Tuesday, 14 May 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ‘จักรวรรดิอิตาลี’ ขยายอำนาจเข้ายึดครอง ‘ลิเบีย’ ตำนานนักต่อสู้ ฉายา ‘สิงโตแห่งทะเลทราย’ จึงเกิด

เมื่อไม่นานมานี้ มีเพื่อนในเฟซบุ๊ก ‘ดร.โญ มีเรื่องเล่า’ ของผม ได้ส่งข้อความมาหาและขอให้ผมเล่าเรื่องราวของจักรวรรดิอิตาลี ยินดีครับ จัดให้เลย กลังจากค้นคว้าหาข้อมูล เรียบเรียง แล้วจึงส่งบทความที่น่าสนใจนี้มาเผยแพร่ใน THE STATES TIMES และสำหรับใครที่สนใจเรื่องอะไร อยากรู้เรื่องไหน สามารถเขียนบอกที่คอมเมนต์ได้เลยครับ

พฤติกรรมหรือนิสัยของฝรั่งโซนยุโรปอย่างหนึ่งที่มีมานานแล้วคือ ‘การล่าเมืองขึ้น’ หรือที่เรียกว่า ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) เป็นการใช้พลังอำนาจ โดยเฉพาะกำลังทางทหารที่เหนือกว่าไม่ว่าด้วยจำนวนกำลังพลหรือเทคโนโลยีด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ในการเข้าบังคับยึดเอารัฐหรือดินแดนอื่นให้มาอยู่ภายใต้อาณัติ เพื่อกอบโกย (หรือปล้น) ทรัพยากรของรัฐหรือดินแดนนั้นๆ ทั้งทางตรง (ยึดแล้วขนกลับประเทศเลย) และทางอ้อม (ด้วยวิธีการเรียกเก็บภาษีอากรต่าง ๆ)

สาธารณรัฐอิตาลี เดิมคือ ราชอาณาจักรอิตาลี เป็นรัฐอธิปไตยบนคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งได้มีการสถาปนาขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๐๔ (ค.ศ. 1861) จากการรวมตัวกันของรัฐอิตาลีหลายๆ รัฐ ภายใต้การนำของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย 

ต่อมาอิตาลีได้ประกาศสงครามต่อออสเตรียในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) โดยมีปรัสเซีย (เยอรมนีในอดีต) เป็นพันธมิตรร่วม แม้ว่าอิตาลีจะทำการรบล้มเหลว แต่ชัยชนะของปรัสเซียก็ได้ทำให้อิตาลีได้สิทธิครอบครองเวนิส ต่อมาอิตาลีได้ยกทัพเข้ายึดกรุงโรมในปี พ.ศ. ๒๔๑๓ (ค.ศ. 1870) เป็นการปิดฉากอำนาจการปกครองทางโลกของสมเด็จพระสันตะปาปาที่ต่อเนื่องยาวนานมานับพันปี 

อิตาลีเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑

ต่อมาอิตาลีได้ตอบรับข้อเสนอของ ออทโต้ ฟอน บิสมาร์ค ผู้นำปรัสเซียในการเข้าร่วมกลุ่มไตรพันธมิตรกับเยอรมนีและออสเตรียในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ (ค.ศ. 1892) หลังจากที่อิตาลีเกิดความไม่พอใจในการขยายอาณานิคมของฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอิตาลีกับเยอรมนีจะเป็นไปด้วยดียิ่ง แต่ความเป็นพันธมิตรกับออสเตรียกลับอยู่ในลักษณะเป็นทางการเท่านั้น 

ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ (ค.ศ. 1915) อิตาลีจึงได้ตอบรับคำเชิญของสหราชอาณาจักรในการเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสงครามครั้งนั้นได้ทำให้อิตาลีก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจ โดยมีที่นั่งถาวรอยู่ในสภาสันนิบาตชาติ และราชอาณาจักรอิตาลีดำรงคงอยู่จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๙ (ค.ศ. 1946) เมื่อประชาชนชาวอิตาลีได้มีการลงประชามติให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบราชอาณาจักรไปสู่ระบบสาธารณรัฐ

จักรวรรดิอาณานิคมของอิตาลีถูกสร้างขึ้นหลังจากอิตาลีเข้าไปมีส่วนร่วมกับมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ ในการแสวงหาอาณานิคมในต่างประเทศในยุคของ ‘การแย่งชิง/การล่าอาณานิคมในแอฟริกา’ ซึ่งจักรวรรดิอาณานิคมของอิตาลีถูกสร้างขึ้นช้ากว่าหรือยังคงเล็กเกินไปที่จะนำไปเปรียบเทียบกับการครอบครองโพ้นทะเลขนาดใหญ่ของมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ เช่น โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งต่างก็ได้สร้างจักรวรรดิขนาดใหญ่แล้วมาเป็นเวลาหลายร้อยปี และหนึ่งในพื้นที่สุดท้ายที่เหลืออยู่ที่เปิดให้ล่ารัฐหรือดินแดนมาเป็นอาณานิคมก็คือ ดินแดนในทวีปแอฟริกา 

ดังนั้นจักรวรรดิอิตาลีจึงกำเนิดก่อเกิดขึ้นเฉพาะในแอฟริกาตะวันออกและในลิเบีย ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการที่ประเทศเข้าสู่ลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism) ภายใต้การนำของ ‘เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini)’

ด้วยรักและศรัทธา การจาริก ‘Arba'een’ พิธีกรรมทางศาสนาประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากพลังศรัทธาของชาวชีอะห์มุสลิมที่มีต่อ ‘อิหม่ามฮุเซน’

เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา มีพิธีการจาริก Arba'een หรือ Arba'een Walk เป็นการแสวงบุญหรืองานชุมนุมทางศาสนาสาธารณะประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับมีคนรู้จักการแสวงบุญนี้น้อยเป็นอย่างมาก ทุกๆ ปีจะมีผู้คนมากกว่า ๒๐ ล้านคน เดินเท้าอย่างสงบระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ท่ามกลางอากาศร้อนด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า ๔๐ องศาเซลเซียส เพื่อทำการจาริกแสวงบุญ Arba'een ไปยังสถานที่ฝังเรือนร่างของท่านอิหม่ามฮุเซน ผู้เป็นหลานรักของท่านศาสดามูฮำหมัด (ศ็อลฯ) ณ ดินแดน Karbala ประเทศอิรัก

การจาริก Arba'een เริ่มขึ้นเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาไว้ทุกข์ ๔๐ วันหลังวันอาชูรออ์ (ASURA) อันเป็นวันไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่ออิหม่ามฮุเซน บิน อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ เนื่องจากถูกสังหารในดินแดน Karbala เมื่อวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม ฮ.ศ. (ฮิจเราะห์ศักราช) ๖๑ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๑๒๒๓ โดยอิหม่ามฮุเซนและครอบครัวพร้อมกับบรรดาสาวกจำนวน ๗๒ คนได้ร่วมเดินทางไปยังเมือง Kufa ประเทศอิรัก (ปัจจุบันรวมเป็นส่วนหนึ่งของเมือง Najaf) เนื่องจากประชาชนที่ Kufa ได้ร้องเรียกให้อิหม่ามฮุเซนมาโค่นล้มบัลลังก์ของราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ์ ผู้ปกครองในยุคนั้น 

โดยระหว่างการเดินทาง กองคาราวานของอิหม่ามฮุเซน ได้ไปหยุดอยู่ที่เขตที่เรียกว่า Karbala คาราวานของเขาเดินทางไปต่อไม่ได้ เนื่องจากถูกทหารของฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์จำนวนหลายหมื่นคนได้ทำการปิดกั้น และที่สุดก็ได้สังหารอิหม่ามฮุเซนและบรรดาสาวกจนหมด 

ชาวชีอะห์มุสลิมจะไว้อาลัยอิหม่ามฮุเซนในวันอาชูรออ์ โดยการจัดพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเล่าเรื่องอิหม่ามฮุเซนจากประวัติศาสตร์ การขอดุอาอ์ การเลี้ยงอาหารและน้ำแก่คนยากจน สถานที่จัดคือที่มัสยิดฮุซัยนียะห์

จำนวนผู้เข้าร่วมแสวงบุญประจำปีมากกว่า ๒๕ ล้านคน บนเส้นทางแสวงบุญมีอาหาร ที่พัก และบริการอื่นๆ ให้บริการฟรีโดยอาสาสมัคร ผู้แสวงบุญบางคนเดินทางจากที่ต่างๆ และจากต่างประเทศ เช่น อิหร่าน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด พิธีกรรมนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็น “การแสดงความเชื่อและความเป็นปึกแผ่นอันทรงพลังอย่างท่วมท้น” 

การจาริก Arba'een ตามแบบปัจจุบันเริ่มขึ้นในปี ฮ.ศ. ๑๓๑๙ ( ค.ศ.๒๔๔๔) โดยนักวิชาการศาสนาหลายคน และ Marja ยังคงรักษาแนวทางเดียวกันในการจาริก Arba'een จนถึงสมัยของประธานาธิบดีซัดดัม การจาริกแสวงบุญจึงถูกห้ามตลอดระยะเวลาภายใต้การปกครองของเขา ด้วยตัวซัดดัมเป็นชาวสุหนี่มุสลิม และฟื้นคืนมาหลังจากการโค่นล้มซัดดัมในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และจำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีผู้แสวงบุญราว ๒๕ ล้านคนในปี พ.ศ. ๒๕๕๙

หนึ่งเดียวในโลก!! ชวนรู้จัก ‘รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา’ รัฐอธิปไตยอย่างเป็นทางการที่ ‘ไม่มีดินแดน’ และเป็นมิตรกับทุกประเทศ

รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา (The Sovereign Military Order of Malta : SMOM)

เมื่อไม่นานมานี้ มีเพื่อนใน FB ‘ดร.โญ มีเรื่องเล่า’ ของผม ขอให้เล่าเรื่องราวของ รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลต้า (The Sovereign Military Order of Malta) ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงเขียนบทความนี้ลงกับทาง THE STATES TIMES เลยแล้วกันครับ

เราอาจเข้าใจว่ารัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา (Order of Malta) และสาธารณรัฐมอลตา (The Republic of Malta) เป็นประเทศเดียวกัน แต่เปล่าเลยครับ ประเทศมอลตา (Malta) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐมอลตา (ภาษามอลตา : Repubblika ta’ Malta) เป็นประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กสองเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองหลวงชื่อ กรุงวัลเลตตา (Valletta) และมีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป ถัดลงมาจากตอนใต้ของประเทศอิตาลี นับเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งหนึ่งในยุโรป ในอดีตนั้นได้มีผู้มาครอบครองและถูกแย่งชิงนับครั้งไม่ถ้วน และยังเป็นอดีตอาณานิคมของสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) โดยได้รับเอกราชเมื่อ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๗ และสถาปนาเป็นสาธารณรัฐมอลตาเมื่อ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ 

ทั้งนี้สาธารณรัฐมอลตาเคยตกอยู่ภายใต้รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๓๔๑ ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส และกลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษในเวลาต่อมาจนกระทั่งได้รับเอกราช

ส่วนรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ชื่อเต็มอย่างเป็นทางการคือ The Sovereign Military Hospitaller Order of St. John of Jerusalem of Rhodes and of Malta เป็นทั้งนิกายโบราณที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนอัศวินและเกี่ยวข้องกับนิกายย่อยในคริสตจักรโรมันคาทอลิก เป็นรัฐอิสระที่ปกครองตนเองโดยใช้อำนาจอธิปไตยโดยอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ 

Blessed Fra’ Gerard ผู้ก่อตั้งและศาสนาจารย์คนแรก

ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา เป็นหนึ่งในสี่นิกายของ Roman Catholic ที่เก่าแก่ที่สุด (อีกสามนิกายได้แก่ Basilians, Angustinians และ Benedictines) มีลักษณะคล้ายกับองค์กรศาสนา เช่นเดียวกับนิกาย (Order) อื่น ๆ อีก ๔ สาขา คือ Order of Teutonic, Order of Temple, Order of St. Lazare และ Order of St. Thomas A. Bucket of Acre Order of Malta ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1099 โดย Blessed Fra’ Gerard ซึ่งก่อตั้งสถานพยาบาลขึ้นที่นครเยรูซาเล็ม เพื่อรักษาพยาบาลกลุ่มผู้แสวงบุญ (Pilgrims) ที่เดินทางมานครเยรูซาเล็ม และขยายสาขาออกไปตามเส้นทางการแสวงบุญ ภายใต้การนำของ Blessed Fra’ Gerard ผู้ก่อตั้งและศาสนาจารย์คนแรก ต่อมาชุมชนทางศาสนากลายเป็นชุมชนของกลุ่มฆราวาส 

สมเด็จพระสันตะปาปา Pascal 2 ทรงยอมรับคำสั่งของนักบุญยอห์น โดยจัดให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระศาสนจักรและให้สิทธิ์ในการเลือกผู้นำกลุ่มอย่างเสรี โดยไม่มีการแทรกแซงจากหน่วยงานฆราวาสหรือหน่วยงานทางศาสนาอื่น ๆ

ศาสนอัศวินแห่งรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา

ต่อมา เมื่อเกิดสงครามครูเสด สมาชิกนิกายนี้ต้องติดอาวุธป้องกันตนเองและศาสนิกชนที่ดูแล และต้องทำหน้าที่ช่วยสู้รบไปในตัวด้วย จึงเกิดตำแหน่งอัศวิน (Knight) ขึ้นในสมัยของผู้นำที่ชื่อ Fra Raymond du Puy ในปี ค.ศ. 1126 

Fra Raymond du Puy ผู้นำออร์เดอร์ ออฟ มอลตา คนที่สอง

ผู้สืบทอดของ Blessed Fra' Gerard ในฐานะ Master คือ Blessed Fra' Raymond du Puy ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1145 ถึง ค.ศ. 1153 ได้กำหนดกฎเบื้องแรกสำหรับสมาชิกของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ว่า การประชุมทั้งหมดนั้นเป็นไปตามหลักศาสนา ผูกพันตามคำปฏิญาณสามประการของโบสถ์แห่งความยากจนได้แก่ ความบริสุทธิ์ทางเพศ และการเชื่อฟัง และการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและคนป่วย

ไม้กางเขนแปดแฉกสัญลักษณ์ของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา

นอกจากนั้น ธรรมนูญแห่งนครเยรูซาเลมกำหนดให้สมาชิกของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ทำหน้าที่ในการป้องกันผู้ป่วยและผู้แสวงบุญ และต้องปกป้องศูนย์การแพทย์ตลอดจนกิจการหลักอื่น ๆ ต่อมาการป้องกันความศรัทธาถูกเพิ่มเข้าไปในภารกิจของสมาชิกของออร์เดอร์ ออฟ มอลตา และมีการรับเอาไม้กางเขนแปดแฉกมาเป็นสัญลักษณ์จนปัจจุบัน

ขบวนผู้นำและเหล่าศาสนอัศวินแห่งรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา

รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ปัจจุบันตั้งอยู่ ณ พระราชวัง Magistral บนเนินเขา Aventine ในกรุงโรม ซึ่งล้อมรอบด้วยเขตอาณาของสาธารณรัฐอิตาลี มีลักษณะเป็นองค์กรทางศาสนา (สถานะคล้ายนครรัฐวาติกัน) และถือเป็นองค์กรที่เก่าแก่ที่สุดในวัฒนธรรมโลกตะวันตกและโลกศาสนาคริสต์ รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ต่างจากสันตะสำนักซึ่งมีอำนาจปกครองเหนือนครรัฐวาติกัน  และด้วยเหตุนี้จึงมีการแยกอาณาเขตที่ชัดเจนของพื้นที่อธิปไตยและของอิตาลี 

แต่รัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ไม่มีอาณาเขตใด ๆ นับตั้งแต่การสูญเสียเกาะมอลตาในปี พ.ศ. ๒๓๔๑ ให้กับฝรั่งเศส นอกจากอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันเท่านั้น ด้วยสภาพนอกอาณาเขตที่ระบุไว้ข้างต้น อิตาลีตระหนักดีว่า นอกจากการอยู่นอกอาณาเขตแล้ว ยังตระหนักถึงการใช้สิทธิอำนาจอธิปไตยทั้งหมดในสำนักงานใหญ่ของรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา ดังนั้นอธิปไตยของอิตาลีและอธิปไตยของรัฐอธิปไตยทหาร ออร์เดอร์ ออฟ มอลตา จึงอยู่ร่วมกันโดยไม่ทับซ้อนกันแต่อย่างใด

ไขปริศนา!! เพราะเหตุใดจึงไม่มีการจัดการกับร่างนักปีนเขา ซึ่งเสียชีวิตบนเขาเอเวอเรสต์

ข้อมูลอ้างอิงตัวเลขจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ มีผู้เสียชีวิตขณะพยายามปีนขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์มากถึง ๓๐๕ ราย ร่างของผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มากกว่า ๒๐๐ ร่าง ยังคงอยู่บนเอเวอเรสต์ บางร่างก็ไม่เคยถูกพบมาก่อน บางร่างก็ต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนกับ ‘เครื่องหมาย’ ที่น่าสะพรึงกลัวตลอดเส้นทางสู่ยอดเขา และบางร่างจะถูกพบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อสภาพอากาศบนยอดเขาเอเวอเรสต์เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ มีนักปีนเขาที่หวังจะประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์สูงถึง ๑๐,๑๘๔ ราย แต่มีแค่บางคนที่สามารถพิชิตสำเร็จได้หลายครั้ง จึงมีผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์สำเร็จเพียง ๕,๗๓๙ คน แม้ว่าจำนวนนักปีนเขาที่เสียชีวิตบนภูเขาจะมีเป็นจำนวนมาก แต่คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตเพียง 3% สำหรับยอดเขาเอเวอเรสต์ นั่นหมายความว่า นักปีนเขาประมาณหนึ่งคนในสามสิบสามคนจะจบลงด้วยความตาย

ทำไมพวกเขาถึงทิ้งร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตบนเอเวอเรสต์ไว้มากมาย? ทำไมไม่จัดการกับร่างเหล่านั้นอย่างถูกต้องตามประเพณี? บ้างก็อ้างว่า ร่างอยู่ที่นั่นเป็นเหมือนเครื่องหมายอ้างอิงแสดงเส้นทางให้นักปีนเขาคนอื่น ๆ 

แต่แน่นอน นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้น เพราะความจริงแล้วจุดอ้างอิงนั้นจะมีประโยชน์อย่างไร ในเมื่อจุดนั้น ๆ มีเพียงหิน และน้ำแข็งปกคลุม เมื่อร่างผู้เสียชีวิตถูกทิ้งไว้จึงดูไม่แปลกจากสภาพแวดล้อมอื่นๆ อีกทั้งร่างพวกนั้นอยู่ในเขตที่เรียกว่า ‘แดนมรณะ’ นั่นคือระดับความสูงที่มนุษย์จะเสียชีวิตหากปราศจากออกซิเจนในทุกวินาทีที่อยู่บนนั้น

โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถรับมือกับระดับความสูงมาก ๆ ได้นาน เพราะความสูงประมาณ ๙,๐๐๐ เมตร เท่ากับระดับความสูงการบินของเที่ยวบินโดยสารระยะสั้น แม้จะมีออกซิเจนเสริม 

ทุกสิ่งที่มนุษย์ต้องทำกลายเป็นความพยายามอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะต้องทำเรื่องที่คิดว่าง่ายที่สุด (ในสถานการณ์ปกติ) ระหว่างการปีนเพื่อไต่ความสูงในระดับสูงมาก ๆ ขนาดนั้น เช่น การดื่ม การกิน การย่อยอาหาร การนอนหลับ และรักษาบาดแผล ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการใช้ออกซิเจนของบรรดานักปีนเขาเหล่านั้นทั้งสิ้น 

แต่หากนักปีนเขาเข้าสู่เขตมรณะแล้ว ก็จะมีคำเตือนที่ว่า ควรจะใช้เวลาอยู่ในบริเวณนั้นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีการจัดการกับร่างของบรรดานักปีนเขาที่เสียชีวิตบนเอเวอเรสต์

แต่หากร่างผู้เสียชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้ และครอบครัวของนักปีนเขาที่เสียชีวิตเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ ทีมงานก็จะพยายามเก็บกู้ร่างของพวกเขาออกมา ซึ่งต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงมาก ๆ ของนักปีนเขาที่ขึ้นไปเก็บกู้ จึงมีค่าใช้จ่ายมหาศาลทั้งแรงงานของนักปีนเขาชาวเชอร์ปาในท้องถิ่นและค่าชั่วโมงบินของเฮลิคอปเตอร์

หรือไม่เช่นนั้นร่างของผู้เสียชีวิตก็อาจจะถูกผลักลงจากหน้าผาหรือรอยแยกเพื่อให้พ้นสายตา ซึ่งถือว่าเป็นการฝังร่างตามแบบนักปีนเขาที่สง่างาม สมความภาคภูมิของเหล่าบรรดานักปีนเขา 

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วร่างนักปีนเขาที่เสียชีวิตจะถูกทิ้งไว้ที่จุดเดิมตรงที่พวกเขาเสียชีวิต เพราะไม่มีใครที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อกู้ร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตเหล่านั้น และนั่นถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจ แต่ใครที่เลือกเป็นนักปีนเขาแล้ว และยินดีที่จะปีนเพื่อขึ้นไปบนนั้นย่อมรับรู้เรื่องนี้ดี

มิตรภาพสองนักแสดง!! ‘Al Pacino - Robert De Niro’ เพื่อนซี้กว่า 50 ปี มิตรภาพลูกผู้ชายที่ยืนยงด้วยการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

Robert De Niro และ Al Pacino ต่างก็เป็นนักแสดงอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนที่เติบโตในมหานครนิวยอร์ก 

โดย De Niro เกิดเมื่อ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ และเติบโตในย่าน Greenwich Village ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขต Manhattan ของมหานครนิวยอร์ก 

ส่วน Pacino เกิดเมื่อ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ และเติบโตในเขต Bronx ของมหานครนิวยอร์กเช่นกัน

Robert De Niro ในวัยเด็กกับ Robert De Niro Sr. ผู้เป็นพ่อ

นอกจากเติบโตในมหานครนิวยอร์กเหมือนกันแล้ว ความเหมือนอีกอย่างของทั้งสองคน ก็คือ พ่อ-แม่แยกทางกันตั้งแต่พวกเขาอายุเพียงสองขวบทั้งคู่ 

โดย Virginia Admiral และ Robert De Niro Sr. (แม่และพ่อของ De Niro) ซึ่งทำอาชีพเป็นศิลปินวาดภาพทั้งคู่แยกทางกัน เนื่องจาก Robert De Niro Sr. ได้เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ และ Virginia Admiral ก็เป็นผู้เลี้ยงดูเขานับแต่นั้นมา โดยมี De Niro Sr. ผู้เป็นพ่อดูแลอยู่ห่าง ๆ 

ส่วน Pacino นั้นแม่ของเขา Rose Gerardi หย่ากับ Salvatore Pacino พ่อของเขา โดยแม่เป็นผู้ดูแลเขาตั้งแต่นั้นมา ส่วนผู้เป็นพ่ออพยพโยกย้ายไปอยู่เมือง Covina ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย

HB Studio (Herbert Berghof Studio) โรงเรียนการแสดงที่ทั้งคู่เคยเข้าเรียน

ต่อมาทั้งคู่ก็เข้าเรียนในโรงเรียนการแสดงเหมือนกัน ซ้ำยังเป็นโรงเรียนเดียวกัน  โดย Pacino เข้าเรียนใน HB Studio (Herbert Berghof Studio) ส่วน De Niro ก็เข้าเรียนใน HB Studio และ Lee Strasberg's Actors Studio แต่เข้าเรียนที่ HB Studio ต่างเวลากัน และทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมนักแสดงที่มีความสามารถเหมือนกัน เช่น Marlon Brando และ James Dean 

นอกจาก ทั้งคู่ยังเริ่มอาชีพการแสดงด้วยบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เกี่ยวกับ ‘อันธพาล/นักเลง’ โดยหนึ่งในบทบาทแรกๆ ของ Pacino คือบทบาทของ Michael Corleone ใน The Godfather (ค.ศ. 1972) 

ในขณะที่ De Niro แสดงในบทของ John ‘Johnny Boy’ Civello ใน Mean Streets (ค.ศ. 1973)

ทั้งสองพบกันในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ในมหานครนิวยอร์กบ้านเกิดของทั้งคู่ โดยต่างก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพการแสดง แล้วพวกเขาก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา 

ความมหัศจรรย์ระหว่างนักแสดงสองคนบนหน้าจอนั้นเข้มข้นมาก และบทบาทของพวกเขาก็น่าทึ่งมากเช่นกัน จนดูเหมือนว่าเราจะได้เห็นพวกเขาแสดงร่วมกันในภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้ว The Irishman (ค.ศ. 2019) เป็นเพียงภาพยนตร์เรื่องที่ ๔ ที่นำแสดงโดย Pacino และ De Niro ส่วนอีก ๓ เรื่องคือ Heat (ค.ศ. 1995), Righteous Kill (ค.ศ. 2008) และ The Godfather Part II (ค.ศ. 1974) ซึ่งเรื่องนี้พวกเขาไม่ได้เข้าฉากที่แสดงร่วมกันด้วยซ้ำ

Godfather Part II เป็นภาพยนตร์ที่แสดงในเรื่องเดียวกันเป็นเรื่องแรก แต่ไม่เคยได้ร่วมฉากกันเลย

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ทั้งสองได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันเป็นเรื่องแรก แต่ไม่เคยได้ร่วมฉากกันเลยใน The Godfather Part II หรือแม้กระทั่งเกือบตลอดทั้งเรื่องของ HEAT พ.ศ. ๒๕๓๘ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวในเฟรมเดียวกันของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยแสดงฉากนั่งร่วมกันบนโต๊ะอาหาร 

ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวในเฟรมเดียวกันของภาพยนตร์เรื่อง HEAT โดยแสดงฉากนั่งร่วมกันบนโต๊ะอาหาร

Pacino อายุมากว่า De Niro สามปี และมักแสดงท่าทีในการปกป้อง De Niro อย่างเห็นได้ชัด เพราะปกติแล้ว De Niro เป็นคนที่พูดน้อยเพียงไม่กี่คำ และเป็นคนที่พูดต่อหน้านักข่าวน้อยมาก ๆ อีกด้วย

ครั้งหนึ่งในช่วงการให้สัมภาษณ์ร่วมกันของ Robert De Niro และ Al Pacino ตัว De Niro นั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้โซฟา และแทบไม่จะพูดอะไรเลย เว้นแต่จะหัวเราะ ขณะที่ Pacino ยืนคำรามหรือออกท่าทางแสดงเป็นตัวละคร และอธิบายฉากต่าง ๆ ที่มาจากชีวิตจริงของพวกเขา 

ทั้งรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของ Pacino ก็ร่วงโรย ส่วน De Niro ก็รับบทบาทเป็นพ่อและปู่มากขึ้น เนื่องจากกาลเวลาและสังขารได้เปลี่ยนไป (ด้วยอายุที่มากขึ้น จึงต้องรับบทบาทการแสดงที่เหมาะกับอายุ)

ท่ามกลางสื่อมวลชน พวกเขามักจะแสดงออกต่อกันอย่างอ่อนโยน และบ่อยครั้ง Pacino จะคอยสกัดบางคำถามที่ถาม De Niro แล้วเปลี่ยนมาตอบคำถามด้วยตนเองแทน ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์นี้ ชายทั้งสองยืนขึ้นและโอบกอดกันอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานาน และ Pacino ก็ได้พูดกับ De Niro ว่า “ฉันรักนาย”

ปริศนาเครื่องบินกองทัพสหรัฐฯ !! ‘กลุ่ม Deeper Dorset’ สืบค้นความจริงจากเศษซากใต้ทะเล ของเครื่องบินลำเลียง ซึ่งถูกขโมยเมื่อ 53 ปีก่อน!!

แม้กองทัพของสหรัฐฯ จะดูเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่รู้หรือไม่ว่า กองทัพสหรัฐฯ เคยถูกขโมยอาวุธยุทโธปกรณ์มาแล้วมากมายหลายรายการ ซึ่งการขโมยที่เป็นข่าวดังก็เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เป็นการขโมยรถถังแบบ M60A3 Patton โดย Shawn Nelson จากคลังของ California Army National Guard ออกมาวิ่งบนถนนในเมือง San Diego มลรัฐ California เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995) โดยเขาได้ขับรถถังชนรถที่จอดอยู่ไปเรื่อยๆ สร้างความเสียหายสูงถึง US$149,201 (เทียบเท่ากับ US $265,329 ในปัจจุบัน) และที่สุดก็ถูกตำรวจ San Diego ยิงเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เครื่องลำเลียงแบบ C-130E Hercules แบบเดียวกับที่ถูกขโมยโดย Paul Meyer

แต่หากพูดถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ชิ้นใหญ่ที่สุดที่กองทัพสหรัฐฯ ถูกขโมยไปนั้น ก็คงหนีไม่พ้นเครื่องลำเลียงแบบ C-130 ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) หรือเมื่อ ๕๓ ปีก่อน ณ ฐานทัพอากาศ Mildenhall สหราชอาณาจักร โดยพันจ่าอากาศเอก Paul Meyer ช่างเครื่องสังกัดกองทัพอากาศสหรัฐฯ เป็นผู้ลงมือขโมย

Paul Meyer เคยปฏิบัติหน้าที่ในเวียดนาม ในตอนนั้นเขาพึ่งแต่งงานกับ Jane Meyer (ปัจจุบัน Mary Ann Jane Goodson) เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๒ และอยากประจำการที่ฐานทัพอากาศ Langley ซึ่งอยู่ใกล้บ้านเพื่ออยู่กับครอบครัว เขาคิดถึงภรรยา และทำงานอย่างไม่มีความสุข ซ้ำยังดื่มหนักอีกด้วย ไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุเขาได้ยื่นคำร้องขอย้ายกลับ แต่คำขอถูกปฏิเสธอีก ในคืนวันที่  ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) เขาไปงานเลี้ยงที่บ้านของเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นทหารอากาศด้วยกัน เขาดื่มหนักจนเมา หลังจากนั้นออกอาการก้าวร้าวอาละวาด จนเพื่อน ๆ ของเขาต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้านอน แต่เขากลับหนีออกมาทางหน้าต่าง หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจเมือง Suffolk พบตัวเขาบนถนน A11 และจับเขาในข้อหาเมาแล้วก่อความวุ่นวาย ก่อนพากลับไปส่งยังฐานทัพอากาศ Mildenhall และผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้เขาเข้านอน

วีรบุรุษต่างเชื้อชาติ!! ‘Kostas Sarantidis’ ชายชาวกรีซแห่งกองกำลัง Viet Minh ผู้ได้รับการยกย่องเป็น ‘วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม’


Kostas Nguyen Van Lap ชายชาวกรีซผู้ซึ่งกลายเป็นวีรบุรุษของเวียดนาม

๒ สิงหาคมที่ผ่านมา เวียดนามได้จัดพิธีรำลึกจัดถึง Kostas Nguyen Van Lap (Kostas Sarantidis - Nguyen Van Lap) ขึ้นที่เมืองดานัง ทางตอนกลางของประเทศ Kostas Nguyen Van Lap ชายผู้มีสัญชาติกรีซและเวียดนาม เข้าร่วมกับกองกำลัง Viet Minh ของเวียดนามในสงครามต่อต้านอาณานิคมของฝรั่งเศส และกลายเป็นวีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม

Kostas Nguyen Van Lap ประดับเหรียญอิสริยาภรณ์ “วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม (Hero of the People's Armed Forces of Vietnam)

Kostas Nguyen Van Lap (1927 - 25 มิถุนายน ค.ศ. 2021) เดิมชื่อ Kostas Sarantidis (Κώστας Σαραντίδης) เขาเป็นชาวต่างชาติเพียงคนเดียวที่เคยได้รับตำแหน่ง “วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชนเวียดนาม (Hero of the People's Armed Forces of Vietnam) เขาเป็นทหาร "เวียดนามใหม่" ซึ่งเป็นชาวกรีซเพียงคนเดียวที่เคยรับใช้ในกองกำลัง Viet Minh ระหว่างสงครามเวียดนามกับฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคม



Kostas Nguyen Van Lap เกิดในครอบครัวคนงานในเมือง Thessaloniki ประเทศกรีซ เมื่อเขาอายุ ๑๖ ปี กรีซถูกนาซีเยอรมันยึดครอง เขาจึงถูกเกณฑ์เป็นทหารแล้วถูกส่งไปเยอรมนี ภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เขาไม่สามารถกลับไปกรีซได้ เพราะไม่มีเอกสารประจำตัว เขาถูกส่งไปยังค่ายกักกันในอิตาลีในช่วงต้นปี ค.ศ. 1946 และต่อมาได้สมัครเข้าร่วมกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส และถูกส่งไปยังอินโดจีนภายใต้ภารกิจในการปลดปล่อยประชาชน และปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น

หน่วยของเขาเดินทางไปเวียดนามทางเรือ เมื่อถึงไซง่อนแล้วก็ถูกพาขึ้นรถไฟไปยังตอนกลางของเวียดนาม ในวันแรกที่เขามาถึงเวียดนาม เขาได้เห็นความโหดร้ายมากมายของกองทัพฝรั่งเศสที่กระทำต่อชาวเวียดนาม เขาจึงตระหนักว่า ฝรั่งเศสเป็นเพียงผู้รุกราน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแปรพักตร์ เข้าร่วมกับกองกำลัง Viet Minh โดย Kostas Nguyen Van Lap เล่าว่า "เราเข้าร่วมในการต่อสู้หลายครั้งในภาคใต้ ทหารได้รับคำสั่งให้โจมตีและเผาหมู่บ้านเพื่อพิสูจน์ตนเองว่า แข็งแกร่ง ผมอยากจะลาออก เพราะผมทนไม่ไหวแล้ว ในวันสุดท้ายในกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสของผม ผมเห็นด้วยตาตนเองว่า ทหารของกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสทั้งหมวดข่มขืนเด็กหญิงอายุเพียง ๑๔-๑๕ ปี” 

ขณะเขาประจำการอยู่ที่เมือง Binh Hoa ก็ได้พบกับ Mai Le สายลับหญิงซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยให้ Kostas Nguyen Van Lap เข้าร่วมกับกองกำลัง Viet Minh โดยพ่อแม่ของ Mai Le เป็นผู้รักชาติ เข้าร่วมสงครามต่อต้านและเสียสละตัวเอง แม้จะอายุน้อยมาก แต่ Mai Le และเพื่อนร่วมชั้นก็ออกจากเมืองเข้าร่วมกลุ่มต่อต้าน เขาพบกับ Mai Le ในฐานะที่เธอเป็นภรรยาของร้อยโท Christianis หัวหน้าหน่วยในเมือง Phan Thiet โดย Mai Le ได้ฝากฝังเขากับกองกำลัง Viet Minh (ต่อมาสายลับหญิงผู้นี้ถูกจับและถูกประหารชีวิตโดยฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1946) 

เวลา ๐๒.๐๐ น. ของวันที่ ๖ เมษายน เขาทิ้งกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสเพื่อไปยังเขตปลอดทหารใน Binh Thuan นอกจากนี้ เขายังปล่อยนักโทษอีก ๒๔ คน นำถือปืนกลเบรนและปืนไรเฟิลไปด้วยอีกสองกระบอก ระเบิดมือสองกล่อง และกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง ที่พื้นที่ต่อต้านเขาพบว่า กองกำลัง Viet Minh มีอาวุธที่แย่มาก อาทิ ปืนคาบศิลาฝรั่งเศสสามกระบอกที่มีความยาวต่างกัน นายทหารมีปืนพกที่เก่ามาก ทหารบางคนยังใช้มีด หรือดาบ เขามอบปืนที่เขานำมาด้วยให้กับกองกำลัง Viet Minh ทหารเวียดนามดีใจมากเพราะได้อาวุธใหม่ หลังจากนั้นทหารเวียดนามจึงฆ่าลูกวัวเพื่อทำอาหารฉลอง หลังจากนั้น Kostas ได้รับชื่อเวียดนามว่า Nguyen Van Lap และเข้าร่วมกองทัพประชาชนเวียดนามอย่างเป็นทางการ ในฐานะหนึ่งในทหาร "เวียดนามใหม่ " 

ในช่วงปี ค.ศ. 1946 - 1948 สภาพความเป็นอยู่ของกองกำลัง Viet Minh นั้นเลวร้ายมาก เขาเล่าว่า "เราได้รับอาหารเพียง ๘๐๐ กรัมต่อวัน และมีเพียงผักเป็นอาหารเท่านั้น” สโลแกนการต่อต้านของกองกำลัง Viet Minh มีความคล้ายคลึงกับสโลแกนของชาวกรีซซึ่งก็คือ "เสรีภาพหรือความตาย" กองกำลัง Viet Minh ให้เขาทำงานในหน่วยประจำเขตพื้นที่ ๕ เขตสนามรบ “กว๋างนาม – ดานัง” เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ออกอากาศไปยังกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศสชักจูงให้ทหารแปรพักตร์ออกจากกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส และช่วยชีวิตเชลย ๑๒๐ คนที่ถูกจับ 

ต่อมาเขาและเพื่อนร่วมหน่วยสามารถยิงเครื่องบิน Morane-Saulnier ตก และจับกุมนักบินชาวฝรั่งเศสสามคนที่ยังมีชีวิตอยู่ใกล้ ๆ กับ Phu Cang (กว๋างนาม) เมื่อเมษายน ค.ศ. 1948 หน่วยของเขาสามารถสังหารกองกำลังศัตรูได้ ๒๐๐ นาย ที่ Huong An - Ba Ren

ย้อนรอยคดีดัง!! สามคนร้ายลักพาตัวเด็กนักเรียนใน Chowchilla หวังเรียกค่าไถ่ ก่อนฝังเหยื่อ ๒๗ รายทั้งเป็น

วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ผู้ปกครองของเด็ก ๒๖ คนในเมืองชนบท Chowchilla มลรัฐแคลิฟอร์เนียต้องเผชิญกับฝันร้ายที่เลวร้ายที่สุดเมื่อลูก ๆ ของพวกเขาหายตัวไป รถโรงเรียนซึ่งมีเด็กนักเรียนอายุระหว่าง ๕ ถึง ๑๔ ปี หายไปอย่างลึกลับระหว่างกลับจากทัศนศึกษาในช่วงฤดูร้อน 

โดยเวลาราว ๑๖.๓๐ น. ขณะที่ รถโรงเรียนที่ขับโดย Frank Edward ‘Ed’ Ray วัย ๕๕ ปี กำลังขับรถพาเด็ก ๆ กลับนั้น ทันใดก็มีรถตู้สีขาวขับปาดหน้ารถโรงเรียนจนต้องจอดกลางถนน ชายสองคนสวมหมวกคลุมศีรษะและถือปืนลูกซองตัดลำกล้องปีนขึ้นไปบนรถโรงเรียน คนหนึ่งควบคุมตัว Ray ไว้ ในขณะที่อีกคนเข้าควบคุมรถ ส่วนชายคนที่สามรออยู่ในรถตู้ที่จอดขวางอยู่

รถบรรทุกที่ใช้ขังเหยื่อถูกฝังไว้ใต้ดินลึก ๑๒ ฟุต

หลังจากขับรถพาเหยื่อออกเดินทางเป็นระยะทางสั้น ๆ คนร้ายสามคนก็จอดรถโรงเรียนไว้ในบริเวณที่เรียกว่า ลำธาร Berenda อันเป็นลำธารสาขาที่แห้งขอดของแม่น้ำ Chowchilla ซึ่งล้อมรอบด้วยพุ่มไม้สูง โดยมีรถตู้อีกคันจอดรอไว้อยู่แล้ว พวกเขาสั่งให้ Ray และเด็ก ๆ ขึ้นไปด้านหลังของรถตู้ทั้งสองคัน ซึ่งดัดแปลงมาจากรถขนนักโทษของเรือนจำ หน้าต่างทาสีดำ และด้านในบุด้วยไม้ระแนงเพื่อกันไม่ให้เด็ก ๆ มองเห็นหรือได้ยินเสียง จากนั้นคนร้ายทั้งสามก็ได้ขับรถตู้สองคันวนไปมาราว ๑๑ ชั่วโมง ในที่สุดก็หยุดจอดที่เหมืองหินที่อยู่ห่างออกไปราว ๑๐๐ ไมล์ในเมือง Livermore พวกเขาบังคับ Ray และเด็กๆ ทุกคนปีนลงบันได และให้เข้าไปในรถบรรทุกซึ่งถูกฝังไว้ใต้ดินลึก ๑๒ ฟุต ซึ่งมีอาหารและน้ำจำนวนเล็กน้อยและฟูกนอนอีกนิดหน่อย

เด็ก ๆ ที่เป็นเหยื่อส่วนหนึ่งกับ Frank Edward ‘Ed’ Ray คนขับรถโรงเรียน

Ray รู้ว่า เขาและเด็ก ๆ คงอยู่ได้อีกไม่นานถ้าอากาศหมด ซ้ำหลังคารถบรรทุกก็ยุบตัวลงมา Ray และบรรดาเด็กโตก็ได้ช่วยกันวางฟูกที่นอนเพื่อให้เอื้อมถึงช่องเปิดที่ด้านบนของหลังรถบรรทุก ซึ่งถูกวางทับด้วยแผ่นโลหะที่หนักมากและแบตเตอรี่อุตสาหกรรมขนาด ๔๕ กิโลกรัมอีกสองลูก 

หลังจากใช้ความพยายามอยู่หลายชั่วโมง Ray และ Michael Marshall เด็กชายที่โตที่สุดวัย ๑๔ ปี ก็สามารถใช้เศษไม้งัดช่องเปิดออก แล้วย้ายแบตเตอรี่จนพ้นช่องเปิด จากนั้นพวกเขาก็ขุดเศษซากสิ่งของที่ปิดทางออกที่เหลือ สิบหกชั่วโมงหลังจากที่ถูกบังคับให้เข้าไปในรถบรรทุก พวกเขาก็สามารถหนีออกมาได้ และพากันเดินไปยังกระท่อมยามของเหมือง ซึ่งอยู่ใกล้กับอุทยาน Shadow Cliffs 

สามคนร้ายจากซ้าย Frederick Newhall Woods IV พี่น้อง James และ Richard Schoenfeld

Frederick Newhall Woods IV ลูกชายเจ้าของเหมืองหิน วัย ๒๔ ปี ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นหนึ่งในคนที่มีกุญแจของเหมืองหินแห่งนั้น และสามารถเข้าไปในเหมืองได้ลึกมากพอที่จะฝังรถบรรทุกไว้ที่นั่น เขากับเพื่อนอีกสองคน พี่น้อง James และ Richard Schoenfeld (อายุ ๒๔ และ ๒๒ ปี) เคยถูกตัดสินว่า มีความผิดฐานขโมยรถยนต์ ซึ่งพวกเขาถูกตัดสินลงโทษโดยการถูกคุมประพฤติ มีการออกหมายค้นที่ดินของพ่อของ Woods แล้วตำรวจก็พบอาวุธปืนหนึ่งกระบอกที่ใช้ในการลักพาตัว เช่นเดียวกับร่างจดหมายเพื่อเรียกค่าไถ่ แต่คนร้ายทั้งสามหนีไปแล้ว

สองสัปดาห์ต่อมาหลังจากการลักพาตัว Woods ถูกจับตัวได้ในนคร Vancouver มณฑล British Columbia ประเทศแคนาดา James Schoenfeld ถูกจับในวันเดียวกันที่ Menlo Park มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ Richard Schoenfeld สมัครใจมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแปดวันหลังจากการก่อเหตุลักพาตัว


สภาพของรถบรรทุกที่ใช้ขังเหยื่อถูกฝังไว้ใต้ดินลึก ๑๒ ฟุต หลังจากถูกขุดขึ้นมา 

ผู้ลักพาตัวไม่สามารถติดต่อเรียกค่าไถ่จำนวน ๕ ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่ากับ ๒๓.๘ ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๔) เนื่องจากโทรศัพท์ของสถานีตำรวจ Chowchilla ไม่ว่างเลย ด้วยสายเข้าจากโทรศัพท์ของสื่อและครอบครัวที่ตามข่าวลูก ๆ ของพวกเขา ในตอนดึกของวันที่ ๑๖ กรกฎาคม รายงานข่าวทางโทรทัศน์ก็แจ้งว่า เหยื่อสามารถหลบหนีออกมาได้โดยปลอดภัยแล้ว 

ในภายหลัง James Schoenfeld เล่าว่า แม้จะเขามาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ทั้งเขา Richard และ Woods ต่างก็มีหนี้สินมากมาย “เราต้องลักพาเหยื่อหลายรายเพื่อให้ได้เงินหลายล้าน และเราตัดสินใจเลือกเด็ก เพราะเด็กมีค่าเสมอ รัฐยินดีจ่ายค่าไถ่สำหรับพวกเขา และเด็ก ๆ มักจะไม่ต่อสู้ขัดขืน อ่อนแอ และเอาแต่ใจ" ผู้กระทำความผิดทั้งสามสารภาพว่า ได้ปล้นรถ และลักพาตัวเด็ก ๆ เพื่อเรียกค่าไถ่ แต่ปฏิเสธที่จะสารภาพว่า ได้ทำร้ายร่างกายเด็ก ๆ เนื่องจากเชื่อว่าการถูกดำเนินคดีในข้อหานั้นร่วมกับข้อหาลักพาตัวจะมีโทษถึงจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องรอลงอาญา หรือไม่ได้รับทัณฑ์บนเพื่อลด/พักโทษในภายหลัง 

พวกเขาถูกดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายด้วย และถูกตัดสินว่า มีความผิดและได้รับโทษจำคุก แต่ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของพวกเขาโดยพบว่าอาการบาดเจ็บทางร่างกายของเด็ก ๆ (ส่วนใหญ่บาดแผลและรอยฟกช้ำ) ไม่เป็นไปตามเกณฑ์การทำร้ายร่างกายภายใต้กฎหมาย

หมดยุค...รักต้องฉุด!! ‘Franca Viola’ หญิงแกร่งคนแรกของอิตาลี ปฏิเสธธรรมเนียม ‘แต่งงานกับผู้ที่ลักพาตัว-ข่มขืน’ เพื่อรักษาเกียรติ

การลักพาตัวเจ้าสาว (Bride kidnapping) หรือรักต้องฉุด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มาตั้งแต่ครั้งยุคหินแล้ว เราท่านมักจะเห็นในการ์ตูนที่มีภาพของชายยุคหินถือตะบองอันโต ๆ ตีหัวหญิงสาวเพื่อนำมาเป็นภรรยา การฉุดหญิงสาวหรือเรียกกันว่าการแต่งงานโดยการลักพาตัวหรือการแต่งงานโดยการฉุดเจ้าสาวเป็นวิธีการปฏิบัติของชายที่ลักพาตัวหญิงสาวที่เขาปรารถนาจะแต่งงานด้วย การลักพาตัวเจ้าสาวเกิดขึ้นทั่วโลกและตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์และประวัติศาสตร์ ในสังคมผู้คนที่หลากหลายเช่น ชาวเขาบางเผ่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาว Tzeltal ในเม็กซิโก และชาวโรมานีในยุโรป ปัจจุบันรักต้องฉุดยังคงเกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ทั่วโลก แต่พบได้มากที่สุดในแถบคอเคซัสและเอเชียกลางจนทุกวันนี้

ประเทศส่วนใหญ่เกือบทั้งโลกในปัจจุบัน ถือว่าการลักพาตัวเจ้าสาวเป็นอาชญากรรมทางเพศ เนื่องจากองค์ประกอบโดยนัยเป็นการบังคับขืนใจ มากกว่าเป็นรูปแบบในการแต่งงานที่ถูกต้อง บางสังคมอาจถูกมองว่าไปเป็นตามความต่อเนื่องระหว่างการบังคับแต่งงานหรือการแต่งงานแบบคลุมถุงชน ซึ่งบางครั้งสลับสับสนกับ ‘รักกันหนา พากันหนี’ ซึ่งทั้งคู่หนีไปด้วยกัน แล้วกลับขอความยินยอมจากพ่อแม่ของฝ่ายหญิงในภายหลัง 

ในบางกรณีหญิงคนนั้นอาจให้ความร่วมมือหรือสมัครใจที่จะถูกฉุดไป แต่โดยทั่วไปแล้วจะพยายามรักษาชื่อเสียงหรือเกียรติยศให้กับตัวเองหรือพ่อแม่ของเธอ ในเขตอำนาจศาลหลายแห่ง กฎหมายนี้เคยได้รับการสนับสนุนโดยกฎหมายที่เรียกว่า ‘การแต่งงานเมื่อถูกข่มขืน (Marry-your-rapist laws)’ แม้แต่ในประเทศที่การปฏิบัตินั้นขัดต่อกฎหมาย หากแต่การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มแข็งเด็ดขาด กฎหมายที่มีลักษณะจารีตประเพณี (แนวปฏิบัติดั้งเดิม) ลักษณะก็อาจมีผลเหนือกว่า

 

ในอิตาลีก็เช่นกันมีคำว่า ‘Fuitina’ อันหมายถึง การหนีตามกันโดยสมัครใจของคู่หนุ่มสาวเพื่อใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากัน แต่กลับถูกเหมารวมถึงการลักพาตัวเจ้าสาว ซึ่งไม่ได้สมัครใจด้วย 

แต่กรณีของ Franca Viola หญิงสาวผู้เด็ดเดี่ยวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากปฏิเสธ ‘การแต่งงานเพื่อเป็นการรักษาเกียรติหรือหน้าตา (Matrimonio riparatore)’ กับผู้ที่ฉุดและข่มขืนเธอ หลังจากถูกลักพาตัว และถูกจับตัวไว้นานกว่าสัปดาห์ แล้วยังถูกข่มขืนอีกหลายครั้ง นับว่าเธอผู้หญิงอิตาลีคนแรกที่ถูกฉุดและข่มขืนแล้วปฏิเสธการแต่งงานกับผู้ที่ฉุดและข่มขืนเธอ ทั้งเธอยังประสบความสำเร็จในการดำเนินคดีกับผู้ที่ฉุดและข่มขืนเธออีกด้วย 

ผลการพิจารณาคดีนี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในอิตาลี เนื่องจากพฤติกรรมของ Viola ถูกมองว่าขัดแย้งกับธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมแบบดั้งเดิมในอิตาลีตอนใต้  โดยที่หญิงสาวจะต้องเสียเกียรติหรือหน้าตา หากเธอไม่ยอมแต่งงานกับชายที่เธอสูญเสียพรหมจรรย์ให้ Franca Viola จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและการปลดปล่อยของเหล่าสตรีในอิตาลีภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

Franca Viola เกิดเมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ในเขตชนบทของเมือง Alcamo ในซิซิลี ประเทศอิตาลี เธอเป็นลูกสาวคนโตของ Bernardo Viola ชาวนา และ Vita Ferra ในปีพ.ศ. ๒๕๐๖ เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี เธอได้หมั้นกับ Filippo Melodia ซึ่งขณะนั้นอายุ ๒๓ ปี เป็นหลานชายของ Vincenzo Rimi มาเฟียใหญ่ 

ต่อมา Melodia ถูกจับในข้อหาลักขโมย และพ่อของ Viola ยืนยันว่า เธอได้ขอถอนหมั้นแล้ว จากนั้น Melodia ก็ย้ายไปเยอรมนี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ Viola หมั้นกับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง แต่แล้ว Melodia ก็กลับมาที่เมือง Alcamo และพยายามกลับเข้าไปในชีวิตของ Viola แต่ไม่สำเร็จ โดยเขาพยายามสะกดรอยตามเธอ และคุกคามทั้งพ่อและแฟนของเธอ

สุดยอดพี่เลี้ยงเด็ก!! ‘Kiersten Miles’ พี่เลี้ยงเด็กผู้เสียสละ ตัดสินใจบริจาค ‘ตับ’ บางส่วนให้เด็กหญิงที่ดูแล

Kiersten Miles นักศึกษาวัย ๒๒ ปีจากมลรัฐ New Jersey ต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินสำหรับการเรียนของเธอ เธอจึงติดต่อผ่านเพื่อนคนหนึ่งเพื่อสมัครเป็นพี่เลี้ยงของลูก ๆ สามคนของครอบครัว Rosko และเริ่มทำงานให้พวกเขาในทันที 

Kiersten ทำงานดูแลลูก ๆ สามคนของ George และ Farra Rosko ได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่ก็มีความรู้สึกผูกพันที่ลึกซึ้งเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเด็ก ๆ ทั้งสามคนของครอบครัว Rosko อย่างรวดเร็ว 

โดยเฉพาะกับลูกสาวคนสุดท้องที่ชื่อ Talia วัย ๑๖ เดือนของครอบครัว Rosko ซึ่ง Talia ตอนอายุเพียงสองเดือนก็รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับที่หายาก (Biliary Atresia) และเข้าสู่ระยะสุดท้ายในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๘ แต่แพทย์ในเมือง Jackson มลรัฐ New Jersey บอกกับ George และ Farra พ่อแม่ของ Talia ว่าหากเธอไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับ Talia น่าจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินสองขวบ เมื่อ Kiersten ทราบเรื่องก็อาสาโดยไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่น้อยที่จะยอมสละชิ้นส่วนตับของเธอส่วนหนึ่ง หากสามารถช่วยชีวิต Talia ได้


โรคที่ Talia เป็นคือ โรค Biliary Atresia (ท่อน้ำดีตีบตันในทารก) เป็นภาวะที่ท่อน้ำดีตีบตันอย่างถาวรทำให้น้ำดีจากตับไม่สามารถไหลสู่ลำไส้เล็ก ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากปัจจัยดังต่อไปนี้

1.) ความผิดปกติแต่กำเนิด
2.) การติดเชื้อไวรัสบางชนิด
3.) ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือพันธุกรรม

โดยผู้ป่วยจะมีอาการ ตัวหรือตาเหลืองในช่วงอายุ ๒-๓ สัปดาห์แรก อุจจาระมีสีเหลืองอ่อนหรือขาวซีด ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม ท้องมานหรือท้องโตผิดปกติ และต้องรับการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งควรทำภายในอายุ ๖๐ วัน หากล่าช้าจะเกิดภาวะตับแข็ง และเสียชีวิตได้


George และ Farra พ่อแม่ของ Talia ซึ่งไม่แน่ใจในตอนแรก แต่ก็ได้อธิบายให้ Kiersten ฟังว่า เรื่องที่เธอเสนอนั้นมีความเสี่ยงที่ร้ายแรงเพียงใด การบริจาคตับบางส่วนไม่เหมือนกับการให้เลือด การผ่าตัดอาจทำให้ร่างกายของ Kiersten มีปัญหาอื่น ๆ ตามมา และเป็นความเสี่ยงที่มากมายด้วย แต่ Kiersten ตัดสินใจสมัครเป็นผู้บริจาคตับให้กับ Talia ทันที และเมื่อผลการทดสอบออกมาก็พบว่า ตับของ Kiersten เหมาะกับ Talia อย่างสมบูรณ์แบบ!


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top