Monday, 30 June 2025
NewsFeed

‘คิม จองอึน’ กร้าว!! หากศัตรูยั่วยุ “พร้อมเปิดศึกบุกอย่างไม่ลังเล” ขู่!! กองทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ ระวังจะเป็น ‘เป้าหมายแรก’

(21 ธ.ค. 66) เอเอฟพี รายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ เตือนว่า เกาหลีเหนือไม่ลังเลที่จะเปิดฉากการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ หากถูกยั่วยุด้วยนิวเคลียร์

ความคิดเห็นของนายคิมเกิดขึ้นหลังจากเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาหารือเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์ในกรณีที่เกิดข้อขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ

พร้อมย้ำว่า การโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ใดๆ ก็ตามต่อสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ จะส่งผลให้ระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือสิ้นสุดลง แต่นายคิมสั่งการกับหน่วยงานด้านขีปนาวุธของกองทัพเกาหลีเหนือว่า “อย่าลังเลเลยที่จะ (ยิง) นิวเคลียร์เมื่อศัตรูยั่วยุด้วยนิวเคลียร์”

ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาโดยเรียกร้องให้เกาหลีเหนือ “หยุดดำเนินการยั่วยุเพิ่มเติม และยอมรับข้อเรียกร้องของเราให้มีส่วนร่วมในการเจรจาที่สำคัญโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ”

ก่อนหน้านี้ ทั้ง 3 ประเทศได้เพิ่มความร่วมมือด้านกลาโหม หลังจากเกาหลีเหนือเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธต่อเนื่อง และเมื่อวันอังคารที่ 19 ธ.ค.ผ่านมา ได้เปิดใช้งานระบบแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ซึ่งทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ฮวาซอง-18 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของกองทัพสหรัฐฯ จอดเทียบท่าเรือในเมืองปูซานของเกาหลีใต้ ภายหลังสหรัฐฯ เพิ่งส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปร่วมฝึกซ้อมกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น

ส่งผลให้เกาหลีเหนือไม่พอใจและย้ำว่า คาบสมุทรเกาหลีอยู่ในภาวะสงครามตามกฎหมาย และกล่าวว่า กองกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้จะเป็นเป้าหมายแรกของการทำลายล้าง

บทสรุป 'วัคซีนการเมือง' ด้อยค่า!! เพียงหวังทำลายคู่แข่งทางการเมือง ปลูกฝังความเกลียดชังให้คนไทย จนโกยฐานเสียงเข้าฝั่งตนได้สำเร็จ

(21 ธ.ค. 66) จากผู้ใช้บัญชีติ๊กต๊อก 'พราหมณ์_อิศรา_อินทร์ยา' ได้ขมวดปมผลลัพธ์ทางการเมืองจากกลุ่มคนและบางพรรคการเมืองที่สร้างความบิดเบือนในประเด็นวัคซีนโควิด-19 และ เรื่องสิทธิประกันสังคม ให้คนไทยบางกลุ่มหลงเข้าใจในสิ่งผิดๆ ... ต่อว่ารัฐบาล ด้อยค่าวัคซีน และบั่นทอนกำลังใจคนทำงาน ซึ่งวันนี้ความจริงได้ปรากฏแล้วว่าไม่เป็นความจริง ดังนี้...

“เพื่อบรรลุเป้าหมายก้าวไกลทําได้ทุกอย่าง โดยไม่แคร์วิธีการ…

เทคนิคสําคัญที่พวกเขาใช้ในการทําลายคู่แข่งทางการเมืองและสร้างความนิยมให้กับตัวเองคือการปลุกความหวาดกลัวและสร้างความเกลียดชัง พี่น้องคงจําได้จากเหตุการณ์โควิด-19 ใครที่ออกมาจุดกระแสต่อต้านวัคซีนที่ผลิตในประเทศ หรือวัคซีนที่รัฐบาลจัดหา ยกย่องเชิดชูวัคซีนไฟเซอร์ โจมตีดิสเครดิต แกนนําออกมาพูด และตามด้วยด้อมส้ม ตามด้วย IO 20-30 ล้านบัญชี ออกมาปั่นกระแสล้างสมองทั้งประเทศ สุดท้าย…ดารานักร้องหรืออินฟลูเอนเซอร์เห็นดีเห็นงามพากันออกมาคอลเอาท์ โจมตีด่าทอสร้างความเกลียดชังรัฐบาล จนสําลักความเกลียดไปทั่วประเทศ…

สุดท้ายเป็นไงล่ะ…สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ตอนนี้ผลปรากฏแล้วที่สหรัฐฯ เองได้มีการฟ้องร้องบริษัทไฟเซอร์ไปแล้ว และถ้ามันเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่าง ๆ ขึ้นมา ถามว่าพรรคก้าวไกลจะรับผิดชอบยังไง? คุณปั่นหัวคนไปฉีดไฟเซอร์เป็นล้าน ๆ คนแล้ว และถ้าเกิดมีใครตายคุณจะรับผิดชอบยังไงไหว 

กรณีของ ‘คุณช่อ พรรณิการ์’ ก็เหมือนกัน เพื่อให้ตัวเองชนะการเลือกตั้งได้เป็นบอร์ดบริหารของประกันสังคม เธอถึงขั้นมาโจมตีประกันสังคม และบอกว่าประกันสังคมถ้าเกิดเป็นมะเร็งเขาจะให้เงิน 50,000 บาท แต่เดชะบุญผู้รู้คนที่เขาถือประกันตน ได้ออกมาพูดเลยว่าไม่จริง…เขารักษาให้จนหาย จ่ายเท่าไหร่เขาก็รับผิดชอบจนหาย จึงเห็นได้ชัดเลยว่า ‘คุณช่อ พรรณิการ์’ พยายามจะสร้างความหวาดกลัวและสร้างความเกลียดชังต่อประกันสังคม โดยเป้าหมายก็คือเพื่อให้ตัวเองชนะการเลือกตั้ง และนี่คือสิ่งที่พวกเขาทํามาตลอด โดยไม่แคร์วิธีการขอให้ชนะ จะใส่ร้ายป้ายสี โจมตี ประณามด่าทอ หรือปั่นกระแสล้างสมองคนไทยเท่าไหร่เขาก็ทํา…

ถึงคราวพี่น้องประชาชนต้องคิดแล้วล่ะ…ทุกสิ่งที่เขาพูดมาทําได้จริงไหม เป้าหมายของพวกเขาคืออะไรกันแน่? นโยบาย 2-300 ข้อ เกี่ยวกับปากท้องความกินดีอยู่ดี เขาไม่สนใจ เขาไม่ทํา เอาแต่มุ่งมั่นไปที่ทําลายสถาบัน / 112 / มุ่งไปที่การแบ่งแยกประเทศไทย มุ่งไปที่สร้างความแตกแยกให้สังคม ตั้งแต่ระดับโรงเรียนไปจนถึงระดับครอบครัว อะไรที่ดี ๆ กับบ้านเราขัดขวางจนหมด…

ดังนั้น ไม่สามารถทราบได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขานั้นคืออะไร แต่เชื่อว่า ‘ความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน’ นี่ไม่น่าจะใช่เป้าหมายของพวกเขาแน่นอน…

(สุรินทร์) กอ.รมน.สุรินทร์ ประชุมอำนวยการ ติดตามประเมินผล ภายใต้งานบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ระดับจังหวัด ประจำปี 2567

วันที่ 21 ธันวาคม 2566 เวลา 10:00 น. ณ ห้องประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ (ชั้น 4) ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ ศูนย์ราชการจังหวัดสุรินทร์ ตำบลนอกเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ นายพิจิตร  บุญทัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธานในการประชุมอำนวยการ ติดตามประเมินผล ภายใต้งานบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ระดับจังหวัด ประจำปี 2567 โดยมี พันเอก จิตรกร จันทร์สว่าง รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ พันเอกหญิงโชติมา มุลาลินน์ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าว พันเอก สุดใจ แพงพรมมา หัวหน้าฝ่ายนโยบายแผนฯ พันตำรวจเอก วรายุส์ จันทร์เยี่ยม รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ตามคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นความมั่นคงและนโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ กำหนดให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน แผนปฏิบัติการด้าน ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 3 ที่รองรับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นความมั่นคง ในแผนแม่บทย่อย ด้านการรักษาความมั่นคงภายในประเทศและแผนแม่บทย่อย ด้านการป้องกัน และแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง 

ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ได้จัดทำแนวทางการบูรณาการกลไกการบริหารจัดการความมั่นคงได้แก่ พันธกิจการขับเคลื่อน 4 ประการ ซึ่งประกอบไปด้วย การแจ้งเตือนและประเมินแนวโน้มภัยคุกคามด้านความมั่นคง การวางแผนและการอำนวยการ การสร้างความตระหนักรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การติดตามและประเมินผล การประชุมวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.กำกับดูแลและติดตามรวมทั้งให้คำแนะนำการสร้างระบบการแจ้งเตือนและประเมินแนวโน้มสถานการณ์ภัยคุกคามด้านความมั่นคง 2.เพื่อแนะนำในการบูรณาการจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนงานโครงการด้านความมั่นคงของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 3.เพื่อให้คำแนะนำในการซักซ้อมแผนและการดำเนินการตามแผนของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัด ทั้งในระดับจังหวัดอำเภอและตำบล 4.เพื่อรับทราบปัญหาข้อขัดข้องข้อเสนอแนะและให้คำแนะนำการดำเนินการตามแผนโครงการด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัด 5.เพื่อเสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและเสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศและการป้องกันแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ได้ทำพันธกิจและภารกิจดังกล่าว บูรณาการ การทำงานร่วมกันกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยการ ติดตามประเมินผล ภายใต้งานบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ระดับจังหวัด ประจำปี 2567 และหารือพิจารณากำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อน แผนงานโครงการ ในแต่ละประเด็นเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

‘ไรเดอร์’ น้ำใจงาม!! รีบวางออเดอร์ ปรี่เข้าช่วยคุณลุงล้มหัวฟาด ทำแผลให้อย่างคล่อง แม้ต้องรีบไปส่งอาหาร แต่ขอช่วยเหลือคนก่อน

จากกรณีผู้ใช้ติ๊กต็อก ‘nampheungg’ แชร์เรื่องราวของไรเดอร์ที่กำลังช่วยคุณลุงทำแผลทั้งที่ต้องรีบไปส่งอาหาร โดยระบุว่า “ขออนุญาตพี่ไรเดอร์และคุณลุงนะคะ คือ ถ้าพี่ไรเดอร์ไปส่งอาหารช้า อย่าว่าเค้านะคะ เค้าช่วยทำแผลคุณลุงอยู่ ลุงขาอ่อนแรงล้มหัวฟาดต่อหน้าต่อตาพี่ไรเดอร์เลย ขอบคุณพี่ พนง.ขาย และทีมพยาบาลของเดอะมอลล์ที่ช่วยกันค่ะ”

(21 ธ.ค. 66) คุณวสิตา พุทธิเจริญ หรือ ‘น้ำผึ้ง’ เจ้าของคลิป เปิดใจกับสึกนักข่าวสดออนไลน์ ว่า วันนั้นตนทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางแค ขณะกำลังยืนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนก็ได้ยินเสียงโครมดังมาก ก่อนจะหันไปเห็นคนช่วยกันประคองลุงคนนึงอยู่ จึงได้เดินไปดู

เมื่อเดินไปถึงก็เห็นว่ามีพนักงานขายและพี่ไรเดอร์คนนึง กำลังประคองคุณลุงอยู่ ตนคิดว่าคุณลุงน่าจะล้มต่อหน้าพี่ไรเดอร์พอดี และในขณะนั้นเขาได้หยิบวิทยุสื่อสารส่วนตัวออกมา แล้วเเจ้งเหตุ ตนก็ตกใจที่ไรเดอร์มีวิทยุสื่อสาร หรือเขาอาจจะเป็นอาสาด้วยหรือเปล่า

ก่อนที่ รปภ. ของห้างจะเรียกฝ่ายปฐมพยาบาลนำอุปกรณ์ทำแผลมา พอมาถึงพี่ไรเดอร์ก็คล่องมาก ลำดับขั้นตอนการทำแผล ไล่เรียงทำตามขั้นตอนพร้อมกับถามอาการคุณลุงเป็นระยะ ถามถึงโรคส่วนตัว ต่างๆ นานา เหมือนมืออาชีพมาก ทั้งที่ไรเดอร์ก็มีของที่จะส่งให้ลูกค้าอยู่ด้วย แต่ก็เอาวางไว้ก่อน แล้วช่วยเหลือคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 15 นาที

โดยในช่วงแรกคุณลุงไม่ยอมบอกว่าจะให้พาไปส่งที่ไหน หรือมากับใคร พี่ไรเดอร์จึงพยายามสอบถามเพื่อที่จะหาทางช่วยเหลือ หรือให้ญาติมาช่วยดูแลต่อ เพราะคุณลุงกลัวคนที่บ้านเป็นห่วงจึงไม่อยากบอก จนสุดท้ายคุณลุงก็ยอมบอกและให้เบอร์ญาติกับพนักงานขายให้ช่วยโทรให้

ซึ่งทราบจากน้องพนักงานขายที่เห็นเหตุการณ์ บอกว่า คุณลุงล้มใส่ตู้ขายของ ซึ่งเดินมาแล้วจู่ๆ หมดแรง แล้วก็ล้มลง เพราะหมดแรง ไม่มีแรงพยุงตัวเอง แต่คุณลุงก็บอกว่าไม่มีโรคประจำตัว ทำให้ได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลหลายจุด ตรงแขนซ้ายถลอกฟกช้ำ หัวแตกเลือดอาบ และร่างกายซีกซ้ายก็มีรอยถลอกด้วย

พอเห็นเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ในตอนแรกเลยถ้ามองในมุมของคุณลุง ตนก็รู้สึกว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพ่อแม่ตนจะเป็นยังไงและสงสารคุณลุงมาก แล้วพอเห็นไรเดอร์ช่วยแบบไม่สนว่าลูกค้าจะด่าว่าไปส่งอาหารช้าด้วย ก็เลยรู้สึกว่าทำไมเขาจิตใจประเสริฐจัง แล้วตนก็ใจฟูมาก ใจชื้นว่าสังคมยังมีคนดีอย่างนี้จริงๆ อยู่

ตนอยากแชร์เรื่องราวนี้ ประมาณว่าถ้าลูกค้าได้รับช้าอย่าว่าพี่เขานะ เขาช่วยคนอยู่ ซึ่งหลังจากโพสต์คลิปคนส่วนใหญ่ก็เข้ามาชื่นชม บางคนก็บอกว่าเป็นพี่ชาย เป็นคนรู้จัก บางคนก็บอกว่าเป็นอาจารย์แบงค์ และเห็นว่าเป็นอาสาด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาสาอะไร และมีบางคนก็บอกว่าเขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสุขภาพก็เลยมีความเชี่ยวชาญด้านการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายนี้ก็อยากบอกพี่ไรเดอร์ว่า ถ้าคุณแบงค์ดูอยู่ ก็อยากให้รักษาความดีนี้ไว้ เพราะพี่เป็นคนมีน้ำใจ เอื้ออาทรแบบนี้ต่อไป เพราะว่าโลกนี้ต้องการคนแบบพี่เยอะมาก และขอให้พี่มีสุขภาพแข็งแรง มีแต่ความสุข ความเจริญ ซึ่งพี่เขาก็ทักมาหาตนและตนได้ขอบคุณและอวยพรไปแล้วด้วย

‘สาธารณรัฐเช็ก’ ช็อก!! กราดยิงที่ ‘ม.ชาร์ลส์’ ในกรุงปราก ดับ 15 ราย นับเป็นการก่อเหตุที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 66 เกิดเหตุนักศึกษาชาวเช็กวัย 24 ปีรายหนึ่ง ได้ก่อเหตุกราดยิงที่มหาวิทยาลัยชาร์ลส์ ในกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก สังหารผู้คนไปมากกว่า 15 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 24 ราย

โดย ‘มาร์ติน วอนดราเซก’ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งสาธารณรัฐเช็ก ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า “เมื่อเวลา 13.59 นาฬิกา (ตามเวลาท้องถิ่น – ประมาณ 19.59 นาฬิกาตามเวลาประเทศไทย) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งข้อมูลเบื้องต้น เกี่ยวกับเหตุกราดยิงในอาคารคณะอักษรศาสตร์ ที่จัตุรัสปาลัค หน่วยตำรวจชุดแรกไปถึงภายในไม่กี่นาที 

ขณะที่หน่วยตอบโต้ฉุกเฉินไปถึงภายใน 12 นาที ต่อมาในเวลา 14.20 นาฬิกา (ประมาณ 20.20 นาฬิกาตามเวลาประเทศไทย) เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติการบอกเราว่า พบร่างของมือปืนที่ไม่เคลื่อนไหวอยู่บนขอบอาคาร การเสียชีวิตของมือปืนอาจเป็นการฆ่าตัวตาย แต่เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนด้วยว่า เขาอาจถูกกระสุนปืนของตำรวจสังหารหรือไม่”

วอนดราเซก กล่าวต่อว่า “เรามีข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันล่าสุดจากบัญชีบนโซเชียลเน็ตเวิร์กว่า เขาน่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในรัสเซีย เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยมือปืนรายนี้ เป็นเจ้าของอาวุธปืนหลายกระบอกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ มือปืนยังตกเป็นต้องสงสัยว่า ฆ่าพ่อของตัวเองที่เมืองกลัดโน ก่อนที่จะเดินทางต่อมายังกรุงปราก”

สำหรับเหตุกราดยิงครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์กราดยิงที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐเช็ก โดยก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2019 มือปืนวัย 42 ปีได้กราดยิงผู้คน 6 รายในโรงพยาบาลของเมืองออสตราวา ทางตะวันออกของเช็ก ก่อนที่จะหลบหนีและยิงตัวเองเสียชีวิต 

ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐธรรมนูญของเช็กจะรับประกันสิทธิในการพกพาอาวุธ และใช้เพื่อป้องกันตัว แต่อาชญากรรมเกี่ยวกับปืนก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และสาธารณรัฐเช็กก็มีสถิติการฆาตกรรมด้วยอาวุธปืนประจำปี น้อยกว่าฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์อีกด้วย

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ผนึกกำลัง 12 หน่วยงาน สร้างความเชื่อมั่นท่องเที่ยวไทยช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

เมื่อวันที่ (20 ธ.ค.66) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (รมว.กก.) เป็นประธานการแถลงข่าว ร่วมกับ 12 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กรมการท่องเที่ยว, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว,การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย,บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กรมการขนส่งทางบก, กรมเจ้าท่า, ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล, กรมการปกครอง, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, และ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 ณ ห้องประชุมกระทรวง  การท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดำเนินนอก

รมว.สุดาวรรณ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการแถลงข่าวร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในวันนี้ว่าเป็นไปตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติ เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ดังนั้นการแถลงครั้งนี้จะเป็นการเน้นย้ำว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวจะร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวโดยจะเปิดโอกาสให้แต่ละหน่วยงาน  ได้กล่าวถึงภารกิจด้านการบริการ การดูแลอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่จะมีการเดินทางท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก

รมว.สุดาวรรณ กล่าวว่า โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้ง 12 หน่วยงาน จะมีการนำภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวของแต่ละหน่วยงานมาบูรณาการในการทำงานร่วมกัน อาทิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการดำเนินงาน เช่น ระบบเช็คอินด้วยตนเอง ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีมาตรการวีซ่าฟรี แก่นักท่องเที่ยว และการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยใช้ระบบช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automatic Channel) , กรมการขนส่งทางบก จะดำเนินการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ถูกรถโดยสารสาธารณะ (แท็กซี่) เอารัดเอาเปรียบ, กรมเจ้าท่า มีการปรับปรุงท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเรือทุกลำต้องมีทะเบียนเรือและผ่านการตรวจสภาพความปลอดภัยจากกรมเจ้าท่า ท่าเรือต้องมีความปลอดภัยพร้อมรับผู้โดยสาร มีการจัดชุดเฉพาะกิจออกตรวจความปลอดภัยโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยต่างๆ พร้อมทั้งติดตั้งระบบควบคุมสถานีเรือ smart pier 

ตลอดจนพัฒนาเส้นทางเดินเรือในคลองเชื่อมต่อ การเดินทางจากแม่น้ำเจ้าพระยาสู่ลำคลองต่างๆ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ดำเนินการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย (สกชย.) และหน่วยงานต่างๆ จัดทำแผนความร่วมมือ (Plan For Cooperation) เพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทางทะเล ตามมาตรฐานที่องค์การระหว่างประเทศ (IMO) กําหนด, กรมการปกครองจะกำชับเจ้าหน้าที่ในการดูแลความเรียบร้อยด้านกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรการขยายระยะเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4  ด้านกรมการท่องเที่ยว มีการดำเนินการเกี่ยวกับธุรกิจ นำเที่ยวและมัคคุเทศก์ โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรเพื่อตรวจติดตามการประกอบธุรกิจนำเที่ยว ที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งการป้องกันธุรกิจนอมินี (ตัวแทนอำพราง) ดำเนินการตรวจปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย กำชับให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยวที่มีใบอนุญาตถูกต้องให้บริการนักท่องเที่ยวโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและให้บริการอย่างมีมาตรฐาน ,กระทรวงสาธารณสุข จะร่วมดูแลกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุฉุกเฉินต่างๆ โดยเฉพาะการรักษาพยาบาลและการส่งต่อให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (Tourist Assistance Center :TAC) ประจำศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ โดยเป็นศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว 17 แห่ง ศูนย์ประสานงาน 61 แห่ง รวมเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 246 คน 

นอกจากนี้ยังดำเนินการช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ประสบเหตุบาดเจ็บและเสียชีวิต กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว มีการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวให้ปลอดภัย (แบบตรวจมาตรฐานด้านความปลอดภัย โครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง S.T.C) รวมถึงจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวโดยประสานการปฏิบัติกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีความพร้อมทั้งเครื่องมือและอัตรากำลังในทุกพื้นที่เพื่อสร้างความอบอุ่นใจในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางการประสานงานของหน่วยงานต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมในการเป็นผู้ประสานงานกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ อุบัติเหตุอุบัติภัยหรือการก่อการร้าย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะดำเนินการด้านการสื่อสารผ่านแคมเปญ “Thais Always Care หรือคนไทยใส่ใจเสมอ” โดยจัดทำคอนเทนต์นำเสนอเนื้อหาข้อมูลข่าวสารที่ดีของประเทศไทยผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูลความปลอดภัย ความพร้อมให้บริการของเจ้าหน้าที่ การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและมาตรฐานของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมทั้งมิติด้านการประชาสัมพันธ์เชิงรุกนำเสนอความสวยงามของประเทศไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวโดยจัดทำในรูปแบบคอนเทนต์โดย KOLs ชาวต่างชาติ เผยแพร่ในแพลตฟอร์มชั้นนำโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติ และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญของไทย

คาดว่าจากการแถลงของทุกหน่วยงานในวันนี้จะสามารถเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่ เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยของประเทศไทย และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับและดูแลนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เดินทางท่องเที่ยวอย่างมีความสุข เกิดความประทับใจตลอดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย

'อาจารย์อุ๋ย' จี้!! กสทช. กำชับสื่อหยุดสร้างอาชญากรเป็นไอดอล แนะ!! ควรนำเสนอสิ่งที่ผู้รับสาร 'ต้องรู้' ไม่ใช่แค่สิ่งที่ผู้รับสาร 'อยากรู้'

'อาจารย์อุ๋ย-ปชป.' จี้ กสทช. ใช้อำนาจตามกฎหมายกำกับดูแลสื่อให้นำเสนอข่าวอย่างมีจรรยาบรรณ จำกัดการให้พื้นที่สื่อแก่ผู้กระทำผิด เน้นนำเสนอแง่มุมของผู้เสียหายและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำผิด 

จากกรณีที่ศาลมุกดาหารมีคำพิพากษาสั่งจำคุก 20 ปี นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ใน 2 ข้อหา คือ กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร นั้น นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นว่า...

ในฐานะที่ตนเคยเป็นอนุกรรมการ กสทช. ในชุดที่แล้วที่ดูแลด้านกฎหมาย ขอเรียกร้องไปยัง กสทช. ชุดปัจจุบันให้ใช้อำนาจกำกับดูแลสื่อตามมาตรา 27 แห่ง พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และมาตรา 37 แห่ง พรบ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 กำหนดทิศทางการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปในแนวทางตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พ.ศ. 2564 ข้อ 9 ซึ่งกำหนดว่า “สื่อมวลชนพึงเสนอข่าว เนื้อหาข่าว การแสดงความคิดเห็น และเนื้อหาทั่วไป โดยตระหนักถึงความสำคัญและอรรถประโยชน์ของข่าวต่อสาธารณะ และไม่เสนอข่าวในทำนองชวนเชื่อหรือเร้าอารมณ์ให้คนสนใจในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ” 

นอกจากนี้ สื่อควรลดพื้นที่การเสนอข่าวเกี่ยวกับตัวผู้กระทำผิด เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ผู้กระทำความผิดกลายเป็นต้นแบบ (Idolization) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาชญากรรมเลียนแบบ (Copycat Crime) จากผู้ที่บริโภคสื่อ ซึ่งอยากมีชื่อเสียงโด่งดังหรืออยากเป็นจุดสนใจของสังคมเหมือนผู้กระทำผิด และยังเป็นการเบียดบังพื้นที่ในการนำเสนอข่าวที่สร้างสรรค์สังคมอื่นๆ หรือสื่ออาจเลือกที่จะนำเสนอข่าวในแง่มุมอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น ผลกระทบที่ผู้เสียหายได้รับจากการกระทำผิด กลไกการเยียวยา หรือวิธีป้องกันตนเองหรือคนใกล้ชิดไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมในทุกรูปแบบ คือ สื่อควรนำเสนอสิ่งที่ผู้รับสาร ‘ต้องรู้’ ไม่ใช่นำเสนอแต่สิ่งที่ผู้รับสาร ‘อยากรู้’

ซึ่งตนหวังว่าคดีนี้จะเป็นบทเรียนให้กับสังคมและสื่อมวลชนว่า ควรนำเสนอข่าวโดยคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในสังคมตามมา ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่กับการทำให้ผู้ต้องหาคนหนึ่งที่สมควรได้รับมาตรการเชิงลงโทษจากสังคมกลับกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ได้ออกงานออกสื่อ กอบโกยประโยชน์ได้มากมาย โดยไม่ได้คำนึงถึงสภาพจิตใจของครอบครัวผู้เสียหายหรือความรู้สึกของวิญญูชนในสังคมเลย และขอย้ำว่าการใช้อำนาจ กสทช. ในลักษณะนี้ ไม่ใช่การแทรกแซงเสรีภาพของสื่อ แต่เป็นการกำกับดูแลสื่อมวลชนให้นำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ กสทช. โดยตรง 

'ศรีสุวรรณ' ลาบวช ถวายในหลวง ได้รับฉายา 'สิริภทฺโท กำหนดบวช 15 วัน พร้อมเข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ 9 วัน 9 คืน

(22 ธ.ค. 66) ที่วัดป่ามะไฟ จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา เวลา 12.59 น. นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้เข้าพิธีอุปสมบท ตามที่ได้ปวารณากับญาติ ๆ ไว้ว่าจะบวชเพื่อถวายในหลวง และบูรพมหากษัตริย์ไทยในอดีตทุกพระองค์ บิดา มารดา บรรพชนและผู้มีพระคุณ และจะถือศีลปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมเพิ่มเติม

โดยได้รับฉายาเดิมเมื่อครั้งบวชครั้งแรกเมื่ออายุครบบวชว่า ‘สิริภทฺโท’ แปลว่า ‘ผู้มีสิริอันเจริญ’ โดยมีพระครูภาวนาธรรมธารี (สัมพันธ์ ปญฺญาปทีโป) เจ้าคณะอำเภอเมืองปราจีนบุรีเป็นอุปัชฌาย์

ในการลาอุปสมบทครั้งนี้ มิได้บอกใคร มีเพียงครอบครัว เพื่อนสนิท และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ มาร่วมอนุโมทนาบุญ และร่วมพิธีอุปสมบท ที่เป็นไปแบบเรียบง่าย โดยมีกำหนดบวชเป็นเวลา 15 วัน โดยจะเข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ 9 วัน 9 คืน ที่วัดป่ามะไฟ (25 ธ.ค.66 - 5 ม.ค.67) ตลอดทุกวันคืนด้วย

'สุริยะ' ขอโทษ ปชช.ปมขึ้นภาษีน้ำมัน 'กทม.-ปริมณฑล' จูงใจใช้รถไฟฟ้า ชี้!! แค่ยกตัวอย่างจากต้นแบบในต่างประเทศ ยังไม่มีแนวคิดจะทำแต่อย่างใด

‘สุริยะ’ ขอโทษพี่น้องประชาชน สื่อสารคลาดเคลื่อนปมจัดเก็บภาษีน้ำมันเบนซินเพิ่ม 50 สตางค์ต่อลิตรในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล นำเงินเข้ากองทุนหนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ระบุไม่มีแนวคิด-นโยบายที่ส่งผลกระทบกับประชาชนโดยเด็ดขาด 

จากกรณีที่สื่อนำเสนอข่าวในประเด็นกระทรวงคมนาคมมีแนวคิดจะจัดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร เฉพาะสถานีน้ำมันในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น และนำเงินจากภาษีดังกล่าวเข้ากองทุนฯ เพื่อนำสนับสนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวต้องขอโทษพี่น้องประชาชนที่อาจจะสื่อสารและทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งในการกล่าวถึงเรื่องนี้เป็นเพียงการหยิบยกตัวอย่างจากต้นแบบในต่างประเทศเท่านั้น รวมถึงยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นถึงกรณีศึกษา และการเปรียบเทียบถึงข้อดีและข้อเสีย โดยไม่ได้มีแนวคิดจะนำมาดำเนินการแต่อย่างใด เนื่องจากกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน

ส่วนมาตรการค่ารถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท นั้น กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายใน 2 ปี โดยจะไม่มีการเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้นตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน

ตม.สนามบิน สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว ปล่อยแถวต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2567

ตามที่นายกรัฐมนตรีมีนโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย
แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยให้หน่วยงานความมั่นคงดำเนินการเชิงรุกสนองตอบตามนโยบายดังกล่าว

เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค.66) พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย รอง ผบช.สตม.ได้มาเป็นประธานประชุมแถวกำลังพล ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ที่อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 เข้าร่วมพิธี

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จัดทำมาตรการในการรองรับการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองภายใต้หลักความมั่นคง ซึ่งป็นการปฏิบัติตามแผนอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองในช่วงเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2567 
โดยจะมีการปฏิบัติในช่วงวันที่ 24 ธ.ค.66 – 1 ม.ค.67 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวนกว่าวันละ 70,000 คน

โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้มีมาตรการในการเตรียมความพร้อมรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทาง
เข้ามาในประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ทาอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ที่สำคัญ ดังนี้
1. มีการจัดกำลังพลเต็มอัตราทุกช่องตรวจในช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่น เพื่อเร่งระบายผู้โดยสารที่สะสม
ในโถงพักคอยให้ได้ภายในเวลา 30 นาที
2. รับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่อาสา เพื่อจัดเตรียมเอกสารและให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยว เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจหนังสือเดินทางไม่เกิน 45 วินาที/คน
3. เพิ่มศักยภาพในการระบายผู้โดยสารโดยมีการเปิดใช้เครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ Automatic channel นำร่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. ได้มอบของที่ระลึกเป็นสเปรย์แอลกอฮอลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในช่วงวันหยุดยาว เป็นที่ระลึกเพื่อสร้างความประทับและสร้างสีสันให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top