Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

‘ศาลรธน.’ ไม่รับคำร้องสอบ ‘รองอ๋อง’ โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชี้!! ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิ-เสรีภาพให้เสียหาย

(20 ธ.ค.66) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่นายทรงชัย เนียมหอม ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ว่านายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงกระทำการอันเป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยใช้สิทธิพิเศษของตนเองเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 มาตรา 3 และมาตรา 32 ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 4 มาตรา 29 วรรคสามและวรรคสี่ มาตรา 27 และมาตรา 50(3) หรือไม่ โดยศาลฯ เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฏว่า นายทรงชัย ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพและได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรงจากการกระทำของนายปดิพัทธ์อย่างไร กรณีไม่เป็นไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้นนายทรงชัย จึงไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ได้

สตม. จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ทำความดีด้วยหัวใจ มอบอุปกรณ์กีฬาและเลี้ยงอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียน 

วันนี้ (20 ธ.ค.66) เวลา 10.00 น. สตม. โดย พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สอท.ปรก.รอง ผบช.สตม. ร่วมกับข้าราชการตำรวจจิตอาสาในสังกัด ภ.5, บก.ตชด.3, บก.ทล.2 และ บก.ทล. ร่วมกันดำเนินกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ทำดีด้วยหัวใจ โดยมอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียน และเลี้ยงอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียน ณ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 60 ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้มีอุปกรณ์กีฬาใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการออกกำลังกายและเล่นกีฬา เป็นการเปิดโอกาสและส่งเสริมให้เยาวชนในโรงเรียนที่ห่างไกลได้มีโอกาสเข้าถึงและใช้อุปกรณ์กีฬาในการประกอบกิจกรรมการออกกำลังกายอย่างทั่วถึง เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ต่อไป 

หนุ่มวิจารณ์!! อาคารลายผ้า ‘แคนแก่นคูณ’ ขอนแก่น “อุบาทว์” เจอทัวร์ลง!! “ดูถูกผลงานคนอื่น-ด้อยค่าความภาคภูมิใจคนในพื้นที่ ”

สิทธิในการแสดงความคิดเห็นเปิดกว้างอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะเหล่าคนในโซเชียลที่มักจะมีส่วนร่วมในการวิจารณ์สิ่งต่าง ๆ เสมอ แต่บางครั้งคำวิจารณ์ หรือ ความคิดเห็น ที่รุนแรง และตรงเกินไป ก็อาจนำมาซึ่งคนที่ไม่เห็นด้วย

เช่นเดียวกับผู้ใช้ X รายหนึ่ง ที่ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของอาคารใหม่ ในจังหวัดขอนแก่น ระบุว่า

“แบบอาคารใหม่เทศบาลนครขอนแก่น ดีไซน์หลงยุคมาก โอ้ย สส ในพื้นที่ช่วยไปคัดค้านที งบตั้ง 300 ล้าน แต่ดีไซน์อุบาทว์มาก ทำเลไข่แดงใจกลางเมือง ที่ดินแพงสุดในอีสาน ควรออกแบบได้ดีกว่านี้ เทสแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันนะ

แต่นี่ไม่ชอบ ไม่สวย และคิดว่างบ 300 ล้านมันทำได้ดีกว่านี่ ฟังชั่นกว่านี้ อาคารราชการสมัยนี้มีออกแบบสวยๆเยอะนะ แต่นี่ว่าไม่สวยไง ใครจะมองว่าสวยก็แล้วแต่เด้อ”

โพสต์นี้มีคนเห็นเกิน 5 ล้านครั้ง ทำให้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันมากมาย โดยส่วนใหญ่มองว่าความคิดเห็นนี้รุนแรงเกินไปกับการใช้คำว่า “อุบาทว์”

ทางด้านผู้ใช้ X ที่ผ่านมาเจอโพสต์นี้ ก็ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก บางส่วนเห็นด้วยกับต้นโพสต์ แต่บางส่วนก็เห็นต่าง เช่น

“ขอนแก่น ‘นครแห่งไหม’ กับอาคารลายผ้า ‘แคนแก่นคูณ’ มันก็เป็นสิ่งที่ควรตั้งอยู่ในขอนแก่นถูกแล้วไม่ใช่เหรอ? ความภาคภูมิใจของเขา สิ่งที่คนในพื้นที่นั้น ๆ ให้คุณค่า คุณไม่เห็นค่ามันก็เรื่องของคุณ”

“ดีกว่านี้ = ? อันนี้สวย ศิลปะมีหลายแบบ สถาปัตย์ก็เหมือนกัน ชอบโมเดิร์น ชอบมินิมอล ไม่ได้แปลว่าแบบพื้นเมือง แบบ traditional มัน ‘อุบาทว์’ ติดอย่างเดียวคือฟ้อนต์มันดูสิ้นคิดไปหน่อย แค่นั้น แต่จะบอกว่า exterior อุบาทว์มันก็เกินไป คนในเน็ตอยากพ่นอะไรก็พ่นจริงด้วย ฮาอะ 😖”

“ออกความเห็นก็ออกได้ แต่คำว่าดีไซน์อุบาทว์นี่เหมือนจะดูถูกคนดีไซน์ไปหน่อยมั้ย เพราะงี้ไง วลีที่ว่าไม่มีใครเก่งเท่าแม่มึงแล้วถึงมีอยู่”

“งานดีไซน์ไม่มีคำว่าสวยไม่สวยนะ ต้องถามเหตุผลก่อนว่า ทำคอนเซปต์นี้จะสื่อถึงอะไร facade มีที่มาที่ไปแบบไหน ถ้าเขาอธิบาย concept อาจจะเข้าใจมากขึ้นก็ได้อะ บางทีอาจจะทำให้เข้ากับบริบทพื้นที่หรือวัฒนธรรมก็ได้”

“ก็ represents ความเป็นขอนแก่นอะพี่ คู่สีน้ำตาลไม้-เหลืองนวล นี่แหละถูกแล้ว design ก็ใช่ สี่เหลี่ยมลายผ้าไหม รวม ๆ ก็ดูร่วมสมัยสะท้อนตัวตนของขอนแก่นสุด ๆ ละนะ มากกว่านี้คือต้องทำตึกรูปแครไปแข่งกะอิหอโหวดร้อยเอ็ดอะ เอาบ่?”

“เทสการมองงานศิลต่างกันจริง แต่คำว่าอุบาทว์มันก็แรงจริง ๆ ส่วนตัวคิดว่าลาย+รูปแบบก็มีความเป็นขอนแก่นดีนะ อย่างเซ็นก็เป็นรูปกระติบข้าวเหนียว ตึกเทศบาลจะแบบนี้ก็ได้แหละ”

“อาคารแห่งนี้เป็นการแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่น แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดขอนแก่น แถมยังวิจารณ์เจ้าของโพสต์ว่าการให้ สส. ไปคัดค้านแค่เพราะดีไซน์ไม่ถูกใจเป็นอะไรที่ไม่มีเหตุผลมาก”

“ดีไซน์ที่โดนบอกว่าแย่ เป็นลายผ้าไหมมัดหมี่ แคนแก่นคูณ สัญลักษณ์ประจำจังหวัดขอนแก่น เรื่องความสวยก็เป็นความชอบส่วนบุคคล แถมรูปที่นำมาโพสต์ก็เป็นเพียงแค่ด้านเดียว ไม่ใช่แปลนทั้งหมด ไม่สามารถตัดสินได้ว่าคุ้มค่างบประมาณหรือไม่”

อย่างไรก็ตาม เจ้าของโพสต์ก็ไม่ได้สนใจดรามารถทัวร์ที่มาลงแต่อย่างใด ตอบกลับแบบแซ่บ ๆ ไปหลายดอก แถมบอกว่าอีกว่า “ก็มองว่าไม่สวยไง งานออกแบบอาคารงบตั้ง 300 ล้าน ใครจะมองว่าสวยก็เรื่องของมึง จะมาสั่งสอนทำไม งง 555555” และ “รับไม่ได้กับการใช้คำว่าอุบาทว์อันนี้พอเข้าใจได้ โอเคขอโทษจ้า มันอาจจะแรงไป แต่ถามว่ามันสวยหรอ? การเอาลายมาแปะตึกมันสวยจริงใช่มั้ย?”

ทั้งนี้ ประเด็นการวิจารณ์แปลนอาคารเทศบาลนครขอนแก่นแห่งใหม่ ยังคงดำเนินต่อไปและอาจจะไม่จบลงได้ง่าย ๆ

‘มาเลเซีย’ ประกาศแบนเรือสินค้า ‘อิสราเอล’ ไม่ให้จอดเทียบท่า โต้ถล่มกาซา-ชาวปาเลสไตน์ มั่นใจการค้าของประเทศไม่กระทบ

(20 ธ.ค.66) ประเทศมาเลเซีย ได้ประกาศแบนไม่ให้เรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอิสราเอลจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของมาเลเซีย เพื่อเป็นการตอบโต้การที่อิสราเอลทำการโจมตีใส่ฉนวนกาซาและชาวปาเลสไตน์ ซึ่งมาเลเซียกล่าวว่าเป็นการเพิกเฉยต่อหลักมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ระบุในแถลงการณ์ว่า “รัฐบาลมาเลเซียได้ตัดสินใจที่จะขัดขวางและไม่อนุญาตให้ ZIM บริษัทขนส่งสินค้าที่มีฐานการดำเนินงานในประเทศอิสราเอล จอดเรือเทียบท่าที่ท่าเรือใดก็ตามของมาเลเซีย” รวมถึงไม่อนุญาตให้เรือลำใดก็ตามที่ติดธงอิสราเอลเข้ามาจอดเทียบท่าในประเทศเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้ว มาเลเซียยังได้แบนไม่ให้เรือลำใดก็ตามที่กำลังเดินทางไปยังอิสราเอล ทำการลงสินค้าที่ท่าเรือของมาเลเซียโดยมีผลในทันที ด้านนายกรัฐมนตรีอิบราฮิมของมาเลเซียมั่นใจว่าการค้าของประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจดังกล่าว โดยมาเลเซียไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล

ก่อนหน้านั้น รัฐบาลมาเลเซียได้อนุญาตให้บริษัท ZIM สามารถนำเรือมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของมาเลเซียได้ในปี 2002 แต่ใบอนุญาตดังกล่าวก็ได้ถูกเพิกถอนออกไปแล้วตามแถลงการณ์ล่าสุดของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

‘หญิงเกาหลีใต้’ วัย 44 รับเพื่อนสนิทเป็น ‘บุตรบุญธรรม’ เพื่อให้ได้สิทธิ์ตัดสินใจยามเจ็บป่วยฉุกเฉิน อย่างถูกต้องตามกม.

(20 ธ.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า หญิงชาวเกาหลีใต้รับเลี้ยงเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ใหญ่ของเธออย่างถูกกฎหมาย หลังจากเกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ ทำให้เธอตระหนักว่า พวกเขาต้องการความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นในการดูแลกันและกัน

อึน ซอรัน วัย 44 ปี เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีพ่อของเธอเป็นคนทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และแม่ของเธอถูกมอบหมายให้รับหน้าที่เป็นแม่บ้าน แถมแม่ยังต้องดูแลครอบครัวของพ่อ แต่ไม่เคยได้รับความดีความชอบหรือคำขอบคุณจากคู่สมรสของเธอแม้แต่น้อย

แต่แม่พยายามให้ซอรันได้เดินตามเส้นทางอื่นในชีวิต แม่ไม่เคยให้เธอเข้าครัวเลยตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และมักจะบอกเธอเสมอว่าให้รักษาอิสรภาพไว้ แม่มักพูดว่า “อย่าใช้ชีวิตเหมือนแม่” อึนซอรันสาบานว่าจะไม่เหมือนแม่และตัดสินใจที่จะไม่แต่งงานหรือมีลูก จนถึงทุกวันนี้

ด้วยความเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้าในปี 2016 เธอย้ายไปอยู่ชนบทจอลลาเพื่อหลีกหนีจากความเครียดของชีวิตในเมืองและใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น อึนซอรันได้พบกับอีออรี หญิงสาวที่มีความคิดเหมือนกัน ซึ่งย้ายมาอยู่ที่นั่นด้วยเหตุผลที่คล้ายกันมาก

ทั้งคู่จึงกลายเป็นเพื่อนที่ดีและภายในหนึ่งปีพวกเขาก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่มีความรักในพืชพรรณ การทำอาหารมังสวิรัติ และโปรเจกต์ DIY รวมถึงทั้งคู่ต่างก็เป็นโสดอย่างมีความสุข ไม่กี่ปีต่อมา เมื่อข้อตกลงดำเนินไปได้ด้วยดี พวกเขาจึงตัดสินใจซื้ออพาร์ตเมนต์ด้วยกันเพื่อลดความไม่มั่นคงในการใช้ชีวิตตามลำพัง

ซึ่งการย้ายมาอยู่ด้วยกันทำให้ทั้งคู่มีคนคอยดูแลในวัยชราหรือในกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์ แต่ทั้งคู่เผยว่า พวกเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่เหมือนครอบครัวมากกว่า

ทั้งคู่เริ่มแบ่งปันค่าใช้จ่าย ทำงานบ้าน และแม้กระทั่งเป็นเจ้าของบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้เรียนรู้ว่าในบางสถานการณ์ พวกเขายังคงเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน โดยก่อนหน้าเมื่ออึนซอรันต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากอาการปวดหัวเรื้อรัง

เธอตระหนักว่ากฎหมายของเกาหลีใต้อนุญาตให้เฉพาะสมาชิกในครอบครัวทำการตัดสินใจที่สำคัญเพื่อผู้ป่วย หรือแม้แต่ไปเยี่ยมพวกเขาในโรงพยาบาลเท่านั้นจึงทำให้พวกเธอสงสัยว่า แผนการดูแลกันและกันจะเป็นอย่างไร

ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันภายใต้กฎหมายครอบครัวที่เข้มงวดของเกาหลีใต้ ในตอนแรก ทั้งสองใคร่ครวญถึงความคิดที่จะแกล้งทำเป็นความสัมพันธ์โรแมนติกเพื่อที่พวกเขาจะได้แต่งงานกัน แต่เกาหลีใต้ไม่ยอมรับการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นจนเกิดไอเดียรับบุตรบุญธรรมแทน

อึนซอรันทำการพิสูจน์ว่า เธอมีอายุมากกว่าอีออรีที่อายุ 38 ปี โดยได้รับการอนุมัติจากแม่ของออรี เมื่อส่งเอกสารแล้ว กระบวนการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น

“สิ่งที่เราต้องการคือ สิ่งง่าย ๆ เช่น การดูแลซึ่งกันและกัน การลางานเพื่อดูแลคนใดคนหนึ่งเมื่ออีกคนป่วย หรือจัดงานศพเมื่อเราคนหนึ่งจากไป แต่นั่นไม่สามารถทำได้ในเกาหลี เว้นแต่เราจะเป็นครอบครัวที่ถูกกฎหมาย” อึนซอรัน กล่าว

เรื่องราวของหญิงสาวชาวเกาหลีใต้ที่กลายมาเป็นแม่ของเพื่อนสนิทของเธอแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและเป็นแรงบันดาลใจให้อึนซอรันเขียนบันทึกความทรงจำชื่อ ‘I Adopted a Friend’

‘ไอซ์ รักชนก’ แจงปมแม่บ้านสภาฯ แอบถ่ายภาพห้องทำงาน ชี้!! ที่แม่บ้านต้องผิดกฎฯ เพราะมีคน ‘หลอกใช้’ เป็นเครื่องมือ

(20 ธ.ค. 66) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork’ ระบุว่า…

สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่มีบุคคลภายนอกเข้ามาถ่ายรูปห้องทำงานที่สภาของไอซ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมโดยไม่ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่สภา ตามมาด้วยความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นจากเรื่องการรักษาความปลอดภัยของสภาไปยังเรื่องอื่น ๆ ไอซ์จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ 

1) ในสัปดาห์ที่แล้ว มีการนำภาพห้องทำงานของไอซ์ ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่ชั้นในของรัฐสภา เผยแพร่บนเพจ Facebook เพจหนึ่งที่จัดตั้งไว้เพื่อกล่าวหาพรรคก้าวไกล และต่อมามีการบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าการเผยแพร่ดังกล่าวนำไปสู่การไล่แม่บ้านสภาออกจากงาน

2) พื้นที่บริเวณห้องทำงานของ สส.ทุกคน เป็นพื้นที่ชั้นในของรัฐสภา ระบบรักษาความปลอดภัยวางกฎไว้ว่าต้องมีการสแกนบัตรเพื่อเข้าถึง เมื่อเกิดเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงทำการสืบสวนว่ามีบุคคลภายนอกเข้ามาแอบถ่ายรูปหรือไม่ ผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นแม่บ้านที่ไม่มีส่วนรับผิดชอบทำงานในบริเวณดังกล่าวเข้ามาถ่าย เนื่องจากมีผู้ช่วย สส. พรรครัฐบาลบอกให้แม่บ้านสภาไปถ่ายรูปห้องดังกล่าว โดยอ้างว่าต้องการจะติดฟิล์มบนกระจกแบบห้องนั้น แม่บ้านจึงไปถ่ายรูปส่งให้

3) เนื่องจากในอดีตเคยเกิดเหตุการณ์ที่มีบุคคลภายนอกแอบเข้ามาถ่ายรูปหรือขโมยเอกสารสำคัญ (ลองนึกถึงช่วงเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือข้อมูลทุจริตคอร์รัปชัน) ฝ่ายรักษาความปลอดภัยสภาจึงมีข้อตกลงกับฝ่ายรักษาความสะอาด ว่าจะมีการแบ่งแม่บ้านแต่ละคนให้ทำงานอยู่ประจำแต่ละโซน ไม่สามารถข้ามไปทำกิจกรรมนอกพื้นที่รับผิดชอบ เป็นกฎที่แม่บ้านทุกคนได้รับทราบก่อนเข้าทำงานที่รัฐสภา

4) เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพบว่าแม่บ้านคนดังกล่าวทำผิดกฎ จึงมีคำสั่งให้ย้ายไปทำงานแม่บ้านที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า แต่แม่บ้านทำหนังสือลาออกกลับมา 

5) หลังจากไอซ์รับทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงได้พูดคุยกับฝ่ายรักษาความปลอดภัย ขอให้ทบทวนคำสั่งย้าย ไม่ควรลงโทษแม่บ้านคนดังกล่าวที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นความผิดของผู้จ้างวานซึ่งรู้กฎของรัฐสภาอยู่แล้ว ไม่ใช่เจตนาโดยตรงของแม่บ้านที่จะละเมิดกฎความปลอดภัยของสภา  

ทั้งนี้ ไอซ์ได้ทำหนังสือถึงฝ่ายรักษาความปลอดภัยและสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรชี้แจงเรื่องทั้งหมดแล้ว

ครั้งแรกกับ แฟชั่นโชว์เสื้อผ้า Low Carbon ประธานผู้บริหาร นิคมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ร่วมแถลงข่าว นำชีวิตสู่สังคมไร้มลพิษ

วานนี้  20 ธันวาคม 2566  ที่โรงแรมเซ็นทาราซันไรซ่า อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นางสาวฐิติลักษณ์ คำพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิราพร ระโหฐาน ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีปทุม  วิทยาเขตชลบุรี และ นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา  ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทคชิตี้  ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน  Dark Sky Fashion Show Low Carbon 2024 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ Sky running track เซ็นทรัล ศรีราชา โดยมีการแสดงแฟชั่นโชว์ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เสื้อผ้าที่ทำจากธรรมชาติ วัสดุ Low Carbon

มหาวิทยาลัย ศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี ร่วมกับ นิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทคชิตี้ ร่วมกับภาคีเครือข่าย 25 องค์กร ร่วมจัดงาน Dark Sky Fashion Show Low Carbon 2024 จากโลกร้อน-สู่โลกเดือด หยุดยั้งได้ด้วยสองมือคุณด้วยการ เลือกสวมใส่เสื้อผ้า ที่มาจากเส้นใยธรรมชาติ ย้อมสีธรรมชาติลดน้ำสารเคมี ลดคาร์บอน ลดโลกร้อน ด้วยร่วมกันปลูกต้นไม้ให้กับโลกทุกวันในการใช้สินค้าในชีวิตประจำวันด้วย Low Carbon เพื่อเป็นมหาวิทยาลัยผู้นำสังคม Low Carbon โดยมีความรับผิดชอบต่อสังคมที่ส่งผลต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในด้าน เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมหาวิทยาลัยได้ดำเนินกิจกรรมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง และได้รวมพลังกันรณรงค์และใช้เสื้อผ้า ลดคาร์บอน ลดกิจกรรมปลดปล่อยคาร์บอนและ เเละเป็นการประชาสัมพันธ์ผ้าไทยสู่ระดับนานาชาติ ในการกระตุ้น เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม BCG และสนับสนุนใช้ผ้าใยธรรมชาติ ผ้าย้อมสีธรรมชาติ  โดยนำผ้า Low Carbon มาเชื่อมกับศิลปะวัฒนธรรมภูมิปัญญานวัตกรรมเทคโนโลยีให้เกิดความสวยงาม ความเป็นเอกลักษณ์ในตัวผลิตภัณฑ์ 

โดยมุ่งเน้นสร้าง 5 เป้าหมายหลักได้แก่ สร้างคน, สร้างความรู้, สร้าง อาชีพ, สร้างรายได้ และสร้างสังคม Low Carbon  คือ 1. การสร้างคน โดยการเพิ่มทักษะ ให้กลุ่มชุมชน เด็กนักเรียนขาดโอกาส และนักศึกษาที่มีความสนใจด้านแฟชั่น  2.การสร้างความรู้ โดย มหาวิทยาลัยศรีปทุมเปิดหลักสูตร นักออกแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมสมัย โดยนักศึกษาลงพื้นที่เรียนรู้ร่วมกับชุมชน ในส่วนของภาคทฤษฎีการออกแบบ ภาคปฏิบัติ ภาคประเมินผลการตลาด  3. การสร้างอาชีพ คือ จากต้นน้ำอาชีพเกษตรกรปลูกวัตถุดิบ มาสู่กระบวนการผลิต ออกแบบตัดเย็บ จนกระทั่งถึงปลายน้ำที่มีตั้งแต่คอสตูม เมกเกอร์ บิวตี้ บล็อคเกอร์ สินค้าแฟชั่นจากภูมิ ปัญญาท้องถิ่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงร้านค้า โรงแรม ภาคบริการ การท่องเที่ยว โรงงาน อุตสาหกรรมล้วนเป็นการต่อยอดตลอดห่วงโซ่อุปทานทั้งสิ้น 4. การสร้างรายได้ จากสินค้าแฟชั่นท้องถิ่น ร่วมสมัยและการติดอาวุธทางปัญญาเพิ่มเติมด้านการตลาดและการวางแผนธุรกิจให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ 5. การสร้างสังคม Low carbon คือ การขับเคลื่อนให้เกิด Application ขึ้นมาเพื่อให้ได้ดาวน์โหลดไว้ใช้ ตรวจสอบการลดคาร์บอนในชีวิตประจำวันภายใต้แนวคิด Low Carbon Lifestyle

‘ท่านอ้น’ โพสต์ภาพกิจกรรมที่ได้ทำในไทย พร้อมเผยความในใจ ‘Thailand I Miss You’

(21 ธ.ค.66) ภายหลังจากที่ ‘ท่านอ้น วัชเรศร วิวัขรวงศ์’ ได้เดินทางกลับสหรัฐอเมริกา ไปเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ผ่านมาได้ 3 วัน ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นภาพกิจกรรมในประเทศไทย ตลอดจนบรรยากาศที่ท่านอ้นได้ไปเยี่ยมเยียน เช่น ขณะที่กำลังรับประทานก๋วยเตี๋ยวเรือ มีศาลพระภูมิ ผัดไทย บิงซูร้านดัง และพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน พร้อมระบุว่า “Thailand I miss you”

โดยได้มีประชาชนคนไทยเข้าไปคอมเมนต์ส่งความคิดถึงเช่นเดียวกัน

สวธ. ร่วมกับ สถาบันไทยคดีศึกษา จัดเสวนาพร้อมรับฟังความคิดเห็น การจัดทำข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม “ชุดไทย” เพื่อเตรียมเสนอยูเนสโก เสริมสร้างให้เกิดพลวัตและคุณค่าต่อสังคมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

วันพุธ ที่ 20 ธันวาคม 2566 เวลา 13.30 น. กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัดงานการประชุมรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้องในโครงการจัดทำข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม "ชุดไทย" เพื่อเสนอขึ้นทะเบียนต่อองค์การยูเนสโก โดยมี นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธาน ผศ.ดร.เสาวธาร โพธิ์กลัด ผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ หัวหน้าคณะทำงาน อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ที่ปรึกษาคณะทำงาน และ อาจารย์ วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ที่ปรึกษาคณะทำงาน ร่วมด้วย สินจัย เปล่งพานิช เข้าร่วมการประชุมเสวนา พร้อมการรับฟังความคิดเห็นในการเตรียมความพร้อมจัดทำข้อมูล ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ชุดไทยเป็นชุดประจำชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนกับชาติอื่น ๆ ด้วยการออกแบบและการตัดเย็บที่ประณีตอันเป็นพัฒนามาจากการนุ่งห่มแบบไทย สร้างสรรค์ขึ้นโดยใช้ผ้าทอที่เป็นงานฝีมือของช่างไทยในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว สำหรับสุภาพสตรีมีแบบหลัก ๆ จำนวน ๘ แบบ หรือเป็นที่รู้จักในนามว่า “ชุดไทยพระราชนิยม” โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงริเริ่มให้มีการศึกษาค้นคว้าเครื่องแต่งกายสตรีไทยสมัยต่าง ๆ และออกแบบเพื่อทรงใช้เป็นฉลองพระองค์ในโอกาสที่โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรปอย่างเป็นทางการ เมื่อ ๖๐ กว่าปีที่ผ่านมา จึงนับว่าเป็นที่มาของการเกิดขึ้นของ “ชุดไทยพระราชนิยม” ที่มีแพทเทิร์นในการตัดเย็บแบบร่วมสมัย ส่วนของสุภาพบุรุษ มี ๓ รูปแบบ ซึ่งคนไทยทุกภูมิภาคมักสวมใส่ชุดไทยในวาระโอกาสต่าง ๆ และเมื่อมีโอกาสสำคัญในชีวิต 

อธิบดีสวธ. กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันการสวมใส่ชุดไทยถือเป็นแนวปฏิบัติทางสังคมที่แสดงออกทางวัฒนธรรมร่วมของชาวไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชนชาวไทย การเลือกใช้ชุดไทยแบบต่างๆ ให้เหมาะสมแก่โอกาส ถือเป็นความเคารพต่อแนวปฏิบัติทางสังคม และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ส่วนการเลือกใช้ผ้า และการตัดเย็บ ถือเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ช่าง และช่วยธำรงไว้ซึ่งงานช่างฝีมือดั้งเดิมด้านการทอผ้าพื้นบ้านของภูมิภาคต่าง ๆ ในประเทศ เสริมสร้างให้เกิดพลวัตในการสร้างสรรค์สิ่งทอพื้นบ้านอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ชุดไทย จึงมีคุณค่าต่อสังคมในมิติบทบาททางวัฒนธรรม และมิติการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ต่อไป

ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสาวธาร โพธิ์กลัด  ผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา กล่าวว่า สถาบันไทยคดีศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จัดทำข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม "ชุดไทย"  เพื่อเสนอขอขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก ในรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ดังนั้น คณะทำงานจึงดำเนินการศึกษา รวบรวมข้อมูลจากเอกสารชั้นต้น ข้อมูลการสวมใส่ชุดไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน การสัมภาษณ์ผู้สืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมแต่ละแขนงที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้ประกอบการชุดไทย โดยมุ่งหวังที่จะนำเสนอให้เห็นถึงคุณค่า “ชุดไทย” ทั้งมิติบทบาททางวัฒนธรรม การพัฒนาคุณภาพชีวิต การส่งเสริมให้เกิดกลุ่มอาชีพและรายได้ การลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 

ดร.เสาวธาร กล่าวต่อว่า การจัดประชุมในวันนี้ จะเป็นการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์และรูปแบบการเสนอขึ้นทะเบียน ในรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ต่อองค์การยูเนสโก โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยจะขอรับฟังข้อเสนอแนะอย่างรอบด้านต่อปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการสงวนรักษา และปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของ “ชุดไทย” ทั้งมิติบทบาททางวัฒนธรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ต่อจากนี้ คณะทำงานจะได้รายงานข้อมูลต่อกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พิจารณาอนุมัติข้อมูล แล้วจึงเสนอขอมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วย การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ต่อไป

ภายในงานดังกล่าว มีการเสวนาเรื่อง “วิวัฒนาการเครื่องแต่งกายไทยถึงชุดไทยพระราชนิยม” โดยมีอาจารย์ เผ่าทอง ทองเจือ ที่ปรึกษาคณะทำงาน, อาจารย์ วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ที่ปรึกษาคณะทำงาน, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ หัวหน้าคณะทำงาน ได้ให้ความรู้ถึงประวัติศาสตร์ หลักฐานการใช้ชุดไทยเริ่มตั้งแต่สมัยทวารวดี กรุงศรีอยุธยา วิวัฒนาการต่อมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ และเข้าสู่ยุครุ่งเรือง ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพัฒนาและสร้างมาตรฐานให้ชุดไทยได้รับความนิยม และมีการจำแนกการใช้งานตามวาระ โอกาสต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบแบบแผน และหลังจากจบการเสวนา มีการประชุมรับฟังความคิดเห็น เตรียมความพร้อมจัดทำข้อมูล “ชุดไทย” เพื่อเตรียมเสนอยูเนสโก โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ หัวหน้าคณะทำงาน ในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ดังนี้ ประกอบด้วย ผู้ถือครองหลักคือคนไทยในทุกภูมิภาคของประเทศและในต่างประเทศ, กลุ่มช่างตัดเย็บชุดไทย, กลุ่มช่างทอผ้าพื้นบ้าน, การสืบทอดความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องด้านการผลิตวัตถุดิบผ้าทอพื้นบ้าน, หน้าที่ทางสังคม และความหมายทางวัฒนธรรมต่อชุมชน และเป็นมรดกภูมิปัญญาฯ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของยูเนสโก ในการรวบรวมข้อมูลของมรดกภูมิปัญญาฯ ที่เน้นกระบวนการมีส่วนร่วม จากชุมชนผู้ถือครองอย่างกว้างขวาง อีกด้วย 

'รมว.ปุ้ย' กำชับทุกนิคมฯ 'ควบคุม-ติดตาม' ฝุ่น PM 2.5 วอน!! ต้อง 'จริงจัง-ต่อเนื่อง' เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ขานรับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กำชับควบคุม/ติดตามตรวจสอบฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง-จริงจัง เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อยู่เคียงคู่สิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

(21 ธ.ค.66) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งหามาตรการเพิ่มสำหรับ การลดฝุ่น PM 2.5 ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืนนั้น ที่ผ่านมา กนอ. มีการดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อควบคุมติดตามตรวจสอบ ในการลด PM 2.5 ตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง คือ...

1.กำหนดค่ามาตรฐานของการระบายมลพิษทางอากาศในรูปแบบ Loading โดยคำนึงถึงความสามารถหรือรูปแบบในการรองรับมลพิษทางอากาศ ตามประกาศ กนอ. ที่ 79/2549 เรื่อง กำหนดอัตราการปล่อยมลสารทางอากาศจากปล่องของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม และนำค่า Emission Loading ที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของนิคมอุตสาหกรรมใช้ในการอนุมัติจัดตั้งโรงงานในอนาคต ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมายังคงเป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนด 

2.ขอความร่วมมือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม จัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อการป้องกัน แก้ไข และลดปัญหาฝุ่นละอองรวม และฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) และ 3.กำหนดให้มีการตรวจวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ตามวิธีการตรวจวัดที่เป็นไปตามหลักวิชาการในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. กำกับดูแล จำนวน 14 แห่ง และ 1 ท่าเรืออุตสาหกรรม ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม โดยผลการตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ตั้งแต่ปี 2563-2565 นั้น มีค่าไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน

"กนอ. ยังคงมุ่งมั่นในการควบคุม ดูแล และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยกำหนดมาตรการต่างๆ ไว้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมทุกด้าน มั่นใจว่าสามารถช่วยให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และสามารถประกอบกิจการควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืน" นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 (19 ธ.ค.66) พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบว่า ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในภาพรวมนั้นปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยพบพื้นที่เกินค่ามาตรฐานหลายแห่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน จึงควรหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 สูง และควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ภาคอื่นๆ พบว่า ภาคเหนือ ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ภาคกลางและตะวันตก อยู่ในเกณฑ์ดี และ ภาคตะวันออก อยู่ในเกณฑ์ดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top