Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

‘ศาล รธน.’ นัดชี้ชะตา ‘พิธา’ ถือหุ้นไอทีวี 24 ม.ค.67 แถมระทึกต่อ!! เตรียมไต่สวนคดีแก้ ม.112 จันทร์หน้า

(20 ธ.ค.66) ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่าได้ไต่สวนพยานในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่จากกรณี เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนใดๆ อยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ โดยมีพยานรวม 3 ปากคือนายแสวง บุญมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายคิมห์ สิริทวีชัย ตอบข้อซักถามของศาลและของคู่กรณีคดีเป็นอันเสร็จสิ้นการไต่สวน ศาลนัดฟังคำวินิจฉัยในวันพุธที่ 24 ม.ค 2567 เวลา 14:00 น.

ส่วนคดีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของพระพุทธะอิสระ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และ พรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ...เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่ ศาลฯ ได้มีการอภิปรายเพื่อเตรียมการไต่สวนในวันจันทร์ที่ 25 ธ.ค.เวลา 9.30 น. 

นราธิวาส-ตรวจเยี่ยมหน่วย ศปก.อ. และ ชคต. ในพื้นที่ นราธิวาส กำชับให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดด้านความปลอดภัย ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 

วันที่ 20 ธันวาคม 2566 เวลา 08.55 น. ณ ห้องประชุมตันหยงมัส ชั้น 2 ที่ว่าการอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส พลโท ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าพร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน และรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ของศูนย์ปฏิบัติการอำเภอระแงะ เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของหน่วยในพื้นที่พร้อมรับทราบถึงปัญหาข้อขัดข้อง และมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน พร้อมกำชับให้เพิ่มมาตราการรักษาความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่สร้างความอุ่นใจแก่ประชาชน โดยมี นายอำเภอระแงะ/ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการอำเภอระแงะ, เจ้าหน้าที่ตำรวจ , หัวหน้าชุดคุ้มครองตำบล ให้การต้อนรับและร่วมประชุม

จากนั้น แม่ทัพน้อยที่ 4/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะเดินทางต่อไปยังชุดคุ้มครองตำบลกะลิซา อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ติดตามการปฏิบัติงานในการกำกับดูแลรักษาความปลอดภัยพื้นที่บริเวณโดยรอบของฐานปฏิบัติการ และมอบแนวทางการปฏิบัติงานเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โดยมอบเครื่องอุปโภคแก่กำลังพล พร้อมเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาตามหลักการปฏิบัติที่กำหนดไว้หมั่นลาดตระเวน และมีเวรยามตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรักษาความปลอดภัยทั้งบริเวณรอบฐานและชุมชนให้มีความปลอดภัย

โอกาสนี้ พลโท ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้มอบแนวทางการปฏิบัติงานแก่หน่วยในพื้นที่ พร้อมชื่นชมการปฏิบัติงานโดยเฉพาะงานตามนโยบายสำคัญ 5 เรื่อง ได้แก่ งานการควบคุมพื้นที่และการบังคับใช้กฎหมาย งานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด งานส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมธรรมที่เข้มแข็ง งานสร้างความเข้าใจ และงานบูรณาการด้านความมั่นคงและด้านการพัฒนาให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีศูนย์ปฏิบัติการอำเภอเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนงานซึ่งสามารถปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องและครบถ้วน ส่วนอื่นๆให้มีการขับเคลื่อนงานกันอย่างต่อเนื่อง โดยการปฏิบัติงานขอให้เน้นการทำงานแบบร่วม บูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ให้มีการประสานงานระหว่างกันเพื่อให้การปฏิบัติงาน ได้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน การทำงานทุกภารกิจต้องไม่ประมาทขอให้มีสติทุกย่างก้าวทั้งการปฏิบัติหน้าที่และการใช้ชีวิตประจำวัน มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน ตื่นตัวตลอดเวลา หมั่นเข้าชุมชนไปเยี่ยมประชาชนสอบถามปัญหาทุกข์สุข และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนตามความเหมาะสม  

ประกอบกับช่วงนี้ใกล้ถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บังคับบัญชาได้กำชับให้เพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย พร้อมให้อำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสร้างความมั่นใจอุ่นใจแก่ประชาชน และขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ และประชาชน หากพบเห็นสิ่งใดไม่ถูกต้องให้แจ้งที่เบอร์สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 โทร. 06-1173-2999 และเบอร์สายด่วน 1341 หรือหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

‘พงศ์พรหม’ ห่วง!! อนาคตต่างชาติครอง ‘งานสายการเงิน-เทคฯ’ ในไทย เหตุเพราะ ‘ความสามารถ-ทัศนคติ’ นำหน้าเด็กไทยรุ่นใหม่มากโข

(20 ธ.ค. 66) นายพงศ์พรหม ยามะรัต ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pongprom Yamarat’ ระบุว่า...

มาเจอ Trend การจ้างงานที่น่าสนใจ แต่น่าเป็นห่วง

เด็กไทยรุ่นใหม่ถูกคนจีน สิงคโปร์ อินเดีย แย่งงานตำแหน่งงานการเงิน นวัตกรรม ธุรกิจองค์กรกลาง-ใหญ่ เงินเดือน 75,000+ ถึง 300,000 บาท เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความสามารถเด็กไทย หมายถึงความสามารถ ความขยัน passion และทัศนคติไม่ผ่าน

หรือที่เข้าไปได้ ก็ไม่ผ่านโปรเยอะ

เราจึงเริ่มเห็นคนจีน คนอินเดียเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น ๆ เพราะธุรกิจไม่มีทางเลือกแล้ว ให้โอกาสเด็กไทยแล้ว

สรุปว่างานระดับบริหาร นวัตกรรม ไปถึงสายเทค เด็กไทยกำลังโดนต่างชาติแย่งงานในไทยเอง เพราะความสามารถไม่ถึง ส่วนงานบริการระดับกลาง เช่นผู้จัดการร้านอาหาร รวมถึงคนเสิร์ฟที่เงินเดือนสูงหน่อยตามโรงแรม 4-6 ดาวในกรุงเทพ ภูเก็ต เด็กไทยสอบไม่ผ่าน รวมถึงไม่ผ่านโปรเยอะมาก

ตอนนี้ร้านอาหารดี ๆ โรงแรมดี ๆ จึงต้องเร่งจ้างงานคนฟิลิปปินส์ อินเดีย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย เข้ามา fill ตำแหน่งเหล่านี้

เมื่อวานผมมีคุยงานในโรงแรม 5 ดาวกลางกรุงเทพ เด็กเสิร์ฟ 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 5 เป็นต่างชาติแล้ว เพราะภาษาอังกฤษดี ยิ้มแย้ม บริการดีมาก

ที่น่าห่วงคือ ภาคธุรกิจไทยมากมาย ไม่ได้ underpaid แต่เด็กไทยความสามารถไม่พอจริง ๆ

และเมื่อเปิดรับต่างชาติมาในเงินเดือนเท่ากัน ต่างชาติกลับทำงานนั้นได้ดีกว่า ภาษาอังกฤษคล่องกว่า งอแงน้อยกว่า ขยันกว่า เรียนรู้ไวกว่า

เรากำลังเข้าสู่ยุคภาครัฐไร้ทิศทาง เด็กรุ่นใหม่อยากได้เงินเยอะ ๆ แต่ไร้ความสามารถ อนาคตเศรษฐกิจไทย อันตรายยิ่ง 

กาแฟ Piccolo ในรูปนี่เป็นกาแฟแก้วที่ 2 ของวันแล้ว ผมตื่นมาทำงานตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง กิน Espresso แก้วแรก ทำเสร็จ ไปวิ่ง วิ่งเสร็จ มาทำงานต่อ แบบนี้ต่างชาติถึงเคารพเรา

ปล. ที่น่าสนใจ คือเด็กรุ่นใหม่ที่เก่ง คือเก่งโดดออกมาเลย ไม่ต้องจบนอกก็เก่งสุด ๆ รู้ว่าจะเรียนรู้จากไหน ไป take online course สั้น ๆ จาก MIT บ้าง Harvard บ้าง ในขณะที่เด็กรุ่นเขาส่วนใหญ่นั่งชิลล์ รักสบายกันอยู่

เปิด 6 กลุ่มธุรกิจ ดาวรุ่ง!! พุ่งแรงปี 2567

(23 ธ.ค.66) นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยผลการศึกษาสถานการณ์และแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี (SMEs) โดยพิจารณาจากตัวชี้วัดสำคัญคืออัตราการเติบโตของธุรกิจเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่า ในปี 2567 มีธุรกิจของ SMEs ทั้งกลุ่มที่เป็นดาวรุ่ง และกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง โดยกลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2566 และ 2567 พบว่า มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นดาวรุ่งต่อเนื่องสองปีซ้อน และกลุ่มดาวรุ่งพุ่งแรงสำหรับปี 2567 ซึ่งประกอบด้วย 

>> กลุ่มธุรกิจที่เป็นดาวรุ่งต่อเนื่องสองปีซ้อน

1. ธุรกิจขายของชำ หรือ ร้านโชห่วย ซึ่งเติบโตถึง 940% เนื่องจากร้านค้าเหล่านี้ สามารถซื้อสินค้าครั้งละน้อย ๆ และยังยืดหยุ่นในการชำระเงินได้ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนในชุมชน 
2. ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนสัมผัสวัฒนธรรมชนบท เติบโตถึง 187% หลังสถานการณ์โควิด-19 เทรนด์การท่องเที่ยวของโลกเปลี่ยนไป นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติมากขึ้น เนื่องจากเป็นการเยียวยาชีวิตและจิตใจ รวมทั้งได้สัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในชุมชน ความเรียบง่าย อาหารจากธรรมชาติ บรรยากาศที่เงียบสงบ ความผ่อนคลาย สัมผัสธรรมชาติเพื่อเติมพลัง 
3. ธุรกิจขายของในบ้านมือสอง และซ่อมเฟอร์นิเจอร์ เติบโตกว่า 263% เนื่องจากราคาซ่อมมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการจัดซื้อใหม่ หลายสินค้าราคาสูงจากต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้น อีกทั้งความจำเป็นในการใช้งานตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ กำลังซื้อที่ลดลง ประกอบกับเทรนด์การรักษ์โลก ผู้คนหันกลับมามองสิ่งของรอบตัวที่เรามีในชีวิตประจำวัน 
4. ธุรกิจเกี่ยวกับสื่อ เช่น การตัดต่อ และการจัดผังรายการ เติบโตที่ 199% เนื่องจากหลังโควิด-19 ธุรกิจเกี่ยวกับสื่อปรับกลยุทธ์ขยายแพลตฟอร์มไปทางกลุ่มสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้น รวมทั้งการเข้าสู่อาชีพ Youtuber และการสร้างกระแสในโลก Social ที่ง่ายขึ้น เกิดช่อง Youtube ของคนไทยเป็นจำนวนมาก 
5. ธุรกิจผับ บาร์ และร้านที่ขายแอลกอฮอล์เป็นหลัก เติบโต 125% เนื่องจากหลังโควิด-19 มีการท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับมาใช้ชีวิตยามราตรีได้ตามปกติ สอดคล้องกับการท่องเที่ยวที่ขยายตัว อีกทั้งธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่สร้างอัตรากำไรสูง ผู้ประกอบการสามารถคืนทุนได้อย่างรวดเร็วจึงเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่ยังมีโอกาสเติบโตได้

>> กลุ่มธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรงในปี 2567 

1. ธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 1,925% ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่จากรูปแบบพฤติกรรมกลุ่มคนเมืองที่เปลี่ยนไปต้องการใช้เวลาในการทำกิจกรรมในชีวิตหรือพักผ่อน พื้นที่ในที่พักมีจำกัด โดยบริการนี้เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญสามารถซักและอบเสร็จได้ในเวลาเพียง 20-40 นาที ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องซัก-อบที่มีราคาสูง คาดจะขยายตัวในเขตชุมชนจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่เริ่มมีการแข่งขันเข้มข้นในธุรกิจนี้ 
2. การผลิตน้ำอัดแก๊สและโซดา มีอัตราการเติบโต 1,109% หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายผลิตภัณฑ์น้ำดื่มได้รับความนิยม มีรสชาติและรูปแบบแปลกใหม่มากขึ้นทั้งในรูปน้ำผลไม้ต่าง ๆ จากแต่ละท้องถิ่นที่นำมาอัดแก๊สในรูปแบบที่ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมดื่ม ผู้บริโภคเองก็มีทางเลือกมากขึ้น 
3. ร้านตัดเย็บและซ่อมเครื่องแต่งกาย เช่นการแก้ทรงเสื้อ การตัดขากางเกง เติบโต 667% จากที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างชะลอตัว หลังโควิดผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่ายนำเสื้อผ้าเก่ามาแก้เพื่อใช้งานหรือการหาซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ที่มีราคาถูกแต่อาจต้องปรับแก้ทรงเนื่องจากไม่ได้ลองก่อนซื้อ 
4. กิจกรรมสันทนาการ เช่น ร้านขายเครื่องดนตรี ร้านเกม มีอัตราการเติบโต 349% เนื่องจากสามารถรวมตัวกันทำกิจกรรมบันเทิง งานแสดงดนตรี หรือร้านเกม เปิดได้ตามปกติทำให้กิจกรรมนี้กลับมาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว 
5. บริการเกี่ยวกับงานศพครบวงจร เติบโต 285% ให้บริการขนย้าย ตกแต่งสถานที่ พิธีกรรม เป็นธุรกิจที่ตอบสนองคนเมือง ครอบครัวขนาดเล็ก ที่ช่วยลดความยุ่งยากและเวลาในการดำเนินการซึ่งมีให้เลือกตามงบประมาณของลูกค้า อีกทั้งประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยธุรกิจนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ต่อเนื่อง 
6.ธุรกิจร้านเสริมสวย เติบโต 193% ผลจากการเริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ กิจกรรมบันเทิงและความงามยังคงเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจ รวมถึงราคาการให้บริการไม่สูงนักเนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการให้เลือกใช้บริการจำนวนมากแต่บางธุรกิจที่ได้รับความนิยมผ่านสื่อ Social อาจต้องจองคิวเพื่อเข้าใช้บริการ

ส่วนธุรกิจในกลุ่มเฝ้าระวัง มีทั้งธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง 2 ปีต่อเนื่อง 2566 และ 2567 คือ ธุรกิจหอพักนักศึกษา เนื่องจากสถานศึกษาในระดับต่าง ๆ มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์มากขึ้น รวมทั้งมีทางเลือกของที่พักในรูปแบบอื่น ๆ โดยนักศึกษาส่วนใหญ่เลือกพักห้องเช่าแบบอพาร์ทเม้นท์และคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันมีธุรกิจที่เริ่มต้องเฝ้าระวังในปี 2567 เนื่องจากเคยเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงจากปี 2566 แต่ในปี 2567 กลับมีแนวโน้มชะลอตัวลง มีจำนวน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 

1. ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มือสอง เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หดตัวมากถึง 82% อันเนื่องมาจาก สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีในปัจจุบันมือหนึ่งราคาถูกลงมาก มีหลายระดับให้เลือก ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าหลากหลายมากขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคมีการเปรียบเทียบราคาได้ง่าย เพื่อความคุ้มค่าในการจ่ายเงิน สินค้ามือสองกลุ่มนี้จึงได้รับความนิยมน้อยลง 
2. ธุรกิจขายงานฝีมือและของที่ระลึก เช่น เครื่องเงิน เครื่องจักสาน หดตัวถึง 75% เนื่องมาจากการขายสินค้าในออนไลน์เป็นที่นิยม และมีสินค้าเกือบทุกประเภทขายบนออนไลน์ จึงทำให้มีแรงกระตุ้นน้อยลงที่จะทำให้นักท่องเที่ยวต้องซื้อสินค้าจากการไปท่องเที่ยวที่นั้น ๆ 
3. ธุรกิจเกสเฮ้าส์ หดตัวกว่า 65% เนื่องจากมีการเติบโตอย่างมากในปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่อนคลายในช่วงแรก ห้องพักแบบเกสเฮ้าส์เป็นตัวเลือกที่ราคาไม่สูงนักเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางคนเดียว กลุ่มวัยรุ่นและเป็นการพักในระยะยาว แต่หลังโควิด-19 ผ่านไป พฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนไป  นักท่องเที่ยวนิยมพักระยะสั้น-กลาง หันไปนิยมห้องพักที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า หรือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัวมากขึ้น 

กลุ่ม KTIS เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนรายได้สายธุรกิจชีวภาพ ชู!! บรรจุภัณฑ์ชานอ้อย 100% เชื่อ!! เติบโตตามเทรนด์โลก

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.66 ได้พูดคุยกับ นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร ถึงแนวโน้มธุรกิจในสายชีวภาพ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย 100% ว่ามีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะอยู่ในกระแสหลักของโลก โดยมีเนื้อหาดังนี้...

หากจะพูดถึงกลุ่ม KTIS เราดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green) ที่เน้นการเพิ่มมูลค่า ลดความสูญเสีย และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มาเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยวัตถุดิบตั้งต้นในห่วงโซ่การผลิตเป็นไบโอ (B) คืออ้อย และนำมาต่อยอดในสายธุรกิจชีวภาพ โดยใช้ผลพลอยได้ทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นกากอ้อย (ชานอ้อย) กากน้ำตาล (โมลาส) หรือแม้กระทั่งใบอ้อย จนแทบจะไม่มีความสูญเสียระหว่างทาง หรือที่เรียกว่า Zero Waste 

ยกตัวอย่าง เช่น การหีบอ้อยได้น้ำอ้อยไปทำน้ำตาลทราย ส่วนชานอ้อยก็นำไปทำเยื่อกระดาษชานอ้อย รวมถึงต่อยอดไปเป็นภาชนะและบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยและหลอดชานอ้อย 100% ส่วนชานอ้อยอีกส่วนหนึ่งยังนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ส่วนโมลาสหรือกากน้ำตาล ก็นำไปผลิตเอทานอล ซึ่งการลงทุนในสายธุรกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่องครบวงจรนี้ ก็คือตัว C หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามโมเดล BCG นั่นเอง

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ในด้านของเศรษฐกิจสีเขียว หรือ G นั้น ทางกลุ่ม KTIS ก็ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดอยู่แล้ว โดยผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม KTIS เป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ทดแทนผลิตภัณฑ์ที่ก่อก๊าซเรือนกระจก เช่น การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล เยื่อกระดาษจากชานอ้อย หรือไบโอเอทานอล ทำให้บริษัทในกลุ่ม KTIS ได้รับการรับรองด้านการจัดการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น iso14001 และยังรวมไปถึงการได้รับการรับรองทั้งกระบวนการใน supply chain ตั้งแต่ในไร่อ้อย เช่น มาตรฐาน Bonsucro และ VIVE program ซึ่งยืนยันในเรื่องการทำไร่อ้อยอย่างยั่งยืน

เมื่อถามถึงโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย? นายสมชาย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จาน, ชาม, กล่อง, ถาดหลุมนั้น มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก โดยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้คลอรีนในการฟอกสีเยื่อกระดาษ ทำให้ได้เยื่อกระดาษชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ปลอดภัยในการใช้บรรจุอาหารไม่ว่าจะร้อนจัด หรือเย็นจัด ก็สามารถใช้ได้ อีกทั้งก่อนที่จะส่งถึงมือผู้บริโภค ยังได้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV อีกด้วย 

นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยของกลุ่ม KTIS นั้น ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น สามารถใส่น้ำโดยไม่รั่วซึม สามารถนำเข้าเตาอบและเตาไมโครเวฟได้ ไม่มีสารปนเปื้อนก่อมะเร็ง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ภายใน 45 วัน โดยได้รับใบรับรองมาตรฐานระดับโลกด้านการย่อยสลายของผลิตภัณฑ์ (Products made of compostable materials for industrial composting Clamshell and Plate) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยบริษัทผู้ตรวจสอบชั้นนำของประเทศไทย ในการรับรองระบบมาตรฐานโรงงานด้านความปลอดภัยของอาหาร ด้านการผลิต Food Packaging เช่น FSSC 22000, ISO 22000, GHPs/HACCP เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จากศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจในสายชีวภาพ นายสมชาย เชื่อว่า จะทำให้บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้ของสายธุรกิจน้ำตาลทราย และจะช่วยทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีความผันผวนน้อยลง เนื่องจากรายได้และกำไรของสายธุรกิจน้ำตาลนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับปริมาณอ้อยที่ผลิตได้ในแต่ละปีแล้ว ยังอิงกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก

‘รมว.ปุ้ย’ จัดเต็ม!! 4 ของขวัญ ‘หนุนผู้ประกอบการ-ประชาชน’ ‘เติมทุน-เพิ่มโอกาส-กระจายรายได้-สินค้าดีราคาพิเศษ’ รับปีใหม่

(20 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้ทุกกระทรวงจัดเตรียมแผนงานและโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 ให้กับประชาชน เพื่อช่วยเหลือในการลดค่าครองชีพช่วงเทศกาลสำคัญ เพื่อส่งความสุขให้กับประชาชน และลดค่าใช้จ่าย เพิ่มกำลังซื้อสินค้า อีกทั้งยังส่งเสริมการขายและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ดำเนินการรวบรวมโครงการ/กิจกรรม ที่สามารถให้การช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและผู้ประกอบการ เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 โดยแบ่งเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย...

1. ด้านสินค้าและบริการดี ราคาพิเศษ กระทรวงฯ ร่วมกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ซีพี โฟตอน เซลส์ จำกัด จัดโปรโมชั่น สิทธิพิเศษ ลดค่าใช้จ่าย (แต่ละค่ายรถยนต์เป็นผู้กำหนด) ให้กับประชาชนที่สนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เช่น อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ฟรีค่าติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้า ฟรีประกันชั้น 1 เป็นต้น ขณะเดียวกันยังลดราคาหนังสือ มอก. และมาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ (มตช.) 75 % ของราคาปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567 เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ให้ทุกภาคส่วนนำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและมาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ ไปใช้ได้อย่างถูกต้องทั่วถึงในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม

2. ด้านเติมทุน เสริมสภาพคล่อง กระทรวงฯ ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมและลดค่าบริการ เช่น เตรียมการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี พ.ศ. 2567 ให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 และ 3 ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และใบแทนใบอนุญาต มอก. ฉบับละ 3,000 บาท ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบรับรองหน่วยตรวจสอบและรับรอง (หน่วยตรวจ หน่วยรับรอง ห้องปฏิบัติการ) ฉบับละ 10,000 บาท และคำขอใบรับรอง ฉบับละ 1,000 บาท เป็นต้น นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เช่น สินเชื่อพิเศษเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้ดีพร้อม (DIPROM PAY) วงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการที่ต้องการระยะเวลาการกู้ยาว (Loan for SMEs by Tenor) วงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด ไม่เกิน 10 ปี สินเชื่อธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม (DIPROM Pay for BCG) วงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 7 ปี เป็นต้น

3. ด้านเพิ่มโอกาส เสริมแกร่งธุรกิจ กระทรวงฯ ได้ให้คำปรึกษาแนะนำ/บริการด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งออกแบบตราสินค้า ฉลากสินค้าและต้นแบบบรรจุภัณฑ์ ฟรี แกะกล่องของขวัญ เทรนด์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ฟรี ได้แก่ Workshop พัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Bio Tech Academy) Workshop นำเสนอเครื่องมือแพทย์ฝีมือคนไทย พร้อมสาธิตและทดลองใช้งาน หลักสูตรอบรม พัฒนาองค์ความรู้ด้าน Low Cost Automation และการผลิตแบบ Toyota และ Workshop พัฒนาบุคลากรไปสู่นักนวัตกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมฝึกอบรมสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานระบบการบริหารจัดการ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จำนวน 10 รุ่น เช่น หลักสูตรระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร และระบบการจัดการสุขลักษณะที่ดีในสถานประกอบการ (GHPs/HACCP version 2022) เป็นต้น

4. ด้านกระจายรายได้สู่ชุมชนรอบอุตสาหกรรม กระทรวงฯ ได้เร่งจ่ายเงินตัดอ้อยสดฤดูการผลิตปีที่ผ่านมา จัดหาเครื่องสางใบอ้อยมาให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยยืมใช้ แจกอ้อยพันธุ์ดี และดำเนินโครงการเหมืองแร่ปลอดภัยห่วงใยประชาชนปี 7 ซึ่งจะจัดกิจกรรมตรวจสุขภาพของประชาชน โดยรอบสถานประกอบการเหมืองแร่ จัดนิทรรศการให้ความรู้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ และต่อยอดจากการทำเหมือง มอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียน ให้แก่ชุมชนรอบเหมือง มอบเครื่องอุปโภคบริโภค และอุปกรณ์ทางการแพทย์

"กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการและประชาชนให้สามารถดำเนินธุรกิจและการดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นในช่วงเทศกาลปีใหม่ และก้าวเข้าสู่ปี 2567 ด้วยความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยโครงการของขวัญปีใหม่ 4 ด้าน และโครงการต่าง ๆ ที่จัดขึ้นตลอดทั้งปีจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและประชาชนอย่างแท้จริง และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน" รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวปิดท้าย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปผลคดี บจก.ซิปเม็กซ์ (Zipmex) วันนี้ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๖ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา  

ผบช.สอท. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท.บช.สอท. นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นางสาวนภนวลพรรณ ภวสันต์ ผู้ช่วยเลขาธิการสายนวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีดิจิทัล ก.ล.ต. นายนพดล อุเทน ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและพัฒนามาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ นายพีรธร วิมลโลกการ ผู้อำนวยการกองกำกับและตรวจสอบ ปปง. ร่วมกันแถลงข่าว กรณีมีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายมาร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน บช.สอท., ปอศ. และสถานีตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศ ให้ดำเนินคดีกับบริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด และ นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ในฐานความผิด ฉ้อโกงประชาชนซึ่งจากข้อเท็จจริงพบว่า บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เมื่อปี 2561 ให้มีบริการการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ต่อมาในปี 2563 ได้มีการชักชวนประชาชนให้นำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากไว้กับทางบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ภายใต้บริการที่มีชื่อเรียกว่า Zip up และ  Zip up+  โดยเป็นบริการเปิดรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลจากลูกค้าและจะให้ผลตอบแทนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งนี้ บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ได้โอนสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าที่มาลงทุน ไปยังต่างประเทศเพื่อลงทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ขาดทุนจนไม่สามารถนำมาเงินมาคืนให้กับลูกค้า จนกระทั่งวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ได้ประกาศระงับการถอนเงินบาทและสินทรัพย์ดิจิทัลจาก “ZipUp” หรือ “Z Wallet” ทำให้ผู้ลงทุนได้รับความเสียหาย ต่อมา ก.ล.ต. ได้ดำเนินการตรวจสอบและสั่งให้ บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ นำส่งข้อมูลเกี่ยวกับกิจการและการดำเนินงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง แต่บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ไม่นำส่งข้อมูลดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้เมื่อได้รับการแจ้งเตือนจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก็นำส่งข้อมูลเพียงบางส่วน ไม่ครบถ้วน จึงได้กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน  

กรณีบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 51 ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 75 ตาม พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ทั้งนี้นอกเหนือจากการกล่าวโทษดังกล่าว ก.ล.ต. ได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับ บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด และ นายเอกลาภฯ รวมแล้วเป็น จำนวน 10,977,000 ล้านบาท ในฐานความผิดที่เกี่ยวข้อง ตาม พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตระหนักถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นวงกว้างกับประชาชน  จึงได้มีคำสั่งที่ 411/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อรับผิดชอบการสืบสวนคดีดังกล่าว โดยได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งสอบปากคำผู้เสียหาย จำนวน 485 คน (เอกสารคำให้การ 20,210 แผ่น) รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 900 ล้านบาท(คาดว่าจะมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์เพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง) ทางคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของ บริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นความผิดฐาน “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตาม มาตรา 4, 5, 12, 15 แห่ง พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และความผิดตาม มาตรา 75 แห่ง พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561  และ ความผิดมาตราอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” ประกอบกับคดีนี้มีธุรกรรมทางการเงินที่มีความสลับซับซ้อนต้องรวบรวมและวิเคราะห์พยานหลักฐานจำนวนมาก ซึ่งมีจำนวนผู้เสียหายตั้งแต่สามร้อยคนขึ้นไป หรือมีจำนวนเงินที่กู้ยืมรวมกันตั้งแต่หนึ่งร้อยล้านบาทขึ้นไปอันเข้าลักษณะการเป็นคดีพิเศษ  
ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.๒๕4๗ จึงได้มีหนังสือส่งสำนวนการสอบสวนให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณารับเป็นคดีพิเศษ ตามระเบียบและกฎหมายต่อไป

‘แม่ณุน’ หนังผีตำนานกัมพูชา เตรียมลงโรงฉายไทยปีหน้า พล็อต ‘ยืดแขน-ห้อยหัว-รอคนรัก’ ทำคนไทยแอบเอ๊ะสุดๆ

(20 ธ.ค.66) เรียกเสียงฮือฮาจากโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก เมื่อทาง Major Group ออกมาโพสต์โปรโมทภาพยนตร์ใหม่จากประเทศกัมพูชา เรื่อง ‘แม่ณุน’ ตำนานสุดสยองขวัญที่สร้างปรากฏการณ์เป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลมาแล้วทั่วประเทศในกัมพูชา พร้อมเข้าฉาย 29 กุมภาพันธ์ 2024

โดยภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นตำนานสยองขวัญที่เล่าขานนับร้อยปีของประเทศกัมพูชา เกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่คนรักของเธอต้องไปทำภารกิจต่างแดนขณะที่เธอตั้งท้อง

เธอเฝ้ารอคอยคนรักด้วยความหวัง ทว่าก็เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น เพราะเธอสิ้นใจขณะคลอดลูก กลายเป็นผีตายทั้งกลม หลอนทั้งหมู่บ้าน สามารถยืดแขนยาว และห้อยหัวลงมาจากหลังคาได้

เมื่อตัวอย่างภาพยนตร์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลทันที ชาวเน็ตไทยแห่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันสนั่น ทั้งยังมีการเปรียบเทียบหนังเขมร ‘แม่ณุน’ กับหนังไทยที่กลายเป็นตำนานตลอดกาลอย่าง ‘แม่นาก พระโขนง’

โดยชาวเน็ตไทยตั้งข้อสังเกตว่า ตัวพล็อตเรื่องของหนังมีความคล้ายกัน ทั้งช่วงเวลาเป็นแนวย้อนยุค โบราณ ใช้ชีวิตริมคลอง พระเอกและนางเอก กำลังจะมีลูกด้วยกัน แต่ก็ต้องแยกจากกันเนื่องจากฝ่ายชายต้องห่างไกลบ้าน

จากนั้นฝ่ายหญิงก็คลอดลูกไม่สำเร็จ จนทำให้เสียชีวิต กลายเป็นผีตายทั้งกลม ที่เฝ้ารอการกลับมาของคนรัก อีกทั้งเมื่อกลายเป็นผี ก็สามารถยืดแขนได้อีก ซึ่งเป็นภาพจำของ ‘ผีแม่นาก’ ที่คนไทยคุ้นเคยกันกับฉากเก็บมะนาว

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ความคิดเห็นจากโลกโซเชียล อาทิ

- เพื่อนแม่นากรึป่าว
- พล็อตใหม่ล้ำ ๆ ไม่ซ้ำใคร
- แม่นากมิติใหม่
- นี่คือตำนานจริง ๆ ใช่ไหม
- ชื่อคล้าย ๆ กันนะ 5555555

อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งตัดสินจากตัวอย่างหนังเพียงอย่างเดียว สำหรับใครที่อยากพิสูจน์ว่าตำนานรักข้ามมิติของ ประเทศกัมพูชา และ ประเทศไทย จะมีความเหมือนหรือความต่างอย่างไร คงต้องไปพิสูจน์เองในโรงภาพยนตร์

‘TVD-ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย’ ผนึกกำลังขยายช่องทางการตลาด ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ายุคดิจิทัล พร้อมระบบจัดส่งแบบครบวงจร

(20 ธ.ค. 66) ที่ Clubhouse บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างองค์การเภสัชกรรมและภาคเอกชน กับ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด โดยมีนางนันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล, นายปรากรม วุฒิพงศ์ กรรมการบริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด และนายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการบริษัท และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด และนางสาวจิราภรณ์ พินิจนรชัย กรรมการบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด ร่วมลงนาม

การลงนามในความร่วมมือครั้งนี้ ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับทั้ง 2 องค์กร โดย ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย มีสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค จากการเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างองค์การเภสัชและเอกชน ซึ่งมีความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์สูง จากการวิจัยพัฒนาและมาตรฐานการผลิต ขณะเดียวกัน ทางทีวี ไดเร็ค มีประสบการณ์ด้านการตลาดแบบตรงมากกว่า 24 ปี และการมีกลุ่มธุรกิจในเครือที่แข็งแกร่ง ทั้งทีวี โฮมช็อปปิ้ง คอลเซ็นเตอร์ การทำตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ การบริการคลังสินค้า และขนส่งสินค้าแบบครบวงจร ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าของทั้ง 2 องค์กรได้อย่างแน่นอน

นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการบริษัท และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าว เชื่อมั่นว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท ขณะเดียวกันยังสอดคล้องของแนวทางของ ทีวี ไดเร็ค ที่มุ่งสู่การเป็น Service Enabler ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการช่วยสร้างตลาดให้กับพันธมิตรคู่ค้าแบบครบวงจร ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงการนำข้อมูลมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อออกแบบและใช้สื่อที่เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ในการดำเนินธุรกิจของทีวี ไดเร็ค ที่จะไม่ใช่เพียง TV Home Shopping อีกต่อไป

สำหรับ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด เป็นหนึ่งในประเภทธุรกิจ ของบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TVDH) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของคณะผู้บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร มากกว่า 24 ปี มีสินค้าหลากหลาย อาทิ สินค้าประเภทอาหารเสริมและสุขภาพ เครื่องใช้ภายในบ้าน เครื่องออกกำลังกาย สินค้าแฟชั่นและความงาม และสินค้าอื่น ๆ อีกหลายประเภท ผ่านช่องทางการตลาดหลากหลายช่องทาง (Omni-Channel Marketing) อาทิ ช่องทางโทรทัศน์ ผ่านระบบโทรทัศน์ภาคปกติ (Free TV) และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ทั้ง C BAND และ KU BAND, ช่องทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม 

ขณะที่ บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง องค์การเภสัชกรรมและภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสมุนไพรไทยให้แพร่หลายยิ่งขึ้น มีโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยมาตรฐานระดับสากล ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมวังจุฬา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพร โดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากองค์การเภสัชกรรม ซึ่งทางบริษัทมุ่งเน้นในเรื่องการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อส่งเสริมและรักษาสุขภาพ รวมทั้งมุ่งเน้นเป็นผู้นำด้านการตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพร

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง รุกส่งเสริมคุณภาพชีวิตเยาวชนในชนบทอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง จัดงบประมาณโครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจร ครั้งที่ 4 กว่า 2.5 ล้านบาท มอบจักรยาน หน้ากากอนามัย อุปกรณ์กีฬา และค่าพาหนะแก่โรงเรียนรวม 75 แห่ง

ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม 2566  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร มอบหมายให้ นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก พร้อมด้วย นายชูเดช เตชะไพบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการมูลนิธิฯ และนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่โรงเรียนชนบทที่มีนักเรียนประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดทางภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปราจีนบุรี จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม ตราด พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส  รวม 15 จังหวัด 75 โรงเรียน โดยมอบรถจักรยานขนาด 24 นิ้ว รวม 1,500 คัน , หน้ากากอนามัย จำนวน 37,500 ชิ้น อุปกรณ์กีฬา จำนวน 75 ชุด และค่าพาหนะเดินทางแก่โรงเรียนๆ ละ 1,000 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2,549,400 บาท (สองล้านห้าแสนสี่หมื่นเก้าพันสี่ร้อยบาทถ้วน) ในโครงการ “จักรยานเพื่อน้องสัญจร” ครั้งที่ 4 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกายเรียนรู้กฎจราจร รวมถึงการแบ่งปัน การดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐแต่ละแห่งเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการส่งเสริมด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung  

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” 
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top