Friday, 13 June 2025
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

‘Texas Rangers’ หน่วยบังคับใช้กฎหมายแห่งมลรัฐเท็กซัส ก่อตั้งมาแล้วกว่า 200 ปี เพื่อธำรงความสงบของบ้านเมือง

200 ปีแห่งการก่อตั้ง Texas Rangers 
เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของมลรัฐเท็กซัส

ด้วยระบบตำรวจของบ้านเราเป็นระบบที่เรียกว่า ‘ตำรวจแห่งชาติ’ (National police) เช่นเดียวกับฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่น และอีกหลาย ๆ ประเทศ เราคนไทยจึงไม่ค่อยรู้จักระบบตำรวจที่แตกต่างออกไป ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งผมเคยเขียนไว้ใน The States Times เมื่อ 2 ปีมาแล้ว ในบความ “ไขบทบาท ‘ตำรวจมะกัน’ ผู้บังคับใช้กฎหมาย – กระบวนการยุติธรรมแห่งสหรัฐอเมริกา” https://thestatestimes.com/post/2021091807

โดยที่ตำรวจไทยทุกนายเป็นตำรวจแห่งชาติ เพราะรูปแบบการปกครองของบ้านเราเป็นแบบรัฐเดี่ยว ดังนั้น ตำรวจไทยทุกนายตั้งแต่ชั้นยศพลตำรวจไปจนถึงชั้นยศพลตำรวจเอก จึงสามารถจับกุมผู้ที่กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีหมายจับได้ตั้งแต่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เหนือสุดของประเทศไปจนถึงอำเภอสุไหงโกลกจังหวัดนราธิวาสใต้สุดของประเทศ สำหรับระบบตำรวจสหรัฐฯ มีความแตกต่างกันด้วยระบอบการเมืองการปกครอง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า สหรัฐอเมริกาเป็นสหพันธรัฐ ซึ่งประกอบด้วย 50 รัฐ ทำให้มีหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายราว 18,000 หน่วย โดยราว 15,000 หน่วย อยู่ภายใต้รัฐบาลมลรัฐและองค์กรปกครองระดับท้องถิ่น มีเจ้าหน้าที่กว่า 500,000 นาย

‘Texas Ranger Division’ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘Texas Rangers’ และยังเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Los Diablos Tejanos’ (ภาษาสเปน : the Texan Devils) เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสืบสอบสวนที่มีเขตอำนาจศาลทั่วทั้งมลรัฐเท็กซัส มีกองบัญชาการตั้งอยู่ในนครออสติน เมืองหลวงของมลรัฐเท็กซัส นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้น ‘Texas Rangers’ ได้สืบสวนคดีอาชญากรรม ตั้งแต่การฆาตกรรมไปจนถึงการทุจริตทางการเมือง ทำหน้าที่ควบคุมการจลาจล และเป็นนักสืบ ทีมอารักขาผู้ว่าการมลรัฐเท็กซัส ติดตามผู้หลบหนีคดี ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามสถานที่สำคัญของมลรัฐเท็กซัส

‘Stephen F. Austin’ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาแห่งมลรัฐเท็กซัส’

‘Texas Rangers’ ถูกก่อตั้งโดย ‘Stephen F. Austin’ (ผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาแห่งมลรัฐเท็กซัส’) ใน ปี ค.ศ. 1823 หลังจากผ่านไปหนึ่งทศวรรษ ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1835 ‘Daniel Parker’ ได้เสนอมติต่อสภาถาวร เพื่อจัดตั้งกองทหารพรานเพื่อปกป้องชาวเม็กซิกัน ต่อมาหน่วยนี้ถูกยุบโดยหน่วยงานของรัฐบาลกลางหลังสงครามกลางเมืองในช่วงยุคฟื้นฟู แต่ได้รับการปฏิรูปอย่างรวดเร็วเมื่อมีการคืนสถานะของรัฐบาลแต่ละมลรัฐในประเทศ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 จนปัจจุบันองค์กรนี้เป็นแผนกหนึ่งของสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะแห่งมลรัฐเท็กซัส (Texas Department of Public Safety (TxDPS))

Texas Rangers ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 234 นาย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ระดับสัญญาบัตร 166 นาย และเจ้าหน้าที่สนับสนุน 68 นาย รวมถึงเจ้าหน้าที่ธุรการศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงชายแดน ศูนย์ปฏิบัติการ และหน่วยข่าวกรองร่วม และทีมอาวุธและยุทธวิธีพิเศษ (SWAT/SRT) โดย Texas Rangers มีหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อทำหน้าที่ ทีมอาวุธและยุทธวิธีพิเศษ (SWAT) และทีมตอบโต้พิเศษเฉพาะพื้นที่ (SRT's) ทีมลาดตระเวน หน่วยเจรจากรณีวิกฤต และทีมเก็บกู้วัตถุระเบิด ปัจจุบันหน่วย Texas Rangers มีการประสานงานด้านความมั่นคงชายแดนผ่านศูนย์ปฏิบัติการข่าวกรองและศูนย์ความร่วมมือ (JOICs) จำนวน 6 แห่งตามแนวชายแดนเท็กซัส - เม็กซิโก และพื้นที่ชายฝั่งของรัฐฯ

Texas Rangers รับผิดชอบในการสืบสวนอาชญากรรมดังต่อไปนี้ : (1.) การสืบสวนอาชญากรรมที่สำคัญของมลรัฐ (2.) การสืบสวนอาชญากรรมในมลรัฐที่ยังไม่สามารถปิดคดีได้ (3.) การสืบสวนอาชญากรรมต่อเนื่องในการกระทำที่เป็นการทุจริตต่อสาธารณะในมลรัฐ (4.) การตรวจสอบความสมบูรณ์ของการดำเนินคดีที่เป็นสาธารณะของมลรัฐ (5.) การดำเนินงานด้านความปลอดภัยภายในมลรัฐ และ (6.) การดำเนินงานด้านการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ว่าการมลรัฐเท็กซัส

เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อการบังคับใช้กฎหมาย Texas Rangers ได้จัดตั้ง หน่วยต่อต้านการทุจริตสาธารณะ และโครงการสืบสวนอาชญากรรมที่ยังไม่สามารถปิดคดี โดยในปี ค.ศ. 2019 Texas Rangers ได้มีการสอบสวนคดีทั้งหมด 2,235 คดี ซึ่งส่งผลให้มีการจับกุมผู้กระทำความผิด 993 คดี รับสารภาพ 562 คดี คดีอาชญากรรมต่าง ๆ มีการตัดสินลงโทษกว่า 537 คดี ซึ่งส่งผลให้มีการตัดสินประหารชีวิต 3 คดี จำคุกตลอดชีวิต 76 คดี และคดีต่าง ๆ ถูกตัดสินจำคุกทั้งหมดรวม 8,531 ปี ในระหว่างการสืบสวนคดีโดยหน่วย Texas Ranger มีการใช้กระบวนสอบสวนด้วยการสะกดจิต 9 ครั้ง

‘ประธานาธิบดี William Howard Taft’ และ ‘Porfirio Díaz ประธานาธิบดีแห่งเม็กซิโก’ ในปี ค.ศ. 1909

เหล่าสมาชิกของ Texas Rangers มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดหลายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มลรัฐเท็กซัส เช่น การหยุดยั้งการลอบสังหารประธานาธิบดี William Howard Taft และ Porfirio Díaz ประธานาธิบดีแห่งเม็กซิโก ใน El Paso และในคดีอาญาที่มีชื่อเสียงที่สุดบางคดีในประวัติศาสตร์ เช่น John Wesley Hardin มือปืนชื่อดัง Sam Bass จอมโจรนักปล้นธนาคาร Bonnie และ Clyde ขุนโจรคู่สามี-ภรรยา

‘Chuck Norris’ ในบท ‘Cordell Walker’
สมาชิก Texas Rangers ในภาพยนตร์โทรทัศน์ Walker

มีหนังสือมากมายหลายเล่มที่เขียนเล่าเกี่ยวกับ Texas Rangers ตั้งแต่ผลงานสารคดีที่ได้รับการค้นคว้ามาอย่างดีไปจนถึงนวนิยายและเรื่องแต่งอื่น ๆ ทำให้ Texas Rangers มีส่วนร่วมสำคัญในตำนานของ Wild West, The Lone Ranger อาจเป็นตัวอย่างซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดของตัวละครจาก Texas Rangers โดยใช้นามแฝงของผู้แต่งจากประสบการณ์ที่เคยเป็นสมาชิกของ Texas Rangers ตัวอย่างที่รู้จักกันดีอื่น ๆ ได้แก่ Tales of the Texas Rangers และอีกหลายบทบาทใน Texas Rangers รวมถึงพระเอกนักบู๊ Chuck Norris ที่แสดงเป็น Cordell Walker ในภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด Walker, Texas Ranger และทีมเมเจอร์ลีกเบสบอล (MLB) ของมลรัฐเท็กซัสได้รับการตั้งชื่อตาม Texas Rangers ด้วย นอกจากนั้นแล้ว Texas Rangers ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมในมลรัฐ Texas โดยมีพิพิธภัณฑ์ที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติกับ Texas Rangers ที่รู้จักกันในชื่อ ‘Texas Ranger Hall of Fame and Museum’ ในเมืองเวโก

ภาพหมู่สมาชิกของหน่วย Texas Rangers
ในโอกาสการก่อตั้งหน่วยครบ 200 ปี

คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกของหน่วย Texas Rangers นอกเหนือจากคุณสมบัติที่จำเป็น สำหรับการเข้าทำงานกับสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะของมลรัฐเท็กซัส แล้วยังมีข้อกำหนดพิเศษต่อไปนี้ คือ การเป็นหน่วย Texas Rangers ผู้สมัครแต่ละคนจะต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา มีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยม และมีประวัติที่โดดเด่นอย่างน้อย 8 ปี ในประสบการณ์กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีส่วนร่วมในการสืบสวนอาชญากรรมที่สำคัญ โดยปัจจุบันผู้สมัครจะต้องทำงานกับสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะของมลรัฐเท็กซัส ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรอย่างน้อยระดับ Trooper II

ผู้สมัครจะต้องมีภูมิหลังภายใต้การตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะนิสัย และความประพฤติที่ดี ผู้สมัครจะต้องมีใบขับขี่ของมลรัฐเท็กซัส โดยไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ที่จะกระทบต่อความสามารถของผู้สมัครในการปฏิบัติหน้าที่ มีการสอบเข้า และผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะต้องปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการ เพื่อสัมภาษณ์ด้วยปากเปล่าก่อนการคัดเลือกขั้นสุดท้าย

‘Jason Taylor’ หัวหน้าหน่วย Texas Rangers คนปัจจุบัน

สมาชิกของหน่วย Texas Rangers จะต้องเข้าร่วมการฝึกอบรมอย่างน้อย 40 ชั่วโมงในทุก 2 ปี แต่สำหรับสมาชิกของหน่วย Texas Rangers ส่วนใหญ่ได้รับการฝึกอบรมเกินมาตรฐาน สมาชิกของหน่วย Texas Rangers บางนายอาจได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมในด้านต่าง ๆ เช่น การสะกดจิตเชิงสืบสวน ซึ่งมีความสำคัญต่อการสืบสวนในคดีอาญาบางคดี ในปี ค.ศ. 2020 อายุเฉลี่ยของสมาชิกของหน่วย Texas Ranger อยู่ที่ 44 ปี

ณ วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2020 Texas Ranger Division มีเจ้าหน้าที่สัญญาบัตร 166 นาย สำหรับทั้งมลรัฐ โดยแบ่งออกเป็น 6 หน่วย โดย
- หน่วย A อยู่ที่เมือง Houston
- หน่วย B อยู่ที่เมือง Garland
- หน่วย C อยู่ที่เมือง Lubbock
- หน่วย D อยู่ที่เมือง Weslaco
- หน่วย E อยู่ที่เมือง El Paso
- หน่วย F อยู่ที่เมือง Waco
และมีสมาชิก Texas Rangers ระดับสัญญาบัตรประจำการตามเมืองต่าง ๆ ทั่วทั้งมลรัฐ โดย Texas Rangers ระดับสัญญาบัตรแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบอย่างน้อย 2 ถึง 3 เทศมณฑล ซึ่งบางแห่งมีพื้นที่ใหญ่กว่าเสียด้วยซ้ำ

สมาชิก Texas Rangers ยุคใหม่ (เช่นเดียวกับรุ่นก่อน ๆ ของพวกเขา) ไม่มีเครื่องแบบที่กำหนด แม้ว่ารัฐเท็กซัสจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของสมาชิก Texas Rangers ที่เหมาะสม รวมถึงข้อกำหนดให้สมาชิก Texas Rangers สวมเสื้อผ้าที่มีลักษณะแบบตะวันตก ปัจจุบัน การแต่งกายที่นิยม ได้แก่ เสื้อเชิ้ตและเน็กไทสีขาว กางเกงขายาวสีกากี/สีแทน หรือสีเทา หมวกแบบตะวันตกสีอ่อน เข็มขัดของ ‘Texas Rangers’ และรองเท้าบูทคาวบอย ในอดีต ตามหลักฐานรูปภาพสมาชิก Texas Rangers สวมเสื้อผ้าอะไรก็ได้ที่พวกเขาสามารถจ่ายได้หรือรวบรวมได้ ซึ่งมักจะสึกหรอจากการใช้งานหนัก ในขณะที่สมาชิก Texas Rangers ยังคงจ่ายค่าเสื้อผ้าเองของพวกเขาในปัจจุบัน แต่พวกเขาก็ได้รับค่าตอบแทนเริ่มต้น เพื่อชดเชยบางส่วนสำหรับค่ารองเท้าบูท เข็มขัดคาดปืน และหมวก

สำหรับปฏิบัติภารกิจบนหลังม้า สมาชิก Texas Rangers ได้ดัดแปลงอุปกรณ์และอุปกรณ์ส่วนตัวให้เหมาะกับความต้องการของพวกเขา จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาจาก Vaqueros (คาวบอยเม็กซิกัน) อานม้า เดือย เชือก และเสื้อกั๊กที่สมาชิก Texas Rangers ใช้ ล้วนแต่มีรูปแบบตามแบบของวาเกอโร สมาชิก Texas Rangers ส่วนใหญ่ชอบสวมหมวกปีกกว้างมากกว่าหมวกคาวบอย และพวกเขานิยมสวมรองเท้าบูทยาวถึงเข่า ทรงเหลี่ยมที่มีส้นสูงและหัวแหลมในสไตล์สเปนมากกว่า ทั้ง 2 กลุ่มใช้ซองปืนในลักษณะเดียวกัน โดยเป็นซองหนังอยู่ในตำแหน่งสูงรอบสะโพกแทนที่จะอยู่ต่ำที่ต้นขา ตำแหน่งนี้ทำให้ง่ายต่อการชักออกมาในขณะกำลังขี่ม้า

‘อุตสาหกรรม AV’ แหล่งผลิตรายได้มหาศาลของประเทศ กับการล่วงละเมิดเด็กผู้หญิง ที่คนในสังคมยอมปิดตาข้างหนึ่ง


‘JK business’ ธุรกิจด้านมืดของญี่ปุ่น

‘ประเทศญี่ปุ่น’ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า เป็นประเทศที่เจริญเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย และอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ในความเจริญก้าวหน้าแบบสุดล้ำของญี่ปุ่นนั้น ก็ยังคงมีด้านมืดอยู่เฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ บนโลกใบนี้ ครั้งนี้จะขอหยิบยกเอาเฉพาะเรื่องราวที่มีความน่าสนใจมาก ๆ มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ก่อน เรื่องราวที่มีความน่าสนใจรองลงมาจะได้นำมาเล่าเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป


ด้วยเหตุที่รายได้สำคัญส่วนหนึ่งของรัฐฯ มาจาก ‘อุตสาหกรรมสื่อลามก’ (Adult video : AV) เพราะอุตสาหกรรมหนังโป๊ในญี่ปุ่นผุดขึ้นทั่วไปทุกหนทุกแห่ง จนกล่าวกันว่า อุตสาหกรรมหนัง AV เป็นตัวสร้างรายได้เข้ารัฐฯ รายใหญ่ รองจากอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ปกติธรรมดา ก็กลายเป็นผลประโยชน์ของเหล่าบรรดายากูซ่านักเลงใหญ่ของญี่ปุ่นไปด้วย ผลประโยชน์อันมหาศาลของอุตสาหกรรม AV นี้กลายเป็นที่แหล่งรายได้ ซึ่งเป็นที่ต้องการของสาวญี่ปุ่นมากมายในฐานะตัวเลือกที่เป็นได้ทั้งอาชีพหลักและรายได้เสริม รวมไปถึงนักเรียน-นักศึกษาที่หลงเข้ามาและไม่สามารถออกจากโลกมืดนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เข้าไปสู่วงการค้าประเวณีในหมู่วัยรุ่นและนักศึกษา ธุรกิจมืดนี้เรียกกันทั่วไปว่า ‘Joshi Kosei’ หรือ ‘JK business’


‘JK business’ เป็นกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในญี่ปุ่น ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกเดตหลอก ๆ กับสาวมัธยมปลาย เกิดขึ้นในราวปี ค.ศ. 2006 หลังจากที่ Maid café เป็นที่นิยมของบรรดาหนุ่ม ๆ นักเที่ยวในย่านอากิฮาบาระ กรุงโตเกียว ได้ยุติลง ทำให้ JK business เข้ามาแทนที่ ตัวย่อ ‘JK’ ย่อมาจาก ‘Joshi Kosei’ (女子高生) แปลว่า ‘นักเรียนมัธยมหญิง’ โดยหญิงสาวใน JK business ได้รับค่าจ้างสำหรับกิจกรรมทางสังคม เช่น การเดินและการพูดคุย และบางครั้งเป็นการทำนายโชคชะตา และอีกกิจกรรมหนึ่งคือ ‘การนวดกดจุด’


ในปี ค.ศ.2017 รายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่น ‘ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างครบถ้วนในการกำจัดการค้ามนุษย์’ และยังคง ‘อำนวยความสะดวกในการค้าประเวณีเด็กสาวญี่ปุ่น’ ต่อไป ญี่ปุ่นได้รับการยกระดับเป็นสถานะ ‘Tier 1’ (ประเทศที่รัฐบาลปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของกฎหมายตามรัฐบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และความรุนแรง ค.ศ. 2000 (TVPA) อย่างเต็มที่) ในช่วงสั้น ๆ ในรายงานปี ค.ศ. 2018 และ 2019 แต่ได้ถูกลดระดับอีกครั้งเป็นสถานะ ‘Tier 2’ ในรายงานของปี ค.ศ. 2020, 2021 และ 2022

‘Yumeno Nito’ ผู้ก่อตั้งองค์กร Colabo

‘Yumeno Nito’ ผู้ก่อตั้งองค์กร Colabo* ได้วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเพิกเฉยของรัฐบาลต่อปัญหานี้อย่างรุนแรง นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมอธิบายว่า “ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่น่าละอาย สร้างอุปสรรคไม่ให้วัยรุ่นที่หลบหนีกลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง ทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะถูกล่อลวง หรือบังคับให้เข้าสู่อุตสาหกรรมบริการทางเพศของหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ”


รถบัสสีชมพูที่ของ Colabo ทำหน้าที่เป็นจุดพึ่งพิงสำหรับหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี

*Colabo ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรของญี่ปุ่น ที่ช่วยเหลือเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศด้วยการให้คำปรึกษา และเชื่อมโยงพวกเขากับโครงการสนับสนุนของรัฐบาล ให้บริการเด็กสาววัยรุ่น ซึ่งหลายคนพบในสถานบันเทิงยามค่ำคืนของญี่ปุ่น การบริการของ Colabo รวมถึงรถบัสสีชมพูที่ทำหน้าที่เป็นจุดพึ่งพิงสำหรับหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อปรึกษา พูคุย รับประทานอาหาร และสร้างสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของ Colabo


กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับ JK business เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายจังหวัดในญี่ปุ่น ได้ดำเนินนโยบายและบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปราม JK business เพราะอาจนำไปสู่การค้าประเวณีของหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลายจังหวัดได้แก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชนประจำจังหวัด เพื่อห้ามการทำ JK business จังหวัดคานางาวะเป็นจังหวัดแรกที่ดำเนินการแก้ไขกฎหมาย เพื่อควบคุม JK business ในปี ค.ศ. 2011 และในปี ค.ศ. 2014 ตำรวจคานางาวะได้เข้มงวดเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการขายบริการทางเพศ ของเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำให้จำนวนสถานบริการที่มีหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปีให้บริการในพื้นที่ลดจำนวนลงอย่างมาก


ในปี ค.ศ.2017 สภากรุงโตเกียวได้ออกกฎหมายหลักที่กำหนดเป้าหมาย เพื่อจัดการกับ JK business โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่ทำเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ ตำรวจนครบาลโตเกียวซึ่งครอบคลุมกรุงโตเกียวได้ปราบปราม JK business และจับกุมเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยใช้กฎหมายมาตรฐานแรงงานแห่งชาติ ธุรกิจที่กระทบต่อกฎหมายระเบียบศีลธรรมสาธารณะ และกฎหมายสวัสดิการเด็ก กฎหมายใหม่นี้ขยายขอบเขตของอุตสาหกรรม ที่ได้รับการควบคุมนอกเหนือจากการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชนของนครโตเกียวฉบับก่อนหน้า กฎหมายห้ามผู้เยาว์มีส่วนร่วมในกิจกรรม ที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นทางเพศของลูกค้าเพศตรงข้าม เช่น การนวด การอนุญาตให้ลูกค้าถ่ายรูปหรือดูรูปถ่ายของตนเอง การมีส่วนร่วมในการสนทนากับลูกค้า การเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มแก่ลูกค้า และการไปเดินเล่นกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม หากการกระทำเหล่านี้ไม่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นทางเพศของลูกค้า ก็ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังห้ามโฆษณาที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า มีเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำงานในสถานประกอบการ แม้ว่าจะไม่มีพนักงานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำงานอยู่เลยก็ตาม ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายนี้ต้องระวางโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน


ในปี ค.ศ.2018 จังหวัดโอซาก้าได้แก้ไขกฎหมายคุ้มครองเยาวชนของจังหวัด เพื่อกำหนดกฎระเบียบที่คล้ายคลึงกันกับของกรุงโตเกียว เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้เยาว์ ผู้กระทำผิดมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500,000 เยน แม้ว่าธุรกิจจะเลิกจ้างพนักงานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแล้ว หลังการตัดสิน ทางการอาจออกคำสั่งระงับการดำเนินธุรกิจเป็นเวลา 6 เดือน การละเมิดคำสั่งนี้อาจส่งผลให้ถูกจำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับสูงสุด 500,000 เยน และชื่อของสถานประกอบการจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะอีกด้วย


จากการสำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ สิ้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 2021 มีสถานประกอบการที่ประกอบการ JK business ทั่วประเทศ 131 แห่ง ในจำนวนนี้ให้บริการนวดแก่ลูกค้า 99 ราย ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม 22 ราย ให้ลูกค้าถ่ายรูปหรือดูรูป 7 ราย และทำกิจกรรม เช่น พูดคุย เล่นเกม หรือดูดวงกับลูกค้า 3 ราย โดย 71% ของสถานประกอบการที่ดำเนินการ JK business ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว ในขณะที่ 20% ตั้งอยู่ในนครโอซาก้า ที่อยู่ในกรุงโตเกียว 29% ตั้งอยู่ในย่านอากิฮาบาระ 29% ในย่านอิเคะบุคุโระ และ 12% ในย่านชินจูกุ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวนธุรกิจที่ประกาศไม่ใช่จำนวนธุรกิจที่มีหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี คอยให้บริการลูกค้าจริง ๆ แต่เป็นจำนวนธุรกิจที่โฆษณาว่า มีนักเรียนหญิงมัธยมปลายให้บริการลูกค้า ในสังคมญี่ปุ่นจะยอมรับในสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าตัวพวกเขาเองจะเข้าใจว่าการปฏิบัตินั้นถูกตัดสินในทางลบก็ตาม เพราะชาวญี่ปุ่นจะไม่สร้างความเดือดร้อน หรือรบกวนคนรอบข้าง ดังนั้น พวกเขาจึงชอบที่จะจัดการเรื่องของตัวเองมากกว่าที่จะยุ่งเรื่องของคนอื่น


ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับการค้าประเวณีผู้ใหญ่และเด็ก พระราชบัญญัติความมั่นคงในการจ้างงาน (ESA) และพระราชบัญญัติมาตรฐานแรงงาน (LSA) บังคับใช้แรงงานที่มีความผิดทางอาญา ซึ่งคุ้มครองเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจของคนงาน และเป็นมาตรการต่อต้านการค้ามนุษย์ทางเพศ “พระราชบัญญัติว่าด้วยการควบคุมและการลงโทษ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็กและภาพอนาจารและการคุ้มครองเด็ก” ได้กำหนดให้มีการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในเชิงพาณิชย์จากเด็ก รวมทั้งการซื้อหรือขายเด็ก เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตภาพอนาจารเด็กหรือการค้าประเวณี


เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2013 มีมติของคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเกี่ยวกับ ‘นโยบายพื้นฐานเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมาตรการต่อต้านการแสวงประโยชน์ทางเพศต่อเด็ก’ การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นเพื่อกำจัดการตกเป็นเหยื่อทางเพศของเด็กหญิง ซึ่งเป็นผลมาจากการค้าประเวณีเด็กและการผลิตภาพอนาจารเด็ก คณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้ควบคุมมาตรการโดยรวมต่อการแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ตำรวจยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็ก จังหวัดหลัก 7 แห่ง ยังคงใช้กฎหมายห้ามประกอบการ JK business ห้ามหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในบริการหาคู่โดยได้รับค่าตอบแทน หรือกำหนดให้เจ้าของ JK business ลงทะเบียนบัญชีรายชื่อพนักงานกับคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะในท้องถิ่น เป็นต้น โดยปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นยังคงเป็นสถานะ ‘Tier 2’ ในรายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประจำปี ค.ศ.2022 ซึ่งอยู่ในสถานะที่เท่ากันกับประเทศไทยของเรา

Operation fish ปฏิบัติการขนย้ายสมบัติครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ของสหราชอาณาจักร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2



แหวนทองที่พลเมืองอังกฤษส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อนำไปแปรรูปเป็นทองคำแท่ง

‘Operation fish’ (ปฏิบัติการปลา) เดือนกันยายน ค.ศ.1939 รัฐบาลอังกฤษได้ออกคำสั่งให้พลเมืองทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ต้องแสดงและมอบทรัพย์สิน โดยเฉพาะทองคำของตนให้กับกระทรวงการคลัง ด้วยเมฆพายุแห่งสงครามที่รวมตัวกันทำให้รัฐบาลอังกฤษเกิดความกลัวที่สหราชอาณาจักรมีโอกาสจะเพลี่ยงพล้ำ หากกองทัพเยอรมันยกพลบุกและยึดครองเกาะอังกฤษได้สำเร็จในที่สุด เพื่อให้อังกฤษมีเงินและทรัพยากรที่จะทำการสู้รบต่อไปได้ แม้ว่าเกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษจึงตัดสินใจขนย้ายสมบัติไปยังแคนาดา ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ


ปืนพก Colt ขนาด .380 ที่ถูกสั่งซื้อโดย British Purchasing Commission

ก่อน Operation fish ได้มีการส่งขบวนเรือพร้อมทองคำและเงินมูลค่าหลายล้านปอนด์ เพื่อซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกามาแล้ว โดย British Purchasing Commission (คณะกรรมาธิการจัดซื้อของอังกฤษ) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เดิมคือ คณะกรรมการจัดซื้อของแองโกล-ฝรั่งเศส (Anglo-French Purchasing Board) มีสำนักงานอยู่ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งทำหน้าที่จัดการในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากผู้ผลิตในอเมริกาเหนือ และหลังจากการยอมจำนนของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1940 จึงกลายเป็น British Purchasing Commission คณะกรรมาธิการชุดนี้ยังรับผิดชอบต่อคำสั่งซื้อที่แต่เดิมเป็นของฝรั่งเศส เบลเยียม และต่อมาโดยนอร์เวย์ หลังจากการยอมจำนนต่อเยอรมันของประเทศเหล่านั้น


Sir Winston Churchill นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อ ‘Winston Churchill’ จัดตั้งรัฐบาลในปี ค.ศ.1940 สงครามกับเยอรมันกำลังดำเนินไปโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายย่ำแย่ เพื่อให้มีหลักประกันว่า สหราชอาณาจักรจะสามารถสู้รบต่อไปได้ แม้เกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม Churchill จึงวางแผนจัดส่งทรัพย์สมบัติของอังกฤษจำนวนมหาศาลไปเก็บเพื่อความปลอดภัยในแคนาดา จากการที่รัฐบาล Churchill ได้ใช้อำนาจในช่วงสงคราม (กฎอัยการศึก) ยึดทรัพย์สินที่ชาวอังกฤษทุกคนได้ถูกบังคับให้ลงทะเบียนเมื่อกันยายน ค.ศ.1939 และทำการขนย้ายทรัพย์สินเหล่านั้นไปยังท่าเรือ Greenock ในสกอตแลนด์ภายใต้การคุ้มกันอย่างเป็นความลับสุดยอด


เรือ HMS Emerald

จากนั้น ทรัพย์สินทั้งหมดก็ถูกขนส่งโดย ‘เรือรบ HMS Emerald’ ซึ่งออกเดินทางเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1939 พร้อมด้วยด้วยเรือพิฆาตคุ้มกันจำนวนหนึ่งได้แล่นไปยังแคนาดา การเดินทางของขบวนเรือครั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด เพื่อเป็นการรักษาความลับและลวงพรางศัตรู ลูกเรือทุกนายต้องสวมเครื่องแบบ ‘สีขาวเขตร้อน’ เพื่อสร้างความสับสนให้กับเยอรมัน ในขบวนเรือคุ้มกันประกอบด้วยเรือประจัญบาน HMS Revenge และ HMS Resolution และ HMS Enterprise รวมถึงเรือลาดตระเวน HMS Caradoc ระหว่างทางขบวนเรือเผชิญกับพายุที่รุนแรงลูกหนึ่ง ที่ทำให้เกิดคลื่นลมแรงจนขบวนเรือต้องลดความเร็วลง จนเกือบจะกลายเป็นเป้าหมายง่ายๆ สำหรับเรือดำน้ำของเยอรมันที่พยายามเข้ามามาด้อมๆ มองๆ แต่ในที่สุดขบวนเรือก็มาถึงท่าเรือเมืองแฮลิแฟกซ์ของแคนาดา ทรัพย์สมบัติของอังกฤษก็ถูกขนย้ายด้วยรถไฟ และถูกส่งไปยังกรุงออตตาวาซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคนาดา ก่อนส่งต่อไปยังนครมอนทรีออล


อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล

ทองคำแท่งน้ำหนักสองล้านปอนด์ (900 ตัน) มูลค่าราว 1.948 ล้านบาทในปัจจุบัน อันเป็นทรัพย์สินของอังกฤษ ถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยใต้ดินที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษใต้อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล ภายใต้การคุ้มกันตลอดเวลาโดย ตำรวจของ Royal Canadian Mounted และมีการปล่อยข่าวลืออย่างต่อเนื่องว่า มีการเก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักรไว้ที่นครมอนทรีออล โดยไม่มีการพูดถึงทองคำจำนวนมหาศาล เพื่อเป็นการอำพรางกิจกรรมที่เกิดขึ้นในอาคาร Sun Life โดยที่พนักงาน 5,000 คน ที่ทำงานในอาคาร Sun Life ไม่เคยสงสัยเลยว่า มีทองคำจำนวนมหาศาลถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินของอาคาร


แม้จะมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ แต่หน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็ไม่เคยทราบหรือระแคะระคายข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้เลย นักบัญชีและการเงินหลายร้อยคนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อจัดรายการเนื้อหาของทรัพย์สินที่ถูกขนย้ายมา เมื่อเสร็จปฏิบัติการแล้วก็พบว่า ‘ทองคำ’ มูลค่าราว 1.948 ล้านบาท ที่ถูกส่งจากสหราชอาณาจักรไปยังแคนาดานั้น ไม่สูญหายเลยแม้แต่แท่งเดียว



มีแผ่นหินจารึกบนกำแพงด้านนอกของ Martins Bank บนถนน Water Street ในนครลิเวอร์พูลเป็นที่ระลึกถึงทองคำ ซึ่งถูกเก็บไว้ที่นั่นระหว่างเดินทางไปแคนาดา ระบุข้อความว่า…

“ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1940 เมื่อประเทศนี้ถูกคุกคาม ทองคำสำรองบางส่วนของประเทศถูกนำมาจากกรุงลอนดอน และถูกเก็บเพื่อความปลอดภัยในห้องใต้ดินของ Martins Bank”

ตัวเลขทองคำสำรองของอังกฤษในปัจจุบันอยู่ที่ 310 ตัน (ในขณะที่ตัวเลขทองคำสำรองของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 244 ตัน) ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ไม่สามารถพิมพ์ออกมาใหม่ได้เหมือนเงิน และมูลค่าของทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการรักษามูลค่ามีมาแต่อดีต ดังนั้น เมื่อมีเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือเข้าสู่วิกฤติ ราคาทองคำจะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น ดังนั้นทองคำเป็นหลักประกันที่จับต้องได้ที่ดีสุดสุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

 

‘Kim Ung-Yong’ มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับเส้นทางชีวิตที่เลือกจะขอมี ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความสำเร็จ’


‘Kim Ung-Yong’ เด็กชายอัจฉริยะที่ทำให้โลกต้องตะลึง!!


‘Kim Ung-Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ ชายชาวเกาหลีใต้ ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่’ โดย Guinness World Records นั้นได้บันทึกสถิติว่าชายผู้นี้เป็น ‘คนที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย IQ ของเขาสูงถึง 210 เลยทีเดียว


คุณจะทำอย่างไร? ถ้าคุณเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก อาจฟังดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่คำถามนี้เป็นสิ่งที่คิม อุงยอง ต้องเผชิญอยู่เสมอมา

คิม อุงยอง เกิดมาพร้อมกับความถนัดโดยกำเนิด และเป็นความถนัดด้านการเรียนรู้ที่ไม่สามารถหาตัวจับได้ ความสามารถทางสติปัญญาของเขาเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ความอัจฉริยะของเขาเริ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้นก่อนที่เขาจะเดินได้ด้วยซ้ำ เรื่องราวของเขานั้น นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย เพราะเขามีความสามารถที่เหนือความคาดหมายที่สุดของคนปกติ และประสบความสำเร็จทางสติปัญญาอย่างน่าทึ่ง น่าแปลกที่วันนี้แทบจะไม่มีใครรู้จักชื่อของเขาเลย เกิดอะไรขึ้นกับ ‘คิม อุงยอง’ เด็กอัจฉริยะจากเกาหลีใต้คนนี้? 


‘Kim-Ung Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ เป็นลูกชายของ ‘Kim Soo-Sun’ บิดาผู้เป็นศาสตราจารย์ฟิสิกส์ของ Hanyang University และ ‘Yoo Myung-Hyun’ มารดาผู้เป็นอาจารย์ที่ Seoul National University เพราะเหตุนี้ เขาจึงดูเหมือนจะถูกลิขิตให้ไปสู่ความยิ่งใหญ่ทางวิชาการตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าสติปัญญาของเขาจะพัฒนาไปจนถึงขีดสุดได้อย่างไร


เขาเกิดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2505 ในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ คิมไม่เสียเวลาเติมพลังสติปัญญาเลย เมื่อคิมอายุเพียง 4 เดือน เขาก็เริ่มพูดได้ พอ 6 เดือน เขาก็สามารถพูดจาสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เมื่ออายุ 1 ขวบ เขาก็มีความเชี่ยวชาญทั้งอักษรเกาหลีและอักษรจีนมากกว่า 1,000 ตัวแล้ว จากการเรียน Thousand Character Classic ซึ่งเป็นบทกวีจีนในศตวรรษที่ 6 ความสามารถทางสติปัญญาของเขามีความโดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยมาก เขาสามารถอ่านและเขียนได้หลายภาษา อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ตอนอายุ 3 ขวบ เขาสามารถแก้โจทย์แคลคูลัสได้แล้ว นอกจากนี้ เขายังจัดพิมพ์หนังสือเรียงความ คัดลายมือ พร้อมภาพประกอบความยาว 247 หน้า ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเขาได้อย่างน่าประหลาดใจ!!


สติปัญญาที่เหลือเชื่อของ คิม อุงยอง ดูเหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด และถึงแม้จะอายุน้อย แต่พรสวรรค์ของคิมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เด็กอัจฉริยะชาวเกาหลีใต้คนนี้ได้รับความสนใจจากนานาชาติอย่างรวดเร็ว เมื่อเอายุได้ 5 ขวบ เขาก็สามารถพูดภาษาต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วถึง 5 ภาษา อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส เขาได้เข้าเรียนเป็นนักศึกษาพิเศษของภาควิชาฟิสิกส์ที่ Hanyang University ซึ่งมีบิดาของเขาเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่นอีกด้วย เห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มแรกว่า ความสามารถอันโดดเด่นของคิมนั้นจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา และอาจเปลี่ยนกระทั่งความเป็นมนุษย์ไปตลอดกาล


Terence Tao บุคคลที่มี IQ 230 สูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน


‘บุคคลที่มีไอคิวสูงที่สุดในโลก’ ความเฉลียวฉลาดอันน่าทึ่งและความสามารถพิเศษของคิมนั้น เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดความสนใจมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่ออายุ 4 ขวบ คิมสร้างความประหลาดใจด้วยการทำคะแนนแบบทดสอบ IQ ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กอายุ 7 ขวบได้อย่างน่าทึ่งถึง 210 คะแนน ความสำเร็จที่น่าประทับใจนี้ทำให้เขาได้รับการบันทึกว่า ‘เป็นผู้ที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย Guinness Book of World Records (Terence Tao เป็นเจ้าของสถิติ IQ ที่สูงที่สุดในโลกที่ 230 คะแนนในปัจจุบัน)


ชื่อเสียงของเขาเผยกระจายอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาได้แสดงความสามารถทางคณิตศาสตร์ทางโทรทัศน์ช่อง ‘Fuji TV’ ของญี่ปุ่น ขณะที่เขาอายุได้เพียง 4 ปี 8 เดือน คิมเคยออกรายการโทรทัศน์ แสดงความสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ชั้นสูง ที่เรียกว่า ‘สมการดิฟเฟอเรนเชียล’ (Differential Equation) ที่ซับซ้อนได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว (ซึ่งปกติจะมีเรียนในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 3) จนบรรดาผู้ชมต่างประหลาดใจ

ในที่สุดสติปัญญาที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของคิม ก็ได้ดึงดูดความสนใจขององค์กรอวกาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ธรรมดาของ ‘คิม อุงยอง’ ทำให้เขาได้รับคัดเลือกจาก ‘NASA’ องค์การอวกาศที่มีชื่อเสียงระดับโลก ให้เข้าร่วมงานเมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวเขาจึงคว้าโอกาสนั้นไว้ เขาทำงานให้กับ NASA ประมาณหนึ่งทศวรรษ ในช่วงเวลานี้ เขาทำให้เพื่อนร่วมงานประหลาดใจอย่างต่อเนื่องด้วยความจำอันยอดเยี่ยม และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน


อย่างไรก็ตาม การทำงานที่ NASA นั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเท่านั้น และชีวิตใหม่ของเขาก็ไม่ง่ายเลย เขารู้สึกโดดเดี่ยวและเดียวดาย ไม่มีเพื่อนนอกจากผู้ใหญ่ที่เขาทำงานด้วย ซึ่งอายุมากกว่ามาก และยุ่งเกินกว่าจะมาสังสรรค์กับเขา แม้จะยังไม่ใช่วัยรุ่น แต่เขาก็ทำงานหนักอย่างเหลือเชื่อ และทำประโยชน์อันมีค่ามากมายให้กับองค์กร แต่ในที่สุดเขาก็ท้อแท้กับงานที่ทำอยู่ คิมรู้สึกว่างานวิจัยของเขาถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำลายล้าง และบรรดาเจ้านายของเขาต่างก็ได้รับเครดิตจากการทำงานหนักและความคิดของเขา คิมรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีคุณค่า ซ้ำยังถูกตีราคาเป็นมูลค่า และไม่มีความสุขเลย จนกระทั่งในที่สุด คิมและครอบครัวตัดสินใจเดินทางกลับเกาหลีใต้ในปี พ.ศ. 2521 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี และได้เข้าเรียนต่อจนจบ เขาสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จำเป็นทั้งหมด และได้รับประกาศนียบัตรเทียบเท่ามัธยมปลายในเวลาเพียง 2 ปี หลังจากนั้น เขาสมัครเข้าเรียนใน Chungbuk National University ในสาขาวิศวกรรมโยธาจนจบปริญญาเอก


Kim Ung-Yong ในวัยหนุ่ม

การตัดสินใจออกจากองค์การ NASA ของคิมนั้น ทำให้สังคมเกาหลีใต้เต็มไปด้วยความสงสัยและมีคำวิจารณ์จากผู้ที่เห็นว่า การออกจากองค์การ NASA ของเขาเป็นการเสียพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้จะประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้ทั้งหมด แต่ชีวิตที่เหลือ (หลังจากออกจากองค์การ NASA) ของเขาก็จะเต็มไปด้วยคำวิจารณ์ประเภทนี้ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในฐานะ ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’

โดยหลังจากจบปริญญาเอกแล้ว คิม อุงยองเข้าทำงานอย่างเงียบๆ ในบริษัทเกาหลีใต้ที่ชื่อ ‘Chungbuk Development’ โดยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลาง แม้ว่า อดีตเด็กอัจฉริยะคนนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบางคนว่าเป็น ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’ เนื่องจากไม่ได้ใช้ชีวิตตามสติปัญญาอันน่าทึ่งที่เขามี ถึงกระนั้น เขายังคงมองโลกในแง่ดีและค่อนข้างพอใจกับชีวิตของเขา


Kim Ung-Yong เป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University

ในปี พ.ศ. 2550 เขาทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2557 ในที่สุดเขาก็สมหวัง เพราะความฝันตลอดชีวิตของเขาคือ ‘การเป็นอาจารย์’ เขาออกจากบริษัท Chungbuk Development เข้าเป็นอาจารย์ของ Shinhan University ได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ เมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557 และยังรับตำแหน่งรองประธานของ North Kyeong-gi Development Research Center หลังจากเริ่มงานใหม่ คิมได้บอกกับสื่อต่างๆ ว่า เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ โดยกล่าวว่า “ผมจะอุทิศตัวเองเพื่อสอนคนรุ่นต่อไป” แม้ว่า ประวัติของเขาจะดูไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนว่า คิม อุงยอง จะตัดสินใจตั้งแต่อายุยังน้อยที่จะให้ความสำคัญกับ ‘ความสุข’ มากกว่า ‘สถิติโลก’ ทำให้เขาเลือกที่จะหันหลังให้กับ IQ ที่สูงมากๆ และ ‘ความสำเร็จ’ ในวัยเด็กของเขา


ปัจจุบัน Kim Ung-Yong เป็นศาสตราจารย์ของ Chungbuk University

บทเรียนที่ต้องเรียนรู้จากชายที่ฉลาดที่สุดในโลก ซึ่งหลาย ๆ คนอาจมองชีวิตของคิม อุงยอง ว่า น่าผิดหวัง หรือล้มเหลว แต่มีบทเรียนที่ดีกว่าให้เรียนรู้จากเรื่องราวชีวิตที่พลิกผันและน่าสนใจของเขา การตัดสินใจของ คิม อุงยอง เป็นตัวอย่างหนึ่งในการเลือกชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขมากกว่าความรุ่งโรจน์ ความสำเร็จ หรือความมั่งคั่ง แม้ว่าเขาจะมีความสามารถพิเศษทางปัญญาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่เขากลับไม่พบความสุขกับบทบาทของเขาในฐานะ ‘เด็กอัจฉริยะ’ จนกระทั่งเขาใช้ชีวิตอย่างสงบและสบายขึ้น เขาจึงพบว่า “ตัวเองมีความสุข”


Kim Ung-Yong สรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า 
“ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

คิม อุงยอง มีส่วนในการช่วยเหลือสังคมมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย บางทีหนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ได้จากเขาคือ การตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกความสุข เขากล่าวว่า “ชีวิตของเขาเป็นของเขาเอง ไม่ใช่คนรอบข้าง หรือวิสัยทัศน์ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานของพวกเขา” และเขายังกล่าวสรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า “ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

หวังว่าเรื่องราวของ คิม อุงยอง จะช่วยให้พ่อ-แม่ในสังคมไทยได้เข้าใจลูกๆ และปล่อยให้ลูกๆ ได้เป็นอย่างที่พวกเขาอยากเป็น เพียงแต่พ่อ-แม่ช่วยดูแลให้ลูกอยู่ในแนวทางที่มีความเหมาะสมและพอดี โดยพิจารณาด้วยเหตุและผลที่ถูกต้อง ซึ่งทั้งพ่อ-แม่ และลูกๆ ต่างฝ่ายต่างยอมรับได้

‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก  เผชิญสงครามความยากจน หลังคนไร้บ้านพุ่งสูงเข้าขั้นวิกฤต



ภาพอันน่าตกใจที่แสดงให้เห็นแถวรถยนต์ชนิดต่างๆ ที่จอดเรียงรายต่อกันยาวกว่าสองไมล์ (ราวสามกิโลเมตร) ซึ่งประกอบด้วยผู้คนที่อาศัยอยู่ในรถบ้าน (รถ RV) รถบรรทุก และรถพ่วง บนถนนทางหลวงหมายเลข 101 ในเขตเทศมณฑลมาริน (Marin) ทางตอนเหนือของนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยถูกขับไล่ออกจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเป็นของพวกเขา ด้วยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในเขตเทศมณฑลมาริน อยู่ที่ปีละ 131,000 ดอลลาร์ โดย 78% ของคนไร้บ้านเคยมีบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ก่อนที่จะถูกบังคับให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่ อันเนื่องมาจากถูกยึดทรัพย์จนต้องไปตั้งแคมป์ ดังที่เห็นตามภาพ


ภาพเหล่านี้ ถ่ายโดย DailyMail.com แสดงให้เห็นครอบครัวหลายครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ และนำแผงพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นกระแสไฟฟ้า ขณะที่ข้าวของของพวกเขาล้นทะลักออกมาจากยานพาหนะ ในขณะเดียวกัน มลรัฐแคลิฟอร์เนียต้องใช้เงินมากกว่า 3 ล้านดอลลาร์ เพื่อพยายามช่วยผู้ที่อาศัยอยู่ในยานพาหนะ และเพื่อใช้ในการหาบ้านพักอาศัย ชาวบ้านหลายร้อยคนในเทศมณฑลที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของนครซานฟรานซิสโก ถูกบีบให้ต้องใช้ชีวิตของพวกเขาในรถบ้าน และรถพ่วงบ้าน หลังจากถูกขับออกจากบ้านพักที่ตนอาศัยอยู่


ภาพถ่ายที่น่าตกใจแสดงให้เห็นแถวของรถบ้าน รถพ่วงบ้าน รถบรรทุก และยานพาหนะอื่นๆ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามทางหลวงหมายเลข 101 ซึ่งตอนนี้ทอดยาวไปกว่าสองไมล์แล้ว จนกลายเป็นค่ายพักผู้ไร้บ้านใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เมืองต่างๆ ในเทศมณฑลมาริน ซึ่งบ้านโดยเฉลี่ยราคา 1.4 ล้านดอลลาร์ กำลังผลักดันให้เส้นทางเลียบทางหลวงยุติลง หลังจากจำนวนผู้อาศัยในรถยนต์เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการระบาดใหญ่


บางครอบครัวก็ใช้ธงเพื่อทำเครื่องหมายพื้นที่ถนนที่พวกเขาใช้เป็นบ้าน โดยมีหลายคนดึงผ้าใบมาคลุมรถเพื่อปกป้องทรัพย์สินของพวกเขา เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มียานพาหนะอย่างน้อย 135 คัน บนถนนบินฟอร์ด (Binford) ชานเมืองโนวาโต เนื่องจากจำนวนยานพาหนะชนิดต่างๆ ที่ถูกใช้เป็นบ้านได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในเทศมณฑลมาริน อยู่ที่ 131,000 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า ไม่สามารถหันไปทางไหนได้ จนผู้อยู่อาศัยในบริเวณโดยรอบต้องรวมตัวกันเพื่อพยายามช่วยให้ยุติการตั้งชุมชนผู้ไร้บ้านด้วยการยื่นมือเข้าไปช่วยผู้คนในการค้นหาบริการต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องการ ทุกเดือนพวกเขาจะได้รับของอุปโภคบริโภคฟรี ความช่วยเหลือในการจัดการกรณีที่อยู่อาศัย ความช่วยเหลือทางสังคม การแพทย์ และอื่นๆ โดยชุมชนคนไร้บ้านยังต้องดิ้นรนกับปัญหาสุขภาพ อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และสุขภาพจิต และซึ่งจะมีการผลักดันให้มีการขยายบริการหลังจากที่รัฐมอบเงินทุนให้แก่ เทศมณฑลโนวาโต (Novato), ซอซาลิโต (Sausalito) และ ซาน ราฟาเอล (San Rafael) และให้แก่ เทศมณฑลมาริน สำหรับพื้นที่ที่คนไร้บ้านอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อาทิ ถนนบินฟอร์ด


แต่ละเมืองและเทศมณฑลได้รับเงิน 500,000 ดอลลาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาคนไร้บ้าน โดยมลรัฐจะมอบทรัพยากรมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือแต่ละพื้นที่ ผู้อยู่อาศัยที่มีรายได้น้อยในเขตเทศมณฑลมาริน บอกว่า “พวกเขาไม่มีที่ไป” เนื่องจากวิกฤตค่าครองชีพที่เกาะกุมพื้นที่นี้มาเป็นเวลานานแล้ว ‘Gary Naja-Riese’ ผู้อำนวยการสำนักงานดูแลคนไร้บ้านของเทศมณฑลมาริน กล่าวว่า “สิ่งสำคัญอันดับแรกและเร่งด่วนของพวกเขาคือ การจัดการกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนถนนบินฟอร์ด”


จำนวนยานพาหนะยาวเกินสองไมล์และเกิดปัญหาสุขอนามัย และการแพร่ระบาดของโรค และชุมชนคนไร้บ้านดังกล่าวยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลายคนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้บนรถเพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าและปรุงอาหารในรถ RV ได้ เจ้าหน้าที่บางคนได้ผลักดันให้มีการห้ามจอดรถข้ามคืน ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้ เทศมณฑลมาริน กำลังวางแผนที่จะจ้างนักสังคมสงเคราะห์เต็มเวลาเพื่อดูแลคนไร้บ้านที่อยู่อาศัยในชุมชนดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาของพวกเขาโดยตรง เทศมณฑลมาริน ประเมินว่า มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 80 ครอบครัวอาศัยอยู่บนถนนบินฟอร์ดอย่างถาวร แต่ก็มีบางส่วนที่ทิ้งรถไว้ริมถนน และบางคนก็มีสุขภาพที่ดีพอที่จะทำงานเต็มเวลาได้ แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถซื้อที่อยู่อาศัยในเทศมณฑลมาริน ด้วยค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น


เมืองอื่นๆ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ออกกฎหมายบังคับใช้ห้ามรถบ้าน (รถ RV) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 แล้ว เนื่องจากมีผู้คนมากมายที่ได้รับผลกระทบเมื่อผู้อยู่อาศัยในรถบ้าน (รถ RV) ปฏิเสธที่จะย้าย เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เนื่องจากชุมชนคนไร้บ้านที่ถนนบินฟอร์ดได้รับความช่วยเหลือหลายทาง จึงมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในพื้นที่สุดท้ายที่เหลือของคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ในรถบ้าน ซึ่งจะไม่ถูกรบกวนจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเช่นพื้นที่อื่น ๆ ‘Zoe Neil’ ผู้อำนวยการสำนักงานถนนในเขตเมืองของเทศมณฑล Marin กล่าวว่า “ในอดีตการนอนหลับอย่างปลอดภัยในยานพาหนะหรือจุดตั้งแคมป์นอกบ้านของเทศมณฑลมารินเป็นเรื่องยาก บินฟอร์ดเป็นหนึ่งในสถานที่เดียวที่คนไร้บ้านสามารถนำรถไปจอดอยู่ได้ แม้ว่า ถนนสายดังกล่าวจะไม่ใช่ที่หลบภัยก็ตาม”


เทศมณฑลมาริน กำลังหาเงินทุนเพิ่มเติมอีก 1.5 ล้านดอลลาร์ จากรัฐบาลมลรัฐ ซึ่งจะช่วยให้สามารถจ้างเจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่เพิ่มได้อีก 2 คนที่จะทำงานเต็มเวลาแก้ปัญหาชุมชนคนไร้บ้านที่ถนนบินฟอร์ด โดยเฉลี่ยแล้วเทศมณฑลมาริน จะหาบ้านพักให้คนไร้บ้านซึ่งมีอยู่ทั่วเทศมณฑลมาริน ได้เฉลี่ยเดือนละสิบครอบครัว โดยส่วนใหญ่ผ่านโครงการหุ้นส่วนเจ้าของบ้านของสำนักงานการเคหะของเทศมณฑลมาริน โดยประมาณ 78% ของคนไร้บ้านในพื้นที่เคยมีที่พักอาศัยในเทศมณฑลมาริน ก่อนที่จะถูกไล่ออกจากที่อยู่อาศัยเดิม


สหรัฐอเมริกาเริ่มทำสงครามต่อสู้กับความยากจน (War against poverty) ในปี ค.ศ. 1964 และต้องยอมรับต่อความพ่ายแพ้ในการทำสงครามดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. 2014 หรือ 50 ปีต่อมา แม้ว่ารัฐบาลกลางจะมีเงินงบประมาณเพื่อแก้ไขได้ แต่กลับไม่ทำ และเอาเงินงบประมาณไปทุ่มกับงบกลาโหม และงานต่างประเทศจนหมด หากสหรัฐอเมริกาเลิกทำตัวเป็นตำรวจโลก ลดงบประมาณด้านการทหาร ย่อส่วนโครงการอวกาศลง สหรัฐฯ จะสามารถผันเอาเงินงบประมาณจำนวนมาก มาแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ (Domestic poverty) ได้อย่างสบายๆ

เรื่องราวที่ ‘Ferrari’ ไม่เคยได้รับการบอกเล่า  ช่างซ่อมรถชาวเม็กซิกันช่วยชีวิตบริษัทได้อย่างไร?


‘Carrera Panamericana’ เป็นงานแข่งรถแรลลี่ของรถสต็อก รถทัวร์ริ่ง และรถสปอร์ต บนถนนโล่ง ๆ ในเม็กซิโก ซึ่งคล้ายกับการแข่งขันรถสนาม Mille Miglia และสนาม Targa Florio ในอิตาลี ซึ่ง ‘Carrera Panamericana’ ซึ่งได้จัดการแข่งขันติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ถึง ค.ศ. 1954 เป็นแข่งขันรถแรลลี่ที่ได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างกว้างขวางว่า เป็นการแข่งขันที่อันตรายที่สุดในโลก เป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ทดสอบความอดทนทั้งของรถและตัวนักแข่งที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นสนามแข่งที่ทดสอบรถยนต์ที่ดีที่สุดด้วยนักแข่งที่มีประสบการณ์และกล้าหาญที่สุดในยุคนั้น


โดยบริษัท Ferrari ได้ส่ง Umberto Maglioli ลงแข่งด้วยรถ Ferrari 375 Plus ของเขา ในยุคนั้นแม้ว่า Ferrari จะเป็นรถที่มีชื่อเสียงในยุโรป แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ และแบรนด์ Ferrari ในตอนนั้นยังห่างไกลจากการเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ Ferrari จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิสูจน์ให้คนอเมริกันเห็นว่า รถของพวกเขาเหนือกว่า รวดเร็วกว่า และเชื่อถือได้ การชนะการแข่งขัน Carrera Panamericana จะทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จัก และสร้างยอดขายในสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์ Ferrari รอดพ้นจากการล้มละลาย


Umberto Maglioli เข้าร่วมการแข่งขันด้วยรถ Ferrari 375 Plus ในขณะเขาเป็นผู้นำใน Stage ที่ 4 และอยู่ระหว่างจากแข่งขันใน Stage ที่ 5 อันเป็น Stage สุดท้ายของการแข่งขัน ไม่นานก่อนจะจบ Stage ที่ 4 รถ Ferrari 375 Plus ของเขาเริ่มเสีย ด้วยอาการน้ำมันรั่วผ่านรูในคาร์บูเรเตอร์ ท่ามกลางความห่างไกลและไม่มีชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับส่วนสำคัญของรถ ความหวังที่จะจบการแข่งขันแทบจะเป็นศูนย์

และเมื่อรถ Ferrari 375 Plus ของเขาจวนจะหยุดทำงาน Umberto Maglioli ก็ได้หยุดรถกลางถนนเมื่อเขาเห็นอู่ซ่อมรถยนต์เล็ก ๆ ชื่อว่า ‘El Milagro’ ซึ่งมี Renato Martinez เป็นเจ้าของและช่างเครื่องเพียงคนเดียวของอู่ ที่อยู่ในที่สถานที่ห่างไกลและกันดารแห่งนี้ หลังจากตรวจดูอาการขอรถ Ferrari 375 Plus แล้ว Martinez ช่างและเจ้าของอู่ก็ยืนยันกับ Maglioli ว่า อาการแท้จริงแล้วเกิดจากน้ำมันรั่วในห้องข้อเหวี่ยง และเขามีวิธีแก้ไขที่ ‘สร้างสรรค์’ เพื่อซ่อมแซมโดยใช้เวลาไม่นาน อย่างน้อยก็จะสามารถทำให้ Maglioli เสร็จสิ้นการแข่งขันของเขาได้

ว่าแล้ว Martinez ก็เอาถังน้ำและสบู่ก้อนใหญ่ออกมา ก่อนที่จะเริ่มทำงาน เขายังได้หยิบน้ำอัดลมสามขวดเล็กส่งให้ Maglioli แล้วพูดว่า “ในขณะที่คุณดื่มน้ำอัดลมนี้ ผมก็จะซ่อมรถของคุณ” แม้ Maglioli จะไม่เชื่อว่า Martinez ทำได้ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ดื่มน้ำอัดลมและรอปาฏิหาริย์ ในขณะเดียวกัน Martinez ก็จัดการรื้อเครื่องยนต์ของรถ Ferrari 375 Plus แล้วใช้สบู่ค่อย ๆ ถูบริเวณที่ชำรุดเสียหายของเครื่องยนต์อย่างใจเย็น จากการถูเสียดสีสบู่ก็ค่อย ๆ ละลาย กลายเป็นแผ่นสบู่ที่สามารถปิดรูรั่ว โดยสบู่จะป้องกันน้ำมันรั่ว และเกาะติดกับโลหะในห้องข้อเหวี่ยง แล้วเมื่อแข็งตัวสบู่ก็จะแข็งเหมือนหิน

Maglioli รู้สึกประหลาดใจ และขอบคุณ Renato พร้อมทั้งดึงกล้อง Rolleiflex ขนาดเล็กออกมาจากรถ Ferrari ซึ่งเขาใช้จับภาพช่วงเวลาอันน่าอัศจรรย์นั้น เป็นภาพถ่าย ณ อู่ ‘El Milagro’ โดย Renato Martinez ซึ่งยืนถัดจากรถ Ferrari 375 Plus ซึ่งอยู่ระหว่างการซ่อมแซม และต่อมารูปนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในรูปอมตะของบริษัท Ferrari


Umberto Maglioli ขับรถ Ferrari 375 Plus ของเขา จบการแข่งขันใน Stage ที่ 5 เป็นที่ 1 และเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของบริษัท Ferrari ไปตลอดกาล หลังจากนั้นไม่นาน Renato Martinez ก็ได้รับรูปถ่ายที่ Maglioli ถ่ายในช่วงเวลานั้นทางไปรษณีย์ ภาพถ่ายได้รับมีข้อความว่า “ถึงเพื่อนของผม Renato M. จาก Umberto Maglioli” ภาพถ่ายนี้มาพร้อมกับจดหมายขอบคุณ Renato ซึ่งเขียนว่า “Renato, The Mexican Miracle ผู้ซึ่งได้ช่วยบริษัท Ferrari” เอาไว้ จดหมายนั้นลงนามโดย Enzo Ferrari

 

ย้อนรอย 48 ปี วิกฤตการณ์ Mayaguez (มายาเกซ/มายาเกวซ) อันเป็นปัจฉิมบทของฐานทัพของสหรัฐฯ ในไทย และปฐมบทแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน

บอง บอง เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์

เมื่อการเลือกตั้งในบ้านเราจบลง พรรคการเมืองที่มหาอำนาจชาติตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา วาดหวังที่จะให้เป็นรัฐบาลก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งและสอง ด้วยหมายมั่นปั้นมือว่าจะกลับมามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคนี้ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสนับสนุน บอง บอง เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ จนได้เป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และยินยอมเปิดรับการกลับเข้ามาฟิลิปปินส์ของสหรัฐฯ หลังจาก โรดรีโก โรอา ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงบทบาทท่าที่แข็งกร้าวกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยตลอด 

สนามบินอู่ตะเภา

ด้วยจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯ ที่จะกลับมามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคนี้คือ การใช้ประเทศในภูมิภาคนี้เป็นพันธมิตรในการปิดล้อมจีน และสิ่งที่สหรัฐฯ หมายมั่นปั้นมือที่สุดในไทยคือ การกลับเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาอันเป็นสนามบินที่สหรัฐฯ สร้างเอาไว้ในยุคสงครามเย็น โดยเป็นฐานทัพอากาศที่มีเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 ประจำการ และใช้เป็นฐานปฏิบัติการในการทิ้งระเบิดในเวียดนาม ลาว เพราะสนามบินอู่ตะเภามีความพร้อมในการรองรับกองกำลังทางอากาศของสหรัฐฯ และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ที่ครอบคลุมทะเลจีนใต้ (มหาสมุทรแปซิฟิก) และทะเลอันดามัน (มหาสมุทรอินเดีย) ซึ่งจะทำให้ราชอาณาจักรไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกคน กลับมาอยู่ในวงของความขัดแย้งของสหรัฐฯ และจีนโดยตรง เช่นที่เคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะสงครามอินโดจีนหรือสงครามเวียดนาม อีกครั้งหนึ่ง


สำหรับวิกฤตการณ์ Mayaguez (มายาเกซ/มายาเกวซ) อันเป็นจุดจบของฐานทัพของสหรัฐฯ ในไทย และจุดเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ขณะที่เรือสินค้า SS Mayaguez บรรทุกอาหาร และเวชภัณฑ์เดินเรือในน่านน้ำสากลจากฮ่องกง ผ่านใกล้ชายฝั่งกัมพูชาเพื่อไปยังท่าเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้ถูกเรือติดอาวุธของรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย (เขมรแดง) ยึดเรือ และจับลูกเรือ 39 คนเป็นตัวประกัน โดยอ้างเรือสินค้า SS Mayaguez ว่ารุกล้ำน่านน้ำกัมพูชา (ในเขตน่านน้ำซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งของประเทศกัมพูชาประมาณ 60 ไมล์) รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำการตอบโต้อย่างแข็งกร้าวและรวดเร็ว เพราะเห็นเป็นโอกาสอันดีที่ผู้นำสหรัฐฯ จะสามารถแสดงอำนาจและความเด็ดขาดให้ปรากฏแก่ชาวโลก เนื่องจากว่าเพียงแค่เดือนก่อนหน้านั้นทั้งกัมพูชาและเวียดนามใต้ได้พ่ายแพ้แก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ ซึ่งสร้างความสั่นคลอนอย่างยิ่งแก่เกียรติภูมิและความภูมิใจแห่งชาติของชาวอเมริกัน


ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ เพื่อชิงเรือ SS Mayaguez คืนเกิดขึ้นโดยนาวิกโยธินอเมริกันจากเกาะโอกินาวาและอ่าวซูบิก ที่ถูกส่งมายังฐานทัพอเมริกันที่อู่ตะเภาในวันที่ 13 พฤษภาคม ได้บุกจู่โจมชิงเรือ SS Mayaguez และลูกเรือคืนในเช้ามืดวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีเครื่องบินรบจากฐานทัพอเมริกันที่อุดรธานีและโคราชออกปฏิบัติการร่วมด้วย และประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น. การใช้ดินแดนไทยเพื่อปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ เกิดขึ้นโดยขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งมิได้รับรู้ถึงปฏิบัติการครั้งนี้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แจ้งแก่อุปทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยในวันที่ 13 พฤษภาคม แล้วว่า ไทยไม่ยินยอมให้ใช้ดินแดนไทยในทางการทหารใด ๆ เพื่อตอบโต้กัมพูชา แม้ว่า ก่อนการดำเนินภารกิจนี้ สถานทูตสหรัฐฯ ได้แจ้งแผนการใช้กำลังต่อพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นผู้ที่สหรัฐฯ ติดต่อด้านการทหารเป็นประจำ พลเอกเกรียงศักดิ์ได้ให้อนุญาต โดยมิได้แจ้งแก่รัฐบาลไทย และรัฐบาลไทยซึ่งรับรู้สถานการณ์ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ดำเนินภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้แถลงว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการละเมิดอธิปไตยไทย และได้ยื่นบันทึกประท้วงต่ออุปทูตสหรัฐฯ พร้อมทั้งระบุให้ถอนนาวิกโยธินออกทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมง



อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้สร้างความสะเทือนกว้างไกล กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ได้แสดงปฏิกิริยาประท้วงและประณามสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วและอย่างสอดคล้องกัน ซึ่งขัดแย้งกับบริบทการเมืองไทยขณะนั้น ที่มีความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรงในสังคม (ไม่ต่างไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้) ดังที่บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ระบุว่า “ไม่มีครั้งใดในการเมืองไทยที่คนไทยทั้งชาติจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อรัฐบาลสหรัฐฯรุนแรงเท่าครั้งนี้” การเคลื่อนไหวเริ่มขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านทุกพรรคได้เรียกร้องให้เปิดประชุมสภาวิสามัญ เพราะเห็นว่าเหตุการณ์เป็นภาวะคับขันและเกี่ยวข้องกับเอกราชและอธิปไตยของชาติ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับของไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกัน เพื่อให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน แต่ปฏิกิริยาที่รุนแรงที่สุดมาจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดการชุมนุมประท้วงสหรัฐฯ ที่สนามหลวงและมีผู้เข้าร่วมหลายพันคน ต่อมาในวันที่ 16 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่งบันทึกประท้วงถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พร้อมทั้งเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ กลับ พร้อมทั้งประกาศที่จะทบทวนสัญญาและข้อผูกพันระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีทั้งหมด ส่วนการชุมนุมที่นำโดยศูนย์นิสิตนักศึกษาฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขีดเส้นตายให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องขอโทษไทยภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากที่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากรัฐบาลสหรัฐฯ ในวันต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มายังหน้าสถานทูตสหรัฐฯ อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้เข้าร่วมด้วย เช่น นายธีรยุทธ บุญมี และ นายเสกสรร ประเสริฐกุล เป็นต้น

นพ.เหวง โตจิราการ หนึ่งแกนนำการประท้วงสหรัฐฯ ในขณะนั้น

ในวันที่สามของการชุมนุมประท้วงมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมจำนวนถึงกว่าหนึ่งหมื่นคน สหภาพกรรมกร 61 แห่งได้ประกาศเข้าร่วมด้วย และขู่จะทำลายธุรกิจของบริษัทที่ชาวอเมริกันเป็นเจ้าของถ้าสหรัฐฯยังไม่ขอโทษไทย นอกจากนี้ ยังมีการชุมนุมของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ด้วย ผู้ชุมนุมที่หน้าสถานทูตสหรัฐฯได้เผาหุ่นประธานาธิบดีฟอร์ดและ ดร.เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีความผิดตามคำพิพากษาของ “ศาลประชาชน” คือ “เป็นฆาตกรเลือดเย็น ฆ่าประชาชนหลายหมื่นคนในอินโดจีนและหลอกลวงประชาชนไทย”


นายธีรยุทธ บุญมี ได้ประกาศด้วยว่าหากประธานาธิบดีฟอร์ดไม่ขอโทษประชาชนไทยเองภายใน 24 ชั่วโมง ก็จะเผาธงชาติอเมริกันซึ่ง “เป็นการทำลายสัญลักษณ์ของจักรวรรดินิยมอเมริกา” การชุมนุมได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อผู้ชุมนุมกรูกันเข้าไปแกะตราสถานทูตฯซึ่งเป็นรูปนกอินทรีลงกระทืบและติดรูปอีแร้งแทน ป้ายชื่อสถานทูตถูกทับด้วยป้าย ‘ซ่องโจร’ และขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวเป็นชาวเวียดนามกระชากธงชาติอเมริกันลงมาปัสสาวะรดกลางที่ชุมนุม ซี่งในขณะเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น กำลังตำรวจที่ดูแลบริเวณนั้นมิได้เข้าจัดการหรือขัดขวางใด ๆ

 



สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความวิตกกังวลแก่ผู้นำรัฐบาลมาก และต้องการยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด ดังนั้น เมื่ออุปทูตสหรัฐฯ ขอพบเพื่อหารือสถานการณ์ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ขอให้ส่งสารขอโทษไทย ในเช้าวันต่อมาอุปทูตสหรัฐฯ ได้ยื่นบันทึกของอุปทูตต่อพลตรีชาติชาย ซึ่งมีใจความบางตอนว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าใจถึงปัญหาที่ได้สร้างให้แก่รัฐบาลไทย…และขอย้ำว่า มีความเสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สหรัฐฯ ยังคงมีนโยบายที่จะเคารพต่ออธิปไตยและเอกราชของไทยเสมอ…และเหตุการณ์ทำนองนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” พลตรีชาติชายกล่าวในเวลาต่อมาว่า พอใจต่อบันทึกนี้ และคำขอโทษจากประธานาธิบดีฟอร์ดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป และได้ส่งสำเนาบันทึกแก่ผู้นำการชุมนุมที่หน้าสถานทูต กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขอขมาแล้ว” และประกาศก่อนเลิกการชุมนุมว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนจุดสุดท้ายคือการขับไล่ฐานทัพอเมริกันทั้งหมดออกไป



ปฏิกิริยารุนแรงของนักศึกษาและสาธารณชน ต่อเหตุการณ์มายาเกวซเกิดขึ้นในบริบทการเมืองไทยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ที่มีข้อเรียกร้องจากหลายกลุ่มให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่เป็นอิสระจากสหรัฐฯ กลุ่มเหล่านี้ซึ่งมีทั้งนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองพลเรือนและนักศึกษา มีทัศนะว่า นโยบายต่างประเทศที่ผูกพันกับสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้นนั้นถูกกำหนดโดยผู้นำทหารซึ่งมีผลประโยชน์สอดคล้องกับสหรัฐฯ และเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ มากกว่า โดยเฉพาะฐานทัพและทหารอเมริกันในประเทศไทยก็คือ สัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันที่ต้องให้หมดไปโดยเร็ว อีกทั้งทำให้ไทยสูญเสียอธิปไตยและไร้เกียรติภูมิประเทศ นักวิชาการ เช่น ดร.เขียน ธีระวิทย์ กล่าวใน พ.ศ. 2518 ว่า หากฐานทัพอเมริกันยังอยู่ต่อไป “จะสร้างความแตกแยกให้คนในชาติมากขึ้น อาจเกิดการตั้งขบวนการสังหารชาวอเมริกันและทหารอเมริกันในไทย เพราะคนไทยทุกวันนี้มีความเกลียดชังทหารอเมริกัน” ส่วนนักศึกษาฝ่ายซ้ายกลุ่มหนึ่งในเวลานั้นก็ได้ผลิตงานเขียนหรือกล่าวเสมอในที่สาธารณะว่า สหรัฐฯ เป็น ‘จักรวรรดินิยม’ ที่เอาเปรียบประเทศเล็กทั่วไปรวมทั้งไทยด้วย การชุมนุมของนักศึกษาครั้งนี้ดูเหมือนประสบความสำเร็จเพราะรัฐบาลได้ตอบโต้สหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าว อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของรัฐบาลยังเป็นเพราะสาเหตุอื่นด้วย กล่าวคือ ผู้นำพลเรือนกลุ่มหนึ่งก็มีทัศนะว่าจะต้องปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกันที่มีลักษณะ ‘ลูกพี่ – ลูกน้อง’ และเน้นด้านการทหารให้มีลักษณะที่สมดุลมากขึ้น เหตุการณ์ ‘เรือ SS Mayaguez’ จึงเป็นโอกาสที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองแก่สหรัฐฯ และประเทศเพื่อนบ้านอินโดจีนที่รัฐบาลกำลังพยายามสร้างไมตรีด้วย นอกจากนี้ ก็เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะมีบทบาทในเรื่องความมั่นคงที่ก่อนหน้านั้น ถือเป็นเรื่องของฝ่ายทหารที่รัฐบาลพลเรือนช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม แทบไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ



อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ก็ทำให้รัฐบาลไทยอยู่ในฐานะลำบากเพราะฝ่ายทหารยังคงมีอำนาจในการเมืองไทย และต้องการความช่วยเหลือด้านการทหารจากสหรัฐฯ ต่อไป ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังคงเป็นมหาอำนาจที่ผู้นำไทยทุกกลุ่มให้ความสำคัญมากที่สุด และหากจำเป็นก็ยังคงหวังพึ่งพามากที่สุดด้วย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงต้องยุติเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วโดยการยอมรับ ‘สารแสดงความเสียใจ’ จากอุปทูตอเมริกันประจำประเทศไทยที่มิใช่ ‘คำขอโทษ’ จากรัฐบาลอเมริกัน ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี จึงนำคณะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นครั้งแรก โดยมีโอกาสพบกับผู้นำของจีน ทั้งประธานเหมา เจ๋อตง นายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล และ รองนายกรัฐมนตรี เติ้ง เสี่ยวผิง รวมทั้งได้มีพิธีลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน



ในปี พ.ศ. 2518-2519 คนรุ่นใหม่สมัยนั้นเป็นคนไล่ฐานทัพอเมริกันออกไป แต่พอ พ.ศ. 2566 คนรุ่นใหม่สมัยนี้กลับมาสนับสนุนพรรคการเมือง ที่มีแนวโน้มจะให้ฐานทัพอเมริกันกลับมาในประเทศไทยอีก

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ
 

ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และร่างมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 จี้ รบ.ไทย ‘ปกป้อง-สนับสนุน’ ประชาธิปไตย เสรีภาพการชุมนุม-แสดงออก

ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และ ร่างมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 เรียกร้องหรือแทรกแซง ให้รัฐบาลไทยปกป้อง-สนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน-เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ-เสรีภาพในการแสดงออก

 

Edward Markey วุฒิสมาชิกมลรัฐ Massachusetts พรรค Democratic 
ผู้ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อที่จะออกมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114

จากเอกสารที่คนไทยกลุ่มหนึ่งได้กล่าวหาให้ร้ายประเทศไทย โดยส่งถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิก (Edward Markey วุฒิสมาชิกมลรัฐ Massachusetts พรรค Democratic) และส.ส. (Susan Wild ส.ส. มลรัฐ Pennsylvania พรรค Democratic) ของสหรัฐฯ ซึ่งได้มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องที่จะออกมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 อันมีเนื้อหาเป็นการกล่าวหาและมีลักษณะเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยนั้น 

Susan Wild ส.ส. มลรัฐ Pennsylvania พรรค Democratic
ผู้ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อที่จะออกมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369

รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มอบให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ประสานกับทั้งสำนักงานของวุฒิสมาชิก Ed Markey และ ส.ส. Susan Wild โดยตรงแล้ว และอยู่ระหว่างชี้แจงประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไทยด้วยข้อเท็จจริง ร่างข้อมติทั้งสอง (วุฒิสภาที่ 114 และสภาผู้แทนที่ 369) ซึ่งมีถ้อยคำคล้ายคลึงกันมาก ยังคงเป็นเพียงร่างข้อมติที่รอการพิจารณาของคณะกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขึ้นอยู่กับประธานของคณะกรรมาธิการฯ จะยกขึ้นพิจารณาหรือไม่ จึงยังไม่มีการเสนอไปที่วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ แต่อย่างใด และวุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ ที่กระทรวงการต่างประเทศถือว่าเป็น “มิตรแท้ของไทย” ยังไม่มีผู้ใดร่วมอุปถัมภ์ (Sponsor) ร่างข้อมติแต่อย่างใด ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการต่างประเทศกำลังมีหนังสือไปถึงวุฒิสมาชิก Markey โดยตรงแล้ว และความพยายามในการขับเคลื่อนเพื่อให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนสหรัฐฯเชื่อว่า มีการดำเนินการผ่าน Lobbyist อย่างแน่นอน

เนื้อหาเต็มของร่างมติวุฒิสภาที่ 114 ดังกล่าว มีใจความดังนี้ :
ร่างมติเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องและสนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น

(ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114) เร่งเร้าให้รัฐบาลไทยปกป้องและสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ในวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา นาย MARKEY (สำหรับตัวเขาเองและนาย DURBIN) ได้ยื่นมติดังต่อไปนี้ ซึ่งได้อ้างถึงคณะกรรมาธิการมติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องและผดุงไว้ซึ่งประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยที่ราชอาณาจักรไทย (ครั้งหนึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘ราชอาณาจักรสยาม’) และสหรัฐอเมริกาได้สถาปนาความสัมพันธ์กันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2361 และได้ทำสนธิสัญญาทางไมตรีและการค้า ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2376 ซึ่งได้ลงนามอย่างเป็นทางการ ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 2 ประเทศ; โดยที่ไทยเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญารายแรกของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ค่านิยมสากล และยังคงเป็นมิตรที่มั่นคงของสหรัฐอเมริกา 

ในขณะที่ผ่านสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทำ ณ กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2497 (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘สนธิสัญญามะนิลา’) สหรัฐอเมริกาและไทยแสดงความปรารถนาร่วมกันที่จะ ''เสริมสร้างโครงสร้างแห่งสันติภาพและเสรีภาพและเพื่อ ยึดมั่นในหลักการของประชาธิปไตย เสรีภาพส่วนบุคคล และหลักนิติธรรม'' โดยที่ในปี พ.ศ. 2505 สหรัฐอเมริกาและไทยได้ลงนามในแถลงการณ์ Thanat-Rusk โดยสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยหากต้องเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยผ่านสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำ ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 พร้อมกับความสัมพันธ์ทางการค้าที่หลากหลายและเพิ่มมากขึ้น 

สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยได้พัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น โดยที่สหรัฐอเมริการับรองประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ประธานาธิบดี Joseph R. Biden และผู้นำอาเซียนได้ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอาเซียนให้เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เพื่อเปิดขอบเขตความร่วมมือใหม่ที่สำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงในอนาคตของสหรัฐอเมริกาและประเทศสมาชิกอาเซียน โดยที่ไทยประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกในปี 2565 (1) เพื่อฟื้นฟูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (2) เพื่อฟื้นฟูการเชื่อมต่อหลังจากการหยุดชะงักจากการระบาดของ COVID–19 และ (3) เพื่อบูรณาการวัตถุประสงค์ของการมีส่วนร่วมและความยั่งยืนควบคู่กับเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ไทยถูกกำหนดให้เป็นพันธมิตรหลักที่ไม่ใช่สมาชิก NATO ในปี พ.ศ. 2546 และเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนด้านความมั่นคงที่แข็งแกร่งที่สุดของสหรัฐฯ 

ความสัมพันธ์ดังกล่าวยืนยันอีกครั้งโดยแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมปี พ.ศ. 2563 สำหรับพันธมิตรด้านการทหารระหว่างสหรัฐฯ-ไทย ในขณะที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจัดการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกันหลายครั้ง รวมถึง Cobra Gold ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมทางทหารระดับนานาชาติประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่มีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในขณะที่รัฐบาลไทยยังคงเป็นพันธมิตรในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและผู้ลี้ภัย รวมถึงความพยายามในการบรรเทาทุกข์ข้ามชาติหลังจากเหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดียในปี พ.ศ. 2547 และแผ่นดินไหวในประเทศเนปาล พ.ศ. 2558 

โดยที่ประเทศไทยสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2475 และได้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้ว 19 ครั้ง รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ซึ่งกำหนดให้มีผู้แทนจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในสภาสองสภาและมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยที่ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 กองทัพไทยได้ก่อการรัฐประหารโดยยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ประกาศกฎอัยการศึก และแทนที่รัฐบาลพลเรือนด้วยคณะทหาร ซึ่งเรียกว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่ง (ในคำนำนี้เรียกว่า ‘คสช.’) ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

โดยที่ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 คสช. ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 คสช. ได้จัดให้มีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งมีข้อบกพร่องอย่างมาก คือ เจตนาทำให้เอกสารถูกต้องตามกฎหมาย ในขณะที่การลงประชามติในปี พ.ศ. 2559 ถูกทำลายโดยการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบอย่างกว้างขวาง ขณะที่ คสช. เมินเสียงเรียกร้องจำนวนมากจากสหประชาชาติและรัฐบาลต่างประเทศให้เคารพสิทธิของประชาชนในการแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญอย่างเสรี และตัดทอนเสรีภาพอย่างรุนแรงในช่วงก่อนทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ดำเนินคดีกับนักข่าวและผู้วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ เซ็นเซอร์สื่อและป้องกันการชุมนุมในที่สาธารณะเกินห้าคน ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2017

(1) ยึดอำนาจโดยกองทัพไทยทำให้พลเรือนไม่สามารถควบคุมทางการเมือง
(2) บังคับเรียกร้องให้รัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาชุดต่อมาปฏิบัติตาม ‘แผนปฏิรูป 20 ปี’ ที่ออกโดยรัฐบาลทหาร
(3) มีบทบัญญัติที่ทำให้สภาผู้แทนราษฎร 500 คนอ่อนแอ และมีการสงวนที่นั่งวุฒิสมาชิก 250 ที่นั่งในวุฒิสภาสำหรับสมาชิกวุฒิสภาที่ คสช.แต่งตั้ง และหัวหน้า คสช. รวมทั้งผู้นำสูงสุดของทหารและตำรวจ และ
(4) ให้อำนาจเกินขอบเขตแก่สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือกโดยรัฐบาลทหารที่ไม่ได้รับเลือกในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป; 

โดยที่ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 ประเทศไทยจัดการเลือกตั้งโดย 
(1) กลุ่มตรวจสอบอิสระหลายกลุ่มที่อ้างว่ามีปัญหาทั้งกระบวนการและระบบ ประกาศว่า การเลือกตั้งไม่เสรีและยุติธรรมอย่างเต็มที่ และเอียงข้างอย่างหนักเพื่อเข้าข้างรัฐบาลทหาร และ
(2) ส่งผลให้พรรคการเมืองของ คสช. ซึ่งนำโดยประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่และแต่งตั้งประยุทธ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก ขณะที่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 พรรคอนาคตใหม่ฝ่ายค้านถูกยุบและถูกสั่งห้ามตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องจากกระบวนการทางกฎหมายที่มีข้อบกพร่องจากการตั้งข้อหาเท็จ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้อยู่ในตำแหน่ง 8 ปี ทั้งที่ยังคงอยู่ในอำนาจตั้งแต่การรัฐประหารในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557

ในขณะที่รัฐบาลไทยยังไม่มีความคืบหน้าในการสืบสวนการโจมตีอย่างรุนแรงต่อนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยบางคน การลักพาตัวและสูญหาย และการสังหารผู้เห็นต่างทางการเมืองของไทยทั่วเอเชีย โดยที่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 รัฐบาลไทยได้ชะลอการออกกฎหมายต่อต้านการทรมานที่สำคัญอีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง แต่จะช่วยให้ทั้งความชัดเจนเกี่ยวกับความผิดทางอาญาของการทรมานและการป้องกันการทรมาน 

ขณะที่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ผู้ประท้วงหลายหมื่นคนทั่วประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาและเยาวชนเป็นหลัก ได้เรียกร้องอย่างสันติให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ และเคารพสิทธิมนุษยชน ในขณะที่รัฐบาลไทยตอบโต้การประท้วงอย่างสันติเหล่านี้ด้วยมาตรการปราบปราม ซึ่งรวมถึงกลยุทธ์การข่มขู่ การใช้กำลังมากเกินไประหว่างการประท้วง การสอดแนม การคุกคาม การจับกุม การใช้ความรุนแรง และการจำคุก โดยที่ระหว่างปี พ.ศ. 2563 ถึง พ.ศ. 2566 หน่วยงานของรัฐบาลไทยได้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อกลุ่มนักเคลื่อนไหวกว่า 1,800 คนเข้าร่วมเดินขบวนและแสดงความคิดเห็น โดยมีเด็กกว่า 280 คน โดย 41 คนเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี 

ในขณะที่รายงานที่เผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 โดยองค์กรพัฒนาเอกชนพบว่า ทางการไทยใช้สปายแวร์ Pegasus กับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างน้อย 30 คนและบุคคลที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านนักวิชาการและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างเปิดเผย และในขณะที่รัฐบาลไทยยังคงพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งหากมีการประกาศใช้ (1) จะเป็นกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดกฎหมายหนึ่งต่อองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในเอเชีย และ (2) จะมีผลที่ไม่อาจย้อนกลับได้ต่อภาคประชาสังคมในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยทั่วไป 

ดังนั้น บัดนี้ จึงมีมติว่าวุฒิสภา (1) ยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง 2 สหรัฐอเมริกาและไทย ความสัมพันธ์บนพื้นฐานของค่านิยมประชาธิปไตยและผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ร่วมกัน 

(2) เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับประชาชนชาวไทย ในการแสวงหารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปการเมือง สันติภาพในระยะยาว และความเคารพ ต่อจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

(3) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสนับสนุน 10 ประการและสนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน กฎ ของกฎหมายและสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ 1 เสรีภาพในการแสดงออกและความเป็นส่วนตัว

(4) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสร้าง 3 เงื่อนไขสำหรับการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและยุติธรรมในวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 รวมถึง
(A) เปิดโอกาสให้พรรคฝ่ายค้านและผู้นำทางการเมือง สามารถดำเนินกิจกรรมได้โดยปราศจาก การแทรกแซงที่ไม่เหมาะสมจากรัฐ เจ้าหน้าที่
(B) ทำให้สื่อ นักข่าว และสมาชิกภาคประชาสังคมสามารถใช้เสรีภาพในการกดขี่ ชุมนุมโดยสงบ และการสมาคมได้ โดยปราศจากผลกระทบและความกลัวต่อการดำเนินคดี
(C) ทำให้มั่นใจว่าการนับคะแนนเสียงเป็นยุติธรรมและโปร่งใส

(5) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการอย่างเข้มงวด ปล่อยตัวและยกเลิกข้อกล่าวหาอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและงดเว้นจากการก่อกวน ข่มขู่หรือประหัตประหารผู้ที่มีส่วนร่วมในความสงบ การประท้วงเต็มรูปแบบและกิจกรรมของพลเมืองในวงกว้างมากขึ้น โดยการดูแลสิทธิและความเป็นอยู่ของเด็กและนักเรียนโดยเฉพาะ

(6) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงผลกำไรและการปฏิรูป กฎหมายและข้อบังคับอื่น ๆ ที่บ่อนทำลายการแสดงออกอย่างเสรีและการเข้าถึงข้อมูล

(7) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยลงทุน ระงับและยุติการโจมตีด้วยสปายแวร์ที่มุ่งเป้าไปที่นักวิชาการ 4 คน นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และหลักของกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยต่าง ๆ

(8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกใหม่และยุติการประกาศใช้กฎหมายและกฤษฎีกาที่ใช้ในการเซ็นเซอร์เนื้อหาและคำพูดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง รวมถึงประเทศไทย
(A) ในต่างประเทศ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่คลุมเครือ
(B) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(C) กฎหมายยุยงปลุกปั่นในวงกว้าง

(9) สื่อสารไปยังรัฐบาลไทยว่ามีการละเมิดสิทธิอย่างต่อเนื่องต่อ ประชาชนชาวไทยที่จะอยู่อย่างสันติและเป็นประชาธิปไตย กำหนดอนาคตของพวกเขา ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้ที่สหรัฐฯ จะยอมรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์

(10) กล่าวอย่างชัดเจนว่า การแทรกแซงทางทหารหรือราชวงศ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะ
(A) บั่นทอนความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยเป็นอย่างมากและ
(B) เป็นอันตรายต่อความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงต่อประเทศไทยและการดำเนินการร่วมกันในระดับภูมิภาคและเศรษฐกิจ

ที่มา : https://www.markey.senate.gov/imo/media/doc/thailand_resolution_-_032023pdf.pdf

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

กี่ครั้งกี่หนแล้วที่ม็อบสามนิ้วแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ข่มขู่คุกคามเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างสิทธิเสรีภาพอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย กระทำการต่างๆ ด้วยความรุนแรง ซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกระทำลักษณะนี้ในสหรัฐฯ จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างเด็ดขาด ด้วยมาตรการที่รุนแรงที่สุด

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

อันที่จริงแล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนปานปลายเป็นความรุนแรงนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำของผู้ชุมนุมซึ่งอ้างสิทธิเสรีภาพ (อย่างไม่มีขอบเขต) ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ต่างไปจากเหตุจลาจลจนกลายเป็นความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นภายในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ทำให้มีผู้เสียชีวิตขณะเกิดเหตุ 5 ราย โดย 1 รายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ยิง 1 รายจากการใช้ยาเกินขนาด 3 รายจากสาเหตุธรรมชาติ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภา 4 รายเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายภายในเจ็ดเดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว (ซึ่งเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 นี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ได้ใช้คำว่า ‘ประท้วง(Protest)’ แต่กลับใช้คำว่าเป็นเหตุการณ์ ‘โจมตี(Attack)’) ซึ่ง ส.ส.และ สว.ของรัฐสภาไทยก็ไม่เคยออกมติแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เพราะมีมารยาทด้วยเห็นว่าเป็นกิจการภายในของสหรัฐฯ เอง เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่า ร่างมติทั้งสองร่างดังกล่าว เป็นการกล่าวหาและมีลักษณะเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ได้อย่างไร!!!

เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ใช้อาวุธปืนสงครามจี้คุมตัวผู้ก่อเหตุประท้วงในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ

‘วีรชน...คนธรรมดา’ ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องการช่วยชีวิตเด็กชายชาวอุยกูร์ สะท้อนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ภายใต้รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน

สารพัดข่าวและเรื่องราวที่สื่อตะวันตกสาดสีใส่ไข่รัฐบาลจีน กรณีการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อย ‘ชาวอุยกูร์’ อย่างโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม ย้อนแย้งอย่างสิ้นเชิงกับเหตุการณ์จากภาพยนตร์เรื่องนี้ 

วีรชน...คนธรรมดา! (Ordinary Hero) ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 30 เมษายน ค.ศ. 2021 ด้วยมีผู้คนมากมายที่ต้องทำงานแข่งขันกับเวลาเพื่อช่วยชีวิตเด็กชายชาวอุยกูร์วัย 7 ขวบจากเมือง Hotan เขตปกครองตนเอง Xinjian ซึ่งประสบอุบัติเหตุถูกรถไถตัดแขนขวาขาด

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงของทีมแพทย์ ลูกเรือ ผู้โดยสาร ตำรวจ และผู้คนอื่น ๆ อีกมากมายจากทุกสาขาอาชีพในเขตปกครองตนเอง Xinjian ซึ่งต่างได้ร่วมมือร่วมใจกันเพื่อที่จะพาเด็กชายชาวอุยกูร์วัย 7 ขวบจากเมือง Hotan เดินทาง 1,400 กิโลเมตรมายังโรงพยาบาลที่ทันสมัยและมีความพร้อมในนคร Urumqi เพื่อที่จะรับการผ่าตัดต่อแขนที่ขาดให้ทันภายในเวลา 8 ชั่วโมงนับจากเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ

ทั้งนี้ Hotan เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขตปกครองตนเอง Xinjian ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน 

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2021 ณ หมู่บ้าน Kumairik เกิดอุบัติเหตุกับ Merdan เด็กชายชาวอุยกูร์วัย 7 ขวบถูกเครื่องมือเก็บเกี่ยวของรถไถตัดแขนขวาตรงไหล่จนขาด หลังจากเกิดเหตุทันทีที่ตั้งสติได้ Abdul ผู้เป็นพี่ชายรีบขับรถพา Merdan น้องชายกับแม่เข้าเมืองเพื่อไปโรงพยาบาลทันที

เมื่อมาถึงตัวเมืองรถของ Abdul ก็เจอเข้ากับตลาดนัดซึ่งมีฝูงชนมากมาย เขาบีบแตรเพื่อขอทางจนพ่อค้าผู้หนึ่งซึ่งกำลังเข็นรถเข็นขายของอยู่ไม่พอใจ จึงเดินมาที่รถแต่เมื่อมองเข้าไปในรถก็เห็น Merdan ซึ่งเลือดโชกอยู่บนตักแม่ เขารีบหันกลับไปยังรถเข็นหยิบโทรโข่งขึ้นมาประกาศขอทางให้รถของ Abdul จนสามารถแล่นผ่านไปได้ 

เมื่อรถของ Abdul สามารถผ่านย่านชุมชนที่แสนจะแออัดและจอแจไปได้แล้ว Abdul ก็รีบขับต่อไปยังโรงพยาบาล โดยพยายามฝ่าไฟแดงจนถูก Ainur ตำรวจจราจรหญิงสกัดไว้ เมื่อเธอเข้ามาถึงรถแล้วเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอจึงรีบวิทยุแจ้งศูนย์ควบคุมจราจรทันที ศูนย์ฯ ได้ประสานให้รถพยาบาลออกมารับ Merdan ทันที จากนั้นตำรวจจราจรหญิง Ainur รีบขี่มอเตอร์ไซต์เปิดไฟฉุกเฉินพารถของ Abdul ไปจนพบกับรถพยาบาล ด้วยความช่วยเหลือของศูนย์ฯ และได้ย้าย Merdan ไปยังรถพยาบาลแล้วเดินทางต่อจนถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัด Hotan

ภาพจากเหตุการณ์จริง

ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด Hotan นายแพทย์ Akbar ศัลยแพทย์กระดูกและข้ออาวุโสได้ทำการตรวจและทำความสะอาดบาดแผล หลังจากตรวจดูแขนแล้ว เขาแนะนำว่าเนื่องจากอาการบาดเจ็บของ Merdan รุนแรงมาก จึงต้องผ่าตัดนำแขนที่ขาดต่อกลับเข้าไปใหม่เพื่อให้เส้นประสาทและชิ้นส่วนกระดูกเรียงตัวกันอย่างเหมาะสม มิฉะนั้น Merdan จะพิการไปตลอดชีวิต 

นายแพทย์ Akbar ได้แจ้งพี่ชายกับแม่ของ Merdan ว่า โรงพยาบาลประจำจังหวัด Hotan ไม่มีศักยภาพพอที่จะทำการผ่าตัดเพื่อต่อแขนของ Merdan ได้ วิธีเดียวที่จะรักษาแขนของ Merdan คือ การพาเขาไปรับการผ่าตัดต่อแขนยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยแพทย์แห่ง Xinjian ที่นคร Urumqi ซึ่งอยู่ห่างออกไป 1,400 กิโลเมตร ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พร้อมกว่ามาก เนื่องจากอุบัติเหตุเกิดขึ้นประมาณ 19.30 น. ดังนั้นต้องต่อผ่าตัดต่อหลอดเลือดใหม่ให้ทันภายในเวลา 03.30 น. 

ภาพจากเหตุการณ์จริง

เมื่องได้ยินอย่างนั้น พี่ชายและแม่ของ Merdan ก็พยายามทำทุกวิธีทางเพื่อให้มาถึงสนามบินให้ทันเที่ยวบิน CZ6820 ของสายการบิน China Southern Airlines เที่ยวบินสุดท้ายจากจังหวัด Hotan ไปยังนคร Urumqi ในคืนวันนั้น

เมื่อ Merdan และ Abdul พี่ชายไปถึงสนามบิน เมื่อกัปตัน Xie Huiyang และลูกเรือ ซึ่งมี Zhou Yan หัวหน้าพนักงานต้อนรับของเที่ยวบิน CZ6820 รวมทั้งสำนักงานประจำสนามบิน Hotan ของ China Southern Airlines และหอบังคับการบิน Hotan เมื่อทราบเรื่องของ Merdan ต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ โดยรายงานสถานการณ์นี้ต่อหน่วยงานระดับสูงอย่างรวดเร็ว หลังจากการประสานงานอย่างเร่งด่วนจากฝ่ายต่าง ๆ และความยินยอมของผู้โดยสาร 101 คน China Southern Airlines จึงอนุญาตให้กัปตัน นำเครื่องกลับหลุมจอดและเปิดประตูรับ Merdan ทั้ง ๆ ที่เครื่องบินอยู่บนรันเวย์แล้ว เพื่อให้ทันช่วงเวลาทอง 8 ชั่วโมงในการรักษา 

ทางสนามบิน Hotan ได้เปิดทางเดินสีเขียว และใช้เปลขนาดเล็กเพื่อส่ง Merdan ไปยังเครื่องบิน เนื่องจากมีที่นั่งเต็มแต่ก็มีครอบครัวที่มีสมาชิกสามคนยอมสละที่นั่งให้ ในที่สุดเที่ยวบิน CZ6820 ก็ออกเดินทางจากสนามบิน Hotan ในเวลา 00:09 น. 

การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรไทย ในสหรัฐอเมริกา มีผู้ใช้สิทธิเกือบ 4 พันคน ทั้งแบบเข้าคูหาและทางไปรษณีย์

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน

ในการเลือกตั้งทั่วไปของไทย พ.ศ. 2566 การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรไทยในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ถือว่าเป็นหน่วยเลือกตั้งที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่ง ด้วยเป็นประเทศที่มีประชาชนชาวไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

ขั้นตอนการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ปี พ.ศ. 2566 ในสหรัฐอเมริกา มีดังนี้

1) ผู้ที่ลงทะเบียนเลือกตั้งแบบคูหา (เฉพาะผู้ที่เลือกใช้สิทธิกับสถานเอกอัครราชทูตฯ เท่านั้น) ท่านที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งแบบคูหา สามารถมาลงคะแนนเลือกตั้งที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน (ที่อยู่ 1024 Wisconsin Avenue N.W. Washington D.C. 20007) ระหว่างวันที่ 28 - 30 เมษายน 2566 เวลา 9.00 - 17.00 น. 

(ในภาพ นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน กำลังใช้สิทธิเลือกตั้ง ณ หน่วยเลือกตั้งประจำที่เลือกตั้ง สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top