Tuesday, 14 May 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

เผด็จการผู้ยิ่งใหญ่!! รู้จัก ‘Thomas Isidore Noël Sankara’ ผู้นำการปฏิวัติแห่ง ‘Burkina Faso’

Thomas Isidore Noël Sankara เป็นนายทหารยศร้อยเอกในกองทัพ Upper Volta อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศสในแอฟริกาตะวันตก เขาเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการทำรัฐประหารโค่น พันเอก Saye Zerbo จนต้องออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1982 

เขาสืบทอดอำนาจจาก พันตรี Jean-Baptiste Ouedraogo จากการแย่งชิงอำนาจในประเทศได้สำเร็จ และกลายเป็นประธานาธิบดีของประเทศ Upper Volta ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 1983 เขานำนโยบายฝ่ายซ้ายสุดโต่งมาใช้ และพยายามลดการทุจริตของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เขาเป็นผู้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก Upper Volta เป็น Burkina Faso ซึ่งแปลว่า ‘ดินแดนแห่งมนุษย์ผู้เที่ยงธรรม’ 

Thomas Isidore Noël Sankara (21 ธันวาคม ค.ศ. 1949 - 15 ตุลาคม ค.ศ. 1987) นอกจากจะเป็นร้อยเอกในกองทัพ Upper Volta (Burkina Faso) แล้วยังเป็นนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ์ นักทฤษฎีชาวแอฟริกัน และประธานาธิบดีแห่ง Burkina Faso ระหว่างปี ค.ศ. 1983 ถึง ค.ศ. 1987 ผู้ที่สนับสนุนเขาต่างมองว่า เขาเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์ และเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ จนได้รับการขนานนามเขา โดยเรียกกันทั่วไปว่า ‘Che Guevara แห่งแอฟริกา’

Sankara ยึดอำนาจในการก่อรัฐประหารที่ประชาชนสนับสนุนเมื่อปี ค.ศ. 1983 ขณะอายุ ๓๓ ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัดการทุจริตคอร์รัปชัน และการครอบงำของ ฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคม เขาเปิดตัวหนึ่งในโครงการที่แสดงถึงความทะยานอยากที่สุดในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่เคยมีมาในทวีปแอฟริกา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองตนเอง และการเกิดใหม่นี้ เขาจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก Upper Volta เป็น Burkina Faso (ดินแดนแห่งมนุษย์ผู้เที่ยงธรรม) 

Sankara ดำเนินนโยบายนโยบายต่างประเทศโดยมุ่งเน้นไปที่การต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งรัฐบาลของเขาได้ยอมละทิ้งความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด ผลักดันให้มีการลดหนี้ที่ไม่เหมาะสม ยึดเอาที่ดิน สินแร่ และทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดให้ตกเป็นของรัฐ ตลอดจนขัดขวางอำนาจและอิทธิพลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก 

นโยบายภายในประเทศของเขามุ่งเน้นไปที่การป้องกันความอดอยาก ด้วยการพึ่งพาตนเองในไร่นาและการปฏิรูปที่ดิน จัดลำดับความสำคัญของการศึกษาด้วยการรณรงค์ให้ความรู้ทั่วประเทศ และส่งเสริมสุขภาพของประชาชนด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้เหลือง และโรคหัดแก่เด็กสองล้านห้าแสนคนคน

นอกจากนี้ยังมีนโยบายอื่น ๆ ที่เป็นวาระแห่งชาติ เช่น การปลูกต้นไม้กว่าสิบล้านต้นเพื่อหยุดยั้งการกลายเป็นทะเลทรายที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นภาษีเลือกตั้งและค่าเช่าบ้านในชนบท และสร้างโครงการก่อสร้างถนนและทางรถไฟเพื่อนำไปสู่การ ‘รวมชาติเป็นหนึ่ง’

ในระดับท้องถิ่น Sankara ยังเรียกร้องให้ทุกหมู่บ้านสร้างคลินิกเอง และให้ชุมชนกว่า ๓๕๐ แห่งสร้างโรงเรียนด้วยแรงงานของตนเอง 

นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อสิทธิสตรีทำให้เขาออกกฎหมายห้ามการขริบอวัยวะเพศหญิง การบังคับแต่งงาน และการแต่งงานที่มีภรรยาหลายคน ขณะเดียวกันก็แต่งตั้งสตรีให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล และสนับสนุนให้พวกเธอทำงานนอกบ้านและเข้าโรงเรียนแม้ว่าจะตั้งครรภ์ก็ตาม

ความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ของ Sankara ได้เปลี่ยนประเทศของเขาจากประเทศในแอฟริกาตะวันตกที่เงียบสงบด้วยการเปลี่ยนชื่อประเทศซึ่งเป็นอดีตอาณานิคม Upper Volta เพื่อให้กลายเป็นวงล้อแห่งความก้าวหน้าภายใต้ชื่ออันน่าภาคภูมิใจว่า Burkina Faso (ดินแดนแห่งมนุษย์ผู้เที่ยงธรรม) เขาเป็นผู้คิดและทำโครงการปฏิรูปที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในทวีปแอฟริกา ซึ่งพยายามที่จะย้อนกลับความเหลื่อมล้ำทางสังคมเชิงโครงสร้างที่สืบทอดมาจากการเป็นอดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส

Sankara เน้นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของรัฐกับคนส่วนใหญ่ชายขอบในชนบท และนำที่ดินจากนายทุนเจ้าของที่ดินไปแบ่งให้ชาวนา 

เดิมที่ประเทศในแอฟริกาส่วนใหญ่พึ่งพาอาหารที่นำเข้าและความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อการพัฒนาประเทศ

แต่ Sankara กลับสนับสนุนการผลิตและการบริโภคสินค้าที่ผลิตในท้องถิ่น เพราะเขาเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า ชาว Burkina Faso จะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อขับเคลื่อนสังคมร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาของพวกเขา เพราะเดิมทีส่วนใหญ่ขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม แต่ Burkina Faso ก็สามารถทำให้เกษตรกรชาว Burkina Faso เพิ่มการผลิตข้าวสาลีเป็นสองเท่า ได้

‘Howard Unruh’ มือสังหารหมู่ด้วยอาวุธปืน ในที่สาธารณะรายแรกของสหรัฐอเมริกา

ในสังคมมนุษย์ของเรานั้น มีความรุนแรงหลายรูปแบบ และเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน ‘เหตุการณ์สังหารหมู่ด้วยอาวุธในที่สาธารณะ’ ก็เป็นหนึ่งในความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ และเกิดขึ้นมานานมากแล้ว เราจะเห็นเรื่องราวเช่นนี้ได้ชัดจากสถานการณ์ สงคราม การยึดอำนาจ การปฏิวัติ หรือการทำรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นไปทั่วโลก และเกิดขึ้นในทุกภูมิภาค 

สำหรับ ‘เหตุการณ์สังหารโดยใช้อาวุธปืนในที่สาธารณะ’ เกิดขึ้นมาราวๆ ๑๐๐ ปีเศษ อันเนื่องมาจากพัฒนาการของอาวุธปืนแบบบรรจุเอง หรือปืนแบบกึ่งอัตโนมัติ และปืนแบบอัตโนมัติในเวลาต่อมา 

สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุตสาหกรรมอาวุธปืนขนาดใหญ่มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และถือเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีด้านอาวุธสงครามที่ทันสมัย นั่นจึงไม่แปลก หากจะเป็นประเทศที่เกิดเหตุความรุนแรงเนื่องมาจากอาวุธปืนบ่อยครั้ง

ส่วนเหตุการณ์สังหารหมู่ด้วยอาวุธปืนในที่สาธารณะครั้งแรกของสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1949 ซึ่งมีชาวอเมริกันถูกสังหารไปถึง ๑๓ คน ในเวลา ๑๒ นาทีที่เดินทางผ่านย่านที่พักอาศัยของ ‘มือปืน’ ในเมือง Camden มลรัฐ New Jersey  

Howard Barton Unruh

มือปืนรายนี้คือ ‘Howard Barton Unruh’ (21 มกราคม ค.ศ. 1921 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2009) บุตรชายของ Samuel Shipley Unruh และ Freda E. Vollmer เขามีน้องชายคนหนึ่งชื่อ James พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูจากแม่หลังจากที่พ่อและแม่ได้แยกทางกัน 

Unruh เติบโตในเขต East Camden มลรัฐ New Jersey และเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมต้น Cramer Junior และจบการศึกษามัธยมปลายจากโรงเรียนมัธยมปลาย Woodrow Wilson ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1939 หนังสือรุ่นประจำปีของโรงเรียนมัธยมปลาย Woodrow Wilson ในปี ค.ศ. 1939 ระบุว่า เขาเป็นคนขี้อาย และความใฝ่ฝันของเขาคือ การได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ 

Unruh สมัครเป็นทหารในกองทัพบกสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1942 และเข้าประจำการในฐานะพลประจำรถถังทำการรบในสมรภูมิยุโรประหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 ถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1945 

Norman E. Koehn หัวหน้าของ Unruh ระบุว่า เขาจำ Unruh ได้ว่า เคยเป็นพลทหารชั้นหนึ่งที่ไม่เคย ดื่มเหล้า สบถ หรือไล่ตามสาว ๆ และเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านพระคัมภีร์ และเขียนจดหมายยาว ๆ ถึงแม่ของเขา เล่ากันว่า Unruh จดบันทึกเกี่ยวกับศัตรูที่ถูกสังหารในการต่อสู้อย่างพิถีพิถัน โดยลงไปจนถึงรายละเอียดของศพ 


Victory Medal ซึ่งเป็นหนึ่งในเหรียญรางวัลเชิดชูเกียรติที่ Howard Unruh ได้รับ

Unruh ได้รับเหรียญรางวัลเชิดชูเกียรติ European Theatre of Operations Medal, Victory Medal และ Good Conduct Medal เขาได้รับการปลดประจำการอย่างมีเกียรติเมื่อสิ้นสุดสงคราม และกลับไปยังมลรัฐ New Jersey เพื่ออยู่กับแม่ของเขา ทั้งน้องชายและพ่อของเขาระบุในภายหลังว่า ประสบการณ์ในช่วงสงครามของ Unruh ทำให้เขาเปลี่ยนไป ทำให้เขาอารมณ์แปรปรวน ประหม่า และแยกตัวจากครอบครัว

หลังจากปลดประจำการ Unruh ได้ผันตัวมาเป็นคนงานของโรงงานโลหะแผ่น แต่ก็เข้าทำงานเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ 

หลังจากนั้นเขาก็สมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยเภสัชกรรม มหาวิทยาลัย Temple มลรัฐ Philadelphia แต่ลาออกหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน โดยอ้างถึง ‘เหตุผลทางสุขภาพ’ 

Unruh อยู่ได้โดยอาศัยรายได้ของแม่ของเขา ซึ่งเป็นพนักงานโรงงานสบู่ Unruh เก็บตัวในบ้าน ประดับเหรียญรางวัลเชิดชูเกียรติของเขา อ่านพระคัมภีร์ และฝึกยิงปืนในห้องใต้ดิน ซึ่งถูกดัดแปลงให้เป็นห้องฝึกซ้อมยิงปืน


ภาพวาดของ Howard Unruh

ในช่วงเวลานี้เองที่ความสัมพันธ์ของ Unruh กับเพื่อนบ้านของเขาเลวร้ายลง ซ้ำร้ายความขุ่นเคืองใจของเขาก็เพิ่มขึ้นจากสิ่งที่เขามองว่าเป็น ‘คำพูดที่ดูถูกเกี่ยวกับตัวตนของเขา’ จากเพื่อนบ้าน

โดย James น้องชายของเขาได้ชี้ไปที่ประเด็นความบาดหมางระหว่าง Unruh กับเพื่อนบ้านของเขาคือ ‘ดร. Maurice Cohen’ มีอาชีพเป็นเภสัชกร ทั้งสองบาดหมางกันเรื่องที่ Unruh ใช้สวนหลังบ้านของ Cohen เพื่อเป็นทางเข้าอพาร์ตเมนต์ของเขา 

โดยก่อนเกิดการสังหาร ‘Unruh’ ได้ไปที่โรงภาพยนตร์ใน Philadelphia และชมภาพยนตร์ไปหลายเรื่องก่อนที่จะกลับบ้านในช่วงเวลาตีสาม ทั้งนี้เขาไปโรงภาพยนตร์เพื่อพบกับชายคนหนึ่งตามนัด แต่เขาไปสาย และไม่ได้เจอกับชายคนที่เขานัดเอาไว้ และเมื่อกลับถึงบ้าน ประตูที่เขาได้ติดตั้งในวันนั้นก็ถูกถอดออกไปแล้ว

ปืนพกแบบ Luger P08

เวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. ของวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1949 Unruh รับประทานอาหารเช้าที่แม่ของเขาเตรียมไว้ จากนั้นจึงออกไปพบ ‘Carolina Pinner’ เพื่อนบ้านในเวลาประมาณ ๐๙.๒๐ น. เขาพกปืนพกแบบ ‘Luger P08’ ซึ่งบรรจุกระสุนได้ ๘ นัด และกระสุนอีกจำนวนมากในกระเป๋า เขาออกจากอพาร์ตเมนต์ และเดินออกไปที่ถนน River เมื่อเดินเข้าใกล้รถบรรทุกส่งขนมปัง Unruh ดันปืนพกของเขาผ่านประตูแล้วยิงไปที่คนขับ เขายิงพลาดไปสองสามนิ้ว และแม้คนขับจะพยายามเตือนชาวบ้านแต่ก็ไม่เป็นผล


แผนผังแสดงตำแหน่งที่พบศพของเหยื่อและผู้บาดเจ็บแต่ละราย

‘Unruh’ เข้าไปในร้านทำรองเท้า ‘John Pilarchik’ ซึ่งเป็นร้านของหนึ่งในเพื่อนบ้านของเขา เมื่อเข้าไปถึงเขาได้ลั่นไกยิงทันที 

หลังจากนั้น เขาตรงไปที่ร้านตัดผมของ Clark Hoover เพื่อนบ้านอีกคน ซึ่งกำลังตัดผมให้ Orris Smith เด็กชายวัยหกขวบ เขายิง Hoover เข้าที่ศีรษะ และยิง Smith เข้าที่คอ ทั้งคู่เสียชีวิตทันที 

จากนั้น Unruh ยังวิ่งต่อไปที่ร้านขายยาของ Cohen โดยได้พบกับ James Hutton และยิงเขาทันที จากนั้น Unruh ก็เดินเข้าไปยังด้านหลังของร้านขายยา และเห็น Cohen และ Rose ภรรยากำลังวิ่งขึ้นบันไดเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของพวกเขา 

เมื่ออยู่ในอพาร์ตเมนต์ Cohen ปีนผ่านหน้าต่างขึ้นไปบนหลังคาเฉลียง ขณะที่ Rose และ Charles ลูกชายวัย ๑๒ ปี ของพวกเขาซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าคนละใบ อย่างไรก็ตาม Unruh พบตู้เสื้อผ้าใบที่ Rose ซ่อนตัวอยู่ จึงยิงทะลุประตูตู้เข้าไป ๓ นัด ก่อนที่จะเปิดออก และยิงเข้าที่หน้าของ Rose อีกนัด เมื่อเดินข้ามอพาร์ตเมนต์ เขาก็เห็น Minnie แม่ของ Cohen วัย ๖๓ ปี พยายามโทรหาตำรวจ เขาใส่ยิงเธอหลายนัด จากนั้นเขาก็เดินตาม Cohen ขึ้นไปบนระเบียงหลังคา แล้วยิง Cohen เข้าที่ด้านหลัง ทำให้ Cohen ตกลงไปยังพื้นเบื้องล่าง ส่วน Charles ที่ซ่อนตัวอยู่ในตู้อีกใบ และสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย

‘Henry Darby’ สุดยอดครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston คุณครูผู้อุทิศตัวเพื่อลูกศิษย์และทำหน้าที่มากกว่า ‘เรือจ้าง’

Henry Darby ครูใหญ่ คุณครูผู้เป็นมากกว่าเรือจ้าง

‘ครูใหญ่’ เป็นคำที่ผู้เขียนชอบมากกว่า ‘อาจารย์ใหญ่’ หรือ ‘ผู้อำนวยการ’ เพราะเติบโตและเล่าเรียนในยุคที่เราเรียกคุณครูผู้ที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างในโรงเรียนว่า ‘ครูใหญ่’ (Principal) เช่นเดียวกับ Henry Darby ครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston ในเมือง North Charleston มลรัฐ South Carolina

‘สังคมไทย’ เปรียบ ‘คุณครู’ เสมือนหนึ่ง ‘เรือจ้าง’ ที่มีความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ ดูแล อบรม บอกสอน ลูกศิษย์ทุกคน ด้วยความรัก ความเมตตา ความเอื้ออาทร ความใส่ใจในการดูแลอย่างดีที่สุดในระหว่างการเดินทาง เมื่อ ‘ลูกศิษย์’ ที่เสมือนเป็น ‘ผู้โดยสาร’ ถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย และสามารถที่จะดำเนินชีวิตที่ดีมีคุณภาพ สามารถพึ่งตนเองได้อย่างมั่นคง เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมที่หล่อเลี้ยงชีวิต คุณครูผู้เป็นดั่งเรือจ้างทุกลำนี้ก็จะสุขใจ ปลื้มปีติทุกครั้งไป

‘Henry Darby’ ครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston ในเมือง North Charleston มลรัฐ South Carolina ก็ทำหน้าที่ดั่งเรือจ้างลำหนึ่งเช่นกัน ในฐานะครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชากรราว 20% อยู่ในเกณฑ์ยากจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ 90% ของนักเรียนมีครอบครัวซึ่งอยู่ข้างใต้ของเส้นแบ่งความยากจน ทำให้นักเรียนของเขาต้องการรับความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา 

“มีเด็กบางคนที่เมื่อผมไปเยี่ยมที่บ้านของพวกเขา แม่ของพวกเขาไม่ยอมให้ผมเข้าไปในบ้าน แต่ผมเห็นว่า บ้านของพวกเขามืดมาก พวกเขาไม่มีไฟฟ้า หรือคุณอาจเห็นพวกเขากำลังนอนอยู่กับฟูกบนพื้น และที่แย่ไปกว่านั้น…มีนักเรียนคนหนึ่งต้องอาศัยหลับนอนใต้สะพานด้วย” Henry Darby กล่าวถึงช่วงเวลาที่เขาได้ไปเยี่ยมบ้านของนักเรียน

ในฐานะที่ครูใหญ่ Darby เองก็เติบโตมาท่ามกลางความยากจนข้นแค้น เรื่องราวแบบนี้ของบรรดานักเรียนจึงเป็นจุดอ่อนของครูใหญ่ Darby ด้วยเช่นกัน 

“ผมพบว่า ตัวเองติดบ่วงอยู่ในกองทุนฉุกเฉิน และผมไม่ต้องการทำเช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ต้องการพูดว่า ‘ไม่’ กับใคร” Henry Darby บอก 

ดังนั้นครูใหญ่ Darby ซึ่งเป็นสมาชิกของสภาแห่งเทศมณฑล Charleston จึงได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ยากจนและขัดสน

และเพื่อหาเงินมาเป็นทุนช่วยเหลือบรรดานักเรียนที่ยากจนและขัดสน ครูใหญ่ Darby จึงตัดสินใจสมัครทำงานนอกเวลาที่ห้างสรรพสินค้า Walmart และเลือกที่จะไม่บอกผู้จัดการห้างฯ ของเขาว่า เขาทำงานเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมปลายในช่วงเวลากลางวัน 

“ก่อนที่เราจะรู้ แต่ก็มีหลายอย่างที่ทำให้เขาดูเป็นคนที่มีความพิเศษ” Cynthia Solomon ผู้จัดการห้างสรรพสินค้า Walmart สาขาที่ครูใหญ่ Darby ทำงานบอกกับสื่อ

เมื่อ ครูใหญ่ Henry Darby เริ่มงานที่ห้างสรรพสินค้า Walmart ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 ครูใหญ่ Darby ต้องทำงานห้าคืนต่อสัปดาห์ ตั้งแต่เวลา ๒๒.๐๐ น. ถึง ๐๗.๐๐ น. แต่ในที่สุดเขาก็ขอลดวันทำงานลงเหลือสามวัน โดยเขาบอกเล่าว่า 

“ในคืนแรกของการทำงาน ลูกศิษย์ของผมคนหนึ่งเห็นผมเข้า นักเรียนคนนั้นถามผมว่า ‘ครูใหญ่ Darby ครูทำงานที่ Walmart ด้วยเหรอ’ ผมพูดกับตัวเองว่า ‘โอ้พระเจ้า ตอนนี้ทุกคนจะต้องรู้แล้วว่า ผมทำงานที่นี่’”

การจัดเรียงชั้นวางสินค้าในกะกลางคืน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับครูใหญ่ Darby ผู้ซึ่งมีอายุมากถึง ๖๖ ปีแล้ว ซ้ำครูใหญ่ยังมีอาการบาดเจ็บที่คอจากการถูกรถชน หลังจากเลิกงานที่ห้างสรรพสินค้า Walmart ตอนเช้าในเวลา ๐๗.๐๐ น. เขาต้องรีบไปเข้าทำงานหลักเป็นครูใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย North Charleston ซึ่งมีนักเรียนประมาณ ๖๐๐ คน ภายในเวลา ๐๗.๔๕ น. 

“ผมไม่เคยเหน็ดเหนื่อยเลยจนกระทั่งวันสุดท้ายของสัปดาห์ ผมก็จะนอนเต็มที่ในวันเสาร์ ผมนอนหลับเป็นตายเลย” ครูใหญ่ Darby กล่าว

สตรีผู้ทรงอิทธิพล!! รู้จัก ‘Valentina Matviyenko’ หญิงเหล็กแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย สตรีผู้ได้รับฉายา ‘สตรี...ผู้เป็นมือขวาของประธานาธิบดีปูติน’

หากเอ่ยถึงประเทศรัสเซีย ทุกคนต้องนึกถึงหน้าตาของประธานาธิบดีปูตินเป็นแน่ เพราะชายผู้นี้ถือว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลของโลกใบนี้ แต่รู้หรือไม่ว่ามีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทของประธานาธิบดีปูตินและมีอิทธิพลมากๆ ในรัฐเซีย ถ้าอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร…ตามอ่านมาได้เลย

สาเหตุที่ทำให้ Valentina Matviyenko เป็นหญิงเหล็ก...สตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย เพราะเธอเป็นพันธมิตรทางการเมืองที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี Vladimir Putin มายาวนานมาก จึงเป็นสตรีที่ประธานาธิบดีปูตินไว้วางใจมากที่สุด โดยเธอดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซีย และบรรดาสื่อตะวันตกได้ให้ฉายาเธอว่า ‘สตรี...ผู้เป็นมือขวาของประธานาธิบดี Putin’

Sergey Matviyenko บุตรชายคนเดียวของ Valentina Matviyenko

Valentina Matviyenko เกิดเมื่อ 7 เมษายน ค.ศ. 1949 เกิดที่เมือง Shepetivka เขต Khmelnytskyi ของ ยูเครนตะวันตก สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันอยู่ในประเทศ Ukraine) Valentina สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเคมีและเภสัชแห่งเลนินกราด ในปี ค.ศ. 1972 ที่ซึ่งเธอได้พบกับสามีของเธอ Vladimir Vasilyevich Matviyenko พวกเขาแต่งงาน และมี Sergey บุตรชายคนเดียวในปี ค.ศ. 1973 

Valentina Matviyenko เริ่มงานทางการเมืองของเธอในช่วงทศวรรษ 1980 ในนครเลนินกราด (ปัจจุบันคือ นคร Saint Petersburg) โดยดำรงตำแหน่งบริหารหลายตำแหน่งของ Komsomol (องค์กรเยาวชนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต) จนถึงปี ค.ศ. 1984 เธอกลายเป็นเลขาธิการคนแรกของพรรคคอมมิวนิสต์เขต  Krasnogvardeysky ของนครแห่งนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 ถึง 1986 

Valentina Matviyenko กับ Guido de Marco อดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ Malta

ในปี ค.ศ. 1990 เธอได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครรัฐทูตรัสเซียประจำมอลตา (ค.ศ. 1991-1995) และกรีซ (ค.ศ. 1997-1998) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 ถึง 2003 เธอเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านสวัสดิการ และดำรงตำแหน่งเป็นผู้แทนประธานาธิบดีสำหรับเขตสหพันธรัฐทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในปี ค.ศ. 2003 ด้วยความที่เธอเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับประธานาธิบดี Vladimir Putin ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ทำให้เธอได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่าการนคร Saint Petersburg อันเป็นบ้านเกิดของประธานาธิบดีปูติน

Valentina Matviyenko ขณะเป็นผู้ว่าการหญิงคนแรกของนคร Saint Petersburg กับ Jacques Chirac อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ Gerhard Schroeder อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนีในพิธีเฉลิมฉลองครบ ๓๐๐ ปีของนคร Saint Petersburg เมื่อปี ค.ศ. 2003

Valentina กลายเป็นผู้ว่าการหญิงคนแรกของนคร Saint Petersburg ตั้งแต่เธอเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ว่าการ เงินภาษีจำนวนมากถูกโอนจากงบประมาณของรัฐบาลกลางไปยังงบประมาณท้องถิ่น และทำให้เศรษฐกิจของนคร Saint Petersburg เฟื่องฟู ทำให้เกิดการปรับปรุงบรรยากาศการลงทุนทั้งมาตรฐานการครองชีพในนคร Saint Petersburg ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้เธอยังสามารถทำให้ระดับรายได้เฉลี่ยของประชากรใกล้เคียงกับประชากรในกรุง Moscow และเหนือกว่าเมืองสำคัญอื่น ๆ ของสหพันธรัฐรัสเซีย

เขื่อน Saint Petersburg ซึ่งสร้างแล้วเสร็จในยุคที่ Valentina Matviyenko ผู้ว่าการฯ 
โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัยซ้ำซากของนคร Saint Petersburg

ผลงานในการพัฒนานคร Saint Petersburg ของเธอทำให้นครแห่งนี้มีความโดดเด่นเพิ่มมากขึ้น โดยมีการย้ายศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐรัสเซียจากกรุง Moscow ในปี ค.ศ. 2008 เธอได้ทำการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่จำนวนมากทั้งในด้านที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างถนนวงแหวน Saint Petersburg ซึ่งรวมถึง สะพานใหญ่ Obukhovsky (สะพานข้ามแม่น้ำ Neva เพียงแห่งเดียวในนครแห่งนี้) สร้างเขื่อน Saint Petersburg จนแล้วเสร็จ โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัยซ้ำซากของนคร Saint Petersburg 

เธอเปิดใช้เส้นทางรถไฟใต้ดินสาย 5 ของรถไฟใต้ดินของนคร Saint Petersburg และเริ่มต้นการถมที่ดินในบริเวณ Neva Bay สำหรับสร้างโครงการพัฒนาริมน้ำแห่งใหม่ของนครแห่งนี้ โดยเป็นโครงการพัฒนาริมน้ำที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งมีท่าเรือโดยสารของ St. Petersburg อยู่ด้วย

สถานีรถไฟใต้ดิน Obvodny ของรถไฟใต้ดินสาย Frunzensko–Primorskaya ของนคร Saint Petersburg

บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายแห่งถูกดึงดูดไปยังนคร Saint Petersburg และพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึง Toyota, General Motors, Nissan, Hyundai Motor, Suzuki, Magna International, Scania และ MAN SE (ทั้งหมดมีโรงงานอยู่ในเขตอุตสาหกรรม Shushary) ส่งผลให้นคร Saint Petersburg กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญของสหพันธรัฐรัสเซีย 

การพัฒนาที่สำคัญของ Valentina ในฐานะของผู้ว่าการนคร Saint Petersburg อีกด้านหนึ่งคือ การท่องเที่ยว ภายในปี ค.ศ. 2010 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนนคร Saint Petersburg เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและสูงถึง 5.2 ล้านคน ซึ่งทำให้นคร Saint Petersburg อยู่ในกลุ่มศูนย์กลางการท่องเที่ยวห้าอันดับแรกของยุโรป

Valentina Matviyenko ประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซีย กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

วันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ไม่นานหลังจากสร้างเขื่อน Saint Petersburg และถนนวงแหวน Saint Petersburg แล้วเสร็จ Valentina Matviyenko ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการนคร Saint Petersburg โดย Georgy Poltavchenko ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการตำแหน่งผู้ว่าการนคร Saint Petersburg แทนเธอ 

เธอได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดี Dmitry Medvedev ให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซีย (วุฒิสภาของสหพันธรัฐรัสเซีย) โดยที่ Sergey Mironov ประธานคนก่อนของสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซียถูกถอดถอนในเดือนพฤษภาคม Valentina ในฐานะสมาชิกของพรรค United Russia Party ของประธานาธิบดีปูติน ในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2011 เธอได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 140 เสียง โดยงดออกเสียงหนึ่งครั้ง และไม่มีเสียงคัดค้าน โดยเป็นประธานที่ได้รับคะแนนจากการเลือกตั้งสูงสุดเป็นอันดับสามของประเทศ

Valentina Matviyenko ประธานสภาสมาพันธรัฐแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
รับเครื่องอิสริยาภรณ์จากประธานาธิบดี Vladimir Putin แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย

เนื่องจากบทบาทของเธอในการลงประชามติเกี่ยวกับสถานะของดินแดนไครเมีย Valentina จึงกลายเป็นหนึ่งในบุคคลกลุ่มแรกๆ ที่ถูกคว่ำบาตรจากประธานาธิบดี Barak Obama แห่งสหรัฐอเมริกา มาตรการคว่ำบาตรอายัดทรัพย์สินของเธอในสหรัฐอเมริกา และห้ามไม่ให้เธอเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา 

พ่อแม่ต้องรู้!! ‘เลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์’ ส่งผลร้ายแรง ลูกขาดความมั่นใจ - ความสัมพันธ์ครอบครัวย่ำแย่

ระยะนี้มีข่าวเกี่ยวกับการแสดงออกอย่างไม่ค่อยเหมาะสมจากผู้คนในวิชาชีพต่าง ๆ ซึ่งได้มีการโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียหลากหลายช่องทาง ผู้เขียนมั่นใจว่า ปัญหาสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการ ‘อบรมเลี้ยงดู’ และการไม่เข้าอกเข้าใจกันระหว่างพ่อ-แม่และลูกๆ 

ตัวอย่างเช่น บางคนไม่ได้ชอบวิชาชีพที่เล่าเรียนเลย แต่ก็ต้องตามใจ พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ญาติพี่น้อง คุณครู ฯลฯ อดทนเล่าเรียนด้วยความไม่ชอบ เมื่อจบมาแล้วก็ต้องอดทนประกอบวิชาชีพนั้น ๆ ทั้งที่ใจไม่รัก และไม่ชอบเลย แทนที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสิ่งที่ตนชอบ กลับต้องมาทนทุกข์ทรมานกับงานที่ตนเองไม่ได้รักชอบเลย 

ซึ่ง พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ต่างก็นึกเอาเองว่า เป็นความปรารถนาดีต่อลูกต่อหลาน แต่จริง ๆ แล้วผู้ที่ต้องอดทนทำและอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบก็ไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็น จึงทำให้เกิดการแสดงออกดังที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ บ่อยครั้ง มากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่รู้ว่าจะหมดไปจากสังคมเมื่อไหร่

พฤติกรรมเช่นนั้นของพ่อแม่น่าจะตรงกับคำว่า ‘การเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์’ หมายถึงการที่ พ่อ แม่ ผู้ปกครองเข้ามีบทบาทเกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกมากจนเกินไป จากการที่พ่อ แม่ ผู้ปกครองเฝ้าดูลูกอยู่ใกล้ ๆ เหมือนกับการที่เฮลิคอปเตอร์ลอยตัวนิ่ง ๆ อยู่บนอากาศ และจะโฉบลงมาเพื่อช่วยลูกในสัญญาณแรกของปัญหาที่ลูกเผชิญ 

วลีนี้ปรากฏครั้งแรกในปี ค.ศ. 1969 ในหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกวัยรุ่นของ Dr. Haim G. Ginott ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ 2000 การเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์กลายเป็นวิธีที่นิยมในการอธิบายลักษณะการเลี้ยงลูกแบบนี้ และในวันนี้ การวิจัยได้เปิดเผยถึงผลกระทบของการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์แล้ว

นอกจากนี้ การเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์ยังทำให้เกิดคำว่า ‘พ่อ-แม่แบบเครื่องตัดหญ้า (lawnmower parents)’ และ ‘พ่อ-แม่แบบเครื่องกวาดหิมะ (snowplow parents)’ อีกด้วย 

พ่อ-แม่แบบดังกล่าวไม่เพียงแต่บินโฉบเท่านั้น แต่ยังทำการ ตัด กวาด หรือไถสิ่งกีดขวางใด ๆ ในเส้นทางชีวิตของเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นด้วย ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังคงทำพฤติกรรมแบบนี้จากระยะไกลเมื่อลูกวัยรุ่นอยู่ในมหาวิทยาลัยอีกด้วย 

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดประการหนึ่งเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์คือ เด็ก ๆ ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ทำความรู้จักกับโลกด้วยตัวเอง และนั่นอาจส่งผลเสียต่ออารมณ์ และทำให้สุขภาพจิตของเด็ก ๆ เป็นไปในทางลบ

ลักษณะของผู้ปกครองที่เลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์ มักจะไม่ได้ตระหนักว่า ตัวของพวกเขากำลังโฉบอยู่เหนือลูก ๆ ของพวกเขา 

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ตระหนักว่าบุตรหลานของตนอาจได้รับผลกระทบจากการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์ 

และนี่คือตัวอย่างการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์บางส่วนที่บ่งชี้ว่าผู้ปกครองได้เข้ามาปกป้องหรือยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของวัยรุ่นมากเกินไป 

- ไม่อนุญาตให้วัยรุ่นทำการเลือกทำอะไรที่เหมาะกับวัย
- ทำความสะอาดห้องของวัยรุ่น
- ก้าวเข้าสู่ความเกี่ยวข้องในการเจรจาข้อขัดแย้งระหว่างวัยรุ่นกับเพื่อน
- ดูแลการบ้านและโครงการโรงเรียนของลูก ๆ ที่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย
- ตรวจสอบอาหารและการออกกำลังกายของวัยรุ่น
- ส่งข้อความหลายอันในแต่ละวันถึงลูก ๆ ที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว
- แทรกแซงชีวิตของวัยรุ่นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาล้มเหลวในงานหรือความพยายามอื่น ๆ

ผลกระทบของการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์ต่อเด็กและวัยรุ่นนั้นไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด เพราะหากมองดูดีๆ แล้ว พ่อแม่เหล่านี้มักจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและเอาใจใส่ลูก ๆ ดังนั้นอาจบอกได้ว่าการเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้ปกครองที่อบอุ่นและให้การสนับสนุน ซึ่งรวมถึงการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนทางอารมณ์ และการเปิดกว้างระหว่างพ่อ-แม่และลูก

‘Bacchus Ladies’ โสเภณีรุ่นยายในเกาหลีใต้ สะท้อน ‘ความเหลื่อมล้ำ-ปัญหาสังคม’ ที่ยังไม่ได้สะสาง

Bacchus Ladies โสเภณีหญิงชราในเกาหลีใต้

สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวที่น่าสลดใจในเกาหลีใต้คือ เหตุการณ์เหยียบกันตายในงาน Halloween ในย่าน ‘อิแทวอน’ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์นี้ทุกท่านด้วย 

ทั้งนี้ ด้วยภาพลักษณ์ของเกาหลีใต้ที่เราท่านเห็นกันในปัจจุบันคือ เป็นประเทศที่เจริญแล้ว อาคารบ้านเรือนสะอาด และทันสมัย ผู้คนแลดูมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว แต่ในความจริงกลับปรากฏว่า ในเกาหลีใต้ยังมี ‘Bacchus Ladies’ (โสเภณีหญิงชรา) อยู่

ในปี ค.ศ. 2020 อัตราความยากจนสัมพัทธ์ (Relative poverty rate  ซึ่งเป็นวิธีการวัดความยากจนโดยใช้การเปรียบเทียบ มาตรฐานการดำรงชีวิตของครัวเรือนกับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของสังคมโดยเฉลี่ย) ในเกาหลีใต้อยู่ที่ประมาณ 15.3% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (ค.ศ. 2019) อัตราความยากจนสัมพัทธ์ซึ่งเป็นส่วนแบ่งของผู้ที่อาศัยอยู่โดยมีรายได้เฉลี่ยไม่ถึงครึ่งของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขยังค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ อัตราความยากจนสัมพัทธ์ในผู้สูงอายุในเกาหลีใต้ยังคงเพิ่มขึ้น ปีที่แล้ว (ค.ศ. 2021) ประชากรผู้สูงอายุที่มีอายุ ๖๕ ปีขึ้นไปมีสัดส่วนประมาณ 16.5% ของประชากรเกาหลีใต้ทั้งหมด โดยคาดว่าเกาหลีใต้จะกลายเป็นสังคม ‘สูงวัย’ ในปี ค.ศ. 2025

โดยผู้ที่มีอายุ ๖๕ ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุจะดีขึ้นแต่ก็เพียงเล็กน้อย เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรสูงอายุยังอยู่ในเกณฑ์ของความยากจนสัมพัทธ์ ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในกลุ่มประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (the Organization for Economic Co-operation and Development : OECD)

เกาหลีใต้มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดใน OECD โดยมีผู้เสียชีวิตราว ๑๓,๐๐๐ คนในปี ค.ศ. 2020 อัตราการฆ่าตัวตายในผู้สูงอายุนั้นสูงเป็นพิเศษ ในปี ค.ศ. 2020 ประชากรชายสูงอายุที่มีอายุ ๘๐ ปีขึ้นไปมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุด โดยมีอัตราผู้เสียชีวิต ๑๑๘ รายต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน ส่วนสาเหตุของการฆ่าตัวตายก็มีความซับซ้อน 

ทว่าในการสำรวจในปี ค.ศ. 2020 ที่จัดทำขึ้นในหมู่ผู้ที่มีอายุ ๖๕ ปีขึ้นไป ปัญหาทางการเงินถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุอันดับสองสำหรับความคิดในการฆ่าตัวตายของพวกเขา รองลงมาจากปัญหาสุขภาพ

ชายสูงอายุมักมาร่วมตัวสังสรรค์กันในสวนสาธารณะ Jongmyo ในกรุงโซล

จากปัญหาที่กล่าวมา จึงทำให้ในเกาหลีใต้ มีอาชีพที่เรียกว่า ‘Bacchus Ladies’ (โสเภณีหญิงชรา) ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงในวัยตั้งแต่ ๕๐ ขึ้นไปกระทั่งบางส่วนอายุมากถึง ๘๐ ปี ที่ชักชวนชายในสวนสาธารณะหรือพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ ของกรุงโซล เพื่อขายบริการทางเพศใน Motel ที่อยู่ใกล้เคียงในราคาประมาณ 20,000 ถึง 30,000 วอน ($ 18–26 USD ราว ๗๐๐-๙๐๐ บาท) หรือน้อยกว่านั้นหากชายคนนั้นเป็นลูกค้าประจำ 

โดยเหล่า ‘Bacchus Ladies’ จะแฝงอาชีพขายบริการด้วยการขายเครื่องดื่มให้พลังงาน Bacchus-F ตามสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นที่นิยมของชายสูงอายุซึ่งกลายมาเป็นลูกค้าของพวกเขา แต่ผู้ชายอายุน้อยกว่าอาทิ ในวัย ๒๐ - ๔๐ ปี ส่วนหนึ่งก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำในจำนวนที่มากขึ้นเช่นกัน (ดร.Lee Ho-Sun นักวิจัยในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ระบุว่า มีหญิงประมาณ ๔๐๐ คนทำงานลักษณะนี้ในสวนสาธารณะ Jongmyo ในกรุงโซล)

การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเกาหลีใต้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 หรือที่รู้จักในชื่อปาฏิหาริย์บนแม่น้ำ Han (the Miracle on the Han River)

เชื่อกันว่าปรากฏการณ์ ‘Bacchus Ladies’ เกิดขึ้นหลังจากวิกฤตการเงินในเอเชียในปี ค.ศ. 1997 (วิกฤตต้มยำกุ้ง) โดยเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปัญหาทางการเงินมากที่สุด 

ซึ่งตามปกติแล้วในสังคมขงจื๊อตามประเพณีของเกาหลีใต้ พ่อแม่ผู้สูงอายุจะได้รับความนับถืออย่างสูง และเมื่ออยู่ในวัยชราสามารถพึ่งพาบุตรหลานของตนในการดูแล โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเกาหลีใต้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 หรือที่รู้จักในชื่อ ‘ปาฏิหาริย์บนแม่น้ำ’ Han (the Miracle on the Han River) นำไปสู่การถอนรากถอนโคนวัฒนธรรมนี้ในหมู่ชาวเกาหลีใต้ที่อายุน้อย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้นในสังคมและทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่ตามมาอย่างรวดเร็ว 

ส่งผลให้อัตราความยากจนของผู้หญิงเกาหลีใต้อายุเกิน ๖๕ ปีอยู่ที่ 47.2% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 76.6% สำหรับหญิงสูงอายุที่โสด เงินบำนาญของรัฐที่จัดทำโดยระบบสวัสดิการของเกาหลีใต้มักไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นในวัยชรา 

Bacchus-F เครื่องดื่มชูกำลังยอดนิยมในเกาหลีใต้

อีกทั้ง วัฒนธรรมของเกาหลีใต้ที่ถูกครอบงำโดยผู้ชายมาตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ จนถึงยุคปัจจุบันก็ยังคงอยู่ นั่นจึงหมายความว่า ผู้หญิงที่มีอายุมากจำนวนมากจึงไม่มีเงินออมหรือเงินบำนาญส่วนตัว เพราะในวัยเยาว์พวกเธอไม่ได้รับการศึกษา และขาดโอกาสในการทำงานที่เท่าเทียมกันกับชาย 

ศาสตราจารย์ Lee Ho-Sun จากมหาวิทยาลัย Korea Soongsil Cyber ​​ในกรุงโซลได้ทำการวิจัย และพบว่า ผู้หญิงจำนวนมากที่กลายเป็น ‘Bacchus Ladies’ เข้ามามีส่วนกับการค้าประเวณีในช่วงปีแรก ๆ จากการทำงานในบาร์คาราโอเกะและโรงน้ำชา แต่การกลับไปค้าประเวณีอีกในปีต่อ ๆ มา อันมาเนื่องจากปัญหาการเงินและแรงกดดันอื่นๆ 

ในตอนแรก ‘Bacchus Ladies’ จะหาเลี้ยงชีพด้วยการขาย Bacchus-F ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชูกำลังยอดนิยมในเกาหลีใต้ ซึ่งขายให้กับชายสูงอายุที่ไปมักร่วมสังสรรค์กันตามสวนสาธารณะและพลาซ่าในกรุงโซล ในที่สุด ผู้ชายเหล่านี้หลายคนก็กลายเป็นลูกค้าหลักของพวกเธอภายหลังจากเปลี่ยนอาชีพมาเป็นโสเภณี

แม้ว่า การค้าประเวณีในเกาหลีใต้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และตำรวจก็ทำการตรวจตราลาดตระเวนในพื้นที่ที่มี ‘Bacchus Ladies’ แวะเวียนมาขายบริการอยู่เสมอ โดยหลัก ๆ แล้วอยู่ในเขต Jongno ทางตอนเหนือของกรุงโซล ตำรวจนครบาลแห่งกรุงโซลได้ดำเนินการปราบปรามกลุ่ม ‘Bacchus Ladies’ อยู่เป็นระยะๆ แต่หญิงที่ถูกจับกุมมักจะได้รับเพียงคำเตือนหรือถูกปรับเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย มีหญิง ๓๓ คน รวมทั้งหญิงชราวัย ๘๔ ปีหนึ่งคน ถูกจับโดยเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามในช่วงต้นปี ค.ศ. 2015 

หลังจากการกวาดล้างจับกุมทำให้จำนวนคนงานของ ‘Bacchus Ladies’ ลดลงเหลือประมาณ ๒๐๐ คน ตำรวจท้องที่เชื่อว่า ปัญหา ‘Bacchus Ladies’ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปราบปราม และนโยบายดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง

‘Bacchus Ladies’ ทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted infections : STIs) ในกลุ่มผู้สูงอายุชาวเกาหลีใต้ สาเหตุหลักมาจากการใช้สารเพิ่มการแข็งตัวของอวัยวะเพศซึ่งมักถูกฉีดเข้าเส้นเลือดของลูกค้าชายสูงอายุของ Bacchus Ladies แต่เข็มฉีดยาอาจถูกนำมาใช้ซ้ำมากถึง ๑๐ ถึง ๒๐ ครั้ง จากการสำรวจในพื้นที่ของ Bacchus Ladies ในปี ค.ศ. 2014 พบว่า 40% ของชายสูงอายุที่เป็นลูกค้า ‘Bacchus Ladies’ ติดเชื้อ ในขณะที่ยังไม่ได้ทำการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดบางโรค ทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่นเสนอชั้นเรียนเพศศึกษาให้กับผู้สูงอายุ

ระบบประกันสังคมของเกาหลีให้ความช่วยเหลือสาธารณะและประกันสังคมสำหรับพลเมืองของเกาหลีใต้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี มีคุณภาพ มีชีวิตที่ดีงาม รัฐบาลได้ดำเนินโครงการประกันสังคมที่หลากหลายเพื่อสร้างมาตรฐานการครองชีพขั้นพื้นฐาน และเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของพลเมืองทุกคน

รู้จัก ‘Talgat Musabayev’ วีรบุรุษแห่งรัสเซีย-คาซัคสถาน ผู้ท่องอวกาศมากถึง 3 ครั้ง รวมระยะเวลา 341 วัน

วุฒิสมาชิก Talgat Musabayev บนสถานีอวกาศ Mir ของสหพันธรัฐ Russia

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เขียนมีโอกาสได้ร่วมต้อนรับวุฒิสมาชิก Talgat Musabayev แห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ซึ่งมาเยือนประเทศไทยอย่างไม่เป็นทางการ จึงเกิดไอเดียอยากแชร์เรื่องราวของวุฒิสมาชิก Talgat Musabayev แห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ขอบอกเลยว่า เรื่องราวน่าสนใจมากๆ แต่จะเป็นอย่างไร ตามไปอ่านกันครับ

วุฒิสมาชิก Talgat Amangeldyuly Musabayev เกิดเมื่อ 7 มกราคม ค.ศ. 1951 เป็นนักบินทดสอบของอดีตสหภาพโซเวียต สหพันธรัฐ Russia และสาธารณรัฐ Kazakhstan และเป็นอดีตนักบินอวกาศซึ่งได้เดินทางไปในอวกาศถึงสามครั้ง 

โดยการเดินทางไปในอวกาศสองครั้งแรกเป็นการประจำการระยะยาวบนสถานีอวกาศ Mir ของสหพันธรัฐ Russia ส่วนการบินในอวกาศครั้งที่สามเป็นภารกิจนำ Dennis Tito นักท่องเที่ยวอวกาศรายแรกของโลกไปเยี่ยมเยียนสถานีอวกาศนานาชาติเป็นระยะเวลาสั้นๆ 

วุฒิสมาชิก Musabayev เกษียณจากอาชีพนักบินอวกาศในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2003 และในปี ค.ศ. 2007 วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการ KazCosmos สำนักงานงานอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐ Kazakhstan 

สามนักบินอวกาศชาว Kazakhstan

วุฒิสมาชิก Musabayev สำเร็จการศึกษาจากสถาบันวิศวกรการบินพลเรือน Riga (สาธารณรัฐ Latvia ในปัจจุบัน) ในปี ค.ศ. 1974 จากนั้นในปี ค.ศ. 1983 สำเร็จการศึกษาจาก Higher Military Aviation School ใน Akhtubinsk โดยได้รับประกาศนียบัตรวิศวกรรมศาสตร์ วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับรางวัลมากมายหลายรางวัลในฐานะนักบินผาดโผน และได้รับเลือกให้เป็นนักบินอวกาศเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1990 ในปี ค.ศ. 1991 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนาวากาศตรี และย้ายไปประจำกลุ่มงานนักบินอวกาศของกองทัพอากาศสหภาพโซเวียต ซึ่งต่อมากลายเป็นสหพันธรัฐ Russia 

วุฒิสมาชิก Talgat Musabayev กับทีมนักบินอวกาศของภารกิจในอวกาศครั้งแรก Mir EO-16

ภารกิจในอวกาศครั้งแรกของวุฒิสมาชิก Musabayev ในฐานะสมาชิกลูกเรือของภารกิจระยะยาว Mir EO-16 เดินทางโดยยานอวกาศ Soyuz TM-19 ซึ่ง วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับมอบหมายให้เป็นวิศวกรการบิน ภารกิจดำเนินไปตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 รวมระยะเวลา ๑๒๕ วัน ๒๒ ชั่วโมง ๕๓ นาที ได้ทำ Spacewalk สองครั้ง ระยะเวลารวม ๑๑ ชั่วโมง ๗ นาที 

ต่อมาภารกิจในอวกาศครั้งที่สอง วุฒิสมาชิก Musabayev ได้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการของการสำรวจระยะยาว Mir EO-25 ซึ่งเดินทางโดยยานอวกาศ Soyuz TM-27 ภารกิจมีระยะเวลาตั้งแต่ 29 มกราคม ถึง 25 สิงหาคม ค.ศ. 1998 รวมระยะเวลา ๒๐๗ วัน ๑๒ ชั่วโมง ๕๑ นาที ๒ วินาที ได้ทำ Spacewalk ห้าครั้ง รวมระยะเวลา ๓๐ ชั่วโมง ๘ นาที

วุฒิสมาชิก Talgat Musabayev กับภารกิจในอวกาศครั้งที่สาม ISS EP-1

ภารกิจที่สามอันเป็นภารกิจครั้งสุดท้ายในอวกาศของวุฒิสมาชิก Musabayev คือการเป็นผู้บัญชาการของ ISS EP-1 ซึ่งเป็นภารกิจเยือนสถานีอวกาศนานาชาติ เดินทางโดยยานอวกาศ Soyuz TM-32 และกลับสู่พื้นโลกโดยยานอวกาศ Soyuz TM-31 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึง 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 รวมระยะเวลา ๗ วัน ๒๒ ชั่วโมง ๔ นาที ภารกิจเยี่ยมเยียนครั้งนี้มีความพิเศษคือ การพา Dennis Tito นักท่องอวกาศคนแรกของโลกที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองไปในอวกาศ (ค่าใช้จ่ายในขณะนั้นราว US$20,000,000 แต่ค่าใช้จ่ายในปัจจุบันวุฒิสมาชิก Musabayev คาดว่า น่าจะราว ๆ US$50,000,000) ในปี ค.ศ. 2007 วุฒิสมาชิก Musabayev ถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน ๓๐ นักบินอวกาศที่ใช้เวลาอยู่ในอวกาศมากที่สุดคือ ๓๔๑ วัน 

วุฒิสมาชิก Musabayev ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐ Kazakhstan หรือ KazCosmos

วุฒิสมาชิก Musabayev เกษียณจากการเป็นนักบินอวกาศในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2003 และดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันวิศวกรรม Zhukovsky กองทัพอากาศสหพันธรัฐ Russia และได้รับแต่งตั้งให้เป็นพลตรีในเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ถึง ค.ศ. 2007 

นอกจากนี้ยังได้เป็นผู้อำนวยการของ ‘Bayterek Corp.’ ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนระหว่าง Kazakhstan-Russia สำหรับการสร้าง Baiterek space complex ที่ ฐานปล่อยจรวด Baikonur ต่อมา 11 เมษายน ค.ศ. 2007 วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐ Kazakhstan หรือ KazCosmos ตามมติของรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan 

วุฒิสมาชิก Musabayev ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ด้านการบินพลเรือนและกิจกรรมอวกาศตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ลงวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 2014 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการการบินและอวกาศของสาธารณรัฐ Kazakhstan ตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนและการพัฒนาแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan ลงวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2014 

ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2016 ตามคำสั่งของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan และได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาของรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 โดยคำสั่งของประมุขแห่งรัฐ 

ปัจจุบันวุฒิสมาชิก Musabayev ยังเป็นกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ กลาโหม และความมั่นคงของวุฒิสภาแห่งสาธารณรัฐ Kazakhstan อีกด้วย

วุฒิสมาชิก Musabayev กับ Nursultan Nazarbayev ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐ Kazakhstan 

นอกจากนี้แล้ววุฒิสมาชิก Musabayev ยังเป็นศาสตราจารย์ในสาขาวิชา จรวดและ เทคโนโลยีอวกาศ echnology เป็นสมาชิก : the National Academy of Sciences สาธารณรัฐ Kazakhstan, the National Engineering Academy สาธารณรัฐ Kazakhstan, the International Academy of Astronautics, the International Academy of Informatization, Tsiolkovsky Russian Cosmonautics Academy, Russian Academy of Natural Sciences

แค่ทฤษฎีสมคบคิด?? รู้จัก 'Dulce Base' ในมลรัฐ New Mexico พื้นที่ที่หลายคนเชื่อว่าเป็น 'ฐานของมนุษย์ต่างดาว'

วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศรับอากาศเย็นด้วยเรื่องราวที่ดูเหมือนเป็นทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) หรือเรื่องราวที่อ่านแล้วรู้สึกว่า 'เหลือเชื่อ' กันครับ เรื่องของ Dulce Base อันเป็นประเด็นหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่อ้างว่า มีสถานที่ใต้ดินที่มนุษย์และมนุษย์ต่างดาวทำงานร่วมกันภายใต้แนวเขา Archuleta Mesa บนชายแดนระหว่างสองมลรัฐคือ Colorado กับ New Mexico ใกล้ ๆ กับเมือง Dulce มลรัฐ New Mexico ในสหรัฐอเมริกา เมือง Dulce เป็นเมืองหลักของเขตสงวน Jicarilla Apache ทางตอนเหนือของมลรัฐ New Mexico และส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมือง แม้จะมีประชากรเพียงเล็กน้อย ซึ่งจำนวนน้อยกว่า ๓,๐๐๐ คน 

หมู่บ้านเล็ก ๆ ในทะเลทรายที่แปลกตา ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณไฟจราจรเสียด้วยซ้ำ แต่ชุมชนเล็ก ๆ ที่เงียบสงบนี้เป็นจุดที่นักจานบินวิทยาและนักทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวทุกคนเชื่อว่า ใต้เมืองนี้เป็นฐานลับ ๗ ชั้น อยู่ลึกลงไปสองไมล์ใต้พื้นดิน เป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์และมนุษย์ต่างดาวทำงานร่วมกัน อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า Dulce Base

อันที่จริงแล้วมลรัฐ New Mexico เป็นรัฐที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาวมาหลายสิบปีแล้ว จากกรณีของ เหตุการณ์จานบิน (Unidentified Flying Object) ตกที่ Roswell เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1947 เมื่อมีวัตถุบินตกใส่ไร่แห่งหนึ่งใกล้กับเมือง Roswell มลรัฐ New Mexico ในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 มีคำอธิบายเหตุการณ์หลากหลายมากมาย ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะประกาศว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงบอลลูนเฝ้าตรวจทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ ตก แต่คำอธิบายที่มีผู้เชื่อถือมากที่สุดคือ วัตถุดังกล่าวเป็นยานอวกาศที่มีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่ด้วย ตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 เหตุการณ์ที่ Roswell ได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง จนเกิดเป็นเกิดเรื่องราวต่าง ๆ กระทั่งทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

Gabriel Valdez ตำรวจทางหลวงของมลรัฐ New Mexico ได้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับตำนาน Dulce Base โดยรอบเป็นอย่างดี เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1970 โดยเขารายงานการตายของวัวหลายตัว โดย Valdez อ้างว่าได้เห็น 'ยานอวกาศที่มีรูปร่างที่แปลกประหลาดและซับซ้อน' ในเมือง Dulce บนท้องฟ้าใกล้กับตำแหน่งซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ Dulce Base และได้พบวัวที่ถูกสังหารพร้อมกับลูกในครรภ์ 

Valdez อ้างต่อว่า ไม่ใช่ลูกวัวที่ยังไม่เกิด แต่ดูเหมือนจะเป็นลูกผสมที่แปลกประหลาดระหว่าง 'มนุษย์ ลิง และกบ' เศษซากที่อยู่รอบ ๆ ทำให้ Valdez เชื่อว่า รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้อง และสัตว์ที่ตายไม่ได้ถูกสังหารโดยสัตว์ป่า 

เขากล่าวว่า “หลักฐานที่ถูกทิ้งไว้ที่นั่น คุณรู้ไหมว่า ผู้ล่าจะไม่ทิ้งหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ แท่งเรืองแสง เรดาร์ Chaff (อุปกรณ์พรางสัญญาณเรดาร์)”

Valdez สรุปว่า 'พวกเขาไม่ทิ้งของพวกนี้' การตายของวัว-ควาย ปศุสัตว์ มักจะเชื่อมโยงกับการพบเห็นจานบินในบริเวณใกล้เคียง บริเวณชายแดนระหว่างสองมลรัฐคือ Colorado กับ New Mexico กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่โดดเด่นที่สุดในประเทศสำหรับรายงานสองประเภททั้งจานบินและมนุษย์ต่างดาวตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980

การกล่าวอ้างถึงกิจกรรมของมนุษย์ต่างดาวเกิดขึ้นครั้งแรกจาก Paul Bennewitz นักธุรกิจชาวเมือง Albuquerque เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1979 เมื่อ Bennewitz เชื่อว่า เขากำลังสกัดกั้นการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์จากยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวและฐานลับบนพื้นโลกซึ่งอยู่นอกนอกเมือง Albuquerque ในช่วงทศวรรษ 1980 

เขาเชื่อว่า เขาได้ค้นพบฐานลับใต้ดินใกล้กับเมือง Dulce ซึ่งเต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาวสีเทา ในปี ค.ศ. 1983 คำกล่าวอ้างของ Bennewitz ถูกเผยแพร่ในสื่อยอดนิยมหลายครั้ง เรื่องราวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วภายในชุมชนผู้สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาว เขายังตีพิมพ์บทความเรื่อง 'Project Beta' ในปี ค.ศ. 1988 และในปี ค.ศ. 1987 John Lear นักจานบินวิทยาอ้างว่า เขาได้รับการยืนยันเกี่ยวกับการมีอยู่ของฐานจานบินและมนุษย์ต่างดาว 

ต่อมาในปี ค.ศ. 1986 George Clinton Andrews ได้เล่าถึงตำนานของ Dulce Base ในหนังสือของเขาชื่อ Extra-Terrestrials Among Us และในปี ค.ศ. 1988 หนังสือพิมพ์ Weekly World News ตีพิมพ์เรื่อง 'ฐานจานบินที่พบในมลรัฐ New Mexico' อ้างว่า "ผู้บุกรุกที่ชั่วร้ายจากระบบสุริยะอื่นได้มาตั้งฐานใต้ดินลับในภูเขาที่ขรุขระทางตอนเหนือของมลรัฐ New Mexico เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้มนุษย์สำหรับการทดลองทางพันธุกรรมที่แปลกประหลาด" 

เรื่องราวของ Weekly World News อ้างอิงจากคำพูดจาก Leonard Stringfield นักจานบินวิทยา แต่เมื่อ Stringfield ทราบเรื่องนี้ เขาก็ประท้วงทันทีว่า "ข้อเท็จจริงคือ ในชีวิตผมไม่เคยอ่านเรื่องอะไรที่บิดเบือนเช่นนี้มาก่อนเลย" ในปี ค.ศ. 1990 'Paul Snyder' เขียนเกี่ยวกับแผนการสมคบคิดของ Dulce Base

‘Lockheed’ ติดสินบนผู้มีอำนาจหลายชาติ เพื่อปิดดีลซื้อ-ขายเครื่องบิน

ไม่ใช่เฉพาะบ้านเราที่มีข่าวการติดสินบนทั้งในหมู่นักการเมืองและหน่วยราชการต่าง ๆ ในประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘อารยประเทศ’ ก็เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเช่นกัน การติดสินบนอื้อฉาวดังกล่าวทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างมากใน เยอรมนีตะวันตก อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ส่วนในสหรัฐอเมริกาเรื่องอื้อฉาวเกือบจะนำไปสู่ความหายนะของบริษัท Lockheed เนื่องจากต้องดิ้นรนให้พ้นจากความล้มเหลวทางการค้าในการผลิตเครื่องบินโดยสารแบบ Lockheed L-1011 TriStar 

กรณีสินบนจากผลงานที่ทำโดยพนักงานของ บริษัท Lockheed ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1950 จนถึงกลางทศวรรษ 1970 ในขั้นตอนของการเจรจาต่อรองในการเสนอขายเครื่องบินแบบต่างๆ ของบริษัท Lockheed

Clarence ‘Kelly’ Johnson หัวหน้าคนแรกของทีมออกแบบ Skunk Works ของบริษัท Lockheed

ผู้บริหารของบริษัท Lockheed ยอมรับว่า มีการจ่ายเงินสินบนหลายล้านดอลลาร์เป็นเวลากว่าทศวรรษให้กับผู้มีอำนาจใน เยอรมนีตะวันตก อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น รวมทั้งซาอุดีอาระเบียเพื่อให้พวกเขาซื้อเครื่องบินของเรา 

‘Kelly’ หมายถึง Clarence ‘Kelly’ Johnson หัวหน้าคนแรกของทีมออกแบบ Skunk Works ของบริษัท Lockheed เองก็ยังรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเปิดเผยเรื่องทุจริตเหล่านี้จนเกือบจะลาออก และมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Lockheed ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวจะลาออกด้วยความอับอายขายหน้ากันหลายคน

เมื่อมีการผ่านรัฐบัญญัติการค้ำประกันเงินกู้ในกรณีฉุกเฉิน ปี ค.ศ. 1971 ซึ่งโครงการค้ำประกันนี้จะทำให้รัฐบาลสหรัฐรับภาระหนี้ของบริษัท Lockheed หากผิดนัดชำระหนี้ ในปี ค.ศ. 1975 ในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1975 คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ตรวจสอบว่า บริษัท Lockheed อาจละเมิดภาระหน้าที่หรือไม่ โดยไม่แจ้งให้คณะกรรมาธิการฯ ทราบเกี่ยวกับการชำระเงินในต่างประเทศของบริษัท Lockheed เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1977 บริษัท Lockheed และธนาคารผู้ให้กู้ยืม ๒๔ แห่งได้ทำข้อตกลงด้านสินเชื่อโดยให้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน US$100,000,000 เพื่อทดแทนข้อผูกพันในการค้ำประกันของรัฐบาล สิ่งนี้ถูกใช้เพื่อปลดหนี้ของบริษัท Lockheed มูลค่า US$60,000,000 คณะกรรมาธิการการค้ำประกันเงินกู้ฉุกเฉินได้อนุมัติข้อตกลงสินเชื่อฉบับใหม่เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1977 ผ่านข้อตกลงการยกเลิกโดยคณะกรรมาธิการค้ำประกันเงินกู้ฉุกเฉินของรัฐบาลฯ หลังจากออกรายงานฉบับสุดท้ายในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1977 ค่าธรรมเนียมที่บริษัท Lockheed และธนาคารจ่ายให้แก่คณะกรรมาธิการการฯ สำหรับการบริหารเงินกู้โปรแกรมสุทธิประมาณ US$30,000,000 ซึ่งถูกส่งไปยังกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ โดยตรง และไม่เคยมีการมอบเงินภาษีของพลเมืองอเมริกันแก่บริษัท Lockheed เลย

เครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter ของกองทัพอากาศเยอรมันตะวันตก

ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1975 และต้นปี ค.ศ. 1976 คณะอนุกรรมาธิการของวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งนำโดยวุฒิสมาชิก Frank Church สรุปว่า สมาชิกของคณะกรรมการบริหารของบริษัท Lockheed ได้จ่ายเงินให้สมาชิกของรัฐบาลที่เป็นมิตรเพื่อรับประกันสัญญาสำหรับเครื่องบินรบ ในปี ค.ศ. 1976 มีการเปิดเผยต่อสาธารณะว่า บริษัท Lockheed ได้จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ต่างชาติจำนวน US$22,000,000 ในกระบวนการเจรจาการขายเครื่องบินซึ่งรวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ F-104 Starfighter ซึ่งถูกเรียกว่า ‘ข้อตกลงแห่งศตวรรษ’ (Deal of the Century)

>> เยอรมนีตะวันตก 
Ernest Hauser อดีต Lobbyist ของบริษัท Lockheed บอกกับคณะอนุกรรมาธิการของวุฒิสภาสหรัฐ ว่า Franz Josef Strauss รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเยอรมันตะวันตกและพรรค Christian Social Union ของเขาได้รับเงินอย่างน้อย US$10,000,000 สำหรับการซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ F-104G จำนวน ๙๐๐ เครื่องในปี ค.ศ. 1961 แต่พรรค Christian Social Union และผู้นำพรรคปฏิเสธข้อกล่าวหา และ Strauss ยื่นฟ้อง Hauser ว่าใส่ความ เนื่องจากคำฟ้องดังกล่าวไม่ได้รับการยืนยันปัญหาจึงหลุดไป 

Manfred Wörner สมาชิกของ Bundestag และสมาชิกสภากลาโหม เยอรมันตะวันตก

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1976 ช่วงสุดท้ายของการเลือกตั้งสหพันธรัฐเยอรมันตะวันตก กรณีดังกล่าวได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีการถามคำถามเกี่ยวกับ ‘เอกสารของ Lockheed’ กระทรวงกลาโหมของรัฐบาลเยอรมันตะวันตกเก็บไว้ ทั้งยังมีแหล่งข่าวนิรนามได้แจกจ่ายเอกสารหลายฉบับให้สื่อมวลชนรับทราบ 

ตามเอกสารเหล่านี้ Manfred Wörner สมาชิกของ Bundestag และสมาชิกสภากลาโหม เยอรมันตะวันตก ได้ตอบรับคำเชิญจากบริษัท Lockheed ให้ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องบินของพวกเขาในสหรัฐอเมริกาโดยที่บริษัท Lockheed เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ตลอดการเดินทาง และในระหว่างการสืบสวนยังพบว่า เอกสารส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter ถูกทำลายในปี ค.ศ. 1962 เบาะแสของเอกสารได้ถูกนำขึ้นมาหารืออีกครั้งในการประชุมคณะกรรมาธิการสอบสวนของ Bundestag ระหว่างเดือนมกราคม ค.ศ. 1978 ถึงเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1979 และการสืบสวนของทางการสหรัฐฯ เปิดเผยว่าการเดินทางไปสหรัฐฯ Wörner รับทุนจาก Bundestag และเกี่ยวข้องกับการทดสอบการบินกับเครื่องปราบเครื่องดำน้ำแบบ S-3 Viking และเที่ยวบินของ Wörner ที่เดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกากลับไปยังเยอรมนีได้รับการชำระโดยบริษัท Lockheed ซึ่ง Wörner เดินทางพร้อมกับเลขานุการของเขา และบริษัท Lockheed ก็ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางส่วนหนึ่งให้เธอ ยิ่งไปกว่านั้น Wörner ยัง ‘เสีย’ ตั๋วเดินทางที่รัฐบาลเยอรมันตะวันตกขากลับไปเยอรมนี และบริษัท Lockheed ‘รับรอง’ เขาด้วยการให้ตั๋วเดินทางกลับอีกใบแก่เขา 

เครื่องบินขนส่งแบบ Lockheed C-130 Hercules ของกองทัพอากาศอิตาลี

>> อิตาลี
เรื่องอื้อฉาวของบริษัท Lockheed ในอิตาลีเกี่ยวข้องกับการติดสินบนนักการเมืองสังกัดพรรค Christian Democrat และพรรคสังคมนิยมเพื่อให้สนับสนุนการจัดซื้อเครื่องบินขนส่งแบบ Lockheed C-130 Hercules ของกองทัพอากาศอิตาลี 

ข้อกล่าวหาเรื่องการติดสินบนได้รับการสนับสนุนจาก L'Espresso นิตยสารทางการเมือง และมีเป้าหมายที่อดีตรัฐมนตรี ๒ คน คือ Luigi Gui และ Mario Tanassi (อดีตรัฐมนตรีอิตาลีคนแรกที่รับโทษจำคุก และเป็นนักการเมืองคนแรกที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ก่อนเกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตทั่วประเทศในทศวรรษ 1990) อดีตนายกรัฐมนตรี Mariano Rumor และจากนั้น ประธานาธิบดี Giovanni Leone ได้กดดันให้เขาลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1978

โทรเลขรายงานข้อมูลที่เกี่ยวกับการติดสินบนของบริษัท Lockheed จากเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำเนเธอร์แลนด์มายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ (Henry Kissinger)

เจ้าชาย Bernhard พระสวามีในสมเด็จพระราชินีจูเลียนา ถูกกล่าวหาว่า ได้รับสินบน US$1,100,000 จากบริษัท Lockheed เพื่อให้แน่ใจว่า เครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter จะชนะเครื่องบินขับไล่แบบ Dassault Mirage 5 ในการสั่งซื้อโดยกองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์ พระองค์เคยทรงดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริษัท หรือคณะกรรมาธิการต่าง ๆ มากกว่า 300 แห่งทั่วโลก และได้รับการยกย่องอย่างมากในเนเธอร์แลนด์สำหรับความพยายามในการส่งเสริมความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศเนเธอร์แลนด์

เจ้าชาย Bernhard พระสวามีในสมเด็จพระราชินีจูเลียนา

นายกรัฐมนตรี Joop den Uyl สั่งให้มีการสอบสวนเรื่องนี้ ในขณะที่เจ้าชาย Bernhard ทรงปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวโดยระบุว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่เหนือเรื่องนั้น’ ผลของการไต่สวนนำไปสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญซึ่งสมเด็จพระราชินีจูเลียนาทรงขู่ว่า จะทรงสละราชสมบัติหากเจ้าชาย Bernhard ทรงถูกดำเนินคดี เจ้าชาย Bernhard ทรงได้รับยกเว้นการดำเนินคดี แต่ทรงต้องลงจากตำแหน่งสาธารณะหลายตำแหน่ง และถูกห้ามไม่ให้ทรงเครื่องแบบทหารอีก 

เจ้าชาย Bernhard ทรงปฏิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอด แต่หลังจากการสิ้นพระชนม์ชีวิตในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2004 มีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงยอมรับว่า ทรงรับเงิน พระองค์ตรัสว่า "ข้าพเจ้ายอมรับว่าคำว่า Lockheed จะถูกสลักไว้บนหลุมฝังศพของข้าพเจ้า" 

Adnan Khashoggi ตัวแทนจำหน่ายของบริษัท Lockheed ในซาอุดีอาระเบีย

>> ซาอุดิอาระเบีย
ระหว่างปี ค.ศ. 1970 และค.ศ. 1975 บริษัท Lockheed จ่ายค่า Commissions ราว US$106,000,000 ให้กับ Adnan Khashoggi ตัวแทนจำหน่ายในซาอุดีอาระเบีย เริ่มต้นที่ 2.5% + และในที่สุดก็เพิ่มขึ้นเป็น 15% 

เครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น

>> ญี่ปุ่น
เรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับ Marubeni Corporation และอีกสมาชิกระดับสูงทางการเมือง ธุรกิจ และวงการมาเฟียของญี่ปุ่น รวมทั้ง Eisaku Satō รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ Minoru Genda ประธานคณะเสนาธิการ กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (JASDF) ในปี ค.ศ. 1957 กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่นต้องการซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ Grumman F11F-1F Super Tiger เพื่อแทนที่เครื่องบินขับไล่แบบ F-86 Saber ที่ประจำการอยู่ในขณะนั้น แต่การล็อบบี้อย่างหนักโดยบริษัท Lockheed โดยแกนนำคนสำคัญของพรรค Liberal Democratic Party ทำให้มีการซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ Lockheed F-104 Starfighter แทน

Yoshio Kodama

ต่อมาบริษัท Lockheed ได้ทำการว่าจ้าง Yoshio Kodama ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทและอิทธิพลต่อหลายสายการบินของญี่ปุ่น เป็นที่ปรึกษา ซึ่งทำให้ All Nippon Airways (ANA) สั่งซื้อเครื่องบินโดยสารแบบ Lockheed L-1011 TriStar แทนเครื่องบินโดยสารแบบ McDonnell Douglas DC-10 โดยวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 รองประธานของบริษัท Lockheed กล่าวกับคณะอนุกรรมาธิการของวุฒิสภาว่า บริษัท Lockheed ได้จ่ายสินบนประมาณ US$3,000,000 ให้กับสำนักงานของ Kakuei Tanaka นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้ 

ตัวอย่างของคนสร้างป่า!! ‘สามี-ภรรยาชาวบราซิล’ เสกผืนป่าจากทุ่งทะเลทราย สรรค์สร้างธรรมชาติขึ้นใหม่บนพื้นที่กว่า ๓,๗๕๐ ไร่

ช่วงต้นทศวรรษ 2000 Sebastião Salgado ช่างภาพชื่อดังชาวบราซิล และ Lélia Wanick Salgado ภรรยาของเขาตัดสินใจพัฒนาระบบนิเวศในพื้นที่ทะเลทรายขนาด ๖๐๐ เฮกตาร์ขึ้น (ราว ๓,๗๕๐ ไร่) ขึ้นมาใหม่ใน Aimorés โดยพวกเขาได้ปลูกต้นกล้าพืชพรรณชนิดต่าง ๆ กว่า ๒ ล้านต้น โดยคนงานกับอาสาสมัครเป็นเวลา ๑๘ ปี แล้วพวกเขาก็ได้รับผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง! พวกเขาสามารถสร้างป่าใหม่ขึ้น และตอนนี้พื้นที่ป่านี้ มีพืช ๒๙๓ สายพันธุ์ นกอีก ๑๗๒ สายพันธุ์ และสัตว์ต่าง ๆ อีก ๓๓ สายพันธุ์ ซึ่งบางสายพันธุ์กำลังใกล้ที่จะสูญพันธุ์แล้ว

Sebastião Ribeiro Salgado Júnior เป็นช่างภาพสารคดีทางสังคมและช่างภาพชาวบราซิล เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 ในเมืองไอโมเรส รัฐมีนัสเชไรส์ ประเทศบราซิล หลังจากการเดินทางท่องเที่ยวในวัยเด็ก Salgado ได้รับการศึกษาเพื่อเป็นนักเศรษฐศาสตร์ โดยได้รับปริญญาตรีจาก UFES ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเซาเปาโลในบราซิล และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีส

เขาเริ่มทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ขององค์การกาแฟนานาชาติ (หน่วยงานภายใต้สหประชาชาติ (UN)) ซึ่งจะต้องเดินทางไปทวีปแอฟริกาเพื่อปฏิบัติภารกิจ ในการเดินทางไปทวีปแอฟริกาเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มถ่ายภาพอย่างจริงจัง ที่สุดแล้วในปี ค.ศ. 1973 เขาก็เลือกที่จะทิ้งอาชีพนักเศรษฐศาสตร์แล้วเปลี่ยนมาทำงานด้านการถ่ายภาพ  โดยเริ่มจากงานที่ได้รับมอบหมายด้านภาพสำหรับข่าวก่อนที่จะหันไปทำงานประเภทภาพสำหรับสารคดีมากขึ้น ในตอนแรก Salgado ทำงานร่วมกับบริษัทถ่ายภาพ Sygma และ Gamma ในปารีส แต่ในปี ค.ศ. 1979 เขาได้เข้าร่วมกับ Magnum Photos ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติของช่างภาพ แล้วเขาก็ลาออกจาก Magnum ในปี ค.ศ. 1994 เพื่อร่วมกับภรรยาของเขา Lélia Wanick Salgado ก่อตั้งบริษัท Amazonas Images ขึ้นในกรุงปารีส เพื่อเป็นบริษัทตัวแทนของเขา เขามีชื่อเสียงในด้านการถ่ายภาพสารคดีทางสังคม โดยเฉพาะภาพชีวิตของคนงานในประเทศกำลังพัฒนา

เขาได้เดินทางไปในกว่า ๑๒๐ ประเทศสำหรับโครงการถ่ายภาพของเขา สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ปรากฏในสื่อสิ่งพิมพ์และหนังสือหลายเล่ม นิทรรศการการท่องเที่ยวผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์นำเสนอไปทั่วโลก นอกจากนั้นแล้ว Salgado ได้รับรางวัล W. Eugene Smith Memorial Fund Grant ในปี ค.ศ. 1982 เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ชาวต่างประเทศของ American Academy of Arts and Sciences ในปี ค.ศ. 1992 และเหรียญ Centenary Medal and Honorary Fellowship ของ Royal Photographic Society (HonFRPS) ในปี ค.ศ. 1993 เขาเป็นสมาชิกของ Académie des Beaux-Arts ที่ Institut de France ตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 2016

Salgado ทำงานในโครงการระยะยาวที่ตัวเขาริเริ่ม ซึ่งหลายโครงการได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสืออาทิ : The Other Americas, Sahel, Workers, Migrations และ Genesis เป็นหนังสือที่รวบรวมรูปภาพหลายร้อยรูปจากทั่วทุกมุมโลก ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ เหมืองทองคำในบราซิลที่เรียกว่า Serra Pelada เขายังเป็นทูตสันถวไมตรีของยูนิเซฟตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ด้วย 

ระหว่างปี ค.ศ. 2006 ถึง ค.ศ. 2011 Salgado ทำงานโดยมุ่งเป้าไปที่การนำเสนอภาพที่ปราศจากตำหนิของธรรมชาติและมนุษยชาติ ประกอบด้วยชุดภาพถ่ายทิวทัศน์และสัตว์ป่า ตลอดจนชุมชนมนุษย์ที่ยังคงดำเนินชีวิตตามประเพณีและวัฒนธรรมตามวิถีของบรรพบุรุษ งานนี้ถูกมองว่าเป็นเส้นทางที่มีศักยภาพในการค้นพบตัวเองตามธรรมชาติของมนุษยชาติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top