‘เฉกอะหมัด กุมมี’ ข้าราชการชาวอิหร่าน ผู้มีบทบาทสำคัญในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา

พิธีรำลึกถึง ‘ท่านเฉกอะหมัด กุมมี’ ชาวอิหร่าน ซึ่งมีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ถูกจัดขึ้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี ฯพณฯ ไซยิดเรซา โนบัคติ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำราชอาณาจักรไทยเข้าร่วมงานด้วย

ผู้เข้าร่วมพิธีรำลึกดังกล่าวประกอบไปด้วย ชาวไทยผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากท่านเฉกอะหมัด, ตัวแทนจากญามิอะตุ้ลมุศฏอฟา และที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมของสถานเอกอัครราชทูตอิหร่าน-กรุงเทพฯ เข้าร่วม โดยเริ่มต้นพิธีด้วยการอัญเชิญโองการจากคัมภีร์อัลกุรอ่านและมีการพวงหรีดที่สถานที่ฝังศพของท่านเฉกอะหมัด

ในปี 1605 ท่านเฉกอะหมัด เดินทางยังกรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นท่านก็เป็นหนึ่งในข้าราชการระดับสูงในราชสำนักแห่งกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากความสามารถในการบริหารจัดการและไหวพริบของท่าน และได้เข้ารับราชการที่กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระมหากษัตริย์ถึง 6 พระองค์ นับตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเนื่องจากท่านได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างมาก จึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ระดับสูงที่สำคัญ รวมทั้งตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์อีกด้วย

ท่านเฉกอะหมัด ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี (ชัยคุลอิสลาม) คนแรกแห่งกรุงศรีอยุธยา จึงถือเป็นท่านแรกของราชอาณาจักรไทย โดยมีหน้าที่ในการเป็นผู้นำชาวมุสลิมและดูแลกิจการของชาวมุสลิมทั้งปวงในราชอาณาจักร

ในสมัยของท่านเฉกอะหมัด เหล่าข้าราชบริพารและขนบธรรมเนียมของพวกเขาได้รับอิทธิพลจากชาวอิหร่าน พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาก็ทรงรับเอาวัฒนธรรมอิหร่านในเรื่องการแต่งกาย, การรับประทานอาหาร และรูปแบบสถาปัตยกรรม และบรรดาชาวอิหร่านมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอยู่เป็นประจำ

ท่านเฉกอะหมัด สมรสกับสตรีคนหนึ่งจากราชวงศ์ และผลของการแต่งงานครั้งนี้ ท่านจึงมีทายาท คือ บุตรชาย 2 คนและบุตรสาว 1 คน ซึ่งในปัจจุบันลูกหลานของท่านนั้นยังคงเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในประเทศไทย เช่น ตระกูลอะห์หมัดจุฬา และบุนนาค เป็นต้น

ท่านเฉกอะหมัด ถึงแก่อนิจกรรมในปี 1631 สิริรวมอายุ 88 ปี และหลุมฝังศพของท่านตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมอิสลาม-อิหร่าน ตั้งอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

จะมีการสร้างภาพยนตร์สารคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวของบุรุษชาวอิหร่านผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ เมื่อกว่าสี่ร้อยปีที่แล้วท่านได้เดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย และมีบทบาทสำคัญในราชสำนักของไทย นับเป็นสิ่งสำคัญในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่มีร่วมกันของอิหร่านและไทย และยิ่งทำให้ผู้คนของทั้งสองประเทศใกล้ชิดกันและรู้จักกันมากขึ้น


เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล