Saturday, 27 April 2024
World

ไม่ใช่แค่เมืองไทย ประเทศบรูไนก็ใช้แอปฯ ติดตามการระบาดโควิด-19 แถมจัดเต็มตรวจทุกสถานที่

คอลัมน์ เสียงจากเกาะบอร์เนียวตอนเหนือ บรูไน

ประเทศไทยมีประเด็นข่าวเรื่องการโหลดแอปพลิเคชั่น ‘หมอชนะ’ เพื่อใช้ในการติดตามและป้องกันการระบาดโควิด-19 สำหรับที่ประเทศบรูไน มาตรการในการป้องกันโควิด-19 ก็ถือว่าเข้มงวดอย่างมาก โดยรัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศบรูไน ได้แจ้งว่า มาตรฐานการป้องกันโควิด-19 ของบรูไนถือว่าเข้มข้นที่สุด มีการปิดประเทศมาตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงตอนนี้ และจะไม่เปิดประเทศจนกว่าจะมีวัคซีน

ฉะนั้น ใครจะเดินทางเข้าออกบรูไนในช่วงนี้ ต้องทำหนังสือขออนุญาต และทุกคนต้องกักตัว นอกจากนี้เวลาไปไหนก็จำเป็นต้องใช้แอปพลิเคชั่นที่ชื่อ bruhealth ด้วยทุกครั้ง ทุกที่ เนื่องจากจะมีการขอตรวจดูอยู่ตลอดเวลา หากใครที่ไม่สแกนผ่านแอปพลิเคชั่นตัวนี้ จะมีโทษปรับหนัก

เคยมีกรณีตัวอย่างมาแล้ว คนไทยในบรูไน เข้ามาใช้บริการร้านอาหาร จะด้วยความลืมหรือความขี้เกียจก็สุดแท้ ปรากฎว่าไม่ได้สแกนตอนเข้ามา ซึ่งตามกฎระเบียบคือ ต้องสแกนก่อนเข้าร้านทุกครั้ง ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาปิดประตูร้าน ขอเช็กมือถือทุกคน สุดท้ายลูกค้าคนไทยถูกปรับไป 100 เหรียญบรูไน

แต่ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คือทางร้านก็โดนด้วย ถูกปรับไปถึง 200 เหรียญ! นี่คือตัวอย่างของการเอาจริงเอาจังของเจ้าหน้าที่ที่ประเทศบรูไน ปฏิบัติงานกันอย่างแข็งขันมาก เพื่อไม่ให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง


อะมีนะห์

สาวไทยมุสลิม เกิดใจกลางกรุงเทพ ชีวิตผกผันแต่งงานกับหนุ่มบรูไน ตั้งรกรากปากกัดตีนถีบแต่มีความสุขดี ยังชีพกับการเผยแพร่อาหารไทย มีความรักผูกพันบ้านเกิดทุกลมหายใจ เลี้ยงลูกสองคน วันนึงจะพาลูกมารู้จักแผ่นดินที่เเม่เกิดให้มากขึ้น แนะนำเพื่อนบ้านบรูไนจากกรุงเสรีเบการ์วันให้คนไทยรู้จักมากขึ้น

สภาคองเกรสสหรัฐ ลงดาบยื่นถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี แม้ว่าจะมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งเหลือเพียงแค่สัปดาห์เดียว

หลังจากเกิดเหตุการณ์จราจลครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่มีผู้ประท้วงฝ่ายสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ บุกยึดสภาคองเกรสเพื่อขัดขวางการลงมติรับรอง โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก สภาผู้แทนสหรัฐส่วนใหญ่จึงเห็นว่ามีเหตุสมควรที่จะยื่นถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐที่โดนยื่นเรื่องถอดถอนถึง 2 ครั้งขณะที่ดำรงตำแหน่งเพียงแค่สมัยเดียว

และการยื่นมติถอดถอนครั้งนี้มีขั้นตอนรวบรัดตัดความกว่าครั้งที่แล้วมาก เมื่อย้อนมาดูขั้นตอนการยื่นถอดถอนทรัมป์ในครั้งแรก ต้องรวบรวมเอกสาร หลักฐาน และพยานนานถึง 5 เดือนกว่าประธานสภาล่าง แนนซี เปอโรซี จะเห็นสมควรว่ามีมูลแน่นหนาพอที่จะชงเรื่องเข้าสู่สภา

แต่มาครั้งนี้ แนนซี เปอโรซี ประธานสภาคนเดียวกันใช้เวลาพิจารณาเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น แถมยังจี้ให้เตรียมเปิดสภาพิจารณาอย่างเร่งด่วนอีกด้วย เพราะอะไรนะหรือ  ? ก็เพราะว่าเห็นความผิดเป็นประจักษ์ แถมมีพยานเพียบ ที่เป็นผู้แทนสหรัฐทั้งสภาบน และ สภาล่าง อยู่เต็มอาคาร The Capital ที่กำลังเริ่มพิจารณารับรองผลเลือกตั้งให้กับโจ ไบเดน ในวันเกิดเหตุนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ มี สส. และ วุฒิสมาชิกสหรัฐจำนวนมากทั้ง 2 พรรค ออกมากดดันให้ ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีใช้มาตรา 25 ยึดอำนาจจากทรัมป์เลยทันที ซึ่งมาตรา 25 ตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐจะให้สิทธิ์รองประธานาธิบดีรักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีได้ ด้วยเหตุผลว่าประธานาธิบดีไม่อยู่ในสภาพที่จะดำรงตำแหน่งได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุการอสัญกรรม ถูกลอบสังหาร มีปัญหาเรื่องสุขภาพทางร่างกาย หรือ จิตใจ โดนถอดถอน ลาออก หรือ ด้วยความเห็นของรองประธานาธิบดี และเสียงส่วนใหญ่ในสภาเห็นว่า ประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

ซึ่งถ้ามีการใช้มาตรา 25 ขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมติถอดถอนให้เสียเวลา แต่ว่า เสือไม่กินเนื้อเสือฉันใด ไมค์ เพนท์ ก็คงไม่ทำกับทรัมป์ฉันนั้น แต่มาคราวนี้ สภาข้างมากของสหรัฐเป็นของเดโมแครต ที่ส่วนใหญ่มองว่า มาตรา 25 ไม่ต้องแล้วก็ได้ ยื่นถอดถอนไปเลยดีกว่า แม้ว่าเวลาในตำแหน่งของทรัมป์จะเหลือน้อยแค่ไหนก็ตาม ในเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ อยากสร้างตำนาน ก็จะจัดให้

เพราะนอกจากจะทำให้ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่โดน Double Impeachment โดนคดีถอดถอน 2 เด้งภายในสมัยเดียว และมีโอกาสสูงมากที่จะสำเร็จด้วย และจะทำให้ชื่อของทรัมป์ ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์สหรัฐด้วยว่า เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกถอดถอนสำเร็จด้วย

แต่นอกเหนือจากการถูกถอดถอน ที่ดูเหมือนทำเรื่องให้ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น เพราะถึงยังไงทรัมป์ก็อยู่ในตำแหน่งได้อีกไม่กี่วัน แต่คดีถอดถอนประธานาธิบดีมีความหมายมากกว่านั้น เพราะหากถอดถอนทรัมป์ได้จริง จะมีผลทำให้ทรัมป์ไม่สามารถลงชิงตำแหน่งการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2024 ได้อีก

ก็ต้องมาติดตามกันดูว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มาเพื่อสร้างปรากฏการณ์หลายอย่างในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ แม้จะดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 4 ปี แต่เป็น 4 ปีที่เต็มไปด้วยความระทึกขวัญทั้งกับคนสหรัฐ และคนทั่วโลก และจะเป็นตำนานให้ชาวโลกได้เม้าท์มอยกันไปอีกนานแสนนาน


แหล่งข่าว
https://edition.cnn.com/2021/01/11/politics/donald-trump-democrats-impeachment-capitol-riot/index.html

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-55611630

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-55611630

https://www.usnews.com/news/national-news/articles/2017-02-10/10-things-you-didnt-know-about-the-25th-amendment

อดเที่ยวเมืองไทยเพราะโควิด-19 แต่ครอบครัวชาวมาเลย์ฯ โชว์ไอเดียสุดล้ำ จำลองเมืองไทยมาไว้ในบ้านแก้คิดถึงกันไปเลย

เพราะสถานการณ์โควิด – 19 ทำให้ผู้คนทั่วโลกไม่สามารถเดินทางไปไหนได้สะดวกนัก โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวยังต่างประเทศ แต่ล่าสุด มีเรื่องชวนยิ้มจากประเทศมาเลซีย เหตุเกิดจากมีครอบครัวชาวมาเลย์ฯ ครอบครัวหนึ่ง ชื่นชอบเมืองไทยเอามาก ๆ แต่ในเมื่อเดินทางมาไม่ได้ เขาก็เลยใช้วิธีอันสุดบรรเจิดแบบนี้

โดยคุณพ่อคุณแม่จัดการจำลองเอา ‘ประเทศไทย’ มาไว้ในบ้านเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ สิ่งของ อาหาร ที่เป็นไฮไลท์ของเมืองไทย อาทิ รถตุ๊กตุ๊ก ต้มยำ ข้าวผัด ข้าวเหนียวมะม่วง แม้แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เมืองไทยก็ยังมี พวกเขาประดิษฐ์สิ่งของเหล่านี้ขึ้นมาด้วยกระดาษ เพื่อให้ลูก ๆ ได้เอาไว้เล่นจำลองสถานการณ์ประหนึ่งว่ากำลังมาเที่ยวเมืองไทย

แถมงานนี้พี่ไมได้มาเล่น ๆ เพราะขนาดตั๋วเครื่องบินยังอุตส่าห์ทำจำลองขึ้นมา มีเครื่องแลกธนบัตร มีการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน มีร้านขายของข้างทาง ร้านขายของเล่น ตุ๊กตา เครื่องประดับ (สงสัยจะเคยมาย่านพาหุรัด-สำเพ็ง) เรียกว่าจัดเต็มเวรี่ไทยเอามาก ๆ !

การละเล่นด้วยความคิดถึงเมืองไทยครั้งนี้ ทางครอบครัวได้เผยแพร่ลงไปในโลกโซเชี่ยล ซึ่งหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับความสนใจและกลายเป็นไวรัลไปในทันที มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาคอมเม้น มีทั้งชื่นชม และวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา แต่ถึงที่สุดแล้ว ต้องให้คะแนนความตั้งใจกับครอบครัวนี้เป็นอย่างมาก

เอาเป็นว่า รอพี่โควิด-19 ให้หมดไปซะก่อน คงได้เดินทางมาเที่ยวกันจริง ๆ รักเมืองไทยขนาดนี้ เดี๋ยวพี่ไทยมาเที่ยวเอ๊งงง!


ที่มา:

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4835157123223436&id=100001875894665

Youtube ยำไอเดีย

มาเลเซียประกาศห้ามประชาชนเคลื่อนย้ายหรือเดินทางออกนอกบ้านเกิน 10 กิโลเมตร หลังโควิด-19 ระบาดหนักรอบที่ 3

คอลัมน์สายตรงจากเคแอล

เมื่อเวลา 18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายมุฮ์ยิดดิน ฮัซซิน ได้ออกประกาศคำสั่งควบคุมการห้ามเคลื่อนย้ายของประชาชนหรือ MCO (Movement Control Order) ใน 5 รัฐ ได้แก่ รัฐปีนัง, มาละกา, ซาลังงอร์, ยะโฮร์, ซาบาร์ และ 3 ดินแดนสหพันธ์ (Wilayah Persekutuan) คือ กัวลาลัมเปอร์, ลาบวนและพุตราจายา เป็นเวลา 14 วัน เริ่มวันที่ 13-26 มกราคม 2021

มาเลเซียเผชิญการระบาดรอบนี้เป็นรอบที่ 3 เริ่มมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งรอบนี้ถึงขั้นเอาไม่อยู่เพราะมีผู้ป่วยรายใหม่ไม่ต่ำกว่า 2 พันกว่าคนเป็นเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน จนระบบสาธารณสุขของประเทศรับไม่ไหว ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลหลักของรัฐแล้ว

โดยผู้ป่วยสะสมของมาเลเซียทะลุหลักแสนรายคือ 138,224 เสียชีวิตรวม 555 ราย

ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ล่าสุดวันที่ 11 มกราคม 2021 มีจำนวน 2,232 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 4  ราย ผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ทั้งสิ้น 28,554 ราย

กฎหลักๆที่จะต้องปฏิบัติตามมีดังนี้คือ

❌ ห้ามเดินทางข้ามเขต/ข้ามรัฐ

❌ ห้ามนั่งทานในร้านอาหาร ให้บริการใส่กล่องกลับไปทาน หรือใช้บริการ delivery เท่านั้น

❌ ห้ามมีกิจกรรมหรือการชุมนุมต่างๆ เช่น งานแต่งงาน, งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส, ประชุม, กิจกรรมทางศาสนา, งานไทปูซัม (Thaipusam), การสัมมนา, การฝึกอบรมและกิจกรรมกีฬาประเภทหลายคน

❌ จำกัดการเดินทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร จากบ้าน

❌ จำกัดผู้โดยสารในรถ 2 คน/คัน

✅ อนุญาตให้ออกจากบ้านได้เพียง 2 คน/บ้าน เพื่อไปซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็นใกล้บ้านเท่านั้น

ผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนมีโทษปรับ RM1,000  และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายมาตรา Act 1988 (Act 342)

✅ พนักงานออฟฟิศประมาณ 70% ของกิจการบริษัทต่างๆจำเป็นต้องทำงานที่บ้าน (Work from home)

✅ สำหรับนักเรียนที่จะต้องสอบ SPM ในปี 2020 และ 2021 อนุญาตให้ไปโรงเรียนเพื่อสอบได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎ SOP อย่างเคร่งครัด (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้ออกกฎ SOP อีกครั้ง)

We hate lockdowns but no choice!

Stay safe, Stay home, Stay strong!

 

Credit info:

Jabatan Perdana Menteri

Kementerian Kesihatan Malaysia (KKM)


ผิงกั่ว

สาวเมืองชล โชคชะตานำพามาให้ลงหลักปักฐานอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์  ชีวิตท่ามกลางคนหลายเชื้อชาติ หลากภาษาทั้งจีน มลายู และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรรม ส่องมุมมองจากเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

สวนสัตว์ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียร์ สหรัฐ ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในลิงกอริลลา 2 ตัว หลังพวกมันมีอาการไม่สบายและไอ เมื่อ 6 มกราคมที่ผ่านมา จึงส่งมันไปตรวจร่างกาย ก่อนผลตรวจยืนยันพบเชื้อโควิด-19 เมื่อวานนี้ (11 ม.ค.)

สวนสัตว์แห่งนี้มีกอริลลาในความดูแลทั้งหมด 8 ตัว และในจำนวนนี้มีอีก 3 ตัวที่อาการอยู่ในกลุ่มเสี่ยง แต่ยังไม่พบว่าติดโรค ซึ่งทางสวนสัตว์กำลังเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด รวมกับเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคของแคลิฟอร์เนีย

ส่วนอาการของกอริลลาที่ป่วย นั้นมีอาการไอ แต่โดยรวมยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก ยังสามารถกินอาหารและดื่มน้ำได้ดี

ทั้งนี้ สาเหตุหลักของการติดเชื้อคาดว่า เป็นการได้รับเชื้อมาจากเจ้าหน้าที่สวนสัตว์รายหนึ่ง ที่มีอาการป่วยและไม่แสดงอาการ ล่าสุด ทางสวนสัตว์ซานดิเอโก ประกาศปิดให้บริการชั่วคราว พร้อมยกระดับมาตรการควบคุมการระบาดในเขตสวนสัตว์

กลายเป็นที่โจษจันไปทั้งเมืองลอดช่อง เมื่อสาวใหญ่วัย 65 ปีชาวสิงคโปร์ ที่เคยติดเชื้อ Covid-19 เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ที่ผ่านมาต้องติดคุกนานถึง 5 เดือนเพียงเพราะเธอปกปิด Timeline

สาวใหญ่ดวงตกรายนื้ชื่อว่านาง " โอ บี ฮก " แต่งงานแล้ว มีสามีเป็นตัว เป็นตนที่ยังอยู่กินด้วยกัน แต่เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว เธอตรวจพบว่าติดเชื้อ Covid-19 และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล Singapore General Hospital

ทางการสิงคโปร์จึงส่งเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุขมาสอบสวนโรค และให้เธอเปิดเผย Timeline ว่าได้ไปที่ไหน กับใครมาบ้างในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในตอนแรกเธอบ่ายเบี่ยง อ้างว่าไข้ขึ้น อ่อนเพลีย และต้องการพักผ่อน

วันต่อมาเจ้าหน้าที่ยังจี้ต่อ โทรศัพท์มาให้เธอแจงวัน เวลา และสถานที่ที่ไปในรอบสัปดาห์อย่างละเอียด เธอบอกเพียงว่าไปวัด ไหว้เจ้า และกินเลี้ยงกับครอบครัวช่วงตรุษจีน

แต่ว่า Timeline ที่เธอได้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลับไม่ตรงกับที่เธอเคยแจ้งบอกคุณหมอไว้ว่า เธอไปจ่ายตลาดที่ย่าน บูกิต บาต็อก และ บูกิต ติมาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง และไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดให้สามีในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่มีครอบครัว ที่มีหลาน ๆไปร่วมงานฉลองหลายคน

และเรื่องก็มาโป๊ะแตก เมื่อมีคนไข้ติด Covid-19 อีกคนเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาล และเมื่อเช็ค Timeline ของคนไข้รายนั้น ก็พบว่าเคยเจอคุณนาย โอ บี ฮก ที่ภัตตาคาร Joy Garden ในห้าง SAFRA Jurong เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีงานเทศกาลดินเนอร์ และคาราโอเกะ ที่กลายเป็น Cluster ใหญ่ มีคนติดเชื้อในงานเลี้ยงมากถึง 47 ราย

เมื่อพบหลักฐานว่า คุณนายโอ บี ฮก ไปงานเลี้ยงในห้าง SAFRA Jurong และยังพบว่าเธอไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับผู้ชายอีกคน ซึ่งไม่ใช่สามีของเธอ!!

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจึงเร่งสืบว่าผู้ชายที่มากับคุณนายโอ บี ฮก เป็นใคร และในที่สุดก็ทราบชื่อว่าเขาคือ นาย "ลิม เกียง ฮง" อายุ 71 ปี และติดเชื้อ Covid-19 เช่นเดียวกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางเจ้าหน้าที่จึงสืบต่อ จากข้อมูลประวัติการใช้บัตรเครดิตของนายลิม เกียง ฮง และ เลขทะเบียนรถที่มีบันทึกว่าไปจอดในสถานที่ใดบ้างในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก็พบความจริงว่า คุณนาย โอ บี ฮก และ นายลิม เกียง ฮง นัดพบกันถึง 5 ครั้งในรอบไม่กี่สัปดาห์ และมักนัดพบกันในร้านอาหารตามห้างสรรพสินค้าในเขตฝั่งตะวันตกของเมืองสิงคโปร์

เจ้าหน้าที่จึงนำหลักฐานกลับไปหาคุณนาย โอ บี ฮก แจงรายละเอียด Timeline ที่สืบได้ถี่ยิบ จนคุณนายโอ ต้องยอมรับสารภาพความจริงว่า ที่เธอจงใจปกปิดไม่ยอมบอกเรื่องของนายลิม เพราะไม่อยากเป็นที่ครหานินทาว่าเธอมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับนายลิม เกียง ฮก แต่ก็ยังนัดเจอนายลิม อยู่เป็นประจำในวันที่สามีออกไปตีแบตมินตัน ที่มักจะเป็นวันว่างของเธอ เพราะไม่ต้องทำกับข้าว

แต่ที่เรื่องมาแดง เพราะติด Covid-19 จากการแอบนัดพบกันที่ห้าง SAFRA Jurong ที่เป็น Cluster ใหญ่นั่นเอง

เรื่องลับส่วนตัวเช่นนี้ เกิดกับใครคงไม่อยากจะบอก และคงไม่มีคนนอกคนไหนอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ ที่มีโจทย์การติดเชื้อ Covid-19 มาเกี่ยวด้วย คุณนาย โอ บี ฮก นอกใจสามีของเธอหรือยัง ไม่อาจรู้ได้ แต่ที่ฟันธงได้แน่ๆคือ เธอทำผิดกฎหมายเรื่องการปกปิดข้อมูล Timeline ในช่วงที่มีกฎหมายว่าด้วยเรื่องการควบคุมโรคระบาด

และผลจากการที่เธอปิดบังข้อมูล ทำให้หลานชายอีกคนในครอบครัวติดเชื้อ Covid-19 ไปด้วยจากงานเลี้ยงฉลองวันเกิดสามีของเธอในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นั่นเอง

และความผิดในการปกปิดข้อมูลสอบสวนโรคในสิงคโปร์ มีโทษสูงสุดถึงจำคุก 6 เดือน ปรับอีก 10,000 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 2.27 แสนบาท

หลังจากสู้คดีมาหลายเดือน ศาลสิงคโปร์เพิ่งตัดสินลงโทษคุณนาย โอ บี ฮก ด้วยโทษจำคุกนาน 5 เดือน ข้อหาปกปิด Timeline ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาด Covid-19 เพิ่ม ยังทำให้เจ้าหน้าที่รัฐเสียทั้งเวลา และงบประมาณโดยใช่เหตุ

จึงเป็นข้อคิดเตือนใจสำหรับใครหลายคน ที่คิดว่าติด Covid ไม่เป็นไร แต่สำหรับบางประเทศเขาซีเรียสกว่าที่คุณคิด เพราะฉะนั้น หากคุณ...มีความลับเยอะ ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ถ้าไม่อยากถูกเปิดเผย Timeline นะจ๊ะ


แหล่งข่าว

https://www.todayonline.com/singapore/housewife-safra-jurong-covid-19-cluster-gets-jail-not-disclosing-secret-meetings-male

https://www.bbc.com/news/world-asia-55579775

https://www.straitstimes.com/singapore/courts-crime/jail-for-housewife-with-covid-19-who-failed-to-disclose-meetings-with-male

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาตรการใหม่ ต้องแสดงผลตรวจโควิด-19 เป็นลบก่อนการเดินทางเข้าสหรัฐฯ มีผล 26 มกราคมนี้

ประกาศด่วนจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC แห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาตรการใหม่ให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาด้วยเที่ยวบินระหว่างประเทศ จะต้องแสดงผลตรวจ Covid-19 เป็นลบก่อนขึ้นเครื่อง เริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคมนี้เป็นต้นไป

มาตรการใหม่ของ CDC ระบุว่าผู้ที่จะเดินทางเข้าเมืองสหรัฐจากต่างประเทศโดยเครื่องบิน จะต้องยื่นผลตรวจเชื้อ Covid-19 เป็นลบ คือ ไม่ติดเชื้อ ที่ตรวจภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 วันก่อนขึ้นเครื่อง เป็นเอกสารรับรองจากห้องแล็ปที่เป็นกระดาษ หรืออยู่ในรูปแบบเอกสารอิเล็คทรอนิกส์ก็ได้ให้กับสายการบิน หากผู้โดยสารคนใดไม่มีเอกสารรับรอง หรือปฏิเสธการตรวจ ทางสายการบินสามารถปฏิเสธผู้โดยสารไม่ให้เดินทางได้ทันที

และเมื่อเดินทางไปถึงที่สหรัฐอเมริกาแล้ว CDC ยังแนะนำให้กักตัวอยู่บ้านต่ออีก 7 วัน และตรวจเชื้อซ้ำอีกรอบภายใน 3 - 5 วัน เพื่อความมั่นใจว่าไม่มีการติดเชื้อระหว่างเดินทางแน่นอน

ด็อกเตอร์ โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคได้อธิบายว่า ถึงแม้ว่าการตรวจเชื้อจะไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ทั้งหมด และต้องทำร่วมกับมาตรการอื่น ๆ เช่น การสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง การเว้นระยะห่าง การกักตัวอยู่บ้านเพื่อดูอาการ ก็จะช่วยให้สามารถเดินทางข้ามประเทศได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ลดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสบนเครื่องบิน ที่สนามบิน และการระบาดเพิ่มภายในประเทศได้

และมาตรการที่เข้มขึ้นนี้ย่อมมีผลกับธุรกิจสายการบินในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงวิกฤติ Covid-19 ทั่วโลก ที่แทบทุกประเทศมีมาตการจำกัดการเดินทางของชาวต่างชาติ หรือแม้กระทั่งแบนนักเดินทางจากบางประเทศ แต่ทั้งนี้ก็ยังมีผู้ที่ประสงค์เดินทางเข้าเมืองสหรัฐ จากนักธุรกิจชาวอเมริกันที่จำเป็นต้องเดินทางเป็นประจำ ที่มักซื้อตั๋วล่วงหน้า แต่เดินทางไม่ได้อยู่เป็นจำนวนมาก

และธุรกิจสายการบินในสหรัฐก็เพิ่งจะเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ตัวเลขผู้ที่เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนธันวาคม 2020 มีอยู่ประมาณ 2.1 ล้านคน หรือเฉลี่ย 76,000 ต่อวัน ที่หลายฝ่ายคาดว่าน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อมีการประกาศมาตรการใหม่จาก CDC ออกมาก็ทำให้ภาคธุรกิจสายการบินต้องปรับตัวกันอีกครั้ง

หากมองในแง่ดี กฏใหม่ที่ออกมาทำให้สหรัฐอาจไม่จำเป็นต้องมีมาตรการจำกัดการเข้าเมืองสหรัฐแล้ว หากผู้โดยสารทุกคนยื่นผลตรวจ Covid-19 ก่อนการเดินทางตามเงื่อนไข แล้วค่อยไปกักตัว หรือตรวจเชื้อซ้ำอีกครั้งหลังเดินทางไปถึง ทำให้สายการบินสามารถเปิดเที่ยวบินให้บริการได้มากขึ้น ซึ่งทางสายการบินอาจพิจารณาให้มีบริการจุดตรวจเชื้อให้กับผู้โดยสาร เพื่อรอรับผลได้ก่อนออกเดินทาง เพิ่มความสะดวกให้กับผู้โดยสารมากขึ้นอีกด้วย

นับว่าในวิกฤติก็ยังมีโอกาสอยู่เสมอ หากเราเตรียมพร้อม ทำตามขั้นตอนที่กำหนด ก็สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย ในยุค Covid-19 ที่น่าจะอยู่กับเราไปอีกสักระยะหนึ่ง


แหล่งข่าว

https://www.cdc.gov/media/releases/2021/s0112-negative-covid-19-air-passengers.html

https://www.usatoday.com/story/travel/airline-news/2021/01/12/covid-test-required-international-passengers-flying-into-us/6640424002/

https://www.cnbc.com/2021/01/12/us-planning-to-require-negative-covid-tests-for-inbound-international-air-travel.html

แม้จะผ่อนคลายจากการล็อคดาวน์ แต่ชาวออสเตรเลียยังต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบมากมาย ตามไปดูว่ามีอะไรกันบ้าง

คอลัมน์ "ข้างครัวริมแม่น้ำบริสเบน"

หลังจากประกาศล็อคดาวน์รอบสองเป็นเวลา 3 วันติด ควีนส์แลนด์ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่จึงมีการคลายล็อคดาวน์ตามกำหนดการเดิมเวลา 18.00 น. เย็นวันจันทร์ที่ 11 มกราคม แต่จะมีการบังคับใช้มาตรการใหม่อีก 10 วันเพื่อเฝ้าระวังในพื้นที่ Brisbane , Ipswich , Logan Moreton Bay และ Redlands จนถึงเวลา 01.00 น. วันที่ 22 มกราคม มาดูกันสิว่า เราทำอะไรกันได้บ้าง

1.) เรายังคงออกไปทำงานได้ตามปกติ ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป ใครมีงานไปทำงาน ไม่มีงานก็พยายามหากันต่อไป ขับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ขี่จักรยานไปทำงาน ไม่จำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย แต่ถ้าขึ้นรถโดยสารสาธารณะเมื่อไร หน้ากากอนามัยจำเป็นที่จะต้องครอบจมูกไปจนถึงคาง ไม่มีใส่ไว้ใต้จมูก หรือเอาไว้แค่ปิดปาก ระยะห่างทางสังคมยังเหมือนเดิม มาเป็นคู่ก็ต้องนั่งแยกคู่ นั่งห่างกันให้ได้อย่างต่ำ 1.5 เมตร คนขับรถเมล์บางคนค่อนข้างเคร่งครัด ถ้าเผลอนั่งติดกันเมื่อไร รถจะไม่แล่นจนกว่าคนขับจะสั่งสอนเรื่อง Social distancing จนเป็นที่พอใจ

2.) ไปช้อปปิ้งซื้อของในห้างสรรพสินค้าได้ เข้าใจว่าโควิดทำให้เครียด และนี่คือหนึ่งในวิธีบำบัดความเครียดของสาว ๆ เครียดมากซื้อมาก เครียดน้อยซื้อน้อย แต่ก่อนออกจากบ้านต้องพกหน้ากากอนามัยไปด้วย เป็นข้อบังคับว่าคุณต้องใส่หน้ากากอนามัยในขณะเดินช้อปอย่างสำราญใจ หรือจะซื้อข้าวของเครื่องใช้ใด ๆ ก็ตาม พื้นที่ในอาคารมีกฎว่าทุกคนต้องสวมหน้ากาก บางห้างร้านถึงกับปิดประกาศไว้หน้าประตู “ No mask No service” ยังดีนี่แค่เตือน แต่ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้า คุณอาจไม่ได้แค่โดนตักเตือน เผลอ ๆ อาจจะโดนค่าปรับเอาด้วย

3.) ไปกินข้าวนอกบ้านได้ มาม่ากับไข่เจียวไหม้ ๆ ที่ทำกินเองทุกวันคงไม่ทำให้คุณเจริญอาหารแน่ ๆ คลายล็อคคราวนี้คุณสามารถจะจองโต๊ะดินเนอร์หรูริมฝั่งแม่น้ำบริสเบนหรือจะเดินไปนั่งชิลล์ ๆ ดื่มกาแฟที่คาเฟ่หน้าปากซอยก็ได้แน่นอนพนักงานให้บริการรับออเดอร์เสิร์ฟอาหารมีข้อบังคับว่าต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเพื่อความสบายใจ คุณจะใส่หน้ากากสั่งอาหารก็ไม่มีใครว่า แต่ก็อย่าลืมถอดออกมาก่อนรับประทานอาหาร ที่สำคัญก่อนเข้าร้านต้องสแกนบาร์โค้ดและกรอกประวัติข้อมูลว่ามารับประทานอาหารที่ร้านนี้ วันนี้ เวลานี้เผื่อมีใครติดโควิดขึ้นมาเขาจะได้ตามเช็คตามแจ้งตามตรวจคุณได้ทัน

4.) เข้าไปใช้บริการห้องสมุดได้ โควิด-19 ไม่มีผลกระทบกับเด็กเนิร์ดอย่างเรา ถ้าจะเข้ามาอ่านหนังสือ ใช้ Wi-Fi ฟรี ทำการบ้าน ลอกการบ้าน ส่งงานอาจารย์ ก็มาใช้บริการห้องสมุดกันได้ ห้องสมุดทุกที่ในบริสเบนยังเปิดให้บริการตามปกติทุกวัน เพียงแต่คุณจะต้องกรอกประวัติการเข้ามาใช้บริการและสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะเข้าใช้บริการ พื้นที่ในการนั่งทำงาน ก็จะเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างที่ทราบกันดี ส่วนห้องประชุมงดให้บริการ เพื่อความปลอดภัยของทุก ๆ คน

5.) ออกกำลังกายได้ ถ้าคุณเกิดอยากจะฟิตแอนด์เฟิร์มในช่วงนี้ สิ่งที่ควรรู้ในการออกกำลังกายคือ ถ้าคุณเล่นกีฬาในร่ม (ที่มีผู้คน) เช่น เข้ายิม เล่นโบว์ลิ่ง ยิงธนูในอาคาร ทุกอย่างที่ว่ามา คือต้องเว้นระยะห่างทางสังคมและคุณยังจะต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาในขณะออกกำลังกาย แต่ถ้าหากคุณเล่นกีฬากลางแจ้ง เช่น วิ่งจ้อกกิ้ง ปั่นจักรยาน ตีแบดกลางแจ้ง ยิงปืน ยิงธนูกลางแจ้ง พวกนี้ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย แต่ถ้าคุณกลัวว่าไวรัสจะปลิวตามกระแสลมแล้วล่ะก็ จะสวมไว้ก็ไม่มีใครว่าอะไร เอาที่คุณสบายใจแล้วกัน อย่างไรก็ตาม จำกัดจำนวนคนในสนามกีฬากลางแจ้งได้ไม่เกิน 50% ของความจุ และเป็นไปตาม COVID Safe-plant      

6.) ดูซีรีส์เกาหลีอยู่บ้านได้ ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีโอปป้าอยู่เคียงข้าง แม้บางเวลาจะทำเราเสียน้ำตาบ้าง แต่โอปป้าก็จะเป็นคนเดียวที่คอยเคียงข้าง ทำให้เราไม่เหงา ให้เรามีกำลังใจในทุก ๆ วัน ขอแค่มีตังค์จ่ายค่าอินเตอร์เน็ตและ Netflix ก็พอ (เออ…อันนี้อินได้แต่ไม่ต้องใส่หน้ากากดู Netflix ก็ได้นะคะ) ดูซีรีส์ที่บ้านไม่ต้องสวมหน้ากาก แต่ถ้าหากไปชมคอนเสิร์ต ดูละครในโรงละคร และดูหนังในโรงหนังเมื่อไร ก็จำเป็นจะต้องหาหน้ากากมาใส่กันนะจำกัดจำนวนคน คอนเสิร์ตในร่ม โรงละครไม่เกิน 50% ของความจุหรือ 4 ตารางเมตรต่อคน

 

7.) รวมตัวกันทั้งในที่สาธารณะและที่พักอาศัยไม่เกิน 20 คน จำกัดจำนวนคนงานแต่งงาน งานศพ ไม่เกิน 100 คน ทางที่ดีไม่ควรเสียชีวิตตอนนี้เพราะคนที่จะมาร่วมแสดงความเสียใจในงานศพเราเขามากันได้ไม่เกิน 100 คน ดังนั้นควรหมั่นดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจให้ดี ที่ไหนที่คนเยอะ ก็ไม่ต้องไปสุ่มเสี่ยง ปาร์ตี้สังสรรค์ งานวันเกิด งานอะไรต่อมิอะไรที่ไม่จำเป็นต้องพักไว้ก่อน เก็บร่างที่ยังแข็งแรงไว้ต่อสู้กับปัญหาปากท้อง เพราะเจ้าโควิดนี้ยังอยู่กับเราอีกนาน ตายตอนนี้คงดูเหงา ๆ ชอบกล มีคนไม่ถึง 100 คนที่มาร่วมงาน     

8.) งดการเข้าเยี่ยมในสถานดูแลผู้สูงอายุโรงพยาบาล ที่พักผู้พิการและทัณฑสถาน สถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวมามีผู้พักอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก หากมีคนใดคนหนึ่งติดเชื้อขึ้นมา การแพร่ระบาดก็จะลุกลามไปอย่างรวดเร็วและยากที่จะยับยั้งโดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ การงดเข้าเยี่ยมจึงเป็นมาตรการที่ถูกนำมาใช้ในการควบคุมการระบาดในครั้งนี้

9.) งดการเต้นรำ การเต้นรำเป็นสิ่งต้องห้ามในยามนี้ คือการไม่เต้นในผับในบาร์ แต่ถ้าคุณจะเต้นคนเดียวที่บ้านนั้นก็ไม่เป็นไร หรือยกเว้นกรณีคู่บ่าวสาวเต้นในงานแต่งงาน อันนั้นเขาอนุโลมให้ แม้จะมีข้อบังคับห้ามเต้นรำในผับบาร์ แต่ผับ บาร์ ร้านอาหาร คาเฟ่ ยังคงเปิดให้บริการได้ เพียงแต่ต้องมีที่นั่งให้รับประทานเท่านั้น ห้ามยืน มุง หรือเต้นโดยเด็ดขาด

ยังมีข้อจำกัดอีกหลายหลายอย่างในการคลายล็อคดาวน์ครั้งนี้ เช่น ธุรกิจต่าง ๆ ให้เว้นระยะห่าง 4 ตารางเมตรต่อคนสำหรับพื้นที่กลางแจ้ง และ 2 ตารางเมตรต่อคนสำหรับพื้นที่ในอาคาร สำหรับสถานที่ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่เกิน 200 ตารางเมตร ให้ใช้กฎ 2 ตารางเมตรต่อคน แต่รับสูงสุดได้ไม่เกิน 50 คนต่อครั้ง ฯลฯ เพื่อความมั่นใจในการปฏิบัติตามกฎระเบียบทางสังคม ก็คอยติดตามข่าวสารกันอย่างต่อเนื่อง ขอให้ทุกคนปลอดภัยห่างไกลจากโคขวิด เอ๊ย !! โควิด


แพร

อดีตผู้ประกาศข่าว สำนักริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชีวิตดิ้นรนมาเป็นเชฟในเมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ประเทศออสเตรเลีย สรรหามุมมองเรื่องเล่าจากดินแดนดาวน์อันเดอร์ มาให้อ่านกันบ่อย ๆ

ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ‘โจ ไบเดน’ ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรับมือวิกฤตด้านสาธารณสุข วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หวังช่วยครัวเรือน-ภาคธุรกิจรับมือโควิด-19

นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชื่อว่า ‘American Rescue Plan’ ในวันพฤหัสบดี (14 ม.ค.) ตามเวลาสหรัฐ ในระหว่างการประชุมร่วมกับทีมเศรษฐกิจที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ โดยมาตรการดังกล่าวมีวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะช่วยเหลือภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจให้สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

โดยมาตรการดังกล่าวประกอบไปด้วย:

• ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากระดับ 7.25 ดอลลาร์/ชั่วโมงในปัจจุบัน สู่ระดับ 15 ดอลลาร์

• เพิ่มวงเงินในการส่งเช็คเงินสดให้แก่ชาวอเมริกันเป็นคนละ 2,000 ดอลลาร์ จากเดิมที่ได้คนละ 600 ดอลลาร์

• เพิ่มวงเงินช่วยเหลือคนตกงานเป็น 400 ดอลลาร์/สัปดาห์ และให้ขยายโครงการช่วยเหลือไปจนถึงสิ้นเดือนก.ย.

• ให้เงินช่วยเหลือรัฐต่างๆ และรัฐบาลท้องถิ่น จำนวน 3.50 แสนล้านดอลลาร์

• ให้เงินช่วยเหลือโรงเรียนและสถาบันการศึกษา จำนวน 1.70 แสนล้านดอลลาร์

• ให้เงินสนับสนุนการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 5 หมื่นล้านดอลลาร์

• ให้เงินช่วยเหลือในโครงการวัคซีนแห่งชาติภายใต้ความร่วมมือกับรัฐและองค์กรต่างๆ วงเงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์

นายไบเดนกล่าวว่า "การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรกหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี"

ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติในสภาผู้แทนราษฎร แต่นายไบเดนอาจต้องใช้ความพยายามในการผลักดันให้ผ่านการรับรองในวุฒิสภา เนื่องจากขณะนี้พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมีคะแนนเสียงเท่ากันที่ 50 - 50 และการผ่านมาตรการดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างต่ำ 60 เสียง ทำให้นายไบเดนจำเป็นต้องพึ่งพาสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่างน้อย 10 เสียงในการผ่านมาตรการดังกล่าว

สำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซียเปิดเผยว่าประชาชนผู้ตื่นตระหนกพากันหลบหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัย หลังอาคารหลายหลังได้รับความเสียหาย และพังถล่มลงมาบางส่วน จากแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 6.2 ที่สั่นสะเทือนเกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซียในวันศุกร์ (15 ม.ค.)

เบื้องต้น ราดิตยา จาตี โฆษกสำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า "มีผูู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 24 คน" ก่อนต่อมาจะปรับเพิ่มยอดผู้เสียชีวิตเป็นอย่างน้อย 7 คน โดยผู้เสียชีวิต 4 คนและผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 637 คนอยู่เมืองมาเจเน ส่วนที่เมืองมามูจู ที่อยู่ติดกัน พบผู้เสียชีวิต 3 คนและได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน

หน่วยงานกู้ภัยและช่วยเหลือของอินโดนีเซียแห่งนี้ เปิดเผยว่าพวกชาวบ้านหลายพันคนต้องหลบหนีออกจากที่พักอาศัยเพื่อความปลอดภัย หลังเกิดแผ่นดินไหวตอนประมาณ 1.00 น.ของเช้ามืดวันศุกร์ (15 ม.ค.) ก่อความเสียหายแก่บ้านเรือนอย่างน้อย 60 แห่งและอาคารขนาดใหญ่หลายหลัง ในนั้นโรงแรมอย่างน้อย 1 แห่งพังถล่มลงมา

แผ่นดินไหวสามารถสัมผัสได้อย่างรุนแรงเป็นเวลาราวๆ 7 วินาที แต่ไม่ก่อให้เกิดสึนามิแต่อย่างใด

ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองมามูจู เมืองเอกของจังหวัดสุลาเวสีตะวันตก ไปทางใต้ราว 36 กิโลเมตร และลึกลงไปใต้ดิน 18 กิโลเมตร ตามข้อมูลของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ

ทั้งนี้รายงานจากเมืองมามาจู เผยว่า อาคารบางแห่งได้รับความเสียหายเลวร้าย ในนั้นรวมถึงโรงแรม 2 แห่ง สำนักงานผู้ว่าการและหอประชุมแห่งหนึ่ง และถนนที่มุ่งหน้าสู่เมืองมามาจู อย่างน้อย 1 เส้นทาง ถูกตัดขาด

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังจากเพิ่งเกิดแผ่นดินไหวระดับ 5.9 ในวันพฤหัสบดี (14 ม.ค.) ในพื้นที่เดียวกันนี้ ก่อความเสียหายแก่อาคารและบ้านเรือนหลายหลัง

สำนงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซียบอกว่าแผ่นดินไหวหลายระลอกในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ก่อดินถล่มอย่างน้อยๆ 3 จุดและกระแสไฟถูกตัดขาดในหลายพื้นที่

อินโดนีเซียต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินไหวและภูเขาไฟบ่อยครั้ง เนื่องจากตั้งยู่บนวงแหวนไฟแปซิฟิก บริเวณที่ขอบของแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ชนกัน

เมื่อปี 2018 เกิดแผ่นดินไหว 7.5 ตามด้วยสึกนามิ ซัดถล่มเมืองปาลู บนเกาะสุลาเวสี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายมากกว่า 4,300 คน

โศกนาฏกรรมเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 26 ธันวาคม 2004 แผ่นดินไหวระดับ 9.1 สั่นสะเทือนนอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา โหมกระพือสึนามิขนาดยักษ์ซัดถล่มทั่วภูมิภาค คร่าชีวิตผู้คน 220,000 ราย ในนั้น 170,000 ราย เสียชีวิตในอินโดนีเซีย


ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top