Sunday, 15 June 2025
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

แค่ทฤษฎีสมคบคิด?? รู้จัก 'Dulce Base' ในมลรัฐ New Mexico พื้นที่ที่หลายคนเชื่อว่าเป็น 'ฐานของมนุษย์ต่างดาว'

วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศรับอากาศเย็นด้วยเรื่องราวที่ดูเหมือนเป็นทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) หรือเรื่องราวที่อ่านแล้วรู้สึกว่า 'เหลือเชื่อ' กันครับ เรื่องของ Dulce Base อันเป็นประเด็นหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่อ้างว่า มีสถานที่ใต้ดินที่มนุษย์และมนุษย์ต่างดาวทำงานร่วมกันภายใต้แนวเขา Archuleta Mesa บนชายแดนระหว่างสองมลรัฐคือ Colorado กับ New Mexico ใกล้ ๆ กับเมือง Dulce มลรัฐ New Mexico ในสหรัฐอเมริกา เมือง Dulce เป็นเมืองหลักของเขตสงวน Jicarilla Apache ทางตอนเหนือของมลรัฐ New Mexico และส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมือง แม้จะมีประชากรเพียงเล็กน้อย ซึ่งจำนวนน้อยกว่า ๓,๐๐๐ คน 

หมู่บ้านเล็ก ๆ ในทะเลทรายที่แปลกตา ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณไฟจราจรเสียด้วยซ้ำ แต่ชุมชนเล็ก ๆ ที่เงียบสงบนี้เป็นจุดที่นักจานบินวิทยาและนักทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวทุกคนเชื่อว่า ใต้เมืองนี้เป็นฐานลับ ๗ ชั้น อยู่ลึกลงไปสองไมล์ใต้พื้นดิน เป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์และมนุษย์ต่างดาวทำงานร่วมกัน อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า Dulce Base

อันที่จริงแล้วมลรัฐ New Mexico เป็นรัฐที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาวมาหลายสิบปีแล้ว จากกรณีของ เหตุการณ์จานบิน (Unidentified Flying Object) ตกที่ Roswell เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1947 เมื่อมีวัตถุบินตกใส่ไร่แห่งหนึ่งใกล้กับเมือง Roswell มลรัฐ New Mexico ในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 มีคำอธิบายเหตุการณ์หลากหลายมากมาย ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะประกาศว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงบอลลูนเฝ้าตรวจทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ ตก แต่คำอธิบายที่มีผู้เชื่อถือมากที่สุดคือ วัตถุดังกล่าวเป็นยานอวกาศที่มีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่ด้วย ตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 เหตุการณ์ที่ Roswell ได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง จนเกิดเป็นเกิดเรื่องราวต่าง ๆ กระทั่งทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

Gabriel Valdez ตำรวจทางหลวงของมลรัฐ New Mexico ได้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับตำนาน Dulce Base โดยรอบเป็นอย่างดี เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1970 โดยเขารายงานการตายของวัวหลายตัว โดย Valdez อ้างว่าได้เห็น 'ยานอวกาศที่มีรูปร่างที่แปลกประหลาดและซับซ้อน' ในเมือง Dulce บนท้องฟ้าใกล้กับตำแหน่งซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ Dulce Base และได้พบวัวที่ถูกสังหารพร้อมกับลูกในครรภ์ 

Valdez อ้างต่อว่า ไม่ใช่ลูกวัวที่ยังไม่เกิด แต่ดูเหมือนจะเป็นลูกผสมที่แปลกประหลาดระหว่าง 'มนุษย์ ลิง และกบ' เศษซากที่อยู่รอบ ๆ ทำให้ Valdez เชื่อว่า รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้อง และสัตว์ที่ตายไม่ได้ถูกสังหารโดยสัตว์ป่า 

เขากล่าวว่า “หลักฐานที่ถูกทิ้งไว้ที่นั่น คุณรู้ไหมว่า ผู้ล่าจะไม่ทิ้งหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ แท่งเรืองแสง เรดาร์ Chaff (อุปกรณ์พรางสัญญาณเรดาร์)”

Valdez สรุปว่า 'พวกเขาไม่ทิ้งของพวกนี้' การตายของวัว-ควาย ปศุสัตว์ มักจะเชื่อมโยงกับการพบเห็นจานบินในบริเวณใกล้เคียง บริเวณชายแดนระหว่างสองมลรัฐคือ Colorado กับ New Mexico กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่โดดเด่นที่สุดในประเทศสำหรับรายงานสองประเภททั้งจานบินและมนุษย์ต่างดาวตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980

การกล่าวอ้างถึงกิจกรรมของมนุษย์ต่างดาวเกิดขึ้นครั้งแรกจาก Paul Bennewitz นักธุรกิจชาวเมือง Albuquerque เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1979 เมื่อ Bennewitz เชื่อว่า เขากำลังสกัดกั้นการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์จากยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวและฐานลับบนพื้นโลกซึ่งอยู่นอกนอกเมือง Albuquerque ในช่วงทศวรรษ 1980 

เขาเชื่อว่า เขาได้ค้นพบฐานลับใต้ดินใกล้กับเมือง Dulce ซึ่งเต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาวสีเทา ในปี ค.ศ. 1983 คำกล่าวอ้างของ Bennewitz ถูกเผยแพร่ในสื่อยอดนิยมหลายครั้ง เรื่องราวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วภายในชุมชนผู้สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาว เขายังตีพิมพ์บทความเรื่อง 'Project Beta' ในปี ค.ศ. 1988 และในปี ค.ศ. 1987 John Lear นักจานบินวิทยาอ้างว่า เขาได้รับการยืนยันเกี่ยวกับการมีอยู่ของฐานจานบินและมนุษย์ต่างดาว 

ต่อมาในปี ค.ศ. 1986 George Clinton Andrews ได้เล่าถึงตำนานของ Dulce Base ในหนังสือของเขาชื่อ Extra-Terrestrials Among Us และในปี ค.ศ. 1988 หนังสือพิมพ์ Weekly World News ตีพิมพ์เรื่อง 'ฐานจานบินที่พบในมลรัฐ New Mexico' อ้างว่า "ผู้บุกรุกที่ชั่วร้ายจากระบบสุริยะอื่นได้มาตั้งฐานใต้ดินลับในภูเขาที่ขรุขระทางตอนเหนือของมลรัฐ New Mexico เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้มนุษย์สำหรับการทดลองทางพันธุกรรมที่แปลกประหลาด" 

เรื่องราวของ Weekly World News อ้างอิงจากคำพูดจาก Leonard Stringfield นักจานบินวิทยา แต่เมื่อ Stringfield ทราบเรื่องนี้ เขาก็ประท้วงทันทีว่า "ข้อเท็จจริงคือ ในชีวิตผมไม่เคยอ่านเรื่องอะไรที่บิดเบือนเช่นนี้มาก่อนเลย" ในปี ค.ศ. 1990 'Paul Snyder' เขียนเกี่ยวกับแผนการสมคบคิดของ Dulce Base

‘Lockheed’ ติดสินบนผู้มีอำนาจหลายชาติ เพื่อปิดดีลซื้อ-ขายเครื่องบิน

ไม่ใช่เฉพาะบ้านเราที่มีข่าวการติดสินบนทั้งในหมู่นักการเมืองและหน่วยราชการต่าง ๆ ในประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘อารยประเทศ’ ก็เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเช่นกัน การติดสินบนอื้อฉาวดังกล่าวทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างมากใน เยอรมนีตะวันตก อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ส่วนในสหรัฐอเมริกาเรื่องอื้อฉาวเกือบจะนำไปสู่ความหายนะของบริษัท Lockheed เนื่องจากต้องดิ้นรนให้พ้นจากความล้มเหลวทางการค้าในการผลิตเครื่องบินโดยสารแบบ Lockheed L-1011 TriStar 

กรณีสินบนจากผลงานที่ทำโดยพนักงานของ บริษัท Lockheed ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1950 จนถึงกลางทศวรรษ 1970 ในขั้นตอนของการเจรจาต่อรองในการเสนอขายเครื่องบินแบบต่างๆ ของบริษัท Lockheed

Clarence ‘Kelly’ Johnson หัวหน้าคนแรกของทีมออกแบบ Skunk Works ของบริษัท Lockheed

ผู้บริหารของบริษัท Lockheed ยอมรับว่า มีการจ่ายเงินสินบนหลายล้านดอลลาร์เป็นเวลากว่าทศวรรษให้กับผู้มีอำนาจใน เยอรมนีตะวันตก อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น รวมทั้งซาอุดีอาระเบียเพื่อให้พวกเขาซื้อเครื่องบินของเรา 

‘Kelly’ หมายถึง Clarence ‘Kelly’ Johnson หัวหน้าคนแรกของทีมออกแบบ Skunk Works ของบริษัท Lockheed เองก็ยังรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเปิดเผยเรื่องทุจริตเหล่านี้จนเกือบจะลาออก และมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Lockheed ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวจะลาออกด้วยความอับอายขายหน้ากันหลายคน

เมื่อมีการผ่านรัฐบัญญัติการค้ำประกันเงินกู้ในกรณีฉุกเฉิน ปี ค.ศ. 1971 ซึ่งโครงการค้ำประกันนี้จะทำให้รัฐบาลสหรัฐรับภาระหนี้ของบริษัท Lockheed หากผิดนัดชำระหนี้ ในปี ค.ศ. 1975 ในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1975 คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ตรวจสอบว่า บริษัท Lockheed อาจละเมิดภาระหน้าที่หรือไม่ โดยไม่แจ้งให้คณะกรรมาธิการฯ ทราบเกี่ยวกับการชำระเงินในต่างประเทศของบริษัท Lockheed เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1977 บริษัท Lockheed และธนาคารผู้ให้กู้ยืม ๒๔ แห่งได้ทำข้อตกลงด้านสินเชื่อโดยให้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน US$100,000,000 เพื่อทดแทนข้อผูกพันในการค้ำประกันของรัฐบาล สิ่งนี้ถูกใช้เพื่อปลดหนี้ของบริษัท Lockheed มูลค่า US$60,000,000 คณะกรรมาธิการการค้ำประกันเงินกู้ฉุกเฉินได้อนุมัติข้อตกลงสินเชื่อฉบับใหม่เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1977 ผ่านข้อตกลงการยกเลิกโดยคณะกรรมาธิการค้ำประกันเงินกู้ฉุกเฉินของรัฐบาลฯ หลังจากออกรายงานฉบับสุดท้ายในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1977 ค่าธรรมเนียมที่บริษัท Lockheed และธนาคารจ่ายให้แก่คณะกรรมาธิการการฯ สำหรับการบริหารเงินกู้โปรแกรมสุทธิประมาณ US$30,000,000 ซึ่งถูกส่งไปยังกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ โดยตรง และไม่เคยมีการมอบเงินภาษีของพลเมืองอเมริกันแก่บริษัท Lockheed เลย

เครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter ของกองทัพอากาศเยอรมันตะวันตก

ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1975 และต้นปี ค.ศ. 1976 คณะอนุกรรมาธิการของวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งนำโดยวุฒิสมาชิก Frank Church สรุปว่า สมาชิกของคณะกรรมการบริหารของบริษัท Lockheed ได้จ่ายเงินให้สมาชิกของรัฐบาลที่เป็นมิตรเพื่อรับประกันสัญญาสำหรับเครื่องบินรบ ในปี ค.ศ. 1976 มีการเปิดเผยต่อสาธารณะว่า บริษัท Lockheed ได้จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ต่างชาติจำนวน US$22,000,000 ในกระบวนการเจรจาการขายเครื่องบินซึ่งรวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ F-104 Starfighter ซึ่งถูกเรียกว่า ‘ข้อตกลงแห่งศตวรรษ’ (Deal of the Century)

>> เยอรมนีตะวันตก 
Ernest Hauser อดีต Lobbyist ของบริษัท Lockheed บอกกับคณะอนุกรรมาธิการของวุฒิสภาสหรัฐ ว่า Franz Josef Strauss รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเยอรมันตะวันตกและพรรค Christian Social Union ของเขาได้รับเงินอย่างน้อย US$10,000,000 สำหรับการซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ F-104G จำนวน ๙๐๐ เครื่องในปี ค.ศ. 1961 แต่พรรค Christian Social Union และผู้นำพรรคปฏิเสธข้อกล่าวหา และ Strauss ยื่นฟ้อง Hauser ว่าใส่ความ เนื่องจากคำฟ้องดังกล่าวไม่ได้รับการยืนยันปัญหาจึงหลุดไป 

Manfred Wörner สมาชิกของ Bundestag และสมาชิกสภากลาโหม เยอรมันตะวันตก

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1976 ช่วงสุดท้ายของการเลือกตั้งสหพันธรัฐเยอรมันตะวันตก กรณีดังกล่าวได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีการถามคำถามเกี่ยวกับ ‘เอกสารของ Lockheed’ กระทรวงกลาโหมของรัฐบาลเยอรมันตะวันตกเก็บไว้ ทั้งยังมีแหล่งข่าวนิรนามได้แจกจ่ายเอกสารหลายฉบับให้สื่อมวลชนรับทราบ 

ตามเอกสารเหล่านี้ Manfred Wörner สมาชิกของ Bundestag และสมาชิกสภากลาโหม เยอรมันตะวันตก ได้ตอบรับคำเชิญจากบริษัท Lockheed ให้ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องบินของพวกเขาในสหรัฐอเมริกาโดยที่บริษัท Lockheed เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ตลอดการเดินทาง และในระหว่างการสืบสวนยังพบว่า เอกสารส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter ถูกทำลายในปี ค.ศ. 1962 เบาะแสของเอกสารได้ถูกนำขึ้นมาหารืออีกครั้งในการประชุมคณะกรรมาธิการสอบสวนของ Bundestag ระหว่างเดือนมกราคม ค.ศ. 1978 ถึงเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1979 และการสืบสวนของทางการสหรัฐฯ เปิดเผยว่าการเดินทางไปสหรัฐฯ Wörner รับทุนจาก Bundestag และเกี่ยวข้องกับการทดสอบการบินกับเครื่องปราบเครื่องดำน้ำแบบ S-3 Viking และเที่ยวบินของ Wörner ที่เดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกากลับไปยังเยอรมนีได้รับการชำระโดยบริษัท Lockheed ซึ่ง Wörner เดินทางพร้อมกับเลขานุการของเขา และบริษัท Lockheed ก็ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางส่วนหนึ่งให้เธอ ยิ่งไปกว่านั้น Wörner ยัง ‘เสีย’ ตั๋วเดินทางที่รัฐบาลเยอรมันตะวันตกขากลับไปเยอรมนี และบริษัท Lockheed ‘รับรอง’ เขาด้วยการให้ตั๋วเดินทางกลับอีกใบแก่เขา 

เครื่องบินขนส่งแบบ Lockheed C-130 Hercules ของกองทัพอากาศอิตาลี

>> อิตาลี
เรื่องอื้อฉาวของบริษัท Lockheed ในอิตาลีเกี่ยวข้องกับการติดสินบนนักการเมืองสังกัดพรรค Christian Democrat และพรรคสังคมนิยมเพื่อให้สนับสนุนการจัดซื้อเครื่องบินขนส่งแบบ Lockheed C-130 Hercules ของกองทัพอากาศอิตาลี 

ข้อกล่าวหาเรื่องการติดสินบนได้รับการสนับสนุนจาก L'Espresso นิตยสารทางการเมือง และมีเป้าหมายที่อดีตรัฐมนตรี ๒ คน คือ Luigi Gui และ Mario Tanassi (อดีตรัฐมนตรีอิตาลีคนแรกที่รับโทษจำคุก และเป็นนักการเมืองคนแรกที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ก่อนเกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตทั่วประเทศในทศวรรษ 1990) อดีตนายกรัฐมนตรี Mariano Rumor และจากนั้น ประธานาธิบดี Giovanni Leone ได้กดดันให้เขาลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1978

โทรเลขรายงานข้อมูลที่เกี่ยวกับการติดสินบนของบริษัท Lockheed จากเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำเนเธอร์แลนด์มายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ (Henry Kissinger)

เจ้าชาย Bernhard พระสวามีในสมเด็จพระราชินีจูเลียนา ถูกกล่าวหาว่า ได้รับสินบน US$1,100,000 จากบริษัท Lockheed เพื่อให้แน่ใจว่า เครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter จะชนะเครื่องบินขับไล่แบบ Dassault Mirage 5 ในการสั่งซื้อโดยกองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์ พระองค์เคยทรงดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริษัท หรือคณะกรรมาธิการต่าง ๆ มากกว่า 300 แห่งทั่วโลก และได้รับการยกย่องอย่างมากในเนเธอร์แลนด์สำหรับความพยายามในการส่งเสริมความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศเนเธอร์แลนด์

เจ้าชาย Bernhard พระสวามีในสมเด็จพระราชินีจูเลียนา

นายกรัฐมนตรี Joop den Uyl สั่งให้มีการสอบสวนเรื่องนี้ ในขณะที่เจ้าชาย Bernhard ทรงปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวโดยระบุว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่เหนือเรื่องนั้น’ ผลของการไต่สวนนำไปสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญซึ่งสมเด็จพระราชินีจูเลียนาทรงขู่ว่า จะทรงสละราชสมบัติหากเจ้าชาย Bernhard ทรงถูกดำเนินคดี เจ้าชาย Bernhard ทรงได้รับยกเว้นการดำเนินคดี แต่ทรงต้องลงจากตำแหน่งสาธารณะหลายตำแหน่ง และถูกห้ามไม่ให้ทรงเครื่องแบบทหารอีก 

เจ้าชาย Bernhard ทรงปฏิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอด แต่หลังจากการสิ้นพระชนม์ชีวิตในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2004 มีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงยอมรับว่า ทรงรับเงิน พระองค์ตรัสว่า "ข้าพเจ้ายอมรับว่าคำว่า Lockheed จะถูกสลักไว้บนหลุมฝังศพของข้าพเจ้า" 

Adnan Khashoggi ตัวแทนจำหน่ายของบริษัท Lockheed ในซาอุดีอาระเบีย

>> ซาอุดิอาระเบีย
ระหว่างปี ค.ศ. 1970 และค.ศ. 1975 บริษัท Lockheed จ่ายค่า Commissions ราว US$106,000,000 ให้กับ Adnan Khashoggi ตัวแทนจำหน่ายในซาอุดีอาระเบีย เริ่มต้นที่ 2.5% + และในที่สุดก็เพิ่มขึ้นเป็น 15% 

เครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น

>> ญี่ปุ่น
เรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับ Marubeni Corporation และอีกสมาชิกระดับสูงทางการเมือง ธุรกิจ และวงการมาเฟียของญี่ปุ่น รวมทั้ง Eisaku Satō รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ Minoru Genda ประธานคณะเสนาธิการ กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (JASDF) ในปี ค.ศ. 1957 กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่นต้องการซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ Grumman F11F-1F Super Tiger เพื่อแทนที่เครื่องบินขับไล่แบบ F-86 Saber ที่ประจำการอยู่ในขณะนั้น แต่การล็อบบี้อย่างหนักโดยบริษัท Lockheed โดยแกนนำคนสำคัญของพรรค Liberal Democratic Party ทำให้มีการซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter แทน

Yoshio Kodama

ต่อมาบริษัท Lockheed ได้ทำการว่าจ้าง Yoshio Kodama ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทและอิทธิพลต่อหลายสายการบินของญี่ปุ่น เป็นที่ปรึกษา ซึ่งทำให้ All Nippon Airways (ANA) สั่งซื้อเครื่องบินโดยสารแบบ Lockheed L-1011 TriStar แทนเครื่องบินโดยสารแบบ McDonnell Douglas DC-10 โดยวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 รองประธานของบริษัท Lockheed กล่าวกับคณะอนุกรรมาธิการของวุฒิสภาว่า บริษัท Lockheed ได้จ่ายสินบนประมาณ US$3,000,000 ให้กับสำนักงานของ Kakuei Tanaka นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้ 

ตัวอย่างของคนสร้างป่า!! ‘สามี-ภรรยาชาวบราซิล’ เสกผืนป่าจากทุ่งทะเลทราย สรรค์สร้างธรรมชาติขึ้นใหม่บนพื้นที่กว่า ๓,๗๕๐ ไร่

ช่วงต้นทศวรรษ 2000 Sebastião Salgado ช่างภาพชื่อดังชาวบราซิล และ Lélia Wanick Salgado ภรรยาของเขาตัดสินใจพัฒนาระบบนิเวศในพื้นที่ทะเลทรายขนาด ๖๐๐ เฮกตาร์ขึ้น (ราว ๓,๗๕๐ ไร่) ขึ้นมาใหม่ใน Aimorés โดยพวกเขาได้ปลูกต้นกล้าพืชพรรณชนิดต่าง ๆ กว่า ๒ ล้านต้น โดยคนงานกับอาสาสมัครเป็นเวลา ๑๘ ปี แล้วพวกเขาก็ได้รับผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง! พวกเขาสามารถสร้างป่าใหม่ขึ้น และตอนนี้พื้นที่ป่านี้ มีพืช ๒๙๓ สายพันธุ์ นกอีก ๑๗๒ สายพันธุ์ และสัตว์ต่าง ๆ อีก ๓๓ สายพันธุ์ ซึ่งบางสายพันธุ์กำลังใกล้ที่จะสูญพันธุ์แล้ว

Sebastião Ribeiro Salgado Júnior เป็นช่างภาพสารคดีทางสังคมและช่างภาพชาวบราซิล เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 ในเมืองไอโมเรส รัฐมีนัสเชไรส์ ประเทศบราซิล หลังจากการเดินทางท่องเที่ยวในวัยเด็ก Salgado ได้รับการศึกษาเพื่อเป็นนักเศรษฐศาสตร์ โดยได้รับปริญญาตรีจาก UFES ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเซาเปาโลในบราซิล และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีส

เขาเริ่มทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ขององค์การกาแฟนานาชาติ (หน่วยงานภายใต้สหประชาชาติ (UN)) ซึ่งจะต้องเดินทางไปทวีปแอฟริกาเพื่อปฏิบัติภารกิจ ในการเดินทางไปทวีปแอฟริกาเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มถ่ายภาพอย่างจริงจัง ที่สุดแล้วในปี ค.ศ. 1973 เขาก็เลือกที่จะทิ้งอาชีพนักเศรษฐศาสตร์แล้วเปลี่ยนมาทำงานด้านการถ่ายภาพ  โดยเริ่มจากงานที่ได้รับมอบหมายด้านภาพสำหรับข่าวก่อนที่จะหันไปทำงานประเภทภาพสำหรับสารคดีมากขึ้น ในตอนแรก Salgado ทำงานร่วมกับบริษัทถ่ายภาพ Sygma และ Gamma ในปารีส แต่ในปี ค.ศ. 1979 เขาได้เข้าร่วมกับ Magnum Photos ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติของช่างภาพ แล้วเขาก็ลาออกจาก Magnum ในปี ค.ศ. 1994 เพื่อร่วมกับภรรยาของเขา Lélia Wanick Salgado ก่อตั้งบริษัท Amazonas Images ขึ้นในกรุงปารีส เพื่อเป็นบริษัทตัวแทนของเขา เขามีชื่อเสียงในด้านการถ่ายภาพสารคดีทางสังคม โดยเฉพาะภาพชีวิตของคนงานในประเทศกำลังพัฒนา

เขาได้เดินทางไปในกว่า ๑๒๐ ประเทศสำหรับโครงการถ่ายภาพของเขา สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ปรากฏในสื่อสิ่งพิมพ์และหนังสือหลายเล่ม นิทรรศการการท่องเที่ยวผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์นำเสนอไปทั่วโลก นอกจากนั้นแล้ว Salgado ได้รับรางวัล W. Eugene Smith Memorial Fund Grant ในปี ค.ศ. 1982 เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ชาวต่างประเทศของ American Academy of Arts and Sciences ในปี ค.ศ. 1992 และเหรียญ Centenary Medal and Honorary Fellowship ของ Royal Photographic Society (HonFRPS) ในปี ค.ศ. 1993 เขาเป็นสมาชิกของ Académie des Beaux-Arts ที่ Institut de France ตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 2016

Salgado ทำงานในโครงการระยะยาวที่ตัวเขาริเริ่ม ซึ่งหลายโครงการได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสืออาทิ : The Other Americas, Sahel, Workers, Migrations และ Genesis เป็นหนังสือที่รวบรวมรูปภาพหลายร้อยรูปจากทั่วทุกมุมโลก ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ เหมืองทองคำในบราซิลที่เรียกว่า Serra Pelada เขายังเป็นทูตสันถวไมตรีของยูนิเซฟตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ด้วย 

ระหว่างปี ค.ศ. 2006 ถึง ค.ศ. 2011 Salgado ทำงานโดยมุ่งเป้าไปที่การนำเสนอภาพที่ปราศจากตำหนิของธรรมชาติและมนุษยชาติ ประกอบด้วยชุดภาพถ่ายทิวทัศน์และสัตว์ป่า ตลอดจนชุมชนมนุษย์ที่ยังคงดำเนินชีวิตตามประเพณีและวัฒนธรรมตามวิถีของบรรพบุรุษ งานนี้ถูกมองว่าเป็นเส้นทางที่มีศักยภาพในการค้นพบตัวเองตามธรรมชาติของมนุษยชาติ

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ‘จักรวรรดิอิตาลี’ ขยายอำนาจเข้ายึดครอง ‘ลิเบีย’ ตำนานนักต่อสู้ ฉายา ‘สิงโตแห่งทะเลทราย’ จึงเกิด

เมื่อไม่นานมานี้ มีเพื่อนในเฟซบุ๊ก ‘ดร.โญ มีเรื่องเล่า’ ของผม ได้ส่งข้อความมาหาและขอให้ผมเล่าเรื่องราวของจักรวรรดิอิตาลี ยินดีครับ จัดให้เลย กลังจากค้นคว้าหาข้อมูล เรียบเรียง แล้วจึงส่งบทความที่น่าสนใจนี้มาเผยแพร่ใน THE STATES TIMES และสำหรับใครที่สนใจเรื่องอะไร อยากรู้เรื่องไหน สามารถเขียนบอกที่คอมเมนต์ได้เลยครับ

พฤติกรรมหรือนิสัยของฝรั่งโซนยุโรปอย่างหนึ่งที่มีมานานแล้วคือ ‘การล่าเมืองขึ้น’ หรือที่เรียกว่า ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) เป็นการใช้พลังอำนาจ โดยเฉพาะกำลังทางทหารที่เหนือกว่าไม่ว่าด้วยจำนวนกำลังพลหรือเทคโนโลยีด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ในการเข้าบังคับยึดเอารัฐหรือดินแดนอื่นให้มาอยู่ภายใต้อาณัติ เพื่อกอบโกย (หรือปล้น) ทรัพยากรของรัฐหรือดินแดนนั้นๆ ทั้งทางตรง (ยึดแล้วขนกลับประเทศเลย) และทางอ้อม (ด้วยวิธีการเรียกเก็บภาษีอากรต่าง ๆ)

สาธารณรัฐอิตาลี เดิมคือ ราชอาณาจักรอิตาลี เป็นรัฐอธิปไตยบนคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งได้มีการสถาปนาขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๐๔ (ค.ศ. 1861) จากการรวมตัวกันของรัฐอิตาลีหลายๆ รัฐ ภายใต้การนำของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย 

ต่อมาอิตาลีได้ประกาศสงครามต่อออสเตรียในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) โดยมีปรัสเซีย (เยอรมนีในอดีต) เป็นพันธมิตรร่วม แม้ว่าอิตาลีจะทำการรบล้มเหลว แต่ชัยชนะของปรัสเซียก็ได้ทำให้อิตาลีได้สิทธิครอบครองเวนิส ต่อมาอิตาลีได้ยกทัพเข้ายึดกรุงโรมในปี พ.ศ. ๒๔๑๓ (ค.ศ. 1870) เป็นการปิดฉากอำนาจการปกครองทางโลกของสมเด็จพระสันตะปาปาที่ต่อเนื่องยาวนานมานับพันปี 

อิตาลีเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑

ต่อมาอิตาลีได้ตอบรับข้อเสนอของ ออทโต้ ฟอน บิสมาร์ค ผู้นำปรัสเซียในการเข้าร่วมกลุ่มไตรพันธมิตรกับเยอรมนีและออสเตรียในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ (ค.ศ. 1892) หลังจากที่อิตาลีเกิดความไม่พอใจในการขยายอาณานิคมของฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอิตาลีกับเยอรมนีจะเป็นไปด้วยดียิ่ง แต่ความเป็นพันธมิตรกับออสเตรียกลับอยู่ในลักษณะเป็นทางการเท่านั้น 

ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ (ค.ศ. 1915) อิตาลีจึงได้ตอบรับคำเชิญของสหราชอาณาจักรในการเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสงครามครั้งนั้นได้ทำให้อิตาลีก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจ โดยมีที่นั่งถาวรอยู่ในสภาสันนิบาตชาติ และราชอาณาจักรอิตาลีดำรงคงอยู่จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๙ (ค.ศ. 1946) เมื่อประชาชนชาวอิตาลีได้มีการลงประชามติให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบราชอาณาจักรไปสู่ระบบสาธารณรัฐ

จักรวรรดิอาณานิคมของอิตาลีถูกสร้างขึ้นหลังจากอิตาลีเข้าไปมีส่วนร่วมกับมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ ในการแสวงหาอาณานิคมในต่างประเทศในยุคของ ‘การแย่งชิง/การล่าอาณานิคมในแอฟริกา’ ซึ่งจักรวรรดิอาณานิคมของอิตาลีถูกสร้างขึ้นช้ากว่าหรือยังคงเล็กเกินไปที่จะนำไปเปรียบเทียบกับการครอบครองโพ้นทะเลขนาดใหญ่ของมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ เช่น โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งต่างก็ได้สร้างจักรวรรดิขนาดใหญ่แล้วมาเป็นเวลาหลายร้อยปี และหนึ่งในพื้นที่สุดท้ายที่เหลืออยู่ที่เปิดให้ล่ารัฐหรือดินแดนมาเป็นอาณานิคมก็คือ ดินแดนในทวีปแอฟริกา 

ดังนั้นจักรวรรดิอิตาลีจึงกำเนิดก่อเกิดขึ้นเฉพาะในแอฟริกาตะวันออกและในลิเบีย ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการที่ประเทศเข้าสู่ลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism) ภายใต้การนำของ ‘เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini)’

ด้วยรักและศรัทธา การจาริก ‘Arba'een’ พิธีกรรมทางศาสนาประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากพลังศรัทธาของชาวชีอะห์มุสลิมที่มีต่อ ‘อิหม่ามฮุเซน’

เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา มีพิธีการจาริก Arba'een หรือ Arba'een Walk เป็นการแสวงบุญหรืองานชุมนุมทางศาสนาสาธารณะประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับมีคนรู้จักการแสวงบุญนี้น้อยเป็นอย่างมาก ทุกๆ ปีจะมีผู้คนมากกว่า ๒๐ ล้านคน เดินเท้าอย่างสงบระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ท่ามกลางอากาศร้อนด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า ๔๐ องศาเซลเซียส เพื่อทำการจาริกแสวงบุญ Arba'een ไปยังสถานที่ฝังเรือนร่างของท่านอิหม่ามฮุเซน ผู้เป็นหลานรักของท่านศาสดามูฮำหมัด (ศ็อลฯ) ณ ดินแดน Karbala ประเทศอิรัก

การจาริก Arba'een เริ่มขึ้นเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาไว้ทุกข์ ๔๐ วันหลังวันอาชูรออ์ (ASURA) อันเป็นวันไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่ออิหม่ามฮุเซน บิน อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ เนื่องจากถูกสังหารในดินแดน Karbala เมื่อวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม ฮ.ศ. (ฮิจเราะห์ศักราช) ๖๑ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๑๒๒๓ โดยอิหม่ามฮุเซนและครอบครัวพร้อมกับบรรดาสาวกจำนวน ๗๒ คนได้ร่วมเดินทางไปยังเมือง Kufa ประเทศอิรัก (ปัจจุบันรวมเป็นส่วนหนึ่งของเมือง Najaf) เนื่องจากประชาชนที่ Kufa ได้ร้องเรียกให้อิหม่ามฮุเซนมาโค่นล้มบัลลังก์ของราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ์ ผู้ปกครองในยุคนั้น 

โดยระหว่างการเดินทาง กองคาราวานของอิหม่ามฮุเซน ได้ไปหยุดอยู่ที่เขตที่เรียกว่า Karbala คาราวานของเขาเดินทางไปต่อไม่ได้ เนื่องจากถูกทหารของฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์จำนวนหลายหมื่นคนได้ทำการปิดกั้น และที่สุดก็ได้สังหารอิหม่ามฮุเซนและบรรดาสาวกจนหมด 

ชาวชีอะห์มุสลิมจะไว้อาลัยอิหม่ามฮุเซนในวันอาชูรออ์ โดยการจัดพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเล่าเรื่องอิหม่ามฮุเซนจากประวัติศาสตร์ การขอดุอาอ์ การเลี้ยงอาหารและน้ำแก่คนยากจน สถานที่จัดคือที่มัสยิดฮุซัยนียะห์

จำนวนผู้เข้าร่วมแสวงบุญประจำปีมากกว่า ๒๕ ล้านคน บนเส้นทางแสวงบุญมีอาหาร ที่พัก และบริการอื่นๆ ให้บริการฟรีโดยอาสาสมัคร ผู้แสวงบุญบางคนเดินทางจากที่ต่างๆ และจากต่างประเทศ เช่น อิหร่าน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด พิธีกรรมนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็น “การแสดงความเชื่อและความเป็นปึกแผ่นอันทรงพลังอย่างท่วมท้น” 

การจาริก Arba'een ตามแบบปัจจุบันเริ่มขึ้นในปี ฮ.ศ. ๑๓๑๙ ( ค.ศ.๒๔๔๔) โดยนักวิชาการศาสนาหลายคน และ Marja ยังคงรักษาแนวทางเดียวกันในการจาริก Arba'een จนถึงสมัยของประธานาธิบดีซัดดัม การจาริกแสวงบุญจึงถูกห้ามตลอดระยะเวลาภายใต้การปกครองของเขา ด้วยตัวซัดดัมเป็นชาวสุหนี่มุสลิม และฟื้นคืนมาหลังจากการโค่นล้มซัดดัมในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และจำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีผู้แสวงบุญราว ๒๕ ล้านคนในปี พ.ศ. ๒๕๕๙

หนึ่งเดียวในโลก!! ชวนรู้จัก ‘รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา’ รัฐอธิปไตยอย่างเป็นทางการที่ ‘ไม่มีดินแดน’ และเป็นมิตรกับทุกประเทศ

รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา (The Sovereign Military Order of Malta : SMOM)

เมื่อไม่นานมานี้ มีเพื่อนใน FB ‘ดร.โญ มีเรื่องเล่า’ ของผม ขอให้เล่าเรื่องราวของ รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลต้า (The Sovereign Military Order of Malta) ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงเขียนบทความนี้ลงกับทาง THE STATES TIMES เลยแล้วกันครับ

เราอาจเข้าใจว่ารัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา (Order of Malta) และสาธารณรัฐมอลตา (The Republic of Malta) เป็นประเทศเดียวกัน แต่เปล่าเลยครับ ประเทศมอลตา (Malta) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐมอลตา (ภาษามอลตา : Repubblika ta’ Malta) เป็นประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กสองเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองหลวงชื่อ กรุงวัลเลตตา (Valletta) และมีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป ถัดลงมาจากตอนใต้ของประเทศอิตาลี นับเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งหนึ่งในยุโรป ในอดีตนั้นได้มีผู้มาครอบครองและถูกแย่งชิงนับครั้งไม่ถ้วน และยังเป็นอดีตอาณานิคมของสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) โดยได้รับเอกราชเมื่อ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๗ และสถาปนาเป็นสาธารณรัฐมอลตาเมื่อ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ 

ทั้งนี้สาธารณรัฐมอลตาเคยตกอยู่ภายใต้รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๓๔๑ ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส และกลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษในเวลาต่อมาจนกระทั่งได้รับเอกราช

ส่วนรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ชื่อเต็มอย่างเป็นทางการคือ The Sovereign Military Hospitaller Order of St. John of Jerusalem of Rhodes and of Malta เป็นทั้งนิกายโบราณที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนอัศวินและเกี่ยวข้องกับนิกายย่อยในคริสตจักรโรมันคาทอลิก เป็นรัฐอิสระที่ปกครองตนเองโดยใช้อำนาจอธิปไตยโดยอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ 

Blessed Fra’ Gerard ผู้ก่อตั้งและศาสนาจารย์คนแรก

ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา เป็นหนึ่งในสี่นิกายของ Roman Catholic ที่เก่าแก่ที่สุด (อีกสามนิกายได้แก่ Basilians, Angustinians และ Benedictines) มีลักษณะคล้ายกับองค์กรศาสนา เช่นเดียวกับนิกาย (Order) อื่น ๆ อีก ๔ สาขา คือ Order of Teutonic, Order of Temple, Order of St. Lazare และ Order of St. Thomas A. Bucket of Acre Order of Malta ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1099 โดย Blessed Fra’ Gerard ซึ่งก่อตั้งสถานพยาบาลขึ้นที่นครเยรูซาเล็ม เพื่อรักษาพยาบาลกลุ่มผู้แสวงบุญ (Pilgrims) ที่เดินทางมานครเยรูซาเล็ม และขยายสาขาออกไปตามเส้นทางการแสวงบุญ ภายใต้การนำของ Blessed Fra’ Gerard ผู้ก่อตั้งและศาสนาจารย์คนแรก ต่อมาชุมชนทางศาสนากลายเป็นชุมชนของกลุ่มฆราวาส 

สมเด็จพระสันตะปาปา Pascal 2 ทรงยอมรับคำสั่งของนักบุญยอห์น โดยจัดให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระศาสนจักรและให้สิทธิ์ในการเลือกผู้นำกลุ่มอย่างเสรี โดยไม่มีการแทรกแซงจากหน่วยงานฆราวาสหรือหน่วยงานทางศาสนาอื่น ๆ

ศาสนอัศวินแห่งรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา

ต่อมา เมื่อเกิดสงครามครูเสด สมาชิกนิกายนี้ต้องติดอาวุธป้องกันตนเองและศาสนิกชนที่ดูแล และต้องทำหน้าที่ช่วยสู้รบไปในตัวด้วย จึงเกิดตำแหน่งอัศวิน (Knight) ขึ้นในสมัยของผู้นำที่ชื่อ Fra Raymond du Puy ในปี ค.ศ. 1126 

Fra Raymond du Puy ผู้นำออร์เดอร์ ออฟ มอลตา คนที่สอง

ผู้สืบทอดของ Blessed Fra' Gerard ในฐานะ Master คือ Blessed Fra' Raymond du Puy ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1145 ถึง ค.ศ. 1153 ได้กำหนดกฎเบื้องแรกสำหรับสมาชิกของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ว่า การประชุมทั้งหมดนั้นเป็นไปตามหลักศาสนา ผูกพันตามคำปฏิญาณสามประการของโบสถ์แห่งความยากจนได้แก่ ความบริสุทธิ์ทางเพศ และการเชื่อฟัง และการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและคนป่วย

ไม้กางเขนแปดแฉกสัญลักษณ์ของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา

นอกจากนั้น ธรรมนูญแห่งนครเยรูซาเลมกำหนดให้สมาชิกของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ทำหน้าที่ในการป้องกันผู้ป่วยและผู้แสวงบุญ และต้องปกป้องศูนย์การแพทย์ตลอดจนกิจการหลักอื่น ๆ ต่อมาการป้องกันความศรัทธาถูกเพิ่มเข้าไปในภารกิจของสมาชิกของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา และมีการรับเอาไม้กางเขนแปดแฉกมาเป็นสัญลักษณ์จนปัจจุบัน

ขบวนผู้นำและเหล่าศาสนอัศวินแห่งรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา

รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ปัจจุบันตั้งอยู่ ณ พระราชวัง Magistral บนเนินเขา Aventine ในกรุงโรม ซึ่งล้อมรอบด้วยเขตอาณาของสาธารณรัฐอิตาลี มีลักษณะเป็นองค์กรทางศาสนา (สถานะคล้ายนครรัฐวาติกัน) และถือเป็นองค์กรที่เก่าแก่ที่สุดในวัฒนธรรมโลกตะวันตกและโลกศาสนาคริสต์ รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ต่างจากสันตะสำนักซึ่งมีอำนาจปกครองเหนือนครรัฐวาติกัน  และด้วยเหตุนี้จึงมีการแยกอาณาเขตที่ชัดเจนของพื้นที่อธิปไตยและของอิตาลี 

แต่รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ไม่มีอาณาเขตใด ๆ นับตั้งแต่การสูญเสียเกาะมอลตาในปี พ.ศ. ๒๓๔๑ ให้กับฝรั่งเศส นอกจากอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันเท่านั้น ด้วยสภาพนอกอาณาเขตที่ระบุไว้ข้างต้น อิตาลีตระหนักดีว่า นอกจากการอยู่นอกอาณาเขตแล้ว ยังตระหนักถึงการใช้สิทธิอำนาจอธิปไตยทั้งหมดในสำนักงานใหญ่ของรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ดังนั้นอธิปไตยของอิตาลีและอธิปไตยของรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา จึงอยู่ร่วมกันโดยไม่ทับซ้อนกันแต่อย่างใด

ไขปริศนา!! เพราะเหตุใดจึงไม่มีการจัดการกับร่างนักปีนเขา ซึ่งเสียชีวิตบนเขาเอเวอเรสต์

ข้อมูลอ้างอิงตัวเลขจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ มีผู้เสียชีวิตขณะพยายามปีนขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์มากถึง ๓๐๕ ราย ร่างของผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มากกว่า ๒๐๐ ร่าง ยังคงอยู่บนเอเวอเรสต์ บางร่างก็ไม่เคยถูกพบมาก่อน บางร่างก็ต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนกับ ‘เครื่องหมาย’ ที่น่าสะพรึงกลัวตลอดเส้นทางสู่ยอดเขา และบางร่างจะถูกพบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อสภาพอากาศบนยอดเขาเอเวอเรสต์เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ มีนักปีนเขาที่หวังจะประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์สูงถึง ๑๐,๑๘๔ ราย แต่มีแค่บางคนที่สามารถพิชิตสำเร็จได้หลายครั้ง จึงมีผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์สำเร็จเพียง ๕,๗๓๙ คน แม้ว่าจำนวนนักปีนเขาที่เสียชีวิตบนภูเขาจะมีเป็นจำนวนมาก แต่คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตเพียง 3% สำหรับยอดเขาเอเวอเรสต์ นั่นหมายความว่า นักปีนเขาประมาณหนึ่งคนในสามสิบสามคนจะจบลงด้วยความตาย

ทำไมพวกเขาถึงทิ้งร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตบนเอเวอเรสต์ไว้มากมาย? ทำไมไม่จัดการกับร่างเหล่านั้นอย่างถูกต้องตามประเพณี? บ้างก็อ้างว่า ร่างอยู่ที่นั่นเป็นเหมือนเครื่องหมายอ้างอิงแสดงเส้นทางให้นักปีนเขาคนอื่น ๆ 

แต่แน่นอน นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้น เพราะความจริงแล้วจุดอ้างอิงนั้นจะมีประโยชน์อย่างไร ในเมื่อจุดนั้น ๆ มีเพียงหิน และน้ำแข็งปกคลุม เมื่อร่างผู้เสียชีวิตถูกทิ้งไว้จึงดูไม่แปลกจากสภาพแวดล้อมอื่นๆ อีกทั้งร่างพวกนั้นอยู่ในเขตที่เรียกว่า ‘แดนมรณะ’ นั่นคือระดับความสูงที่มนุษย์จะเสียชีวิตหากปราศจากออกซิเจนในทุกวินาทีที่อยู่บนนั้น

โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถรับมือกับระดับความสูงมาก ๆ ได้นาน เพราะความสูงประมาณ ๙,๐๐๐ เมตร เท่ากับระดับความสูงการบินของเที่ยวบินโดยสารระยะสั้น แม้จะมีออกซิเจนเสริม 

ทุกสิ่งที่มนุษย์ต้องทำกลายเป็นความพยายามอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะต้องทำเรื่องที่คิดว่าง่ายที่สุด (ในสถานการณ์ปกติ) ระหว่างการปีนเพื่อไต่ความสูงในระดับสูงมาก ๆ ขนาดนั้น เช่น การดื่ม การกิน การย่อยอาหาร การนอนหลับ และรักษาบาดแผล ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการใช้ออกซิเจนของบรรดานักปีนเขาเหล่านั้นทั้งสิ้น 

แต่หากนักปีนเขาเข้าสู่เขตมรณะแล้ว ก็จะมีคำเตือนที่ว่า ควรจะใช้เวลาอยู่ในบริเวณนั้นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีการจัดการกับร่างของบรรดานักปีนเขาที่เสียชีวิตบนเอเวอเรสต์

แต่หากร่างผู้เสียชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้ และครอบครัวของนักปีนเขาที่เสียชีวิตเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ ทีมงานก็จะพยายามเก็บกู้ร่างของพวกเขาออกมา ซึ่งต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงมาก ๆ ของนักปีนเขาที่ขึ้นไปเก็บกู้ จึงมีค่าใช้จ่ายมหาศาลทั้งแรงงานของนักปีนเขาชาวเชอร์ปาในท้องถิ่นและค่าชั่วโมงบินของเฮลิคอปเตอร์

หรือไม่เช่นนั้นร่างของผู้เสียชีวิตก็อาจจะถูกผลักลงจากหน้าผาหรือรอยแยกเพื่อให้พ้นสายตา ซึ่งถือว่าเป็นการฝังร่างตามแบบนักปีนเขาที่สง่างาม สมความภาคภูมิของเหล่าบรรดานักปีนเขา 

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วร่างนักปีนเขาที่เสียชีวิตจะถูกทิ้งไว้ที่จุดเดิมตรงที่พวกเขาเสียชีวิต เพราะไม่มีใครที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อกู้ร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตเหล่านั้น และนั่นถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจ แต่ใครที่เลือกเป็นนักปีนเขาแล้ว และยินดีที่จะปีนเพื่อขึ้นไปบนนั้นย่อมรับรู้เรื่องนี้ดี

มิตรภาพสองนักแสดง!! ‘Al Pacino - Robert De Niro’ เพื่อนซี้กว่า 50 ปี มิตรภาพลูกผู้ชายที่ยืนยงด้วยการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

Robert De Niro และ Al Pacino ต่างก็เป็นนักแสดงอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนที่เติบโตในมหานครนิวยอร์ก 

โดย De Niro เกิดเมื่อ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ และเติบโตในย่าน Greenwich Village ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขต Manhattan ของมหานครนิวยอร์ก 

ส่วน Pacino เกิดเมื่อ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ และเติบโตในเขต Bronx ของมหานครนิวยอร์กเช่นกัน

Robert De Niro ในวัยเด็กกับ Robert De Niro Sr. ผู้เป็นพ่อ

นอกจากเติบโตในมหานครนิวยอร์กเหมือนกันแล้ว ความเหมือนอีกอย่างของทั้งสองคน ก็คือ พ่อ-แม่แยกทางกันตั้งแต่พวกเขาอายุเพียงสองขวบทั้งคู่ 

โดย Virginia Admiral และ Robert De Niro Sr. (แม่และพ่อของ De Niro) ซึ่งทำอาชีพเป็นศิลปินวาดภาพทั้งคู่แยกทางกัน เนื่องจาก Robert De Niro Sr. ได้เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ และ Virginia Admiral ก็เป็นผู้เลี้ยงดูเขานับแต่นั้นมา โดยมี De Niro Sr. ผู้เป็นพ่อดูแลอยู่ห่าง ๆ 

ส่วน Pacino นั้นแม่ของเขา Rose Gerardi หย่ากับ Salvatore Pacino พ่อของเขา โดยแม่เป็นผู้ดูแลเขาตั้งแต่นั้นมา ส่วนผู้เป็นพ่ออพยพโยกย้ายไปอยู่เมือง Covina ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย

HB Studio (Herbert Berghof Studio) โรงเรียนการแสดงที่ทั้งคู่เคยเข้าเรียน

ต่อมาทั้งคู่ก็เข้าเรียนในโรงเรียนการแสดงเหมือนกัน ซ้ำยังเป็นโรงเรียนเดียวกัน  โดย Pacino เข้าเรียนใน HB Studio (Herbert Berghof Studio) ส่วน De Niro ก็เข้าเรียนใน HB Studio และ Lee Strasberg's Actors Studio แต่เข้าเรียนที่ HB Studio ต่างเวลากัน และทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมนักแสดงที่มีความสามารถเหมือนกัน เช่น Marlon Brando และ James Dean 

นอกจาก ทั้งคู่ยังเริ่มอาชีพการแสดงด้วยบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เกี่ยวกับ ‘อันธพาล/นักเลง’ โดยหนึ่งในบทบาทแรกๆ ของ Pacino คือบทบาทของ Michael Corleone ใน The Godfather (ค.ศ. 1972) 

ในขณะที่ De Niro แสดงในบทของ John ‘Johnny Boy’ Civello ใน Mean Streets (ค.ศ. 1973)

ทั้งสองพบกันในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ในมหานครนิวยอร์กบ้านเกิดของทั้งคู่ โดยต่างก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพการแสดง แล้วพวกเขาก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา 

ความมหัศจรรย์ระหว่างนักแสดงสองคนบนหน้าจอนั้นเข้มข้นมาก และบทบาทของพวกเขาก็น่าทึ่งมากเช่นกัน จนดูเหมือนว่าเราจะได้เห็นพวกเขาแสดงร่วมกันในภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้ว The Irishman (ค.ศ. 2019) เป็นเพียงภาพยนตร์เรื่องที่ ๔ ที่นำแสดงโดย Pacino และ De Niro ส่วนอีก ๓ เรื่องคือ Heat (ค.ศ. 1995), Righteous Kill (ค.ศ. 2008) และ The Godfather Part II (ค.ศ. 1974) ซึ่งเรื่องนี้พวกเขาไม่ได้เข้าฉากที่แสดงร่วมกันด้วยซ้ำ

Godfather Part II เป็นภาพยนตร์ที่แสดงในเรื่องเดียวกันเป็นเรื่องแรก แต่ไม่เคยได้ร่วมฉากกันเลย

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ทั้งสองได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันเป็นเรื่องแรก แต่ไม่เคยได้ร่วมฉากกันเลยใน The Godfather Part II หรือแม้กระทั่งเกือบตลอดทั้งเรื่องของ HEAT พ.ศ. ๒๕๓๘ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวในเฟรมเดียวกันของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยแสดงฉากนั่งร่วมกันบนโต๊ะอาหาร 

ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวในเฟรมเดียวกันของภาพยนตร์เรื่อง HEAT โดยแสดงฉากนั่งร่วมกันบนโต๊ะอาหาร

Pacino อายุมากว่า De Niro สามปี และมักแสดงท่าทีในการปกป้อง De Niro อย่างเห็นได้ชัด เพราะปกติแล้ว De Niro เป็นคนที่พูดน้อยเพียงไม่กี่คำ และเป็นคนที่พูดต่อหน้านักข่าวน้อยมาก ๆ อีกด้วย

ครั้งหนึ่งในช่วงการให้สัมภาษณ์ร่วมกันของ Robert De Niro และ Al Pacino ตัว De Niro นั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้โซฟา และแทบไม่จะพูดอะไรเลย เว้นแต่จะหัวเราะ ขณะที่ Pacino ยืนคำรามหรือออกท่าทางแสดงเป็นตัวละคร และอธิบายฉากต่าง ๆ ที่มาจากชีวิตจริงของพวกเขา 

ทั้งรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของ Pacino ก็ร่วงโรย ส่วน De Niro ก็รับบทบาทเป็นพ่อและปู่มากขึ้น เนื่องจากกาลเวลาและสังขารได้เปลี่ยนไป (ด้วยอายุที่มากขึ้น จึงต้องรับบทบาทการแสดงที่เหมาะกับอายุ)

ท่ามกลางสื่อมวลชน พวกเขามักจะแสดงออกต่อกันอย่างอ่อนโยน และบ่อยครั้ง Pacino จะคอยสกัดบางคำถามที่ถาม De Niro แล้วเปลี่ยนมาตอบคำถามด้วยตนเองแทน ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์นี้ ชายทั้งสองยืนขึ้นและโอบกอดกันอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานาน และ Pacino ก็ได้พูดกับ De Niro ว่า “ฉันรักนาย”

ปริศนาเครื่องบินกองทัพสหรัฐฯ !! ‘กลุ่ม Deeper Dorset’ สืบค้นความจริงจากเศษซากใต้ทะเล ของเครื่องบินลำเลียง ซึ่งถูกขโมยเมื่อ 53 ปีก่อน!!

แม้กองทัพของสหรัฐฯ จะดูเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่รู้หรือไม่ว่า กองทัพสหรัฐฯ เคยถูกขโมยอาวุธยุทโธปกรณ์มาแล้วมากมายหลายรายการ ซึ่งการขโมยที่เป็นข่าวดังก็เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เป็นการขโมยรถถังแบบ M60A3 Patton โดย Shawn Nelson จากคลังของ California Army National Guard ออกมาวิ่งบนถนนในเมือง San Diego มลรัฐ California เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995) โดยเขาได้ขับรถถังชนรถที่จอดอยู่ไปเรื่อยๆ สร้างความเสียหายสูงถึง US$149,201 (เทียบเท่ากับ US $265,329 ในปัจจุบัน) และที่สุดก็ถูกตำรวจ San Diego ยิงเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เครื่องลำเลียงแบบ C-130E Hercules แบบเดียวกับที่ถูกขโมยโดย Paul Meyer

แต่หากพูดถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ชิ้นใหญ่ที่สุดที่กองทัพสหรัฐฯ ถูกขโมยไปนั้น ก็คงหนีไม่พ้นเครื่องลำเลียงแบบ C-130 ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) หรือเมื่อ ๕๓ ปีก่อน ณ ฐานทัพอากาศ Mildenhall สหราชอาณาจักร โดยพันจ่าอากาศเอก Paul Meyer ช่างเครื่องสังกัดกองทัพอากาศสหรัฐฯ เป็นผู้ลงมือขโมย

Paul Meyer เคยปฏิบัติหน้าที่ในเวียดนาม ในตอนนั้นเขาพึ่งแต่งงานกับ Jane Meyer (ปัจจุบัน Mary Ann Jane Goodson) เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๒ และอยากประจำการที่ฐานทัพอากาศ Langley ซึ่งอยู่ใกล้บ้านเพื่ออยู่กับครอบครัว เขาคิดถึงภรรยา และทำงานอย่างไม่มีความสุข ซ้ำยังดื่มหนักอีกด้วย ไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุเขาได้ยื่นคำร้องขอย้ายกลับ แต่คำขอถูกปฏิเสธอีก ในคืนวันที่  ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) เขาไปงานเลี้ยงที่บ้านของเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นทหารอากาศด้วยกัน เขาดื่มหนักจนเมา หลังจากนั้นออกอาการก้าวร้าวอาละวาด จนเพื่อน ๆ ของเขาต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้านอน แต่เขากลับหนีออกมาทางหน้าต่าง หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจเมือง Suffolk พบตัวเขาบนถนน A11 และจับเขาในข้อหาเมาแล้วก่อความวุ่นวาย ก่อนพากลับไปส่งยังฐานทัพอากาศ Mildenhall และผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้เขาเข้านอน

วีรบุรุษต่างเชื้อชาติ!! ‘Kostas Sarantidis’ ชายชาวกรีซแห่งกองกำลัง Viet Minh ผู้ได้รับการยกย่องเป็น ‘วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม’


Kostas Nguyen Van Lap ชายชาวกรีซผู้ซึ่งกลายเป็นวีรบุรุษของเวียดนาม

๒ สิงหาคมที่ผ่านมา เวียดนามได้จัดพิธีรำลึกจัดถึง Kostas Nguyen Van Lap (Kostas Sarantidis - Nguyen Van Lap) ขึ้นที่เมืองดานัง ทางตอนกลางของประเทศ Kostas Nguyen Van Lap ชายผู้มีสัญชาติกรีซและเวียดนาม เข้าร่วมกับกองกำลัง Viet Minh ของเวียดนามในสงครามต่อต้านอาณานิคมของฝรั่งเศส และกลายเป็นวีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม

Kostas Nguyen Van Lap ประดับเหรียญอิสริยาภรณ์ “วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม (Hero of the People's Armed Forces of Vietnam)

Kostas Nguyen Van Lap (1927 - 25 มิถุนายน ค.ศ. 2021) เดิมชื่อ Kostas Sarantidis (Κώστας Σαραντίδης) เขาเป็นชาวต่างชาติเพียงคนเดียวที่เคยได้รับตำแหน่ง “วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม (Hero of the People's Armed Forces of Vietnam) เขาเป็นทหาร "เวียดนามใหม่" ซึ่งเป็นชาวกรีซเพียงคนเดียวที่เคยรับใช้ในกองกำลัง Viet Minh ระหว่างสงครามเวียดนามกับฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคม



Kostas Nguyen Van Lap เกิดในครอบครัวคนงานในเมือง Thessaloniki ประเทศกรีซ เมื่อเขาอายุ ๑๖ ปี กรีซถูกนาซีเยอรมันยึดครอง เขาจึงถูกเกณฑ์เป็นทหารแล้วถูกส่งไปเยอรมนี ภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เขาไม่สามารถกลับไปกรีซได้ เพราะไม่มีเอกสารประจำตัว เขาถูกส่งไปยังค่ายกักกันในอิตาลีในช่วงต้นปี ค.ศ. 1946 และต่อมาได้สมัครเข้าร่วมกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส และถูกส่งไปยังอินโดจีนภายใต้ภารกิจในการปลดปล่อยประชาชน และปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น

หน่วยของเขาเดินทางไปเวียดนามทางเรือ เมื่อถึงไซง่อนแล้วก็ถูกพาขึ้นรถไฟไปยังตอนกลางของเวียดนาม ในวันแรกที่เขามาถึงเวียดนาม เขาได้เห็นความโหดร้ายมากมายของกองทัพฝรั่งเศสที่กระทำต่อชาวเวียดนาม เขาจึงตระหนักว่า ฝรั่งเศสเป็นเพียงผู้รุกราน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแปรพักตร์ เข้าร่วมกับกองกำลัง Viet Minh โดย Kostas Nguyen Van Lap เล่าว่า "เราเข้าร่วมในการต่อสู้หลายครั้งในภาคใต้ ทหารได้รับคำสั่งให้โจมตีและเผาหมู่บ้านเพื่อพิสูจน์ตนเองว่า แข็งแกร่ง ผมอยากจะลาออก เพราะผมทนไม่ไหวแล้ว ในวันสุดท้ายในกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสของผม ผมเห็นด้วยตาตนเองว่า ทหารของกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสทั้งหมวดข่มขืนเด็กหญิงอายุเพียง ๑๔-๑๕ ปี” 

ขณะเขาประจำการอยู่ที่เมือง Binh Hoa ก็ได้พบกับ Mai Le สายลับหญิงซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยให้ Kostas Nguyen Van Lap เข้าร่วมกับกองกำลัง Viet Minh โดยพ่อแม่ของ Mai Le เป็นผู้รักชาติ เข้าร่วมสงครามต่อต้านและเสียสละตัวเอง แม้จะอายุน้อยมาก แต่ Mai Le และเพื่อนร่วมชั้นก็ออกจากเมืองเข้าร่วมกลุ่มต่อต้าน เขาพบกับ Mai Le ในฐานะที่เธอเป็นภรรยาของร้อยโท Christianis หัวหน้าหน่วยในเมือง Phan Thiet โดย Mai Le ได้ฝากฝังเขากับกองกำลัง Viet Minh (ต่อมาสายลับหญิงผู้นี้ถูกจับและถูกประหารชีวิตโดยฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1946) 

เวลา ๐๒.๐๐ น. ของวันที่ ๖ เมษายน เขาทิ้งกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสเพื่อไปยังเขตปลอดทหารใน Binh Thuan นอกจากนี้ เขายังปล่อยนักโทษอีก ๒๔ คน นำถือปืนกลเบรนและปืนไรเฟิลไปด้วยอีกสองกระบอก ระเบิดมือสองกล่อง และกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง ที่พื้นที่ต่อต้านเขาพบว่า กองกำลัง Viet Minh มีอาวุธที่แย่มาก อาทิ ปืนคาบศิลาฝรั่งเศสสามกระบอกที่มีความยาวต่างกัน นายทหารมีปืนพกที่เก่ามาก ทหารบางคนยังใช้มีด หรือดาบ เขามอบปืนที่เขานำมาด้วยให้กับกองกำลัง Viet Minh ทหารเวียดนามดีใจมากเพราะได้อาวุธใหม่ หลังจากนั้นทหารเวียดนามจึงฆ่าลูกวัวเพื่อทำอาหารฉลอง หลังจากนั้น Kostas ได้รับชื่อเวียดนามว่า Nguyen Van Lap และเข้าร่วมกองทัพประชาชนเวียดนามอย่างเป็นทางการ ในฐานะหนึ่งในทหาร "เวียดนามใหม่ " 

ในช่วงปี ค.ศ. 1946 - 1948 สภาพความเป็นอยู่ของกองกำลัง Viet Minh นั้นเลวร้ายมาก เขาเล่าว่า "เราได้รับอาหารเพียง ๘๐๐ กรัมต่อวัน และมีเพียงผักเป็นอาหารเท่านั้น” สโลแกนการต่อต้านของกองกำลัง Viet Minh มีความคล้ายคลึงกับสโลแกนของชาวกรีซซึ่งก็คือ "เสรีภาพหรือความตาย" กองกำลัง Viet Minh ให้เขาทำงานในหน่วยประจำเขตพื้นที่ ๕ เขตสนามรบ “กว๋างนาม – ดานัง” เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ออกอากาศไปยังกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสชักจูงให้ทหารแปรพักตร์ออกจากกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส และช่วยชีวิตเชลย ๑๒๐ คนที่ถูกจับ 

ต่อมาเขาและเพื่อนร่วมหน่วยสามารถยิงเครื่องบิน Morane-Saulnier ตก และจับกุมนักบินชาวฝรั่งเศสสามคนที่ยังมีชีวิตอยู่ใกล้ ๆ กับ Phu Cang (กว๋างนาม) เมื่อเมษายน ค.ศ. 1948 หน่วยของเขาสามารถสังหารกองกำลังศัตรูได้ ๒๐๐ นาย ที่ Huong An - Ba Ren


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top