Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

‘คมนาคม’ ถกแนวทางช่วยเหลือ ‘แท็กซี่-รถโดยสารประจำทาง’ บูรณาการทุกภาคส่วน แก้ปัญหา ‘ค่าโดยสาร-ก๊าซ’ ให้เหมาะสม

(19 ธ.ค. 66) ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้ นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมหารือและรับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้ประกอบการ สมาคม สหกรณ์ ผู้ประกอบอาชีพแท็กซี่ และรถโดยสารประจำทางเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมี นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วย นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้แทนกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือ 

จากกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการ สมาคม สหกรณ์ ผู้ประกอบอาชีพแท็กซี่ และกลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทางเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร ได้ยื่นหนังสือเพื่อทวงถามความคืบหน้าแนวทางการให้ความช่วยเหลือในประเด็นต่าง ๆ สรุปดังนี้

1) กรณีผู้ประกอบการและผู้ประกอบอาชีพแท็กซี่ ขอปรับอัตราค่าโดยสารนั้น กระทรวงคมนาคมมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือ แบ่งเป็นระยะสั้น จะประสานข้อมูลให้ TDRI พิจารณาวิเคราะห์อัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ขับรถแท็กซี่ และในระยะยาว กรมการขนส่งทางบกจะดำเนินการจ้างศึกษาโครงสร้างค่าโดยสารใหม่และรูปแบบมาตรค่าโดยสารที่เหมาะสมต่อไป

2) กรณีค่าขอให้ช่วยเหลือด้านราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) และแก๊สแอลพีจีที่ใช้กับรถแท็กซี่นั้น กระทรวงพลังงานจะพิจารณาความช่วยเหลือเรื่องต้นทุนค่าพลังงานของผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะ และแจ้งผลให้กระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางบกทราบ เพื่อร่วมพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาในภาพรวมร่วมกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมในการกำกับดูแลของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินการด้วยความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามหลักธรรมาภิบาล และกฎหมาย รวมถึงให้ความสำคัญกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน

'ทุนอินเดีย' ทุ่ม 4.5 พันล้าน ซื้อ RD แฟรนไชส์ KFC ในไทย มั่นใจ!! ตลาดบริโภคสัตว์ปีกในไทย 'แข็งแกร่ง-เติบโต'

(19 ธ.ค.66) RD หรือ Restaurants Development หนึ่งในผู้บริหารแฟรนไชส์ของ KFC ในประเทศไทย ซึ่งมีสาขา 274 สาขา ประกาศผนึกพันธมิตรใหม่ Devyani International DMCC บริษัทในเครือ Devyani International Limited หรือ DIL หวังช่วยสปีดสาขา

โดย RD ระบุว่า กลุ่มบริษัท DIL ในประเทศอินเดียเป็นกลุ่มบริหารจัดการขนาดใหญ่ในสายธุรกิจ QSR/LSR ให้กับแบรนด์ระดับโลก อย่าง KFC, Pizza Hut, Costa Coffee และกลุ่มธุรกิจในเครือ โดยมีเครือข่ายสาขามากกว่า 1,350 แห่งทั่วโลก ในความร่วมมือนี้ Devyani International DMCC บริษัทในเครือ Devyani International Limited (DIL) เซ็นสัญญาลงทุนในบริษัท RD เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจ QSR ในประเทศไทย

หลังจากนับตั้งแต่ปี 2559 ซึ่ง RD เริ่มเข้ามาเป็นแฟรนไชส์ร้าน KFC จำนวน 127 สาขา ภายในระยะเวลา 7 ปี RD สามารถขยายร้าน KFC ได้ถึง 274 สาขาในเดือนกันยายน 2566

ทั้งนี้ RD ย้ำว่า การทำธุรกรรมดังกล่าวยังอยู่ภายใต้การอนุมัติตามกฎระเบียบและการอนุมัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน เดือนมีนาคม 2567

“พันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง DIL และ RD ต่างมีจุดมุ่งหมายในการขยายเครือข่ายสาขาในประเทศไทยผ่านความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการทางธุรกิจของทั้งสองบริษัท ยกระดับประสบการณ์ที่ดีของลูกค้ารวมไปถึงชุมชนต่าง ๆ”

ทั้งนี้ รอยเตอร์ รายงานว่า ข้อตกลงดังกล่าว มีมูลค่า 128.9 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4,500 ล้านบาท และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2567 โดยการเข้าซื้อนี้ ได้ดำเนินการผ่านหน่วยงานในดูไบ ที่ถือหุ้นอยู่ 51% ในขณะที่บริษัท เทมาเส็ก เป็นเจ้าของส่วนที่เหลือ

แถลงการณ์ของ DIL ระบุว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสัตว์ปีกที่แข็งแกร่ง ในด้านการบริโภคเนื้อสัตว์ และเชื่อว่ามีโอกาสสำหรับตลาดที่จะเติบโต การซื้อกิจการครั้งนี้ จะเพิ่มสาขา KFC ในอินเดีย เนปาล และ ไนจีเรีย รวม 500 แห่ง และยังดำเนินธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) อื่นๆ ในอินเดีย เช่น Pizza Hut และ Costa Coffee

สำหรับ Restaurants Development มีพนักงานในเครือมากกว่า 4,500 คน 

อธิบดีกรมพลศึกษา แถลงข่าวความพร้อมจัดการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 43 ประจำปี 2567 “กระบี่เกมส์” ครั้งที่ 43  

วันนี้ (19 ธ.ค.66) เวลา 11.00 น. ดร.นิวัตน์ ลิ้มสุขนิรันดร์ อธิบดีกรมพลศึกษา พร้อมด้วยนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ร่วมกันแถลงข่าว
การจัดการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 43 ประจำปี 2567 “กระบี่เกมส์”

โดยมี นายสมศักดิ์ กิตติธรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ นายสมเกียรติ กิตติธรกุล นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกระบี่ นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ และนายวิกรม พันธุ์เล่งผู้แทนมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตกระบี่  ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องประชุมเกาะกลาง โรงแรมกระบี่ ฟร้อนท์ เบย์ รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่

โดยการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 43 ประจำปี 2567 นี้ จังหวัดกระบี่รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันร่วมกับกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยมุ่งหวังที่จะเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันนำทักษะกีฬาที่ตนได้ศึกษาเล่าเรียนมาแสดงศักยภาพในเวทีการแข่งขันที่มีความเป็นมาตรฐาน สามารถประเมินทักษะกีฬาของตนและเสริมสร้างประสบการณ์จากการแข่งขันกีฬาระดับชาติซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาไปสู่กีฬาในระดับที่สูงขึ้นต่อไปได้ ภายใต้สโลแกน “กระบี่เกมส์ เกมส์แห่งมิตรภาพ”

มีการจัดการแข่งขันรวม 25 ชนิดกีฬา ประกอบด้วย กรีฑา, คาราเต้-โด้, จักรยาน, เซปักตะกร้อ, เทควันโด, เทนนิส, เทเบิ้ลเทนนิส, บาสเกตบอล, แบดมินตัน, ปั่นจักสีลัต, เปตอง, ฟุตซอล, ฟุตบอล, มวยไทยสมัครเล่น,มวยสากลสมัครเล่น, ยกน้ำหนัก, เรือพาย, รักบี้ฟุตบอล 7 คน, ลีลาศ, วอลเลย์บอล, ว่ายน้ำ, วู้ดบอล, สนุกเกอร์, หมากล้อม, แฮนด์บอล, และกีฬาสาธิต 2 ชนิดกีฬา ได้แก่ กาบัดดี้และโรลเลอร์สกี การแข่งขันในครั้งนี้ คาดว่าจะมีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมจากทั่วประเทศกว่า 7,000 คน

นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าฯ กระบี่ กล่าวว่า ขอขอบคุณอธิบดีกรมพลศึกษา ที่ได้มอบคามไว้วางใจให้จังหวัดกระบี่เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 43 ประจำปี 2567 “กระบี่เกมส์” ในนามของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกระบี่ เรามีความตั้งใจที่จะให้การต้อนรับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากทุกจังหวัดเข้าสู่จังหวัดกระบี่ โดยเฉพาะการบูรณาการการทำงานร่วมกันไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจังหวัดกระบี่มีความพร้อมอย่างยิ่ง ทั้งเรื่องของสถานที่ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม พร้อมจะยกระดับการแข่งขันครั้งนี้ให้มีมาตรฐานทัดเทียมนานาประเทศ และยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการสร้างคุณค่าทางสังคม มูลค่าเชิงเศรษฐกิจ และสอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ได้คัดเลือกให้จังหวัดกระบี่เป็นเมืองกีฬาหรือกระบี่สปอร์ตซิตี้เพื่อให้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างการกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจังหวัดและประเทศอีกทางหนึ่ง ขอเชิญชวนชาวจังหวัดกระบี่ร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับทัพนักกีฬา ร่วมชม ร่วมเชียร์ และสนับสนุนจากทุกภาคส่วน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมรายได้ให้แก่ชุมชนในท้องถิ่น ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนกระบี่เมืองกีฬา

ด้าน ดร.นิวัฒน์ ลิ้มสุขนิรันดร์ อธิบดีกรมพลศึกษา เปิดเผยว่า จังหวัดกระบี่มีศักยภาพสูงและมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งในด้านสถานที่จัดการแข่งขันที่พักนักกีฬา บุคลากร รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามต้องขอขอบพระคุณท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ที่ได้มีส่วนช่วยในการสนับสนุนการพัฒนาการกีฬาของชาติ องค์กรองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตกระบี่ สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกระบี่ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ รวมถึงภาคคีเครือข่ายของจังหวัดกระบี่ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาจาก 10 เขตทั่วประเทศ ซึ่งคณะกรรมการจัดการแข่งขันในส่วนของจังหวัดกระบี่และกรมพลศึกษา ได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านให้การจัดการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเยาวชน นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับประโยชน์สูงสุด

สำหรับจัดการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติในปีนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 43 โดยมีจังหวัดกระบี่
เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ภายใต้ชื่อ “กระบี่เกมส์ เกมส์แห่งมิตรภาพ” มีช้าง เป็นสัตว์นำโชค ชื่อ “น้องอุดมโชค” เป็นมาสคอตประจำการแข่งขัน และใช้สัญลักษณ์เรือหัวโทง เป็นสัญลักษณ์ในการแข่งขัน โดยจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22-30 มกราคม 2567

ตม.จว.กระบี่ รวบหนุ่มเมืองเบียร์ Overstay เมาอาละวาดสร้างความวุ่นวายให้กับนักท่องเที่ยว

ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. กำหนดให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2567 ระหว่างวันที่ 18 ธ.ค. – 27 ธ.ค.2566 โดยให้ระดมตรวจสอบและจับกุมคนต่างด้าวที่กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และกระทำผิดตามกฎหมายอื่นๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคม ตลอดถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.66 ตม.จว.กระบี่ ได้รับแจ้งจากประชาชนในพื้นที่เกาะลันตา ว่ามีชายชาวต่างชาติเข้ามาพักอาศัยที่เกาะลันตามีพฤติกรรมชอบขี่รถจักรยานยนต์ไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามบาร์เบียร์ในพื้นที่ เมื่อดื่มจนเมาจะเอะอะโวยวายและทะเลาะกับลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวอื่นภายในร้าน สร้างความวุ่นวายกับคนในพื้นที่เป็นอันมาก

ต่อมาวันที่ 19 ธ.ค.66 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6,พ.ต.อ.กันตวัฒน์  พงศ์สถาบดี รอง ผบก.ตม.6 ,พ.ต.อ.สรธรรศจ์  เอี่ยมละออ ผกก.ตม.จว.กระบี่,พ.ต.ท.สุเมธ  กนกเหมพันธ์  รอง ผกก.ตม.จว.กระบี่ สั่งการให้ พ.ต.ต.วิรัตน์ อินทร์ยอด สว.ตม.จว.กระบี่ จัดกำลังชุดสืบสวนลงพื้นที่เกาะลันตาเพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จากการตรวจสอบพบบุคคลต่างชาติต้องสงสัยนั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่หน้าร้านบาบาร่าบาร์ ม.3 ต.ศาลาด่าน อ.เกาะลันตา จว.กระบี่ และเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ได้พยายามเดินหลบหนี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จว.กระบี่ขอตรวจสอบเอกสารประจำตัว จากการตรวจสอบทราบชื่อ MR.MANUEL (นามสมมุติ) สัญชาติเยอรมัน อายุ 51 ปี จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมืองพบว่า ผู้ถูกจับเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งล่าสุดทางจุดตรวจถาวรบ้านแหลม ตม.จว.จันทบุรี เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2566 ประเภทวีซ่า ผ.30 และเมื่อครบกำหนดอนุญาตแล้วก็ยังลักลอบอาศัยอยู่ในประเทศไทยตลอดมา และจากการซักถามบุคคลต่างชาติดังกล่าวทราบว่าได้ทะเลาะกับแฟนสาวคนไทย จึงขับขี่รถจักยานยนต์มาจากพัทยา จว.ชลบุรี เพื่อง้อแฟนสาวที่เกาะลันตา จว.กระบี่ แต่ไม่สามารถง้อได้สำเร็จ จึงเกิดความเครียดและตระเวนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามร้านบาร์เบียร์ต่างๆ จนถูกเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีในข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด  ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย 

ด้วยในพื้นที่จังหวัดกระบี่ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมากประกอบกับใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ ตม.จว.กระบี่ จึงได้มีมาตรการออกตรวจพื้นที่ ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวและประชาชน ตลอดจนสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว ที่มาเที่ยวใน จว.กระบี่ และหากประชาชนท่านใดพบเห็นการกระทำผิด กรุณาแจ้งมายัง ตม.จว.กระบี่ โทร 075 611097  จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สถาบันพระปกเกล้า นำ 4 หลักสูตร “ปปร.25-สสสส.12-ปรม.21-ปศส.20” เข้ารับประกาศนียบัตรชั้นสูง พร้อมเข็มพระปกเกล้า

วันที่ 19 ธันวาคม ที่ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ ไปในพิธีมอบประกาศนียบัตรชั้นสูงกิตติมศักดิ์ พร้อมเข็มพระปกเกล้า เข็มกิตติคุณสถาบันพระปกเกล้า และประกาศนียบัตรชั้นสูง พร้อมเข็มพระปกเกล้า 

โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานสภาสถาบันพระปกเกล้า กล่าวรายงานว่า กระผม นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานสภาสถาบันพระปกเกล้า พร้อมด้วย คณะกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า คณาจารย์ ผู้บริหาร ผู้เข้ารับเข็มกิตติคุณสถาบันพระปกเกล้า และประกาศนียบัตรชั้นสูงพร้อมเข็มพระปกเกล้าและนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้ามีความปลื้มปีติยินดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นล้นพ้น ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์มามอบเข็มกิตติคุณสถาบันพระปกเกล้า และประกาศนียบัตรชั้นสูง พร้อมเข็มพระปกเกล้า ในวันนี้ 

กระผมขอรายงาน การเข้ารับเข็มกิตติคุณ สถาบันพระปกเกล้าและประกาศนียบัตรชั้นสูงพร้อมเข็มพระปกเกล้า ประกอบด้วย

ผู้เข้ารับเข็มกิตติคุณ สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสถาบันพระปกเกล้าอันเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 2 ราย ผู้เข้ารับประกาศนียบัตรชั้นสูงพร้อมเข็มพระปกเกล้า รวมหลักสูตรซึ่งเป็นการจัดการศึกษาให้แก่ สมาชิกรัฐสภา ข้าราชการการเมือง ข้าราชการระดับสูง พนักงานรัฐวิสาหกิจระดับบริหารบุคลากรภาคองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคประชาสังคมหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนสื่อมวลชน และผู้บริหารจากองค์กรพัฒนาเอกชน ประกอบด้วย

หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) รุ่นที่ 25 จำนวน 133 ราย 

หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน ปรม. รุ่นที่ 21 จำนวน 85 ราย

หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะสำหรับนักบริหารระดับสูง(ปศส.) รุ่นที่ 20 จำนวน 72 ราย
 
หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.) รุ่นที่ 12 จำนวน 73 ราย 

ทั้งนี้ รวมผู้เข้ารับเข็มกิตติคุณสถาบันพระปกเกล้า และประกาศนียบัตรชั้นสูง พร้อมเข็มพระปกเกล้าจำนวน 365 ราย 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีรับประกาศนียบัตรชั้นสูง พร้อมเข็มพระปกเกล้าแล้ว ได้มีงานเลี้ยงให้กับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.) รุ่นที่ 12 ที่อาคารรับรอง เกษะโกมล เขตดุสิต โดยบรรยากาศเป็นอย่างสนุกสนาม

'อลงกรณ์' จับมือสภาอุตสาหกรรมฯ.ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy)เดินหน้าโครงการเรือธง“สาหร่าย-พืชแห่งอนาคต” มุ่งเป้าสร้างรายได้ประชาชนทดแทนนำเข้าตอบโจทย์ลดโลกร้อน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท เปิดเผยวันนี้(20 ธ.ค.) ว่า มูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท (WCF : Worldview Climate Foundation) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)โดยการนำของ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. ได้จัดทำบันทึกความร่วมมือ (MoU) ระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กับ มูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท ในการพัฒนาสาหร่ายรวมถึงพืชน้ำและพืชชายฝั่งอื่นในประเทศไทย เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชนสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน 

เนื่องด้วยประเทศไทยมีชายฝั่งทะเลยาว 3,148 กม. มีป่าชายเลนไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านไร่ และมีประชากรในจังหวัดชายฝั่งทะเล ประมาณ 26 ล้านคน มีศักยภาพในการพัฒนาสาหร่ายให้เป็นโครงการเรือธง(flagship project)ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(Blue Economy)โดยใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการพัฒนาสาหร่ายให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น สร้างงานสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชน ยกระดับอัพเกรดภาคเกษตรของไทยสู่เกษตรมูลค่าสูงและลดการนำเข้าสาหร่ายจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้าและเพิ่มความมั่นคงทางอาหารของประเทศได้ในระยะยาว เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง มุ่งสนับสนุนส่งเสริมการผลิตและแปรรูปสาหร่ายทะเลเป็นพืชแห่งอนาคตตัวใหม่ 

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน การผลิตสาหร่ายทะเลเติบโตอย่างรวดเร็ว มีผลผลิตทั้งหมดทั่วโลกไม่น้อยกว่า 35 ล้านตัน มีมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท นอกจากสาหร่ายจะเป็นซูเปอร์ฟู้ดที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สูง ยังมีสรรพคุณในการนำไปสกัดเพื่อใช้ผลิตอาหารเสริม อาหารสัตว์ เครื่องสำอาง เวชภัณฑ์ ปุ๋ย พลาสติกชีวภาพสำหรับบรรจุภัณฑ์ กระดาษ สิ่งทอ สารกระตุ้นทางชีวภาพ (bio stimulants) และเชื้อเพลิงชีวภาพ 

ยิ่งกว่านั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมสาหร่ายยังมีส่วนสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065

รวมทั้งตอบโจทย์วาระเศรษฐกิจมหาสมุทรที่ยั่งยืน (Sustainable Ocean Economy) เพื่อเป็นส่วนร่วมในทศวรรษวิทยาศาสตร์มหาสมุทรแห่งสหประชาชาติ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (พ.ศ. 2564-พ.ศ. 2573) และการลดภาวะโลกร้อนจากผลกระทบของก๊าซเรือนกระจกภายใต้

“ถือเป็นความร่วมมือที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(blue economy)ในการใช้ทรัพยากรในทะเลและมหาสมุทรอย่างยั่งยืนเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การยกระดับคุณภาพชีวิต และการมีงานทำในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสุขภาพของระบบนิเวศน์ในมหาสมุทร
รวมถึงผลประโยชน์ด้านอื่นๆเช่น การกักเก็บคาร์บอน การปกป้องชายฝั่ง คุณค่าทางวัฒนธรรม และความหลากหลายทางชีวภาพ

ทั้งนี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ มูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท จะร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานที่ประกอบไปด้วยทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในครั้งนี้ให้เกิดผลสำเร็จ ผ่านการทำโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของความร่วมมือ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป”นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

ทีมทนายมั่นใจ 'ลุงพล' ไม่เกี่ยวการตายน้องชมพู่ โจทก์ไร้ทั้งพยานหลักฐานและผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์

'แถลงข่าว' เมื่อเวลา 22.35 น. วันที่ 19 ธันวาคม ที่โรงแรมริเวอร์ ฟร้อนท์ นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล และ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ซึ่งเป็นลุงและป้าน้องชมพู่ พร้อมด้วย นายสุรชัย ชินชัย หัวหน้าทีมทนายความ และคณะทนายความจากสำนักกฎหมายธรรมรังสี แถลงข่าวคาดการณ์ผลจากการเป็นทนายว่าความในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ซึ่งศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดอ่านคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. วันที่ 20 ธันวาคมนี้ ว่ายังมีความมั่นใจในตัวลุงพลและป้าแต๋นว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกฟ้อง โดยทั้งลุงผลและป้าแต๋นไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่น้องชมพู่หายตัวไปในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 แต่อย่างใด อีกทั้งพยานฝ่ายโจทก์ก็ไม่ได้มีการนำสืบแสดงให้เห็นถึงมูลเหตุจูงใจของจำเลยที่จะกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา อีกทั้งยังไม่ปรากฏว่าลุงพลและป้าแต๋นมีสาเหตุโกรธเคืองกับพ่อและแม่ของน้องชมพู่ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือการเสียชีวิตของน้องชมพู่ไม่ได้ทำให้ลุงพลและป้าแต๋นได้ประโยชน์ใดๆ เช่นประโยชน์จากกรมธรรม์ประกันชีวิต เงินฌาปนกิจหรือประโยชน์อื่นใด

ทีมทนายกล่าวว่าส่วนการนำสืบเพื่อพิสูจน์การกระทำความผิดในด้านการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ก็ไม่ปรากฏ DNA ของลุงพลและป้าแต๋นในศพและกางเกงของน้องชมพู่ ส่วนการได้เส้นผมของน้องชมพู่จำนวน 1 เส้นภายในรถของลุงพล ก็เป็นการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่โดยที่ไม่ได้ให้ลุงพลรับรู้รับทราบว่าได้เส้นผมไปจากบริเวณใดในการตรวจค้นรถจึงเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานที่ไม่สุจริต ประเด็นที่ 2 คือเส้นผมที่เจ้าหน้าที่ได้ไปไม่มีรากผมจึงทำให้ไม่สามารถตรวจ DNA ว่าเป็นเส้นผมของน้องชมพู่หรือไม่  จึงต้องการใช้ตรวจโดยวิธี “ไมโทคอนเดรีย DNA” ซึ่งเป็นผลตรวจที่บอกถึงลำดับญาติทางสายแรกฝ่ายหญิงเท่านั้น ขณะที่รถของลุงพลคันดังกล่าวที่พบเส้นผมของน้องชมพู่ ก็เป็นรถที่ก่อนหน้าน้องชมพู่เมื่อครั้งยังมีชีวิตก็เคยเข้าไปโดยสารเป็นปกติอยู่แล้ว ทั้งยังไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกายบนศพของน้องชมพู่ด้วยเช่นกัน

'เพจดัง' เผย!! แม่บ้านสภาถูกบีบให้ออกจากงาน หลังถ่ายรูปภายนอกห้องทำงาน 'ไอซ์ รักชนก'

(20 ธ.ค.66) เพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

#ทุกคนคะ แม่บ้านสภาถูกบีบให้ออกจากงานแล้วค่ะ 

แม่บ้านคนที่ถ่ายรูปภายนอกห้องทำงาน สส. ไอซ์ รักชนก ถูกกลุ่มอิทธิพลบีบบังคับให้เซ็นใบลาออก

หนูเสียใจมาก ไม่คิดว่าการให้แม่บ้านถ่ายรูปห้องทำงาน สส. ที่มาจากภาษีประชาชนจะส่งผลแบบนี้

พวกคุณจะกลัวอะไรคะ ถ้าไม่ได้ทำผิด แม่บ้านก็อายุ 65 ปีแล้ว จะไปทำอะไรพวกคุณได้ แถมคุกคาม ข่มขู่ เอาโทรศัพท์แม่บ้านไปหาข้อมูลอีก

ยังโชคดีที่ผู้ใหญ่ช่วยรับไปทำงานฝั่ง สว. รับไปทำงานเดือนหน้า แต่พรุ่งนี้หนูจะให้ทีมงานไปให้กำลังใจและช่วยค่าทำขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ

สส. ก้าวไกล พวกคุณใช้อำนาจรังแกประชาชนแบบนี้ มีแต่เขาจะเกลียดพวกคุณ ไล่ออกไป 1 แต่มีนาตาชา อาสาเพิ่มอีกเป็น 10 

หนูขอประกาศสงครามกับพรรคก้าวไกลค่ะ

นอกจากนี้ ทางเพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร' ยังได้โพสต์ตั้งข้อสังเกตห้องของ 'ไอซ์ รักชนก' อีกด้วยว่า...

#ทุกคนคะ หนูเห็น สส.ก้าวไกลหลายคน ถ่ายคลิปห้องทำงาน สส. ลง tiktok เป็นว่าเล่น ทั้งภายในและภายนอกห้องไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

แล้วแม่บ้านแค่ถ่ายรูป ทำไม สส. ไอซ์ต้องให้ จนท. เปิดกล้องดู บีบแม่บ้านออกด้วยคะ ห้องคุณไอซ์มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นหรือคะ

'โบราณวัตถุ' 2 ชิ้น ที่พิพิธภัณฑ์นิวยอร์ก จ่อคืน ‘ไทย’ พบอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี หลังถูกโจรกรรมมาผิดกม.

(20 ธ.ค.66) หลังจากที่สำนักงานอัยการในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (The Met) ในนครนิวยอร์ก แถลงการณ์ว่า กำลังเตรียมการส่งโบราณวัตถุ 16 ชิ้น คืนให้กัมพูชาและไทย หลังจากที่ตรวจพบว่าโบราณวัตถุชุดนี้ถูกโจรกรรมมาอย่างผิดกฎหมาย 

โดยโบราณวัตถุ 2 ชิ้นกลับคืนสู่ประเทศไทย ซึ่ง 2 ชิ้นนี้มีความสำคัญ ซึ่งโบราณวัตถุชิ้นแรก เป็นประติมากรรมพระศิวะ ที่หล่อด้วยสำริดและกะไหล่ทอง ความสูง 129 เซนติเมตร มีอายุเก่าแก่ประมาณ 900-1,000 ปี

ส่วนโบราณวัตถุชิ้นที่สอง เป็นประติมากรรมรูปผู้หญิง คาดเป็นราชินีเขมร เนื่องจากสวมใส่เสื้อผ้าของชนชั้นสูง หล่อด้วยสำริด และมีร่องรอยการประดับด้วยโลหะเงินและทอง อยู่ในท่านั่งชันเข่า ยกมือไหว้เหนือศีรษะ คล้ายกำลังบูชาเทพเจ้า ความสูง 43 เซนติเมตร และมีอายุเก่าแก่ประมาณ 1,000 ปี เช่นกัน

พบว่าวัตถุโบราณทั้งสองชิ้นมีความเกี่ยวข้องกับดักลาส แลตช์ฟอร์ด ที่ถูกตั้งข้อหาค้าโบราณวัตถุอย่างผิดกฎหมาย โบราณวัตถุทั้งสองชิ้นได้ถูกซื้อขายอย่างผิดกฎหมาย ผ่านการปลอมแปลงแหล่งที่มาที่เป็นเท็จเคยผ่านการซื้อขายหลายครั้ง ก่อนที่จะถูกบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน ขณะนี้พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันได้ถอดโบราณวัตถุทั้งสองชิ้นออกจากทะเบียนสมบัติของพิพิธภัณฑ์และประสานงานกับสถานกงสุลใหญ่ไทยเพื่อเตรียมส่งคืนแล้ว 

เสียดาย!! 'พรหมลิขิต' ทั้งที่นักแสดงแบกบทของตนอย่างเต็มที่  แต่เส้นเรื่องตามบท ส่งให้ละครด้อยลงจากมาตรฐานเดิม

(20 ธ.ค. 66) นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'พรหมลิขิต ep. สุดท้ายยับเยินอย่างไร' ระบุว่า...

พรหมลิขิต ep. สุดท้ายยับเยินอย่างไรคงไม่ต้องบอก อ่านเอาจาก #พรหมลิขิตตอนจบ ได้ว่าคนดูรู้สึกอย่างไร ผมเองก็อยากจะพูดความในใจตัวเองที่ดูทนดูอึดจนมาถึงตอนสุดท้าย 

คนที่ดูบุพเพสันนิวาสจะรู้สึกไม่ต่างกันว่าพรหมลิขิตมาตรฐานตกไปเทียบไม่ได้กับตอนเก่า ทั้งที่นักแสดงบทนำทุกคนต่างก็แบกบทของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ทีมบ่าวทั้งทีมใหม่ทีมเก่าก็เล่นกันเกินร้อย ตัวหลักของเรื่องก็ช่วยละครใส่อินเนอร์กันสุด ๆ นักแสดงทุกคนแบกละครกันเต็มกำลัง แต่เส้นเรื่องตามบทมันทำให้ละครด้อยลงจากมาตรฐานเดิมที่เคยทำเอาไว้

ผมอยากจะบ่นเรื่องการสร้างละครที่ตัดต่อบทจากหนังสือได้ไม่ต่อเนื่อง การกำกับตามบทที่เอาไม่อยู่มือ และการยำบทเรื่องเพี้ยนจากหนังสือไปจนเส้นเรื่องไทม์ไลน์บวมบ้างเหี่ยวบ้างเพี้ยนไปหมด ถ้าเดินเส้นเรื่องตามหนังสือแล้วเพิ่มสิ่งที่อยากจะเพิ่มเพื่อสีสันของละครอีกสักเล็กน้อย น่าจะดีกว่าไปตัดเรื่องในหนังสือทิ้งและเพิ่มอะไรมาก็ไม่รู้ที่ทำให้ละครดูน่าเบื่อ

ยิ่งตอนสุดท้ายเหมือนยัดเยียดตบให้จบเหมือนดูสปอยหนังบนยูทูปมากกว่าดูละครที่เดินเรื่องมายี่สิบกว่าตอน คนดูส่วนมากจะถามว่ายี่สิบตอนที่ผ่านมายืดเรื่องจนน่าเบื่อ เดินล้ม เดินล้ม แล้วกอดกัน สลับกับทะเลาะกับหลานยายกุย แต่วันสุดท้ายวันเดียว ย่าตาย พี่ตาย คนในครอบครัวแต่งงานสามคน บรรดาเมีย ๆ ทั้งหลายก็ท้องแล้วท้องอีก หลานเต็มบ้าน และตัดสินใจอพยพครอบครัวหนีไปเพชรบุรี สามารถขยายเรื่องให้ดูดีได้อีกสามสี่ตอนได้แบบสบาย ๆ ทั้งคนสร้างและคนดู

เสน่ห์ของละครบุพเพสันนิวาสนั้นคือ เกร็ดของประวัติศาสตร์จริงที่สอดแทรกไปตลอดเวลา แต่สิ่งนี้ขาดไปและมีน้อยเกินไปในพรหมลิขิต ถ้าตัดเอาฉากขาอ่อนเดินล้มเดินล้มแล้วกอดกันออกไปบ้าง เอาฉากทะเลาะกับหลานยายกุยออกไปบ้าง จะมีเวลาที่สอดแทรกประวัติศาสตร์ลงไปให้เติมเต็มเหมือนในหนังสืออีกไม่น้อย

คนส่วนมากคิดว่าประวัติศาสตร์ช่วงแผ่นดินพระนารายณ์มีอะไรให้เล่นมากกว่าช่วง พระเพทราชา, พระเจ้าเสือ, พระเจ้าท้ายสระ จนถึงแผ่นดินพระบรมโกศ แต่ที่จริงแล้วประวัติศาสตร์ช่วงนี้เข้มข้นไม่น้อยกว่ากัน เป็นการปูทางให้เข้าใจถึงจุดเสื่อมของอยุธยาด้วยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ในหนังสือนั้นได้เขียนเรื่องนี้สอดแทรกนัยเอาไว้ไม่ขาดเกิน แต่พอกลายเป็นบทละครแล้วกลับกลายเป็นหายไปเกือบหมด 

ละคร ep. สุดท้ายยัดเรื่องเข้ามาเหมือนหนังเกรด 2 ทุนหมด ต้องปิดกล้องให้ได้ในห้านาทีสุดท้าย นักแสดงเลยต้องแบกหนังให้จบแบบสุดฝีมือ ฉากที่แม่อุ้มห่อกระดูกลูก บ่าวไพร่ร้องไห้กันทั้งเรือน ผมให้คะแนนเกินร้อย ฉากนี้แบกให้คุณค่าของตอนนี้ดีที่สุดฉากหนึ่ง แต่นอกจากนั้นรวบรัดเดินเรื่องกันอย่างน่าหงุดหงิด ย่าตายแบบให้เวลาน้อยมากทั้งที่เป็นตัวหลักมาตลอดสองภาค ลวกก๋วยเตี๋ยวเสร็จคนดูเดินเข้าห้องน้ำรีบออกมาดูต่อก็คลอดลูกกันแล้ว หรือฉากตายของพ่อเรืองก็นอนป่วยอยู่สองนาทีก็ตาย ฉากแต่งงานที่พิษณุโลก และที่อยุธยาอีกสองคนก็หายไปทั้งที่ควรจะมี ฉากคุณยายนวลที่เป็นต้นเรื่องให้ยกครัวหนีไปอยู่เพชรบุรีก็น่าจะทำได้ดีกว่านี้ และที่น่าเสียดายคือจุดจบของคนที่โกงกินอย่างพระยาคลังที่โดดข้ามไป ทั้งที่เรื่องนี้น่าจะต่อยอดได้เข้มข้นมากตามประวัติศาสตร์จริง และเป็นการเริ่มต้นของพระยาคลังหนุ่มอีกคนตามประวัติศาสตร์ อะไรทำนองนี้

หนึ่งปีแปดเดือนที่นักแสดงทุกคนต้องแบกรับ แสดงกันแบบเกินร้อย แต่มาตกม้าตายกับงานที่ตัดต่อออกมาเป็นบทละครและโพสโปรดักชั่น น่าผิดหวังเมื่อเทียบกับงานภาคแรก แต่ผมเองก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าภาคสองดีกว่าภาคหนึ่งคือสิ่งที่หายากในวงการหนังและละคร

ผมอยากจะเล่าเรื่องสักเรื่องที่มีการเปลี่ยนไปจากประวัติศาสตร์ อาจจะเป็นเพราะละครไม่อยากไปแตะต้องหรือต้องการเว้นว่างเอาไว้ เช่นบทของ ทองคำ ที่วางบทเอาไว้เพียงแค่มีตัวตนไปไหนไปกันกับกลุ่มบอยแบนด์ในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระ แต่ไม่ได้มีบทเด่นอะไรเหมือนโกษาปานผู้เป็นพ่อและปู่ เพราะ ทองคำ ทองดี ทองด้วง อีกสามรุ่นคนทั้งก่อนและหลังกรุงศรีอยุธยาแตกคือปฐมชนกและปฐมกษัตริย์ของราชวงค์จักรี เรื่องแบบนี้ละครทำได้ดีแล้วที่ทำบทแต่พองาม ไม่มากไปน้อยไป ไม่มีเรื่องรักใคร่เหมือนกับบอยแบนด์ตัวจี๊ดของอยุธยาเช่นคนอื่น ๆ 

และอีกเรื่องที่ละครสร้างเส้นไทม์ไลน์ให้ย้ายครัวไปอยู่เมืองเพชรบุรีเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามครั้งกรุงแตกนั้น เป็นการเลี่ยงที่จะพูดถึงสาเหตุจริงที่ต้องรีบย้ายครัว เพราะขุนหลวงท้ายสระครองราช 24 ปี เวลานั้นถ้าดูตามอายุลูก ๆ ของพุดตานเทียบกับไทม์ไลน์ของตัวละครแล้ว รัชสมัยของขุนหลวงท้ายสระน่าจะอยู่ไปอีกไม่ต่ำกว่าสิบปีหรือเวลาใกล้เคียง หลังจากนั้นก็เป็นรัชกาลของขุนหลวงบรมโกศอีก 26 ปี และรัชสมัยสุดท้าย ขุนหลวงเอกทัศอีก 9 ปี 

นั่นหมายความว่าการย้ายครัวไปอยู่เมืองเพชรบุรีนั้นไปกันก่อนกรุงแตกถึงกว่า 40 ปี สิ่งที่ละครเลี่ยงออกไปว่าเป็นการย้ายครัวหนีก่อนกรุงแตก แต่เหตุผลจริง ๆ นั้นคือการหนีสงครามกลางเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อของรัชสมัยขุนหลวงท้ายสระและขุนหลวงบรมโกศที่ข้าราชการฝ่ายวังหลวงโดนวังหน้ากวาดล้างตัดหัวเสียจนเกือบหมดสิ้น 

ซึ่งแน่นอนว่าครอบครัวของออกญาวิสูตรสาครและคุณหญิงการะเกด รวมถึงรุ่นลูกหมื่นมหาฤทธิ์ ที่เป็นคนใกล้ชิดของขุนหลวงท้ายสระ โดนวังหน้ากวาดล้างหมดแน่นอน เพราะเมื่อขุนหลวงบรมโกศขึ้นครองราชย์จากการปราบดาภิเษกนั้นก็ทำพิธีกันที่วังหน้าไม่สนใจวังหลวงที่กำลังรบกันอยู่ และหลังจากนั้นขุนนางในวังหลวงก็โดนกวาดล้างไปเสียจำนวนมาก เหลือแต่ตำแหน่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เท่านั้นที่ได้ไปต่อในแผ่นดินใหม่

นี่คือเหตุผลที่ละครยกเอาเรื่องเสียกรุงที่ไกลตัวไปอีกชั่วอายุคนบนเส้นไทม์ไลน์จริง แทนที่จะเป็นการบอกว่าหนีภัยการเมืองที่มีโอกาสโดนกุดหัวยกเรือนในสงครามซีวิลวอร์ช่วงเปลี่ยนรัชกาลในอีกสิบปีข้างหน้า เพราะมันดูเบากว่า อีกทั้งไม่ต้องไปแตะต้องอะไรมากนักกับกษัตริย์ทั้งสองพระองค์และการเปลี่ยนแผ่นดินแบบเลือดท่วมของกรุงศรีอยุธยา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top