Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

สมาคมแม่บ้านตำรวจ จับมือนมตรามะลิแบรนด์ยอดขายอันดับ 1 ทำโครงการสร้างอาชีพให้กับครอบครัวตำรวจ มีอาชีพที่ยั่งยืนและมีรายได้ช่วยเหลือครอบครัวเพิ่มมากขึ้นผ่านแฟรนไชส์  “อาซ้อคาเฟ่”

วันที่ 19 ธันวาคม 2566 ​-  สมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมมือกับ  บริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด เจ้าของแบรนด์นมตรามะลิ ได้จัดทำโครงการสร้างอาชีพให้กับครอบครัวตำรวจเพื่อให้ครอบครัวตำรวจมีอาชีพที่ยั่งยืนและมีรายได้ช่วยเหลือครอบครัวเพิ่มมากขึ้นผ่านแฟรนไชส์ "อาซ้อคาเฟ่“ คาดลุย 77 จังหวัดใน 1 ปี โดยมีพิธีลงนามความร่วมมือ (MOU) โครงการสร้างอาชีพให้กับครอบครัวตำรวจ ระหว่างสมาคมแม่บ้าน และบริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด เจ้าของแบรนด์นมตรามะลิ ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมตรามะลิที่ครองใจคนไทยมากว่า 60 ปี  มอบแฟรนไซส์ “อาซ้อคาเฟ่” Kiosk พร้อมทั้งจัดการฝึกอบรมการชงกาแฟขั้นพื้นฐาน และวิธีการบริหารจัดการร้านกาแฟ โดยใช้ศักยภาพความเป็นมืออาชีพในการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ วัตถุดิบที่มีมาตรฐานสูงจาก นมตรามะลิ ให้กับครอบครัวตำรวจที่มีบุตรข้าราชการตำรวจที่เป็นเด็กพิเศษ และครอบครัวตำรวจที่เกิดอุบัติเหตุทุพพลภาพ ในขณะปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ความสามารถในการหาเลี้ยงชีพหรือดูแลครอบครัวลดลง โดยเน้นการลงทุนแบบครั้งเดียวจบ ไม่มีค่าแฟรนไชส์ ไม่เก็บเปอร์เซนต์จากยอดขายรายเดือน สร้างอาชีพอย่างยั่งยืน พร้อมเอาใจคนยุคใหม่ที่รักกาแฟ ได้สัมผัสประสบการณ์การดื่มกาแฟรสชาติดีแก้วโปรด โดยเฉพาะเมนูอาซ้อคอฟฟี่ ที่เป็นแก้วซิกเนเจอร์ เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ทำจากวัตถุดิบคุณภาพจากนมตรามะลิ ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย

คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวถึงโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ทำต่อเนื่องจากโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” สร้างอาชีพเพื่อเด็กพิเศษอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นโครงการที่ทำตามแผนกลยุทธ์ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2567 ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจ โดยมีการช่วยเหลือและสนับสนุนบุตรข้าราชการตำรวจที่เป็นเด็กพิเศษช่วยเหลือครอบครัวข้าราชการตำรวจที่มีบุตรเป็นเด็กพิเศษ โดยส่งเสริมให้เด็กพิเศษมีโอกาสประกอบอาชีพ มีรายได้ประจำที่มั่นคงตามศักยภาพและความสามารถ รวมถึงครอบครัวตำรวจที่เกิดอุบัติเหตุ ทุพพลภาพ ในขณะปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ความสามารถในการหาเลี้ยงชีพหรือดูแลครอบครัวลดลง  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ได้ประกอบอาชีพที่มีรายได้ประจำ สร้างขวัญกำลังใจบรรเทาทุกข์ให้ครอบครัวข้าราชการตำรวจและช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้

สมาคมแม่บ้านตำรวจยังได้มีแนวคิดพัฒนาและต่อยอดจากโครงการปันรักษ์ คาเฟ่ ซึ่งมีรูปแบบเป็นร้านค้าขนาดเล็ก  หรือร้านค้าที่เป็นลักษณะเคาน์เตอร์ หรือคีออส (Kiosk) จำหน่ายกาแฟสด พร้อมเครื่องดื่มชง ประเภทต่าง ๆ ราคาย่อมเยา แต่ยังคงคุณภาพและมาตรฐานไว้  สมาคมแม่บ้านตำรวจ จึงได้มีแนวคิด ช่วงแรกจะมีการสนับสนุน ตู้คีออส (Kiosk) ให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว ที่มีความประสงค์จะดำเนินธุรกิจแฟรนไซส์กาแฟแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะพิจารณาจากเหตุผลและความจำเป็นรวมไปถึงทำเลที่ตั้งในการขาย และประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการตำรวจและครอบครัวที่มีความสนใจธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟ ในราคาสวัสดิการตามขนาดของตู้คืออส (Kiosk) นอกจากนั้นยังมีการสอนวิธีการชงกาแฟขั้นพื้นฐาน และวิธีการบริหารจัดการร้านกาแฟอีกด้วย

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า " รู้สึกดีใจมาก อย่างนมตรามะลิเข้ามาช่วยดูแลโครงการแฟรนไชส์ อาซ้อคาเฟ่ ซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่มาต่อยอดจากร้านกาแฟปันรักษ์คาเฟ่ เราอยากให้ครอบครัวตำรวจอยู่แบบช่วยเหลือกันช่วยสร้างอาชีพให้กับกลุ่มแม่บ้านตำรวจเพิ่มเติม โดยที่แน่นอนต้องไม่ต้องเสียเงินค่าแฟรนไชส์ โดยมีเงื่อนไขง่าย ๆ มีเพียงอย่างเดียวคือ ให้ทางครอบครัวตำรวจเข้ามานำเสนอแผนธุรกิจกับสมาคม ทำเลที่ตั้งเป็นอย่างไร ตั้งใจทำมากน้อยแค่ไหน เราก็ยินดีส่งเสริม อยากให้เกิดรายได้ช่วยเหลือครอบครัวตำรวจจริงๆ โดย 10 แฟรนไชส์แรก ต้องขอบคุณทางนมตรามะลิที่สนับสนุนมาให้เพื่อให้แฟรนไซส์เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมภายในสิ้นปี 2566 นี้"

คุณหนึ่ง- สุดถนอม กรรณสูต กรรมการ บริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด เจ้าของ  แบรนด์นมตรามะลิ กล่าวว่า “ทางนมตรามะลิ ดีใจที่ได้เป็นผู้ช่วยขับเคลื่อน แฟรนไชส์  อาซ้อคาเฟ่ กับสมาคมแม่บ้านตำราจได้ ซึ่งภายในสิ้นปี พ.ศ. 2566 เราจะนำร่อง 10 สาขาทั่วประเทศ โดยนมตรามะลิสนับสนุนมอบชุดธุรกิจ อาซ้อคาเฟ่ จำนวน 10 ชุด ผ่านสมาคมแม่บ้านตำรวจ เพื่อเป็นการสร้างอาชีพให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นกับครอบครัวตำรวจกำลังพลที่ประสบอุบัติเหตุในระหว่างปฎิบัติราชการ โดย เริ่มจาก จังหวัดสงขลา  ราชบุรี กรุงเทพมหานคร   โดยชุดธุรกิจแฟรนไชส์อาซ้อคาเฟ่ ราคาเริ่มต้นเพียง 35,000 บาทเท่านั้น ที่มุ่งเป้าการขายกาแฟในราคาที่เข้าถึงง่าย เริ่มต้นเพียง 45 บาท แต่เต็มไปด้วยคุณภาพจากวัตถุดิบนมตรามะลิ เน้นพัฒนาและต่อยอดสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์นมตรามะลิที่เป็นวัตถุดิบสำคัญของร้าน ในโอกาสนี้ ทางนมตรามะลิยังร่วมมอบผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์สนับสนุนในทุกๆ ชุดธุรกิจแฟรนไชส์ เพื่อสร้างอาชีพที่ยั่งยืนอีกด้วย”

นอกจากการสนับสนุนจากภาคเอกชนอย่างมอบผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆ  จากบริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด (นมตรามะลิ) ได้ให้เกียรติมาร่วมสนับสนุนโครงการพิเศษของสมาคมแม่บ้านตำรวจแล้ว และยังได้รับเกียรติจาก ครูปาน คุณสมนีก คลังนอก ศิลปินชื่อดัง นักวาดภาพประกอบอิสระ เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ร่วมออกแบบโลโก้ กาแฟอาช้อ เน้นกลุ่มลูกค้าตามตลาดในชุมชนต่างๆ เพื่อสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม เนื่องจากมีราคาย่อมเยา ส่งเสริมให้ตำรวจและครอบครัวได้มีโอกาส มีธุรกิจของตนเองได้ และที่สำคัญเพื่อส่งเสริมสนับสนุนผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนและชุมชนในพื้นที่ดอยสามหมื่น ตชด.ที่ 33 อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ที่ทางสมาคมแม่บ้านตำรวจได้มีโครงการสนับสนุน และพัฒนาเมล็ดกาแฟ เพื่อสร้างรายได้อีกทางให้แก่พื้นที่นั้นๆ อีกด้วย
 
ติดต่อรายละเอียด แฟรนไชส์อาซ้อคาเฟ่เพิ่มเติมได้ที่  ส.ต.ท. หญิง  เอื้ออารีย์ ภูชมศรี หมายเลขติดต่อ 09 1862 4521 Email : [email protected]

‘เซลีน ดิออน’ เจ้าของเพลงไททานิก อาการทรุด ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้ หลังป่วยเป็นโรคหายาก พบ 1 ในล้าน และเข้ารับการรักษามากว่า 1 ปี

(19 ธ.ค.66) อาการล่าสุด ของ ‘เซลีน ดิออน’ นักร้องชื่อดังชาวแคนาดา วัย 55 ปี เจ้าของบทเพลงดังอย่าง My Heart Will Go On จากภาพยนตร์เรื่อง Titanic ที่ป่วยด้วยโรค Stiff Person Syndrome หรือ โรคคนแข็ง ที่เป็นโรคทางระบบประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็งและกระตุก โดยตอนนี้เธอสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจาก ‘คลอเดต ดิออน’ พี่สาวของเธอ

พี่สาว ‘เซลีน ดิออน’ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวของแคนาดา ว่า ‘สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เซลีน ตั้งใจและมีวินัยเรื่องการรักษาอาการป่วยมาโดยตลอด เธอตั้งใจมาก และคุณแม่ของพวกเราก็คอยให้กำลังใจเธอ โดยบอกว่า ลูกจะไม่เป็นไร ลูกจะต้องกลับมาแข็งแรง’

ทั้งนี้ ‘เซลีน ดิออน’ ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรค Stiff Person Syndrome เมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ทำให้เธอต้องประกาศยกเลิกการแสดงทัวร์คอนเสิร์ต Courage ทั้งหมด เพราะอาการป่วยส่งผลให้เธอมีอาการชักกระตุก จนไม่สามารถเดินหรือร้องเพลงได้เหมือนเดิม

พี่สาวของ ‘เซลีน ดิออน’ บอกว่าความฝันของเธอคือการได้กลับมาร้องเพลงบนเวทีอีกครั้ง ไม่ว่าจะกลับมาร้องเพลงได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเธอบอกเสมอว่า คิดถึงทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่บนเวที และเธอทุ่มเท 100% ให้กับการแสดงทุกครั้ง

โรค Stiff Person Syndrome เป็นโรคที่หายาก ที่จะเกิดกับคนแค่ 1 ในล้าน ที่เกิดจากภาวะแพ้ภูมิตัวเองที่ผิดปกติในสมองและกระดูกสันหลัง ซึ่งการรักษาแพทย์จะรักษาตามอาการ เช่น ลดอาการเกร็ง และการกระตุกของกล้ามเนื้อ 

‘ปตท.’ ผนึก ‘GISTDA’ มุ่งต่อยอดธุรกิจดาวเทียม เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 66 ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วย ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ. หรือ GISTDA) ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านธุรกิจใหม่จากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อแสวงหาโอกาสในด้านธุรกิจอวกาศทั้งห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำ (Upstream) อาทิ ระบบและบริการออกแบบและผลิตดาวเทียม การขนส่งวัตถุขึ้นสู่อวกาศ การสำรวจและวิจัยในอวกาศ การประยุกต์ใช้วัสดุคาร์บอนขั้นสูง (Advanced Carbon Material) จากกลุ่ม ปตท. เพื่อเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดไปยังธุรกิจปลายน้ำ (Downstream) ที่ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานทางอวกาศ รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลดาวเทียม 

ตลอดจนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาทิ การประเมินคาร์บอนในพื้นที่สีเขียว เพื่อนำไปสู่การแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรมดาวเทียมเพื่อเทคโนโลยีพลังงานใหม่ สอดรับกับวิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond ของ ปตท.

‘ปตท.’ รับโล่เชิดชูเกียรติ ‘ANTI-CORRUPTION AWARDS 2023’ สะท้อนองค์กรยึดหลักธรรมาภิบาล ปฏิบัติงาน ‘โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต’

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวศรีศุกร์ บุญเพ็ชร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาศักยภาพองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นผู้แทน ปตท. รับโล่เชิดชูเกียรติ ‘ANTI-CORRUPTION AWARDS 2023’ รางวัลส่งเสริมธรรมาภิบาล ประจำปี 2566 ประเภทองค์กร จากสมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลฯ เพื่อยกย่องเชิดชูองค์กร หน่วยงาน และสื่อมวลชน รวมถึงบุคลากรที่ยึดหลักธรรมาภิบาลและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต สอดคล้องการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญและส่งเสริมการดำเนินงานอย่างมีธรรมาภิบาล มีการกำกับกิจการที่ดี ตลอดจนปลูกฝังวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ อันเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติต่อต้านการคอร์รัปชัน และพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน

ย้อนรอยเหตุการณ์ต้องจำ ปี 2022

ก่อนที่จะไปติดตามเหตุการณ์เด่นอันเป็นกระแสในปี 2023 ... ‘THE STATES TIMES’ ขออนุญาตพาทบทวนอดีต เหตุการณ์เด่น ที่เป็นกระแสในหน้าข่าวของปีที่แล้ว (2022) ซึ่งมีทั้งเหตุการณ์น่ายินดี ภาคภูมิใจ ไปจนถึงเหตุการณ์โศกเศร้า สุดสะเทือนขวัญ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กันสักเล็กน้อย ตามไปดูกัน…

🟢‘พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.9’ ศูนย์รวมใจแห่งใหม่ที่ในหลวง ร.10 พระราชทานเพื่อปวงชน
https://thestatestimes.com/post/2023010204 

🟢‘หนึ่งคนว่าย หลายคนให้’ ปันน้ำใจ ‘พี่น้องชาวไทย’ สู่ ‘พี่น้องชาวลาว’
https://thestatestimes.com/post/2023010202 

🟢รถไฟฟ้าจีนแรงเกินต้าน สะเทือนบัลลังก์ ‘ญี่ปุ่น-ตะวันตก’
https://thestatestimes.com/post/2023010105 

🟢APEC 2022 งานประชุมระดับโลก ที่คนไทยภาคภูมิใจ
https://thestatestimes.com/post/2022123006 

🟢‘บุพเพสันนิวาส 2’ หนังไทยน้ำดี ที่มัดใจ 'ไทย-เทศ' แบบอยู่หมัด
https://thestatestimes.com/post/2022123107 

🟢คืนสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ผลงานชิ้นโบแดง ‘รัฐบาลลุงตู่’
https://thestatestimes.com/post/2022123003 

🟢สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเสด็จสวรรคต
https://thestatestimes.com/post/2022123106 

🟢‘ความโลภบังตา หายนะบังเกิด’ FOREX 3D สะท้อนแชร์ลูกโซ่ไม่มีวันหมด
https://thestatestimes.com/post/2022123004

🟢รอดปม 8 ปี ‘ลุงตู่’ ได้ไปต่อ ศาลรธน. ชี้ขาด ‘ประยุทธ์’ นั่งนายกฯ เริ่มนับปี 60
https://thestatestimes.com/post/2023010104 

🟢การตายของ ‘แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์’ ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ
https://thestatestimes.com/post/2022123002 

🟢กราดยิงหนองบัวลำภู โศกนาฏกรรม ทำคนไทยหัวใจสลาย
https://thestatestimes.com/post/2023010203 

🟢ยูเครน VS รัสเซีย สงครามยืดเยื้อ ที่ยังไม่รู้วันจบ
https://thestatestimes.com/post/2022123105 

‘หนุ่ม กรรชัย’ ฝากความในใจถึง ‘ครูตี๋สอนจีบสาว’ หลังทัวร์ลงยับ ขอให้หยุดความคิดนี้ ซ้ำ!! เป็นการเหยียดผญ.-คนเจ๋งจริงเขาไม่อวด

(19 ธ.ค.66) หลังจากเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลถึง ‘ครูตี๋สอนจีบสาว’ ไลฟ์โค้ชคนล่าสุดที่ออกมาสอนหนุ่มถึงเรื่องผู้หญิง จนถูกกระแสสังคมตีกลับ โดยล่าสุดวันนี้ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ก็ได้มีการเล่าข่าวเรื่องนี้เช่นกัน โดย ‘หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย’ หนึ่งในพิธีกรรายการก็ได้แสดงความเห็นถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

“คือในมุมของพี่นะ เป็นผู้ชายเหมือนกัน พี่มองว่าเป็นการเหยียดผู้หญิง คือเหมือนพยายามจะบอกตัวเองว่าเป็นเจ้าโลกอย่างนี้หรอ มันไม่ใช่อะ ทำแบบนี้มันได้หรอ”

คือเอาตรง ๆ นะตี๋ หนุ่มเนี่ยก็กระฉ่อนมาก่อน วิธีของตี๋นี่เลอะเทอะ บอกเลยตี๋นี่ครูกะปิเอง เชื่อครูกะปิอย่ามีความคิดแบบนี้ นี่ฝากบอกผู้ชายด้วยอย่ามีความคิดแบบนี้นะ มันไม่ถูกต้อง จะไปบอกว่าต้องดูมูลค่าผู้หญิงที่เขาต้องต่ำกว่าเรา แล้วเราก็ต้องเสนอเขาอย่างนี้ ทั้งที่เรามีเมียอยู่แล้ว แล้วเดี๋ยวผู้หญิงเขาจะเข้ามาหาเรา มันไม่ใช่

จะไปบอกว่านี่ไม่ได้เหยียดนะ แต่สิ่งที่คุณพูดมันคือการเหยียด และเอาตรง ๆ นะ คนที่เจ๋งจริง ๆ เขาไม่พูดหรอก เขาอมภูมิ เขาไม่อวดภูมิเรื่องพวกนี้ แหม่…จะไปสอนคนให้ไปจีบหญิงให้มีเมียน้อยได้

มันเป็นกติกาที่ใช้ไม่ได้เลยนะ ฝากบอกครูตี๋นะ จากครูกะปินะ คนจริงเขาต้องอมภูมิเขาไม่อวดภูมิหรอกลูก เชื่อพ่อ…อยู่ดี ๆ อยู่ในที่ของตัวเอง ไม่ต้องออกมาสาระกับคนอื่นแล้วเรื่องแบบนี้มันเป็นการชักจูง ทำให้คนที่ไปทำเลียนแบบคุณ หรือคิดว่าใช้ได้ แล้วไปทำเรื่องแบบนี้ขึ้นคุณรับประกันได้ยังไง ถ้าเกิดฝ่ายหญิงเขารู้ว่าคุณไปหลอกเขาแล้วเขาเอาปืนมายิงคุณตาย หรือเหตุฆ่ากันมันก็มาจากเรื่องชู้สาวเยอะ เพราะฉะนั้นสอนก็สอนให้มันอยู่ในวิถี มุมมองที่มันถูกต้อง

และทิ้งท้ายว่า “ก่อนจะหยุดพ่อเคยสุดมาก่อนลูก”

‘ฮ่องกง’ เผชิญวิกฤติ ‘นักท่องเที่ยวจีนหด-ยอดจับจ่ายลดฮวบ’ หลังขาชอปกระเป๋าหนักเริ่มเอือม เปลี่ยนจุดหมายไปไหหลำแทน

เจ้าของธุรกิจร้านค้า แบรนด์เนมหรูในฮ่องกง ถึงคราวต้องเปลี่ยนกลยุทธ์หนีตาย หลังพบยอดนักท่องเที่ยวจีนระดับไฮ-เอนด์ ลดฮวบ ยอดจับจ่ายไม่ตรงตามเป้า คาด พิษเศรษฐกิจจีนยังซบเซา อีกทั้งนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มเอือมฮ่องกง หนีไปเที่ยว ‘เกาะไหหลำ’ แทน

คาดการณ์ผิด ธุรกิจเปลี่ยนทันที สำหรับฮ่องกง ที่เคยขึ้นชื่อเรื่องแหล่งชอปปิงสุดฮิตติดลมบนของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่นิยมมาจับจ่ายซื้อสินค้าหรู แบรนด์เนมกันทีละมากๆ ดั่งสำนวนที่ว่า “shop till you drop - ไม่ล้มละลาย ไม่เลิก”

แม้แต่ช่วงก่อน Covid-19 ที่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ก็ยังมีฮ่องกงที่ยังคึกคักไปด้วยลูกค้ากระเป๋าหนักจากจีนอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งเกิดวิกฤติ Covid-19 ที่ทางการฮ่องกงต้องใช้มาตรการ Lockdown ปิดเกาะ คัดกรองชาวต่างชาติ และชาวจีนนานแรมปี จนทำให้ร้านค้าในฮ่องกงจำนวนมากต้องยุติกิจการไป

แต่หลังจากวิกฤติ Covid-19 ผ่านพ้นไป ทางการฮ่องกงเคยคาดว่า การท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักได้ดังเดิมภายในเวลา 1 ปี รวมถึงยอดจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว ที่อั้นไว้นานตั้งแต่ช่วงปิด Covid-19 แต่ยอดนักท่องเที่ยวกลับไม่เป็นไปตามเป้า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มาน้อยลงกว่าที่คาด แถมยอดการจับจ่ายซื้อของต่อคนที่เคยหวือหวา ตอนนี้ลดเหลือเพียง 18-55% จากค่าเฉลี่ยในปี 2018 ก่อนเกิน Covid-19

สัญญาณเตือนแรงมาจากการเริ่มทยอยปิดร้านบางสาขาของร้านค้าแบรนด์หรูในฮ่องกง ทั้ง Valentino, Burberry, Louis Vuitton และล่าสุด Harvey Nichols ห้างหรูสัญชาติอังกฤษก็ประกาศคืนพื้นที่เช่า ปิดกิจการสาขาใหญ่ ในเขต Central ในห้าง Landmark Store ในปลายปี 2023 นี้แล้วเช่นกัน เนื่องจากยอดการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลหยุดยาวของจีนไม่เข้าเป้า การลดสาขาจึงเป็นทางออกที่ดีกว่าในการรักษาระดับผลกำไร จากการขายสินค้าแบรนด์หรูในสถานการณ์ที่ลูกค้ามีจำนวนลดลง

นักวิเคราะห์ด้านการตลาดมองว่า ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง แถมยอดจับจ่ายต่อหัวก็ลดลงตามไปด้วย เป็นเพราะพิษเศรษฐกิจของจีน ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เหมือนก่อนช่วง Covid-19

แต่บางส่วนมองว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเริ่มลดลงตั้งแต่เข้าปี 2019 แล้ว จากผลพวงของเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนในฮ่องกง ที่ลุกลามจนเกิดกระแส ‘ปลดปล่อยฮ่องกง’ เมื่อมีกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนไม่น้อยออกมาแสดงออกในเชิงเหยียด ไม่ต้อนรับชาวจีนแผ่นดินใหญ่อีกต่อไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดวิกฤติ Covid-19 เสียอีก

มิหนำซ้ำ การเติบโตของการซื้อสินค้าออนไลน์ และสถานที่ท่องเที่ยวคู่แข่งอย่างเกาะไหหลำ ที่รัฐบาลจีนหมายมั่นปั้นให้เป็น ‘เกาะฮาวายแห่งประเทศจีน’ ด้วยนโยบายเกาะปลอดภาษี ที่ให้ชาวจีนและนักท่องเที่ยวสามารถมาชอปปิงสินค้าแบรนด์หรูปลอดภาษีได้ไม่อั้น จนทำให้มีร้านค้ามาเปิดกิจการแล้วมากกว่า 3,000 แบรนด์ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 28.6 ล้านคน ภายในแค่ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งที่มาแรงของเกาะฮ่องกง

‘โรแซนนา ถัง’ ผู้บริหารของห้าง Cushman & Wakefield ในฮ่องกงมองว่า ตอนนี้กระแสการท่องเที่ยวในฮ่องกงเริ่มเปลี่ยนจากจุดหมายปลายทางของการชอปปิง ไปสู่การท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์มากขึ้น หากดูจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ที่นิยมไปเช็กอินตามจุดถ่ายรูป จุดชมวิวสวยๆ ที่สามารถแชร์ลงสื่อโซเชียลได้ จนกลายเป็นคำศัพท์บัญญัติใหม่ว่า ‘Instragramable places’

กิจการ ร้านค้าหลายแห่งต้องปรับเปลี่ยนบรรยากาศร้านใหม่ หรือขยายไปจับธุรกิจร้านน้ำชา คาเฟ่ ร้านนั่งชิล ร้านอาหารที่ขายบรรยากาศ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่มมากกว่า

รัฐบาลฮ่องกงก็เล็งเห็นกระแสการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปเช่นกัน และพยายามที่จะผลักดันโปรเจกต์ส่งเสริมการท่องเที่ยวฮ่องกงในรูปแบบใหม่ เช่น การจัดงานเทศกาลประจำฤดู งานวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สำคัญ โปรโมตการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แบบ ‘Unseen Hong Kong’ ที่ไม่ใช่แค่จุดหมายเรื่องการชอปปิง แต่สามารถมาท่องเที่ยวแบบ Outdoor ปีนเขา ล่องทะเลได้ด้วย

แต่ก็ต้องใช้เวลา และทุนสนับสนุนไม่ใช่น้อยทีเดียว ในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับฮ่องกง เมื่อเกาะสวรรค์แห่งการชอปปิงสินค้าหรูกำลังสิ้นมนต์ขลัง เพราะคู่แข่งในย่านเอเชียที่มาแรงอย่างเกาะไหหลำของจีน การปรับลุคใหม่เพื่อเรียกลูกค้าเก่าจากแผ่นดินใหญ่ให้กลับมาอีกครั้ง นับเป็นโจทย์หินที่ท้าทายอย่างมากจริงๆ

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘สว.อุปกิต’ ลุยฟ้อง ‘โรม’ หมิ่นประมาทอีกคดี เรียกค่าเสียหาย 20 ล้าน ยัน!! ถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้ฟ้องปิดปาก พร้อมเอาผิดคนใส่ร้ายถึงที่สุด

(19 ธ.ค. 66) ที่ศาลอาญา รัชดาฯ ห้องพิจารณาคดี 910 ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำที่ อ1743/2566 ที่นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภาฟ้อง นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท เป็นคดีที่ 2 โดยศาลมีคำสั่งให้คดีมีมูล ประทับรับฟ้อง อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ นายรังสิมันต์ ไม่ได้เดินทางมาศาล โดยมอบหมายทนายความมาฟังคำสั่งศาลและศาลนัดสอบคำให้การ/ตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 12 ก.พ. 2567 เวลา 09.00 น.

นายอุปกิต กล่าวว่า ได้ฟ้องร้องนายรังสิมันต์ รวม 3 คดี โดยคดีแรกฟ้องหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท ศาลนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 10 ต.ค. และสืบพยานจำเลย วันที่ 11 ต.ค. 2567 คดีที่สองเรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท ซึ่งศาลก็รับฟ้อง ส่วนอีกคดีฟ้องต่อศาลแพ่ง ข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท และยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว

“ขอเรียกร้องไปยังนายรังสิมันต์ว่า เมื่อถึงคราวที่ตัวเองตกเป็นจำเลย ก็ควรเปิดโอกาสให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่ ไม่ควรด้อยค่า สร้างกระแสว่าเป็นการฟ้องปิดปาก” นายอุปกิต ระบุ

‘เศรษฐา’ เล็งหนุนกฎหมายสมรสเท่าเทียมเต็มที่

(19 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ (X) ว่า…

“ผมเชื่อว่าความรักไม่มีนิยามตายตัว เราทุกคนมีสิทธิรักใครสักคนหนึ่งในฐานะ ‘มนุษย์คนหนึ่งรักมนุษย์อีกคน’ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องใดทั้งสิ้น กฎหมายนี้จะทำให้บุคคลเพศเดียวกันสามารถหมั้น และสมรสกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้มีสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสที่เป็นชายและหญิง

เรื่องสมรสเท่าเทียม ไม่ใช่การทำให้ความรักของคนสองคนถูกกฎหมาย แต่เราให้ความสำคัญกับเรื่องของสิทธิ และเสรีภาพในการแต่งงานของคนรักกันที่ควรได้รับเหมือนกันทุกคน

วันนี้เรามีความก้าวหน้าไปอีกขั้น ในการเสนอร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งจะบรรจุเข้าพิจารณาวาระที่ 1 วันที่ 21 ธ.ค.นี้แล้ว” 

‘กสทช.’ ยัน!! ตรวจผลทำงาน ‘ทรู-ดีแทค’ ละเอียดยิบ พบ ‘คุณภาพสัญญาณ-ค่าบริการ’ ยังทำตามเงื่อนไข

(19 ธ.ค.66) นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการและรักษาการเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิดเผยว่า จากการติดตามตรวจสอบหลังการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ทางสำนักงาน กสทช. ยืนยันว่าคณะอนุกรรมการติดตามตรวจสอบและประเมินตามมาตรการเยียวยาของการควบรวมระหว่าง TRUE และ DTAC ได้มีการดำเนินการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลการตรวจสอบจะต้องเสนอรายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กสทช. รับทราบก่อนจึงจะมีการเปิดเผยได้ หลังรวมธุรกิจฯ ทาง TRUE ก็ได้มีการส่งรายงานมาแล้วและมีการจัดทำรายงานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากคณะอนุกรรมการฯ หมดวาระลงในวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นพบว่า TRUE ยังคงยึดถือปฏิบัติตามกฎหมาย และเงื่อนไขภายหลังการรวมธุรกิจ TRUE-DTAC มาโดยตลอด แต่ปัญหาอาจเกิดจากการสื่อสารที่ออกไปยังสาธารณะ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดก่อให้เกิดความสับสนของผู้ได้รับข้อมูล อาทิ ประเด็นการลดเสาสัญญาณ ทำให้คุณภาพสัญญาณแย่ลง ซึ่ง TRUE ได้มีการชี้แจงข้อมูลในประเด็นที่มีการร้องเรียนเรื่องของเสาสัญญาณที่มีจำนวนมาก โดยภายหลังการรวมธุรกิจรวม TRUE-DTAC จะต้องมีการสำรวจพื้นที่จุดซ้ำซ้อน และทำการโยกย้ายสถานีฐาน ไปในจุดที่สัญญาณดีกว่าไปรวมไว้กับเสาที่คงไว้ ก่อนจะยุบเสาเปล่าออกไป เพื่อไม่ให้เป็นมลพิษทางสายตา และยืนยันว่าคุณภาพการส่งสัญญาณยังคงเดิม แต่ได้มีการตำหนิ TRUE เกี่ยวกับการแจ้งดำเนินการยุบเสาสัญญาณและย้ายสถานีฐานให้ผู้ใช้บริการรับทราบก่อน

ทั้งนี้ ในส่วนของการประเด็นเกี่ยวกับอัตราค่าบริการที่เฉลี่ยลดลง 12% จะใช้วิธีการเฉลี่ยราคาใหม่ด้วยการถ่วงน้ำหนักตามจำนวนผู้ใช้บริการแต่ละรายการส่งเสริมด้านการขายภายใน 90 วัน หลังจากที่ได้มีการรวมธุรกิจ ทาง TRUE ได้ส่งข้อมูลให้สำนักงาน กสทช.ตรวจสอบ โดย กสทช.ได้ทำการสุ่มตรวจสอบข้อมูล ซึ่งการลดราคาในการลดค่าเฉลี่ยว่าแพ็กเกจไหนประชาชนใช้เยอะ กสทช.จะนำมาเฉลี่ยผลลัพธ์ออกมา จากการตรวจสอบก็พบว่า TRUE ยังทำตามมาตรฐานที่ได้กำหนด

สำหรับการเฉลี่ยราคาโดยการถ่วงน้ำหนักจากแพ็กเกจที่มีผู้ใช้มาก ที่ว่าลดลง 12% นั้น ค่าเฉลี่ยนั้นคือราคาเท่าไหร่นั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ต้องเสนอ บอร์ด กสทช. รับทราบก่อน ขณะที่ประเด็นของแพ็กเกจราคา 299 บาท และมีแพ็กเกจอื่นๆ ที่หายไปยืนยันว่าปัจจุบันยังมีการให้บริการอยู่ เมื่อครบกำหนดใช้บริการ 30 วัน แพ็กเกจจะหมดอายุ ผู้ให้บริการจะให้ผู้บริโภคเลือกว่าจะต่อแพ็กเกจเดิม หรือใช้แพ็กเกจใหม่ที่กำหนดได้ไม่มีการบังคับการเลือกใช้แพ็กเกจ รวมถึงข้อร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพสัญญาณที่ก่อนควบรวมธุรกิจ TRUE-DTAC มีจำนวน 944 เรื่อง แบ่งเป็นของ TRUE  637 เรื่อง และ DTAC 307 เรื่อง และหลังควบรวมธุรกิจมี 836 เรื่อง โดยมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพสัญญาณแค่ 17 เรื่อง

ด้าน พ.ต.อ. ประเวศน์ มูลประมุข เลขานุการประจำประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำประธาน กสทช. ด้านกฎหมาย กล่าวว่า หลังการรวมธุรกิจของ TRUE-DTAC นั้น จากข้อมูลได้มีการตรวจสอบที่ชัดเจนเริ่มที่กระบวนการติดตามการดำเนินการเรื่องควบรวมธุรกิจ TRUE-DTAC ตามเงื่อนไขหลังควบรวมทั้งสิ้น 19 ข้อ ซึ่งที่ผ่านมา TRUE ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขในระยะเวลาที่กำหนด มีเพียงเรื่องการว่าจ้างคณะที่ปรึกษามาประเมินเรื่องราคาและคุณภาพ ตามเงื่อนไข ซึ่งติดที่คณะอนุฯ หมดวาระและได้ขยายระยะเวลาการทำงานของคณะอนุฯ นี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้เป็นข้อมูลของประธานอนุกรรมการผู้บริโภค ซึ่งเป็นประธานอนุกรรมการติดตามฯ เป็นเหตุที่ทำให้บอร์ด กสทช.ทั้ง 4 ท่าน ทำเรื่องเสนอประธาน กสทช. นำเรื่องเข้าที่ประชุม โดยเรื่องการติดตามหลังควบรวมธุรกิจฯ ได้ถูกบรรจุในวาระการประชุมมาโดยตลอด แต่การประชุมครั้งที่ผ่านๆมา ยังไม่มีการพิจารณา ซึ่งในการประชุมบอร์ด กสทช. ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ จะมีการนำเรื่องนี้มาหารือ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top