Wednesday, 8 May 2024
World

อามู ฮาจิ ชายชาวอิหร่านวัย 83 ปีถูกขนานนามว่าเป็นชายที่สกปรกที่สุดในโลก อามู เขาไม่ได้อาบน้ำเลยในช่วง 65 ปีที่ผ่านมา

เขากลัวน้ำและนี่คือสาเหตุที่เขาไม่อาบน้ำในช่วง 65 ปีที่ผ่านมา อามูเชื่อว่าเขาจะล้มป่วยหากอาบน้ำและนี่คือเหตุผลที่เขาไม่ได้อาบน้ำมานานกว่าหกทศวรรษ

อามู อาศัยอยู่คนเดียวในทะเลทรายอิหร่านแต่เขากำลังมองหาความรัก อาหารโปรดของเขาคือเนื้อเม่นที่เน่าเปื่อย อามู ชอบกินอาหารที่ไม่ใช่ผักแต่เขาไม่ชอบอาหารปรุงเองที่บ้าน อามูอ้างว่าเขามีชีวิตรอดมานานโดยการทำตัวสกปรก อามู ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านและอาศัยอยู่ในหลุมที่สร้างขึ้นในทะเลทรายนอกหมู่บ้าน ชาวบ้านได้สร้างกระท่อมสำหรับอามู แต่เขาตัดสินใจที่จะไม่อาศัยอยู่ที่นั่น

เป็นที่น่าแปลกใจที่ อามู ไม่ติดเชื้อแม้ว่าเขาจะยังสกปรกอยู่ก็ตาม อามู ดื่มน้ำห้าลิตรจากกระป๋องน้ำมันสนิมทุกวัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า อามู ชอบสูบบุหรี่มาก อามู สูบบุหรี่ที่ชาวบ้านมอบให้เขาเสร็จแล้วเขาก็สูบมูลสัตว์แห้งแทนยาสูบ ต่อ อามูอ้างว่าหลังจากละทิ้งความสุขทั้งหมดของโลกแล้วเขาก็มีความสุขมากกับชีวิตที่เป็นอยู่ตามคำบอกเล่าของคนในท้องถิ่น


ที่มา: World Forum ข่าวสารต่างประเทศ

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=238486524482265&id=109509790713273

คดีอื้อฉาวสะเทือนวงการกีฬาเกาหลีใต้ที่เป็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทั่วประเทศ เมื่อซิม ซุก-ฮี นักสเก็ตน้ำแข็งดาวรุ่งสาวเกาหลีใต้ ดีกรีระดับแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 สมัย ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดำมืดในค่ายฝึกซ้อมว่า เธอถูกอดีตโค้ชประจำตัวขืนใจ

คดีอื้อฉาวสะเทือนวงการกีฬาเกาหลีใต้ที่เป็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทั่วประเทศ เมื่อซิม ซุก-ฮี นักสเก็ตน้ำแข็งดาวรุ่งสาวเกาหลีใต้ ดีกรีระดับแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 สมัย ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดำมืดในค่ายฝึกซ้อมว่า เธอถูกอดีตโค้ชประจำตัวข่มขืน และทำร้ายร่างกายนานถึง 3 ปีตั้งแต่เธออายุเพียง 17 ปี

โค้ชทีมชาติที่ถูกกล่าวหา คือ นาย โช แจ-บอม วัย 39 ปี โดย ซิม ซุก-ฮี กล่าวหาว่าเขาทำร้ายร่างกาย และล่วงละเมิดทางเพศเธอมาตั้งแต่ปี 2014 ในสมัยที่เธอยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยม และต้องเข้าโปรแกรมฝึกนักกีฬาทีมชาติเพื่อลงแข่งกีฬาสเก็ตน้ำแข็งประเภท ความเร็วระยะสั้น ในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพย็องชังในปี 2018 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ เป็นเวลานานถึง 3 ปี

หลังจากผ่านเหตุการณ์อันขมขื่นมานานนับปี ซิม ซุก-ฮี ตัดสินใจออกมาพูด และดำเนินคดี โช แจ-บอม อดีตโค้ชทีมชาติของเธอตอนปี 2019 ที่กำลังมีกระแส #MeToo เพื่อเรียกร้องให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำทางเพศออกมาเปิดเผยตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ และความยุติธรรม

เรื่องราวของ ซิม ซุก-ฮี กลายเป็นสิ่งที่ตบหน้าสังคมอนุรักษ์นิยมในเกาหลีใต้อย่างรุนแรง ด้วยวัฒนธรรมเกาหลีใต้ที่ยังถือว่าผู้ชายมีสถานะเหนือกว่าผู้หญิง ยิ่งเป็นถึงโค้ชระดับทีมชาติ ยิ่งมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการลงโทษนักกีฬาทั้งทางร่างกาย และจิตใจ รวมถึงการตัดสินใจให้นักกีฬาในทีมคนไหนติดทีม หรือถูกตัดสิทธิ์ โดยที่นักกีฬามักไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง มิฉะนั้น จะถูกมองว่าไม่มีความอดทน ไร้ความมุ่งมั่น ที่มักเป็นข้ออ้างในการถูกตัดสิทธิ์ออกจากทีมชาติ

ซึ่ง ซิม ซุก-ฮี ถูกกระทำในสภาพเดียวกัน โดยที่เธอไม่กล้าเอ่ยปากเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะอนาคตทีมชาติของเธอขึ้นอยู่กับโค้ช โช แจ-บอม จึงใช้อำนาจสิทธิ์ความเป็นโค้ชย่ำยีเธอ

เมื่อมีข่าวฉาวออกมา โค้ช โช แจ-บอม ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ซิม ซุก-ฮี เพราะเหตุผลทางชู้สาว แต่เป็นการทำโทษตามระเบียบวินัยต่างหาก ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขายอมรับว่ามีการทำร้ายร่างกายจริง จึงทำให้โค้ช โช แจ-บอม ถูกตัดสินจำคุกนาน 18 เดือนจากโทษฐานความผิดในกระทงแรก

แต่ในวันนี้ ศาลอาญาเมืองซูวอน เกาหลีใต้ได้ตัดสินคดีของ ซิม ซุก-ฮี เพิ่มเติ่มในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เป็นคดีร้ายแรง และศาลลงความเห็นว่าเป็นการกระทำที่สมควรถูกประณามเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ตัดสินให้จำคุกอดีตโค้ช โช แจ-บอม นาน 10.5 ปี หากรวมกับคดีทำร้ายร่างกายก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าโค้ชโชต้องเข้าคุกนานเกือบ 12 ปี

ถึงแม้ว่า ทนายฝ่ายของ ซิม ซุก-ฮี พอใจกับผลคำตัดสิน แต่มีชาวเกาหลีใต้ไม่น้อยเห็นว่าลงโทษน้อยเกินไป สำหรับความผิดของโค้ชฉาว ควรต้องโทษจำคุกถึง 20 ปี ถึงจะสาสม

คดีของ ซิม ซุก-ฮี ถือเป็นคดีใหญ่ที่เปิดโปงด้านมืดในวงการกีฬาของเกาหลีใต้ก็จริง แต่เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่คนทั่วไปได้เห็นเท่านั้น และยังมีนักกีฬาอีกมากมายที่โดนทำร้ายร่างกายในค่ายเก็บตัว ที่มีตั้งแต่การกลั่นแกล้งภายในทีม จนกระทั่งถึงขั้นการทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศ และทารุณกรรม

ดังเช่นกรณีของ เช ซุก-ฮยอน นักไตรกีฬาหญิงที่เป็นหนึ่งในเยาวชนทีมชาติ ตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายจากหอพักนักกีฬาในเมืองปูซาน เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2020 จบอนาคตอันสดใสของเธอเพียงแค่วัย 22 ปี ที่ภายหลังเปิดเผยว่าเธอถูกรุ่นพี่ และโค้ชกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงตลอดช่วงเวลาที่เธอเก็บตัวเพื่อเป็นตัวแทนทีมชาติ จนทำให้เธอกลายเป็นโรคซึมเศร้า หมดความหวังในการมีชีวิตอยู่

และเธอได้บันทึกเรื่องราวการถูกบูลลี่ของเธอทั้งหมดส่งไปให้แม่ก่อนวันที่เธอจะฆ่าตัวตาย ซึ่งกลายเป็นหลักฐานมัดตัวรุ่นพี่ และโค้ช ที่ร่วมกันกระทำทารุณกรรมจิตใจนักกีฬา และถูกลงโทษแบนจากการแข่งขันนานถึง 10 ปี

ถึงแม้ว่าคดีของ ซิม ซุก-ฮี อาจไม่ใช่คดีสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาเกาหลีใต้ แต่ก็เป็นเสียงเรียกร้องให้แวดวงกีฬาเกาหลีใต้ได้ตระหนักรู้ว่า การเป็นนักกีฬาที่ดีไม่ควรต้องแลกกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


อ้างอิง:

https://www.scmp.com/week-asia/health-environment/article/3118784/south-korea-jails-former-olympic-coach-sexual-assault

https://www.bbc.com/news/world-asia-55746565

https://www.firstpost.com/sports/south-koreas-ex-olympic-coach-cho-jae-beom-jailed-for-10-5-years-for-sexually-assaulting-athlete-9224741.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Shim_Suk-hee

ออสเตรเลีย อนุมัติใช้วัคซีน ‘ไฟเซอร์ - ไบออนเทค’ นับเป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตัวแรกที่ได้รับอนุมัติการใช้งานในออสเตรเลีย มั่นใจมีมาตรฐานความปลอดภัย โดยแรงงานดูแลสุขภาพและผู้สูงอายุจะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก

องค์การกำกับดูแลสินค้ารักษาโรค (TGA) ของออสเตรเลียอนุมัติการใช้งานชั่วคราวในประเทศแก่วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ของไฟเซอร์/ไบออนเทค (Pfizer/BioNtech)

องค์การฯ ประกาศว่าวัคซีนฯ มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และคุณภาพ จึงรับรองให้ใช้งานในผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยนับเป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตัวแรกที่ได้รับอนุมัติการใช้งานในออสเตรเลีย

สกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวขณะร่วมงานแถลงข่าวในกรุงแคนเบอร์ราว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือดำรงความปลอดภัยและปกป้องชีวิตชาวออสเตรเลีย” พร้อมเสริมว่า “การอนุมัติครั้งนี้เป็นอีกก้าวยิ่งใหญ่ เพื่อปกป้องกลุ่มบุคคลที่เปราะบางที่สุด” โดยชาวออสเตรเลียจะได้รับวัคซีนฯ คนละ 2 โดส ห่างกันอย่างน้อย 21 วัน

รัฐบาลวางแผนเริ่มฉีดวัคซีนช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งช้ากว่าที่กำหนดไว้ก่อนหน้าว่าจะเริ่มช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากความล่าช้าในการผลิตและจัดส่ง โดยแรงงานดูแลสุขภาพและผู้สูงอายุจะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก

ออสเตรเลียจะแบ่งการฉีดวัคซีนออกเป็น 5 ระยะในช่วง 2 - 3 เดือนข้างหน้า พร้อมทั้งจะจัดตั้งสถานที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 1,000 แห่ง

ด้านเกร็ก ฮันต์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า องค์การฯ “ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใด” ระหว่างกระบวนการอนุมัติ โดย “การอนุมัติครั้งนี้และการเปิดตัววัคซีนที่กำลังจะมาถึงจะมีส่วนสำคัญในการจัดการกับโรคระบาดใหญ่ในปี 2021”

ทั้งนี้ รัฐบาลออสเตรเลียสั่งซื้อวัคซีนของไฟเซอร์ จำนวน 10 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอต่อประชาการ 5 ล้านคน โดยรวมวัคซีนมากกว่า 53 ล้านโดสที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ซึ่งจำเป็นต้องผ่านการประเมินและอนุมัติจากองค์การฯ ก่อน

ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงฯ ระบุว่าออสเตรเลียมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสม 28,766 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยที่ยังคงรักษาตัวอยู่ 130 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิต 909 ราย เมื่อนับถึงบ่ายวันอาทิตย์ (24 ม.ค.) โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ถูกตรวจพบที่สถานดูแลผู้สูงอายุในรัฐวิกตอเรียระหว่างการติดเชื้อระลอกสองของรัฐ

แม้ออสเตรเลียจะประสบความสำเร็จในการป้องกันการระบาดใหญ่ แต่พอล เคลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ ชี้ว่าชาวออสเตรเลียยังจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับไวรัสตัวนี้

“เราจะควบคุมไวรัสให้ได้มากขึ้นกว่าปีก่อน แต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมัน เพราะผมไม่คิดว่ามันจะถูกกำจัดจนหมดสิ้นในเร็ววันนี้” เคลลีให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อไม่นานนี้


ที่มา: https://www.xinhuathai.com/high/171767_20210125

ฟาห์เรตติน โคกา รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของตุรกี ประกาศว่าตุรกีเตรียมรับมอบวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จากจีน จำนวน 6.5 ล้านโดสในวันจันทร์ (25 ม.ค.)

โคกาโพสต์ทวิตเตอร์ว่าการส่งมอบข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดส่งวัคซีนรอบสอง จำนวน 10 ล้านโดส โดยวัคซีนดังกล่าวเป็นฝีมือการพัฒนาของซิโนแวค (Sinovac) บริษัทจีน

“วัคซีนส่วนที่เหลือจะถูกส่งมอบในลักษณะที่เอื้อให้โครงการฉีดวัคซีนขนานใหญ่ของตุรกีดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดชะงัก” โคกากล่าวเสริม

ตุรกีเริ่มโครงการฉีดวัคซีนขนานใหญ่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. หลังจากรับวัคซีนจีนชุดแรก จำนวน 3 ล้านโดส เมื่อปลายเดือนธันวาคม

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงฯ ระบุว่าปัจจุบันตุรกีดำเนินการฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้วมากกว่า 1.24 ล้านคน


ที่มา: https://www.xinhuathai.com/high/171646_20210125

ทะเลจีนใต้เดือด !!! เมื่อจีนผ่านร่างกฏหมายใหม่ สั่งให้ยิงเรือต่างชาติได้ทุกลำที่ละเมิดน่านน้ำจีน การขยับตัวอย่างแข็งกร้าวที่พร้อมฟาดทุกชาติที่ขวางหน้า ทำให้ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ร้อนแรงขึ้นไปอีก

เมื่อวันศุกร์ (22 มกราคม) ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ออกร่างกฏหมาย ที่เรียกว่า The Coast Guard Law หรือกฏหมายพิทักษ์ชายฝั่ง ที่จะเพิ่มอำนาจให้หน่วยพิทักษ์ชายฝั่งของจีนสามารถยิงเรือต่างชาติได้ทุกลำที่เห็นว่าละเมิดน่านน้ำจีน โดยไม่เกี่ยงอาวุธ เพื่อเป้าหมายเดียวคือ ปกป้องเขตน่านน้ำของจีนบริเวณชายฝั่งตะวันออก และทะเลจีนใต้

นอกจากจะยิงทิ้งเรือต่างชาติได้แล้ว กฏหมายฉบับใหม่นี้ ยังอนุญาตให้ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างบนพื้นที่ ดินแดน แนวหิน แนวปะการัง ที่จีนเคลมว่าเป็นเขตพื้นที่ของตนได้ทันที ตามดุลยพินิจของหน่วยพิทักษ์ชายฝั่ง

หมายความง่าย ๆ คือ เห็นประเทศไหน ไสเรือแหยมหน้ามา สามารถยิงสวนก่อนได้เลย แล้วค่อยรายงานรัฐบาลกลางทีหลัง

พอทางจีนผ่านกฏหมายใหม่นี้ออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในทะเลจีนใต้ กลายเป็นทะเลจีนเดือดขึ้นมาทันที เพราะคู่กรณีของจีนในทะเลจีนใต้ก็มีไม่ใช่น้อยๆ ไล่มาตั้งแต่ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนิเซีย บรูไน

ที่บัญชีหนังหมายาวเป็นหางว่างเช่นนี้ ก็เพราะพี่จีนเล่นลากเส้นประกาศเขตของตัวเอง ที่เรียกว่า nine-dash line ออกมาทับพื้นที่เขตน่านน้ำของประเทศอื่นในย่านทะเลจีนใต้หมด ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตที่ไม่มีชาติไหนรับรอง แต่ทางจีนก็ยังยืนยันอ้างสิทธิ์ในน่านน้ำของตน

และเมื่อจีนได้ผ่านร่างกฏหมายพิทักษ์นี้ออกมา ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป ก็ไม่ต่างจากประกาศเปิดศึกกับทุกประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้ทะเลจีนใต้ร่วมกันดีๆนี่เอง

อันเนื่องจาก กองกำลังพิทักษ์ชายฝั่งของจีนนั้นก็ไม่ใช่กรมเจ้าท่าธรรมดา แต่ไม่ต่างจากกองทัพเรือขนาดย่อมเลยทีเดียว ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำการมากกว่า 16,000 นาย มีกองเรือลาดตระเวนติดอาวุธกว่า 164 ลำ ที่บางลำติดปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานอีกต่างหาก

และงบประมาณที่ทางการจีนทุ่มให้กับกองกำลังพิทักษ์ชายฝั่งก็ไม่ธรรมดา ในแต่ละปีได้งบประมาณมากถึง 1.74 พันล้านเหรียญ หรือตกประมาณ 52,200 ล้านบาท ทำให้จีนมีกองกำลังพิทักษ์ชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การขยับตัวอย่างแข็งกร้าวของจีนที่พร้อมฟาดทุกชาติที่ขวางหน้า ก็ทำให้ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ร้อนแรงขึ้นไปอีก ที่จะสังเกตเห็นได้ว่าหลายชาติได้เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว

เช่นญี่ปุ่นได้ประกาศเพิ่มงบกองทัพในปีนี้สูงถึง 52,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นงบทหารที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อต่อต้านการแผ่อิทธิพลของจีนโดยเฉพาะ

และไต้หวันที่ทุ่มงบประมาณซื้ออาวุธจากสหรัฐเป็นจำนวนมาก และซ้อมรบถี่ยิบในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่นับกองทัพเรือสหรัฐ ที่ขยับเรือบรรทุกเครื่องบินรบ USS Theodore Roosevelt เข้ามาประชิดน่านน้ำจีนในทะเลจีนใต้มากขึ้น

ซึ่งก็เป็นการเปิดหน้าศึกจากจีน ต้อนรับโจ ไบเดนประธานาธิบดีคนใหม่แต่หน้าเก่าของสหรัฐ ที่ท้าทายกันสุดๆ ไม่มีคำว่าเกรงใจกันแล้ว และทำให้พื้นที่พิพาทในย่านนี้กลายเป็นที่จับตาว่าจะเป็นดินแดนสุ่มเสี่ยงที่จะจุดชนวนมหาสงคราม ไม่ต่างจากจากตะวันออกกลางหรือไม่

แหล่งข้อมูล

https://www.aljazeera.com/.../china-authorises-coast...

https://www.channelnewsasia.com/.../taiwan-military-drill...

https://chinapower.csis.org/maritime-forces.../

https://www.reuters.com/.../us-china-coastguard-law...

https://www.reuters.com/.../japan-defence-budget...

https://www.reuters.com/.../us-southchinasea-usa...

https://en.m.wikipedia.org/wiki/China_Coast_Guard


ที่มา: เฟซบุ๊ก หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/104132041212023/posts/234478868177339/

รัฐบาลเกาหลีเหนือได้เริ่มออกกฏหมายต่อต้านสื่อบันเทิงต่างชาติ โดยเฉพาะสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ แม้แต่จะแสดงความชื่นชอบ หรือเลียนแบบวัฒนธรรมก็ไม่ได้ หวีดอปป้าอาจโดนโทษหนักถึงจำคุกตลอดชีวิตในค่ายกักกันแรงงาน

เมื่อไม่นานมานี้ ที่เกาหลีเหนือได้ออกกฏหมายใหม่ สั่งแบนสื่อบันเทิงของต่างชาติ โดยเฉพาะสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร ซีรียส์ ดนตรี K-Pop และสื่อลามกอนาจาร หากพบว่าใครมีสื่อบันเทิงต่างชาติในครอบครอง หรือแสดงออกว่านิยมชมชอบ เป็นติ่ง เป็นแฟนคลับ มีโทษหนัก ทั้งจำ ทั้งปรับ นานสูงสุดถึง 15 ปี

แต่ถ้าจับได้ว่านอกจากจะเสพ ขาย แล้วยังผลิต ลักลอบนำเข้า สื่อบันเทิงเกาหลีใต้ หรือมีอุปกรณ์รับชม เช่น วิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือต่างชาติที่ไม่ใช่สินค้าของรัฐบาล หรือที่บ้านเราเรียกว่าของเถื่อน หิ้วข้ามชายแดนเข้ามาเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นแบรนด์ดังของเกาหลีใต้ อาจโดนโทษหนักถึงจำคุกตลอดชีวิตในค่ายกักกันแรงงาน

โทษในการครอบครองสินค้าจากเกาหลีใต้ว่าหนักแล้ว แต่หากพบว่าเป็นแบรนด์จากสหรัฐ หรือญี่ปุ่น โทษหนักกว่านั้น เพราะหมายถึงการทรยศชาติซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต

สำนักข่าว Daily NK ได้อ้างอิงแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ของตัวเองในเกาหลีเหนือ ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือได้เริ่มออกกฏหมายต่อต้านสื่อบันเทิงต่างชาติ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ห้ามชาวเกาหลีเหนือเสพสื่อบันเทิงต่างชาติ ที่อาจทำลายค่านิยมความเป็นเกาหลีเหนือ

อันเนื่องจากมีการแอบลักลอบเอาสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ เข้ามาขายในตลาดมืดของเกาหลีเหนือ และก็ได้รับความนิยม จนเริ่มมีวัฒนธรรมการพูดคุยด้วยศัพท์แสลง หรือสำเนียงของเกาหลีใต้ในบ้านโสมแดงมากขึ้น จนถึงขั้นแอบมีบ่นว่าอยากให้เกาหลีเหนือพัฒนาสื่อบันเทิงให้ได้แบบเกาหลีใต้บ้าง

ซึ่งนั่นถือว่าเป็นสัญญาณไม่ค่อยดีสำหรับรัฐบาลคิม เพราะอาจให้ชาวเกาหลีเหนือซึมซับค่านิยมของโลกเสรี ผ่านทางสื่อบันเทิงเหล่านี้

ว่าแล้วทางเกาหลีเหนือก็ไม่รอที่จะตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการออกกฏหมายแบนสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ แม้แต่จะแสดงความชื่นชอบ หรือเลียนแบบวัฒนธรรมเกาหลีใต้ก็ไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น การพูดจาสำเนียงแบบคนเกาหลีใต้ หรือการเรียกใครว่า โอ้ปป้า ทงแซง ทั้งๆที่เขาไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง ไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน ก็เข้าข่ายผิดกฏหมายแล้ว เพราะมันเป็นวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ ที่พบเห็นบ่อยๆ ในหนัง ในละครนั่นเอง

เมื่อเพิ่มระดับการแบนสื่อบันเทิงจากต่างประเทศ ก็ต้องยกระดับการเผยแพร่สื่อบันเทิงของเกาหลีเหนือด้วย ให้ชาวเกาหลีเหนือได้มีอะไรมาดูแทน จะได้ไม่เครียด (หรืออาจจะเครียดหนักกว่าเดิม)

ซึ่งคิม จอง-อุน หรือน้องพลับของเราก็ประกาศว่าจะพัฒนา ระบบอินเตอร์เนต wifi ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จะปรับปรุงสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ ให้ทันสมัย คม ชัด ใสยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมคือหน้าน้องพลับ จะปรากฏในสื่อทุกช่องทาง จะไม่ให้เปลี่ยนช่องหนีไปไหนได้เลยทีเดียว

นับเป็นข่าวร้ายสำหรับแฟนคลับโอ้ปป้าชาวเกาหลีเหนือยิ่งนัก ให้กินดิน กินแกลบยังพอรับ แต่ให้พรากจากโอ้ปป้าที่รัก รับไม่ได้


แหล่งข้อมูล

https://www.reuters.com/.../north-korea-cracks-down-on...

https://www.scmp.com/.../no-south-korean-culture-north...

https://www.usnews.com/.../north-korea-cracks-down-on...

https://www.straitstimes.com/.../north-korea-cracks-down...

ที่มา: เฟซบุ๊ก หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/104132041212023/posts/231893531769206/

รัฐบาลอังกฤษ เล็งออกแผนให้กักตัวผู้เดินทางเข้าสหราชอาณาจักร ในโรงแรมเป็นเวลา 10 วัน พร้อมออกค่าโรงแรมเอง ประมาณ 1,500 ปอนด์ ราว 60,000 บาท เฉลี่ยค่ากักตัวในโรงแรม พร้อมอาหารสามมื้อ ต่อห้องต้องจ่าย 100 ปอนด์ หรือ 4,000 บาท ต่อคนต่อวัน

ชาวอังกฤษที่เดินทางกลับเข้ามาจากประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ที่ซึ่งมีการตรวจพบเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ อย่างเช่น ประเทศบราซิล และ แอฟริกาใต้ จะถูกให้กักตัวอยู่ในโรงแรมแถวสนามบินเป็นเวลาสิบวัน

ขณะนี้ชาวต่างชาติถูกห้ามไม่ให้เข้าสหราชอาณาจักรเมื่อเดินทางมาจากประเทศเหล่านี้ รัฐบาลจึงกำลังมองหาการขยายข้อกำหนดการกักตัวในโรงแรมสำหรับผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบินและท่าเรือจากทุกแห่งที่เดินทางมาจากทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดยการนำร่องกระบวนการนี้กับกลุ่มคนจำนวนน้อยก่อน

นายกฯบอริส จอห์นสันจะมีประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (26/01/2021) เพื่อลงนามในแผนพร้อมกับการตัดสินใจที่จะประกาศในบ่ายวันนี้หรือพรุ่งนี้

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเดินทางมาถึงสหราชอาณาจักร?

นักท่องเที่ยวต้องเผชิญกับการกักบริเวณจะถูกนำขึ้นรถบัสไปยังโรงแรมซึ่งจะต้องอยู่ต่อเป็นเวลาสิบวัน (คล้ายที่ประเทศไทยทำอยู่)

เจ้าหน้าที่ได้เริ่มพูดคุยกับกลุ่มโรงแรมเกี่ยวกับการบล็อกการจองห้องพักที่สามารถใช้แยกในการกักตัวได้

ในออสเตรเลียผู้คนจะต้องอยู่ในห้องตลอดเวลาโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยตรวจตราตามทางเดิน ห้ามพนักงานของโรงแรมทำความสะอาดห้องพักระหว่างการเข้าพัก

คุณสามารถอัพเกรดโรงแรมของคุณได้หรือไม่?

นักท่องเที่ยวจะไม่ได้รับตัวเลือกโรงแรม ในออสเตรเลียผู้คนไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะพักที่ไหนและได้รับคำเตือนว่าไม่มีการรับประกันว่าจะสามารถเข้าถึงระเบียงหรือหน้าต่างที่เปิดได้

คุณควรทำอะไรทั้งวัน?

ในออสเตรเลียไม่อนุญาตให้ออกกำลังกายข้างนอก เพื่อให้แขกได้ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายหรือเล่นโยคะในห้องของตน

คำแนะนำที่มอบให้กับนักเดินทางเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการกักตัวในโรงแรมแนะนำให้วางแผนกิจกรรมต่างๆ เพื่อฆ่าเวลาในแต่ละวัน ตัวอย่างกอจกรรมเหล่านี้ได้แก่ การติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว , การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศบนแอปโทรศัพท์มือถือ, การลองงานอดิเรกใหม่ ๆ เช่นการถักไหมพรม, การประดิษฐ์ตัวอักษร หรือ จัดการกับธุระส่วนตัว

คำแนะนำคือให้วาง 'รางวัล' เพื่อหวังผลจากการทำกิจกรรม เช่นการโทรศัพท์คุยกับคนที่คุณรักหรือการส่งของให้กัน ผู้ที่แชร์ห้องร่วมกับแฟนและสมาชิกในครอบครัวควรตั้งกฎพื้นฐานสำหรับการเข้าพัก เช่น การกำหนดเวลาในแต่ละวันเมื่อทุกคนทำกิจกรรมแบบ 'เงียบ' เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น

ฤดูร้อนที่ผ่านมาการระบาดของไวรัสโคโรนาในเมลเบิร์น ประนามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปนอนกับแขกที่ในพักในโรงแรมกักตัวแห่งหนึ่ง

ใครเป็นคนจ่ายบิลโรงแรม?

รัฐบาลจะจัดรถรับส่งสำหรับผู้เดินทางมาถึงสหราชอาณาจักรไปยังที่พักของพวกเขา แต่พวกเขาจะต้องจ่ายค่าห้องพักในโรงแรมเองซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ปอนด์ หรือราว 60,000 บาท ในอังกฤษ ส่วนในออสเตรเลีย จะเสียค่าใช้จ่าย 14 วันในโรงแรมกักตัวคือ 1,692 ปอนด์ หรือราว 68,000 บาท ส่วนนิวซีแลนด์ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,630 ปอนด์ ราว 65,000 บาท และ ในประเทศไทย ค่าห้องพักกักตัวอยู่ที่ 642 ปอนด์ หรือประมาณ 26,000 บาท


ที่มา : เพจ Amthaipaper (หนังสือพิมพ์ไทยในอังกฤษ)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3768126303226353&id=178210772217942

https://www.dailymail.co.uk/.../Who-forced-quarantine...

ม็อบชาวนากลุ่มใหญ่ จัดขบวนแห่รถแทร็กเตอร์กว่า 50,000 คัน ออกมาแย่งซีนงานวันชาติอินเดีย ประท้วงกฎหมายปฏิรูปเกษตร ยืนยันปักหลักประท้วงจนกว่ารัฐบาลจะทำตามข้อเรียกร้อง พร้อมอยู่ยาวได้เป็นปี ไม่ได้ ไม่กลับบ้าน!

เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมาเป็นวันชาติของอินเดีย ที่จะมีพิธีฉลอง และขบวนแห่สวนสนามของกองทัพอินเดียอย่างยิ่งใหญ่ ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของงาน เพื่อเป็นการฉลองวันคล้ายวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการในปี 1950 และจัดต่อเนื่องมาทุกปี

แต่เนื่องจากปีนี้ อินเดียยังติดสถานการณ์ Covid-19 จึงทำให้ต้องจัดพิธีฉลองอย่างรวบรัด แต่นอกเหนือจากเหตุผลด้านโรคระบาดแล้ว ยังมีม็อบชาวนากลุ่มใหญ่ ที่จัดขบวนแห่รถแทร็กเตอร์กว่า 50,000 คันออกมาแย่งซีนงานของรัฐบาล และเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในบางจุดด้วย ทำให้มีผู้ประท้วงเสียชีวิต 1 ราย โดยทางการอินเดียแถลงว่าเกิดจากอุบัติเหตุรถแทร็กเตอร์คว่ำ แต่กลุ่มผู้ประท้วงกลับยืนยันว่าผู้เสียชีวิตถูกยิง

การประท้วงของม็อบชาวนาในกรุงนิวเดลี เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2020 ยังคงตึงเครียด และถือเป็นการประท้วงครั้งใหญ่และยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งของอินเดีย

ชนวนสาเหตุที่ทำให้เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีผู้ประท้วงมาปักหลักยึดถนนไฮเวย์สายหลักในกรุงนิวเดลีมากกว่าแสนคน เกิดจากร่างกฎหมายปฏิรูปการเกษตรใหม่ถึง 3 ฉบับของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ เพิ่งดันผ่านสภาเมื่อเดือนกันยายน 2020 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงจากฝ่ายค้านในสภา และจากเกษตรกรอินเดียจำนวนมากทั่วประเทศ

ก่อนที่จะมีร่างกฎหมายปฏิรูปการเกษตรฉบับใหม่นี้ รัฐบาลอินเดียได้จัดระบบการซื้อขายสินค้าเกษตรในตลาดกลาง ที่เรียกว่า Mandi โดยรัฐบาลอินเดียจะเป็นผู้ควบคุมการซื้อขาย มีการประกันราคาผลผลิตขั้นต่ำให้ และบริหารโกดังเก็บผลผลิตเอง ซึ่งเป็นระบบตลาดภาคอุตสาหกรรมการเกษตรที่อินเดียใช้มานานตั้งแต่ปี 1960

แต่ร่างกฎหมายปฏิรูปการเกษตรฉบับใหม่นี้ จะให้อิสระแก่เกษตรกร และผู้บริโภคติดต่อกันได้เองโดยตรง จะขายผลผลิตตรงให้กับซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ ขายเองทางออนไลน์ก็ได้ ราคาแล้วแต่จะตกลง ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงราคากลางในระบบตลาด Mandi อีกต่อไป

ฟังดูแล้วเหมือนจะดี แต่ชาวนาอินเดียกลับมองว่าร่างกฏหมายใหม่จะเข้ามาฆ่าระบบการซื้อขายในตลาด Mandi และเป็นการผลักภาระของรัฐบาลอินเดียไม่ต้องเข้ามาประกันราคาพืชผลให้กับเกษตรกรอีกแล้ว ปล่อยให้ระบบการค้าเสรีเข้ามาทำหน้าที่แทน

นอกจากเปิดระบบการค้าเสรีสินค้าเกษตรทั่วประเทศแล้ว ร่างกฏหมายนี้ยังยกเลิกข้อกำหนดในการสต็อคสินค้าเกษตร นั่นคือใครมีโกดังใหญ่ ทุนหนา จะสต็อคสินค้าเท่าไหร่ก็ได้ และยังสนับสนุนให้นายทุนเข้ามาพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา ที่จะบีบให้เกษตรกรอินเดียไม่มีทางเลือก นอกจากปลูกพืชตามใบสั่งของบริษัทใหญ่ และไม่มีระบบประกันราคาที่จะเป็นข้อต่อรองให้กับเกษตรกรในการขายผลผลิตในราคาที่สูงขึ้นได้

และก็เป็นดั่งที่หลายฝ่ายกังวล เพราะตั้งแต่รัฐบาลออกร่างกฏหมายฉบับใหม่มา ราคาผลผลิตการเกษตรก็ตกต่ำลง ที่เป็นผลจากนายทุนเข้าไปกดราคาแลกกับการกว้านซื้อสินค้าล็อตใหญ่ ซึ่งผู้ที่เดือนร้อนก็คือเกษตรกรรายย่อย ที่มีมากถึง 60% ของประชากรทั้งประเทศนั่นเอง

ดังนั้นเกษตรกรชาวอินเดียนับแสน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากรัฐปันจาบ และ รัฐหรยาณา ที่นอกจากจะเป็นรัฐของชาวซิกข์แล้ว ยังเป็นรัฐที่มีภาคการเกษตร และระบบตลาด Mandi ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย เดินทางเข้ากรุงนิวเดลี และยึดเอาถนนไฮเวย์สายหลักถึง 5 เส้นทาง ประท้วงให้รัฐบาลอินเดียยกเลิกร่างกฎหมายใหม่ทั้ง 3 ฉบับทันที ซึ่งการประท้วงปิดถนนเริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020 จนถึงวันนี้ แถมมีการขนเต้นท์ ที่พัก โรงครัว เผื่อไว้แล้วในกรณีที่จำเป็นต้องอยู่ยาว

โดยชาวนาที่มาประท้วงยืนยันว่าจะปักหลักประท้วงจนกว่ารัฐบาลจะทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา และพร้อมอยู่ยาวได้เป็นปี ไม่ได้ ไม่กลับบ้าน

และก็เป็นที่มาของขบวนแห่รถแทร็กเตอร์ประท้วงรัฐบาลเต็มท้องถนนในกรุงเดลีหลายหมื่นคันในวันชาติ ที่ขนาดรถถังยังต้องถอย และทำให้การประท้วงของชาวอินเดียเป็นที่จับตามองมากจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ประท้วงส่วนมากเป็นกลุ่มชาวซิกข์ที่มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคนในอินเดีย และมีชุมชนที่เข้มแข็งมากในต่างแดน โดยเฉพาะในแคนาดา สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ที่เริ่มออกมาร่วมแสดงจุดยืนประท้วงรัฐบาลอินเดียในร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้แล้วเช่นกัน

และกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สั่นคลอนรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ที่มีจุดยืนในแนวคิดชาตินิยมฮินดู และได้ออกร่างกฎหมายใหม่หลายฉบับที่กลายเป็นประเด็นมากมายในอินเดีย เช่น ร่างกฎหมายพลเมืองใหม่ ที่กีดกันกลุ่มชาวมุสลิมไม่ให้ถือสัญชาติอินเดีย จนเกิดการประท้วงใหญ่ในรัฐอุตรประเทศ และอีกหลายเมืองทั่วประเทศมาแล้ว


อ้างอิง

https://www.france24.com/en/asia-pacific/20210126-with-flags-on-india-s-red-fort-farmers-challenge-modi-and-protest-movement-unity

https://scroll.in/latest/983414/farmer-protests-thousands-hold-tractor-rally-call-it-rehearsal-ahead-of-january-26

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-54233080

https://indianexpress.com/article/explained/government-farmer-talks-deadlock-explained-7106698/

https://www.reuters.com/article/india-farms-protests-diaspora/sikh-diaspora-drums-up-global-support-for-farmers-protest-in-india-idINKBN28S0Y6?edition-redirect=uk

มูลนิธิออกซ์แฟม (Oxfam) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ดูแลเรื่องความเท่าเทียมกันของคนในสังคม เผย 10 มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกมีรายได้เพิ่มขึ้นรวมกันถึง 540,000 ล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 มากพอที่จะซื้อวัคซีนแจกจ่ายให้แก่ประชากรทั่วโลก

รายงาน “The Inequality Virus” ที่ถูกเผยแพร่ในวันเปิดการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ชี้ว่ามหาเศรษฐีทั่วโลกล้วนแต่มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ขณะที่คนยากจนมีแนวโน้มจะต้องเผชิญความลำบากต่อเนื่องไปอีกหลายปี

แกบรีเอลา บูเชอร์ ผู้อำนวยการบริหาร ออกซ์แฟม อินเทอร์เนชันแนล ระบุในรายงานว่า “เราได้เห็นถึงสภาพความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด นับตั้งแต่มีการจดบันทึก”

“ระบบเศรษฐกิจที่ถูกปั่น (rigged economies) ทำให้พวกอภิสิทธิชนที่ใช้ชีวิตหรูหราและหลบเลี่ยงผลกระทบจากโรคระบาดสามารถสร้างรายได้เข้ากระเป๋าได้มากขึ้นไปอีก ในขณะที่พนักงานขายของ, เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และพ่อค้าแม่ค้าในตลาด แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลัง”

“หากไม่จัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น ประชากรยากจนที่มีรายได้ต่ำกว่า 5.50 ดอลลาร์ต่อวันจะเพิ่มขึ้นอีก 500 ล้านคนภายในปี 2030”

โควิด-19 ได้ก่อพายุเศรษฐกิจที่โจมตีคนจนและกลุ่มคนเปราะบางหนักที่สุด โดยเฉพาะผู้หญิงและแรงงานชายขอบที่ถูกเลิกจ้าง ขณะที่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ออกมาเตือนแล้วว่าจะมีประชากรโลกเข้าสู่ภาวะยากจนสุดขีด (extreme poverty) เพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านคน

ออกซ์แฟมคาดว่าจะต้องใช้เวลานานกว่า 10 ปี จึงจะสามารถลดจำนวนคนจนให้กลับมาสู่จุดที่เคยเป็นก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ได้

รายงานของออกซ์แฟม ประเมินว่า มูลค่าทรัพย์สินของมหาเศรษฐีทั่วโลกเพิ่มขึ้นราวๆ 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างวันที่ 18 มี.ค.จนถึง 31 ธ.ค.ปี 2020 มาอยู่ที่ 11.95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

เฉพาะมหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของโลก เช่น เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์แอมะซอน, อีลอน มัสก์ เจ้าของเทสลา, บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ และ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊ก มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 540,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนักวิจัยชี้ว่ามากพอที่จะซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่ประชากรทั้งโลก และยังสามารถช่วยให้คนทุกคนรอดพ้นวิกฤตความยากจนจากโรคระบาด

ออกซ์แฟมยังสนับสนุนให้รัฐบาลทั่วโลกใช้ “มาตรการเชิงปฏิรูป” โดยจัดเก็บภาษีจากภาคธุรกิจและกลุ่มคนร่ำรวยเพิ่มขึ้น และยกระดับมาตรการคุ้มครองแรงงาน

รายงานฉบับนี้ระบุด้วยว่า การเก็บภาษีชั่วคราวจากผลกำไรส่วนเกินของ 32 บริษัททั่วโลกซึ่งทำกำไรสูงสุดในช่วงโควิด จะสามารถระดมเงินทุนได้ถึง 104,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2020

ชยาตี โฆษ อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์แอมเฮิร์ตส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่ให้ข้อมูลกับออกซ์แฟม ระบุว่า ความร่วมมือในระดับนานาชาติจะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง และเธอเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีส่วนช่วยส่งเสริมความร่วมมือทั้งในแง่ของการปราบปรามที่พักหลบภาษี (tax havens) รวมถึงการอนุมัติวงเงินกู้ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา


ที่มา : รอยเตอร์, Yahoo Finance

https://sondhitalk.com/detail/9640000007339

MRT (Taipei Mass Rapid Transit) ไต้หวันเดือดจัด เมื่อทีมงาน SWAG แพลตฟอร์มโซเชียลชื่อดังด้านคอนเทนท์ 18+ นำฉากคล้ายสถานีรถไฟฟ้า และ ภายในตู้โดยสารรถไฟใต้ดินมาเป็นฉากหนัง AV เพื่อเพิ่มยอดสมาชิกจากผู้ชมชาวจีนมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่มีการปล่อยคลิป AV ดังกล่าวในช่องทางออนไลน์ของบริษัท ก็สร้างความฮือฮาในหมู่ชาวไต้หวันเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่ออกมาในแง่ลบว่า การรถไฟไต้หวันอนุญาตให้ใช้สถานที่เป็นฉากถ่ายทำหนังปลุกใจเสือป่าอย่างโจ๋งครึ่มได้อย่างไร

ต่อมาทาง บริษัท ไทเป เมโทร ได้ออกมาชี้แจงว่า ไม่เคยอนุญาตให้บริษัทใด ๆ ใช้สถานที่ถ่ายทำทั้งภาพ คลิป หนังติดเรท เรื่องใดทั้งสิ้น และออกมาประณามทีมผู้สร้างที่หยิบเอาฉากในรถไฟฟ้ามาทำเป็นหนังโป๊ ทั้ง ๆ ที่ทางการรถไฟไต้หวัน พยายามอย่างหนักที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลวนลามทางเพศในพื้นที่ของสถานีรถไฟทุกแห่ง และอาจพิจารณาดำเนินคดีกับทีมผู้สร้าง ที่ทำให้ขนส่งสาธารณะของไต้หวันเสื่อมเสีย

ซึ่งทางทีมงาน SWAG ก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด ยืนยันว่า ไม่ได้เข้าไปถ่ายในสถานที่จริง แต่เป็นการจัดฉากด้วยเทคนิคในการถ่ายทำให้ดูสมจริง ทั้งภายในบริเวณสถานีรถไฟ และตู้โดยสารที่ทำให้ดูเหมือนรถไฟกำลังแล่นอยู่ด้วย ที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจว่าถ่ายในสถานที่จริง แต่ไม่มีตราสัญลักษณ์ใด ๆ ของบริษัท ไทเป เมโทร ปรากฏอยู่ในคลิป และยังเผยแพร่คลิปเฉพาะในกลุ่มปิด ที่เป็นสมาชิกของช่องเท่านั้น

เหตุผลนี้สอดคล้องกับหัวหน้าทีมสืบสวนคดีอาชญากรรมประจำสำนักงานตำรวจไทเปว่า หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการถ่ายทำในสถานที่จริง หรือต่อให้มีการแอบเข้าไปถ่ายจริง แต่ไม่ติดโลโก้ ตราสัญลักษณ์ใดๆ ของรถไฟฟ้า ก็ไม่สามารถฟ้องร้องเอาผิดได้

สิ่งที่ทางบริษัทรถไฟฟ้าไต้หวันสามารถทำได้ มีเพียงการออกแถลงการณ์ประณาม และทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ทางบริษัทมีนโยบายต่อต้านการคุกคามทางเพศทุกรูปแบบภายในพื้นที่ให้บริการของสถานี และมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด

ทั้งเปิดพื้นที่โซนผู้โดยสารหญิงโดยเฉพาะ มีปุ่มขอความช่วยเหลือติดไว้ภายในบริเวณห้องน้ำ ติดกล้องวงจรปิดตามมุมมืด และมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยทุกสถานี สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ตลอดเวลา ขอให้ผู้โดยสารมั่นใจว่า จะไม่มีเรื่องที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นภายในสถานีอย่างที่ปรากฏในหนัง AV แน่นอน

และขอให้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเพียงจินตนาการส่วนบุคคล เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง สถานที่สาธารณะ ไม่สามารถแสดงพฤติกรรมแบบที่เห็นในหนัง AV ได้ หากถูกจับ ก็ปรับจริง โดยมีการระบุไว้ในกฏหมายป้องกันพฤติกรรมลวนลามทางเพศในที่สาธารณะของไต้หวัน มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 เหรียญไต้หวันต่อ 1 ความผิดที่ไม่มีว่างเว้นให้กับเหตุผลของความรู้เท่าไม่ถึงการณ์


อ้างอิง

https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4112873

https://law.moj.gov.tw/Eng/LawClass/LawAll.aspx?PCode=D0050074


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top