Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

‘ญี่ปุ่น’ พบ ‘วัยทำงาน’ เกือบ 60% ไม่อยากร่วมฉลองปีใหม่ที่ทำงาน เหตุ ‘ไม่เห็นความจำเป็น-เหนื่อยใช้พลังงานเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคน’

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลสำรวจทางออนไลน์จาก ชูฟู จ็อบ โซเก็น (Shufu Job Soken) สถาบันวิจัยเอกชนในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น พบว่าเกือบร้อยละ 60 ของผู้ใหญ่วัยทำงานในญี่ปุ่นไม่สนใจจะเข้าร่วมงานเลี้ยงปีใหม่กับเพื่อนร่วมงาน

การสำรวจเมื่อเดือนพฤศจิกายนสอบถามผู้หญิงและผู้ชายวัยทำงาน อายุ 20-50 ปีขึ้นไป จำนวน 559 คน เกี่ยวกับความเต็มใจจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำและกินดื่มกับเพื่อนร่วมงานเนื่องในวันปีใหม่ตามธรรมเนียม

ร้อยละ 57.4 เผยว่า ‘ไม่เต็มใจจะเข้าร่วมเลย’, ‘ไม่เต็มใจจะเข้าร่วม’ หรือ ‘ค่อนข้างไม่เต็มใจจะเข้าร่วม’ โดยคนอายุ 30 ปีขึ้นไป ครองส่วนแบ่งสูงสุดที่ร้อยละ 63 ตามด้วยคนอายุ 20 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 55.9) คนอายุ 40 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 55.8) และคนอายุ 50 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 52.1)

สำหรับเหตุผลหลักของการไม่อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ได้แก่ ‘ไม่เห็นความจำเป็น’ (ร้อยละ 48.4) ‘เหนื่อยกับการใช้พลังงานเพื่อมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเข้มข้น’ (ร้อยละ 46.8) ‘อยากให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว’ (ร้อยละ 46.5) และ ‘กังวลเกี่ยวกับการใช้เงิน’ (ร้อยละ 43)

อนึ่ง การสำรวจนี้ยังสอบถามถึงความจำเป็นของการมี ‘วัฒนธรรมงานเลี้ยงปีใหม่’ ในที่ทำงาน ซึ่งร้อยละ 62.1 มองว่า “ไม่มีความจำเป็น”

'ดร.สุวินัย' ยกอุทาหรณ์ 'ราม พมจัน' จาก 'ยุวพุทธแห่งเนปาล' สู่ ผู้ต้องหาหนีคดี จุดจบ!! เพียงเพราะผู้ศรัทธารวมตัวกันเป็นกลุ่มลัทธิ 'ขาดสติ-เกินควบคุม'

(20 ธ.ค.66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ในหัวข้อ อุทาหรณ์จากกรณีของ 'ราม พมจัน' ผู้เคยได้รับฉายา 'ยุวพุทธแห่งเนปาล' ระบุว่า...

พมจันเกิดในปี ค.ศ. 1990 เขาเป็นลูกชาวนา เป็นบุตรคนที่ 3 จาก 5 คน อาศัยอยู่ที่รัตนปุรี ประเทศเนปาล 

>> ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2005 ตอนพมจันอายุ 15 เขาได้ออกจากบ้านไปนั่งบำเพ็ญสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิใหญ่หลังจากที่เขาฝันเห็นเทพเจ้าลงมาบอกเขาในความฝันให้ทำเช่นนั้น

พมจันนั่งหลับตาบำเพ็ญสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่นั้นนานถึง 10 เดือน ระหว่างนั้นเขาดื่มกินและพูดน้อยมาก แทบไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ

คำร่ำลือเรื่อง 'พระพุทธเจ้าน้อยพมจัน' แพร่สะพัดไปทั่วประเทศและทั่วโลก ผู้คนนับหมื่นนับแสนแห่มาเยี่ยมชมสถานที่ที่เด็กหนุ่มพมจันนั่งหลับตาเข้าฌานนานนับชั่วโมงหรือเป็นวันโดยไม่ขยับตัว

การรวมตัวเป็นกลุ่มผู้ศรัทธาใน 'พระพุทธเจ้าน้อย' เกิดขึ้นอย่างเป็นไปเอง แม้ตอนนั้นพมจันจะออกมาปฎิเสธว่า...

"ช่วยบอกผู้คนทั้งหลายว่าอย่าเรียกข้าพเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าเลย ตัวข้าพเจ้าหามิได้มีบารมีขนาดนั้นไม่ ข้าพเจ้าแค่บำเพ็ญอยู่ในระดับของริมโปเช (ครูกรรมฐาน) เท่านั้น"

>> ในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2006 เมื่อมีผู้คนแห่มารบกวนการบำเพ็ญสมาธิของเขามากจนเหลืออด ในที่สุดพมจันก็หายตัวไปบำเพ็ญที่อื่นโดยบอกคนใกล้ชิดว่า...

"ไม่ต้องห่วง ข้าพเจ้าจะกลับมาแน่หลังจากบำเพ็ญสมาธิครบหกปีตามที่ตั้งใจไว้แล้ว"

>> ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2007 มีรายงานจากสื่อว่าพบเห็นพมจันในวัย 17 ปี กำลังเทศนาธรรมต่อหน้าฝูงชนในป่าแห่งหนึ่ง

>> ในปี ค.ศ. 2010 พมจันในวัยยี่สิบออกจากการบำเพ็ญสมาธิ 6 ปี

เขาได้รับสถาปนาให้เป็น 'เจ้าลัทธิ' มีผู้ศรัทธาสร้างสำนักให้เขา ชาวบ้านจำนวนมากขอสมัครเข้าเป็นสาวก จีวรสีฟ้าถูกนำมาใช้เป็นเครื่องห่มกายของคนในลัทธิ สาวกทั้งหลายสมัครใจใช้เครื่องแบบนี้ 

พมจันกลายเป็นเจ้าลัทธิคนใหม่เต็มตัว ด้วยการนุ่งขาวห่มขาวต่างจากทุกคน

กลุ่มลัทธิที่พมจันเป็นเจ้าลัทธิได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในหนึ่งปี ... ในปี ค.ศ. 2010 ปีเดียวกันนั้นเอง ที่สาวกของพมจันเริ่มก่อเรื่องทำร้ายพวกชาวบ้านจำนวน 17 คนที่เข้ามาเก็บของป่า ด้วยเหตุผลว่า "รบกวนการบำเพ็ญสมาธิของเจ้าสำนัก"

พมจันถูกตำรวจนำตัวมาสอบสวน ตัวเขาเองยอมรับว่า เขาได้ใช้มือ ตบคนเหล่านั้นไป เพราะมาทำลายสมาธิเขาช่วงกำลังบำเพ็ญตบะ 

>> ในปี ค.ศ. 2012 สาวกของพมจันก็ก่อเหตุอีก พวกเขาไปจับตัวสาวชาวสโลวักคนหนึ่งมาทรมาน เพราะเธอเป็นแกนนำต่อต้านพมจันในด้านการบุกรุกป่าสร้างสำนัก เธอถูกฉุดจากบริเวณโรงแรม และถูกปล่อยตัวมาในสภาพแขนหัก 

นักข่าวต่างชาติเข้ามาทำข่าว เหล่าสาวกก็เข้าไปพังกล้องของพวกเขา สาวกให้เหตุผลว่านักข่าวพวกนี้ มาบันทึกภาพเจ้าลัทธิโดยไม่ได้รับอนุญาต นักข่าวบางคนถูกทำร้ายร่างกาย ตำรวจทำได้แค่ดำเนินคดีสาวก

>> ในปี ค.ศ. 2018 มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้าแจ้งความ พวกเขาคือญาติของวัยรุ่นชาย 2 คนกับ หญิง 2 คน ระบุว่าทั้งสี่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย คนทั้งสี่มาภาวนาอยู่ที่สำนักสาขาต่าง ๆ ของพมจัน แต่ญาติไม่ได้รับการติดต่อมานานถึง 2 ปี 

พมจันจึงถูกทางการตามล่าตัว ผู้ติดตามรู้แค่เขาหายเข้าไปในป่าอีกครั้ง โดยไปบำเพ็ญเพียรในถ้ำซักแห่ง เจ้าหน้าที่จึงบุกเข้าตรวจสำนัก ค้นหาหลักฐานเพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติม แต่ไม่พบพมจันและหลักฐานใด ๆ

>> ในปี ค.ศ. 2018 เกิดเรื่องอื้อฉาวใหม่ขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้พมจันถูกกล่าวหาว่าได้ข่มขืนแม่ชีอายุ 18 ปี ซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 2 ปี 

ท่ามกลางกระแสถาโถม ตำรวจไม่พบหลักฐานอะไรซักอย่าง สาวกของพมจันไม่ให้ความร่วมมือ ตัวพมจันไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้อีก หาตัวก็หาไม่เจอ ... ส่วนสำนักสาขาของเขาก็อันตรธานหายไปอีก ตำรวจยังไม่สามารถทำการอะไรได้ นอกจากรู้แค่ว่าพมจันยังไม่ตายเพียงเท่านั้น 

>> ในปี ค.ศ. 2020 พมจันถูกทางการออกหมายจับ แต่พมจันไม่ได้ปรากฏตัวที่ไหนให้ใครเห็นจนเป็นข่าวอีกเลย จาก 'ยุวพทธแห่งเนปาล' ในอดีตตอนพมจันอายุ 15 กลายเป็นพมจันผู้ต้องหาหนีคดีในวัย 30 ปี

ตอนนี้พมจันคงสำเหนียกได้แล้วกระมังว่า ... ฌานเป็นของเสื่อมได้ ต่อให้เขาเคยเข้าฌานได้คล่องขนาดไหน พอเขาออกจากฌานอารมณ์โกรธกลับยิ่งรุนแรงจนเขาคุมตัวเองไม่ได้

>> การนั่งสมาธิเข้าฌานเก่ง อาจเป็นความถนัดเดียวที่ตัวพมจันมี แต่ความสามารถพิเศษอันนี้อย่างเดียวของพมจัน มันไม่เพียงต่อการสร้างสำนักลัทธิของเขาไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง เหตุการณ์ที่ผ่านมายังบ่งชี้ชัดว่าพมจันขาดความสามารถในการอบรมศิษย์สาวกของตนให้อยู่ในครรลองคลองธรรม

บางทีตัวพมจันเองก็อาจเบื่อโลก เบื่อหน่ายมนุษย์ด้วยก็เป็นได้ 

ชาตินี้สำหรับเขา ตัวเขาคงเกิดมาเพื่อบำเพ็ญฌานบารมีเป็นหลักเท่านั้น  

พวกมนุษย์ผู้ต่ำต้อยที่มีจิตใจอ่อนแอหวังพึงแต่ผู้อื่นที่เป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก ที่คอยมารบกวนการบำเพ็ญฌานบารมีของเขาตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา

พมจันคงถือว่าตัวเองได้ 'ตาย' จากโลกใบนี้ไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับพวกมนุษย์อีกแล้ว

ผมยกกรณีของ 'ราม พมจัน' มาให้พวกเราไตร่ตรองใคร่ครวญอีกครั้ง เผื่อพวกเราจะเห็นแง่มุมของเหตุการณ์นี้ด้วยสายตาของ 'ผู้บำเพ็ญ' ได้บ้าง ซึ่งแตกต่างจากมุมมองของปุถุชนที่ไม่ได้ฝึกจิต

การยกเอากรณีของ 'ราม พมจัน' มาเทียบกับ น้องไนซ์ 'อาจารย์สมาธิเชื่อมจิต' วัย 8 ขวบ ที่กำลังมีดรามาอยู่ตอนนี้ ผมคิดว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก จะเรียกว่าเป็นคนละกรณีเลยก็ว่าได้ แค่มีจุดร่วมเหมือนกันเรื่องเดียวคือ ต่างก็มีผู้ศรัทธามารวมตัวเป็นกลุ่มเพื่อสร้างสำนักหรือสร้างกลุ่มลัทธิเหมือนกันเท่านั้นเอง

>> จุดเริ่มต้นของพมจันนั้น ต้องการปลีกเร้นจากสังคมเพื่อมุ่งบำเพ็ญฌานบารมีแต่แรก

ขณะที่กลุ่มนิรมิตเทวาจุติ มุ่งตั้งเป้าหาสาวกผ่านการเชิดชู 'เจ้าลัทธิน้อย' แต่แรก ... นี่คือความต่างอย่างใหญ่หลวงของสองกรณีนี้

โลกนี้มันโหดร้ายต่อทุกคนที่เป็นเหยื่อ โดยไม่มีข้อยกเว้น

แต่โลกนี้ยังสวยงามเสมอ สำหรับคนที่มี 'ตบะ'

‘ชัยธวัช’ เชื่อ!! คดีแก้ ม.112 ไม่ถึงขั้นยุบพรรค ชี้ ไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้

(20 ธ.ค.66) - นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการต่อสู้ในคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล และพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง หลังมีความพยายามเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ฝ่ายกฎหมายได้เตรียมพร้อมและส่งเอกสารชี้แจงเพื่อประกอบการไต่สวน ในวันที่ 25 ธ.ค. นี้ เชื่อว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่เป็นความผิดตามคำร้อง แต่ต้องรอและหวังว่าเมื่อไต่สวนแล้ว หากไม่มีการไต่สวนเพิ่ม คาดว่าศาลจะนัดวิจิจฉัยในช่วงปลายเดือน ม.ค. หรือ ต้น ก.พ.67

“ผมไม่กังวลว่าจะไปถึงการยุบพรรคเพราะคดีนี้เป็นการร้องให้ยุติการกระทำ ไม่สามารถไปไกลถึงเรื่องยุบพรรคได้ ทั้งนี้พรรคต่อสู้เต็มที่ และการเสนอร่างกฎหมายใดๆ ไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ เพราะกระบวนการทางนิติบัญญัติมีกรอบชัดเจนว่าไม่สามารถขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้” นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวย้ำด้วยว่า ในกระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น สามารถเกิดได้ทั้งก่อนหรือหลังประกาศใช้ โดยศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการเสนอร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขกฎหมายใด ไม่เฉพาะมาตรา 112 เท่านั้น ซึ่งในกระบวนการทางนิติบัญญัติไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ด้วยตัวของร่างกฎหมายนั้นๆ

‘พิซซ่า ฮัท' เปิดตัว ‘Super Limo’ ยาวถึง!! 1.2 เมตร ราคา 1,200 บาท เอาใจสายปาร์ตี้ช่วงเทศกาลปีใหม่

(20 ธ.ค.66) พิซซ่า ฮัท 1150 แบรนด์พิซซ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการสร้างสรรค์นวัตกรรมเมนูอาหาร เปิดตัวพิซซ่า ‘Super Limo (ซูเปอร์ ลิโม่)’ ที่รวมเอาพิซซ่าหน้า Best Seller 8 หน้า รวมพิซซ่ากว่า 48 ชิ้น ขนาดความยาวถึง 1.2 เมตร คุ้มกว่า เยอะกว่า ของแท้จากอเมริกา แถมด้วยเมนูของทานเล่นจุกๆ อีก 5 อย่าง ในราคาเพียง 1,200 บาท เท่านั้น (จากปกติ 2,416 บาท) เอาใจสายปาร์ตี้ช่วงเทศกาลปีใหม่ กับแก๊งเพื่อนหรือกับแฟมมิลี่ เติมเต็มประสบการณ์ความอร่อยแบบฟินไม่รู้จบ โดยพิซซ่า ฮัท เปิดรับพรีออร์เดอร์ล่วงหน้า 3 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2566 จนถึง 15 มกราคม 2567

เมนู Super Limo (ซูเปอร์ ลิโม่) Fulfill Party Experience ให้สนุกยิ่งขึ้น อร่อยจบครบในกล่องเดียว รวมความอร่อยทั้งพิซซ่าหน้า Best Seller มาให้ถึง 8 หน้า พิซซ่า 48 ชิ้น และของทานเล่นจุกๆ อีก 5 อย่าง

>> พิซซ่า 48 ชิ้น 8 หน้าฮิต

- Pepperoni and Hawaiian
- Ham&Cheese and New Orleans&Sausage
- Hokkaido Super Cheese and Island Delight
- Seafood Extreme and Super Supreme

>> ของทานเล่น 5 อย่าง

- Cheesy Garlic Toast 4 ชิ้น
- Fish Donut 6 ชิ้น
- Curly Fries 1 เซ็ท
- Chicken Pop 18 ชิ้น
- Cheesy Pop 8 ชิ้น
- ซอส BBQ
- ซอสเทาซันด์ไอแลนด์

ทั้งนี้ พิซซ่า ฮัท เปิดรับพรีออร์เดอร์ Super Limo สามารถสั่งได้ผ่านช่องทางโทร 1150

สสส.- สคอ.สานพลังภาคีเครือข่าย ลดเจ็บ-ตายช่วงเทศกาล “ยิ่งดื่มนาน สมองยิ่งเสี่ยง ดื่มไม่ขับ ปีใหม่ 2567” ชี้อุบัติเหตุมากกว่า 50% พบแอลกอฮอล์ในเลือด “หมอประชา” เผยเหล้าส่งผลต่อสมองเสี่ยงอุบัติเหตุสูง

เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) และภาคีเครือข่าย แถลงข่าว “ยิ่งดื่มนาน สมองยิ่งเสี่ยง ดื่มไม่ขับ” ปีใหม่ 2567 เน้นย้ำรณรงค์ช่วงเทศกาลสำคัญ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า “ดื่มแล้วขับ” เป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลผลการตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดของกลุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน พบว่า มากกว่า 50% พบแอลกอฮอล์ในเลือด ดื่มไม่ขับ และลดใช้ความเร็ว เป็นเรื่องที่ทุกคนป้องกันได้ เพื่อฉลองปีใหม่นี้อย่างปลอดภัย และมีความสุข สสส. ได้ผลิตสปอตโฆษณา 2 เรื่อง รณรงค์ให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงอันตราย ลด ละ เลิกพฤติกรรมดื่มแล้วขับ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไม่ประมาท ให้เห็นผลเสียของแอลกอฮอล์ต่อการขับขี่ที่ผลกระทบต่อสมอง และส่งผลต่อการขับขี่ จึงได้พัฒนาแคมเปญ ดื่มไม่ขับ : ดื่มเหล้าเมาถึงสมอง สื่อสารผลเสียของแอลกอฮอล์ ที่ส่งผลต่อสมอง ทำให้ตอบสนองช้าลง ตัดสินใจเบรกรถไม่ทัน และกะระยะในการขับขี่ผิดพลาด 

“สสส. ขับเคลื่อนร่วมกับภาคีเครือข่ายสร้างความปลอดภัยทางถนน พัฒนาเครือข่ายตำบลสุขภาวะ รณรงค์ป้องกันปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเข้มข้นใน 189 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน 35 อำเภอ 20 จังหวัด เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับร่วม 100 เครือข่าย ทั่วประเทศ ร่วมรณรงค์ในพื้นที่ หนุนเสริมตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ทุกรายที่ประสบอุบัติเหตุ และไม่สนับสนุนการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กและเยาวชน และเครือข่ายสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) ที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพิ่มความเข้มข้นช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่มีการจัดกิจกรรมฉลองปีใหม่ หรือพื้นที่อำเภอเสี่ยง และพื้นที่ท่องเที่ยวเน้นมาตรการดูแลเรื่อง ดื่มไม่ขับ-ไม่ขับเร็ว-สวมหมวกนิรภัย” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

นายวิทยา จันทร์เสนะ ผู้อำนวยการกองบูรณาการความปลอดภัยทางถนน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า สถิติอุบัติทางถนนจากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) รายงานว่า ปีใหม่ 2566 ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2564 – 4 ม.ค. 2566 เกิดอุบัติเหตุรวม 2,440 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 317 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,437 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับเร็ว 37.5% ดื่มแล้วขับ 25.49% ตัดหน้ากระชั้นชิด 18.69% ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือรถจักรยานยนต์ 82.11% รถกระบะ 5.56% รถเก๋ง 3.24% ศปถ. ได้มีแนวทางดำเนินการป้องกันลดอุบัติเหตุทางถนน 1. กำหนดเป็น “วาระแห่งชาติ” บูรณาการร่วมขับเคลื่อนในพื้นที่อย่างจริงจัง ต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยใช้แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2565 – 2570 เป็นกรอบดำเนินงาน 2. ระดับพื้นที่ใช้กลไก ศปถ.จังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เน้นมาตรการชุมชน มาตรการทางสังคม อาทิ เคาะประตูบ้าน ด่านชุมชน ด่านครอบครัว ป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยง 3. จังหวัดร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัด บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง ควบคู่กับการรณรงค์ให้มีความตระหนัก สร้างจิตสำนึก รับผิดชอบต่อสังคม 4. ทุกภาคส่วนบูรณาการข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน 5. เสริมสร้าง ปลูกฝัง สร้างความตระหนักรู้ และจิตสำนึกอย่างจริงจัง เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัย

นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ “หมอประชาผ่าตัดสมอง” ศัลยแพทย์ระบบประสาทและหลอดเลือดสมอง รพ.เชียงใหม่ราม กล่าวว่า 84% ของประชากรทั่วโลกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้สูญเสียความสามารถการตัดสินใจ ความมีเหตุผล การควบคุมการเคลื่อนไหว  สูญเสียความสามารถการรับรู้ มองเห็น ได้ยิน และความจำ ยิ่งดื่มยิ่งส่งผลต่อสมอง และเสี่ยงอุบัติเหตุสูง ทั้งนี้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 0.01-0.05% ทำให้เริ่มตื่นตัว 0.03 - 0.12% โดพามีน (Dopamine) เริ่มหลั่งจะรู้สึกสดชื่น มีความมั่นใจ รู้สึก Relax สดใส  0.08 - 0.25% เริ่มกดสมองส่วนต่างๆ เช่น กดสมองส่วนหน้าเกิดการยั้งคิด กดสมองส่วนทรงตัวทำให้ทรงตัวไม่ได้ กดสมองส่วนที่แปลประสาทตาทำให้ตาเบลอ กดสมองส่วนที่ใช้พูดก็จะพูดช้า กดสมองส่วนที่ทำให้ตัดสินใจส่งผลให้ให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ง่ายดาย 0.18 - 0.30% สับสน ความจำเริ่มเสื่อมลง มากกว่า 0.25% จะเริ่มซึมเริ่มหลับ มากกว่า 0.35% ก็ทำให้โคม่า และมากกว่า 0.45%ทำให้เสียชีวิตได้ 

นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.)  กล่าวว่า ปีใหม่นี้ ทาง สคอ. ได้สื่อสารประชาสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างความรู้ ความตระหนักแก่ประชาชนผู้ขับขี่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเทศกาล และช่วงเทศกาล โดยผลิตสื่อฯ และชุดข้อมูลการเฝ้าระวังป้องกัน ลดอุบัติเหตุทางถนนสนับสนุนภาคีเครือข่ายทั้งรัฐ และเอกชน กระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นกรอบ และแนวทางทำงานในพื้นที่ตามนโยบายศปถ. อีกทั้งเทศกาลปีใหม่นี้ได้วางแผนลงพื้นที่ติดตามกรณีอุบัติเหตุใหญ่ ที่เกิดช่วงเทศกาลปีใหม่ 

โดยใช้ข้อมูลจาก ศปถ. ที่รายงานการเกิดอุบัติเหตุรายวัน จัดทำเป็นคลิปวิดีโอสะท้อนผลกระทบ ปัญหา สาเหตุ และข้อเสนอแนวทางแก้ไขขับเคลื่อนในระดับนโยบาย สู่การปฏิบัติให้เกิดความปลอดภัยทางถนนในอนาคต สิ่งที่น่ากังวล คือ ความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้น จากการอนุญาตให้เปิดสถานบริการได้ถึงตี 4  ขอให้ผู้เกี่ยวข้องยึดมั่นในเงื่อนไขตามกฎกระทรวงมหาดไทย และนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการห้ามขายคนอายุต่ำกว่า 20 ปี - คนเมา ตรวจแอลกอฮอล์คนขับก่อนกลับ หากเกิน 50 mg% จัดที่พักคอย หากไม่รอให้ติดต่อเพื่อนหรือ ญาติพากลับ หรือจัดหารถส่งลูกค้า จะช่วยลดผลกระทบความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนได้

MASTER ผนึกกำลัง DR.CHEN สร้าง รพ.ศัลยกรรมมือหนึ่งปรับโครงสร้างหน้ามาตรฐานสากล

MASTER เดินหน้าโมเดลธุรกิจด้วยกลยุทธ์ M&P ผนึกกำลัง DR.CHEN ผู้นำศัลยกรรมความงามด้วยเทคนิคเฉพาะจากเกาหลี ถือฤกษ์ดี 19 ธ.ค. 66 เปิดตัวโรงพยาบาลมาตรฐานสากล ‘Dr. Chen Surgery Hospital International Center’ เน้นปรับโครงหน้าด้วยเทคนิคเกาหลี ชูจุดเด่นห้องผ่าตัดใหญ่พิเศษ บนทำเลดีย่านรามคำแหง ใกล้สนามบิน ปูพรมขยายตลาดอัปฐานลูกค้าไทยและต่างชาติ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมส่องเทรนด์ความงามปี 67 เน้นความปลอดภัยและแพทย์ชำนาญการเป็นหลัก     

เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.66 นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ในนามโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ของอุตสาหกรรมด้านความงามอันดับต้นของประเทศไทยและเอเชีย เปิดเผยถึงโมเดลการเติบโตด้วยกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) ของ MASTER พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์ 3 เรื่องในการเข้าพิจารณาลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่ 1. ซื้อกิจการหรือธุรกิจที่มีเจ้าของเดิมยังบริหารต่อและต้องการเติบโตไปด้วยกัน 2. เป็นกิจการหรือธุรกิจท้องถิ่น มีชื่อเสียง และความสัมพันธ์ที่ดีต่อพื้นที่นั้นๆ และ 3. มีการทำงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่างธุรกิจกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช 

นอกจากนี้ยังจะต้องพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ด้านราคา และผลตอบแทนที่ได้กลับมาสู่บริษัท ซึ่งการลงทุนในกิจการต่างๆ บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนด้านเวลา จากการซื้อกิจการมาแล้วสามารถดำเนินการและรับส่วนแบ่งกำไรได้ทันที 

ล่าสุดบริษัทลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุน บริษัท ด็อกเตอร์เชน เซอร์เจอรี่ ฮอสพิทอล จำกัด  (DR.CHEN) ซึ่งมีโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามมาตรฐานสากล เน้นการปรับโครงหน้าด้วยเทคนิคจากเกาหลี  โดยการร่วมทุนครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญของ MASTER เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงทีมผู้บริหาร นำโดย นายแพทย์เชน ชัยชาญชีพ มีแผนธุรกิจชัดเจน แต่เดิมเน้นทำตลาดกลุ่มลูกค้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก เล็งโอกาสในการขยายตลาดเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าไทยและต่างชาติมากที่สุด  

“การร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER ทำให้สามารถเพิ่มรายได้และยังสร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสการเติบโตของตลาดวงการศัลยกรรม ด้วยศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จากการที่ DR.CHEN มีความเชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมด้วยเทคนิคจากเกาหลี ถือเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่สำคัญ

“ซึ่งคุณหมอเชน เป็นแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง สมาชิกแพทยสภา ประเทศไทย Board แพทย์เฉพาะทางศัลยศาสตร์ สาขาศัลยศาสตร์ออโธปิดิกส์ Certificate เพิ่มเติมศัลยกรรม ตา จมูก ปาก จากประเทศเกาหลีใต้ และคุณหมอเชนเป็นสมาชิกสมาคมศัลยกรรมเสริมสวยแห่งเกาหลีใต้ (KCCS) Full Facelift จากประเทศอิตาลี พร้อมมีทีมแพทย์มากประสบการณ์ถอดแบบเทคนิคศัลยกรรมเกาหลีเช่นเดียวกับคุณหมอเชน ทำให้มีโอกาสขยายฐานลูกค้าในไทยและต่างชาติมากขึ้น” นายแพทย์ระวีวัฒน์ กล่าว

ด้าน นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER  กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าถือหุ้น DR.CHEN เสร็จสมบูรณ์ บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ พร้อมให้การสนับสนุน DR.CHEN ในทุกด้าน โดยคาดว่า DR.CHEN จะเริ่มสร้างผลกำไรให้ MASTER เข้าเต็มปี 2567 เป็นปีแรก  

MASTER มีความพร้อมด้านเงินลงทุน สำหรับโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต ซึ่งบริษัทจะมุ่งเน้นการหาโอกาสในการขยายกิจการผ่านพันธมิตรในต่างจังหวัด ผ่านการทำ M&P เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมองหาโอกาสการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก 

ขณะที่ในปี 2566 MASTER เข้าลงทุนรวมทั้งหมด 10 บริษัท โดยในแง่ฐานะทางการเงินของ MASTER แข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทใช้เงินที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจ ทำให้ไม่กระทบต่อสภาพคล่องหรือการดำเนินงานของบริษัท แต่เป็นส่วนเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ทั้งแง่รายได้และกำไรสุทธิ รวมถึงช่วยสนับสนุนให้ MASTER เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

นายแพทย์เชน ชัยชาญชีพ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ด็อกเตอร์เชน เซอร์เจอรี่ ฮอสพิทอล จำกัด (DR.CHEN) โรงพยาบาลศัลยกรรมความงามโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเทคนิคเฉพาะจากเกาหลี เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ MASTER เห็นโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน จนเกิดข้อตกลงร่วมทุนดังกล่าว  

“การร่วมลงทุนกับ MASTER เป็นโอกาสสำคัญที่เราได้ร่วมกันสร้างโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสากล เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย เทคนิคการทำศัลยกรรมที่อัปเดตจากทุกมุมโลก และความปลอดภัยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เป็นโอกาสในการร่วมสร้างชื่อเสียงด้านศัลยกรรมความงาม เพราะฝีมือแพทย์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” 

โดยจุดเด่นของ DR.CHEN คือแพทย์เป็นเจ้าของเอง และมีความชำนาญการเรื่องการปรับโครงหน้า Makeover พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาเรื่องความสวยความงาม ทั้งด้านศัลยกรรมความงามครบวงจร การปรับรูปหน้าและดูแลผิวหน้า 

อีกทั้งยังใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากล อาทิ โปรแกรม 3D สแกนใบหน้าจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพใบหน้าตัวเองก่อนการศัลยกรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์และยาที่ได้มาตรฐานจากองค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญ  

ทั้งนี้ เทรนด์ศัลยกรรมความงามในปี 2567 มองว่ามุ่งเน้นความปลอดภัยและเน้นความชำนาญของแพทย์เฉพาะทางมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยตลาดความงามมีความต้องการซื้อสูง มีจำนวนแพทย์หรือคลินิกในตลาดจำนวนมาก และมีการแข่งขันด้านราคาสูง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เป็นเทรนด์อนาคต ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความปลอดภัยอย่างสูงสุด และได้รับการดูแลจากแพทย์ที่มีความชำนาญสูงสุดด้านการศัลยกรรม  

โดยล่าสุดบริษัทถือฤกษ์ดี 19 ธ.ค.66 เปิดตัวโรงพยาบาล Dr. Chen Surgery Hospital International Center อย่างเป็นทางการ เป็นอาคารสูง 6 ชั้น ตกแต่งภายในสไตล์เกาหลีด้วยรูปแบบ Layout ที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของฟังก์ชันการใช้งาน ด้วยขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 2,500 ตร.ม. ประกอบด้วย ห้องผ่าตัด 6 ห้อง, ห้องพักฟื้นและห้อง IPD และมีบริการโซนของ Aesthetic รองรับความต้องการด้านความงามโดยเฉพาะ 

พร้อมทั้งชูจุดเด่นมีห้องผ่าตัดใหญ่พิเศษ เน้นด้านความสะอาดและความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพื่อความคล่องตัวในการทำงานของแพทย์ภายในห้องผ่าตัด รวมถึงการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์และการเคลื่อนย้ายลูกค้าหลังการผ่าตัดด้วยช่องทางเดินที่กว้างขวาง เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามและการดูแลหลังผ่าตัดที่ดี ตอกย้ำการทำศัลยกรรมจบที่นี่ที่เดียว ไม่ต้องบินไกลถึงเกาหลีใต้

ทั้งนี้ โรงพยาบาล Dr. Chen Surgery Hospital International Center ตั้งอยู่ปากซอยรามคำแหง 160 ติดกับโรงพยาบาลรามคำแหง 2 เดินทางสะดวกบนทำเลใกล้สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 09-4946-4563 หรือ Add Line @drchenclinic และ https://www.drchensurgery.com/ 

สำหรับแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทเน้นทำการตลาดแบบ Online Marketing มากขึ้น ผ่าน Influencer ชื่อดัง พร้อมวางแผนขยายตลาดต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างหาพาร์ตเนอร์บริษัทเอเจนซี่เพื่อเจาะตลาดแต่ละประเทศ โดยเฉพาะหลักๆ คือ จีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ทั้งนี้ ในช่วงแรกคาดว่าสัดส่วนลูกค้าไทยอยู่ที่ 70-80% และลูกค้าต่างชาติ 20-30%

ใหญ่แค่ไหน ก็เด้งได้!! ประธานบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นโดนไล่ออก โทษฐาน 'ไล่กอดสาว' หลังเมาแอ๋ในงานเลี้ยงสังสรรค์ของบริษัท

‘ญี่ปุ่น’ เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับธรรมเนียม มารยาท และ การวางตัวที่เหมาะสมในสังคมมาก เพราะบุคลากรทุกระดับ ถือเป็นภาพลักษณ์ขององค์กร 

ยิ่งอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ยิ่งต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก ต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่พนักงานระดับล่างขององค์กร มิฉะนั้นแล้ว จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่จบแค่โดนติฉินนินทา แต่มีสิทธิ์ถูกปลดจากตำแหน่งฟ้าผ่า แบบไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกเลย 

เช่นเดียวกับกรณีของ นายไซโต้ ทาเคชิ ประธานใหญ่บริษัท ENEOS บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของญี่ปุ่น วันนี้ถูกปลดจากตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย ด้วยสาเหตุแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งต่อหน้าธารกำนัลในบริษัท 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในงานเลี้ยงสังสรรค์ภายในบริษัท ที่นอกเหนือจากไซโต้ ทาเคชิ ในตำแหน่งประธานใหญ่ ก็ยังมีรองประธานอีก 2 คน คือ นายยาตาเบะ ยาสุชิ และ นายซุนากะ โคทาโร่ ร่วมในงานเลี้ยงด้วย 

หลังจากจบงานเลี้ยงไปไม่นาน ก็มีจดหมายร้องเรียนจากคนในบริษัทถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของประธานใหญ่ ไซโต้ ทาเคชิ ที่ดื่มเหล้าจนเมาหนักในงาน จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และไล่กอดหญิงสาวอย่างรุ่มร่ามในงานเลี้ยง 

เมื่อมีข้อครหา ทาง ENEOS ก็ไม่นิ่งนอนใจ ได้ส่งทีมทนายจากภายนอกเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่า ไซโต้ ทาเคชิ ทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่อาจรับได้ จนนำไปสู่การสั่งปลดประธานใหญ่ของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในวันนี้ และยังตัดเงินบำเหน็จบางส่วนของเขาด้วย 

ส่วนรองประธานอีก 2 คนที่อยู่ในงานเลี้ยงเดียวกันอย่าง ซุนากะ โคทาโร่ ถูกตัดเงินเดือน และ ยาตาเบะ ยาสุชิ ขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเช่นกัน

ไซโต้ ทาเคชิ ประธานบริษัทที่อื้อฉาวคนล่าสุดของ ENEOS เข้าทำงานในบริษัทมานานตั้งแต่ปี 1986 จนสามารถเลื่อนขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทได้ในปี 2022 ซึ่งเขาได้เข้ามาแทนอดีตประธานบริษัทคนก่อนหน้าที่ต้องลาออกไปเพราะช่าวอื้อฉาวเช่นกัน 

สำหรับ ENEOS เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมญี่ปุ่นอย่างหนักจากข่าวการคุกคามทางเพศ และทำร้ายร่างกายสาวบาร์แห่งหนึ่งในจังหวัดโอกินาวา ของนาย สุกิโมริ ทสึโตมุ อดีต CEO ของบริษัทเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จนถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบมาก่อน 

นั่นจึงทำให้ ENEOS กลายเป็นบริษัทที่มีข่าวอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามทางเพศของผู้บริหารระดับสูงสุดถึง 2 ปีติดต่อกัน และทำให้บริษัทต้องส่งตัวแทนผู้บริหารออกมากล่าวขอโทษสังคมผ่านสื่อมวลชน และให้คำมั่นสัญญาในการปรับปรุงกฎ ระเบียบ ธรรมาภิบาลภายในองค์กรเพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก 

ส่วนตำแหน่งประธานบริษัทที่ว่างอยู่ในขณะนี้ มีการแต่งตั้งให้ นายมิยาตะ โทโมฮิเดะ รองประธานฝ่ายบริหารรักษาการณ์ชั่วคราวไปก่อน จนกว่าจะมีการประชุมภายในเพื่อคัดเลือกทีมผู้บริหารคนใหม่ในวันที่ 1 เมษายนปีหน้า 

จากกรณีของ ENEOS ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสังคมญี่ปุ่นจริงจังกับมาตรฐานจริยธรรมของผู้บริหารมาก และลงดาบให้เห็นจริง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน ซึ่งมีส่วนช่วยในการจัดระเบียบสังคมของชาวญี่ปุ่น ให้เป็นที่ชื่นชม และน่าเอาเป็นแบบอย่างในบ้านเราบ้าง

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

ชวนเช็กชื่อเก่าจังหวัดในประเทศไทย จังหวัดไหน เคยชื่ออะไรมาก่อน?

ประเทศไทยมีทั้งหมด 77 จังหวัด (รวมกรุงเทพฯ) แต่ละจังหวัดต่างก็มีชื่อเรียกแตกต่างกัน ซึ่งก็เป็นชื่อที่เราคุ้นหูกันดี แต่ก่อนจะกลายมาเป็นชื่อในปัจจุบัน แต่ละจังหวัดก็มี ‘ชื่อเก่า’ ไว้เรียกขานมาก่อน 

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมมาไว้ให้แล้ว แต่ละจังหวัดเคยชื่อว่าอะไรบ้าง มาดูกัน…

‘สุริยะ’ โชว์ผลงาน ‘99 วัน 9 เรื่องเด่น’ สนองนโยบาย Quick Win โปรเจกต์เชื่อม ‘บก-น้ำ-ราง-อากาศ’ ดัน ศก.โต-ประชาชนอยู่ดีมีสุข

(20 ธ.ค. 66) ณ ห้องราชดำเนิน อาคารราชรถสโมสร กระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในการแถลงผลงาน 99 วัน 9 เรื่องเด่น โครงการสำคัญเร่งด่วน พร้อมขับเคลื่อนโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคม ตามนโยบาย Quick win พร้อมด้วยนางมนพร เจริญศรี และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ว่า ในระยะเวลา 99 วันที่ผ่านมา นับตั้งแต่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินโครงการ และนโยบายต่าง ๆ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ รวมถึงการให้บริการระบบคมนาคมขนส่งในทุกมิติเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับนโยบาย Quick win ของรัฐบาล

ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 99 วันที่ผ่านมา มี 9 โครงการเด่นที่กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการ และผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม ดังนี้ 

1. มาตรการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ใน 2 โครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - คลองบางไผ่ และโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน ซึ่งถือเป็นนโยบาย Quick Win นโยบายแรกของรัฐบาล ส่วนการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวในโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางอื่น ๆ นั้น ขณะนี้ กระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างการหารือและพิจารณาร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่า จะสามารถเปิดให้ใช้บริการได้ในระยะต่อไป

2. การเปิดใช้ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2566 เพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินในปัจจุบัน และกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว รวมถึงรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

3. เปิดอาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 (SAT-1) พร้อมทั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติเชื่อมต่อระหว่างอาคาร SAT-1 กับอาคารผู้โดยสารหลัก ซึ่งได้เปิดให้บริการแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2566 โดยทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวของประเทศตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

4. เร่งรัดการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) โดยเตรียมเปิดให้ประชาชนใช้บริการฟรี 2 เส้นทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 คือ มอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน – นครราชสีมา (M6) ช่วงปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 77 กม. และมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81) ช่วงนครปฐม ฝั่งตะวันตก – กาญจนบุรี ระยะทาง 51 กม. และเปิดให้บริการใช้งานฟรีต่อเนื่องจนกว่าด่านเก็บค่าผ่านทางจะแล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง

ขณะเดียวกัน ยังได้เร่งรัดโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ เส้นทางนครปฐม - ชุมพร และได้เปิดให้บริการช่วงสถานีบ้านคูบัว จ.ราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนถึงจุดหมายได้เร็วขึ้นถึง 1 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเดินทางของประชาชน รวมทั้งการขนส่งสินค้า โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถอีกต่อไป

5. การพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ โดยการยกมาตรฐานและปลอดภัยท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่นโดยการให้บริการด้วยระบบตั๋วร่วม พร้อมทั้งออกแบบรองรับผู้ใช้บริการทุกประเภท โดยมีแผนพัฒนาท่าเรือเป็นสถานีเรือ (ระบบปิด) ทั้งหมด 29 ท่า ซึ่งขณะนี้ปรับปรุงเสร็จแล้ว จำนวน 9 ท่า อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงและก่อสร้าง จำนวน 5 ท่า และในส่วนที่เหลืออีกจำนวน 15 ท่า จะมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องต่อไป

6. เดินหน้าโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (Landbridge) โดยกระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดดำเนินโครงการให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้เริ่มดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) โดยล่าสุดได้ร่วมประชาสัมพันธ์โครงการ Landbridge ในการประชุมเอเปค ครั้งที่ 30 ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - ญี่ปุ่น ซึ่งการประชุมในครั้งนี้มีนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นสนใจเป็นจำนวนมาก

7. การปรับเปลี่ยนรถยนต์ใช้น้ำมัน (สันดาป) เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อขับเคลื่อนการปรับปรุงรถสาธารณะทุกชนิดให้เป็น EV โดยกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด ทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจพิจารณาเปลี่ยนรถยนต์สันดาปที่หมดอายุสัญญาเช่าให้เป็นรถยนต์ EV ซึ่งจะนำร่องกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ที่จะทยอยปรับเปลี่ยนรถที่ให้บริการในท่าอากาศยานทั้งหมด ให้เป็นรถยนต์ EV รวมถึงรถส่วนกลางที่จะหมดสัญญาเช่า จะเริ่มสัญญาเช่ารถใหม่ให้เป็นรถยนต์ EV ด้วย เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ หรือฝุ่นละออง PM 2.5 สอดรับนโยบายอากาศสะอาดเพื่อประชาชน

8. โครงการพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ การพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต (ระยะที่ 2) คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2572, โครงการก่อสร้างขยายช่องจราจร ทล.4027 ช่วง บ.พารา - บ. เมืองใหม่, โครงการทางพิเศษ สายกระทู้ - ป่าตอง, การพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ 2 จ.พังงา โดยขณะนี้ ทอท. อยู่ระหว่างทบทวนข้อกำหนดรายละเอียดในการจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการในเบื้องต้น

นอกจากนี้ ยังมีโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 (ช่วงท่าอากาศยานฯ - ห้าแยกฉลอง) ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ (รฟม.) อยู่ระหว่างศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสมของโครงการฯ เพื่อให้โครงการฯ เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนตามข้อสั่งการของกระทรวงคมนาคม คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคม 2574 อย่างไรก็ตาม โครงการในจังหวัดภูเก็ตที่กล่าวมานั้น จะสามารถลดปัญหาการจราจร และเพื่อเสริมศักยภาพให้เมืองท่องเที่ยวระดับโลก

9. การปราบส่วยทางหลวง แก้ปัญหาการทุจริต โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเคร่งครัดรวมถึงแก้ไขข้อกฎหมายให้มีบทลงโทษมากขึ้น รวมถึงมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยในช่วงที่ผ่านมานั้น ทุกหน่วยงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว

“สำหรับทั้ง 9 ผลงาน และโครงการทั้งหมดที่กล่าวมานั้น จะสามารถขับเคลื่อนภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และเป็นการพัฒนาระบบคมนาคมให้มีมาตรฐานตามระดับสากล รวมถึงเพื่อยกระดับความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น และกระจายความเจริญไปสู่ทุกภูมิภาค” นายสุริยะ กล่าว

‘ชัยธวัช’ รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ ทำหน้าที่ถ่วงดุลรัฐบาล

(20 ธ.ค. 66) ที่รัฐสภา มีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ลำดับที่ 10 โดยมี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 2 และสส.ของพรรคก้าวไกล รวมถึงข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ร่วมในพิธีดังกล่าว และร่วมแสดงความยินดี ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มี สส.จากพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้แม้แต่คนเดียว

ด้านนายประมวล พงศ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะประธาน สส.พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงกรณีที่ สส.ประชาธิปัตย์ไม่ได้เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับนายชัยธวัช ที่ได้รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ว่าเนื่องจากได้รับแจ้งตอนเข้าประชุมวิปฝ่ายค้าน ช่วงบ่ายเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.โดยนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ทำหน้าที่ ประธานวิปฝ่ายค้านบอกว่า ถ้าว่างให้เชิญมาร่วมพิธี รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งก็ได้ขอโทษไปแล้วว่า สส. ส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัดและเดินทางมาในพื้นที่กรุงเทพฯ แล้ว จึงไม่ได้เตรียมชุดขาวปกติมาเพื่อมาร่วมในพิธี แต่อย่างไรก็ตาม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะมีการนัดพูดคุยกับผู้นำฝ่ายค้านอยู่แล้ว จึงจะใช้โอกาสดังกล่าวในการแสดงความยินดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top