Tuesday, 14 May 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

น่าเสียดาย!! Ghost of Kyiv (ปีศาจแห่งเคียฟ) ‘เสืออากาศ’ ที่มีอยู่แค่ในโลก Social ของยูเครน

กลายเป็นอีกปรากฏการณ์แห่งโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อเรื่องราวของ Ghost of Kyiv ที่ถูกเผยแพร่เล่าลือกันในโลก Social Media ระหว่างที่ใครหลายคนกำลังติดตามข่าวสารการรบระหว่าง Russia กับ Ukraine 

Ghost of Kyiv เป็นฉายาของนักบินเครื่องบินขับไล่แบบ MiG-29 ของยูเครนผู้หนึ่ง ซึ่งสามารถยิงเครื่องบินรบของรัสเซียตกถึงหกลำภายในวันแรกของสงคราม และได้รับการขนานนามว่า Ghost of Kyiv เหตุเพราะ Ghost of Kyiv สามารถบรรลุความเป็น ‘เสืออากาศ’ ได้ภายในวันเดียว (*** คำว่า ‘เสืออากาศ (Flying Ace)’ หมายถึงนักบินรบที่สามารถยิงเครื่องบินรบของศัตรูตกตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไป)

เครื่องบินรบแบบ MiG-29 ของกองทัพอากาศยูเครน

ในวันแรกที่รัสเซียบุกยูเครน ข่าวลือที่ไม่ได้รับการยืนยันนี้ ก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต โดยมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอลงสื่อ Social Media กล่าวอ้างถึงเรื่องราวของนักบินรบ MiG-29 ชาวยูเครนผู้ลึกลับนายหนึ่ง ซึ่งสามารถสังหารเครื่องบินข้าศึก 6 ลำภายใน 30 ชั่วโมงแรกของสงคราม โดยเครื่องบินที่ถูกสอยร่วงนั้นเป็นเครื่องบินรบแบบ SU-35 จำนวน 2 ลำ, SU-25 จำนวน 2 ลำ, SU-27 จำนวน 1 ลำ และ MiG-29 อีกหนึ่งลำ และจากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงส่งผลให้ประชาชนชาวยูเครนต่างพากันให้ฉายานักบินผู้นี้ว่า Ghost of Kyiv ที่เข้าโหมด ‘เสืออากาศภายในวันเดียว’ (Ace in a Day) คนแรกของศตวรรษที่ 21 เลยก็ว่าได้

ทว่า วิดีโอและภาพถ่ายส่วนใหญ่ที่แสดงให้เห็นการสู้รบในอากาศของเครื่องบินรบแบบ MiG-29 ของยูเครนที่แชร์บน Social Media กลับได้รับการพิสูจน์โดยผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและนักวิจัยว่า...เก่า - ล้าสมัย และในบางกรณีก็มีการนำ Footage จากวิดีโอเกมจำลองการบินยอดนิยมกลับมาใช้ใหม่ 

นอกจากนี้แล้วรายงานเครื่องบิน MiG-29 ของยูเครนที่สามารถยิงเครื่องบินรัสเซียหลายลำตกตั้งแต่เริ่มการบุกรุก ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจากสื่อสากลใด ๆ อีกด้วย 

แต่ถึงกระนั้น เรื่องนี้ก็ไม่หลุดรอดและหยุดยั้งการเดินเครื่องโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อของรัฐบาล และนักการเมืองยูเครนไปได้ เพราะพวกเขายังพยายามเผยแพร่เรื่องราวของ ‘Ghost of Kyiv’ ทางโลกออนไลน์ ด้วยหวังว่าจะเป็นการเสริมสร้างและเพิ่มเติมขวัญกำลังใจให้ชาวยูเครนเกิดแรงฮึดในการป้องกันประเทศ 

อาทิ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 กระทรวงกลาโหมของยูเครน ก็ได้ปลุกกระแสข่าวลือด้วยการทวีตว่า Ghost of Kyiv อาจเป็นหนึ่งในอดีตนักบินนอกประจำการที่กลับมาสู้รบอีกครั้งหลังจากถูกรัสเซียรุกราน “นักบินทหารผู้มากประสบการณ์หลายสิบคน ยศตั้งแต่เรืออากาศเอกไปจนถึงนายพล ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกปลดเป็นกองหนุนกำลังกลับสู่กองทัพอากาศ” และ “ใครจะไปรู้ว่า บางทีหนึ่งในนั้นอาจเป็นนักบิน MiG-29 ซึ่งชาว Kyiv มักได้เห็นบ่อย ๆ !"

ฉะนั้น ปรากฏการณ์ Ghost of Kyiv จึงเหมือนเป็นการปรับภาพให้ผู้คนทั่วโลกและชาวยูเครนเห็นว่า ความจริงแล้วรัสเซียยังไม่ได้สร้างความเหนือชั้นกว่าในการครองอากาศได้เลย

โดยทางด้านเจ้าหน้าที่กลาโหมระดับสูงของสหรัฐฯ ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ก็ดูจะโหนกระแสเรื่องนี้อีกคำรบ โดยเขาได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนหน้านี้ด้วยว่า “การป้องกันทางอากาศของยูเครนยังคงใช้งานได้” และบนอากาศยัง “มีการสู้รบกันอย่างมีพลวัตสูงมากอยู่ (กองทัพอากาศยูเครนยังรับมือกับรัสเซียได้อยู่)” 

ยิ่งไปกว่านั้น การขาดข้อมูลที่ชัดเจนจากทั้งรัฐบาลรัสเซียและยูเครนเกี่ยวกับจำนวนตัวเลขความเสียหายและการบาดเจ็บล้มตาย ก็ดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความลึกลับให้แก่ Ghost of Kyiv ได้ดียิ่งขึ้น โดยกระทรวงกลาโหมของยูเครนอ้างว่า กองกำลังของรัสเซียเกือบ 6,000 นายและเครื่องบิน 30 ลำถูกทำลายโดยกองกำลังของตนเมื่อเช้าวันพุธ ต่อมาในวันเดียวกัน กระทรวงกลาโหมของรัสเซียอ้างว่า ทหาร 500 นายเสียชีวิต แต่ไม่ได้เปิดเผยว่า มีเครื่องบินถูกทำลายหรือสูญหาย ซึ่งทำให้ The Ghost of Kyiv กลายเป็นขวัญและกำลังใจที่เพิ่มขึ้นในหมู่ชาวยูเครนที่ต่างเต็มใจจับอาวุธเข้าต่อต้านกองทัพรัสเซีย

Chechen VS Chechen เปิดสมรภูมิรบ Ukraine แต่นักรบ Chechen ต้องมารบราฆ่าฟันกันเอง

สำหรับวันนี้อยากชวนทุกท่านไปรู้จักเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับกระแสโลกอย่างสงคราม ‘รัสเซีย-ยูเครน’ กัน 

ธงของสาธารณรัฐเชเชนในปัจจุบัน

เรื่องของชาว Chechen ซึ่งเป็นประชากรของสาธารณรัฐเชเชน (Chechen Republic) หรือ เชชเนีย (Chechnya) ซึ่งเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของประเทศรัสเซีย 

เชชเนีย ตั้งอยู่ในเขตคอเคซัสเหนือ อันเป็นส่วนใต้สุดของยุโรปตะวันออก และอยู่ในรัศมี 100 กิโลเมตรจากทะเลแคสเปียน มีเมืองหลวงคือ กรุงกรอซนีย์ ซึ่งในปี พ.ศ. 2553 ระบุว่า มีประชากรชาวเชชเนียราว 1,268,989 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ โดยตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย บริเวณเทือกเขาคอเคซัส มีอาณาเขตติดต่อกับจอร์เจีย 

ธงของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตัวเองเชเชน-อินกุช (Chechen-Ingush ASSR)

ภายหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายใน พ.ศ. 2534 ขบวนการชาตินิยมกลุ่มมุสลิมหัวใหม่ในรัสเซียต้องการที่จะผนวกดินแดน 4 สาธารณรัฐคือ สาธารณรัฐอิงกูเชเตีย, คาร์บาดีโน-บัลคาเรีย, ดาเกสถาน และนอร์ทออสซีเชีย เข้าด้วยกัน เรียกว่า "สหพันธรัฐอิสลามคาลีฟัด (Islamic Caliphate)" ภายใต้การสนับสนุนจากประเทศในตะวันออกกลาง และสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตัวเองเชเชน-อินกุช (Chechen-Ingush ASSR) แบ่งออกเป็นสองสาธารณรัฐ คือ สาธารณรัฐอินกูเชเตียและสาธารณรัฐเชเชน 

ธงของสาธารณรัฐอินกูเชเตียเชเชน

สาธารณรัฐเชเชนได้รับการประกาศเป็นสาธารณรัฐอินกูเชเตียเชเชน ซึ่งต้องการเป็นเอกราช หลังสงครามเชเชนครั้งที่หนึ่งกับรัสเซีย เชชเนียได้รับเอกราชโดยพฤตินัยเป็นสาธารณรัฐอินกูเชเตียเชเชน ระบอบการควบคุมจากส่วนกลางของรัสเซียได้รับการฟื้นฟูระหว่างสงครามเชเชนครั้งที่สอง ปัจจุบันยังมีการสู้รบประปรายไปในเขตภูเขาและทางใต้ของเชชเนีย

นายพลโซคคาร์ ดูดาเยฟ (ประธานาธิบดีเชชเนียคนแรก ผู้ซึ่งประกาศให้สาธารณรัฐเชชเนียเป็นเอกราช)

ปัญหาของเชชเนียเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2535 เมื่อนายพลโซคคาร์ ดูดาเยฟ ประธานาธิบดีเชชเนีย ประกาศให้สาธารณรัฐเป็นเอกราช แต่รัสเซียยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้ดินแดนในปกครองเป็นอิสระ ด้วยเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของรัสเซียอีกด้วย จึงได้มีการส่งทหารจำนวน 40,000 นาย เข้าไปยังเชชเนีย เพื่อปราบปรามการแบ่งแยกดินแดน ทำให้เกิดการสู้รบยืดเยื้อเป็นเวลาเกือบ 2 ปี (พ.ศ. 2537-2539) แต่ได้สิ้นสุดลง เมื่อรัสเซียตกลงให้สิทธิปกครองตนเองชั่วคราวแก่กลุ่มกบฏ และยอมถอนทหารออกจากเชชเนียทั้งหมด และสนับสนุนให้ อัสลาน มาสคาดอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเชชเนียในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 สืบแทนประธานาธิบดีดูคาเยฟที่เสียชีวิตไปในช่วงสงคราม 

อัสลาน มาสคาดอฟ อดีตประธานาธิบดีเชชเนีย ผู้ซึ่งถูกหน่วย FSB สังหาร

ต่อมาอำนาจของประธานาธิบดีมาสคาดอฟได้ลดลงเป็นลำดับ เนื่องจากอดีตหัวหน้ากลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ซึ่งกระจายอยู่ตามดินแดนส่วนต่างๆ ของเชชเนีย เริ่มตั้งตนขึ้นมามีอำนาจอย่างเป็นเอกเทศ และจากการที่ประธานาธิบดีมาสคาดอฟ ได้ดำเนินนโยบายแยกตัวเป็นเอกราชจากรัสเซียในภายหลัง ทำให้รัฐบาลรัสเซียต้องการจับกุมตัวประธานาธิบดีมาสคาดอฟ ในฐานะหัวหน้ากลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ขณะที่สุดท้ายประธานาธิบดีมาสคาดอฟ เสียชีวิตด้วยฝีมือของหน่วย FSB ขณะเข้าทำการจับกุมเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2548

นายพลชามิล บาซาเยฟ (อดีตหัวหน้ากลุ่มกบฏเชชเนีย)

อย่างไรก็ตาม สงครามเชชเนียครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2542) ก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อนายพลชามิล บาซาเยฟ หัวหน้ากลุ่มกบฏเชชเนีย ซึ่งมีอำนาจมากที่สุด นำกำลังเข้ายึดสาธารณรัฐดาเกสถานทางตะวันออกของเชชเนีย พร้อมประกาศจะปลดปล่อยดินแดนทางตอนเหนือของเทือกเขาคอเคซัสออกจากรัสเซีย และเปลี่ยนให้เป็นรัฐอิสลามทั้งหมด ทำให้รัสเซียต้องส่งทหารเข้าโจมตีที่ตั้งของนายพลบาซาเยฟในเชชเนียตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยสามารถยึดพื้นที่ไว้ได้ทั้งหมด รวมทั้งกรุงกรอซนีย์เมืองหลวงของเชชเนีย เหลือแต่เพียงบริเวณเทือกเขาตามแนวชายแดนเท่านั้น ที่มักเกิดการสู้รบกับกลุ่มกบฏในลักษณะการซุ่มโจมตี และต่อมา อัคมัด คาดีรอฟ ซึ่งย้ายข้างมาสนับสนุนรัสเซียได้ขึ้นเป็นผู้นำเชชเนีย และถูกลอบสังหารเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 และปัจจุบัน รัมซาม คาดีรอฟ บุตรชายของ อัคมัด คาดีรอฟ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐเชเชน ภายใต้สหพันธรัฐรัสเซียซึ่งมี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป็นผู้นำ

ใครเจ๋งกว่า? เปรียบเทียบแสนยานุภาพทาง ‘ทหาร’ ระหว่าง ‘Russia VS Ukraine’

ขณะที่เขียนบทความนี้ (วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียได้ลงนามรับรองสถานะความเป็นรัฐเอกราชในพื้นที่โดเนตสค์-ลูฮันสก์ ในภูมิภาคดอนบาสของ Ukraine พร้อมส่งกองกำลังทหารเพื่อ “รักษาสันติภาพ” เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว อันเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ฝักใฝ่รัสเซียเคลื่อนไหวอยู่ โดยรัสเซียได้ฉีกสนธิสัญญากรุงมิสก์ (Minsk Protocol) เพื่อยุติสงครามชายแดนระหว่าง Russia กับ Ukraine การส่งทหารเข้าไปในดินแดนของยูเครนครั้งใหม่นี้เป็นการเพิ่มความตึงเครียดของสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย ยูเครน และชาติตะวันตก โดยเฉพาะ NATO ให้มากยิ่งขึ้น

ยูเครนเคยเป็นรัฐภายใต้สหภาพโซเวียตตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และประกาศเอกราชหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2534 หลังจากนั้นก็มีการปะทะตามแนวชายแดนระหว่าง Russia กับ Ukraine จนกระทั่งสามารถเจรจาสงบศึกด้วยการทำสนธิสัญญากรุงมิสก์ (เมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2557) ในการแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ความยาวเกือบหนึ่งชั่วโมง ประธานาธิบดีปูติน ผู้นำรัสเซียได้กล่าวถึงเหตุผลในการส่งกองกำลังทหารเข้าในพื้นที่โดเนตสค์-ลูฮันสก์ ของยูเครนไว้หลายประเด็นได้แก่

(1) เพื่อรับรองภูมิภาคดอนบาส (สาธารณรัฐโดเนตสค์และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์)

(2) ยูเครนไม่ทำตามข้อตกลงที่เคยให้ไว้ในปี พ.ศ. 2537 ว่าจะไม่เข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรตะวันตก

(3) การป้องกันภัยคุกคามจากโลกตะวันตกต่อรัสเซีย 

เมื่อดูแสนยานุภาพของทั้งสองชาติเปรียบเทียบกันในมิติต่าง ๆ พอจะสรุปได้ดังนี้
>> Russia vs Ukraine (อัตราส่วน)
ประชากร : 145,478,097 vs 41,167,336 คน (ราว 3.53 : 1)
GDP : US$ 4,328,000,000,000 vs 622,000,000,000 (ราว 6.95 : 1)
งบประมาณกลาโหม : US$ 61,000,000,000 vs 6,000,000,000 (ราว 10.16 : 1)
กำลังทหารประจำการ : 1,014,000 vs 255,000 นาย (3.97 : 1)
กำลังสำรอง : 2,000,000 vs 250,000 นาย (8 : 1)
ประชากรในวัยพร้อมรบ : 3,014,000 vs 1,155,000 คน (ราว 2.6 : 1)

>> กองกำลังทางบก
ทหาร : 280,000 vs 125,600 นาย (2.22 : 1)
รถถัง : 13,367 vs 2,119 คัน (6.30 : 1)
ปืนใหญ่ (ลากจูง+อัตตาจร) : 5,934 vs 2,040 ระบบ (2.9 : 1)
ยานรบหุ้มเกราะ : 27,100 vs 11,435 คัน (2.36 : 1)

>> กองกำลังทางเรือ
ทหาร : 150,000 vs 15,000 นาย (10 : 1)
เรือผิวน้ำ : 74 vs 2+13 (ขนาดเล็ก) = 15 ลำ (4.93 : 1)
เรือดำน้ำ : 51 vs 0 (51 : 0)

ความลับไม่มีในโลก!! ‘Xkeyscore’ ระบบคอมพิวเตอร์ลับ เจาะโลกอินเทอร์เน็ต 

XKeyscore (XKEYSCORE หรือ XKS) เป็นระบบคอมพิวเตอร์ลับที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NSA) ใช้เพื่อค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ซึ่งรวบรวมแบบ Real Time โดย NSA ได้แบ่งปันข้อมูลจาก XKeyscore กับหน่วยงานข่าวกรองอื่น ๆ รวมถึง Signals Directorate ออสเตรเลีย / Communications Security Establishment แคนาดา / Government Communications Security Bureau นิวซีแลนด์ / Government Communications Headquarters (GCHQ) สหราชอาณาจักร  / Defense Intelligence Headquarters ญี่ปุ่น และ Bundesnachrichtendienst เยอรมนี

Edward Snowden

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 Edward Snowden อดีตลูกจ้างของ NSA และ CIA เปิดเผยต่อสาธารณชนถึงจุดประสงค์ของโปรแกรมและการใช้ XKeyscore โดย NSA ในหนังสือพิมพ์ The Sydney Morning Herald และ O Globo ว่า... 

XKeyscore เป็นโปรแกรมระบบที่มีความซับซ้อน และมีผู้ร่วมเขียนโปรแกรมหลายคน มีการตีความความสามารถที่แท้จริงของ XKeyscore ที่แตกต่างกัน ซึ่ง Edward Snowden และ Glenn Greenwald (The Guardian) อธิบายว่า XKeyscore เป็นระบบที่ช่วยให้สามารถสอดส่องผู้ใดก็ได้ในโลกโดยแทบไม่มีขีดจำกัด ในขณะที่ NSA ได้กล่าวปฏิเสธว่า การใช้งานของระบบ XKeyscore นั้นถูกจำกัด

ตามรายงานของ The Washington Post โดย Marc Ambinder นักข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า XKeyscore เป็นระบบการดึงข้อมูลของ NSA ซึ่งประกอบด้วยชุดอินเทอร์เฟซผู้ใช้ ฐานข้อมูลแบ็กเอนด์ เซิร์ฟเวอร์ และซอฟต์แวร์ที่เลือกข้อมูลบางประเภท และข้อมูล Meta ที่ NSA ได้ทำการรวบรวมด้วยวิธีอื่น ๆ

26 มกราคม พ.ศ. 2557 Edward Snowden ให้สัมภาษณ์กับ Norddeutscher Rundfunk (NDR) ทีวีเยอรมันว่า "Xkeyscore” เป็นเครื่องมือค้นหาส่วนหน้า "ซึ่ง” สามารถอ่าน E-mail ของใครก็ได้ในโลก ทุกคนที่มีที่อยู่ E-mail ในเว็บไซต์ใด ๆ สามารถดูปริมาณการใช้ข้อมูลไปและกลับจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ แล็ปท็อปเครื่องใดก็ตามที่กำลังติดตาม สามารถติดตามในขณะที่เครื่องเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งทั่วโลก เป็นจุดรวมที่ครบวงจรสำหรับการเข้าถึงข้อมูลของ NSA ซึ่งสามารถแท็กบุคคลใดก็ได้ 

การทำงานของ Xkeyscore สมมติว่า ต้องการติดตามเป้าหมายที่ทำงานในองค์กรใหญ่ของเยอรมัน และต้องการเข้าถึงเครือข่ายนั้น Xkeyscore สามารถติดตามชื่อผู้ใช้เป้าหมายบนเว็บไซต์ในฟอรัมที่ใดที่หนึ่ง สามารถติดตามชื่อจริงของเป้าหมาย สามารถติดตามและเชื่อมโยงกับเพื่อนของเป้าหมาย และสามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ลายนิ้วมือ” ซึ่งเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของเป้าหมายที่มีกิจกรรมบนเครือข่ายโดยเฉพาะ นั่นหมายความว่า ทุกที่ที่เป้าหมายไปในโลก ทุกที่ที่เป้าหมายพยายามจะซ่อนตัวตนในโลกออนไลน์ 

Glenn Greenwald จาก The Guardian ระบุว่า นักวิเคราะห์ NSA ระดับปฏิบัติการสามารถที่จะเรียก "ดู E-mail ใด ๆ ก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะโทรศัพท์ เรียกดูประวัติ เอกสาร Microsoft Word และทำทั้งหมดนี้ได้โดยไม่ต้องขึ้นศาล โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากหัวหน้างานในส่วนของนักวิเคราะห์" เขาเสริมว่า ฐานข้อมูลของการสื่อสารที่รวบรวมได้ของ NSA ช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถฟัง "การโทรหรืออ่าน E-mail ของทุกอย่างที่ NSA เก็บไว้หรือดูประวัติการเรียกดูหรือคำค้นหาของ Google ที่คุณป้อนและยังแจ้งเตือนพวกเขาต่อไป กิจกรรมที่ผู้คนเชื่อมต่อกับที่อยู่ E-mail นั้นหรือที่อยู่ IP นั้นในอนาคต"

แถลงการณ์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 NSA กล่าวว่า "XKeyscore ใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบรวบรวมข่าวกรองสัญญาณต่างประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมายของ NSA" เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับ "เป้าหมายข่าวกรองต่างประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อตอบสนองต่อข้อกำหนดตามที่ผู้นำของเราต้องการข้อมูลที่จำเป็นในการปกป้องประเทศและผลประโยชน์ของประเทศ... เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ช่วยให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ เพื่อปกป้องประเทศ และเพื่อปกป้องกองกำลังของสหรัฐฯ และกองกำลังของชาติพันธมิตรในต่างประเทศ" 

ในแง่ของการเข้าถึง แถลงการณ์ของ NSA ระบุว่าไม่มี "การเข้าถึงข้อมูลการรวบรวมของ NSA ของนักวิเคราะห์ที่ไม่ได้ตรวจสอบ การเข้าถึง XKeyscore รวมถึงเครื่องมือวิเคราะห์ทั้งหมดของ NSA นั้นจำกัดเฉพาะบุคลากรที่ต้องการเข้าถึงสำหรับงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น" และมี "กลไกการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามที่เข้มงวดที่สร้างขึ้นในหลายระดับ คุณลักษณะหนึ่งคือ ความสามารถของระบบในการจำกัดสิ่งที่นักวิเคราะห์สามารถทำได้ด้วยเครื่องมือ โดยพิจารณาจากแหล่งที่มาของการรวบรวมและความรับผิดชอบที่กำหนดไว้ของนักวิเคราะห์แต่ละคน" 

XKeyscore เป็น "ส่วนหนึ่งของซอฟต์แวร์ Linux ที่มักใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ Red Hat มันใช้เว็บเซิร์ฟเวอร์ Apache และจัดเก็บข้อมูลที่รวบรวมไว้ในฐานข้อมูล MySQL" XKeyscore ถือเป็นโปรแกรม "แฝง" โดยจะรับแต่ไม่ส่งสิ่งใดบนเครือข่ายที่เป็นเป้าหมาย แต่สามารถจุดระบบอื่น ๆ ซึ่งทำการโจมตีแบบ "แอ็กทีฟ" ผ่าน Tailored Access Operations ตัวอย่างเช่น ตระกูลโปรแกรม QUANTUM รวมถึง QUANTUMINSERT, QUANTUMHAND, QUANTUMTHEORY, QUANTUMBOT และ QUANTUMCOPPER และ Turbulence เหล่านี้ดำเนินการใน "สถานที่ซึ่งได้รับการป้องกัน" ซึ่งรวมถึงฐานทัพอากาศ Ramstein ในเยอรมนี ฐานทัพอากาศ Yokota ในญี่ปุ่น และสถานที่ทางทหารและที่ไม่ใช่ทางทหารอีกจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา Trafficthief ซึ่งเป็นโปรแกรมหลักของ Turbulence สามารถแจ้งเตือนนักวิเคราะห์ NSA เมื่อเป้าหมายของพวกเขามีการสื่อสารกัน และเรียกใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์อื่น ๆ ดังนั้นข้อมูลที่เลือกจึง "ได้รับการส่ง" จากที่เก็บข้อมูล XKeyscore ในเครื่องไปยัง "ที่เก็บขององค์กร" ของ NSA สำหรับการจัดเก็บระยะยาว

แหล่งข้อมูลของ XKeyscore ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 700 เซิร์ฟเวอร์ในไซต์ประมาณ 150 แห่งที่ NSA รวบรวมข้อมูล เช่น "กองทัพสหรัฐและพันธมิตร รวมถึงสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ" ในหลายประเทศทั่วโลก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้มี 4 ฐานปฏิบัติการในออสเตรเลียและอีกหนึ่งแห่งในนิวซีแลนด์ ตามเอกสารจากเว็บไซต์ภายในของ GCHQ ซึ่งเปิดเผยโดยนิตยสารเยอรมัน Der Spiegel ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 ระบบ Xkeyscore มีสามแบบ ได้แก่

แบบดั้งเดิม XKeyscore เวอร์ชันเริ่มต้นจะดึงข้อมูลจากสัญญาณข้อมูลอัตราต่ำ หลังจากที่ประมวลผลโดยระบบ WEALTHYCLUSTER เวอร์ชันดั้งเดิมนี้ไม่ได้ถูกใช้โดย NSA เท่านั้น แต่ยังถูกใช้ที่ Site อีกหลายแห่งของ GCHQ ด้วย

แบบที่ 2 XKeyscore เวอร์ชันนี้ใช้สำหรับอัตราข้อมูลที่สูงกว่า ข้อมูลจะได้รับการประมวลผลครั้งแรกโดยระบบ TURMOIL ซึ่งส่ง 5% ของแพ็กเก็ตข้อมูลอินเทอร์เน็ตไปยัง XKeyscore GCHQ ใช้เวอร์ชันนี้สำหรับคอลเลกชันภายใต้โปรแกรม MUSCULAR เท่านั้น

แบบเจาะลึก เวอร์ชันล่าสุดนี้สามารถประมวลผลการรับส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตที่อัตราข้อมูล 10 กิกกะบิตต่อวินาที ข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับวัตถุประสงค์ด้านข่าวกรองจะถูกเลือกและส่งต่อโดยใช้ "ภาษาสำหรับการเลือก GENESIS" GCHQ ยังดำเนินการ XKeyscore เวอร์ชัน Deep Dive จำนวนหนึ่งที่ตำแหน่งสามแห่งภายใต้ชื่อรหัส TEMPORA

รายงานปี พ.ศ. 2554 หน่วย NSA ใน Dagger Complex (ใกล้กับ Griesheim ในเยอรมนี) กล่าวว่า XKeyscore ทำให้การกำหนดเป้าหมายการเฝ้าระวังง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก่อนหน้านี้ การวิเคราะห์มักเข้าถึงข้อมูลที่ NSA ไม่สนใจ XKeyscore ช่วยให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่หัวข้อที่ตั้งใจไว้ ในขณะที่ละเลยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง XKeyscore ยังได้รับการพิสูจน์ว่าโดดเด่นในการติดตามกลุ่มเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนิรนามในเยอรมนี เนื่องจากช่วยให้ค้นหารูปแบบต่าง ๆ ได้ แทนที่จะค้นหาเฉพาะระดับบุคคล โดยนักวิเคราะห์สามารถกำหนดได้ว่าเมื่อใดที่เป้าหมายจะค้นคว้าหัวข้อใหม่หรือพัฒนาพฤติกรรมใหม่

‘Gaston Glock’ วิศวกรอัจฉริยะ!! ผู้ออกแบบและสร้างอาวุธ ‘ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK’

ปัจจุบันอาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติยี่ห้อ GLOCK มีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดปืนพกพลเรือน และเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติที่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาใช้ถึง 65% ของอาวุธปืนพก

ความสำเร็จที่ไม่คาดฝันมาก่อนของ GLOCK นั้นเกิดขึ้นได้จากการเป็นบริษัทผู้ผลิตปืนพกคุณภาพเยี่ยมราคาประหยัดออกมาแข่งกับบริษัทที่มีชื่อเสียงอาทิ Smith & Wesson และ Beretta ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดปืนพกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำเร็จเชิงกลยุทธ์เกิดจากการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการทำการตลาด การโฆษณา และการส่งเสริมการขายไปยังกลุ่มตลาดหลัก ๆ

GLOCK GmbH ตั้งอยู่ใน Deutsch-Wagram ออสเตรีย และไม่ได้เข้าสู่ตลาดอาวุธปืนจนกระทั่งปี 1980 แรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ ผู้ก่อตั้ง Gaston Glock วิศวกรที่มีประสบการณ์ในการผลิตเรซินสังเคราะห์ขั้นสูง

ช่วงต้นปี 1980 Gaston Glock ได้ไปเยือนสำนักงานใหญ่ของกระทรวงกลาโหมออสเตรีย (AMD) เพื่อเสนอขายอุปกรณ์ทางทหารที่เขาผลิต อาทิ เข็มขัดสำหรับยึดสัมภาระที่ผลิตจาก polymer พลั่ว ลูกระเบิดมือฝึก และเครื่องมือแบบ Multifunction

ขณะที่รอการประชุม Glock ได้ยินการสนทนาของนายทหารระดับสูงสองนาย จึงแอบฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งหารือกันเกี่ยวกับข้อกำหนดอย่างเป็นทางการเพื่อเสนอข้อเสนอ (RFP) ให้กับบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืน 5 รายในโครงการผลิตปืนพกแทนที่ ปืนพก Walther P38 ที่ล้าสมัยแล้ว

สองพันเอกโอดครวญถึงความคืบหน้าของคำขอและปืนพกซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนาราว 4-5 ปี จำเป็นต้องผ่านคุณสมบัติบังคับ 17 ประการ เพื่อให้เป็นไปตาม RFP ของ AMD ซึ่งกำหนดให้ปืนพกต้องแม่นยำ น้ำหนักเบา และทนทาน พร้อมซองกระสุนซึ่งจุกระสุนได้มาก (ลูกดก) และใช้กระสุนปืนพกตามมาตรฐาน NATO (9x19 มม.)

การสนทนาของนายทหารทั้งสองยังทำให้ Glock ทราบว่า เมื่อได้รับอาวุธปืนพกแล้วตามกำหนดเวลาแล้ว AMD จะต้องประเมินความคาดหวังของ AMD ให้ได้ถึง 70% ของคุณสมบัติที่จำเป็นเหล่านี้ ข้อกำหนดที่เข้มงวดเหล่านี้ทำให้วิศวกรนักออกแบบอาวุธปืนฝันร้าย บริษัทผู้ผลิตปืนยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่กำหนด ตามกระบวนการผลิตเริ่มต้นจากโครงปืนด้วยเครื่องมือที่มีอยู่เดิมปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับรายละเอียดตามข้อกำหนดเช่นเดียวกับที่พวกเขาทำมานานหลายทศวรรษแล้ว ปืนพกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามแนวคิดเดิม ๆ ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ 45-60 ชิ้น Glock จึงได้แนะนำตัวกับนายทหารทั้งสอง และเสนอว่า เขาต้องการได้รับการพิจารณาในการผลิตอาวุธปืนพกสำหรับ AMD ด้วย 

และหลังจากอธิบายธุรกิจและทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับเรซินแล้ว ไม่นานก็ถูกปฏิเสธอย่างเหยียดหยามแบบออสเตรีย ซึ่งเห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถแสดงออกกับ Glock ด้วยความชาญฉลาด Glock ซึ่งได้ลงทะเบียนในรายชื่อผู้ประมูลของ AMD สถานะของเขาจึงอยู่ในฐานะผู้จัดหาสินค้าในปัจจุบัน ทำให้ได้รับข้อมูลจำเพาะและข้อกำหนดการปฏิบัติตามกระบวนการเสนอราคาและกำหนดเวลา จากนั้น Glock ก็ทำงานทั้งวันทั้งคืนต่อมาอีก 2 ปี

Glock ได้ซื้อปืนพกทุกแบบในตลาด และทำการถอดประกอบเข้า-ออกทั้งหมด ด้วยการที่ไม่รู้ถึงกระบวนการผลิตอาวุธปืนจึงกลายเป็นข้อดี เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ Glock จึง “ไม่มีข้อปัญหาในการพัฒนาวิธีคิดเกี่ยวกับการผลิตอาวุธปืน” ซึ่ง Glock ได้บอกในภายหลังว่า เพื่อเสริมความไม่มีประสบการณ์เขาได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านอาวุธปืนที่เก่งมาก 2 คน และมี 'กลุ่มสนใจ' อีกหลายกลุ่มเพื่อช่วยออกแบบและสร้างอาวุธปืน

จากการที่ Glock มีประสบการณ์ในการพัฒนา polymer สูงมาก และมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอย่างมากด้วย และเมื่อผสานทักษะเหล่านั้นเข้ากับการออกแบบอาวุธปืนพกปืนที่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว 34 ชิ้นบรรจุกระสุน 17 นัด และมีน้ำหนักน้อยกว่าอาวุธปืนพกแบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK ได้รับการออกแบบที่ดีกว่า ผลิตได้แม่นยำกว่า และถูกกว่าด้วยการออกแบบที่ไม่น่าจะสำเร็จ แต่ก็คุ้มกับการลองอาวุธปืนพกที่มีความซับซ้อน แต่มีราคาเพียงประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ ที่จะอาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK ใช้โครงปืนเป็น polymer สไลด์ (ลำเลื่อน) ผลิตด้วยเหล็กจากเบ้าพิมพ์มีความแม่นยำสูง และการชุบเคลือบผิวด้วยความร้อนที่จดสิทธิบัตรเพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการสึกหรอและการเกิดสนิม ไม่มีอะไรที่เหมือนและพิสูจน์แล้วว่า เชื่อถือได้ ทนทาน และแม่นยำ อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK 17 ได้รวมคุณสมบัติที่จำเป็นทั้งหมดตาม RFP ของ AMD ทั้ง 17 ประการไว้ และเข้าร่วมในการทดสอบของกองทัพออสเตรียเพื่อจัดหาอาวุธปืนพกในปี 1982 แน่นอนที่สุด GLOCK 17 ชนะการแข่งขัน

อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK เอาชนะอาวุธปืนที่ผลิตโดยบริษัทผู้ผลิตรายสำคัญอีก 5 ราย เมื่อกระทรวงกลาโหมออสเตรีย (AMD) ได้ทำสัญญาสั่งซื้อปืนไฮบริดจ์เหล็กกล้าคาร์บอนกับ polymer จำนวน 25,000 กระบอกจาก GLOCK และกลายเป็นผู้นำในการผลิตอาวุธปืนเชิงพาณิชย์ เข้าสู่อันดับดีเยี่ยมของบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนของโลก ปืนพก GLCK 17 ต่อมาถูกนำมาใช้โดยทหารและตำรวจออสเตรีย และถูกกำหนดเป็นปืนพกแบบ P80 โดยคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Smith & Wesson ซึ่งทำธุรกิจมาตั้งแต่ ปี 1850 พ่ายแพ้แบบหมดท่าเลยทีเดียว

GLOCK GmbH เป็นบริษัทเอกชน ดังนั้นกำไรจะไปยัง Gaston Glock เท่านั้น และจากการประมาณการ ตามเอกสารที่ยื่นโดย GLOCK ในคดีสิทธิบัตรเมื่อปี 1992 กำไรขั้นต้นเฉลี่ย ณ โรงงานคือ 68% องค์กรที่ทันสมัยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับนี้ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมาก โดยไม่ต้องแบ่งกับใครเลย Gaston Glock ได้ก้าวเดินไปตามคมมีดนี้อย่างประสบความสำเร็จ และในตลาดสมัยใหม่ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างผูกขาดเป็นเอกเทศ ยอดขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ GLOCK ทั้งหมดเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่เปิดตัวปืนพก GLOCK 17 ปัจจุบันปืนพกยี่ห้อ GLOCK วางจำหน่ายในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

GLOCK GmbH มีบริษัท Holding ตั้งอยู่ใน Lichtenstein ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด เนื่องจากมีการเก็บภาษีนิติบุคคลแบบเฉพาะจาก บริษัท Holding ตั้งอยู่ในอาณาเขต Lichtenstein นั้น (1) คิดอัตราภาษีที่คงที่ 12.5% (2) ไม่มีภาษีกำไรจากการขาย และ (3) มีการลดหย่อนภาษีพิเศษในกรณีที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และ Gaston Glock มี Charles Ewert อัจฉริยะทางการเงินเป็นที่ปรึกษาของเขา

Charles Ewert ขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว

รู้จักและระวังภัย!! “ระเบิดแสวงเครื่อง” (Improvised Explosive Device : IED) ระเบิดทำลายล้าง ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้!!

คืนวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองยะลา ได้รับแจ้งเหตุพบวัตถุต้องสงสัยและระเบิดรวม 14 จุด สามารถเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิดได้ 3 ลูก เพื่อให้ได้รู้จัก เข้าใจ และเป็นการระวังภัยจากระเบิดที่ใช้ที่ในครั้งนี้ จึงขอนำข้อมูลเกี่ยวกับ
รู้จักกับระเบิดแสวงเครื่อง Improvised Explosive Device : IED มาเล่าให้ทราบพอสังเขปดังนี้

ระเบิดแสวงเครื่อง Improvised Explosive Device : IED เป็นระเบิดที่ถูกใช้กันมากในกลุ่มผู้ก่อการร้าย (โดยเฉพาะในตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน) โดยเป้าหมายหลักในการทำลาย คือ กลุ่มกองกำลังทหาร และ ยานพาหนะ รวมถึง รถถังขนาดใหญ่ สถานที่ชุมชน กลุ่มก่อการร้าย สามารถทำการวางกับระเบิดชนิดนี้ไว้ได้ในหลายพื้นที่ เช่น ข้างทาง บนถนน ในพุ่มไม้ หรือในที่ ๆ กองกำลังศัตรู ใช้เป็นทางผ่านอยู่เป็นประจำ เมื่อศัตรูเข้าใกล้เป้าหมาย กลุ่มก่อการร้ายก็จะทำการจุดชนวนระเบิดทันที ความเสียหายที่ได้รับมีมากมาย ถ้าเป็นทหารก็คงเหลือแค่ชิ้นส่วนอวัยวะเศษเล็กเศษน้อย หากเป็นยานพาหนะก็อาจทำให้เสียหายทั้งคัน รวมถึงรถถังก็ไม่อาจต้านทานระเบิดแสวงเครื่องได้ เพราะจุดอ่อนของรถถังก็คือบริเวณใต้ท้องเมื่อเกิดการระเบิดจึงทำให้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

>> ระเบิดแสวงเครื่องคืออะไร ระเบิดแสวงเครื่อง (Improvised Explosive Devices : IED) จัดเป็น รูปแบบหนึ่งของกับระเบิด (Booby Traps) เป็นการนำเอาวัสดุที่มีอยู่หรือวัสดุที่สามารถหาได้ง่าย เช่น ปุ๋ยยูเรีย ดินระเบิด นำมาประดิษฐ์เป็นระเบิดเพื่อสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่  ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น ทำให้การทำระเบิดแสวงเครื่องมีความซับซ้อนมากขึ้น และสามารถควบคุมการทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอการตั้งเวลาแบบเดิม สามารถกำหนดการระเบิดได้ตามต้องการผ่านวิธีการควบคุมระยะไกล (Remote control) ด้วยการใช้วิทยุหรือโทรศัพท์จุดชนวน

คำว่า “ระเบิดแสวงเครื่อง” คือ การประกอบระเบิด ในส่วนกำเนิดการจุด ที่ไม่ได้ใช้วัสดุมาตรฐานการผลิตจากโรงงาน มาประกอบกันให้ครบวงจรการระเบิด โดยเสาะแสวงหาวัสดุต่าง ๆ ที่หาได้ทั่ว ๆ ไป มาดัดแปลง หรือประยุกต์ ใช้งานตามที่ต้องการ

ระเบิดแสวงเครื่อง ในวิทยุรับ - ส่ง

ยกตัวอย่างเช่น การวางกับระเบิดแสวงเครื่องในวิทยุทรานซิสเตอร์ โดย เอาดิน C4 (ดินหลัก) มาอัดใส่หลังลำโพง แล้วเสียบเชื้อปะทุไฟฟ้า(ดินขยาย) แล้วลากสายไฟ ไปที่รังถ่านแบตเตอรี่ของวิทยุ(ส่วนกำเนิดการจุด) ที่ใส่ถ่านไว้ โดยมีสวิตช์เปิดปิดวิทยุ เป็นสะพานไฟ พอมีบุคคลเป้าหมาย มาเปิดวิทยุฟังก็ระเบิดทันที เช่นนี้คือ การวางระเบิดแสวงเครื่อง เพราะตัววิทยุ กับวงจรไฟฟ้าที่วิทยุมีอยู่ ไม่ใช่วัสดุมาตรฐานจากโรงงานผลิตระเบิดโดยเฉพาะ แต่เป็นวัสดุที่ผู้ใช้แสวงหามาจากของใช้ทั่ว ๆ ไป

Mines (ทุ่น/กับระเบิด ที่ผลิตจากโรงงานมาตรฐาน)

ส่วน Mines คือ ทุ่นระเบิด ที่ผลิตจากโรงงานมาตรฐาน มีรุ่น ขนาด การใช้แบบเดียวกันหมด ในภาษาราชการเรียกแบบนี้ เพราะต้องการแยกไม่ให้เหมือนกับระเบิด ซึ่งเป็นการดัดแปลงการใช้งานให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม และความต้องการ

>> ระเบิดแสวงเครื่องทำงานแบบบังคับชุด เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่สามารถควบคุมการทำงานได้จากระยะไกล (Remote Control) การที่ระเบิดแสวงเครื่อง สามารถประดิษฐ์จากวัสดุที่มีอยู่โดยทั่วไป ทำให้รูปแบบของระเบิดแสวงเครื่องมีหลายรูปแบบ และไม่มีลักษณะที่แน่นอน บางทีมาในรูปแบบของโทรศัพท์มือถือ กระถางต้นไม้ ถังขยะ รถมอเตอร์ไซค์ ทำให้ง่ายสำหรับผู้ก่อการร้ายในการจัดหาวัตถุดิบ การซุกซ่อนพกพา การประดิษฐ์ และการนำมาใช้ แต่จะเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ในการตรวจค้นและเก็บกู้วัตถุระเบิด

>> ระเบิดแสวงเครื่อง สามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของระบบการทำงาน ได้ 3 ระบบ คือ
1.) ระบบสารเคมี เป็นการใช้สารเคมีซึ่งเป็นส่วนผสมของระเบิดผสมกัน ทำให้เกิดปฏิกิริยากันแล้วเกิดการระเบิดขึ้น
ระบบนี้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก เพราะขั้นตอนการประดิษฐ์ยุ่งยาก ไม่สามารถควบคุมเวลาที่จะทำให้เกิดการระเบิด
ได้แน่นอน และที่สำคัญคือเป็นอันตรายต่อผู้ประดิษฐ์

2.) ระบบกลไก เป็นการใช้อุปกรณ์ทางกลต่าง ๆ เป็นตัวทำให้เกิดการทำงานของระเบิดแสวงเครื่อง ระบบนี้ส่วนใหญ่
จะต้องอาศัยสิ่งอื่น ๆ มากระทำต่ออุปกรณ์ระเบิด ระเบิดจึงจะเริ่มทำงาน เช่น การใช้ระบบนาฬิกาเป็นกลไก ระเบิดวิธีนี้นิยมใช้ข่มขู่ หรือประสงค์ให้เสียชีวิตเฉพาะบุคคล

3.) ระบบไฟฟ้า เป็นการใช้อุปกรณ์ทางไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์มาควบคุมการจุดระเบิด เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ เพจเจอร์ โทรศัพท์ไร้สาย รีโมตคอนโทรล รถยนต์ รถ หรือเครื่องบินวิทยุบังคับ นำมาประกอบเชื้อปะทุไฟฟ้าและวัตถุระเบิด ระเบิดแสวงเครื่องแบบนี้เป็นที่นิยมกันมาก เนื่องจากประดิษฐ์ได้ง่าย สามารถกำหนดเวลา, ควบคุมจังหวะการทำงานได้แน่นอน, ควบคุมการทำงานได้ในระยะไกล และสามารถสร้างความซับซ้อนตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของผู้ประดิษฐ์ได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของผู้ประดิษฐ์

ระเบิดแสวงเครื่องทำงานแบบถ่วงเวลา ใช้อุปกรณ์ตั้งเวลาการทำงาน เช่น ใช้นาฬิกา หรือวงจรนับแบบอิเล็กทรอนิกส์
 

>> ระเบิดแสวงเครื่องทำงานอย่างไร
1.) ทำงานจากการกระทำ ของเหยื่อ เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ต้องอาศัยบุคคลหรือ สิ่งอื่น ๆ มากระทำเพื่อให้ เกิดการระเบิด เช่น ยกระเบิด เปิดระเบิด หรือเอียงระเบิด

2.) การทำงานแบบบังคับชุด เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่สามารถควบคุมการทำงานได้จากระยะไกล (Remote Control) เช่น วิทยุรับ-ส่ง, โทรศัพท์มือถือ ผู้ที่ประดิษฐ์ระเบิดแบบนี้จะต้องมีความรู้ พื้นฐานทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นอย่างดี ทั้งนี้โทรศัพท์ที่นิยมนำมาใช้ในการทำระเบิดคือมือถือยี่ห้อโนเกีย รุ่น 3310 เนื่องจากแผงวงจรสามารถทำระเบิดได้ง่ายไม่ต้องใช้อุปกรณ์อย่างอื่นมาพ่วง แต่มือถือรุ่นอื่น ก็ใช้ในการทำระเบิดได้ เพียงแต่ต้องหาอุปกรณ์พ่วงหรือบางรุ่นกำลังไฟมีไม่พอ นอกจากนี้ในการเปิดให้ประชาชนสามารถซื้อมือถือใช้ได้โดยไม่ต้องมีการลงทะเบียนทำให้เกิดความยากในการติดตามจับกุม ซึ่งหากมีการลงทะเบียนการเปิดใช้มือถือ ทั้งหมดจะสามารถช่วยติดตามจับกุมคนร้ายที่ใช้มือถือได้ทันที แต่ในขณะที่ยังไม่มีการควบคุม เมื่อคนร้ายใช้มือถือเสร็จ ก็สามารถไปซื้อมือถือเครื่องใหม่ มาใช้ทำระเบิดแสวงเครื่องได้อีก

3.) การทำงานแบบถ่วงเวลา ใช้อุปกรณ์ตั้งเวลาการทำงาน เช่น ใช้นาฬิกา หรือวงจรนับแบบอิเล็กทรอนิกส์

4.) การทำงานแบบอาศัย สภาพแวดล้อม เช่น เมื่อโดนแสงสว่าง หรือมีเสียงดัง

ระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในหม้ออัดแรงดันทำงานแบบถ่วงเวลา ใช้อุปกรณ์ตั้งเวลาการทำงาน
 

แค่กลั้นหายใจก็ถึงแล้ว!! ‘Loganair LM711’ เที่ยวบินพาณิชย์ที่สั้นที่สุดในโลก!!!

หมู่เกาะ Orkney ของสกอตแลนด์ มีเที่ยวบินประจำที่ใช้เวลาน้อยกว่าการถอดเข็มขัดและรองเท้าสำหรับวางบนถาดเพื่อรับการตรวจตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของสนามบินด้วยซ้ำ!! เที่ยวบิน Loganair LM711 อยู่ระหว่างเกาะ Westray และ Papa Westray เส้นทาง 1.7 ไมล์ และใช้เวลาเพียง 53 วินาทีในวันที่อากาศดี นี่คือ...เที่ยวบินโดยสารที่สั้นที่สุดในโลก!!! 

เส้นทาง Loganair Westray ไปยัง Papa Westray เป็นเที่ยวบินโดยสารที่สั้นที่สุดในโลก เที่ยวบินในเส้นทางมีกำหนดเวลาบินอยู่ที่หนึ่งนาทีครึ่งถึงสองนาที และใช้เวลาบินจริงราวหนึ่งนาที บันทึกสำหรับเที่ยวบินที่เร็วที่สุดคือ 53 วินาที เส้นทางนี้ให้บริการโดย Loganair ซึ่งเป็นสายการบินระดับภูมิภาคของสกอตแลนด์ที่ให้บริการในเขตที่ราบสูงและหมู่เกาะของสกอตแลนด์ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของเที่ยวบินเชื่อมต่อที่เชื่อมระหว่างเกาะ Westray และเมือง Kirkwall ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางและมีประชากรมากที่สุดของหมู่เกาะ Orkney

Loganair เป็นสายการบินระดับภูมิภาคของอังกฤษ ฐานปฏิบัติการบินหลักตั้งอยู่ที่ท่าอากาศยาน Glasgow ใกล้เมือง Paisley ประเทศสกอตแลนด์ เป็นสายการบินระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักรตามจำนวนผู้โดยสารและขนาดฝูงบิน (45 ลำ)

เส้นทางระหว่าง Westray และ Papa Westray ของหมู่เกาะ Orkney ในสกอตแลนด์ตอนเหนือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการสาธารณะซึ่งได้รับเงินอุดหนุนจาก สภาหมู่เกาะ Orkney โดยอุดหนุนการเงินให้กับเส้นทางบินนี้ พร้อมด้วยเส้นทางบินอื่น ๆ อีกหลายเส้นทางทั่วเกาะ ผ่านกระบวนการประกวดราคา เที่ยวบินเริ่มบินในปี พ.ศ. 2510 เริ่มแรกก็สร้างสถิติเป็นเที่ยวบินที่บินตามกำหนดการที่สั้นที่สุดในโลก และให้บริการโดย Loganair อย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน

เที่ยวบินจาก Papa Westray ไปยัง Westray ระยะทางทั้งหมดที่เที่ยวบินให้บริการคือ 1.7 ไมล์ (2.7 กม.)

เที่ยวบินระหว่างสนามบิน Westray และสนามบิน Papa Westray ให้บริการทุกวันในทั้งไปและกลับ ยกเว้นในวันเสาร์ที่มีเฉพาะเที่ยวบินจาก Westray ไปยัง Papa Westray และในวันอาทิตย์จะมีเฉพาะเที่ยวบินจาก Papa Westray ไปยัง Westray ระยะทางทั้งหมดที่เที่ยวบินให้บริการคือ 1.7 ไมล์ (2.7 กม.) ซึ่งมีความยาวเท่ากับรันเวย์ของสนามบินเอดินบะระ เที่ยวบินนี้เริ่มและบินกลับไปยังสนามบิน Kirkwall (ระยะทาง 43 กม.) เสมอ โดยบินเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมแคบ

กัปตัน Stuart Linklater เป็นนักบินผู้บินเส้นทางบินนี้มากกว่า 12,000 เที่ยว

กัปตัน Stuart Linklater เป็นนักบินผู้บินเส้นทางบินนี้มากกว่า 12,000 เที่ยว มากกว่านักบินคนอื่น ๆ ก่อนเขาจะเกษียณในปี พ.ศ. 2556 โดย Linklater สร้างสถิติในการบินที่เร็วที่สุดระหว่างเกาะด้วยเวลา 53 วินาที

Knap of Howar แหล่งโบราณคดีในเมือง Papa Westray ซึ่งอาจเป็นบ้านที่สร้างด้วยหินที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปเหนือ

นักเรียนและครูของพวกเขาใช้เที่ยวบินเหล่านี้เพื่อศึกษาแหล่งโบราณคดี 60 แห่งบนเกาะ Papa Westray ซึ่งเป็นผู้โดยสารส่วนใหญ่ ในบางครั้งจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อช่วยเหลือสมาชิกหนึ่งในเก้าสิบคนบนเกาะ และผู้ป่วยจะต้องบินจาก Papa Westray ไปยังสถานพยาบาลเมื่อจำเป็น เที่ยวบินนี้ยังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวอีกด้วย

Loganair LM711 ให้บริการเที่ยวบินนี้ด้วยเครื่องบิน Britten-Norman BN2B-26 Islander บรรทุกผู้โดยสารได้ 8 ที่นั่ง

Loganair ให้บริการเที่ยวบินนี้ด้วยเครื่องบิน Britten-Norman BN2B-26 Islander หนึ่งในสองลำที่มี The Islander เป็นเครื่องบินปีกสูง เครื่องยนต์ลูกสูบแบบใบพัด มันบินโดยนักบินคนเดียว และมีที่นั่งสำหรับผู้โดยสารแปดคนในห้องโดยสาร ที่นั่งเพิ่มเติมหนึ่งที่นั่งมักจะว่างถัดจากนักบิน

กัปตัน Rebecca Simpson เป็นนักบินหญิงคนแรกของเส้นทางบินนี้ต่อจากกัปตัน Stuart Linklater

“Robin Sage” ปฏิบัติการซ้อมรบของหน่วยรบพิเศษ ‘กองทัพบกสหรัฐฯ’ เพื่อเตรียมทำสงครามกลางเมือง (Civil war) !!!

นายทหารหน่วยรบพิเศษทุกนายที่เข้าร่วมการฝึก Robin Sage จะสวมปลอกแขนสีน้ำตาลมีคำว่า Robin Sage สีขาวชัดเจน

เร็ว ๆ นี้ กองทัพบกสหรัฐฯ ได้จัดให้มีการซ้อมรบในรูปแบบ 'สงครามกองโจร' เป็นเวลาสองสัปดาห์ในมลรัฐ North Carolina เพื่อฝึกหน่วยรบพิเศษให้รู้ถึงยุทธวิธีในการโค่นล้ม 'รัฐบาลที่ผิดกฎหมาย' หรือการทำสงครามกลางเมือง (Civil war) เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศรายชื่อ กลุ่ม 'การก่อการร้ายภายในประเทศ' ใหม่

สมาชิกหน่วยรบพิเศษจะร่วมการซ้อมรบเป็นเวลาสองสัปดาห์ตามหลักสูตร “Robin Sage” ซึ่งจะฝึกโค่นล้มรัฐบาลที่ผิดกฎหมาย (ตามนัยของรัฐบาลสหรัฐฯ) หลักสูตร “Robin Sage” ใช้เพื่อฝึกทหารหน่วยรบพิเศษสำหรับปฏิบัติการในประเทศที่ 'ไม่มีความมั่นคงทางการเมือง' และใช้ 'สงครามกองโจรในรูปแบบที่แปลกใหม่' เพื่อเอาชนะ 'ศัตรูที่เหนือกว่าในเชิงตัวเลข (จำนวน)' หรือการทำสงครามกลางเมือง (Civil war) โดยทหารหน่วยรบพิเศษที่รับการฝึกจะต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังติดอาวุธที่มีประสบการณ์ช่ำชองและพลเรือนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษในระหว่างการฝึก ซึ่งเป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายของทหารหน่วยรบพิเศษด้วย อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งต่างกังวลใจว่าการฝึกดังกล่าวจะเป็นวิธีการสนับสนุนในการยอมให้ทหารสามารถใช้อาวุธโจมตีพลเรือนได้ในอนาคต

พันเอก Jerry Michael Sage

>> หลักสูตร “Robin Sage” ตั้งชื่อหลักสูตรเพื่อเป็นเกียรติแก่พันเอก Jerry Michael Sage ซึ่งถูกจับโดยทหารนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง และพยายามหลบหนีจากที่คุมขังมากกว่าสิบครั้งกว่าที่จะสามารถหลบหนีได้สำเร็จ พันเอก Jerry “ผู้การ king” ฉายา "King ผู้เย็นชา" ถูกควบคุมตัวในค่ายกักกันเยอรมัน Stalag Luft III และในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โดย สส. Everett ได้ขอให้สส.สหรัฐฯ ได้ร่วมไว้อาลัย 1 นาทีเป็นเกียรติแก่ พ.อ. Jerry Michael Sage เขากล่าวว่า "ผมอยากให้เราสงบนิ่งและรับรู้ถึงการจากไปของวีรบุรุษอเมริกันตัวจริง อดีตเชลยศึกที่เกษียณจากกองทัพเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) หลังจาก 30 ปีในการอุทิศตนอย่างโดดเด่นให้กับประเทศชาติ ผู้ได้รับฉายาว่า " King ผู้เย็นชา" เพราะถูกขังเดี่ยวถึง 15 ครั้งในขณะที่เป็นนักโทษในค่าย Stalag Luft III ในเมือง Sagan ประเทศเยอรมนี ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง 

เขาใช้เวลา 15 เดือน ในการขุดอุโมงค์ขนาดใหญ่สามแห่งที่รู้จักกันในภาพยนตร์ชื่อ "The Great Escape" โดย Steve McQueen แสดงเป็นพันเอก Jerry ในภาพยนตร์เกี่ยวกับความพยายามของผู้กล้าเหล่านี้ "หลังจากพยายามหลายครั้ง อดีตสมาชิกสำนักงานยุทธศาสตร์ (OSS) สามารถหลบหนีข้ามประเทศโปแลนด์ได้ในการหลบหนีเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากเป็นเชลยศึกกว่า 3 ปี 

หลังสงคราม เขาได้เป็นครูผู้สอนที่โรงเรียนนายร้อย West Point และได้เข้าเรียนที่ Command and General Staff College และ War College ในช่วงวิกฤตการณ์ขีปนาวุธของคิวบา เขาทำหน้าที่เป็นฝ่ายเสนาธิการของคณะเสนาธิการร่วมในกระทรวงกลาโหม ต่อมาเดินทางไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทำหน้าที่เป็นครูฝึกของชนเผ่า Montagnards ในที่ราบสูงของเวียดนาม ต่อมาได้รับคำสั่งให้ไปประจำยัง Bad Tolz ประเทศเยอรมนี และเป็นผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษที่ 10 หลังจากนั้นได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่กับ Third Army ในเมือง Atlanta มลรัฐ Georgia และทำงานร่วมกับโครงการ Army ROTC (โครงการรับนายทหารซึ่งจบจากมหาวิทยาลัยโดยได้ทุนการศึกษาจากกองทัพ) ของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วภาคใต้ของสหรัฐฯ และได้เป็นผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัย South Carolina เมือง Columbia มลรัฐ South Carolina 

หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็ได้ลาออกไปสอนโรงเรียนมัธยมของรัฐ และได้รับการเสนอชื่อ และได้รับรางวัล "ครูแห่งปี" ของมลรัฐ South Carolina ในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ที่เมือง Enterprise มลรัฐ Alabama เขาได้รับรางวัล Enterprise Man of the Year ในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) พันเอก Jerry Sage เสียชีวิตในอีกสองปีต่อมา พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) สำหรับหลักสูตรการรบพิเศษ Robin Sage เริ่มการฝึกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) และเป็นหลักสูตรประจำในการฝึกทหารหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯ จนปัจจุบัน 

>> หลักสูตร “Robin Sage” มีนักเรียนจากหน่วยรบพิเศษประมาณ 100 นาย เจ้าหน้าที่ต่อต้านการก่อความไม่สงบ 100 นาย กองโจรสมมติ 200 นาย เจ้าหน้าที่สนับสนุน 40 นาย และนายทหารควบคุมการฝึก 50 นาย ชุมชนท้องถิ่นของมลรัฐ North Carolina ยังมีส่วนร่วมในการฝึกซ้อมโดยรับบทบาทเป็นพลเมืองของ ‘Pineland’ (ประเทศสมมติ) การฝึกดำเนินการในพื้นที่ประมาณ 50,000 ตารางไมล์ (130,000 ตารางกิโลเมตร) ของมลรัฐ North Carolina กองโจรสมมติหลายคนเป็นพลเมืองของมลรัฐ North Carolina และได้รับค่าจ้างในการเข้าร่วม บทบาทของหัวหน้ากองโจร "G-chief" บางครั้งเป็นอดีตนายทหารรบพิเศษที่เกษียณแล้ว ในช่วงฤดูร้อน หลักสูตร Robin Sage จะมีนักเรียนนายร้อย ROTC จาก The Citadel และนักเรียนนายร้อยจาก United States Military Academy (West Point) ทำหน้าที่เป็นนักรบกองโจร

ข่าวการซ้อมรบมาในช่วงเวลาตึงเครียดของสหรัฐฯ เพียงห้าวันหลังจากครบรอบ 1 ปีเหตุจลาจลในรัฐสภา นอกจากนี้ยังตามการระบุชื่อองค์กร 'การก่อการร้ายภายในประเทศ' ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับสิ่งที่ทางการเรียกว่าเป็น 'ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มหัวรุนแรงภายในประเทศ' เหล่าทหารหนุ่มของหน่วยรบพิเศษแห่งกองทัพบกสหรัฐฯ จะต้องสู้รบกับ 'นักสู้เพื่ออิสรภาพที่ช่ำชอง' ในพื้นที่ทั่ว 24 เทศมณฑลของมลรัฐ North Carolina (15 เขตของ Pineland (ประเทศสมมติ)) ใน 'การซ้อมรบแบบกองโจร' เป็นเวลา 2 สัปดาห์ที่พวกเขาพยายามโค่นล้ม 'รัฐบาลที่ผิดกฎหมาย' 

หลายคนได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับช่วงเวลาอันใกล้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่คนอื่น ๆ อีกหลายคนเดินหน้าต่อไปด้วยความกลัวว่า ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี “Biden” กำลัง 'เตรียมการสำหรับการรับเมืองเหตุจลาจลที่อาจจะเกิดขึ้นภายในสหรัฐอเมริกา' ผู้ใช้ Twitter รายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า "เกมสงครามทางทหารของ Biden จะสู้รบและสังหาร "นักสู้เพื่ออิสรภาพ (Freedom Fighters)" ชาวอเมริกันในสงครามกองโจร และผู้ใช้ Twitter อีกรายหนึ่งถึงกับตั้งคำถามว่า รัฐบาลกำลัง 'พยายามทำให้ทหารคุ้นเคยกับแนวคิดเรื่องการฆ่าประชาชนชาวอเมริกันหรือไม่'

อย่างไรก็ตาม การฝึกแบบกองโจรที่เรียกว่า “Robin Sage” ได้ดำเนินการเป็นประจำทุกสองถึงสามเดือนมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 (ค.ศ. 1974) แล้ว ผู้ใช้ Social media บางคนพบว่า การฝึกปฏิบัตินี้เกี่ยวข้องกับกฎหมาย Posse Comitatus ที่มีอายุ 143 ปี ซึ่งป้องกันกองกำลังของรัฐบาลกลางจากการมีส่วนร่วมในการบังคับใช้กฎหมายพลเรือน ยกเว้นเมื่อได้รับอนุญาตอย่างชัดแจ้งตามกฎหมาย กฎหมายดังกล่าวอ้างถึงการแทรกแซงทางทหารในกิจการพลเรือนว่า เป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยและเสรีภาพส่วนบุคคล และคนอื่น ๆ กล่าวเป็นนัยว่า การฝึกกำลังเตรียมทหารเพื่อป้องกันการจลาจล และกลัวว่าจะเป็นการฝึกทหารอเมริกันถึงวิธีต่อสู้กับประชาชนของตนเอง 

การฝึกซ้อม Robin Sage ซึ่งเป็นการสอบปลายภาคในการฝึกตามหลักสูตร Special Forces Qualification Course (SFQC) โดย Robin Sage เป็นการฝึกระยะที่ 5 ของการฝึกทั้งหมด 6 ระยะ โดยจะเริ่มในวันที่ 22 มกราคม ณ สถานที่ที่ไม่เปิดเผยบนพื้นที่เฉพาะ โดยการส่งทหารหน่วยรบพิเศษไว้ในประเทศที่ 'ไม่มั่นคงทางการเมือง' ของ Pineland (ประเทศสมมติ) และทหารหน่วยรบพิเศษเหล่านั้นต้องทำการลาดตระเวน บุกโจมตี ซุ่มโจมตี และปฏิบัติการอื่น ๆ อีกมากมายต่อเป้าหมายที่เป็น 'ศัตรูที่เหนือชั้นเชิงตัวเลข (จำนวนมากกว่า)' 

‘แผนการ Z’ จุดจบ! ‘กองทัพเรือเยอรมัน’ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 (Plan Z : The End of the Kriegsmarine in WWII)

Kriegsmarine คือ กองทัพเรือเยอรมัน ระหว่างปี ค.ศ. 1935-1945 อันเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติ เป็นเหล่าทัพที่สืบทอดมาจากกองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมัน และ Reichsmarine ของสาธารณรัฐไวมาร์ (Weimar Republic) Kriegsmarine เป็นหนึ่งในสามเหล่าทัพเยอรมันควบคู่กับ The Heer (กองทัพบก) และ The Luftwaffe (กองทัพอากาศ) ซึ่งประกอบกันเป็นกองทัพแห่งชาติที่เรียกว่า “แวร์มัคท์” (Wehrmacht) 

ในปี ค.ศ. 1939 “Hitler” ได้สั่งจัดทำแผนการพัฒนาแผนการที่จะจัดหากองเรือผิวน้ำให้กับกองทัพเรือเยอรมันเพื่อแข่งขันกับกองทัพเรือสหราชอาณาจักร เป็นที่รู้จักในชื่อว่า “แผนการ Z” โดยคาดว่า กองทัพเรือเยอรมันจะแข็งแกร่งเต็มที่ในปี ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง

แผนการ Z กองทัพเรือเยอรมันเห็นว่า ภารกิจหลักของกองทัพฯ คือ การควบคุมทะเลบอลติก และเอาชนะกองทัพเรือฝรั่งเศสในสงคราม เพราะฝรั่งเศสถูกมองว่า เป็นศัตรูที่มีศักยภาพมากที่สุดหากเกิดสงครามขึ้น แต่ในปี ค.ศ. 1938 Hitler ต้องการที่จะชนะกองทัพเรือสหราชอาณาจักรในสงครามทางทะเลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงสั่งให้จัดทำแผนการพัฒนาสำหรับกองทัพเรือเยอรมัน จากแผนการที่เสนอทั้งสาม (X, Y และ Z) 

“Hitler” ได้อนุมัติแผนการ Z ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1939 แผนการ Z จะเป็นโครงการสร้างกองทัพเรือของเยอรมันใหม่ คาดว่าจะสร้างเรือรบประมาณ 800 ลำในช่วงปี ค.ศ. 1939-1947 ซึ่ง Hitler ต้องการให้โครงการตามแผนการนี้แล้วเสร็จภายในปี ค.ศ. 1945 

กำลังหลักของแผน Z คือเรือประจัญบาน ชั้น H จำนวน 6 ลำ ตามแผนการ Z ที่ร่างขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 กองเรือเยอรมันได้รับการวางแผนภายในปี ค.ศ. 1945 ให้มีเรือรบประเภทและจำนวนต่อไปนี้

เรือบรรทุกเครื่องบิน 4 ลำ
เรือประจัญบาน 10 ลำ
เรือลาดตระเวนหุ้มเกราะ 15 ลำ (Panzerschiffe)
เรือลาดตระเวน 3 ลำ
เรือลาดตระเวนหนัก 5 ลำ
เรือลาดตระเวนเบา 44 ลำ
เรือพิฆาตและเรือตอร์ปิโด 158 ลำ
เรือดำน้ำ 249 ลำ
เรือรบขนาดเล็กอีกจำนวนมาก
แผนการเพิ่มกำลังพลอีกกว่า 200,000 นาย

เรือประจัญบาน Tirpitz คุ้มกันโดยเรือพิฆาตหลายลำ ใน Bogenfjord ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1942

โครงการสร้างกองทัพเรือของเยอรมันใหม่ที่วางแผนไว้กลับไม่ก้าวหน้ามากนัก เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ในปี ค.ศ. 1939 ความแข็งแกร่งของกองเรือเยอรมันในช่วงเริ่มต้นของสงครามนั้นไม่ถึง 20% ที่ได้กำหนดไว้ตามแผนการ Z เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 กองทัพเรือเยอรมันยังคงมีกำลังพลรวมเพียง 78,000 นาย และไม่พร้อมสำหรับบทบาทสำคัญในสงคราม 

เนื่องจากต้องใช้เวลานานในการทำให้กองเรือรบตามแผนการ Z พร้อมสำหรับการดำเนินการ ทั้งยังขาดแคลนแรงงานและวัสดุในยามสงคราม แผนการ Z ถูกระงับในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 และทรัพยากรที่จัดสรรสำหรับการแผนการนี้ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนไปสร้าง เรือดำน้ำ U-Boat ซึ่งพร้อมสำหรับการทำสงครามทางเรือกับสหราชอาณาจักรได้รวดเร็วกว่า เยอรมนีเข้าสู่สงครามด้วยเรือลาดตระเวนและเรือประจัญบานสมัยใหม่ประมาณ 16 ลำ และเรือพิฆาตอีก 20 ลำ เมื่อเยอรมนีบุกนอร์เวย์ในต้นปี ค.ศ.1940 กองทัพเรือเยอรมันเสียเรือลาดตระเวนเบาสองลำ และเรือพิฆาตอีกสิบลำ เรือรบอีกสองลำทำการโจมตีเรือลำเลียงแบบยิงแล้วหนี แต่กลับถูกตามล่า และทำลายโดยกองเรือสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังมีความเสียหายกับเรือรบลำอื่น ๆ อีกด้วย

เรือดำน้ำของกองทัพเรือเยอรมัน

กองทัพเรือเยอรมัน กลับมุ่งความสนใจไปที่เรือดำน้ำแทนเนื่องจากการผลิตเรือดำน้ำเหล่านี้ถูกและเร็วกว่า ทั้งสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับได้ ดังนั้นจึงมีความได้เปรียบในการรบ ในขณะที่เรือดำน้ำสามารถตัดการลำเลียงขนส่งทางทะเลของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างได้ผล แต่เรือประจัญบานและเรือลาดตระเวนของเยอรมันส่วนใหญ่ถูกทิ้งให้จอดอยู่ตามท่าเรือต่าง ๆ 

วันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1942 เรือดำน้ำของเยอรมันตรวจพบขบวนเรือลำเลียงขนาดใหญ่ของสัมพันธมิตร ที่ลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงที่จำเป็นอย่างยิ่งให้กับกองทัพโซเวียต ฝ่ายเยอรมันวางแผนที่จะโจมตีขบวนเรือดังกล่าวโดยใช้ส่วนหนึ่งของกองเรือดำน้ำเพื่อล่อให้เรือคุ้มกันเข้าสู่การรบ ในขณะที่ขบวนเรือลำเลียงจะมุ่งตรงไปยังกองเรือดำน้ำที่เหลือของเยอรมัน

U-459 เรือดำน้ำสนับสนุนแบบ XIV (รู้จักกันในชื่อ “Milch cow (วัวนม)”) จมลงหลังจากถูกโจมตีโดยเรือหลวง Vickers Wellington

แม้ว่าแผนการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จในการแยกขบวนเรือของอังกฤษ แต่ด้วยทัศนวิสัยไม่ดีและคำสั่งจาก Hitler ให้หลบหนีเมื่อฝ่ายศัตรูมีจำนวนที่มากกว่านั้นนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของเยอรมัน กองเรือลำเลียงของฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมดไปถึงรัสเซียโดยที่อาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงที่จำเป็นไม่เสียหาย เนื่องจากการสื่อสารที่ผิดพลาด Hitler จึงได้รับแจ้งว่ากองทัพเรือเยอรมันประสบความสำเร็จในการโจมตีขบวนเรือดังกล่าว Hitler จึงได้ปราศรัยในโอกาสวันปีใหม่ทางวิทยุโดยประกาศว่า ขบวนเรือลำเลียงของอังกฤษถูกทำลายอย่างเสร็จสมบูรณ์ 

‘Project Bojinka’ แผนสังหาร! ‘พระสันตะปาปา’ และระเบิดเครื่องบินโดยสาร 11 ลำ

6 มกราคม พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) เกิดเหตุเพลิงไหม้ในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งที่มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ นำไปสู่การค้นพบแผนการก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่ใช้ชื่อว่า “Project Bojinka” ซึ่งถือเป็นแผนการที่ทดลองซ้อมการก่อเหตุ ก่อนเหตุวินาศกรรมวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544

Project Bojinka เป็นแผนสังหารพระสันตะปาปา John Pal ที่ 2 พร้อมกับสร้างความตื่นกลัวให้ธุรกิจการบินทั่วโลกด้วยการระเบิดเครื่องบินโดยสารที่เดินทางระหว่างเอเชียและสหรัฐฯ พร้อมกันถึง 11 ลำ และขั้นตอนสุดท้ายของแผนนี้คือ การส่งเครื่องบินเล็กพร้อมระเบิดเต็มลำถล่มสำนักงานใหญ่ CIA โดยกลุ่ม Al Qaeda ที่ Bin Laden เป็นผู้นำ

พระสันตะปาปา John Pal ที่ 2 ขณะเสด็จเยือนกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ครั้งแรก เมื่อ ค.ศ.1981 ซึ่งขณะนั้นอดีตประธานาธิบดี Ferdinand Marcos ยังอยู่ในอำนาจ

พระสันตะปาปา John Pal ที่ 2 ขณะเสด็จเยือนกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ครั้งที่สอง เมื่อ ค.ศ.1995 อดีตประธานาธิบดี Fidel V. Ramos (ประธานาธิบดีในขณะนั้น) เชิญเสด็จตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ

>> 1.) แผนสังหารพระสันตะปาปา John Pal ที่ 2 ซึ่งผู้ก่อการวางแผนจะสังหารพระสันตะปาปา ขณะเสด็จเยือนกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2538 (ค.ศ.1995)

>> 2.) ระเบิดเครื่องบินโดยสารที่เดินทางระหว่างเอเชียและสหรัฐฯ พร้อมกัน 11 ลำ เพื่อสร้างความตื่นกลัวและผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงแก่ธุรกิจการบินทั่วโลก (ประมาณการว่า หากทำการสำเร็จยอดผู้เสียชีวิตน่าจะอยู่ที่ราว 4,000 คน) ประกอบด้วย

- เที่ยวบินจากกรุงโตเกียวไปสหรัฐฯ จำนวน 4 เที่ยวบิน 
- เที่ยวบินจากกรุงโซลไปสหรัฐฯ จำนวน 1 เที่ยวบิน 
- เที่ยวบินจากกรุงไทเปไปสหรัฐฯ จำนวน 3 เที่ยวบิน 
- เที่ยวบินจากกรุงไทเปไปกรุงเทพฯ และต่อไปสหรัฐฯ จำนวน 1 เที่ยวบิน 
- เที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปสหรัฐฯ จำนวน 1 เที่ยวบิน
- เที่ยวบินจากสิงคโปร์ไปสหรัฐฯ จำนวน 1 เที่ยวบิน

** สำนักงานใหญ่ CIA Fairfax County มลรัฐ Verginia

>> 3.) ส่งเครื่องบินพร้อมระเบิดเต็มลำถล่มสำนักงานใหญ่ CIA

Project Bojinka เป็นแผนที่ผู้ช่วยคนสำคัญของ บิน ลาเดน คือ รัมซี ยูเซฟ และคาลิก ชีค โมฮัมเหม็ด ร่วมกันคิดและก่อการ แต่ผลของแผนการนี้คือ การทดสอบโดย รัมซี ยูเซฟ เอง ซึ่งทำให้เกิดไฟไหม้ในเที่ยวบิน 434 ของ Philippine Airlines ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 10 ราย โดย รัมซี ยูเซฟ เดินทางโดยเที่ยวบินในประเทศจาก มะนิลา ไป เซบู ซ่อนระเบิดในกระเป๋าเครื่องใช้ส่วนตัว แบตเตอรี่ และตัวจุดชนวนในส้นรองเท้า และใช้นาฬิกาข้อมือดิจิทัลซึ่งตั้งเวลาไว้ 4 ชั่วโมง เป็นตัวจุดชนวน ก่อนจะซ่อนไว้ในเสื้อชูชีพใต้ที่นั่งหมายเลข 26K หลังจากเครื่องลงจอดที่สนามบินเซบู และ รัมซี ยูเซฟ ออกจากเครื่องบินแล้ว นักธุรกิจเกี่ยวกับจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมชาวญี่ปุ่น ฮารุกิ อาเมกามิ (Haruki Ikegami) อายุ 24 ปีก็เข้ามานั่งแทนที่ ซึ่งเครื่องบินเกิดความล่าช้าราว 38 นาที แล้วจึงออกบินไปยังกรุงโตเกียว 

การระเบิดทำให้ ฮารุกิ บาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่กี่นาที ผู้โดยสารในที่นั่งใกล้เคียงบาดเจ็บ 10 คน แต่กัปตัน Eduardo "Ed" Reyes นักบินสามารถนำเครื่องลงฉุกเฉินที่สนามบินนาฮา เกาะโอกินาวา ซึ่งอยู่ห่างจากจุดระเบิดไปทางตะวันตกราว 74 กิโลเมตรได้อย่างปลอดภัย

สภาพห้องโดยสารหลังเกิดเหตุระเบิดในเหตุการณ์ดังกล่าว

เครื่องบิน Boeing 747-200 ลำดังกล่าวของ Philippine Airlines

กัปตัน Eduardo "Ed" Reyes นักบินผู้สามารถนำเครื่องลงได้อย่างปลอดภัย

แผนการของยูซุฟคือ ทำระเบิดด้วยการบรรจุ Nitroglycerin ลงในขวดน้ำยาล้าง Contact Len จำนวน 14 ขวด (ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทุกสายการบินห้ามนำขวดบรรจุน้ำหรือของเหลวขึ้นเครื่องจนทุกวันนี้) ส่วนผสมอื่น ๆ ได้แก่ nitrate, sulfuric acid, และ nitrobenzene, silver azide (silver trinitride), และ acetone เหลว 9-volt batteries 2 ก้อนในระเบิดแต่ละลูกเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน ใช้นาฬิกาดิจิทัลเป็นตัวตั้งเวลาจุดระเบิด

สำหรับการลอบสังหารพระสันตะปาปา John Pal ที่ 2 ขณะเสด็จเยือนกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ครั้งที่สอง แผนคือ ให้มือระเบิดฆ่าตัวตายแต่งตัวเป็นพระคาทอลิก เมื่อสบโอกาสอยู่ใกล้พระสันตะปาปาก็กดระเบิดทันที โดยยูซุฟฝึกมือระเบิดไว้ราว 20 คน

ส่วนการส่งเครื่องบินเล็กพร้อมระเบิดเต็มลำถล่มสำนักงานใหญ่ CIA นั้น มีแผนที่จะซื้อหรือจี้เครื่องบินเล็กโดยเฉพาะแบบ Cessna เพื่อบรรทุกระเบิดเต็มลำเพื่อใช้บินโจมตีสำนักงานใหญ่ CIA ด้วยนักบินพลีชีพที่ได้รับการฝึกในมลรัฐ North Carolina 
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top