาได้เข้าเรียนในระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง ซึ่งสร้างสถิติใหม่ในฐานะบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดของจีน ในปี ค.ศ. 2011 เด็กชายวัย 16 ปีผู้นี้กลายเป็นนักศึกษาปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์ ที่มหาวิทยาลัย Beihang ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของกรุงปักกิ่ง

และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็เรียกร้องให้พ่อ-แม่ให้ซื้ออพาร์ตเมนต์มูลค่า 2 ล้านหยวน ในกรุงปักกิ่งให้เขา หากพวกท่านไม่ยอมซื้อ Zhang บอกกับพ่อ-แม่ของเขาว่า จะไม่ยอมสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของเขา และจะปฏิเสธข้อเสนอทุนระดับปริญญาเอกสำหรับเขาอีกด้วย

“พ่อ-แม่คาดหวังให้ผมอยู่ในปักกิ่งมากกว่าใคร ๆ ดังนั้น พ่อ-แม่จึงต้องพยายามเพื่อสิ่งนี้ด้วยอย่างหนัก” Zhang บอกกับพ่อแม่ของเขา ซึ่งมาจากเมืองเล็ก ๆ ในมณฑลเหลียวหนิง

ความต้องการของ Zhang ในขณะนั้น เกิดจากความเชื่อของเขาที่ว่า การเป็นเจ้าของบ้าน การได้งานที่ดี และการได้จดทะเบียนเป็นผู้อาศัยในกรุงปักกิ่ง ถือเป็นจุดเด่นของความสำเร็จในชีวิต และเพื่อเอาใจเขา พ่อ-แม่ของ Zhang ต้องลงเอยด้วยการเช่าอพาร์ตเมนต์ในกรุงปักกิ่ง แล้วโกหกลูกชายว่าเป็นอพาร์ตเมนต์ที่พวกเขาซื้อ นักวิจารณ์ออนไลน์บางคนกล่าวโทษพ่อ-แม่ของ Zhang ที่หมกมุ่นอยู่กับการปลูกฝังให้ Zhang เป็นเด็กอัจฉริยะ แต่ในที่สุดแล้ว… เด็กก็คือเด็ก

แม้ว่าในที่สุด หลังจากใช้เวลาศึกษามากว่า 8 ปี Zhang จึงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี ค.ศ. 2019 จากนั้นแล้ว Zhang Xinyang ทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย Ningxia เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะลาออกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021 ปัจจุบัน Zhang ทำงานอิสระ อาศัยเช่าอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในนครเซี่ยงไฮ้ และมีเงินในบัญชีธนาคารเพียงแค่ไม่กี่พันหยวน แต่ได้รับเบี้ยเลี้ยง 10,000 หยวนจากพ่อ-แม่ทุก ๆ 2-3 เดือน Zhang อ้างว่า “พวกเขาเป็นหนี้ผม” พร้อมเสริมว่า “อพาร์ทเมนต์ที่พวกเขาไม่เคยซื้อให้ผม ในตอนนี้น่าจะมีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านหยวนแล้ว”

อดีตเด็กอัจฉริยะรายนี้กล่าวต่อไปว่า เขาพอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของเขา Zhang พร้อมพูดถึงรายได้ที่น้อยนิดของเขาว่า “ผมสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต ไม่เพียงแต่ผมสามารถพึ่งพาพ่อแม่ได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปู่-ย่า และ ตา-ยายอีกด้วย”

นอกจากนี้เขายังยอมรับว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างห่างเหินและเย็นชากับพ่อ-แม่ เพราะเขารู้สึกว่า พวกท่านทั้ง 2 คน ควบคุมเขามากจนเกินไป “เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการให้คำแนะนำกับผม” Zhang กล่าว

มุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไปของ Zhang และการพึ่งพาพ่อแม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการสนทนาออนไลน์อย่างดุเดือด อาทิ “เขามีพรสวรรค์ที่ดี” สมาชิก Weibo รายหนึ่งกล่าว “แต่เพราะพ่อ-แม่ของเขาหมกมุ่นอยู่กับการปลูกฝังความเป็นอัจฉริยะ และในที่สุดเขาก็ชดเชยกระบวนการเติบโตที่ขาดหายไปในอีกทางหนึ่ง” บางคนรู้สึกเสียดาย เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของ Zhang โดยระบุว่า มันเป็น ‘ความล้มเหลวของอัจฉริยะ’

และในทางกลับกัน มีอีกหลาย ๆ คน ที่รู้สึกว่า ยังไม่สายเกินไปที่ Zhang จะกลับตัวเพื่อพลิกสถานการณ์ อาจารย์ Zhang Yuehui ผู้เคยสอนเขาในระดับปริญญาตรีบอกกับสื่อว่า เขารู้สึกว่าอดีตนักศึกษาของเขายังสามารถบรรลุ ‘สิ่งที่ยิ่งใหญ่’ ได้ ถ้าเขาต้องการ เพียงแต่ Zhang จะต้อง ‘ไม่ยอมแพ้และย่อท้อ’

ความสุขที่แท้จริงของพ่อ-แม่แล้ว ต้องเป็น การที่ได้รับรู้ว่า “ลูก ๆ ของพวกเขาเป็นคนดี”

ประธานาธิบดียอดอัจฉริยะ ฉายา ‘บิดาแห่งเทคโนโลยี’ ของอินโดนีเซีย ผู้ปฏิวัติความปลอดภัยและยกระดับประสิทธิภาพระบบการบินของโลก

‘B.J. Habibie’ ประธานาธิบดียอดอัจฉริยะแห่งอินโดนีเซีย

‘ประธานาธิบดี’ เป็นตำแหน่งประมุขของประเทศที่มีการปกครองแบบสาธารณรัฐ (Republic) และในอีกหลายประเทศที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นทั้งตำแหน่งประมุขของประเทศและประมุขฝ่ายบริหาร เช่น สหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศใกล้ ๆ บ้านเราที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นทั้งตำแหน่งประมุขของประเทศและประมุขฝ่ายบริหาร ได้แก่ อินโดนีเซีย
.
หากนึกถึงประธานาธิบดีที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ผู้คนอาจนึกถึงประธานาธิบดีเหล่านี้ อาทิ Abraham Lincoln, John F. Kennedy, Nelson Mandela หรือ Barack Obama แต่เชื่อหรือไม่ ว่ามีประธานาธิบดีคนหนึ่งที่ได้รับสิทธิบัตรในสาขาการบินถึง 46 ฉบับ เขาผู้นั้น คือ ‘Bacharuddin Jusuf Habibie’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘B.J. Habibie’ ประธานาธิบดีคนที่ 3 แห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (ค.ศ. 1998-1999)

‘ประธานาธิบดี B.J. Habibie’ เกิดเมื่อ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1936 จังหวัดซูลาเวซีใต้ ขณะนั้นอินโดนีเซียยังเป็นหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ (เนื่องจากเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์) หลังจากจบการศึกษาสถาบันเทคโนโลยีบันดุง เมืองบันดุง แล้ว ประธานาธิบดี Habibie ได้เดินทางไปยังเมือง Delft ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อศึกษาวิชาการบินและอวกาศที่ Technische Hogeschool Delft (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี Delft) แต่ด้วยเหตุผลทางการเมือง (กรณีพิพาทนิวกินีตะวันตก ระหว่างเนเธอร์แลนด์กับอินโดนีเซีย) เขาจึงต้องย้ายไปศึกษาต่อที่ Technische Hochschule Aachen (มหาวิทยาลัย RWTH Aachen) ในเมือง Aachen ประเทศเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1960 ประธานาธิบดี Habibie ได้รับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ของเยอรมนี (Diplom-Ingenieur) และยังคงอยู่ในเยอรมนีในตำแหน่งผู้ช่วยวิจัยของ ‘Hans Ebner’ ที่ Lehrstuhl und Institut für Leichtbau, RWTH Aachen เพื่อทำการวิจัยในระดับปริญญาเอก

‘ประธานาธิบดี Habibie’ แต่งงานกับแพทย์หญิง ‘Hasri Ainun’ วันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1962

ในปี ค.ศ. 1962 ประธานาธิบดี Habibie ได้ลาหยุดเพื่อเดินทางกลับอินโดนีเซียเป็นเวลา 3 เดือน ช่วงเวลานี้เองที่ เขาได้พบกับแพทย์หญิง ‘Hasri Ainun’ เพื่อนในวัยเด็กสมัยมัธยมต้นและมัธยมปลายที่ SMA Kristen Dago (โรงเรียนมัธยม Dago Christian) เมืองบันดุง ทั้งสองได้เข้าพิธีสมรสในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1962 และเดินทางกลับเยอรมนี หลังจากนั้นไม่นาน Habibie และภรรยาของเขา ก็ได้ตั้งรกรากในเมือง Aachen ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะย้ายไปยังเมือง Oberforstbach ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1963 โดยพวกเขาได้ให้กำเนิดลูกชาย คือ ‘Ilham Akbar Habibie’

ต่อมา ประธานาธิบดี Habibie ได้ร่วมงานกับบริษัทค้าหุ้นการรถไฟ ‘Waggonfabrik Talbot’ ซึ่งเขาได้เป็นที่ปรึกษาในการออกแบบตู้รถไฟ ในปี ค.ศ. 1965 ประธานาธิบดี Habibie ทำวิทยานิพนธ์ในสาขาวิศวกรรมการบินและอวกาศ และได้รับคะแนน ‘ดีมาก’ ทำให้เขาได้รับ ‘Doktoringenieur’ (Dr.-Ing.) ในปีเดียวกันนั้น เขายอมรับข้อเสนอของ Hans Ebner ที่จะวิจัยต่อเกี่ยวกับ Thermoelastisitas และทำงานด้าน Habilitation แต่เขาปฏิเสธข้อเสนอที่จะเข้าร่วมกับ RWTH ในตำแหน่งศาสตราจารย์ วิทยานิพนธ์ของเขานั้นยังดึงดูดข้อเสนอการจ้างงานจากบริษัทต่าง ๆ เช่น Boeing และ Airbus ซึ่งประธานาธิบดี Habibie ก็ได้ปฏิเสธอีกครั้ง

‘ประธานาธิบดี Habibie’ ได้ร่วมงานกับ ‘Messerschmitt-Bölkow-Blohm’ ในเมือง Hamburg ที่นั่น เขาได้พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับอุณหพลศาสตร์ การก่อสร้าง และอากาศพลศาสตร์ที่เรียกว่า ‘อุณหพลศาสตร์’ (Habibie Factor) เขามีส่วนในการพัฒนาเครื่องบินโดยสาร ‘Airbus A-300B’ ในปี พ.ศ. 2517 ต่อมาเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัท ในปี ค.ศ. 1974 ‘ประธานาธิบดี Suharto’ ได้ขอให้เขากลับไปยังอินโดนีเซีย โดยเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมและพัฒนาประเทศ

ในตอนแรก ประธานาธิบดี Habibie ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพิเศษของ ‘Ibnu Sutowo’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทน้ำมันของรัฐ Pertamina และประธานหน่วยงานเพื่อการประเมินและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Badan Pengkajian dan Penerapan Teknologi (BPPT)) อีก 2 ปีต่อมา เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO ของ ‘Industri Pesawat Terbang Nurtanio’ (IPTN) หรือ ‘Nurtanio Aircraft Industry’ โดยในขณะนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งใหม่ของอินโดนีเซีย ซึ่งในปี ค.ศ. 1985 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘Industri Pesawat Terbang Nusantara’ (Nusantara Aircraft Industry หรือ ‘IPTN’) และเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Indonesia Aerospace’ (PT. Dirgantara Indonesia) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000


เครื่องบินโดยสาร ‘N-250 Gatotkaca’ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบเพียง 2 ลำ

ในปี ค.ศ. 1978 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการวิจัยและเทคโนโลยี (Menteri Negara Riset dan Teknologi, Menristek) แต่ยังคงมีบทบาทสำคัญใน ‘เชิงกลยุทธ์’ ของ IPTN โดยในช่วงทศวรรษ 1980 IPTN เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเชี่ยวชาญด้านการผลิตเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก และกลายเป็นผู้ผลิตเครื่องบิน ซึ่งรวมถึงเฮลิคอปเตอร์แบบ Puma และเครื่องบิน CASA และเป็นผู้บุกเบิกออกแบบและสร้างเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก ‘N-250 Gatotkaca’ ในปี ค.ศ. 1995 แต่โครงการนี้ประสบความล้มเหลวในเชิงพาณิชย์ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของอินโดนีเซีย ประธานาธิบดี Habibie ได้นำแนวทางที่เรียกว่า ‘เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุดและสิ้นสุดที่จุดเริ่มต้น’ วิธีการนี้ องค์ประกอบต่าง ๆ เช่น การวิจัยขั้นพื้นฐาน จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องให้ความสำคัญ ในขณะที่การผลิตเครื่องบินจริงถือเป็นวัตถุประสงค์แรกที่สำคัญที่สุด

ไม่ถึง 3 เดือน หลังจากการเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีคนที่ 7 เมื่อ 11 มีนาคม พ.ศ. 2541 ประธานาธิบดี Habibie ก็ต้องเข้ารับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดี Suharto ซึ่งลาออกหลังจากดำรงตำแหน่งมา 32 ปี ในระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียงจุดสังเกตในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการปฏิรูป

เมื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาได้เปิดให้กฎหมายสื่อและพรรคการเมืองของอินโดนีเซียมีอิสระเสรีมากขึ้น และจัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก่อนกำหนดถึง 3 ปี ซึ่งส่งผลให้การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาสิ้นสุดลง ด้วยวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 517 วันและรองประธานาธิบดี 71 วัน ซึ่งถือว่าสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซีย

ขณะที่ดำรงตำแหน่งนั้น ประธานาธิบดี Habibie ต้องประสบพบเจอกับปัญหาหลายประการ ได้แก่
• การเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย
• การถูกโจมตีว่าเขาไม่สามารถก้าวพ้นจากอำนาจของประธานาธิบดี Suharto ได้
• ไม่มีฐานการเมืองมาสนับสนุนอย่างจริงจัง กล่าวคือ ‘พรรคกลการ์’ (Golkar : Partai Golongan Karya) ของอดีตประธานาธิบดี Suharto ไม่ได้ให้การสนับสนุนเขา 
• การลดจำนวนที่นั่งในรัฐสภาของทหาร และห้ามข้าราชการทำกิจกรรมทางการเมือง ทำให้กองทัพอินโดนีเซียก็ไม่ให้การสนับสนุนเขา
• เรื่องทุจริตอื้อฉาวเกิดขึ้นเกี่ยวกับธนาคารบาหลี ซึ่งมีการกล่าวหาว่าลูกชายของเขามีส่วนเกี่ยวข้อง

แต่ประธานาธิบดี Habibie ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติ ในเรื่องการจัดการกับปัญหา ‘ติมอร์ตะวันออก’ แม้ว่า ประธานาธิบดี Habibie จะไม่เห็นด้วยกับการให้ติมอร์ตะวันออกเป็นเอกราช แต่เขาเห็นสมควรว่า ชาวติมอร์ตะวันออกควรลงประชามติเลือกว่าจะอยู่กับอินโดนีเซียต่อไปหรือเป็นเอกราช ซึ่งท้ายที่สุด ชาวติมอร์ตะวันออกก็ต้องการเป็นอิสระ ประธานาธิบดี Habibie จึงให้เอกราชแก่ติมอร์ตะวันออก จนทำให้ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ไม่พอใจ ด้วยมองเป็นการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในชาติ

รัฐบาลของประธานาธิบดี Habibie ทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซียมีเสถียรภาพ เมื่อเผชิญกับวิกฤติการเงินในเอเชีย และความวุ่นวายในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ของประธานาธิบดี Suharto รัฐบาลของประธานาธิบดี Habibie มีท่าทีประนีประนอมต่อชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีน ซึ่งตกเป็นเป้าหมายในการจลาจลในปี ค.ศ. 1998 เนื่องจากความเหลื่อมล้ำของสถานะทางชนชั้นในเรื่องเศรษฐกิจ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1998 ประธานาธิบดี Habibie ได้ออก ‘คำสั่งของประธานาธิบดี’ ห้ามใช้คำว่า ‘pribumi’ และ ‘non-pribumi’ เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างชาวอินโดนีเซียพื้นถิ่น และชาวอินโดนีเซียที่ไม่ใช่ชนพื้นถิ่น

และสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยทราบกันเกี่ยวกับตัวประธานาธิบดี B.J. Habibie ก็คือ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรผู้ค้นพบทฤษฎีที่ก้าวล้ำ ซึ่งปฏิวัติความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเครื่องบิน จนได้รับฉายาว่า ‘Mr.Crack’ เนื่องจากความเป็นอัจฉริยะ ที่สามารถออกแบบวิธีคิดคำนวณรอยแตกร้าวบนโครงสร้างโลหะของเครื่องบิน ประธานาธิบดี Habibie มีระดับ IQ (Intelligence Quotient) ประมาณ 200 ซึ่งสูงกว่า IQ ของ ‘ประธานาธิบดี John Quincy Adams’ ที่มีระดับ IQ ประมาณ 175 ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคน

นอกจากนั้นแล้ว ประธานาธิบดี Habibie ยังได้รับเลือกให้เป็นประธานคนแรกของ ‘สมาคมปัญญาชนมุสลิมแห่งอินโดนีเซีย’ (ICMI) ในปี ค.ศ. 1990 และเนื่องจากเขามีส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างเครื่องบินเป็นลำแรกในประเทศอินโดนีเซีย จึงได้รับตำแหน่ง ‘บิดาแห่งเทคโนโลยี’ ของอินโดนีเซียด้วย

เครื่องบินโดยสารแบบ R-80 ขนาด 80 ที่นั่งที่ออกแบบและผลิตโดย ‘Regio Aviasi Industri’ (RAI) 

ในปี ค.ศ. 2012 เขาได้ก่อตั้ง ‘Regio Aviasi Industri’ (RAI) บริษัทผลิตเครื่องบิน ซึ่งกำลังพัฒนาเครื่องบินโดยสารแบบ R-80 ขนาด 80 ที่นั่ง และได้รับคำสั่งซื้อแล้ว 150 ลำ

ประธานาธิบดี Habibie ผู้เป็นยอดอัจฉริยะทางวิศวกรรมการบิน เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐอินโดนีเซียได้เพียงสมัยเดียว เพราะความอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงตรรกะแห่งความจริงและความถูกต้องทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่สามารถเอาชนะทางการเมืองได้ และทุกประเทศบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่แล้วก็มักเป็นเช่นนั้น

พิธีฝังศพของ ‘ประธานาธิบดี B.J. Habibie’ ณ สุสานวีรบุรุษ Kalibata

ช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 2019 เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทหารบก Gatot Soebroto เนื่องจากเขาเป็น ‘โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม’ และถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2019 เพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการจากไปของประธานาธิบดี Habibie รัฐบาลอินโดนีเซียได้ประกาศให้ไว้ทุกข์ทั้งประเทศเป็นเวลา 3 วัน (12-14 กันยายน ค.ศ. 2019) และประกาศลดธงชาติอินโดนีเซียครึ่งเสา

ประธานาธิบดี B.J. Habibie เป็นประธานาธิบดีของอินโดนีเซียคนแรกที่ได้รับการฝัง ณ สุสานวีรบุรุษ Kalibata เคียงข้างหลุมฝังศพของแพทย์หญิง ‘Hasri Ainun Habibie’ ผู้เป็นภรรยาของเขา


อนุสาวรีย์ของ ‘ประธานาธิบดี B.J. Habibie’ ใกล้กับท่าอากาศยาน Jalaluddin จังหวัด Gorontalo

‘กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี’ วีรชนแห่งสมรภูมิรบเกาหลี จากนักเรียนธรรมดา สู่ทหารผู้ยืนหยัดปกป้องชาติด้วยความหาญกล้า

กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี (Korea Student Volunteer Force)

สังคมปัจจุบัน เมื่อพูดถึง ‘ความรักชาติ’ แล้ว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวที่พ้นสมัยของคนเฒ่าชะแรแก่ชราในยุคก่อน ทั้ง ๆ ที่เรื่องของ ‘ความรักชาติ’ นั้น เป็นปกติวิสัยทั่วไป เพราะเป็นหน้าที่ของพลเมืองตามแต่ละประเทศที่เกิดและอาศัยอยู่ เป็นเรื่องธรรมดาของพลเมืองในทุกชาติบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่ยังคงอยู่ในสภาวะสงคราม เช่น สาธารณรัฐเกาหลี หรือ ‘เกาหลีใต้’ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงการหยุดยิงกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเกาหลี หรือ ‘เกาหลีเหนือ’ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 หรือ 70 ปีมาแล้ว และจนทุกวันนี้ ทั้งสองเกาหลียังไม่มีการทำสนธิสัญญาสงบศึก หรือสนธิสัญญาสันติภาพ อันเป็นการยุติสงครามระหว่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่อย่างใด

กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี กำลังขึ้นรถไฟเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพเกาหลีใต้

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ชาวเกาหลีใต้ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ชายเกาหลีใต้ทุกคนจึงต้องเป็นทหารกองประจำการโดยไม่มีการยกเว้น ไม่มีอภิสิทธิพิเศษใด ๆ รวมทั้งแทบไม่มีการผ่อนผันเลย เว้นแต่บางกรณี เช่น เป็นนักกีฬาทีมชาติ ซึ่งยังต้องฝึกซ้อมเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศ ในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ 

เมื่อสงครามเกาหลีปะทุขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 เกาหลีใต้ได้มีการจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี ประกอบด้วย นักเรียนที่เรียนอยู่ในเกาหลีใต้ และนักเรียนเกาหลีที่ไปเรียนในญี่ปุ่น (เกาหลีเคยเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2) ในช่วงสงครามเกาหลี นักเรียนเกาหลีจำนวน 642 คน ได้รวมตัวกันเดินกลับมายังเกาหลีใต้ และอาสาสมัครเข้าร่วมสู้รบภายใต้กองทัพสาธารณรัฐเกาหลี และกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลีก็ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในการรบมากมายหลายครั้งหลายหน

สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลีจำนวนมาก ต้องสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ โดยไม่มี ยศ สังกัด หรือแม้แต่หมายเลขประจำตัวทหาร

‘กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี’ (학서의용군 อ่านว่า Hak Do Ui Yong Gun) โดยนักเรียนอาสาสมัครเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 14–17 ปี ซึ่งอายุต่ำกว่าอายุครบเกณฑ์ทหาร 18 ปี (ในขณะนั้น การแจ้งเกิดมักจะล่าช้า ดังนั้น อายุที่แท้จริงของนักเรียนอาสาสมัครจึงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 16–19 ปี) หลังจากสงครามสองเกาหลีปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1950 กองทัพเกาหลีใต้สามารถระดมกำลังนักเรียนอาสาสมัครได้ถึง 198,380 นาย จัดกำลังเป็น กองพลทหารราบ 10 กองพล, กองพลยานเกราะ 1 กองพล และหน่วยยานยนต์ 1 หน่วย และระหว่างสงครามจนถึงการหยุดยิงระหว่าง 2 เกาหลี มีนักเรียนประมาณ 275,200 คน เข้าร่วมรบในสงครามกับกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี ทั้งทำการรบ ทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือประชาชน การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ

‘การจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในยามฉุกเฉิน’ (비상학 시단) โดยนักเรียน 200 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมนักเรียนอาสาปกป้องประเทศ (학 서호성단) จากทั่วกรุงโซลได้มารวมตัวกันที่ซูวอน นับเป็นครั้งแรกที่นักเรียนถูกเกณฑ์ให้ร่วมรบเช่นทหารประจำการ อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ได้มอบหมายให้กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนส่วนใหญ่ รับผิดชอบภารกิจในพื้นที่ด้านหลังแนวรบ ซึ่งรวมถึงการบรรเทาทุกข์ ช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัย การแจ้งข่าว และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามท้องถนน แต่สมาชิกส่วนใหญ่ของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนไม่พอใจกับภารกิจในแนวหลัง ต่อมากองทัพเกาหลีใต้ได้มอบภารกิจในการสู้รบเพื่อรักษาแนวป้องกันแม่น้ำนักดงให้แก่กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ซึ่งถือเป็นป้อมปราการแห่งสุดท้ายในขณะนั้น และกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนก็ประสบความสำเร็จในการรักษาแนวป้องกันดังกล่าว แม้ไม่มีการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ไม่มียศทางทหาร แต่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเข้าร่วมกับกองทัพเกาหลีใต้ และกองทัพสหประชาชาติ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะปกป้องประเทศ ซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลีเข้าร่วมในปฏิบัติการยกพลขึ้นบกอินชอน โดยเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังสหประชาชาติ, ปฏิบัติการยกพลขึ้นบกที่วอนซันและอิวอน, ปฏิบัติการยึดคืนของกัปซันและฮเยซันจิน, ยุทธการที่อ่างเก็บน้ำจางจิน และยุทธการที่เนินเขาแบกมา ฯลฯ

ภาพวาดของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี ขณะเดินทางเข้าสู่สนามรบ

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1951 เมื่อกองทัพสาธารณรัฐเกาหลีและกองกำลังสหประชาชาติ สามารถตีโต้กองทัพเกาหลีเหนือและกองทัพจีน จนข้ามเส้นขนานที่ 38 กลับไปในเขตเกาหลีเหนือได้แล้ว ‘Syngman Rhee’ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้ออกประกาศให้กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนกลับไปโรงเรียนเพื่อเรียนต่อ และออกคำสั่งคืนสถานะ โดยตามคำสั่งคืนสถานะนี้ กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ต้องถอดเครื่องแบบทหารและเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นนักเรียนตามเดิม โดย

1.) นักเรียนทุกคนจะต้องกลับคืนสู่หน้าที่เดิม ซึ่งก็คือการเรียนของตน
2.) การยอมรับการเป็นทหารของนักเรียนที่ถูกระงับการเรียน เนื่องจากการเป็นทหาร เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนจะต้องยอมรับการกลับมาที่โรงเรียนของนักเรียนเหล่านั้น อย่างไม่มีเงื่อนไข
3.) โรงเรียนในแต่ละระดับ จะต้องพิจารณาเป็นพิเศษ สำหรับนักเรียนที่กลับมาจากการเป็นทหาร
4.) นักเรียนที่พลาดการเลื่อนระดับชั้นในขณะที่เป็นทหาร จะได้รับอนุญาตให้เลื่อนระดับชั้นได้ตามความต้องการ

อย่างไรก็ตาม นักเรียนที่เป็นสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ต่างยืนกรานที่จะสู้รบจนกว่าสงครามจะสิ้นสุด และได้รับยศ หมายเลขประจำตัวทหาร และเข้าร่วมในการสู้รบ โดยมีวีรกรรมสำคัญบางเหตุการณ์ ได้แก่

• การรบที่โรงเรียนมัธยมสตรี P'ohang จังหวัด Gyeongsang-do เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1950 ซึ่งสมาชิกของกำลังอาสาสมัครนักเรียนจำนวน 71 นาย สู้รบกับทหารเกาหลีเหนือ หน่วยที่ 766 โดยฝ่ายเกาหลีเหนือมียานเกราะ 5 คันสนับสนุน การสู้รบกินเวลา 11 ชั่วโมง สมาชิกของกำลังอาสาสมัครนักเรียนเสียชีวิตไป 48 นาย เหลือรอดชีวิตเพียง 23 นาย วีรกรรมครั้งนั้นถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ‘71 : Into the Fire’

ภาพยนตร์เรื่อง 71 : Into the Fire

• การรบที่หาด Jangsari อำเภอ Yeongdeok จังหวัด Gyeongsang-do ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน ค.ศ. 1950 โดยสมาชิกของกำลังอาสาสมัครนักเรียน 560 นาย ร่วมกับทหารของกองทัพเกาหลีใต้ ได้รับการจัดตั้งเป็น ‘กองพันกองโจรอิสระที่ 1’ รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจเพื่อลวงกองกำลังเกาหลีเหนือ ให้คิดว่ากองกำลังสหประชาชาติจะเปิดฉากการรุกอย่างเด็ดขาดที่นั่น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการยกพลขึ้นบกที่ Inchon สมาชิกของกองพันกองโจรอิสระที่ 1 เสียชีวิตไป 139 นาย และการยกพลขึ้นบกที่ Inchon ประสบความสำเร็จด้วยดี และวีรกรรมนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ‘The Battle of Jangsari’

ภาพยนตร์เรื่อง The Battle of Jangsari

ตัวเลขสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในสงครามเกาหลี มีผู้เสียชีวิต 2,464 นาย และบาดเจ็บ 3,000 นาย ในจำนวนนี้มี 347 นาย ถูกฝังอยู่ในสุสานแห่งชาติ อีก 1,188 นาย ถูกจารึกไว้บนป้ายแห่งความทรงจำ และอีก 929 ราย ที่ไม่มีศพหรือแผ่นจารึกที่ระลึกเลย ส่วนสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนที่รอดชีวิตมักจะไม่กลับไปเรียนต่อ และยังคงอยู่ในกองทัพ แม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

อนุสาวรีย์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในสงครามเกาหลี

‘อนุสาวรีย์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในสงครามเกาหลี’ ตั้งอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมหญิง P'ohang ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน 71 นาย เพื่อเป็นเกียรติแก่การเสียสละอันสูงส่งของพวกเขา เมือง P'ohang จึงสร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1977 และจัดพิธีรำลึกขึ้นทุกปี

หออนุสรณ์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน เมือง P'ohang

‘หออนุสรณ์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน เมือง P'ohang’ เปิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2002 ในสวนสาธารณะ Yongheung เพื่อเป็นเกียรติแก่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ในการร่วมรบที่เขตเมือง P'ohang ในช่วงสงครามเกาหลี ในห้องนิทรรศการมีโบราณวัตถุประมาณ 200 ชิ้น เช่น ไดอารี่ ภาพถ่าย เสื้อผ้าที่สวมใส่ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนใช้ในขณะนั้น นอกจากนี้ ยังมีการฉายสารคดีเกี่ยวกับสงครามในห้องโสตทัศนูปกรณ์อีกด้วย

อนุสรณ์สถานกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนนิรนาม

‘อนุสรณ์สถานกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนนิรนาม’ ตั้งอยู่ที่สุสานแห่งชาติ กรุงโซล ด้านหลังเป็นหลุมศพสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนนิรนามจำนวน 48 นาย ที่เสียชีวิตในเขตเมือง P'ohang ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1968 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มอบรางวัลแก่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่จะได้รับ ซึ่งมีสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนจำนวน 317 นาย ที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ ในปี ค.ศ. 1996 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มอบรางวัลดังกล่าว ให้กับสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนอีก 45 คน ที่ยังไม่เคยได้รับมาก่อน

ภาพจำลองแสดงเหตุการณ์ที่ยุวชนทหารสู้รบกับทหารญี่ปุ่น
ที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร

ย้อนกลับมาดูบ้านเรา เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกตลอดอ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดปัตตานีถึงจังหวัดสมุทรปราการ ขอเดินทัพผ่านไทยโดยไม่บอกล่วงหน้า คนไทยในที่เกิดเหตุแทนที่จะวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง แต่ทั้งทหาร ตำรวจ และประชาชนต่างเข้ารักษาแผ่นดินไทยโดยไม่คิดชีวิต ทุกแห่งมียุวชนทหารเข้าร่วมด้วย และได้สร้างวีรกรรมไว้หลายแห่ง โดยเฉพาะที่เชิงสะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร ยุวชนทหาร 30 คน ได้ทำการสู้รบกับทหารญี่ปุ่นอย่างกล้าหาญ จนกระทั่งได้รับคำสั่งจาก ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สั่งให้ยุติการต่อต้าน และปล่อยให้ทหารญี่ปุ่นผ่านไปได้ และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น จึงถูกเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดไปทั่ว แต่ก็มียุวชนทหารเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยจากการทิ้งระเบิด โดยไม่เกรงกลัวอันตรายแต่อย่างใด ยุวชนทหารในสมัยนั้นได้มีพัฒนาการต่อเนื่อง และกลายมาเป็นนักศึกษาวิชาทหารในสมัยนี้

อนุสาวรีย์ยุวชนทหาร 
ริมทางหลวงหมายเลข 4001 สายชุมพร-ปากน้ำ
ตำบลบางหมาก เชิงสะพานท่านางสังข์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกในขณะนี้ คือการเกิดสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย จึงมีความเป็นไปได้ที่สงครามอาจจะเกิดขึ้นอีกในเวลาใดเวลาหนึ่งก็เป็นได้ และไม่ได้หมายถึงสงครามที่ต้องรบกันด้วยกำลังทหารเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสงครามที่ทุกคนในชาติจะต้องร่วมรบด้วยกัน ต้องร่วมแรงร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

แต่น่าเป็นห่วงที่คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง ที่หลงผิดคิดว่า ภยันตรายที่คุกคามความมั่นคงของชาตินั้นได้หมดไปแล้ว หากพินิจพิจารณาอย่างถ้วนถี่เยี่ยงปัญญาชนและวิญญูชนแล้วจะพบว่า ไทยอยู่ในตำแหน่งภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดทางยุทธศาสตร์ ในการเผชิญหน้าของสองมหาอำนาจ

วิธีเดียวที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อชาติน้อยที่สุดคือ การรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดและชัดเจน บนพื้นฐานของความมั่นคงของชาติในทุก ๆ มิติ รวมทั้งกำลังทหารที่มีความพร้อมต่อการรุกรานของอริราชศัตรูตลอดเวลา ซึ่ง “พลังอำนาจทางการรบ” ตลอดจน “ศักย์สงคราม” จะทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงเข้มแข็ง และหากเมื่อต้องเผชิญกับภยันตรายใด ๆ ที่คุกคามแล้ว ชาติบ้านเมืองก็จะมีพร้อมต่อภัยอันตรายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และเมื่อเหตุการณ์สร่างซาสงบลงแล้ว ประเทศชาติก็จะมีความบอบช้ำที่น้อยที่สุด

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘Anny Divya’ หญิงแกร่งแห่งอินเดีย ผู้ก้าวข้ามกำแพงอคติทางเพศ จนสามารถเป็นกัปตันหญิงของ Boeing 777 ที่อายุน้อยที่สุดในโลก

‘Anny Divya’ กัปตันเครื่องบินโดยสาร Boeing 777 หญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลก

“ผู้หญิงแบกค้ำฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง” เป็นคำกล่าวของประธาน ‘เหมา เจ๋อตง’ ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่องราวแบบนี้จากบอกเล่าเพื่อให้ผู้ที่รู้สึกว่า ขาดโอกาส ท้อแท้ สิ้นหวังได้มีพลังใจเช่นเดียวกับ ‘Anny Divya’ หญิงสาวผู้ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการ จนประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอเกิดเป็น ‘หญิงชาวอินเดีย’ ด้วยในสังคมฮินดูนั้น ผู้หญิงถูกจัดให้มีสถานะที่ด้อยกว่าชายในแทบทุกด้านมาตั้งแต่ในอดีต ธรรมเนียมสังคมฮินดูมีลักษณะที่เป็นแบบ ‘ชายเป็นใหญ่’ หรือ ‘Patriarchy’ ทำให้สถานะความเป็นหญิงเสียเปรียบชายในแทบทุกด้าน เห็นได้จากปัญหาความไม่เท่าเทียมทางกฎหมายในอินเดีย อาทิ ภรรยาไม่สามารถฟ้องร้องสามีตัวเองได้ ในกรณีที่ฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์นอกสมรส หญิงไม่ได้รับโอกาสได้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่ดีอย่างเพียงพอ ฯลฯ

กัปตัน ‘Anny Divya’ เกิดที่เมืองปาทานโกต รัฐปัญจาบ ประเทศอินเดีย เมื่อปี ค.ศ. 1987 ในครอบครัวที่ใช้ภาษาเตลูกู (ภาษาที่พูดโดยชาวเตลูกูในรัฐอานธรประเทศกับรัฐเตลังคานาในอินเดีย) พ่อของเธอเคยเป็นทหารในกองทัพบกอินเดีย ครอบครัวของเธอเคยอาศัยอยู่ใกล้กับฐานทัพในเมืองปาทานโกต รัฐปัญจาบของอินเดีย หลังจากที่พ่อของเธอเกษียณ ครอบครัวของพวกเขาก็ย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองวิชัยวาทะ รัฐอานธรประเทศ ซึ่งเธอเข้าเรียนที่โรงเรียนในเมืองนี้ ญาติ ๆ ของเธอนอกเหนือจากครอบครัวใกล้ชิดของเธอ ต่างไม่เห็นด้วยกับความคิดที่เธอจะเป็นนักบิน อย่างไรก็ตาม เธอไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอท้อแท้แต่อย่างใด แต่พ่อ-แม่ของเธอสนับสนุนให้เธอทำตามความฝันอยู่เสมอ และไม่เคยขอให้เธอประกอบอาชีพที่พ่อ-แม่เลือก ซึ่งต้องขอบคุณพ่อ-แม่และคุณครูของเธอ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เธอเป็นเธอในวันนี้

หลังจากสำเร็จมัธยมศึกษาในวัย 17 ปี เธอได้ลงทะเบียนเรียนที่ Indira Gandhi Rashtriya Uran Akademi (IGRUA) ซึ่งเป็นโรงเรียนการบินในรัฐอุตตรประเทศ และจบการศึกษาเมื่ออายุ 19 ปี แล้วเริ่มอาชีพนักบินกับแอร์อินเดีย เธอเดินทางไปสเปนเพื่อฝึกบินด้วยเครื่องบิน Boeing 737 เมื่ออายุ 21 ปี เธอถูกส่งไปรับการฝึกเพิ่มเติมที่สหราชอาณาจักร ซึ่งเธอเริ่มบินด้วยเครื่องบิน Boeing 777 ซึ่งเป็นเครื่องบินที่มีพิสัยบินไกลที่สุด และเป็นเครื่องบินไอพ่นสองเครื่องยนต์ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ปัจจุบันเธอเป็นกัปตันหญิง วัย 36 ปี ของเครื่องบินโบอิ้ง 777 ที่อายุน้อยที่สุดของอินเดียและในโลก (เธอเป็นกัปตันตั้งแต่อายุไม่ถึง 30 ปี) อีกทั้ง เธอยังได้บินไปที่นครนิวยอร์ก นครชิคาโก และนครซานฟรานซิสโก เป็นประจำอีกด้วย

ในช่วงที่เรียนหนังสือ เธอเป็นนักเรียนที่สดใสและมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก เธอเรียนที่ Kendriya Vidyalaya ในเมืองวิชัยวาทะ ใน Grade 11 เธอสามารถสอบได้คะแนนเต็ม 100 ในทุกวิชา ยกเว้นภาษาอังกฤษได้ 92 คะแนน และสันสกฤตได้ 98 คะแนน อีกทั้ง เธอยังทำได้ดีเป็นพิเศษในการสอบ Grade 12 และในขณะที่ทำงานกับ Air India เธอเข้าเรียนปริญญาตรีสาขาการบินจนจบ นอกจากนี้ เธอยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางกฎหมายจาก Rizvi Law College of University of Mumbai และยังเป็นทนายความอีกด้วย

อาชีพนักบินของกัปตัน Anny ได้เปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงินของครอบครัวเธอด้วย เธอสามารถส่งน้องชายให้เรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย และสามารถส่งพี่สาวของเธอเรียนต่อในสหรัฐอเมริกาได้ สามารถซื้อบ้านหลังใหม่ให้พ่อแม่ของเธอในเมืองวิชัยวาทะ และลงทุนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในนครไฮเดอราบัดได้อีกด้วย

กัปตัน Anny กล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ฉันก็สงสัยเกี่ยวกับการที่ได้บินอยู่เหนือเมฆ เมื่อฉันเล่าความฝันที่จะบินให้แม่ฟัง แม่บอกฉันว่า ฉันไม่มีปีกที่ทำให้บินได้ และเพื่อจะบิน ได้ฉันจะต้องได้ปีกจากการเป็นนักบิน” เธอเล่าต่อว่า “ในสมัยนั้น การเป็นนักบินเป็นเรื่องรองจากการฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทุกคนรอบตัวฉันต่างเลือกอาชีพด้านการแพทย์ วิศวกรรม ข้าราชการ ฯลฯ เป็นอาชีพ” อย่างไรก็ตาม เธอยังคงยึดมั่นในความฝันของเธอ

กัปตัน Anny เล่าว่า “การมาจากเมืองเล็ก ๆ และมาอยู่ท่ามกลางผู้คนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี และช่วยขัดเกลาการใช้ภาษาอังกฤษให้ดียิ่งมากขึ้น คือหนึ่งในความท้าทายแรก ๆ และขอย้ำอีกครั้งว่า ฉันไม่มีพื้นฐานด้านการบินเหมือนเพื่อน ๆ ของฉัน” แม้ว่า โรงเรียนการบินอาจมีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ แต่กัปตัน Anny รู้สึกว่า เรื่องราวเกี่ยวกับการบินกำลังเปลี่ยนไป เธอบอกว่า อุตสาหกรรมการบินกำลังพัฒนา ทำให้มีผู้หญิงเข้ามาทำงานมากขึ้น กัปตัน Anny เน้นย้ำว่า อคติทางเพศของอินเดียมีมากกว่าในประเทศอื่น ๆ

กัปตัน Anny นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งว่า “ฉันบินในเที่ยวบินโดยที่นักบินผู้ช่วยของฉันเป็นชายต่างชาติ เขาให้ความเห็นว่า ผู้หญิงควรอยู่ในครัวและไม่ควรขับเครื่องบิน ฉันบอกว่า เราควรเลือกงานโดยพิจารณาจากสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด และฉันไม่รังเกียจที่จะอยู่ในครัว แต่ถ้าฉันบินได้ดีกว่า ฉันควรจะได้บิน และถ้าคุณทำอาหารเก่ง คุณก็ควรลองอยู่ในครัวดู และบางทีคุณอาจจะอยู่ที่นั่นได้ดีกว่า” กัปตัน Anny กล่าวว่า เธอเริ่มต้นการเดินทางในอาชีพนักบิน โดยมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้อย่างช้า ๆ ทีละก้าว จนเธอมาถึงจุดที่เธอเป็นอยู่ทุกวันนี้

“ฉันพูดเสมอว่าแม้จะไม่รู้ แต่ก็ไม่เป็นไรที่จะไม่เรียนรู้” เธอยังกล่าวอีกว่า ทุกความท้าทายถือเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเธอ กัปตัน Anny มองว่า อคติต่อผู้หญิงเป็นย่างก้าวให้ผู้หญิงได้ไปสู่ความเป็นเลิศในชีวิตและอาชีพ เธอกระตุ้นให้บรรดาหญิงสาวมีศรัทธา และยอมรับทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จอย่างซาบซึ้ง ซึ่งจะกลายเป็นความสำเร็จ ให้คำปรึกษาแก่ผู้หญิงในรุ่นของเธอ กัปตัน Anny บอกว่า “ผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะสาว ๆ ฉันอยากให้คุณทุกคนบรรลุสิ่งที่คุณฝันไว้ สิ่งที่สังคมสอนไม่มีถูกหรือผิด แต่จงฟังหัวใจของคุณและหาทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

กัปตัน Anny ยังเข้าร่วมกลุ่มผู้นำอินเดียในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม LinkedIn Influencer มากกว่า 500 คน รวมถึง Narendra Modi, Bill Gates, Priyanka Chopra, Oprah Winfrey, Sachin Tendulkar และ Kiran Mazumdar Shaw ฯลฯ และปัจจุบันในฐานะ LinkedIn Influencer ที่เธอแบ่งปัน เรื่องราวของเธอกับสมาชิกหลายล้านคนของ LinkedIn ทั่วโลก เกี่ยวกับการที่เธอต้องต่อสู้กับอนุสัญญาทางสังคม อุปสรรคทางภาษา และความกดดันจากครอบครัว เพื่อประสบความสำเร็จในอาชีพที่เคยมีแต่ผู้ชายเท่านั้น

Air India Boeing 777

‘Marianne Williamson’ หญิงแกร่งแห่งพรรค Democratic ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ที่วาดฝันจะสามารถเปลี่ยนสหรัฐฯ ได้

โลกใบนี้จะเปลี่ยนไป… หากในปี ค.ศ. 2024 ‘Marianne Williamson’
ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันทุกวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีบทบาทมากที่สุดบนโลกใบนี้ นับเนื่องมายาวนานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 คือ บทบาทการเป็นผู้นำโลกเสรี แม้กระทั่งประเทศผู้นำของคอมมิวนิสต์ขั้วตรงข้ามอันได้แก่ ‘สหภาพโซเวียต’ จะถึงกาลอวสานล่มสลายไปแล้วก็ตาม แต่สหรัฐอเมริกายังคงอยู่ในบทบาทนี้มาโดยตลอดจนทุกวันนี้

ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและประมุขแห่งรัฐนั้นเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมของชาวอเมริกันผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ทุก 4 ปี และมีวาระในการดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย ปีหน้า ค.ศ. 2024 จะเป็นปีที่ Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันดำรงตำแหน่งครับ 4 ปีในวาระแรก ซึ่งโดยปกติแล้วประธานาธิบดีในตำแหน่งมักจะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 โดยอัตโนมัติ ถ้าไม่มีคู่แข่งขันหรือผู้ท้าชิงภายในพรรค เว้นแต่จะวางมือทางการเมืองเอง

แต่สำหรับการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2024 ปรากฏว่า ภายในพรรค Democratic มีผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีก 2 คน คนแรกคือ ‘Robert F. Kennedy Jr.’ หรือ ‘RFK Jr. วัย 69 ปี จากตระกูลคหบดีและนักการเมืองเก่าแก่ Kennedy ซึ่งเขาเป็นบุตรชายของ ‘Robert Kennedy’ ผู้เป็นน้องชายของประธานาธิบดี Kennedy วุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐ Massachusetts และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลของพี่ชาย Robert Kennedy ผู้ที่ถูกลอบยิงจนเสียชีวิต ขณะรณรงค์หาเสียง เพื่อชิงตำแหน่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับ Robert F. Kennedy Jr. ผู้เป็นลูก ซึ่งจะเป็นผู้เข้าท้าชิงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี ค.ศ. 2024 เป็นทนายความด้านสิ่งแวดล้อม นักเขียน และนักเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีน mRna

และคนต่อมา ซึ่งคือผู้ที่เราจะได้นำเรื่องราวและแนวคิดของเธอมาบอกเล่าคือ ‘Marianne Deborah Williamson’ (เกิด 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1952) วัย 71 ปี เธอเกิดที่เมือง Houston รัฐ Texas เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้ง 3 คนของ ‘Samuel Sam Williamson’ ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2 และทนายความด้านการย้ายถิ่นฐาน และ ‘Sophie Ann Kaplan’ แม่บ้านและอาสาสมัครในชุมชน Peter พี่ชายของเธอเป็นทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานเหมือนกับบิดาของเขา พี่สาวผู้ล่วงลับของเธอ ‘Elizabeth Jane’ เป็นคุณครู บิดาของเธอและปู่ย่าตายายของเธอเป็นผู้อพยพชาวยิว-รัสเซีย ปู่ของเธอเปลี่ยนนามสกุลจาก ‘Vishnevetsky’ เป็น ‘Williamson’ หลังจากเห็นป้ายโฆษณา ‘บริษัท Alan Williamson จำกัด’ บนรถไฟ เธอได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่นับถือศาสนายิวแบบอนุรักษ์นิยม จึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาของโลก และความยุติธรรมทางสังคมจากครอบครัว Williamson บรรยายตัวเองว่าเป็น ‘สาวยิว’ ในการให้สัมภาษณ์ในปี ค.ศ. 2022 เธอเริ่มสนใจในการสนับสนุนและเข้าร่วมในเรื่องราวสาธารณะต่าง ๆ เมื่อเธอเห็น ‘Rabbi’ นักบวชในศาสนายิวของเธอ กล่าวต่อต้านสงครามเวียดนาม และทำให้เธอมีแนวคิดแบบเสรีนิยมมาจนทุกวันนี้

เธอผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เธอมีชีวิตแต่งงานช่วงสั้น ๆ ในปี ค.ศ. 1979 กับนักธุรกิจชาว Houston เธอบอกว่า การแต่งงานของเธอใช้เวลาเพียง ‘นาทีครึ่ง’ เท่านั้น ในปี ค.ศ. 1990 เธอให้กำเนิดลูกสาวชื่อ ‘India Emmaline’ และมีหลานยายหนึ่งคน ในปี ค.ศ. 2012 การสำรวจความคิดเห็นของ Newsweek เสนอให้เธอเป็นหนึ่งใน ‘50 baby boomers’ (ผู้ที่เกิดในยุค baby boom) ที่มีอิทธิพลมากที่สุด

‘Marianne Williamson’ เป็นนักเขียน เธอแต่งหนังสือ 14 เล่ม ส่วนใหญ่เกี่ยวเรื่องของจิตวิญญาณ รวมถึงบทภาพยนตร์ ‘Advice, How To and Miscellaneous’ หนังสือที่เธอแต่ง 7 เล่ม อยู่รายชื่อหนังสือขายดีของ ‘The New York Times’ โดย 4 เล่มที่เปิดตัวมียอดขายสูงสุด ในปี ค.ศ. 1998 เธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Peace Alliance’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และยังเป็นผู้ก่อตั้ง ‘Project Angel Meal’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งให้บริการอาหารฟรี สำหรับผู้ที่ป่วยเกินกว่าจะซื้อของและปรุงอาหารเองได้ โดยให้บริการในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเทศมณฑล Los Angeles กับ Los Angeles ตอนใต้ และนคร Los Angeles เป็นพื้นที่ให้บริการที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่งขององค์กรนี้ ในปี ค.ศ. 2017 ผู้รับบริการคือ ชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกและลาติโน 39% ชาวแอฟริกันอเมริกัน 29% คนขาว 21% และเชื้อชาติอื่น ๆ อีก 11%

เธอไปออกรายการ ‘The Oprah Winfrey Show’ หลายครั้ง จนกลายเป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิญญาณของ ‘Oprah Winfrey’ ด้วย เธอเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ (ผู้สมัครอิสระ) เขตรัฐสภาที่ 33 ของมลรัฐ California ในปี ค.ศ. 2014 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เธอสมัครเป็นสมาชิกพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2019 และลงสมัครชิงตำแหน่งผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2020 ในที่สุดก็ถอนตัว และหันไปสนับสนุน ‘Bernie Sanders’ แทน แต่ก็พ่ายให้กับ Joe Biden ผู้ซึ่งชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนปัจจุบัน และครั้งนี้เธอลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี ค.ศ. 2024 ในเวทีรณรงค์หาเสียง ในตำแหน่งผู้แทนพรรคเพื่อเป็นผู้สมัครประธานาธิบดี Williamson เรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ การจ่ายค่าชดเชยสำหรับความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ การจัดการกับสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง และการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา

การรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 2024 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 เธอยืนยันว่า เธอจะเปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ปี ค.ศ. 2024 เธอเริ่มการรณรงค์หาเสียงในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2023 โดยมีนโยบายในด้านต่าง ๆ ดังนี้

- สิทธิในการทำแท้ง เธอสนับสนุนการเข้าถึง การทำแท้ง การบริการ และทางเลือกต่าง ๆ เธอได้พูดสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ที่ได้รับการประกันภายใต้การคว่ำบาตรในขณะนี้ ตามคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1973 (Roe v. Wade)

- การชดเชยสำหรับชาวอเมริกันผิวสี เธอสนับสนุนการจัดสรรเงินค่าชดเชยผู้ที่เคยเป็นทาส หรือลูกหลานทายาท มูลค่า 200-500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งกระจายไปตลอด 20 ปี สำหรับ ‘โครงการทางเศรษฐกิจและการศึกษา’ โดยจะจ่ายตามคำแนะนำของกลุ่มผู้นำผิวสีที่ได้รับเลือก

- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน เธอถือว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ‘ความท้าทายทางศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน’ เธอสนับสนุนข้อตกลงใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกลับเข้าสู่ข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้งโดยทันที และระบุว่า เธอยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือภาคพื้นแปซิฟิก หากมีการรวมการคุ้มครองคนงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเธอยังสนับสนุนการอุดหนุนโดยตรงของสหรัฐฯ จากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงถ่านหิน และลงทุนใหม่ในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ทั้งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา

- การควบคุมอาวุธปืน เธอสนับสนุนการควบคุมอาวุธปืน โดยอธิบายว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องส่วนตัวสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เธอได้กล่าวปาฐกถาสำคัญแก่สตรีมุสลิมและชาวยิวหลายร้อยคน ที่การประชุม Sisterhood of Salaam-Shalom ในเมือง Doylestown มลรัฐ Pennsylvania แปดวันหลังจากชาวยิว 11 คนถูกสังหารที่โบสถ์ยิว ‘Tree of Life’ ในเมือง Pittsburgh เธอคัดค้านความกลัวที่ว่า ‘เรื่องนี้จะถูกใช้เป็นพลังทางการเมือง’ และสนับสนุนการทดแทนด้วยการมอบความรักต่อกัน

- การดูแลสุขภาพและการฉีดวัคซีน เธอสนับสนุนการดูแลสุขภาพถ้วนหน้าภายใต้ ‘แผน Medicare for All’ และสนับสนุนกฎระเบียบที่เป็นอิสระของอุตสาหกรรมยา เพื่อป้องกันสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘การปฏิบัติแบบน่าล่า’

- การย้ายถิ่นฐาน เธอไม่สนับสนุนการเปิดพรมแดน แต่เรียกร้องให้สิ่งที่เธออธิบายว่า เป็นแนวทางที่มีมนุษยธรรมมากขึ้นต่อนโยบายเรื่องพรมแดน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 เธอวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี ‘Donald Trump’ ในขณะนั้น เกี่ยวกับนโยบายการเข้าเมืองของเขา หลังจากมีรายงานว่า เด็กถูกแยกออกจากครอบครัวและถูกส่งตัวเข้าศูนย์กักกัน เธอเรียกการกระทำเหล่านี้ว่า ‘อาชญากรรมที่รัฐสนับสนุน’ หลังจาก Trump ประกาศว่า “ICE จะเริ่มการส่งผู้อพยพจำนวนมากกลับประเทศ” เธอกล่าวว่า “ไม่แตกต่างกับสิ่งที่ชาวยิวเผชิญกับนาซีเยอรมนีในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2” นอกจากนั้น เธอยังสนับสนุนการดำเนินการรอการตัดบัญชีสำหรับการมาถึงในวัยเด็ก (DACA) และขยายการคุ้มครองและการแปลงสัญชาติให้กับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร ซึ่งถูกนำตัวมายังสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยไม่คำนึงถึงอายุปัจจุบันของพวกเขา

- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคงของชาติ เธอสนับสนุนการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพของสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยในการออกแบบที่เธอเสนอใหม่ ซึ่งรวมถึงแผนการจัดตั้งสถาบันสันติภาพ ซึ่งจำลองมาจากสถาบันการทหาร แต่ยังคงสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางทหาร เมื่อชาติพันธมิตร NATO ถูกคุกคาม เมื่อสหรัฐอเมริกาตกอยู่ภายใต้การคุกคามของการโจมตี หรือ ‘เมื่อระเบียบด้านมนุษยธรรมของโลกตกอยู่ในความเสี่ยง’ เธอสนับสนุนการถอนทหารสหรัฐฯ ทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด และจะพิจารณาใช้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติดำเนินการแทน เธอกล่าวว่า “สหรัฐฯ มีฐานทัพในต่างประเทศมากถึง 750 แห่ง หากสามารถลดทอนงบประมาณด้านการทหารลงได้ จะสามารถนำไปใช้ดำเนินการโครงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ได้อีกมาก”

- เธอสนับสนุนสหรัฐฯ อย่างจริงจัง โดยใช้จุดยืนของตน เช่น ผ่าน CFIUS : The Committee on Foreign Investment in the United States (คณะกรรมการร่วมของหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบธุรกรรมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา และธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์บางอย่างโดยบุคคลต่างชาติ เพื่อพิจารณาผลกระทบของธุรกรรมดังกล่าวต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา) เพื่อป้องกันไม่ให้จีนซื้อบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเธอเชื่อว่าจะช่วยปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผลประโยชน์ และสิทธิมนุษยชน เช่นเดียวกับในกรณีของชาวอุยกูร์และผู้อยู่อาศัยในฮ่องกง เธอสนับสนุนการกลับเข้าร่วมแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (JCPOA : Joint Comprehensive Plan of Action) ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งบรรลุในกรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ระหว่างประเทศอิหร่านกับ P5+1 (สมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกาบวกเยอรมนี) และสหภาพยุโรปอีกครั้ง และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ที่ยกระดับความตึงเครียดกับอิหร่าน เธอสนับสนุนการแก้ปัญหา 2 รัฐ ต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล–ปาเลสไตน์

- ชุมชน LGBTQ เธอสนับสนุนรัฐบัญญัติความเท่าเทียมกัน

- ค่าแรงขั้นต่ำ เธอสนับสนุนการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโยบายของ Marianne Williamson ค่อนข้างจะมีทัศนคติเชิงบวกต่อความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่จากสรุปผลสำรวจเปรียบเทียบระหว่างผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ทั้ง 3 คนแล้ว เธอมาเป็นอันดับ 3 ท้ายสุด ห่างจาก Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้นำในทุก Poll มาก ส่วน Robert F. Kennedy Jr. ตามมาเป็นอันดับ 2 แต่ก็ถูกประธานาธิบดี Biden นำชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

ส่วน Marianne Williamson เธอมีคะแนนที่เลือกเพียงครึ่งเดียวของ Robert F. Kennedy Jr. เท่านั้น จึงเป็นการยากมาก ๆ ที่เธอจะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เพื่อไปชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Republican กอปรกับคณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ได้แสดงการสนับสนุนประธานาธิบดี Biden อย่างเต็มที่แล้ว

และ ณ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 คณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ก็ยังไม่มีแผนที่จะจัดเวที debate เบื้องต้น ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรคอย่างเป็นทางการใด ๆ ซึ่ง Marianne Williamson ได้วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น ‘แผนการที่มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว’ และ ‘เป็นกระบวนการกีดกันผู้สมัครรายอื่น’ ด้วยแนวคิดและนโยบายของเธอ แม้ว่าจะเป็นมิตรกับความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่นโยบายเช่นนี้ก็เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของบรรดากลุ่มทุนการเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐฯ เธอจึงไม่น่าที่จะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เลยแม้แต่น้อย

‘George Stinney Jr.’ เด็กชายผิวสี ผู้ถูกพรากความเป็นธรรม จนกลายเป็นนักโทษประหารที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เมื่อความยุติธรรมในสหรัฐฯ ไม่มีอยู่จริง!! ‘George Stinney Jr.’ วัยเพียง 14 ปี… ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยมิชอบ

‘George Stinney Jr.’ เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจและเป็นโศกนาฏกรรมที่สุด ที่ออกมาจากประวัติศาสตร์กระบวนการยุติธรรมอเมริกัน เมื่อ ‘George Stinney Jr.’ เด็กชายผิวสี ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 14 ปี ถูกตัดสินโดยมิชอบ ในข้อหาฆาตกรรมเด็กหญิงผิวขาวสองคนในเมือง Alcolu มลรัฐ South Carolina เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1944 จากการพิจารณาคดีที่ที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง นำไปสู่การตัดสินลงโทษที่ไม่มีความยุติธรรม โดยอาศัยคำสารภาพที่ไม่น่าเชื่อถือของเด็กชาย ซึ่งถูกบังคับภายใต้การบังคับขู่เข็ญของตำรวจ

ในปี ค.ศ. 1944 George Stinney Jr. เด็กชายวัย 14 ปี อาศัยอยู่ที่เมือง Alcolu มลรัฐ South Carolina กับ ‘George Stinney Sr.’ ผู้เป็นพ่อ ‘Aimé’ ผู้เป็นแม่ ‘John’ พี่ชาย อายุ 17 ปี ‘Charles’ น้องชาย อายุ 12 ปี น้องสาว ‘Katherine’ วัย 10 ขวบ และ ‘Aime’ วัย 7 ขวบ พ่อของ Stinney ทำงานที่โรงเลื่อยในเมือง และครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในบ้านของบริษัท Alcolu เป็นเมืองอุตสาหกรรมเล็ก ๆ ที่ชนชั้นแรงงานอาศัยอยู่ ซึ่งย่านที่พักอาศัยของคนผิวขาวและผิวสีนั้น ถูกแบ่งแยกออกจากกันด้วยทางรถไฟ ในสมัยนั้นเมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ธรรมดาทั่วไปทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองพวกค่อนข้างจำกัด เมื่อพิจารณาจากโรงเรียนและโบสถ์ที่แยกจากกัน สำหรับคนผิวขาวและคนผิวสี

วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1944 ศพของเด็กหญิง ‘Betty June Binnicker’ อายุ 11 ปี และ ‘Mary Emma Thames’ อายุ 7 ปี ถูกพบในคูน้ำทางฝั่งของคนผิวสีของเมือง Alcolu หลังจากที่เด็กหญิงทั้งสองไม่กลับบ้านเมื่อคืนก่อน (22 มีนาคม) พ่อของ Stinney ก็เป็นคนหนึ่งที่ออกช่วยในการค้นหา สภาพศพเด็กหญิงทั้งสองถูกทุบตีด้วยอาวุธ ซึ่งรายงานระบุว่า เป็นชิ้นส่วนโลหะจากรางรถไฟ เด็กหญิงทั้งสองต่างได้รับบาดเจ็บจากการใช้อาวุธที่มีลักษณะทื่ออย่างรุนแรง ที่แผลกะโหลกของเด็กหญิงทั้งสองคนถูกเจาะด้วยอาวุธดังกล่าว ตามรายงานของแพทย์นิติเวชระบุว่า บาดแผลเหล่านี้ ‘เกิดจากเครื่องมือทื่อที่มีหัวกลม ขนาดประมาณค้อน’ รายงานนิติเวชยังระบุอีกว่า ไม่มีหลักฐานการล่วงละเมิดทางเพศของ Binnicker เด็กหญิงที่โตกว่า แม้ว่าอวัยวะเพศของ Binnicker จะมีรอยฟกช้ำเล็กน้อยก็ตาม

  

ดอก ‘Maypops’

รายงานการสอบสวนระบุด้วยว่า มีผู้พบเห็นเด็กผู้หญิงครั้งสุดท้ายขี่จักรยานเพื่อมองหาดอกไม้ ขณะที่พวกเขาผ่านบ้านของครอบครัว Stinneys พวกเขาได้ถาม George และ Aime น้องสาวของเขาว่า จะหาดอก ‘Maypops’ ซึ่งเป็นชื่อท้องถิ่นของดอกเสาวรสได้จากที่ไหน ตามคำบอกเล่าของ Aime เธออยู่กับ George ตามเวลาที่ตำรวจระบุในภายหลังว่า “เป็นเวลาที่การฆาตกรรมเกิดขึ้น” ตามบทความในรายงานของ ‘Wire Services’ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1944 ตำรวจท้องที่ได้ประกาศว่า ได้ทำการจับกุม ‘George Junius’ และระบุว่า เด็กชายได้สารภาพและนำเจ้าหน้าที่ไปที่ ‘วัตถุสังหารที่ถูกซ่อนอยู่’

George และ John พี่ชายของเขาถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเด็กหญิง ต่อมาตำรวจได้ปล่อยตัว John แต่ George ถูกควบคุมตัวไว้ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบพ่อแม่ของเขา จนกระทั่งหลังจากการพิจารณาคดีและถูกพิพากษาลงโทษแล้ว ตามข้อความที่เขียนด้วยลายมือ เจ้าหน้าที่จับกุมของเขาคือ ‘H.S. Newman’ เจ้าหน้าที่ตำรวจของเทศมณฑล Clarendon ซึ่งกล่าวว่า “ผมได้จับกุมเด็กชายคนหนึ่งชื่อ ‘George Stinney Jr.’ จากนั้นเขาก็รับสารภาพและบอกผมว่า จะหาวัตถุสังหารได้ที่ไหน มันยาวประมาณ 15 นิ้ว โดยที่เขาบอกว่า เขาเอามันไปทิ้งในคูน้ำห่างจากจักรยานราว 6 ฟุต”

หลังจากการจับกุม Stinney พ่อของเขาถูกไล่ออกจากงานที่โรงเลื่อยในท้องถิ่นทันที และครอบครัว Stinney ต้องย้ายออกจากที่พักอาศัยของบริษัทด้วย ครอบครัวกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเขา พ่อแม่ของ Stinney ไม่เจอเขาอีกเลยก่อนการพิจารณาคดี เขาไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ เลยในระหว่างการคุมขัง และระหว่างการพิจารณาคดี 81 วัน เขาถูกควบคุมตัวที่เรือนจำในเมือง Columbia ห่างจากเมือง Alcolu ราว 50 ไมล์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกประชาทัณฑ์ Stinney ถูกสอบสวนเพียงลำพัง โดยไม่มีพ่อแม่หรือทนายความ แม้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาตรา 6 จะรับประกันการได้คำปรึกษาด้านกฎหมายของผู้ต้องหา แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่งคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1963 ซึ่งระบุว่า “การดำเนินคดีทางอาญาผู้ต้องหาจำเป็นต้องมีทนายความทำหน้าที่เป็นตัวแทน”

 

ลายพิมพ์นิ้วมือของ George Stinney Jr.

การดำเนินคดีทั้งหมดต่อ Stinney รวมถึงการคัดเลือกคณะลูกขุนเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1944 ทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลของ Stinney คือ ‘Charles Ploughden’ ทนายความคดีภาษี (คนผิวขาว) ซึ่งไม่ได้ทักท้วงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 คน ที่ให้การเป็นพยานว่า Stinney รับสารภาพในข้อหาฆาตกรรม นอกจากนี้ เขายังไม่ได้ทักท้วงการนำเสนอคำสารภาพด้วยวาจาของ Stinney 2 ครั้งที่มีความแตกต่างกันของฝ่ายโจทก์ ในคำสารภาพแรก Stinney ถูกเด็กหญิงทำร้ายหลังจากที่เขาพยายามช่วยเด็กหญิงคนหนึ่งที่ตกลงไปในคูน้ำ และเขาฆ่าพวกเธอเพื่อป้องกันตัว ในอีกคำสารภาพหนึ่งระบุว่า เขาได้ติดตามเด็กหญิง โดยทำร้าย Mary Emma Thames ก่อน จากนั้น จึงทำร้าย Betty June Binnicker ซึ่งไม่มีบันทึกคำสารภาพของ Stinney เป็นลายลักษณ์อักษรเลย นอกเหนือจากคำให้การของเจ้าหน้าที่ Newman

 

นอกเหนือจากคำให้การของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นายแล้ว อัยการยังได้เรียกพยานอีก 3 ราย ได้แก่ สาธุคุณ ‘Francis Batson’ ผู้พบศพของเด็กหญิงทั้งสอง และแพทย์ 2 คนที่ทำชันสูตรพลิกศพ ศาลอนุญาตให้มีการพูดคุยถึง ‘ความเป็นไปได้’ ของการข่มขืน เนื่องจากอวัยวะเพศของ Betty June Binnicker มีรอยช้ำ นอกจากนั้น แล้วที่ทนายความของ Stinney ยังไม่ได้เรียกพยานใด ๆ ทั้งยังไม่ได้ซักถามพยานเลย และแทบจะไม่ได้เสนอข้อแก้ต่างเลย โดยการไต่สวนใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น

 

ผู้พิพากษา ‘Philip H. Stoll’

ชาวอเมริกันผิวขาวมากกว่า 1,000 คน มารวมตัวกันในห้องพิจารณาคดี แต่ไม่อนุญาตให้ชาวอเมริกันผิวดำเข้ามาแม้แต่คนเดียว และในเวลานั้น Stinney ถูกพิจารณาคดีต่อหน้าคณะลูกขุนผิวขาวทั้งหมด (ในปี ค.ศ. 1944 ชาวอเมริกันผิวสีส่วนใหญ่ในภาคใต้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ ดังนั้น จึงไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ที่พร้อมจะทำหน้าที่ในคณะลูกขุน) หลังจากพิจารณาในเวลาไม่ถึง 10 นาที คณะลูกขุนตัดสินว่า “Stinney มีความผิดฐานฆาตกรรม” ผู้พิพากษา Philip H. Stoll ตัดสินให้ประหารชีวิต Stinney ด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ไม่มีหลักฐานประกอบการพิจารณาคดีอื่น ๆ อีก และไม่มีการยื่นอุทธรณ์โดยทนายความของ Stinney เลย

  

ครอบครัว โบสถ์ และชุมชนคนผิวสีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ ‘Olin D. Johnston’ ผู้ว่าการมลรัฐ South Carolina เพื่อขอลดโทษ เมื่อพิจารณาจากอายุของเด็กชาย แต่กลุ่มคนผิวขาวก็เรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐปล่อยให้การประหารชีวิตดำเนินต่อไป ซึ่งเขาก็ยอมทำตามนั้น และ 2 วันก่อนการประหารชีวิต ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เขาได้ไปเยี่ยม George Stinney Jr. ในแดนประหาร (Death House) และผู้ว่า Johnston ได้เขียนตอบต่อการอุทธรณ์ขอลดโทษครั้งสุดท้ายโดยระบุว่า “ผมเพิ่งพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่จับกุมในคดีนี้ มันอาจจะน่าสนใจสำหรับคุณที่รู้ว่า Stinney ได้ฆ่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เพื่อข่มขืนเด็กหญิงที่ตัวโตกว่า จากนั้นเขาก็ฆ่าและข่มขืนศพของเธอ 20 นาทีต่อมา เขากลับมาและพยายามข่มขืนเธออีกครั้ง แต่ศพของเธอเย็นจนเกินไป ซึ่งทั้งหมดนี้เขายอมรับสารภาพเอง” ระหว่างช่วงเวลาที่ Stinney ถูกจับกุมและการประหารชีวิต พ่อแม่ของเขาได้รับอนุญาตให้พบเขาอีกครั้งหลังจากการพิจารณาคดี เมื่อเขาถูกควบคุมตัวในเรือนจำ Columbia ภายใต้การข่มขู่ว่าจะมีการประชาทัณฑ์ และพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับ George อีกเลย

 

George Stinney Jr. ถูกนำตัวไปประหารชีวิต

Stinney ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เวลา 07.30 น. เขาเตรียมพร้อมสำหรับการประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า โดยใช้พระคัมภีร์เสริมรองนั่ง เนื่องจาก Stinney ตัวเล็กเกินไปสำหรับเก้าอี้ตัวนั้น จากนั้น เขาก็ถูกจับผูกแขน ขา และลำตัวไว้กับเก้าอี้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถาม George ว่าเขามีคำพูดสุดท้ายที่จะพูดก่อนการประหารชีวิตเกิดขึ้นหรือไม่ แต่เขาเพียงแค่ส่ายศีรษะเท่านั้น เพชฌฆาตดึงสายรัดออกจากเก้าอี้แล้วปิดปากของ George  ทำให้เขาน้ำตาไหล จากนั้น เขาก็วางหน้ากากไว้บนใบหน้าของเขา ซึ่งมีขนาดที่ไม่พอดีกับเขาเช่นกัน และในขณะเขาก็ยังคงสะสะอีกสะอื้นต่อไป เมื่อมีการปล่อยกระแสไฟฟ้า หน้ากากที่ปิดอยู่ก็หลุดออก เผยให้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบหน้าของ Stinney ศพของเขาถูกฝังในหลุมศพที่ไม่มีป้ายเครื่องหมายในเมือง Crowley มลรัฐ Louisiana ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุด ที่มีการบันทึกอายุที่ถูกประหารชีวิตในสหรัฐอเมริกา

จนกระทั่ง 70 ปีต่อมา (ปี ค.ศ. 2014) ในที่สุดคดีของ George Stinney Jr. ก็ได้รับการพิจารณาใหม่ หลังจากมีหลักฐานใหม่ออกมาสนับสนุนความบริสุทธิ์ของเขา ซึ่งพิสูจน์ว่า “ไม่เคยมีหลักฐานสำคัญใดที่เชื่อมโยงเขาหรือใครก็ตามในเรื่องการฆาตกรรมครั้งนั้นเลย” สิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความโศกเศร้าและความอยุติธรรมให้กับคดีนี้ และสร้างความเศร้าสะเทือนใจให้กับผู้ที่รับรู้เรื่องราวของ George Stinney Jr. มากยิ่งขึ้น

‘Carmen Mullen’ ผู้พิพากษาผู้กลับคำตัดสินในคดีของ Stinney

Katherine Stinney Robinson

Aime Stinney Ruffner

น้องสาวสองคนของ George Stinney Jr. ให้การเป็นพยานในการพิจารณาคดี เพื่อเปิดการพิจารณาคดีของ George Stinney Jr. พี่ชายของพวกเธอใหม่อีกครั้งในเมือง Sumter มลรัฐ South Carolina และแทนที่จะอนุมัติให้มีการพิจารณาคดีใหม่ วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2014 Carmen Mullen ผู้พิพากษาได้กลับคำตัดสินในคดีที่ตัดสินแล้วเมื่อ 70 ปีก่อนของ Stinney โดยเธอตัดสินว่า “เขาไม่ได้รับการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรม เนื่องจากเขาไม่ได้รับการปกป้องอย่างมีประสิทธิภาพ และสิทธิ์ในการแก้ต่างตามรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ของเขาถูกละเมิด” คำตัดสินดังกล่าวเป็นการใช้วิธีการเยียวยาทางกฎหมายที่ถือว่าเป็นไปได้ยากยิ่ง ผู้พิพากษา Mullen ระบุว่า “คำสารภาพของเขามีแนวโน้มว่าจะ ‘ถูกบังคับ’ และด้วยเหตุนี้ การตัดสินจึงไม่อาจที่จะยอมรับได้” นอกจากนี้ เธอยังระบุว่า “การประหารชีวิตเด็กอายุ 14 ปีถือเป็น ‘การลงโทษที่โหดร้ายและผิดปกติ’ และทนายความของเขาไม่ได้เรียกพยานหรือไม่พยายามที่จะรักษาสิทธิในการอุทธรณ์ของเขาเอาไว้” Mullen จำกัดการตัดสินของเธอไว้ในกระบวนการของการฟ้องร้อง โดยให้ข้อสังเกตว่า Stinney ‘อาจจะเป็นผู้ก่ออาชญากรรมนี้ได้’ โดยอ้างอิงจากกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งผู้พิพากษา Mullen ได้ตัดสินว่า “ไม่มีใครสามารถพิสูจน์เหตุผลให้เด็กอายุเพียง 14 ปี ซึ่งถูกกล่าวหา ถูกพิจารณาคดี ถูกตัดสินลงโทษ และถูกประหารชีวิตจนแล้วเสร็จภายในเวลาเพียง 84 วันได้” แม้จะมีการกลับพิพากษาไม่ว่าจะมีการอ้างเหตุใดก็ตาม ชีวิตของ George Stinney Jr. ก็ไม่มีวันฟื้นคืน เช่นนี้แล้ว สหรัฐอเมริกายังมีความยุติธรรมมีอยู่จริงหรือ?

‘Darra Adam Khel’ เมืองเล็กๆ ในประเทศปากีสถาน ชุมชนแหล่งผลิต-จำหน่าย ‘อาวุธปืน’ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Darra Adam Khel แห่งช่องเขา Khyber 
เมืองวิสาหกิจชุมชนของแท้… ผลิตและจำหน่ายอาวุธปืน!!

จากข่าวของนักการเมืองคนหนึ่งถือกระป๋องเบียร์ยี่ห้อที่เอาชื่อจังหวัดมาตั้ง แล้วโฆษณาออกสื่อ* ว่า เป็นของดีประจำจังหวัด แต่เบียร์ดังกล่าวนั้นกลับไม่ได้ผลิตในจังหวัดนั้นแต่อย่างใด เพราะผู้จัดจำหน่ายไปจ้างบริษัทรับผลิต OEM เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผลิตในอีกจังหวัดหนึ่ง เบียร์ที่ว่า จึงไม่ใช่วิสาหกิจชุมชนของจังหวัดแต่อย่างใด เลยขอนำเสนอเรื่องราวของวิสาหกิจชุมชนแท้ ๆ ที่อยู่ในประเทศปากีสถานให้ผู้อ่านได้ทราบพอสังเขป

*การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกสื่อเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

หากพูดถึงร้านค้า โรงงานผลิตอาวุธปืนและกระสุนแล้ว ผู้คนมากมายต่างพากันเข้าใจและนึกถึงแต่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ประชาชนครอบครองปืนได้อย่างเสรี และมีจำนวนปืนที่ประชาชนครอบครองมากที่สุดในโลก ซึ่งน่าจะมีร้านค้าและโรงงานผลิตอาวุธปืนมากที่สุดในโลกด้วย หรือไม่ว่าจะเป็นจีน และรัสเซีย ต่างก็เป็นประเทศผู้ผลิตอาวุธปืนรายใหญ่เช่นกัน หรือแม้กระทั่ง เยอรมนี ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ หรือตุรกี แต่เปล่าเลย ประเทศที่มีโรงงานผลิตอาวุธปืนมากรายที่สุดในโลก กลับกลายเป็นประเทศปากีสถาน ประเทศมุสลิมในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า ‘Darra Adam Khel’ อยู่ระหว่าง Kohat และ Peshawar ในเขต Kohat Khyber Pakhtunkhwa ของประเทศปากีสถาน ใกล้ ๆ ชายแดนประเทศอัฟกานิสถาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ แต่เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของ ‘Federally Administered Tribal Areas’ (FATA) เมืองที่มีพลเมืองไม่ถึงหนึ่งแสนคน แต่มีวิสาหกิจชุมชนและร้านขายปืนมากถึงสองพันแห่ง มีช่างทำปืนราว 25,000 คน (ราวหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งเมือง) จึงน่าจะเป็นเมืองที่มีโรงงานและร้านขายปืนมากที่สุดในโลก และยังเป็นที่ตั้งของตลาดอาวุธปืนที่มีอายุกว่า 150 ปีอีกด้วย

เมือง Darra Adam Khel ประกอบด้วยถนนสายหลักสายหนึ่งที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าหลายแห่ง ในขณะที่ตรอกซอยและถนนด้านข้างมีโรงงานผลิตอาวุธปืนอยู่มากมาย มีการผลิตอาวุธปืนหลากหลายประเภทในเมือง ตั้งแต่ปืนต่อสู้อากาศยานไปจนถึงปืนปากกา รวมไปถีงกระสุนปืน อาวุธปืนทำมือโดยช่างฝีมือแต่ละคนที่ใช้เทคนิคการผลิตแบบดั้งเดิม ซึ่งมักจะตกทอดจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก มีการทดสอบอาวุธปืนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการยิงเข้าบังเกอร์ทรายข้างโรงงานหรือยิงขึ้นฟ้า

เมืองนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนอัฟกานิสถาน และอยู่ไม่ห่างจากทางหลวงที่มุ่งสู่กรุง Islamabad เมืองหลวงของประเทศ และอยู่ห่างออกมาประมาณ 20 นาทีจากเมือง Peshawar ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของภูมิภาคนี้ สันเขาที่อยู่ใกล้เคียงเป็นจุดเริ่มต้นของพื้นที่ชนเผ่ากึ่งปกครองตนเองของประเทศ ซึ่งกลุ่มนักรบที่อาศัยอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ Pashtuns หรือ บ้านเราเรียกว่า ‘Pathans’ นับตั้งแต่ความพยายามของกองทัพในการจัดระเบียบเมืองใหม่ในยุค 2000 ชาว Darra Adam Khel ที่ถูกหมายหัวหลายคนได้พาไปกันอพยพไปอยู่ตามเทือกเขาต่าง ๆ แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้ยังคงเป็นอาวุธปืนและกระสุนปืน

ภาพวาดเหตุการณ์สังหารหมู่ในเมือง Amritsar

เรื่องราวความเป็นมาของการเป็นเมืองที่มีร้านค้าและโรงงานผลิตอาวุธปืนมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเกิดจากนักสู้ชาว Pashtuns ผู้หนึ่งที่ชื่อว่า ‘Ajab Khan Afridi’ ซึ่งอาศัยอยู่ในเขต Frontier Tribal (เขต Kohat Khyber Pakhtunkhwa ในปัจจุบัน) ของชนเผ่า Afridi ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ Pashtuns ในยุคที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ และยังไม่แบ่งแยกกันระหว่างอินเดียและปากีสถาน หลังจากการสังหารหมู่ในเมือง Amritsar อันเนื่องมาจากการที่ชาวอินเดียนับหมื่นคนชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของรัฐบาลอินเดียภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ กองทหารอังกฤษ-อินเดีย (British Indian Army) จึงทำการล้อมยิงผู้ประท้วงดังกล่าว ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) ทำให้ชาวอินเดียเสียชีวิตไปจำนวนมาก โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่ยืนยันชัดเจน (ประมาณ 379 จนถึง 1,500 คน) สร้างความโกรธแค้นให้ชาวอินเดียเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผู้คน อีกทั้งความเกลียดชังต่ออังกฤษก็เพิ่มสูงขึ้น ยาวนานต่อเนื่องหลายสิบปีต่อมาจนกระทั่งอินเดียและปากีสถานได้รับเอกราช

Ajab Khan Afridi

เหตุการณ์สังหารหมู่ในเมือง Amritsar ทำให้กลุ่มต่อต้านอังกฤษกลุ่มเล็ก ๆ จากเผ่า Afridi, Shinwari และ Mohmand เกิดขึ้น ต่อมามีการ บุกเข้าไปในคลังอาวุธของหน่วยทหารม้าของกองทหารอังกฤษ-อินเดียที่ประจำอยู่ในเขต Kohat แล้วขโมยปืนยาวไปราว 100 กระบอก กลุ่ม Afridi ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปฏิบัติการ ทำให้ Ajab Khan ผู้นำกลุ่ม ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์นี้ ดังนั้น หมู่บ้านของเขาจึงถูกปิดล้อมโดยกำลังทหารและตำรวจของอังกฤษ แต่ Ajab Khan ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกในกลุ่มของเขาบางคนพยายามหลบหนี โดยปลอมตัวเป็นผู้หญิง ผู้บัญชาการกองกำลังจึงสั่งให้ทำการตรวจค้นผู้อยู่อาศัยทั้งหมด รวมทั้งผู้หญิงด้วย แต่ก็ไม่พบร่องรอยของปืนที่ถูกขโมย การตรวจค้นผู้หญิงถือเป็นการละเมิด ‘Purdah’ (ความเคารพ) และถูกมองว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างยิ่ง

อนุสาวรีย์ Ajab Khan Afrid ในเมือง Darra Adam Khel

Ajab Khan ซึ่งต้องการแก้แค้น จึงร่วมกับพรรคพวกได้บุกเข้าไปในค่าย Kohat เข้าไปในบ้านของพันตรี Ellis แต่เขาไม่อยู่ และภรรยาของพันตรี Ellis ขัดขืนจึงถูกแทงเสียชีวิต และได้ลักพาตัว Molly ลูกสาวของพันตรี Ellis ไป ต่อมา Molly ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ Ajab Khan และพรรคพวกยังได้ต่อสู้กับกองทหารอังกฤษ-อินเดียอีกหลายครั้ง และหลบหนีไปอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) Ajab Khan Afridi ได้เสียชีวิตลง ขณะอายุ 95 ปี ในเมือง Mazar-i-Sharif ในจังหวัด Balkh ของอัฟกานิสถาน และเป็นตำนานชีวิตของวีรบุรุษนักสู้ชาว Pashtuns แห่งเมือง Darra Adam Khel นับแต่นั้นเป็นต้นมา

โดยที่เมือง Darra Adam Khel อยู่ในภูมิภาคซึ่งยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนเผ่าท้องถิ่น ทำให้เมืองนี้มีกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับอาวุธปืน เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนที่เหลือของประเทศปากีสถาน ประชากรส่วนใหญ่ที่นี่ทำหรือขายสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ‘อาวุธปืน’ ในขณะที่ธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของชาวเมืองนี้คือ ‘การขนส่ง’ ไม่ว่าลูกค้าต้องการอาวุธปืนเลียนแบบ Beretta หรือ ปืนยิงเร็ว AK-47 ที่มีการ ‘รับประกัน’ ว่าใช้งานได้ดีเหมือนของแท้ แต่จำหน่ายในราคาเพียงเศษเสี้ยว ไม่ต้องมองหาอาวุธปืนราคาถูกคุณภาพดีจากที่ไหนเลย นอกจากเมือง Darra Adam Khel ซึ่งอยู่ใกล้กับอัฟกานิสถาน ประเทศที่มีความขัดแย้งรุนแรง และมีการใช้อาวุธปืนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ที่นี่ ในเมือง Darra Adam Khel จะสามารถพบกับอาวุธปืนของแท้ ควบคู่ไปกับอาวุธปืนที่ผลิตเลียนแบบเกือบทุกอย่างที่นักรบอิสระอาจต้องการ ไม่ว่าจะเป็น Kalashnikovs (AK-47), M16, Glock ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ในราคาถูกมาก ในยุครุ่งเรือง เมือง Darra Adam Khel เป็นที่หลบภัยของคนเร่ร่อน พ่อค้ายา และผู้ลี้ภัยต่าง ๆ โดยตำรวจปากีสถานไม่สามารถปฏิบัติการในพื้นที่นี้ได้ กระทั่งมีการปราบปรามโดยกองทัพปากีสถาน จึงทำให้ธุรกิจอาวุธปืนซบเซาลง แต่บรรดาพ่อค้าที่นั่นยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด ‘Azmatullah Orakzai’ เจ้าของร้านวัย 31 ปี กล่าวกับนักข่าวว่า “ผู้คนมักต้องการปืน”

ปืนไรเฟิลอัตโนมัติ M16 ‘Darra copy’ เลียนแบบและผลิตในเมือง Darra Adam Khel

ปืนไรเฟิลอัตโนมัติ M16 ซึ่งไม่ใช่ปืนดั้งเดิมของอเมริกา แต่เป็นของเลียนแบบจากจีน จะมีราคา 180,000 ถึง 230,000 รูปี ($1,800 ถึง $2,300) แต่ที่เลียนแบบและผลิตในท้องถิ่นเรียกว่า ‘Darra copy’ จะมีราคาเพียง 30,000 ถึง 80,000 รูปี ($300 ถึง $800) เท่านั้น

อาวุธปืน Glock ‘Darra copy’ ที่ทำเลียนแบบ ‘โครงปืน’ (Frame) เป็นพลาสติกใส

Orakzai กล่าวว่า “ปืนเลียนแบบ Glock ราคาเพียง 30,000 ถึง 35,000 รูปี” ปืนพกกึ่งอัตโนมัติของออสเตรียที่สามารถซื้อได้ในราคาต่ำกว่า $350

แล้ว ‘ปืน AK-47’ หรือ ‘Kalashnikov’ ตัวโปรดของกองโจรทั่วโลกล่ะ? Orakzai บอกว่าของแท้จะมีราคา 80,000 ถึง 200,000 รูปี ($800 ถึง $2,000) เขานำปืน AK-47 ยุคโซเวียตออกมาแสดงอย่างภาคภูมิใจ ปืน AK-47 ปี ค.ศ. 1971 ของอดีตสหภาพโซเวียต 8 ปี ก่อนที่อัฟกานิสถานจะถูกกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตรุกราน เครื่องหมายบนปืนเป็นภาษารัสเซีย แต่ของเลียนแบบราคาเพียง 7,000 ถึง 25,000 รูปี ($70 ถึง $250) เทียบกับเคบับแพะหนึ่งกิโลกรัม ซึ่งเป็นอาหารกลางวันสำหรับ 4 คนในราคา $20

โรงงานผลิตปืนแห่งหนึ่งในจำนวนหลายร้อยหรืออาจจะเป็นพันแห่งในเมือง Darra Adam Khel

การใช้เลเซอร์ในการเขียนตัวอักษรและแกะลายบนอาวุธปืน

การผลิตกระสุนปืนในเมือง Darra Adam Khel

ส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมอาวุธปืนของเมือง Darra Adam Khel ยังคงดำรงคงอยู่ได้ เพราะความขัดแย้งที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในประเทศอัฟกานิสถาน อาวุธปืนเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากมาย ขายเป็นประจำและขายเป็นจำนวนมากให้กับ ‘มูจาฮิดีน’(ขบวนการประชาชนมุญาฮิดีนอิหร่าน หรือ กองกำลังเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติอิหร่าน) ในอัฟกานิสถาน ช่วงสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน (พ.ศ. 2522-2532) ทุกวันนี้ ความต้องการก็ยังคงมีอยู่และดำเนินต่อไป พร้อมกับการถือกำเนิดของการผลิตอาวุธปืนที่ทันสมัยมากขึ้น การนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามา อาทิ การใช้เลเซอร์ในการเขียนและแกะลายอาวุธปืน ตลอดจนการผลิตกระสุนปืนอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วอาวุธปืนและกระสุนปืนของกองกำลังสหรัฐฯ และ NATO ที่เคยประจำอยู่ในอัฟกานิสถานที่ถูกทิ้งไว้มากมายมหาศาลก็ถูกลักลอบนำออกมาจำหน่ายในปากีสถาน ซึ่งรวมถึงเมืองแห่งนี้ด้วย เพราะรัฐบาลตาลีบันของอัฟกานิสถานห้ามประชาชนชานอัฟกันครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืนที่กองกำลังสหรัฐฯ และ NATO ทิ้งไว้ ด้วยถือว่าอาวุธปืนและกระสุนปืนเหล่านั้นเป็นสมบัติของรัฐบาลโดยปริยาย

อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ขนาด 12 (ลูกซอง) นัดเดียวบรรจุเดี่ยว

สำหรับบ้านเราแล้ว ฝ่ายที่คัดค้านหรือเห็นต่าง ซึ่งเป็นบรรดาผู้ที่ไม่ชอบอาวุธปืนก็จะให้เหตุผลว่า เรื่องของอาวุธปืนเป็นเรื่องไม่ดี เพราะอาวุธปืนถูกนำไปใช้เข่นฆ่าเพื่อคร่าชีวิต ทำร้ายผู้คน แต่ฝ่ายที่เห็นด้วยก็ให้เหตุผลว่า ปืนก็เหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกนี้ ตัวอย่างเช่น มีดเล่มหนึ่ง… ถ้านำไปใช้งานต่าง ๆ เพื่อการทำอาหาร หรือทำประโยชน์อื่น ๆ ก็ไม่ได้มีพิษภัยอันตรายแต่อย่างใด แต่เมื่อใดที่มีดเล่มนั้นถูกนำไปใช้ทำร้ายผู้คน เมื่อนั้นมีดเล่มเดียวกันนี้เอง ก็กลายเป็นอาวุธร้ายไป เช่นเดียวกับอาวุธปืน ซึ่งถูกผลิตออกมาโดยความมุ่งหมายเพื่อให้สุจริตชนเอาไว้ใช้ป้องกันชีวิต และทรัพย์สินจากภยันตรายต่าง ๆ รวมไปถึงใช้ในการป้องกันชาติบ้านเมืองจากอริราชศัตรู ซึ่งถือว่ามีคุณประโยชน์ เป็นเรื่องเชิงบวก หากแต่อาวุธปืนถูกทุจริตชนนำไปใช้ก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ก็กลายเป็นพิษภัยร้ายแรงต่อผู้คนและสังคมไปได้

วังบูรพาแหล่งรวมร้านค้าอาวุธปืนของไทย

ทุกวันนี้การครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกต้องตามกฎหมายในบ้านเราต้องขออนุญาตซื้อ (ป.3) และครอบครอง (ป.4) จากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ไม่สามารถพกพานำติดตัวโดยไม่มีเหตุอันควรได้ ซึ่งการพกพาต้องมีใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีแต่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเท่านั้น ที่จะมีสิทธิพกพาอาวุธปืนในขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ อีกทั้งอาวุธปืนที่ขายในประเทศทุกวันนี้ก็มีราคาแพงมาก ๆ ราคาขายปลีกอาวุธปืนในไทยสูงกว่าราคาขายปลีกอาวุธปืนในสหรัฐอเมริกามากกว่า 5 เท่าขึ้นไป อันเนื่องมาจากการจำกัดโควตาการนำเข้าอาวุธปืนของร้านค้าอาวุธปืน ที่สามารถสั่งนำเข้าอาวุธปืนมาจำหน่ายใบอนุญาตร้านค้าละ 30 กระบอกสำหรับอาวุธปืนสั้น และ 50 กระบอกสำหรับอาวุธปืนยาว (รวมปืนลูกซอง) ต่อปี จึงทำให้อุปสงค์ของอาวุธปืนสูงกว่าอุปทานมาก จนส่งผลให้ราคาของอาวุธปืนในบ้านเรามีราคาสูงมาก ๆ

ปืนเล็กกลแบบ 11 (Heckler & Koch HK33) ผลิตอาวุธปืนโดยกรมสรรพาวุธทหารบก กองทัพบกไทย

ประเทศไทยมีการผลิตอาวุธปืนโดยกรมสรรพาวุธทหารบก กองทัพบกไทย โดยได้ซื้อสิทธิบัตรเพื่อนำมาผลิตเอง โดยผลิตปืนเล็กกลแบบ 11 (Heckler & Koch HK33) เอง และเคยผลิตปืนพกทั้งจากการซื้อลิขสิทธิ์และเลียนแบบ แต่ยังมีอุตสาหกรรมเอกชนไทยผลิตอาวุธปืนได้สำเร็จในเชิงธุรกิจ เหมือนกับวิสาหกิจชุมชนของเมือง Darra Adam Khel ประเทศปากีสถานเลย หากพิจารณาจากกรณีวิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนของปากีสถานแล้ว การผลิตอาวุธปืนไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นสำหรับวงการอุตสาหกรรมของบ้านเราแต่อย่างใด เพียงแต่ยังขาดความเข้าใจและการสนับสนุนในการเข้าถึงโอกาส สำหรับอุตสาหกรรมประเภทนี้ของประเทศไทยเท่านั้นเอง

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งในการที่ทางการปากีสถานยังปล่อยให้วิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืนของเมือง Darra Adam Khel ดำรงคงอยู่ก็คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างปากีสถานและอินเดีย ซึ่งยังมีอยู่เป็นระยะ ๆ การมีวิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืนในประเทศนั้น ถือเป็นการเสริมสร้าง "ศักย์สงคราม" หรือความสามารถในการทำสงครามของปากีสถานไปโดยปริยาย ปากีสถานซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่าอินเดีย 5 เท่า กองทัพจึงมีขนาดเล็กกว่าไปด้วย แต่กองทัพปากีสถานก็มีความพร้อมบวกกับกองทัพอินเดียโดยตลอด วิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืนของเมือง Darra Adam Khel จึงมีทั้งคุณและโทษ โดยที่คุณค่าที่มีนั้นยังคงจำเป็นต่อความมั่นคงของปากีสถานทำให้วิสาหกิจดังกล่าวจึงดำรงคงอยู่ได้จนทุกวันนี้ และต่างจากบ้านเราที่ยังต้องสั่งนำเข้าทั้งอาวุธของกองทัพ ตำรวจ และพลเรือน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top