Tuesday, 14 May 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

ภัยความมั่นคง ‘สหรัฐฯ’ ชิงลงมือ สอย ‘บอลลูนจีน’ ร่วงนอกชายฝั่ง หวั่นซ้ำรอย ‘Fu-Go’ บอลลูนมหาภัย เมื่อ ๗๘ ปีก่อน

เมื่อไม่นานมานี้ข่าวต่างประเทศที่ได้รับความสนใจมากๆ ข่าวหนึ่งก็คือ วัตถุบินปริศนาที่ปรากฏบนน่านฟ้าของสหรัฐฯ ซึ่งบางฝ่ายก็มโนไปว่ามันคือยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว หรือ UFO (Unidentified Flying Object)

แต่ข้อถกเถียงเรื่อง  UFO ก็ต้องส่างซาลง เมื่อมีข่าวว่า สหรัฐฯ จัดการกับวัตถุปริศนาชิ้นนั้นด้วยการส่งเครื่องบินขับไล่แบบ F-22 ยิงมันตกที่นอกชายฝั่งของมลรัฐ South Carolina ของสหรัฐฯ

หลังจากนั้น ‘จีน’ ออกมาประท้วง ‘สหรัฐฯ’ ที่ยิงวัตถุปริศนานั้น โดยจีนอ้างว่ามันคือ ‘บอลลูนพลเรือนซึ่งไร้คนบังคับ’ และระบุว่า พวกเขาสงวนสิทธิ์ในการ ‘ตอบโต้เท่าที่จำเป็น’

การที่บอลลูนดังกล่าวเข้ามาในน่านฟ้าของสหรัฐฯ มันยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนยิ่งเลวร้ายลง โดยสหรัฐฯ นั่นคือการส่งอุปกรณ์สอดแนมเข้ามาในดินแดนของตน แต่ทางจีนกลับกล่าวอ้างว่ามันคือ ‘บอลลูน (เรือเหาะ) ที่ใช้ในกิจการพลเรือนและไร้คนขับ’ โดยเป็นบอลลูนวิจัยสภาพอากาศที่หลงเข้าไปในน่านฟ้าของสหรัฐฯ ‘โดยบังเอิญ’
 

เว็บไซต์ People's Daily Online ได้รวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีเรือเหาะไร้คนขับสัญชาติจีนหลุดเข้าสู่น่านฟ้าสหรัฐฯ และถูกกองทัพสหรัฐฯ ยิงตกเมื่อวันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 โดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสอดแนมของจีน 

ทางฟากโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า บอลลูนเป็นเรือเหาะพลเรือนที่ใช้เป็นหลักในการวิจัยอุตุนิยมวิทยา ซึ่งเกิดเหตุสุดวิสัยเนื่องจากลมแรง และมีความสามารถในการบังคับทิศทางด้วยตนเองที่จำกัด เมื่อสหรัฐฯ พบเห็นเรือเหาะ ฝ่ายจีนได้แจ้งให้ฝ่ายสหรัฐฯ ทราบถึงลักษณะของเรือเหาะพลเรือน และจีนได้สื่อสารกับสหรัฐฯ อย่างแข็งขัน รวมทั้งทำงานร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อจัดการกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงนี้อย่างเหมาะสมด้วยท่าทีที่สงบ เป็นมืออาชีพ และอดกลั้น

เครื่องบินขับไล่แบบ F-22 ขณะยิงขีปนาวุธขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงแบบอากาศสู่อากาศ แบบ AIM-9X

ในส่วนของสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า เครื่องบินขับไล่และเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงหลายลำมีส่วนร่วมในภารกิจเมื่อวันเสาร์ แต่มีเพียงเครื่องบินขับไล่แบบ F-22 จากฐานทัพอากาศ Langley ในมลรัฐ Virginia เพียงลำเดียวที่ยิงบอลลูนดังกล่าว เมื่อเวลา 14:39 น. (19:39 GMT) โดยใช้เป็นเป้าหมายของขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงแบบอากาศสู่อากาศ แบบ AIM-9X ซึ่งค้นหาเป้าหมายด้วยความร้อน เพียงลูกเดียว บอลลูนซึ่งลอยอยู่ที่ความสูงประมาณ 18,300 เมตร (60,000 ฟุต) ถูกยิงตกนอกชายฝั่งมลรัฐ South Carolina ประมาณ 6 ไมล์ทะเล 

Joe Biden ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาได้ออกคำสั่งให้ยิงบอลลูนลง แต่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แนะนำให้รอจนกว่าจะสามารถปฏิบัติการเหนือน่านน้ำเปิด เพื่อปกป้องเศษซากที่ตกลงสู่พื้นโลกไม่ให้เป็นอันตรายต่อประชาชนสหรัฐฯ 

“เรายิงบอลลูนตกได้สำเร็จ และผมขอชมเชยนักบินของเราที่ทำสำเร็จ” ประธานาธิบดี Biden กล่าวที่มลรัฐ Maryland

บอลลูนซึ่งลอยอยู่สูงประมาณ 18,300 เมตร (60,000 ฟุต) ถูกยิงตกนอกชายฝั่งมลรัฐ South Carolina 

ปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ สั่งระงับเที่ยวบินบริเวณชายฝั่งของมลรัฐ South Carolina เนื่องจากสิ่งที่กล่าวในเวลานั้นคือ ปฏิบัติการด้านความมั่นคงของชาติที่ไม่เปิดเผย 

หลังจากเสร็จภารกิจเครื่องบินขับไล่แบบ F-22 บินกลับฐานทัพฯ ภาพจากโทรทัศน์แสดงให้เห็นการระเบิดเพียงเล็กน้อย ตามด้วยบอลลูนที่ตกลงสู่ทะเล 

สำนักข่าว Associated Press รายงานว่ามีการดำเนินการในน่านน้ำของสหรัฐในเขตมหาสมุทรแอตแลนติก และมีการกู้เศษซากของบอลลูนด้วย 

ทางสำนักข่าวรอยเตอร์อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ทหารของกองทัพสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า เศษชิ้นส่วนของบอลลูนกระจายออกไปในมหาสมุทรเป็นแนวยาวกว่า เจ็ดไมล์ (11 กิโลเมตร) โดยมีเรือรบของกองทัพเรือสหรัฐฯ หลายลำอยู่ในบริเวณนั้น


เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทำการเก็บกู้เศษซากบอลลูนของจีนซึ่งถูกยิงตกเพื่อนำไปพิสูจน์ทราบ

เจ้าหน้าที่ FBI ทำการตรวจพิสูจน์เศษซากบอลลูนของจีนซึ่งถูกยิงตก

บอลลูนตรวจสภาพอากาศของแคนาดา

People's Daily บอกว่า เหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวไม่ใช่ครั้งแรกในโลกที่บอลลูนเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อยู่เหนือการควบคุม ในปี 1998 (พ.ศ.2541) บอลลูนตรวจสภาพอากาศของแคนาดา ซึ่งทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้กับองค์การอวกาศแคนาดา สิ่งแวดล้อมแคนาดา และมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ของสหรัฐฯ เกิดข้อผิดพลาด เนื่องจากการทำงานผิดพลาดทางเทคนิค บอลลูนไม่สามารถลงมาได้ตามแผนและลอยข้ามประเทศแคนาดาไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก โดยบอลลูนลอยอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลา ๙ วัน เข้าสู่น่านฟ้าของหลายประเทศ และลงจอดที่เกาะ Mariehamn ของฟินแลนด์ในที่สุด

ชาว Sherpa จากเนปาล สร้างทางเดินบนภูเขาสูงในนอร์เวย์ ช่วยให้นักท่องเที่ยวดื่มด่ำบรรยากาศได้อย่างปลอดภัย

สวัสดีครับนักอ่านทุกท่าน วันนี้ผมจะมานำเสนอเรื่องราวที่น่าทึ่งและน่านับถือจากความสามารถของมนุษย์ เรื่องราวในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาว Sherpa จากเนปาลที่ได้เข้ามาทำงานในประเทศนอร์เวย์ และได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ทางเดินตามแนวภูเขา’ ไว้อย่างสวยงาม และทางนี้นี้เองก็ส่งผลให้บรรดานักท่องเที่ยวที่มาเยียนนอร์เวย์ สามารถดื่มด่ำบรรยากาศธรรมชาติรอบข้างได้อย่างเต็มอิ่ม โดยไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากการเดินท่องเที่ยวตามภูเขาสูงครับ

ก่อนอื่น ผมขออธิบายลักษณะภูเขาของประเทศนอร์เวย์ก่อนนะครับ เส้นทางท่องเที่ยวชมวิวทิวทัศน์ของนอร์เวย์เป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปตามภูมิประเทศที่ขรุขระราว 1,850 กิโลเมตรทั่วประเทศ โดยมี ‘บันไดหิน’ หรือ บันได Sherpa เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกและเป็นมิตรต่อทั้งตัวนักท่องเที่ยวและทั้งธรรมชาติ ซึ่งเริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1994 และสร้างเสร็จไปแล้วกว่า ๑๕๐ แห่ง ในพื้นที่ที่เป็นจุดชมวิว เส้นทางเดินป่า พื้นที่พักผ่อน และศาลาดูนก

Preikestolen

‘Preikestolen’ เป็นหนึ่งในเส้นทางปีนเขาที่สูงที่สุดในประเทศนอร์เวย์ โดยมีนักท่องเที่ยวราว ๆ ๓๓๑,๐๐๐ คนปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2019 

ในหลาย ๆ เส้นทาง สถานที่ และทิวทัศน์ที่สวยงามจาก Preikestolen หรือ Pulpit Rock ใกล้กับ Stavanger ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนอร์เวย์ ไม่มีทางเชื่อมถึงกัน ทำให้ต้องเดินขึ้นบันไดหินที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์พอ ๆ กับทิวทัศน์บนยอดเขาตรงสุดทางเดิน

โดยผู้เชี่ยวชาญที่เรากล่าวถึงก็คือ ชาว Sherpa จากชุมชนชาวเนปาลที่อาศัยอยู่ในเทือกเขา Everest โดยได้ริเริ่มโครงการทางเดินหินธรรมชาติอื่น ๆ เกือบ ๓๐๐ โครงการในนอร์เวย์ ในช่วงกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา

ผมขออธิบายเกี่ยวกับชาว Sherpa จากเนปาลก่อนนะครับ ชาว Sherpa เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ทิเบตที่มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ภูเขาส่วนใหญ่ของเนปาล เทศมณฑลติงกริ ในเขตปกครองตนเองทิเบตและเทือกเขาหิมาลัย 

ส่วนคำว่า Sherpa หรือ Sherwa มาจากคำในภาษา Sherpa ว่า ཤར shar แปลว่าตะวันออก และ པ ปา แปลว่าคน ซึ่งหมายถึงแหล่งกำเนิดทางภูมิศาสตร์ของทิเบตตะวันออกนั่นเอง

ชาว Sherpa

โดยส่วนใหญ่ชาว Sherpa มักอาศัยอยู่ในภูมิภาคตะวันออกของเนปาล และเทศมณฑลติงกริ ประเทศภูฏาน และบางส่วนจะอาศัยอยู่ไกลออกไปทางตะวันตกในหุบเขาโรลวาลิง เมืองบิกู และในภูมิภาคเฮลัมบูทางตอนเหนือของกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล 

นอกจากนี้แล้วชาว Sherpa ยังอาศัยอยู่ในประเทศภูฏาน รัฐสิกขิม และทางตอนเหนือของรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย โดยเฉพาะเขตดาร์จีลิง 

ชาว Sherpa มีชื่อเสียงในด้านการปีนเขา และใช้ทักษะนี้เป็นอาชีพเลี้ยงชีพ ทำให้ชาว Sherpa เป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้นำทางและคนงานแบกหามในการเดินทางบนเทือกเขาหิมาลัย 

โดยส่วนใหญ่นักปีนเขาที่ต้องการพิชิตยอด Everest จะต้องมีชาว Sherpa เป็นผู้นำทางและเป็นลูกหาบช่วยขนสัมภาระต่าง ๆ เพราะลูกหาบชาว Sherpa สามารถแบกของใส่หลังได้มากว่าน้ำหนักตัวเอง ๒-๓ เท่าเลยทีเดียว

เหตุผลหลักที่ทำให้ชาว Sherpa มีร่างกายแข็งแกร่งนั้น เพราะพวกเขามีความจุของปอดมากกว่า และมีหัวใจที่ใหญ่กว่า ทำให้สามารถรับออกซิเจนได้มากขึ้น 

นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังทำงานร่วมกันได้ดี มีความแข็งแกร่งทางจิตใจ และมีศรัทธาที่แรงกล้า ชาว Sherpa สามารถแบกสัมภาระหนัก 60-70 กิโลกรัมเป็นเวลาหลายวันได้ในการปีนยอด Everest สถิติบันทึกน้ำหนักแบกสัมภาระของชาว Sherpa อยู่ที่ 350 กิโลกรัมบนหลังของเขา และหญิงชาว Sherpa ส่วนใหญ่ก็แข็งแรงพอ ๆ กับชาย

เมื่อเรารู้จักความสามารถสุดพิเศษของชาว Sherpa แล้ว คราวนี้มารู้จักที่มาที่ไปที่ทำให้ชาว Sherpa ได้มีโอกาสไปสร้างสรรค์ทางเดินบนภูเขาในประเทศนอร์เวย์กันดีกว่าครับ

‘Geirr Vetti’ เป็นผู้ริเริ่มนำชาว Sherpa มาทำงานในนอร์เวย์ โดยเขาเป็นเจ้าของฟาร์ม Skåri ใน Luster ซึ่งเป็นฟาร์มเก่าแก่บนเนินเขาและเป็นฟาร์มแห่งเดียวในหมู่บ้านที่มีแสงแดดตลอดทั้งปี เมื่อเขาต้องการปรับปรุงฟาร์มให้ดียิ่งขึ้น เขาจึงได้จ้างคนงานจากหลายประเทศทั่วยุโรป รวมแล้ว ๑๑ ประเทศ แต่ทว่าไม่มีคนงานคนใดที่สามารถอดทนต่องานหนักได้เลยสักคนเดียว

‘Geirr Vetti’ ได้นึกถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับชาว Sherpa ซึ่งเป็นคนที่มีความชำนาญ และเคยชินกับการทำงานหนัก คิดได้แบบนั้นเขาก็ได้เริ่มจ้างงงานชาว Sherpa แรกเริ่มเดิมที่เขาจ้างมาเพียงแค่ 2 คนเพื่อทำงานในฟาร์ม

ต่อมา Geirr Vetti ได้เปิดบริษัทรับซ่อมและสร้างทางเดินบนภูเขาของนอร์เวย์ในพื้นที่ทุรกันดารที่เครื่องจักรเข้าไปไม่ถึง โดยใช้แรงงานของชาว Sherpa เป็นหลัก

ในปัจจุบันทุกฤดูร้อนชาว Sherpa หลายสิบคนจะมาร่วมก่อสร้างและบำรุงรักษาเส้นทางและอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ด้วยหินในประเทศนอร์เวย์

Geirr Vetti เกษตรกรชาวนอร์เวย์วัย ๖๐ ปี เป็นผู้ริเริ่มนำชาว Sherpa มาทำงานในนอร์เวย์ 

ต่อมา Geirr Vetti ผันตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของ Stibyggjaren ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างทางนวัตกรรมที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Skjolden บน Sognefjord 

Geirr Vetti ใน Khunde ได้รับการต้อนรับด้วยการเจิมหน้าผาก

แม้ความสัมพันธ์ของ Geirr Vetti กับชาว Sherpa จะเป็นนายจ้างและลูกจ้าง แต่ชาว Sherpa กลับรักและให้การต้อนรับ Geirr Vetti อย่างดีเมื่อครั้งที่เขาไปเยือนเนปาล

Geirr Vetti กลายเป็นที่รู้จักกันดีใน Khunde และ Sherpas ถือว่าเขาเป็นสมาชิกของครอบครัว โดยชาว Sherpa เรียกเขาว่า ‘ลุง’ และในภาพถ่ายจากปี ค.ศ. 2014 จะเห็นว่า เขาได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริก ทุกคนในหมู่บ้านใส่ชุดประจำชาติ เป่าแตรยาวต้อนรับ รวมถึงพระสงฆ์ก็ยังมาต้อนรับเขา และไม่น่าแปลกใจที่เขาได้รับความนับถือยกย่องจากชาว Sherpa เพราะงานต่าง ๆ ที่ชาว Sherpa ได้ทำในนอร์เวย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ทำให้พวกเขาสามารถส่งเงินจำนวนประมาณ 25 ล้านโครนนอร์เวย์ (ราว ๘๒ ล้านบาท) ให้กับครอบครัวของพวกเขาได้ ทำให้มาตรฐานการครองชีพที่จำเป็นได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น

Geirr Vetti ยกย่องให้ชาว Sherpa เป็นชนชาติเหนือมนุษย์  โดยเขาระบุว่า "ชาว Sherpa เกือบจะเหนือมนุษย์ พวกเขาพัฒนาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำงานบนที่สูง พวกเขาได้สร้างคุณูปการอันล้ำค่าไว้เป็นมรดกบนภูเขาของนอร์เวย์"

งานซ่อมและสร้างทางเดินในนอร์เวย์เริ่มเป็นแหล่งรายได้ในช่วงนอกฤดูกาลปีนเขาของชาว Sherpa โดย Nima Nuri Sherpa หัวหน้าทีมจากชุมชน Kunde ในเขต Solukhumbu ของเนปาล กำลังทำงานในเทือกเขา Lyngen Alps ทางตะวันออกของ Tromsø เพื่อเปิดเส้นทางใหม่ขึ้นภูเขาใหม่ร่วมกับทีมชาว Sherpa อีก ๗ คนจากหมู่บ้านเดียวกัน ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ทีมงานของเขาสร้างบันไดมากกว่า ๔๐๐ ขั้น ทำจากหินในท้องถิ่นหนักถึง 500 ตัน และเคลื่อนย้ายแผ่นหินหนักหนึ่งตันสำหรับแต่ละขั้นด้วยมือ หลังจากที่เฮลิคอปเตอร์ขนหินมา 

"ชุมชนของเราขนส่งทุกอย่างเข้าและออกจากภูมิภาคด้วยตัวเองหรือด้วยจามรีมาโดยตลอด และธรรมเนียมเหล่าได้สืบทอดกันมาทุกชั่วอายุคน" Nima Nuri Sherpa กล่าว 

"โดยปกติแล้วงานประจำของเราคือเป็นไกด์นำทางให้นักปีนเขา แต่การสร้างเส้นทางบนภูเขานั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าและให้ประโยชน์กับผู้คนได้มากกว่ากับ และในปัจจุบันนอร์เวย์ถือว่าเป็นบ้านหลังที่สองของเรา และนี่...คือสิ่งที่ดี"

‘Franja Partisan’ โรงพยาบาลลับ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สู่ ‘อนุสรณ์สถาน’ มรดกโลกของสโลวีเนีย

ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงไม่ค่อยคุ้นกับประเทศ ‘สโลเวเนีย’ สักเท่าไหร่ หากแต่พูดถึงประเทศยูโกสลาเวียก็คงพอคุ้นอยู่บ้าง จริง ๆ แล้ว สโลเวเนียเคยเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย ซึ่งล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1992 

แต่เดิมสโลเวเนียเป็นรัฐเอกราช ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 ประชาชนชาวสโลวีนตัดสินใจก่อตั้งรัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บ ต่อมาเดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 รัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บรวมตัวกับราชอาณาจักรเซอร์เบียกลายเป็นราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นราชอาณาจักรยูโกสลาเวียใน ค.ศ. 1929) 
 

ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สโลวีเนียถูกยึดครอง โดยเยอรมนี อิตาลี และฮังการี และมีพื้นที่เล็ก ๆ อยู่ในการปกครองของรัฐเอกราชโครเอเชียซึ่งเป็นรัฐหุ่นเชิดของนาซีเยอรมนี 

หลังจากนั้นสโลวีเนียก็เข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาชนยูโกสลาเวีย และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียซึ่งเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ประเทศเดียวในกลุ่มตะวันออก ซึ่งไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของกติกาสัญญาวอร์ซอ และล่มสลายหลังจากสงครามยูโกสลาเวีย ในปี ค.ศ. 1990

กลุ่มผู้นำของ Slovene Partisans จากซ้าย : Boris Kraigher, Jaka Avšič, Franc Rozman, Viktor Avbelj และ Dušan Kveder.

หลังจากรู้จักประเทศสโลวีเนียไปแล้ว คราวนี้มารู้จักสถานที่ที่มหัศจรรย์ในประเทศนี้กันบ้างนะครับ นั่นคือ ‘โรงพยาบาล’ Franja Partisan (Partizanska bolnica Franja ในภาษาสโลวีเนีย) เป็นโรงพยาบาลลับของกองกำลังพลพรรคชาวสโลเวเนีย (Slovene Partisans) ซึ่งทำการสู้รบเพื่อต่อต้านกองทัพนาซีเยอรมันและกองกำลังฟาสซิสต์อิตาลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

โรงพยาบาลลับแห่งนี้ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Dolenji Novaki ใกล้ ๆ กับเมือง Cerkno ทางตะวันตกของสโลวีเนีย ดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1943 จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

โรงพยาบาล Franja Partisan ให้การรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมากมาย มีทั้งทหารจากฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายอักษะ แม้ว่ากองกำลัง Wehrmacht (กองทัพเยอรมัน) ได้พยายามค้นหาโรงพยาบาลแห่งนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยถูกค้นพบเลย และปัจจุบันโรงพยาบาล Franja Partisan กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ได้รับการคุ้มครองให้เป็นอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญระดับชาติ

แผนผังและหมายเลขของอาคารโรงพยาบาลก่อนการถูกทำลาย

โดยโรงพยาบาลแห่งนี้ประกอบไปด้วย 
1. กระท่อมสำหรับผู้บาดเจ็บ หลุมหลบภัย
2. หน่วยแยก
3. กระท่อมปฏิบัติการ
4. ค่ายทหารแพทย์
5. หน่วยเอ็กซเรย์
6. ร้านขายเปลหาม
7. ห้องครัว
8. กระท่อมสำหรับผู้บาดเจ็บ ห้องรับประทานอาหาร
9. กระท่อมสำหรับผู้บาดเจ็บ ร้านค้า และเวิร์กช็อปของช่างไม้
10. ห้องพักพนักงาน
11. ห้องน้ำ และ ห้องซักรีด
12. สถานพยาบาล
13. ถังเก็บน้ำ
14. โรงไฟฟ้า
15. อาคารสำหรับฝังแขนขา
16. บังเกอร์เหนือ Pasica Gorge

หลายท่านคงสงสัยว่าโรงพยาบาลแห่งนี้รอดพ้นสายตาของนาซีเยอรมันไปได้อย่างไร คำตอบก็คือโรงพยาบาล Franja Partisan สร้างขึ้นในภูมิประเทศที่ทุรกันดารในช่องเขา Pasica อันห่างไกลทางตะวันตกของสโลวีเนียครับ 

นอกจากนี้ ทางเข้าของโรงพยาบาลถูกซ่อนอยู่ในป่า และสามารถเข้าถึงโรงพยาบาลได้ด้วยสะพานเท่านั้น สะพานสามารถยืดและหดได้ หากศัตรูอยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็จะมีการหดซ่อนสะพานเพื่อรักษาความลับของทางเข้าสู่โรงพยาบาลลับ 

ส่วนในการเข้าสู่กระบวนการรักษา ผู้ป่วยจะถูกปิดตาระหว่างการเคลื่อนย้ายไปยังโรงพยาบาล ทำให้ไม่รู้เส้นทางเข้าโรงพยาบาลที่แน่ชัด นอกจากนี้ รอบๆ โรงพยาบาลแห่งนี้ยังล้อมรอบไปด้วยทุ่นระเบิดและรังปืนกล และด้วยที่รอบๆ พื้นที่มีต้นไม้จำนวนมากจึงช่วยอำพรางอาคารจากการสอดแนมทางอากาศ

คุณพ่อตัวอย่าง!! ‘Fred Vautour’ ภารโรงผู้อุตสาหะ ตลอด 2 ทศวรรษ เพื่อให้ลูกๆ ได้เรียนใน ‘Boston College’

สวัสดีครับ นักอ่านที่รักทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องราวดีๆ มานำเสนอาให้ทุกท่านได้อ่านอีกเช่นเคย ที่ผ่านมา ผมมักจะหยิบยกเรื่องราวของพ่อ-แม่ ครู หรือบุคคลที่ทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ จนกลายเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีมาเล่าบ่อย ๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ขอหยิบยกเรื่องราวของ Fred Vautour ภารโรงของ Boston College ที่อุทิศตนตลอด ๒๒ ปี เพื่อให้ลูกๆ ของเขาได้เรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร มาติดตามกันครับ

ต้องบอกก่อนว่า Boston College (BC) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1863 และแม้ Boston College จะถูกจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย R1 แต่ก็ยังใช้คำว่า ‘วิทยาลัย’ นำหน้าอยู่ เพื่อสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของสถาบันแห่งนี้ในฐานะวิทยาลัยศิลปศาสตร์ขนาดเล็ก ที่เปิดสอนในระดับหลักสูตรระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก

John F. Kerry อดีตวุฒิสมาชิก, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
และอดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พรรค Democrat ศิษย์เก่าของ Boston College

นอกจากนี้ ก็ยังมีศิษย์เก่าที่มีชื่อในหลายสาขาอาชีพ ได้แก่ ผู้ว่าการรัฐ เอกอัครราชทูต สมาชิกสภาคองเกรส นักวิชาการ นักเขียน นักวิจัยทางการแพทย์ นักแสดง Hollywood นักกีฬาอาชีพ และผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 


The Eagles ทีมอเมริกันฟุตบอลของ Boston College

ไม่เพียงเท่านั้น ทีมอเมริกันฟุตบอลของ Boston College คือ The Eagles สีของพวกเขาคือสีน้ำตาลแดงและสีทอง และตัวนำโชคของพวกเขาคือ Baldwin the Eagle ยังได้เข้าแข่งขันใน NCAA Division 1 ในฐานะสมาชิกของ Atlantic Coast Conference (ACC) 

ทีมฮ็อกกี้น้ำแข็งของ Boston College

ส่วนทีมฮ็อกกี้น้ำแข็งของ Boston College ทั้งชายและหญิงได้เข้าแข่งขันกันในลี้คฮอกกี้อีสต์ ทีมฮอกกี้น้ำแข็งชายของ Boston College ชนะการแข่งขันระดับชาติถึง ๕ รายการ

หลังจากกล่าวถึงความโดดเด่นและน่าสนใจของ Boston College แล้ว ก็พอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไม Fred Vautour ถึงอยากให้ลูกๆ ของเขาเข้าเรียนที่นี่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความพยายามตลอด ๒๒ ปีของคนเป็นพ่อ

Enemies in Love ตำนานรักต้องห้ามของ ‘Powell- Albert’ ในยุคที่การ ‘เหยียดสีผิว-เชื้อชาติ’ รุนแรง

Alexis Clark ผู้เขียน

สวัสดีครับนักอ่านทุกท่าน วันนี้ผม ดร.โญธิน มานะบุญ มีเรื่องราวอันเป็น ‘ตำนานรักต่างสีผิวและเชื้อชาติ’ ที่เป็นรักแท้และสุดที่จะลึกซึ้งมาเล่าให้ฟังครับ ความพิเศษของเรื่องนี้คือเป็นเรื่องราวความรักต้องห้ามที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเรื่องราวรักต้องห้ามนี้ถูกเรียบเรียงขึ้นโดย Alexis Clark 

ก่อนจะเข้าเรื่องขอยกคำนำของหนังสือเล่มนี้ของ Darren Walker ประธานมูลนิธิฟอร์ดที่เคยกล่าวไว้ว่า “Enemies in Love ไม่ใช่เรื่องสั้นที่เล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เราคิดว่าเรารู้ แต่ Alexis Clark ได้เล่าเรื่องราวที่เราไม่เคยรู้เลยเกี่ยวกับเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา โดยเล่าผ่านเรื่องราวความรักที่น่าเหลือเชื่อ (แต่เป็นความจริงและยากจะลืมเลือน)”

Enemies in Love เป็นเรื่องราวความรักต่างเชื้อชาติที่เกิดขึ้นระหว่าง ‘Elinor Powell’ นางพยาบาลชาวอเมริกัน-แอฟริกันที่ทำงานในกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กับ Frederick Albert นายทหารเสนารักษ์ในกองทัพ NAZI ของ Hitler ซึ่งถูกฝ่ายสัมพันธมิตรจับตัวได้ในอิตาลี และส่งไปยังค่ายเชลยศึกกลางทะเลทรายแอริโซนา 

เช่นเดียวกับพยาบาลผิวสีคนอื่น ๆ Elinor ได้รับมอบหมายให้ทำงานระดับรองในเมืองทางตะวันตกที่เต็มไปด้วยฝุ่น แดดอบอ้าว และความโดดเดี่ยว โดยกองทัพสหรัฐฯ คิดว่า โอกาสที่พยาบาลผิวดำกับเชลยศึกผิวขาวชาวเยอรมันจะรักกันนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และไม่มีวันเกิดขึ้น

แต่ในความเป็นจริงแล้ว Elinor และ Frederick กลับมีความสัมพันธ์ต่อกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในยุคที่การเหยียดเชื้อชาติรุนแรงมาก อีกทั้งยังเป็นช่วงที่มีสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ดูเหมือนเหตุการณ์แวดล้อมจะไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาแม้แต่นิด เรื่องราวความรักของ Elinor และ Frederick ถูกนำมาเขียนเรียบเรียงโดย Alexis Clark นักข่าว ผู้ซึ่งทำการสัมภาษณ์และการวิจัยทางประวัติศาสตร์เป็นเวลาหลายปี และได้ปะติดปะต่อเรื่องราวที่น่าทึ่งนี้ออกมาเผยแพร่ให้สาธารณชนรับรู้

โดยรายละเอียดของเรื่องราวนี้ ระบุไว้ว่า... ‘Elinor Powell’ เป็นพยาบาลชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่เข้าร่วมกองทัพสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1944 ซึ่งตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เธอเป็นหนึ่งในพยาบาลผิวสีเพียง ๓๐๐ คนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมหน่วยพยาบาลกองทัพบกภายใต้โควตาที่เข้มงวด ทั้งนี้เธอได้รับยศร้อยตรีในหน่วยพยาบาลของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ค่ายเชลยศึกฟลอเรนซ์ มลรัฐแอริโซนา โดยเธอต้องช่วยเหลือดูแลเชลยสงครามซึ่งเป็นทหารเยอรมันนาซีที่ถูกจับในยุโรปและแอฟริกาเหนือด้วย

เนื่องจากมีกฎว่าพยาบาลผิวสีไม่มีสิทธิ์ให้การรักษาทหารอเมริกันผิวขาวจนกว่าจะถึงปีสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1945) แต่เพราะกองทัพกลัวว่า พยาบาลผิวขาวและทหารซึ่งเป็นเชลยสงครามจะมีความสัมพันธ์กัน จึงได้เปลี่ยนให้พยาบาลผิวสีเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในค่ายเชลยศึกฟลอเรนซ์แทนโดยต้องทำงานภายใต้กฎที่เข้มงวด

นักวิจัยไทยสุดเจ๋ง!! รู้จัก ‘ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ อภิวัฒน์ มุทิรางกูร’ หัวหน้าคณะวิจัยและพัฒนาโมเลกุล ‘มณีแดง’

ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ อภิวัฒน์ มุทิรางกูร หัวหน้าคณะผู้วิจัยและพัฒนา โครงการ ‘มณีแดง’

สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน ใครที่ติดตามเรื่องเล่าของผมเป็นประจำก็จะรู้ว่าหลายครั้งหลายคราผมได้หยิบยกเหตุการณ์ในอดีต หรือแม้แต่บุคคลที่สร้างวีรกรรมต่าง ๆ ในอดีตมาเขียนเล่าเรื่องให้ทุกท่านได้อ่านกัน และส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องหรือบุคคลในต่างประเทศ

พอมานั่งตรึกตรองดูแล้ว ผมอยากจะเล่าเรื่องของคนไทยบ้าง และอยากเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันให้มากขึ้น หันซ้ายหันขวาผมก็เจอเรื่องและบุคคลที่น่าสนใจ นั่นก็คือ ‘ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ อภิวัฒน์ มุทิรางกูร’ หัวหน้าคณะผู้วิจัยและพัฒนา โครงการ ‘มณีแดง’ 

สำหรับใครที่ตามข่าวแนว ๆ วิทยาศาสตร์ก็อาจจะเคยได้ยินชื่อ ‘มณีแดง’ กันมาบ้าง และคงตาลุกวาวเมื่อรู้ว่า ‘มณีแดง’ เปรียบดังยาอายุวัฒนะ

ก่อนจะอธิบายว่าทำไม ‘มณีแดง’ เปรียบดังยาอายุวัฒนะ นั้น ผมขอแนะนำประวัติคร่าว ๆ ของ ‘ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ อภิวัฒน์ มุทิรางกูร’ ผู้ค้นพบและวิจัยมณีแดงก่อนนะครับ

ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ อภิวัฒน์ มุทิรางกูร นักวิทยาศาสตร์ชาวไทย อาจารย์ประจำ และอดีตหัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นของไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ผู้เชี่ยวชาญด้านอณูพันธุศาสตร์ มีผลงานวิจัยดีเด่นทางด้านการศึกษาการอณูพันธุศาสตร์โรคมะเร็งโพรงหลังจมูก และสภาวะเหนือพันธุกรรม (Epigenetic) ที่เป็นกลไกสำคัญในการเกิดโรคในมนุษย์ ได้แก่ มะเร็ง โรค autoimmune และโรคชรา

ที่สำคัญ ‘ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ อภิวัฒน์ มุทิรางกูร’ เป็นหัวหน้าคณะผู้วิจัยและพัฒนาโมเลกุล ‘มณีแดง’ หรือ RED-GEMs (REjuvenating DNA by GEnomic Stability Molecules) และนอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยจำนวนมากที่สำคัญ เช่น

๑. การค้นพบ DNA ของไวรัสเอพสไตน์บาร์ (Epstein Barr virus, EBV) ในน้ำเหลืองของผู้ป่วยมะเร็งโพรงหลังจมูก ในปัจจุบันใช้การวัดปริมาณ EBV ของ DNA ในน้ำเหลืองเพื่อติดตามผลการรักษาผู้ป่วยมะเร็งโพรงหลังจมูก

๒. ศึกษาสภาวะเหนือพันธุกรรมของสาย DNA เบสซ้ำเพื่อควบคุมการทำงานของยีนและปกป้องจีโนมของเซลล์ (2-8) ทำให้เกิดแนวทางใหม่ในการป้องกัน ตรวจกรองวินิจฉัยและรักษา มะเร็งและความชราในอนาคต

๓. ศึกษาสภาวะเหนือพันธุกรรมของยีนที่จำเพราะกับชนิดเนื้อเยื่อหรือชนิดการติดเชื้อไวรัส (9-13) ทำให้เกิดแนวทางใหม่ในการตรวจกรองและวินิจฉัยมะเร็งในอนาคต

๔. ค้นพบรอยฉีกขาดของ DNA ที่ดี (14-17) ที่อาจมีประโยชน์ป้องกันความไม่เสถียรของจีโนม ความชราและมะเร็ง น่าจะทำให้เกิดแนวทางใหม่ในการป้องกันการเกิดมะเร็งและความชราในอนาคต

อ่านเพียงเท่านี้ ก็ต้องยกนิ้วโป้งให้ ‘ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ อภิวัฒน์ มุทิรางกูร’ เลยทีเดียว เพราะผลงานที่ศึกษานั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก นอกจากผลงานที่ยกมาบอกเล่าข้างต้นแล้ว ผลงานที่เด่นและเป็นที่สนใจของคนในสังคมมากก็คือ การวิจัย ‘มณีแดง’ ที่คนเปรียบเปรยว่าเป็นเหมือนยาชะลอวัย นั่นเอง

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า การวิจัยและพัฒนาโมเลกุล ‘มณีแดง’ ได้รับทุนวิจัยจากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สกว. สวทช. และ วช. สำหรับทีมวิจัยฯ นอกจากบุคลากรของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว มีรายนามคณะนักวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยสังเขปดังต่อไปนี้ :

๑. ผศ.ดร. จิรพรรณ  ทองสร้อย มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ผู้ศึกษาการตรวจวัด รอยแยกของ DNA
๒. ศาสตราจารย์ ดร. นพ. นิพนธ์ ฉัตรธิพากร และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สถานที่และคำแนะนำในเรื่องการย้อนวัยของหนูชรา
๓. บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) และคณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินการเลี้ยงและวิเคราะห์หมู
๔. อาจารย์ ดร. สรวงสุดา สุภาสัย ภาควิชาชีวโมเลกุลและพันธุศาสตร์โรคเขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษาหนูพาร์กินสัน และหนู อัลไซเมอร์
๕. ผศ.ดร.สุกัญญา เจริญพร และคณะ ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการศึกษาลิงแสม

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะผู้วิจัยได้รายงานการค้นพบ DNA ของเชื้อไวรัสเอพสไตน์บาร์ (Epstein Barr virus, EBV) หรือ EBVDNA ในน้ำเหลืองของผู้ป่วยมะเร็งโพรงหลังจมูก การค้นพบนี้ทำให้เกิดการพัฒนาการตรวจติดตามผลการรักษา โดยที่ EBVDNA จะหายหมดไปหากไม่มีเนื้อมะเร็งโพรงหลังจมูกหลงเหลือ และหากพบมี EBVDNA ในน้ำเหลืองแสดงว่ามีการกลับเป็นซ้ำเกิดขึ้น ในปัจจุบัน แต่ละปีมีผู้ป่วยมะเร็งโพรงหลังจมูกประมาณ ๖ แสนคนทั่วโลก ได้ประโยชน์จากการตรวจหา EBVDNA ในน้ำเหลือง

ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ คณะผู้วิจัยเริ่มรายงานค้นพบการเปลี่ยนแปลงสภาวะเหนือพันธุกรรมของสาย DNA เบสซ้ำในเซลล์มะเร็ง ในผู้ชรา และในโรคอื่น ๆ เช่น กระดูกผุ โรค SLE หรือรู้จักกันในชื่อโรคพุ่มพวง การศึกษาต่อเนื่องทำให้รู้กลไกและบทบาทที่ส่งผลต่อการเกิดพยาธิสภาพของโรค ทั้งจาก ความไม่เสถียรของจีโนมและการแสดงออกของยีนที่เปลี่ยนไป ในปัจจุบันคณะผู้วิจัย กำลังศึกษาวิธีการที่จะนำความรู้เกี่ยวกับ สภาวะเหนือพันธุกรรมของสาย DNA เบสซ้ำ มาพัฒนาเป็นยารักษามะเร็ง ป้องกันความพิการจากความชรา และการตรวจกรองมะเร็งที่พบบ่อย นอกจากนี้คณะผู้วิจัยยังเป็นผู้ค้นพบสภาวะเหนือพันธุกรรมของยีนที่จำเพราะกับชนิดเนื้อเยื่อหรือชนิดการติดเชื้อไวรัส และกำลังกำลังศึกษาวิธีการที่จะนำความรู้นี้ไปใช้วินิจฉัยและการตรวจกรองมะเร็งในอนาคต

ส่วนผลงานวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ คณะผู้วิจัยรายงานการค้นพบรอยฉีกขาดของ DNA ที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน รอยฉีกขาดของ DNA ที่รู้จักกันจะทำให้เซลล์ตายหรือกลายพันธุ์ แต่รอยฉีกขาดที่ค้นพบกลับน่าจะมีประโยชน์ต่อเซลล์ทำให้จีโนมเสถียร ไม่แก่และไม่เป็นมะเร็ง เป็นการค้นพบกลไกต้นน้ำของความชราบริเวณรอยแยก (youth-DNA-gap) ตรงจุดที่มี DNA แมดทิเลชัน (DNA methylation) ดังนั้นการเข้าใจกลไกการเปลี่ยนแปลงในระดับโมเลกุลที่รอยฉีกขาดนี้อาจนำไปสู่การป้องกันการแก่และมะเร็งในอนาคต 

‘Operation Solomon’ ปฏิบัติการ ‘อพยพชาวยิว’ จากเอธิโอเปียสู่อิสราเอล สร้างสถิติขนส่งผู้โดยสารทางอากาศมากที่สุดในโลก

สวัสดีปีใหม่นักอ่านทุกท่านของ THE STATES TIMES หวังว่าปีนี้จะเป็นปีที่สดใสและทุกท่านจะมีความสุข ร่ำรวย และแข็งแรงกันทุกคนนะครับ

สำหรับปีใหม่นี้ ผม อาจารย์โญธิน มานะบุญ ก็ยังคงมีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกันเช่นเคย เรื่องราววันนี้เกี่ยวกับการขนส่งผู้โดยสารบนเครื่องบินที่มากที่สุดในโลกครับ

การขนส่งผู้โดยสารบนเครื่องบินภายในหนึ่งเที่ยวบิน และขนคนได้มากที่สุดในโลก จนโด่งดังและเป็นสถิติโลก เกิดขึ้นในภารกิจปฏิบัติการโซโลมอน หรือ Operation Solomon ซึ่งถือว่าเป็นปฏิบัติการที่เหนือขีดจำกัดของมนุษยชาติเลยทีเดียว

แต่ก่อนจะเกิดปฏิบัติการโซโลมอน เคยมีปฏิบัติการคล้าย ๆ แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งคือ ‘ปฏิบัติการ Moses’ และ ‘ปฏิบัติการ Joshua’ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ชาวยิวในเอธิโอเปีย หรือที่เรียกว่า Beta Israel ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภูมิภาค Gondar ของที่ราบสูงเอธิโอเปีย มีอาชีพชาวนาและช่างฝีมือ อพยพไปยังอิสราเอล ซึ่งการอพยพทั้ง 2 ครั้งนั้นรัฐบาลเอธิโอเปียยินยอมให้เกิดขึ้นเพื่อแลกกับอาวุธและการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ และมีชาวยิวไม่มากที่สามารถอพยพไปได้ 

สำหรับ Operation Solomon (מבצע שלמה, Mivtza Shlomo) นั้น เป็นปฏิบัติการลับทางทหารของอิสราเอลเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 24 ถึง 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1991 เพื่อส่งชาวยิวในเอธิโอเปียไปยังอิสราเอลโดยขนส่งทางอากาศ ด้วยเที่ยวบินตรงของเครื่องบินอิสราเอลจำนวน ๓๕ ลำ เช่น C-130 ของกองทัพอากาศอิสราเอล และเครื่องบิน Boeing 747 ของสายการบิน El Al ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของอิสราเอล ในครั้งนั้นได้ทำการขนย้ายชาวยิวเอธิโอเปียจำนวน ๑๔,๓๒๕ คนไปยังอิสราเอลภายใน ๓๖ ชั่วโมง 

โดยเครื่องบิน Boeing 747 ของสายการบิน El Al ลำหนึ่งได้บรรทุกคนอย่างน้อย ๑,๐๘๘ คน รวมถึงทารกแรกเกิดอีกสองคน (เกิดระหว่างการขนส่ง) และถือเป็นสถิติโลกที่มีผู้โดยสารมากที่สุดบนเครื่องบินโดยสาร ทั้งนี้มีเด็กแปดคนถือกำเนิดในระหว่างกระบวนการขนส่งทางอากาศในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย

Mengistu Haile Mariam อดีตประธานาธิบดีของเอธิโอเปีย

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ปฏิบัติการโซโลมอนต้องเริ่มขึ้นก็เพราะในปี ค.ศ. 1991 รัฐบาลเอธิโอเปียของ Mengistu Haile Mariam เริ่มเสื่อมอำนาจและใกล้จะถูกโค่นล้มโดยกลุ่มกบฏ Eritrean และ Tigrayan ซึ่งทำลายเสถียรภาพทางการเมืองของเอธิโอเปียอย่างมาก ทำให้องค์กรชาวยิวทั่วโลก เช่น American Association for Ethiopian Jewish (AAEJ) รวมทั้งรัฐบาลอิสราเอลเป็นกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาวยิวเอธิโอเปีย บวกกับอำนาจที่น้อยลงเรื่อย ๆ ของรัฐบาล Mengistu จึงได้เปิดโอกาสให้ชาวยิวในเอธิโอเปียสามารถอพยพไปยังอิสราเอลได้

โดยก่อนหน้านี้ ในปี ค.ศ. 1990 รัฐบาลอิสราเอลและกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ตระหนักถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เลวร้ายลงของเอธิโอเปีย จึงได้วางแผนการลับ ๆ เพื่อขนส่งชาวยิวทางอากาศไปยังอิสราเอล 

สหรัฐอเมริกาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนปฏิบัติการโซโลมอนในครั้งนี้ด้วย โดยหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการเรียกร้องจากผู้นำชาวยิวอเมริกันจากองค์กร American Association for Ethiopian Jewish (AAEJ) ที่ระบุว่า “ชาวยิวเอธิโอเปียกำลังตกอยู่ในอันตราย” 

สหรัฐอเมริกามีผลต่อการตัดสินใจในเรื่องการอพยพชาวยิวเอธิโอเปียของรัฐบาลเอธิโอเปียอย่างมาก โดยรัฐบาลเอธิโอเปียได้รับแรงกระตุ้นจากจดหมายของประธานาธิบดี George H. W. Bush (ผู้ซึ่งเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการ Moses และปฏิบัติการ Joshua ก่อนหน้านี้ในครั้งนั้นประธานาธิบดี Mengistu ตั้งใจจะอนุญาตให้มีการอพยพเพื่อแลกกับอาวุธเท่านั้น)

Rudy Boschwitz วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ

นอกจากนี้ ทางสหรัฐฯ ยังส่งกลุ่มนักการทูตอเมริกันเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินการแก่รัฐบาลอิสราเอลและเอธิโอเปีย นำโดย Rudy Boschwitz วุฒิสมาชิก, Irvin Hicks รองผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกิจการแอฟริกา, Robert Frasure ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการแอฟริกาแห่งสภาความมั่นคงแห่งชาติจากทำเนียบขาว และ Robert Houdek อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ณ กรุงแอดดิสอาบาบา 

Boschwitz ถูกส่งไปเป็นทูตพิเศษของประธานาธิบดี Bush เขาและทีมงานได้พบกับรัฐบาลเอธิโอเปียเพื่อช่วยเหลืออิสราเอลในการจัดการขนส่งทางอากาศ 

นอกจากนี้ Herman Cohen ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแอฟริกายังมีบทบาทสำคัญ เนื่องจากเขาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศของสงครามกลางเมืองในเอธิโอเปีย 

Cohen ได้ทำข้อตกลงต่าง ๆ กับ Mengistu เอาไว้ และเพื่อตอบสนองต่อความพยายามของนักการทูตอเมริกัน รักษาการประธานาธิบดีแห่งเอธิโอเปีย Tesfaye Gebre Kidan ได้ตัดสินใจที่จะอนุญาตให้มีการอพยพชาว Beta Israel ทางอากาศ 

การเจรจารอบปฏิบัติการนำไปสู่การอภิปรายโต๊ะกลมในลอนดอนในที่สุด ซึ่งจัดทำคำประกาศร่วมโดยนักรบเอธิโอเปียซึ่งตกลงที่จะจัดประชุมเพื่อเลือกรัฐบาลเฉพาะกาล 

ชุมชนชาวยิวระดมเงิน 35 ล้านดอลลาร์เพื่อมอบให้กับรัฐบาลในเอธิโอเปียเพื่อให้ชาวยิวเอธิโอเปียสามารถอพยพไปยังอิสราเอลได้ เงินที่ได้ไปเป็นค่าใช้จ่ายที่สนามบินในกรุงแอดดิสอาบาบา

รักนิรันดร ‘Yasuo Takamatsu’ ชายผู้ดำน้ำตามหาภรรยา ที่หายตัวไปจากเหตุสึนามิที่ญี่ปุ่น ในปี 2011

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2011 เกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิโทกุที่พัดถล่มชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น ทำให้ผู้คนราว ๆ หนึ่งในสี่ล้านคนต้องสูญเสียบ้าน และคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบ ๒๐,๐๐๐ คน และเหยื่อจากสึนามิครั้งนั้นมากกว่า ๒,๕๐๐ รายยังคงสูญหาย


Yasuo Takamatsu ก็เป็นหนึ่งในผู้สูญเสียจากเหตุการณ์สินามิครั้งนั้นเช่นกัน โดยเขาได้สูญเสีย Yuko ภรรยาสุดที่รักของเขา 

ขณะเกิดเหตุสินามิ Yasuo อยู่กับมารดาที่โรงพยาบาลในเมืองใกล้เคียง ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปยังเมืองที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิทำลายล้าง ซึ่งในเวลานั้น ตึกรามบ้านช่อง รถยนต์ และเรือตกปลาจำนวนมากถูกทำลาย และโรงพยาบาลซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาถูกกำหนดให้เป็นศูนย์อพยพ โดยมีผู้คนหลายร้อยคนไปพึ่งพิงที่โรงพยาบาลแห่งนั้นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวได้ไม่นาน

หลายเดือนภายหลังจากภัยพิบัติผ่านพ้นไป Yasuo ก็พบเพียงโทรศัพท์ของภรรยาในลานจอดรถของธนาคารที่เธอทำงานอยู่ เขากล่าวถึงความ ‘น่าหดหู่ใจ’ ที่ต้องคิดถึงการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีภรรยา 

หากย้อนกลับไปยังวันที่เกิดเหตุสึนามิ ขณะที่ภรรยาของเขากำลังทำงานอยู่ เธอได้ส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ เธอถามผู้เป็นสามีว่า “คุณสบายดีไหม” และในข้อความสุดท้ายของเธอถึงสามีมีเพียงข้อความว่า “ฉันอยากกลับบ้าน” และหลังจากนั้นเธอก็ขาดการติดต่อ

Yasuo ได้ใช้เวลาค้นหาภรรยาบนบกนานกว่าสองปีครึ่งภายหลังสึนามิถล่มแผ่นดินใหญ่ และยังคงพยายามค้นหาเธอทุกวิถีทาง จนในที่สุด Yasuo Takamatsu ในวัย ๕๗ ปี ก็เริ่มเรียนดำน้ำในเดือนกันยายน ค.ศ. 2013 จนได้รับใบอนุญาตในการดำน้ำระดับสูงเพื่อค้นหาภรรยาของเขา

เดิมที Yasuo Takamatsu เป็นพนักงานขับรถบัส และไม่ชอบการดำน้ำ แต่ด้วยความต้องการที่จะค้นหาภรรยาให้พบ จึงกลายเป็นเรื่อง ‘บังคับ’ ให้เขาดำลงในมหาสมุทรไปโดยปริยาย

อดีตที่ขมขื่น!! ความเจ็บปวดใต้การปกครองของชาติอาณานิคม ส่งผลให้ ‘ชาวอินโดนีเซีย’ รักบ้านเกิดเมืองนอนยิ่งกว่าชีวิต

การล่าอาณานิคม คือ หลักการการผนวกเอาดินแดนหรืออำนาจทางเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่แล้วจะต้องใช้ ‘กำลังทหาร’ เข้าช่วย 

สำหรับราชอาณาจักรสยาม หรือราชอาณาจักรไทยนั้น ผ่านพ้นเหตุการณ์เช่นนั้นมาด้วยพระปรีชาสามารถในพระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ คนสยามหรือคนไทยในปัจจุบัน จึงไม่เคยลิ้มชิมรสชาติของการเป็นพลเมืองของชาติอาณานิคมที่ถูกเจ้าอาณานิคมชาติตะวันตกปกครอง 

แต่สำหรับชาวอินโดนีเซียแล้ว พวกเขามีช่วงเวลาที่เลวร้ายกับการตกเป็นอาณานิคมของต่างชาติมานานกว่า ๓๕๐ ปี ความเป็นอาณานิคมเพิ่งสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 เมื่ออินโดนีเซียประกาศเอกราช แต่หลังจากนั้น ต่างชาติจากยุโรปซึ่งก่อนหน้านี้ถูกนาซีเยอรมันยึดครองได้พยายามกลับมายึดครองอินโดนีเซียอีกครั้งด้วยปฏิบัติการทางทหารถึงสองครั้งในปี ค.ศ. 1947 และ ค.ศ. 1948 แต่ก็ประสบความล้มเหลวทั้งสองครั้งสองครา

เหล่าต่างชาติที่เคยรุกราน ยึดครอง และแสวงหาประโยชน์จากอินโดนีเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1509 - 1948 ได้แก่ โปรตุเกส (ค.ศ. 1509 - 1595) สเปน (ค.ศ. 1521 - 1629) ดัตช์ (ค.ศ. 1602 - 1942) ฝรั่งเศส (ค.ศ. 1806 - 1861) อังกฤษ (ค.ศ. 1811 - 1816) และญี่ปุ่น (ค.ศ. 1942 - 1945) 

ในช่วงที่ตกเป็นอาณานิคม ชาวอินโดนีเซียในท้องถิ่นไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น การอ่านและการเขียน และคนในท้องถิ่นก็ยากจนลงอย่างเป็นระบบ อดอยากจนตาย และถูกเลือกปฏิบัติอย่างเลวร้าย ต่างชาติที่ยึดครองอินโดนีเซียในขณะนั้นถือว่าชาวอินโดนีเซียเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ และคาดหวังจะทำให้ชาวอินโดนีเซียเป็นทาสในอาณานิคมของตน

ทหาร-ตำรวจของเจ้าอาณานิคมปฏิบัติต่อชาวบ้านในอืนโดนีเซียช่วงเวลาที่ถูกยึดครอง

 

การบังคับใช้แรงงานในยุคอาณานิคมในอินโดนีเซีย

 

มหาสงครามอาเจะห์

สงคราม Padri ในสุมาตราตะวันตก


กษัตริย์ Sisingamaraja จาก North Sumatera ผู้นำประชาชนต่อสู้กับชาวดัตช์

กุหลาบแห่งโตเกียว ‘Tokyo Rose’ อาวุธร้ายแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่ใช้โจมตีขวัญกำลังใจของทหารสัมพันธมิตรใน WW II

ขึ้นชื่อว่าสงคราม หลายคนคงจะนึกถึงการใช้ความรุนแรง อาวุธ หรือกำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คาดหวังหรือมุ่งหมาย แต่จริงๆ แล้วในการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญมากกว่าอาวุธและขาดไม่ได้เลยคือ ‘สงครามจิตวิทยา’ (Psychological warfare) 

‘สงครามจิตวิทยา’ คือการทำสงครามที่ใช้ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาที่มุ่งเน้นให้เกิดผลกระทบต่อ ‘ความคิด’ และ ‘ความเชื่อ’ ของบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อร่วมกับปฏิบัติการจิตวิทยา 

สงครามจิตวิทยานั้นสามารถทำได้ทั้งในยามสงบและยามสงคราม ทั้งฝ่ายข้าศึกและฝ่ายเดียวกัน รวมถึงฝ่ายเป็นกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการทหาร ในระดับยุทธศาสตร์ ยุทธการ และระดับยุทธวิธี

เมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เช่นกัน ในสมรภูมิตะวันออก (เอเชีย-แปซิฟิก) สงครามจิตวิทยาที่กองทัพญี่ปุ่นนำมาใช้กับกองกำลังสัมพันธมิตรคือ ‘การโฆษณาชวนเชื่อทางวิทยุ’ โดยหญิงที่ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีฉายาว่า ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo Rose) อันเป็นชื่อที่ทหารกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ปฏิบัติการในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ใช้เรียกโฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษราว ๆ ๑๒ นาง

โฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายขวัญและกำลังใจของกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ฟังการแพร่สัญญาณ โดยเน้นย้ำถึงความยากลำบากในการทำสงครามและความสูญเสียทางทหารที่เกิดขึ้นมากมาย ผู้ประกาศหญิงหลายคนดำเนินการโดยใช้นามแฝงที่แตกต่างกัน และกระจายเสียงในเมืองต่าง ๆ ทั่วดินแดนที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครอง รวมถึง โตเกียว มะนิลา และเซี่ยงไฮ้ 

ทั้งนี้ ชื่อ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ไม่เคยถูกใช้โดยฝ่ายญี่ปุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1943 ทหารอเมริกันในแปซิฟิกมักฟังการแพร่สัญญาณโฆษณาชวนเชื่อเพื่อรับทราบถึงผลของการปฏิบัติทางทหารของพวกตน โดยจับความหมายโดยนัย นอกเหนือจากการปฏิบัติแล้ว ยังมีการขวัญในหมู่ทหารอเมริกันว่า เรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอ มักมีความแม่นยำอย่างน่ากลัว สามารถกล่าวถึง หน่วยทหารและกระทั่งชื่อของทหารบางคนได้ แม้ว่าเรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอเหล่านี้ไม่เคยมีเอกสารพิสูจน์ เช่น บทและการแพร่สัญญาณที่ถูกบันทึกเอาไว้ 

Iva Ikuko Toguri D'Aquino (4 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 – 26 กันยายน ค.ศ. 2006) เป็นนักจัดรายการและนักจัดรายการวิทยุชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยร่วมจัดรายการวิทยุภาษาอังกฤษที่ส่งโดย Radio Tokyo ไปยังกองทหารสัมพันธมิตรในรายการวิทยุ The Zero Hour แม้ว่าเธอจะออกอากาศโดยใช้ชื่อ ‘Orphan Ann’ แต่ Iva Toguri ก็เป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Tokyo Rose’ 

Iva Toguri เป็นพลเมืองอเมริกัน เกิดที่นครลอสแองเจลิส พ่อ-แม่ของเธอเป็นผู้อพยพชาวญี่ปุ่น จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตนครลอสแองเจลิส ในปี ค.ศ. 1940 ด้วยปริญญาตรีด้านสัตววิทยา 

ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 เธอต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมอาการป่วยของญาติ โดยพักอยู่กับครอบครัวของป้า ก่อนการโจมตีอ่าวเพิร์ลของกองทัพญี่ปุ่น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกใบรับรองประจำตัวให้เธอ เพราะเธอไม่มีหนังสือเดินทาง และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน Iva Toguri ได้ยื่นขอหนังสือเดินทางต่อรองกงสุลสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น โดยระบุว่า เธอต้องการกลับบ้านในสหรัฐฯ 
 

คำขอของเธอถูกส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ และท้ายที่สุดเธอไม่สามารถเดินทางออกจากญี่ปุ่นได้เมื่อเกิดสงครามกับสหรัฐอเมริกา ทั้งยังไม่สามารถอยู่กับครอบครัวของป้าได้ เพราะเธอเป็นพลเมืองอเมริกัน ซ้ำร้ายเธอยังไม่สามารถรับความช่วยเหลือใด ๆ จากพ่อแม่ของเธอที่ถูกกักไว้ในค่ายกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในมลรัฐแอริโซนาอีกด้วย และที่เจ็บปวดที่สุดคือหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ (7 ธันวาคม ค.ศ. 1941) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะรับรองการเป็นพลเมืองของเธออีก

เมื่อชีวิตดูมืดมิดและมาถึงทางตัด Iva Toguri จึงต้องจำใจยอมรับงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดชั่วคราวที่ Radio Tokyo (NHK) 

ต่อมาเธอได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ประกาศของ The Zero Hour รายการโฆษณาชวนเชื่อความยาว ๗๕ นาทีอย่างรวดเร็ว ซึ่งรายการนี้ประกอบด้วย เรื่องตลก รายงานข่าว และเพลงอเมริกันยอดนิยม 

เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 เธอถูกกองทัพสหรัฐฯ ควบคุมตัวเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนที่เธอจะถูกปล่อยเนื่องจากขาดหลักฐาน เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมเห็นพ้องต้องกันว่า การออกอากาศของเธอ ‘ไม่มีพิษมีภัย’


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top