Saturday, 27 April 2024
World

สปป.ลาว เริ่มต้นกระบวนการคัดเลือกผู้บริหารประเทศอีกครั้ง หลังรัฐบาลชุดปัจจุบันหมดวาระ 5 ปี รู้ผลการเลือกตั้งคณะกรรมการชุดสำคัญภายในวันที่ 15 มกราคมนี้

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

การประชุมใหญ่ของ ผู้แทนทั่วประเทศของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จัดเป็นประจำทุก 5 ปี ในระหว่างวันที่ 13-15 มกราคม 2564

โดยเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2564 กองประชุมใหญ่ ได้ทำการลงคะแนน ในการคัดเลือกคณะกรรมการกลางพรรค และคณะกรรมการกรมการเมือง ซึ่งผลการเลือกตั้งจะแถลงอย่างป็นทางการในวันนี้ 15 มกราคม 2564

การเลือกคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ จำนวน 11 คน ซึ่งถือเป็นคณะผู้บริหารสูงสุดของพรรค และ เลือกคณะเลขาธิการศูนย์กลางพรรคชุดใหม่อีก 9 คน รวมถึงผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรค

ซึ่งเมื่อได้รายชื่อคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ ขั้นตอนต่อไป เป็นการคัดเลือกตัวบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการบริหารของประเทศ ประกอบด้วย ประธานประเทศ โดยปกติผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค คือ ผู้ที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง

ที่สำคัญ คือ การคัดเลือกบุคคลที่จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

การประชุมพรรคนี้ ถือเป็นการสิ้นสุดวาระการทำหน้าที่ของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีอายุครบ 5 ปี

การจัดกองประชุมครั้งนี้ นายบุนโจม อุบนปะเสิด เลขาคณะบริหารงานพรรค กระทรวงการเงิน และหัวหน้าอนุกรรมการงบประมาณ ใช้งบประมาณเบื้องต้น ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมพร้อมของคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ จนถึงวันประชุม เป็นเงิน 70,000 ล้านกีบ หรือ ประมาณ 209 ล้านบาท

มีองค์กรทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ จำนวน 26 แห่ง แสดงเจตจำนงให้การสนับสนุนทั้งในรูปเงินสดและวัตถุปัจจัย เพื่อให้การประชุมประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

มี 8 บริษัทที่ให้สนับสนุนเป็นเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านกีบ (ประมาณ 3 ล้านบาท) ขึ้นไป ซึ่งบริษัทเอสทีและธนาคารเอสที สนับสนุนมากที่สุด 1,200 ล้านกีบ และบริษัทเอสวี กรุ๊ป อีก 100 ล้านกีบ (บริษัททั้งสองอยู่ในกลุ่มเดียวกัน)

รองลงมาเป็น บริษัทลาวโทละคมมะนาคม 1,100 ล้านกีบ ยังมีรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐ ร่วมมอบเงินสนับสนุน โดยบริษัทเบียร์ลาว ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว และธนาคารแห่ง สปป.ลาว (แบงก์ชาติลาว) สนับสนุนหน่วยงานละ 500 ล้านกีบ บริษัทรัฐวิสาหกิจหวยพัฒนา มอบเงินสนับสนุน 300 ล้านกีบ กลุ่มบริษัทดาวเรือง ไม่ได้มอบเป็นเงิน แต่ได้นำผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำดื่ม กาแฟ ชา ผลไม้อบแห้ง มาร่วมสนับสนุนคิดเป็นมูลค่า 120 ล้านกีบ

ผู้สนับสนุนเหล่านี้ ในทางการเมืองบ้านเรา ก็ถือว่า เป็นกลุ่มทุน และย่อมมีบทบาทต่อไป หลังการประชุมครั้งนี้ เสร็จสิ้นลง


หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

สีจิ้นผิง ผู้นำจีน ออกโรงสนับสนุนแบรนด์กาแฟ Starbuck พร้อมผลักดันธุรกิจการค้ากับบริษัทสัญชาติอเมริกัน เพื่อก้าวสู่ระบบสังคมที่มีความทันสมัย

สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนสนับสนุนให้ ฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ (Howard Schultz) ประธานกิตติคุณของ Starbucks คอร์ปอเรชั่นและบริษัทรักษาบทบาทเชิงบวกในการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าและความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างจีน – สหรัฐต่อไป

ในจดหมายที่สี่จิงผิงเขียนตอบกลับชุดเมื่อวันที่ 6 มกราคม สีเน้นย้ำว่าการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำพาชาวจีน 1.4 พันล้านคนฝ่าฟันความทุกข์ยากต่าง ๆ มาอย่างยาวนานเพื่อสร้างสังคมมั่งคั่งระดับปานกลางในทุกด้าน และสร้างระบบสังคมนิยมที่มีความทันสมัย

ประธานาธิบดีจีนได้ย้ำว่า การเดินทางครั้งใหม่ของจีนสู่การสร้างประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่อย่างเต็มรูปแบบ จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่องค์การต่าง ๆ ทั่วโลกในการเติบโตในจีน ซึ่งรวมถึง Starbucks และบริษัทสัญชาติอเมริกันอื่น ๆ

สีหวังว่า Starbucks จะมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน – สหรัฐ ตลอดจนความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยก่อนหน้านี้จดหมายของชูลท์ซที่ส่งถึงสีจิ้นผิงและแสดงความยินดีต่อประเทศจีนที่กำลังประสบความสำเร็จในการสร้างสังคมมั่งคั่งระดับปานกลางในทุกด้านภายใต้การนำของสีจิ้นผิงพร้อมแสดงตัวว่า ตนให้ความเคารพประชาชนจีนและวัฒนธรรมจีน


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/china/168736_20210114

แม้ทั่วโลกยังกังขา แต่ โรดรีโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ออกมาประกาศว่า การจัดซื้อวัคซีน Sinovac จากจีน มีความปลอดภัย ไร้กังวล และเชื่อถือได้

โรดรีโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ กล่าวระหว่างการปราศรัยต่อสาธารณชนเมื่อคืนวันพุธที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ว่า วัคซีนที่ผลิตโดยจีนนั้น มีคุณภาพดีเทียบเท่ากับที่ผลิตโดยบริษัทเภสัชภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกาและยุโรป พร้อมเสริมว่า ชาวจีนผลิตวัคซีนได้ดีพออยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้บ้องตื้นหากรู้อยู่แล้วว่า วัคซีนจะไม่ปลอดภัย หรือไม่น่าเชื่อถือ คงไม่เสี่ยงผลิตออกมา

แฮร์รี่ โรกค์ โฆษกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เปิดแถลงการณ์ของดูดูแตร์เต ซึ่งระบุว่า ดูแตร์เตพึงพอใจในวัคซีนชนิดเชื้อตายของบริษัทซิโนแวค (Sinovac) และซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ของจีน

วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดเชื้อตายมีความปลอดภัย เนื่องจากเทคโนโลยีถูกใช้กันมานานหลาย 100 ปีแล้ว หากเป็นไปได้ “ผมจะเลือกบริษัทจากบริษัทจีนสองแห่งนี้ เพราะมันเป็นวัคซีนชนิดเนื้อตาย” เขาบรรยายสรุปผ่านทางออนไลน์ในวันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา

ด้านลูลู บราโว ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนและผู้อำนวยการบริหารของมูลนิธิวัคซีนแห่งฟิลิปปินส์กล่าวระหว่างการบรรยายสรุปออนไลน์เมื่อวันอังคารที่ 12 มกราคมที่ผ่านมาว่า ซิโนแวคใช้วิธีการดั้งเดิมในการพัฒนาวัคซีน โดยใช้อนุภาคของไวรัสที่ตายแล้วในการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสัมผัสกับเชื้อ พร้อมเสริมว่า วัคซีนชนิดเนื้อตายเช่นวัคซีนของซิโนแวคนั้น มีความปลอดภัยกว่าวัคซีนชนิดอื่น ๆ อย่างมาก

“วัคซีนชนิดเนื้อตายได้รับการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า และมีประวัติด้านความปลอดภัยที่ดีกว่าวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต” ลูลู บราโวกล่าว

เอ็นริเก โดมิโก้ หัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของฟิลิปปินส์เผยว่า ซิโนแวคกำลังยื่นขออนุญาตใช้งานวัคซีนโคโรนาในกรณีฉุกเฉินจากสำนักงาน พร้อมเสริมว่า กำลังอยู่ระหว่างการประเมินล่วงหน้า

ทั้งนี้ฟิลิปปินส์ได้จัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 25 ล้านโดส โดยที่พัฒนาโดยซิโนแวคไบโอเทค ของจีน โดยคาดว่าจะได้รับวัคซีน 50,000 โดสแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนวัคซีนที่เหลือจะจัดส่งเป็นงวด ๆ ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงธันวาคม

คาร์ลิโต กัลเวซ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการจัดซื้อวัคซีนกล่าวว่า วัคซีนของซิโนแวค 5 หมื่นโดสแรก จะถูกนำไปฉีดให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและประชาชนกลุ่มสำคัญอื่น ๆ ในมหานครมะนิลา ที่เป็นศูนย์กลางการระบาดใหญ่ของประเทศ

ขณะเดียวกันฟิลิปปินส์กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนอย่างน้อย 7 ราย เพื่อจัดซื้อวัคซีนอีกจำนวน 148 ล้าน โดส โดยตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้กับประชากร 50 ถึง 70 ล้านคนหรือมากกว่าร้อยละ 60 ของประชากรทั้งหมดในปีนี้เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รวมอยู่ที่ 492,700 รายซึ่งรวมผู้เสียชีวิต 9,699 ราย


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/high/168781_20210114

‘อิวะโอกะ เรียวตะ’ เด็กชายชาวญี่ปุ่น พบ ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ 7 ปีก่อน วันนี้ทำตามฝัน ได้เป็นนักฟุตบอล และหวังเล่นกับ ‘โรนัลโด้’ สักครั้ง

คุณยังจำหรือเคยเห็นไวรัลนี้ผ่านตานี้หรือไม่?

ไวรัล 7 ปีที่แล้ว (ปี 2014) ที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้หนึ่งในสุดยอดนักเตะของยุคได้ไปประเทศญี่ปุ่น พร้อมเปิดโอกาสให้เด็กญี่ปุ่น ๆ พูดคุยกับเขาในแบบตัวต่อตัว

วันนี้ผมจะขอนำเสนอภาคต่อของไวรัลนั้น เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ไม่เคยยอมแพ้ มีจิตใจมุ่งมั่นในสิ่งหนึ่งอย่างมั่นคง จนน่าเอาเป็นตัวอย่าง

วันที่ 22 กรกฎาคม ปี 2014 เด็กชายอิวะโอกะ เรียวตะ อายุ 12 ปี ได้มีโอกาสเจอหนึ่งในฮีโร่ของเขาในทางฟุตบอล คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในอีเว้นท์ของบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมความงาม MTG โดยเป็นหนึ่งในคนนับหมื่นคนที่ได้รับโอกาสนั้น

ก่อนหน้านั้นเด็กชายเรียวตะ เมื่อรู้ว่าตัวเองได้รับเลือกจึงเริ่มฝึกภาษาโปรตุเกสเพื่อจะได้คุยกับฮีโร่ของเขา พร้อมเตรียมสิ่งที่อยากจะพูดกับเขา

ตัดภาพมาในวันงาน เด็กชายเรียวตะ ได้พกกระดาษโน้ตข้อความที่เตรียมมา และอ่านให้ฮีโร่เขาฟัง ทั้งที่ในงานนั้นมีล่ามแปลภาษาอยู่แล้ว โดยมีใจความว่า

"สวัสดีครับ ผมชื่อเรียวตะ ความฝันของผมคือการได้เป็นนักกีฬาฟุตบอล และหวังว่าจะได้มีโอกาสเล่นร่วมกับคุณสักครั้ง เพื่อให้เป้าหมายนั้นสำเร็จ อะไรที่ควรต้องทำบ้างครับ?"

ระหว่างที่เด็กชายเรียวตะพูดภาษาโปรตุเกสด้วยความยากลำบาก ก็มีเสียงหัวเราะของคนในงาน ถึงจะเข้าใจว่าเป็นการหัวเราะเพราะความเอ็นดู ไม่ใช่การดูถูกก็ตามที

เมื่อเด็กชายเรียวตะพูดจบ ฮีโร่ของเขา คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ถึงกับถามล่ามทุกคนในงานว่า "พวกคุณหัวเราะอะไรกัน? น้องเขาพูดภาษาโปรตุเกสได้ดีเลยนะ สุดยอดเลย เขาพยายามอย่างสุดความสามารถระหว่างที่เขาพูดอยู่ ควรฟังคำพูดของเขานะ"

ใครจะคิดว่าไวรัลนี้จะมีเรื่องราวต่อ

7 ปีต่อมา เด็กหนุ่มชั้นปีที่ 3 ในระดับมัธยมปลาย อิวะโอกะ เรียวตะได้เป็นส่วนหนึ่งของแชมป์ฟุตบอลมัธยมปลายประเทศญี่ปุ่นในปีนี้

นี่อาจเป็นแค่ก้าวแรกของความฝันที่เขาเคยพูดไว้เมื่อ 7 ปีที่แล้วก็เป็นได้ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจด้วยคนนะครับ

แนบลิงค์วีดีโอไวรัลไว้ตามนี้ครับ


Naruphun Chotechuang

รายงาน

ตำรวจไทยจับแก๊งต้มตุ๋นหญิงสาวขายบริการที่บรูไน หลอกว่าได้เงินเดือน 2 แสนบาท ที่ผ่านมามี สาวไทยโดนหลอกติดอยู่ที่บรูไนหลายชีวิต

กลายเป็นข่าวเกรียวกราวที่บรูไน เมื่อสื่อดังของประเทศ Borneo Bulletin รายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ได้ทำการจับกุมชาย 2 คน ที่มีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยทั้งสองคนได้พยายามล่อลวงหญิงสาวให้เดินทางมาขายบริการทางเพศที่ประเทศบรูไน โดยหลอกว่า จะได้เงินเดือนถึง 8,700 เหรียญบรูไน หรือกว่า 200,000 บาท

เบื้องต้นชายทั้ง 2 คนถูกจับกุมตัวไปเรียบร้อย โดยภายหลังมีข้อมูลเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาเคยมีหญิงไทยถูกหลอกมาขายบริการที่บรูไนแล้วถูกจับตัวได้ในช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดอยู่หลายคน สถานการณ์ล่าสุด บรูไนปิดประเทศมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปีก่อน ไม่มีเที่ยวบินเข้าออก นอกจากเที่ยวบินพิเศษเพื่อส่งชาวต่างชาติกลับประเทศ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการอคิวนานพอสมควร

ทางการจีนเตรียมพิจารณานโยบายแบนชาวฮ่องกงที่ถือพาสปอร์ตพิเศษสัญชาติอังกฤษ หรือ BN(O) มีผลให้ไม่สามารถทำงานในหน่วยงานรัฐบาล หรือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง งานนี้ถือเป็นการตอบโต้รัฐบาลอังกฤษที่เปิดโควต้าให้คนฮ่องกงย้ายถิ่นฐานไปอยู่อังกฤษถึงกว่า 3 ล้านสิทธิ์

South China Morning Post สำนักข่าวใหญ่ของฮ่องกงได้รายงานข่าวว่า ทางการจีนกำลังพิจารณานโยบายที่จะแบนชาวฮ่องกงผู้ถือพาสปอร์ตพิเศษสัญชาติอังกฤษ ที่เรียกว่า British National (Overseas) หรือ BN(O) พาสปอร์ต ไม่สามารถทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงอาจเพิกถอนสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้งด้วย

มาตรการใหม่นี้ มีจุดประสงค์เพื่อตอบโต้รัฐบาลอังกฤษที่ได้เปิดโควต้าให้ชาวฮ่องกงผู้มีความประสงค์จะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อังกฤษได้ถึง 3 ล้านสิทธิ์ และกำลังจะเริ่มรับใบสมัครในวันที่ 31 มกราคม 2021 นี้แล้ว

และชาวฮ่องกงที่ได้รับสิทธิ์นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ถือ BN(O) พาสปอร์ต ที่เป็นเหมือนเอกสารรับรองชาวฮ่องกงว่าเคยมีสถานะเป็นพลเมืองในเขตอาณานิคมอังกฤษมาก่อน

โดยมีขั้นตอนว่ารัฐบาลอังกฤษจะออกวีซ่าชั่วคราวให้ก่อน 1 ปี เรียนได้ ทำงานเต็มเวลาได้ หลังจากนั้นค่อยหาช่องทางไปยื่นขอเป็นพลเมืองอังกฤษได้ในภายหลัง

ข่าวนี้ทางรัฐบาลอังกฤษ โดยนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ออกมายืนยันด้วยตัวเองเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2020 หลังจากที่มีข่าวว่าจีนได้ประกาศกฎหมายความมั่นคงใหม่บนเกาะฮ่องกง ที่ทางอังกฤษมองว่าผิดข้อตกลงที่จีนจะยอมให้ฮ่องกงปกครองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ ต่อไปจนถึงปี 2047

ด้วยเงื่อนไขพิเศษของอังกฤษ ที่เปิดโอกาสให้ชาวฮ่องกงสามารถลี้ภัยไปอยู่ที่เกาะอังกฤษได้ จึงทำให้ชาวฮ่องกงที่เคยถือ BN(O) พาสปอร์ต แต่หมดอายุไปแล้ว หรือยังไม่เคยยื่นคำร้องของสถานะ BN(O) มาก่อนเลย แห่ไปต่อคิวที่สถานทูตอังกฤษ เพื่อขอพาสปอร์ต BN(O) กันยาวเหยียด และสร้างความไม่พอใจกับทางการจีนมานานแล้ว จึงมีข่าวว่าจีนอาจทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบโต้นโยบายเปิดรับชาวฮ่องกงย้ายถิ่นของอังกฤษ

มาวันนี้ มีข่าวสะพัดมาจากสำนักข่าวใหญ่ในฮ่องกง ว่าทางจีนอาจจะใช้นโยบายที่จะบีบให้ชาวฮ่องกงต้องตัดสินใจเลือกข้างให้ชัดเจนไปเลยว่า หากจะไปอยู่กับอังกฤษก็ต้องทิ้งสิทธิพลเมืองในประเทศ เช่น การสมัครทำงานในหน่วยงานของรัฐ ดำรงสถานะทางการเมือง หรือแม้แต่การไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

หลังจากที่มีข่าวนี้ออกมา ทางรัฐบาลจีนก็ยังไม่ได้ชี้แจง หรือตอบโต้ใด ๆ แต่ทั้งนี้ สส. ฝ่ายอนุรักษ์ที่โปรปักกิ่ง มีความเห็นว่า เป็นนโยบายที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ และพาสปอร์ต BN(O) ก็มีมาตั้งนานแล้วและเป็นสิทธิ์ของชาวฮ่องกงทุกคนที่เกิดก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 1997 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนที่อังกฤษจะคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีนในวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 สามารถถือครองได้

ส่วน แครี่ ลัม ผู้บริหารสูงสุดของเกาะฮ่องกงก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยได้รับรายงานเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็กล่าวว่าหากพบว่ามีฝ่ายใดที่มีเจตนาเบี่ยงเบนประเด็นจากสิ่งที่เคยตกลงกันไว้ อีกฝ่ายก็จำเป็นต้องออกมาตอบโต้

จากตัวเลขของทางการอังกฤษ เปิดเผยว่าในปี 2020 มีชาวฮ่องกงที่ถือ BN(O) พาสปอร์ตที่ยังใช้การได้จริงอยู่ประมาณ 350,000 เล่ม จากประชากรฮ่องกงผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอพาสปอร์ตพิเศษชนิดนี้กว่า 2.6 ล้านคน และเชื่อว่าจะมีชาวฮ่องกงนับล้านกลับมาขอ BN(O) พาสปอร์ตเพื่อลี้ภัยหนีไปอยู่อังกฤษ

แต่ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นพาสปอร์ตของพลเมืองอังกฤษ แต่สถานะของพาสปอร์ตนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับพาสปอร์ตของคนอังกฤษจริง ๆ แม้แต่น้อย เพราะให้สิทธิ์ชาวฮ่องกงเดินทางไปพำนักที่อังกฤษได้เพียงชั่วคราวแค่ 6 เดือนเท่านั้น ก่อนที่รัฐบาลของ บอริส จอห์นสัน เพิ่งจะมาขยายระยะเวลาให้เป็น 1 ปี และสามารถทำงานเต็มเวลาได้ ที่จะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่สามารถยื่นขอเป็นพลเมืองอังกฤษได้ในเวลาต่อมา ซึ่งก็ต้องแล้วแต่คุณสมบัติ และโอกาสของแต่ละบุคคล ไม่ได้การันตีว่าจะได้เป็นพลเมืองทุกคน

แต่ก็มีบางส่วนแย้งว่า นโยบายจำกัดสิทธิ์ชาวฮ่องกงที่ถือ BN(O) พาสปอร์ต มีความละเอียดอ่อน และเป็นเหมือนบทลงโทษถึงกลุ่มคนที่ไม่สมควรได้รับ

เพราะหากมองว่า สำหรับกลุ่มชาวฮ่องกงที่ไม่มีใจจะอยู่ในระบอบของจีนแล้ว เขาคงไม่สนใจ ถ้ามีโอกาสแล้วยังไงก็ไปอยู่แล้ว และนโยบายนี้จะไม่มีผลอันใดเลยกับชาวฮ่องกงย้ายถิ่นเหล่านี้ แต่กับชาวฮ่องกงที่ยังอยู่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่าเลือกแล้วที่จะอยู่ หรือ อยู่เพราะเลือกไม่ได้ก็แล้วแต่ จะกลายเป็นผู้ที่โดนบีบหนักที่สุด ซึ่งก็ดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไรเช่นกัน


แหล่งข่าว

https://www.scmp.com/news/hong-kong/politics/article/3117625/national-security-law-beijing-mulling-public-office-ban

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/china-considers-banning-uk-passport-holders-from-office

https://www.bbc.com/news/uk-politics-53246899

การประชุมผู้แทนทั่วประเทศพรรคประชาชนปฏิวัติลาวครั้งที่ 11 ได้สิ้นสุดลงแล้วในเมื่อวันที่ 15 ม.ค. โดยได้มีการประกาศรายชื่อคณะกรรมการศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ (ชุดที่ 11) ที่ได้มีการเลือกตั้งกันไปเมื่อวันที่ 14 ม.ค. หลังปิดประชุม

คณะกรรมการศูนย์กลางพรรค ประกอบด้วยกรรมการ 71 คน และกรรมการสำรองอีก 10 คน

จากนั้นคณะกรรมการศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ทั้ง 71 คน ได้ประชุมกันทันที เพื่อคัดเลือกบุคคลที่จะเป็นกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค 13 คน ซึ่งจะเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ ของลาว

ผลการคัดเลือก กรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ 13 คน ประกอบด้วย

1.) ทองลุน สีสุลิด

2.) พันคำ วิพาวัน

3.) ปานี ยาท่อตู้

4.) บุนทอง จิดมะนี

5.) ไซสมพอน พมวิหาน

6.) พลเอก จันสะหมอน จันยาลาด

7.) คำพัน พมมะทัด

8.) สินละวง คุดไพทูน

9.) สอนไซ สีพันดอน

10.) กิแก้ว ไขคำพิทูน

11.) พลโท วิไล หล้าคำฟอง

12.) สีใส ลีเดดมูนสอน

13.) สะเหลิมไซ กมมะสิด

นอกจากนี้ ยังได้เลือกคณะเลขาธิการศูนย์กลางพรรค 9 คน ได้แก่

1.) ทองลุน สีสุลิด

2.) บุนทอง จิดมะนี

3.) คำพัน พมมะทัด

4.) สีใส ลีเดดมูนสอน

5.) คำพัน เผยยะวง

6.) อานุพาบ ตุนาลม

7.) ทองสะลิด มังหม่อเมก

8.) สุนทอน ไซยะจัก

9.) เวียงทอง สีพันดอน

ที่ประชุมได้เลือกทองลุน สีสุลิด ขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่ คณะบริหารศูนย์กลางพรรค ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้วจะได้ขึ้นเป็นประธานประเทศคนใหม่ต่อจากบุนยัง วอละจิด ด้วย

นอกจากนี้ ยังได้เลือกบุนทอง จิดมะนี เป็นผู้ประจำการ คณะเลขาธิการศูนยกลางพรรค และเลือกคำพัน พมมะทัด เป็นประธานคณะตรวจตราศูนย์กลางพรรค โดยมีรองประธาน 6 คน ได้แก่

1.) วิไลวัน บุดดาคำ

2.) สีไน เมียงลาวัน

3.) สุกคำเพ็ด เรืองบุดสี

4.) ดาวบัวละพา บาวงเพ็ด

5.) ไซคำ อุ่นมีไซ

6.) วันไซ ซงซายู

ขั้นตอนต่อจากนี้ กรมการเมืองศูนย์กลางพรรค 13 คน จะคัดเลือกตัวบุคคลที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากทองลุนอีกครั้งหนึ่ง...

(ภาพจากสำนักข่าวสารประเทศลาว)


เครดิต : Facebook : LandLink

ออสเตรเลีย โอเพ่น ป่วนหนัก กักตัวนักเทนนิสกว่า 47 คน หลังพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 ร่วมเดินทางในเครื่องบินลำเดียวกัน

เป็นเรื่องซะแล้ว สำหรับงาน ออสเตรเลีย โอเพ่น หนึ่งในงานแข่งขันเทนนิสระดับแกรด์สแลม ที่จัดขึ้นที่กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อมีการตรวจพบผู้โดสาร 2 คน ที่ร่วมเดินทางมากับเครื่องบินเหมาลำด้วยกันกับทีมนักเทนนิสติดเชื้อ Covid-19 และไม่ใช่แค่เที่ยวบินเดียว แต่พบถึง 2 เที่ยว

เที่ยวบินแรก ไฟล์ท  QR7493 เดินทางมาจากลอส แองเจิลลิส ถึง เมลเบิร์น เมื่อช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา และตรวจพบผู้โดยสาร 2 คน ติดเชื้อ Covid-19 ซึ่งเที่ยวบินนี้ มีนักเทนนิสที่กำลังจะเข้าแข่งขันออสเตรเลีย โอเพ่น ถึง 24 คน รวมถึง วิคตอเรีย อซาเรนกา อดีตแชมป์รายการถึง 2 สมัย

ส่วนอีกเที่ยวบินหนึ่งนั้น เดินทางมาจากนครอาบู ดาบี ถึง เมลเบิร์น มีนักเทนนิสในเที่ยวบินนี้อีก 23 คน ก็พบว่ามีผู้โดยสาร 1 รายติดเชื้อ Covid-19 เช่นกัน

แม้ว่าจะมีการยืนยันแล้วว่ากลุ่มที่ติดเชื้อ Covid-19 บนเที่ยวบินไม่ใช่นักเทนนิส แต่ก็ประมาทไม่ได้ จึงสั่งให้นักกีฬา และทีมงานกักตัว 14 วันตามมาตรที่โรงแรมพิเศษ

นั่นหมายความว่านักเทนนิสที่ถูกกักตัวทั้ง 47 คน จะมาซ้อมภายนอกไม่ได้เลย ต้องอยู่แต่ในห้องพัก ที่อาจทำให้เกิดความเสียเปรียบเมื่อลงแข่งสนามจริงได้

นับเป็นเรื่องวุ่นๆอีกครั้ง ที่เกิดขึ้นใน ออสเตรเลีย โอเพ่น หลังจากที่ปี 2020 ที่ออสเตรเลียต้องเผชิญไฟป่าครั้งเลวร้ายเกือบทั่วประเทศ และทำให้เกิดค่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นจนถึงระดับอันตรายในกรุงเมลเบิร์น ช่วงเวลาที่มีการแข่งขันออสเตรเลีย โอเพ่น พอดี จนเป็นเหตุให้มีนักเทนนิสเป็นลมระหว่างการแข่ง จนต้องถอนตัวไป

ปีนี้ก็มีเหตุ Covid-19 ที่ทำให้วุ่นวาย ก็หวังว่าจะสามารถจัดการแข่งขันได้อย่างราบรื่นในท้ายที่สุด


แหล่งข่าว

The Guardian

https://www.theguardian.com/sport/2021/jan/16/australian-open-players-locked-down-as-two-test-positive-for-covid-19-after-flight-from-us

CNN

https://edition.cnn.com/2021/01/16/tennis/australian-open-covid-19-flights-spt-intl/index.html

เรื่องเล่าจากแดนไกล ’เมือง Sost’ แห่งปากีสถาน เมืองท่าชายแดนที่มีชื่อเล่นว่า เมืองขี้เกียจ วันนี้แม้จะต้องต่อสู้กับโควิด-19 รอบข้าง แต่เมืองนี้ไม่มีใครติดโควิด-19 แม้แต่คนเดียว

คอลัมน์ ริมทางถนนคาราโครัมไฮเวย์

วันนี้จะพาไปเที่ยวเมือง​ Sost เมืองท่าแห่งการคมนาคมของประเทศปากีสถานกับประเทศจีน (เส้นทางสายไหมโบราณ)  บนถนนคาราโครัมไฮเวย์​ จริง ๆ แล้วภารกิจหลักคือ มาซื้อถ่านหินไปใช้หน้าหนาวจัด​ ขาดไม่ได้ไม่อย่างนั้น แข็งตายแน่นอน

เมือง​ Sost  อ่านว่า ซอส​ หรือบางคนออกเสียงว่า ซูส  ซึ่งแปลความหมายในภาษาอูรดู แปลว่า ขี้เกียจ

ผู้คนในเมืองใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ เกือบทั้งหมดเป็นชาววาคี มีบางส่วนเป็นชาวบูเชสกี้ มาจากฮุนซ่า ภาษาที่ใช้เลยจะเป็นภาษาวาคี และบูเชสกี้

เราอาศัยอยู่เมือง​ Passu ห่างจากเมือง Sost ประมาณ​ 40​ กิโลเมตร แต่ไม่ใช่ ​40 กิโลเมตร​ จากกรุงเทพ​- นครปฐม​ ​นะ เพราะวันนี้ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมงกว่า เพราะเส้นทางเต็มไปด้วยหิมะ และถนนลื่นมาก ๆ เลยต้องใส่โซ่ที่ล้อรถ และใช้ความระมัดระวังมาก​ ไม่สามารถทำความเร็วได้

ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยหิมะสีขาว ตัดกับแม่น้ำกุลจิราฟ ที่สีฟ้าสดใส ท่ามกลางหุบเขาสูงใหญ่ของเทือกเขาคาราโครัม จะพบเจอฝูงแกะ และฝูง Yak (จามรี) ตลอดเส้นทาง โชคดีหน่อย ก็จะเจอแพะภูเขา (Himalayan Ibex) ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เดินลงมาหาหญ้ากินข้างล่าง

ในฤดูหนาวจะเห็นฝูงแพะภูเขาได้ง่ายกว่าฤดูร้อน เดินทางมาสักพัก ก็เห็นฝูงแพะภูเขา สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เรามากเลย​ นี่ขนาดเดินทางเข้าออกปากีสถานตอนเหนือมาหลายปี​ เห็นกี่ครั้งก็อดตื่นเต้นกับธรรมชาติ​ที่อุดมสมบูรณ์​ของดินแดนหลังคาโลกไม่ได้

สักพักเดินทางมาถึงเมือง ​Sost ปกติเมืองนี้จะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจจากประเทศจีน แต่เพราะโควิด-19 ตัวดี​ ทำให้รัฐบาลปิดด่านชายแดนกุลจิราฟ​ ซึ่งเป็นชายแดนที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงประมาณ 4700 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ทำให้ผู้คนทั้งสองประเทศไปมาหาสู่กันไม่ได้ และที่สำคัญรถสินค้าจากจีนก็มาปากีสถานไม่ได้เช่นกัน  การท่องเที่ยวที่คึกคักทั้งฝั่งปากีสถานและจีน​ก็เงียบสนิท

ปกติเมือง​ Sost คือศูนย์กลางของการคมนาคมขนส่ง จะมีรถรับจ้างคอยบริการจากเมืองนี้ ข้ามไปเขตปกครองตนเอง​ซินเจียง ประเทศจีนได้ไม่ยาก เข้าไปเมืองทัชคาร์กันและเมืองหลวงอุรุมมูฉี

นักท่องเที่ยวจะจองรถบัสประจำทาง Hunza-Xinjiang  หรือจะเช่ารถส่วนตัวข้ามไปเขตซินเจียงก็ได้ ที่นี่มีคนขับผู้ชำนาญเส้นทางเยอะมาก ๆ

และเมือง Sost ยังมี​ Dry Port หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ท่าเรือบก​ ท่าเรือนี้เป็นที่เก็บสินค้าจีนที่ส่งมาขายที่ปากีสถาน เป็นเหมือนโกดังสินค้าขนาดมหึมา

ตามข้อมูล ท่าเรือบกที่นี่​มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกปี​ เพราะมูลค่าการค้าขายระหว่างประเทศจีน​และปากีสถาน​ผ่านด่านกุลจีราฟ​ มีตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี​ และเส้นทางนี้เป็นเส้นทางหลักของนโยบาย​ One Belt, One Road. ของจีน​ที่ขยายเส้นทางการค้าสมัยใหม่

ปากีสถาน​คือประเทศหลักประเทศหนึ่งตามยุทธศาสตร์​การค้าของจีน

ท่าแห่งนี้ห้ามคนนอกเข้า เราเลยไม่เคยได้เข้าไป แต่ชาวบ้านบอกว่าสินค้าจีนเยอะมาก ๆ คุณอาของสามีเราก็เป็นเจ้าหน้าที่ทำงานที่นั่นด้วย

ทุกอย่างในเมืองนี้ เหมือนเป็น​  Mini China ทีเดียว

ที่นี่ได้รับผลกระทบจากโควิดเข้าขั้นรุนแรง สาหัส​ ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดร้าน โรงแรมมากมายที่ปิดกิจการ ​(บางโรงแรมเปิดรับเฉพาะคนจีน) ร้านอาหารก็เปิดเพียงไม่กี่ร้าน และผู้คนเป็นหมื่นคนตกงาน ไม่ว่าจะเป็นล่าม พ่อค้า ไกด์ คนงาน คนขับรถประจำทาง คนขับรถสิบล้อ และคนอื่น ๆ ต่างรอคอยการกลับมาของการเปิดด่านชายแดนอีกครั้ง รถสิบล้อที่ข้ามด่านไปไม่ได้จอดรอที่เมืองนี้เป็นร้อย ๆ คัน สร้างความสะเทือนใจให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก บางเวลาขณะเราเดินอยู่ในเมืองจะได้ยินเสียง Go Corona Go ไปโคโรน่า ไปโคโรนา​ เสียงนี้มาจากคนที่ตกงาน​จนไม่มีกินจริงๆ

แต่ก็มีความโชคดีจากการปิดด่านชายแดน คือผู้คนที่นี่ไม่มีใครเป็นโควิด-19 ไม่เป็น และไม่เคยเป็น ไม่มีตัวเลขนับ ​1 ด้วย

มันมหัศจรรย์มากนะคะ ที่มีพื้นที่ติดชายแดนจีนเพียงแค่เอื้อม แต่กลับไม่มีโควิด-19 ที่นี่​ อาจจะเป็นเพราะมณฑลซินเจียง ​คือดินแดนตะวันตก​สุด ​ไกลสุดจากอูฮั่น ​มณฑลหูเป่ย​ ที่มีข่าวว่าเป็นต้นทางของโควิด-19 ​ก็ได้

ถนนคาราโครัมไฮเวย์ที่เคยเต็มไปด้วยรถเล็ก รถใหญ่ วันนี้กลายเป็นสนามฟุตบอลให้ชาวบ้านได้เล่นฟุตบอลคลายหนาวแทน

เราเดินซื้อของสักพัก ตั้งใจมาซื้อถ่านหินจากเมืองนี้ เพื่อไปก่อไฟที่บ้านให้ความอบอุ่น และเราก็เดินไปเจอเพื่อน ๆ ไกด์ที่ตกงานมากมาย ทุกคนก็รอความหวังให้โควิด-19 หายไปสักที ในฐานะที่ตัวเองก็ทำทัวร์ ก็อยากให้โควิด-19 หมดไปเช่นกัน

แต่สิ่งที่พบเจอวันนี้ในระหว่างการเดินทาง​ ทุกคนที่เจอยังมีความหวังในการต่อสู้ชีวิตต่อไป​ และคอยการมาของวัคซีน​เพื่อป้องกันไวรัสตัวร้าย​ ให้มนุษย์​ได้ทำมาหากินกันตามปกติสักที

เราจะรอดไปด้วยกัน​ และผู้หญิงไทยคนเดียวบนถนนคาราโครัมไฮเวย์​ ดินแดนหลังคาโลก​ ก็ต้องรอดเหมือนกัน​ เพราะแม่คอยเราอยู่ที่เมืองไทยอันเป็นที่รัก


กุลไลล่า

ไกด์สาวชาวไทย​ สะใภ้​ปากี​สถาน จากหัวหิน​พบรักหนุ่มปากีเชื้อสายวาคี อาศัยอยู่เมืองพาสสุ​ ดินแดนเหนือสุดของประเทศปากีสถาน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารริมถนนคาราโครัมไฮเวย์​ ถนนที่ได้รับการขนานนามว่าสูงที่สุดในโลก​ หรือเส้นทางสายแพรไหมในอดีต​

คอยต้อนรับแขกที่ผ่านทางมา​ แวะกินอาหารไทย​และชิมชา​ เบเกอรี่ชื่อดัง​ ทางเหนือของปากีสถานได้​ พร้อมให้บริการท่องเที่ยวปากีสถาน​หลังโควิด​-19 ผ่านไป

อุบัติเหตุเหมืองทองระเบิดที่จีน มีคนงานติดอยู่ภายในกว่า 22 คน ผ่านไป 1 สัปดาห์เหมือนจะหมดหวังผู้รอดชีวิต แต่แล้วก็มีปาฎิหารย์ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงสัญญาณขอความช่วยเหลือจากผู้รอดชีวิตภายในเหมืองจนได้

ในช่วงเวลานี้ ที่เมืองจีนกำลังติดตามข่าวอุบัติเหตุเหมืองทองหูชาน ในมณฑลชานตง ซึ่งเป็นเหมืองทองของบริษัท ชานตง อู๋ไชหลง บริษัทเหมืองทองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน ได้เกิดระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา ความรุนแรงของแรงระเบิดทำให้เหมืองถล่มปิดทางออก และระบบสัญญาณสื่อสารภายในเหมืองถูกตัดขาด แต่ข่าวร้ายที่สุดของเหตุการณ์นี้คือ มีคนงานเหมืองติดอยู่ข้างในถึง 22 คน

หลังจากที่ทีมกู้ภัยจีน พยายามขุดเจาะ มองหาสัญญาณชีพของคนงานเหมืองที่ยังติดอยู่ภายใน ด้วยการส่งเชือก อาหาร กระดาษ ปากกา เข้าไปในโพรง ที่คาดว่าจะส่งถึงคนงานเหมือง ผ่านไปนานถึง 1 สัปดาห์ ก็มีเสียงเคาะโลหะดังจากภายใน และมีจดหมายผูกปลายเชือกส่งกลับมาให้ถึงทีมกู้ภัยว่า พวกเขายังมีชีวิตอยู่ กำลังรอความช่วยเหลือ โปรดอย่าท้อถอยที่จะตามหาพวกเขา

ข้อความในจดหมายของคนงานเหมืองทำให้ทราบถึงสถานการณ์ภายในเหมือง ว่ามีคนงานในกลุ่มนี้อยู่ 12 คน ยังไม่มีใครเสียชีวิต แต่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน ซึ่งคนงานเหมืองก็ได้ระบุให้ช่วยส่งยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ และผ้าพันแผล มาให้เพื่อนที่บาดเจ็บด้วย

ส่วนคนงานเหมืองที่ยังสูญหายอีก 10 คนนั้น ยังคงไม่รู้ชะตากรรม

แต่ก็ถือว่าเป็นข่าวดี และเป็นความหวังสำหรับครอบครัวของชาวเหมือง และทีมกู้ภัยว่าอาจพบคนงานที่เหลืออีก 10 คนเช่นกัน

อุบัติเหตุในอุตสาหกรรมทำเหมืองของจีน มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และหลายครั้งก็จบลงด้วยความสูญเสียของคนงานเหมืองเป็นจำนวนมาก ที่ส่วนมากเกิดจากความบกพร่องเรื่องการปฏิบัติตามขั้นตอนตามมาตรฐานความปลอดภัย

อุบัติเหตุในเหมืองครั้งร้ายแรงที่สุดของจีน ที่เคยมีบันทึกไว้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1942 ที่เหมืองถ่านหินในเมืองเปิ่นซี มณฑลเหลียวหนิง เมื่อเกิดการระเบิดของแก๊ส และถ่านหินภายในเหมือง ทำให้คนงานเหมือง 1,549 คน เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น นับเป็นอุบัติเหตุในเหมืองครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก

และในปี 2020 ที่ผ่านมา ก็เกิดอุบัติเหตุในเหมืองของจีนถึง 9 ครั้ง ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม เมื่อมีก๊าซพิษคาร์บอนมอนนอกไซด์ รั่วภายในเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่ง ในมณฑลฉงชิ่ง ทำให้มีคนงานเหมืองเสียชีวิตถึง 23 คน

ส่วนเหตุการณ์เหมืองทองคำระเบิดที่ชานตงในครั้งนี้ นับเป็นอุบัติเหตุในอุตสาหกรรมเหมืองครั้งแรกของปี 2021 ที่กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมจีน ถึงมาตรฐานความปลอดภัยของเหมืองจีน และการประสานงานที่ล่าช้าของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจีน ทำให้ทีมกู้ภัยเข้าไปถึงพื้นที่ช้ากว่าที่ควรจะเป็นถึง 30 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ

จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้บริหารของเหมืองทอง สาขาชานตง ถูกไล่ออก 2 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น และนายกเทศมนตรี ก็โดนไล่ออกเช่นกัน


แหล่งข่าว

https://gulfnews.com/world/asia/12-workers-trapped-a-week-ago-in-china-mine-blast-are-alive-send-note-to-rescuers-1.1610960903984

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55700021


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top