Saturday, 27 April 2024
World

โครงการรถไฟลาว สำเร็จแล้วถึง 90%

คอลัมน์​ "เบิ่งข้ามโขง"

.

ติดตามต่อโครงการรถไฟลาว มีรายงานเพิ่มเติม มาว่าสถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ งานโครงสร้างรากฐาน..เสร็จแล้ว 90% และดำเนินงานต่อเนื่องด้วยงานโครงเหล็ก และ โครงหลังคา รวมทั้ง งานมุงหลังคา ซึ่งคาดว่าจะให้แล้วเสร็จหน้างาน โครงสร้างรากฐานและงานหลังคา ให้แล้วเสร็จในท้ายเดือนธันวาคม

.

.

โครงการก่อสร้างสถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ ครอบคลุมพื้นที่ 150 เฮกตาร์  อาคารสถานี ครอบคลุมพื้นที่ 14,543.45 ตารางเมตร ยาว 220 เมตร กว้าง 90 เมตรสูง 25 เมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 2,500 คน และเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดของโครงการรถไฟลาว - ​​จีน

เส้นทางรถไฟลาว - ​​จีนจาก บ่อเตน แขวงหลวงน้ำทาไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ มีสถานีขนส่งผู้โดยสาร 10 สถานี รวมถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์และสถานีขนส่งสินค้า 22 สถานี และ แต่ละสถานีกำลังก่อสร้างเช่นกัน สถานีโพนโฮง และ สถานีกาสี งานโครงหลังคาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เส้นทางรถไฟลาว - ​​จีน มีความยาวรวม 422.4 กม.

.

.

สร้างขึ้นตามมาตรฐานการบริหารและเทคนิคของจีน ซึ่งออกแบบให้วิ่งด้วยความเร็ว 160 กม.ต่อชั่วโมง เป็นรถไฟฟ้าขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร และจะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมพ.ศ. 2564 ตามแผนแน่นอนที่สุด

.

ที่มา

News&Pictures by: Sonepaserth

CRI-FM93

.

หนุ่มใหญ่จากโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชน​และภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนํา​ภาคเอกชนไทย​ บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า​ วีถีชีวิต​ วัฒนธรรม​ เศรษฐกิจ​ การเมืองประเทศฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง​ หรือ​ มุมมองเบิ่งข้ามโขง

มารู้จักพันธมิตร Five Eyes ตาส่องโลก

ในช่วงนี้ ชื่อของกลุ่มพันธมิตร Five Eyes หรือ ดวงตาทั้ง 5 กลายเป็นจุดสนใจของสื่อต่างประเทศอีกครั้ง เมื่อมีคำแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีต่างประเทศในกลุ่มพันธมิตร Five Eyes ที่ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ออกมาวิจารณ์ คำสั่งของรัฐบาลจีน ให้ปลดแกนนำฝ่ายค้านในสภานิติบัญญัติของฮ่องกงจำนวน 4 คน ในข้อหาฝ่าฝืนกฏหมายความมั่นคงใหม่ของจีน ที่ทำให้ฝ่ายค้านประท้วงด้วยการลาออกยกสภาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ซึ่งกลุ่มพันธมิตร Five Eyes วิจารณ์ว่า นี่เป็นการปิดปากฝ่ายค้านของรัฐบาลจีน และผิดสัตยาบันที่จีนเคยให้ไว้ว่าจะให้สิทธิเสรีภาพในดินแดนฮ่องกงตามแบบแผน 1 ประเทศ 2 ระบบ ไปจนถึงปี ค.ศ.2047

 

หลังจากที่กลุ่มพันธมิตร Five Eyes ได้ออกแถลงการณ์ไม่กี่วัน ฝ่ายปักกิ่งก็ส่งโฆษกต่างประเทศ จ้าว หลี่เจียน เจ้าของฉายาหมาป่าพันธุ์ดุของลุงสี่ จิ้นผิง ออกมาตอบโต้ทันทีว่า นี่คือเรื่องภายในของจีนที่ต่างชาติไม่ควรมาก้าวก่าย

 

และวาทะดุที่ทางปักกิ่งฝากมาบอกกับเหล่าพันธมิตรเบญจเนตรทั้งหลายก็คือ

 

"หากยังมายุ่งวุ่นวายเรื่องระหว่างจีนและฮ่องกงอีก ไม่ว่าจะ 5 ตา หรือ 10 ตา พ่อจะจิกให้ตาหลุด"

 

เป็นการตอบโต้ที่ฟาดได้ฟาด สั้นแต่จบ None of your business รู้เรื่อง

 

ว่าแต่พันธมิตร Five Eyes นี่ มาร่วมลงเรือลำเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างไร วันนี้จะมาเล่าถึงต้นกำเนิดกลุ่มดวงตาทั้ง 5 นี้กันดีกว่า

 

ต้นกำเนิดของ Five Eyes ในครั้งแรกไม่ได้มาพร้อมกันทั้ง 5 ดวง จุดเริ่มต้นนั้นมีมาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางอังกฤษ และ สหรัฐอเมริกาได้เซ็นข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลลับทางทหารร่วมกัน ที่เรียกว่า 1943 BRUSA Agreements

 

แต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติไปแล้ว ด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่สัญญาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับ กลับไม่ได้สิ้นสุดไปด้วย เพราะทั้งสหรัฐ และอังกฤษเห็นตรงกันว่า ต่อจากนี้ไป ภัยคุกคามความมั่นคงจะไม่ใช่ฝ่ายนาซีอีกต่อไป แต่เป็นลัทธิสังคมนิยม และอิทธิพลของสหภาพโซเวียต

 

ดังนั้นข้อตกลง BRUSA Agreements ฉบับเดิม ก็ได้กลายเป็นข้อตกลงความร่วมมือฉบับใหม่ ที่ชื่อว่า  UKUSA Agreement  และให้อ่านแบบเกร๋ๆ ว่า ยู-คู-ซา (ไม่ใช่ยากูซ่านะจ๊ะ)

 

มีพันธมิตรแค่ 2 ชาติ แต่ต้องสอดแนมฝ่ายโซเวียต และ พันธมิตร Eastern Bloc ที่เป็นประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออก และอีกหลายชาติในเอเชีย รวมถึงจีน อาจทำไม่ไหว จึงดึงกลุ่มประเทศหลักๆ ในเครือจักรภพอังกฤษมาร่วมด้วย ได้แก่ แคนาดา (1948) ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ (1956) รวมกันกลายเป็น 5 ชาติ

 

และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของกลุ่มพันธมิตร Five Eyes ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการรวมกลุ่มจากประเทศมหาอำนาจที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง เพราะการสื่อสารระหว่างกลุ่มให้เข้าใจตรงกันทุกถ้อยคำเป็นเรื่องสำคัญ แต่เป้าหมายหลัก คือการสร้างโครงข่ายสอดแนมฝ่ายตรงข้าม (โลกสังคมนิยม) ที่ต่อมา กลายเครือข่ายสปายที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

และเมื่อมีข้อตกลงแล้วว่าจะมีการแชร์ข้อมูลข่าวลับร่วมกัน ดังนั้นการมีอยู่ของกลุ่ม Five Eyes ในช่วงแรกๆ จึงเป็นความลับมากๆ  แม้แต่คนในรัฐบาลของประเทศนั้นๆ หากไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายความมั่นคงระดับสูงยังไม่รู้เลย

 

ในกลุ่ม Five Eyes ก็ร่วมพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เรียกว่า ECHELON ขึ้นมาใช้งาน แล้วก็ดำเนินการสอดแนมความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นการดักฟังโทรศัพท์ ติดตามตัวบุคคลเป้าหมาย แกะรอยท่อน้ำเลี้ยง จารกรรมข้อมูลระดับสูง และต้องป้องกันการล้วงข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน

 

การแชร์ข้อมูลในระบบ ECHELON แบ่งออกเป็น 4 หมวด แบ่งงานชัดเจนว่าหน่วยงานไหนรับผิดชอบเรื่องไหน

 

1. ข่าวกรองสัญญาณ เป็นข้อมูลที่ได้จากการดักฟัง จับสัญญาณเครือข่าย ที่ปัจจุบันมีการสอดแนมผู้ใช้ออนไลน์ด้วย หน่วยงานที่รู้จักกันดีเช่น NSA หรือสำนักงานหน่วยข่าวกรองสหรัฐ  GCHQ หรือ Government Communications Headquarters ของอังกฤษ

 

2. ข่าวกรองด้านการทหาร ที่ฝ่ายกลาโหมของแต่ละประเทศก็รับผิดชอบข้อมูลในส่วนนี้ไป

 

3. ข่าวกรองด้านความปลอดภัย ที่คอยส่องหาข้อมูลภายในของแต่ละประเทศ หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้ที่รู้จักกันดี ก็มี FBI และ MI5

 

4. ข่าวกรองส่วนบุคคล นี่แหละคืองานของสายลับจริงๆ ที่ต้องเข้าไปคลุกวงใน เข้าพื้นที่ แทรกซึม เพื่อให้ได้ข้อมูลด้วยตัวเอง หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้ได้แก่ CIA MI6 เป็นต้น

 

ฟังดูอาจคล้ายๆ หนังสายลับแฟรนไชส์เรื่องดัง ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะช่วงนั้นตรงกับยุคสงครามเย็นพอดี ที่ต่างฝ่าย ต่างจ้องสอดแนมความลับของกันละกัน บนพื้นฐานของความไม่ไว้ใจกัน

 

แต่เมื่อสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายไป บรรยากาศของสงครามเย็นก็เริ่มผ่อนคลาย พันธมิตรเบื้องหลังอย่าง Five Eyes จึงเริ่มถูกเปิดเผยให้คนทั่วไปทราบ ที่เข้าใจว่า พันธมิตรเบญจเนตรก็คงได้เวลาพักกิจกรรมสอดแนมไปทำอย่างอื่นกันได้แล้ว

 

แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น การสอดแนมข่าวกรองของ Five Eyes กลับยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้น และยิ่งมากขึ้นไปอีกหลังสหรัฐโดนโจมตีในเหตุการณ์ 9/11

 

จากเดิมที่สอดแนมแค่ จีน รัสเซีย และประเทศในโลกสังคมนิยม กลับขยายวงออกไป กลายเป็นสอดแนม ดักฟังการสื่อสารจากรัฐบาลทั่วโลก และยังขยายลงไปถึงการสื่อสารภายในองค์กรเอกชน และระบบสื่อสารของประชาชนทั่วไปในประเทศ

 

เอ็ดเวิร์ด สโนเดน คืออดีตหนึ่งในทีมเทคนิคของ NSA ได้ออกมาแฉงานสอดแนมของรัฐบาลสหรัฐ ที่เข้าถึงทุกข้อมูลของประชาชนได้ทุกคน ไม่อาจหลบได้ และยังนำยุทธศาสตร์การสอดแนม ที่ก็เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจค Five Eyes ออกมาเปิดเผย จนตอนนี้ตัวสโนเดน ก็อยู่ในสหรัฐอเมริกาไม่ได้แล้ว ต้องลี้ภัยไปอยู่ถาวรที่รัสเซีย

 

เมื่อเรื่องแดงเช่นนี้ หลายชาติก็เริ่มไม่พอใจ ว่าขอบเขตการสอดแนมของ Five Eyes ชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว แต่จะบอกให้หยุดคงเป็นไปไม่ได้ แทนที่จะถูกสอดแนมแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็เข้าร่วมวงแชร์ข้อมูลกันเสียเลยน่าจะดีกว่า

 

และจาก Five Eyes ก็ขยายวงกลายเป็น Nine Eyes เพิ่มมาอีก 4 ตา คือ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และ นอร์เวย์

 

ต่อมาจาก 9 ตา ก็กลายเป็น 14 ตา เมื่อ เยอรมัน เบลเยี่ยม อิตาลี สวีเดน และสเปน กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย

 

และจาก Fourteen Eyes ก็มีแนวโน้มที่จะขยายหูตาสับปะรดออกไปอีก เมื่อมีบางประเทศสนใจขอแชร์ข้อมูลด้วย ก็คือ อิสราเอล ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้

 

แต่การที่จะสอดแนมข้อมูลของประชาชนทั่วไปได้ทุกระดับ และใช้อำนาจรัฐบังคับเอาข้อมูลผู้ใช้จากหน่วยงานเอกชน จะไม่ขัดกับกฏหมายว่าด้วยเรื่องสิทธิส่วนบุคคลหรือ

 

เรื่องนี้มีปัญหาแน่นอน บางประเทศทำไม่ได้ด้วย เพราะผิดกฏหมาย ดังนั้นสิ่งที่กลุ่มสมาชิกตาสับปะรดทำคือ สมาชิกจะสอดแนมกันเองในกลุ่ม แล้วนำข้อมูลมาแลกกัน

 

ซึ่งเรื่องนี้ ก็เคยมีในหลักฐานเอกสารที่เอ็ดเวิร์ด สโนเดน เคยนำข้อมูลออกมาแฉว่า NSA ฝ่ายความมั่งคงสหรัฐ เคยให้เงินทุนก้อนใหญ่สนับสนุนให้ GCHQ ของอังกฤษ ให้สอดแนมประชาชนเป้าหมายของตัวเอง ที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐไม่อาจทำได้เพราะติดปัญหาทางกฏหมาย

 

และนี่คือการทำงานในกลุ่มพันธมิตรตาส่องโลก ที่เชื่อมโยงกันจนกลายเป็นเครือข่ายสายลับที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลก เพียงแต่ข้อมูลสำคัญระดับสูง ที่เป็น Top of the top secret ยังคงแชร์กันแค่ในกลุ่ม Five Eyes ที่ถือว่าเป็นพันธมิตรเสาหลัก ที่มักจะเคลื่อนไหวสอดรับกันตลอด ไม่มีแตกแถว

 

จึงเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวของกลุ่ม พันธมิตร Five Eyes ที่ร่วมด้วยช่วยกันกดดันจีนทุกมิติ ไม่ใช่เฉพาะการสอดแนมเท่านั้น แต่เปิดสมรภูมิจากทุกมิติ ทั้งเรื่องการแบน 5G ดำเนินคดีผู้บริหาร Huawei เปิดโปงค่ายกักกันชาวอุยกูร์ การจับกุมสายลับจีนในสหรัฐ กีดกันการค้าจีน และก็มาถึงประเด็นการแทรกแซงในฮ่องกง ที่ทางจีนออกมาประกาศกร้าวว่า จะกี่ตาก็มาครับ จ้องนัก เดี๋ยวจะควักให้ตาหลุด

 

และนี่ก็คือเรื่องราวเบื้องหลังการก่อตั้งพันธมิตร Five Eyes ตาส่องโลกของพี่ใหญ่ We are watching you. แอบมองดูอยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย ถึงขู่จกตาอยู่ยิกๆ แต่เธอก็ยังเฉยเมย นาจ๊า

 

แหล่งข่าว

-The Guardian

https://www.theguardian.com/world/2020/nov/20/china-says-five-eyes-alliance-will-be-poked-and-blinded-over-hong-kong-stance

https://www.theguardian.com/uk-news/2013/aug/01/nsa-paid-gchq-spying-edward-snowden

-The Diplomat

https://thediplomat.com/2020/11/five-eyes-countries-issue-joint-statement-on-hong-kong/

-Wikipedia

https://en.m.wikipedia.org/wiki/UKUSA_Agreement

สก็อตแลนด์แจกผ้าอนามัยฟรีเป็นชาติแรกของโลก

สาวสก็อตแลนด์เฮ เมื่อรัฐบาลสก็อตแลนด์เตรียมแจกผ้าอนามัยฟรีทั่วประเทศ หลังจากที่สภาสก็อตแลนด์ได้ผ่านร่างกฎหมายผ้าอนามัยแห่งชาติ ที่เรียกว่า The Period Products (Free Provision) (Scotland) Act เมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2020 ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้รัฐบาลสก็อตแลนด์ต้องจัดเตรียมผ้าอนามัย ที่ได้มาตรฐาน ในหลากหลายรูปแบบตามความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ให้กับสุภาพสตรีทุกคนที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

 

ร่างกฎหมายนี้ จะทำให้สก็อตแลนด์เป็นชาติแรกของโลกที่รัฐบาลมีมาตการแจกผ้าอนามัยฟรีให้กับประชาชน

 

ต้นกำเนิดของร่างกฏหมายฉบับนี้ มาจากการผลักดันของ โมนิก้า เลนนอน สส. พรรคแรงงานสก็อตแลนด์ ที่เห็นว่าการขาดแคลนผ้าอนามัยเป็นส่วนหนึ่งของอุปสรรคในการใช้ชีวิตของผู้หญิง ที่อาจทำให้ขาดโอกาสในช่วงเวลาที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องดูแลเพื่อส่งเสริมสวัสดิการของสตรี

 

โมนิก้า เลนนอน ได้เริ่มแคมเปญเพื่อผลักดันร่างกฏหมายผ้าอนามัยแห่งชาติในสก็อตแลนด์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 โดยชี้ให้เห็นว่า ผู้หญิง สก็อตแลนด์ 1 คน โดยเฉลี่ยจะต้องใช้ผ้าอนามัยติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือนไม่น้อยกว่า 8 ปอนด์ (ประมาณ 320 บาท)

 

นั่นยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องเสียในช่วงที่มีรอบเดือน เช่น ยาแก้ปวด กระดาษชำระ ค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาด และโดยเฉลี่ยผู้หญิงจะต้องมีรอบเดือนถึง 450 ครั้งในช่วงชีวิต และมีค่าใช้จ่ายเป็นเบี้ยหัวแตกแบบนี้ทุกเดือน ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไม่ใช่ว่าผู้หญิงสก็อตแลนด์จะสามารถจ่ายได้ทุกคน ด้วยเหตุผลด้านเศรษฐกิจ และภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ

 

และทำให้ผู้หญิงสก็อตแลนด์บางคน ยอมเลือกใช้ผ้าอนามัยที่มีราคาถูกแต่คุณภาพต่ำ หรือนักเรียนหญิงบางคนเลือกที่จะขาดเรียนในช่วงที่มีรอบเดือน หรืออาจต้องพลาดโอกาสบางอย่าง หากเกิด accident รอบเดือนมาในวันนั้น แต่ไม่สามารถหาซื้อผ้าอนามัยมาใช้ได้ และก็มีหลายคนที่ไม่กล้าเดินไปซื้อผ้าอนามัยกับคนขายที่อาจเป็นผู้ชาย ซึ่งถือเป็นปัญหาความยากจนในการเข้าถึงสาธารณสุขอย่างหนึ่ง

 

แม้ในปัจจุบัน ที่สก็อตแลนด์ ตามสถานศึกษาตั้งแต่ชั้นประถม จนถึงมหาวิทยาลัย จะมีผ้าอนามัยให้สำหรับนักศึกษาอยู่แล้ว สามารถเข้ามารับได้ทันทีที่ต้องการ แต่ทั้งนี้ก็เป็นเพียงบริการพิเศษ ไม่ใช่ข้อบังคับ

 

ด้วยเหตุนี้ สส. โมนิก้า เลนนอน จึงพยายามที่จะผลักดันให้เกิดร่างกฏหมายผ้าอนามัยแห่งชาติ เพื่อให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณสำหรับผ้าอนามัย ให้กับผู้หญิงชาวสก็อตแลนด์ทุกคน สามารถเข้าถึงสวัสดิการเรื่องผ้าอนามัย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้อย่างเท่าเทียม ส่วนงบประมาณที่รัฐบาลสก็อตแลนด์ต้องจัดสรรผ้าอนามัยในแต่ละปี อยู่ที่ราวๆ 24 ล้านปอนด์ (ประมาณ 960 ล้านบาท)

 

หลังจากที่ร่างกฎหมายผ้าอนามัยแห่งชาติผ่านสภา โมนิก้า เลนนอน และกลุ่มผู้สนับสนุนก็ออกมาประกาศชัยชนะ ที่สก็อตแลนด์จะเป็นชาติแรกที่ผู้หญิงสามารถก้าวข้ามความยากจนในช่วงวันนั้นของเดือนได้อย่างมีศักดิ์ศรี

 

ก็ถือเป็นนโยบายดีๆ ของสาวชาวสก็อต ที่ต่อไปจะไม่หวั่นแม้วันมามาก ไปไหนก็มั่นใจ เพราะจะมีผ้าอนามัยสำรองให้ทุกที่ที่ไป ทั่วประเทศ ถ้าบ้านเราจะมีสวัสดิการแบบนี้บ้างก็น่าจะดีนะคะ

 

แหล่งข่าว

 

-The Guardian

https://www.theguardian.com/uk-news/2020/nov/24/scotland-becomes-first-nation-to-provide-free-period-products-for-all

 

-Huffington Post

https://www.huffingtonpost.co.uk/2015/09/03/women-spend-thousands-on-periods-tampon-tax_n_8082526.html?guccounter=1

 

-BBC

https://www.bbc.com/news/uk-scotland-scotland-politics-51629880

ถึงเวลายืนบนขาตัวเอง บางส่วนก็ยังดี

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

.

สิ้นเดือนนี้ (วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563) ทางประเทศลาวได้มีการทดลองเดินเครื่องกลั่นน้ำมัน LAOPEC บริษัทปิโตรเคมี ลาว - จีน โรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของลาว เพื่อนำใช้ภายในประเทศ ลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และทำให้ราคาน้ำมันภายในประเทศลดลง นอกจากนี้ ยังสร้างงานให้แก่ประชาชนกว่า 200 ตำแหน่ง

ซึ่งโรงกลั่นบริษัทปิโตรเคมี ลาว- จีน จำกัด จะใช้วัตถุดิบนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเมื่อน้ำมันดิบผ่านกระบวนการกลั่นสำเร็จจะได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ประกอบด้วย

- น้ำมันเบนซินประมาณ 2.38 แสนตัน หรือ 300 ล้านลิตร

- น้ำมันดีเซลประมาณ 3.8 แสนตัน หรือ 450 ล้านลิตร

- แก๊สหุงต้มประมาณ 15,200 ตัน

- สารเบนซินประมาณ 10,600 ตัน

ซึ่ง สปป.ลาว นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป หลายล้านตันต่อปี ในราคาที่สูงเกินไป ดังนั้น โรงกลั่นปิโตรเคมีนี้ จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันและลดราคาลงไป นาย ปานี พวงเพด รองผู้อำนวยการ บริษัท ปิโตรเคมี ลาว-จีน ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ...

"บริษัท ปิโตรเคมีลาวออยล์ จำกัด โรงกลั่นน้ำมัน ตั้งอยู่ในเขตพัฒนา กวมลวมไชเชดถา นครหลวงเวียงจันทน์ นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ใจกลางนครหลวงเวียงจันทน์ ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 280,000 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุน 179 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้บริษัท ปิโตรเคมีลาว - ​​จีนในมณฑลยูนนาน และ กลุ่มก่อสร้างและการลงทุนยูนนาน ถือหุ้น 75% บริษัท รัฐวิสาหกิจน้ำมันเชื้อไฟลาว 20% และ บริษัทร่วมทุนลาว - ​​จีนถือหุ้น 5% 

โรงงานแห่งนี้ ยังคงมีความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการตลาด เพราะเมื่อผลิตออกมาแล้ว แต่ยังไม่มีที่ขาย เนื่องจากทุกบริษัท ต่างแข่งขันกันในการจัดซื้อและนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง สิ่งนี้จะทำให้เรามีความท้าทายมากเพราะเป็นงานที่ยาก ดังนั้น เราต้องศึกษาตลาดอย่างรอบคอบเพื่อดูว่าอุปสงค์ในประเทศของเรามีมากน้อยเพียงใด เพื่อให้แน่ใจว่าการผลิตของเราเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ปัญหาด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากเนื่องจากโรงงานของเราตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมือง ซึ่งเราได้เอาใจใส่ดูแลในการดำเนินการและการจัดการเป็นอย่างดี โดยไม่ปล่อยควัน ออกมาในปริมาณมาก และใช้ระบบบำบัดที่มีความทันสมัย  เพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ ไม่ส่งผลเสียต่อประชาชนโดยรอบพื้นที่”


ที่มา  ປະເທດລາວ Pathedlao

หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชน​และภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนํา​ภาคเอกชนไทย​ บุกตลาดอินโดจีน

วิเคราะห์ 3 ประสาน ทีมต่างประเทศของ "โจ ไบเดน"

หากจะพูดถึงทีม 3 ประสานในงานต่างประเทศที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแก๊งค์ 3 ช่าแห่งทำเนียบขาวในยุคของ 'โดนัลด์ ทรัมพ์' จะเป็นทีมไหนไปไม่ได้เลยนอกจากทีม ทรัมพ์ - ปอมเปโอ - โบลตัน อันประกอบด้วยตัวประธานาธิบดีเสี่ยใหญ่ 'โดนัลด์ ทรัมพ์' รัฐมนตรีต่างประเทศ 'ไมค์ ปอมเปโอ' และ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง 'จอห์น โบลตัน' ที่รับส่งนโยบายด้านต่างประเทศ สอดประสานกัน สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทุกมุมโลก

หากทีม 3 ประสานของทรัมพ์ นับเป็นทีมรวมดาวดังสายเหยี่ยว สไตล์เกรี้ยวกราดท้าชน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล 'โจ ไบเดน' ก็ได้วางทีม 3 ประสานของเขาไว้แล้ว ที่จะส่งผลต่อรูปแบบนโยบายการเมืองต่างประเทศของสหรัฐตามสไตล์การเล่นของประธานาธิบดีคนใหม่

โครงสร้าง 3 ประสานของโจ ไบเดน ได้วาง 'แอนโทนี บลินเคน' ไว้ในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และวางตัว 'เจค ซัลลิแวน' เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงประจำตัว ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นการรวมดาวของทีม ลับ ลวง พราง เบื้องหลังที่เคยทำงานร่วมกับไบเดนมานานเกือบ 20 ปี

                                                    แอนโทนี บลินเคน

.

ตามประวัติของ 'แอนโทนี บลินเคน' ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐ เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เกิดในนิวยอร์ค แต่ย้ายไปเรียนต่อที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส แล้วกลับมาเรียนต่อปริญญาตรีที่ฮาร์วาร์ด และด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศมาก และมีแนวคิดสนับสนุนการกลุ่มพันธมิตรแบบพหุภาคี และตลาดการค้าเสรี

ต่อมาบลินเคน ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในสภาฝ่ายความมั่นคงในปี 2002 และเป็นที่ที่เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของโจ ไบเดนเป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นไบเดนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสภาความมั่นคง จนเมื่อถึงสมัยของโอบาม่า โจ ไบเดน ได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี เขาดึงแอนโทนี บลินเคน มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำตัว ก่อนที่จะดันขึ้นไปนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ ให้กับฮิลลารี คลินตันในเวลาต่อมา

และคนที่มาแทนตำแหน่งที่ปรึกษาของไบเดน ต่อจากแอนโทนี บลินเคนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจค ซัลลิแวน นี่เอง

เจค ซัลลิแวน ก็เป็นหนึ่งในกุนซือฝ่ายต่างประเทศของพรรคเดโมแครตมาหลายปี เคยเป็นผู้ช่วยประจำตัวของฮิลลารี คลินตันมาก่อนที่จะมาทำงานคู่กับโจ ไบเดน ในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ที่มีส่วนสำคัญในการวางแผนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐในลิเบีย ซีเรีย และ พม่า

ดังนั้น ทั้งไบเดน - บลินเคน - ซัลลิแวน เคยทำงานในทีมเดียวกันมาก่อนในช่วงเวลา 8 ปีในสมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญของโลกหลายเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ที่ถือเป็นหนึ่งในผลงานสร้างชื่อเสียงที่ส่งให้บารัค โอบาม่า ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพในปีค.ศ.2009

แต่นอกเหนือจากภารกิจด้านสันติภาพ นโยบายต่างประเทศด้านอื่น ๆ ก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เช่นกระแสอาหรับสปริงในตะวันออกกลาง ที่สหรัฐมีส่วนสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในลิเบียเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี 'มูห์มา กัดดาฟี' คำสั่งปฏิบัติการเด็ดชีพ โอซามา บิน ลาเดน การสนับสนุนกลุ่มชาติพันธมิตรซาอุดิอารเบียใช้กำลังทหารแทรกแซงการเมืองในเยเมน การคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อตอบโต้การผนวกดินแดนไครเมีย หรือแม้แต่การส่งทหารเข้าร่วมฝึกกองรบให้กับกลุ่มกบฏในซีเรีย

ถึงแม้ผลงานเหล่านี้จะมีภาพของบารัค โอบาม่า หรือ ฮิลลารี คลินตัน เป็นแถวหน้า แต่เบื้องหลังในการขัดเกลานโยบาย หรือแสดงความเห็นสนับสนุนที่ปรึกษาคนสนิทมีส่วนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ แอนโทนี บลินเคน คือหนึ่งในผู้สนับสนุนแผนการบุกอิรักของสหรัฐในปี 2003 หรือการเพิ่มกำลังทหารในอาฟกานิสถานอีกกว่า 16,000 นายในสมัยของโอบาม่า

ดังนั้นสิ่งที่คาดเดาได้จากทีม 3 ประสาน ไบเดน - บลินเคน - ซัลลิแวน ก็ยังคงไว้ลายสายเหยี่ยว ไม่ต่างจากทีมเก่าของทรัมพ์ เพียงแต่รูปแบบในการดำเนินนโยบายจะแตกต่างกัน

                                                  เจค ซัลลิแวน

.

โจ ไบเดน เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของทรัมพ์ว่า เป็นนโยบายที่ทำให้สหรัฐเจ็บตัวมากกว่าได้ เพราะทรัมพ์ใช้ทุกทรัพยากร และอิทธิพลที่มีของสหรัฐชนศัตรูซึ่งๆหน้า ด้วยนโยบาย American First เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และการชนดะไม่ละเว้น ก็สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจในสหรัฐไม่น้อย ซึ่งไบเดนบอกว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้น

ดังนั้น 3 ประสานของไบเดน น่าจะเน้นนโยบายในการแทรกซึม ผ่านอำนาจขององค์กรระหว่างประเทศ หรือชาติพันธมิตรของสหรัฐอย่าง 'NATO EU' หรือ 'กลุ่มพันธมิตรซาอุดิอารเบีย' ในการเข้าร่วมกดดันประเทศที่สหรัฐถือว่าเป็นภัยคุกคาม อันได้แก่ จีน รัสเซีย อิหร่าน เป็นต้น

วิธีการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงหรือสนับสนุนกลุ่มกบฏในประเทศคู่ขัดแย้งอาจถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง รวมถึงกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ยืนอยู่ขั้วตรงข้าม ก็จะทวีความเข้มข้นขึ้นเช่นเดียวกัน

และดูจากประวัติการทำงานร่วมกันมาอย่างโชกโชนของ 3 ประสานชุดนี้ นับว่าแข็งแกร่ง และมีเป้าหมายชัดเจนพอที่จะทำให้โจ ไบเดน ประกาศออกมาได้อย่างมั่นใจว่า America is back! เรากลับมาแล้ว ที่ทั่วโลกจะต้องปรับเกมรับการเจาะสนามของ 3 ประสานทีมนี้ไว้ให้ดี มิฉะนั้น อาจมีสิทธิ์แพ้คาบ้านได้ง่าย ๆ


แหล่งข่าว

BBC

https://www.bbc.com/news/election-us-2020-55048975

Politico

https://www.politico.eu/article/nine-things-to-think-about-antony-blinken/

Wikipedia

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Antony_Blinken#cite_note-28

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Jake_Sullivan

รากเหง้า คือ ตัวตนของเราในวันนี้

คอลัมน์​ "เบิ่งข้ามโขง"

งานแข่งขันเป่าแคน ชิงชนะเลิศ สืบสานมรดกวัฒนธรรมโลก เสียงแคนลาว สปป.ลาว จัดงาน "แข่งขันเสียงแคนเชื้อชาติลาวกับรุ่นสืบทอด” ครั้งที่ 1 รอบชิงชนะเลิศ จัดขึ้นโดย กระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยว

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 เพื่อสืบต่อ เสริมขยาย ความสำเร็จที่ เสียงแคนลาว ได้รับการยกย่อง จาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก เพื่อการปลุกระดม ปลูกฝั่ง คนรุ่นใหม่ให้รู้จักอนุรักษ์ ปกป้องรักษาวัฒนธรรมแคนลาวให้คงอยู่กับชาติลาว คนลาว

พร้อมกับ เป็นการสร้างเพื่อต้อนรับวันสำคัญของชาติที่จะมาถึง เช่น วันชาติลาวในวันที่ 2 ธันวาคม ครบรอบ 45 ปี, วันคล้าย วันเกิดของประธานประเทศ ท่านไกรสอน พรมวิหาน ครบรอบ 100 ปี ของผู้นำที่เคารพนับถือของชาวลาวและวันสำคัญอื่น ๆ เมื่อช่วงเดือนธันวาคม ปีพ.ศ.2560 องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสียงแคนของชาวลาว ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

โดยระบุว่า แคนของลาวซึ่งเป็นเครื่องดนตรีแบบเป่า ประกอบขึ้นจากขลุ่ยหลายเลาที่ทำจากไม้ไผ่ที่มีความยาวแตกต่างกัน เพื่อให้เกิดความหลากหลายของเสียง โดยผู้เล่นต้องเป่าลมเข้าไปข้างในเพื่อให้เกิดเสียงออกมา การแข่งขันครั้งแรกนี้ เริ่มมาตั้งแต่เดือนช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 แข่งขันกันสามรอบ คัดเอาผู้มีคะแนนดีสูงสุดในแต่ละรอบ เพื่อเข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศเฉพาะรอบชิงชนะเลิศมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 16 คน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ชายและหญิงอายุ 7-14 ปีและชายและหญิงอายุ 15 ถึง 18 ปี

กติการการแข่งขัน ต้องเป่าให้ครบตามลายแคน ที่ทางคณะกรรมการกำหนดต้องเป่าให้ถูกต้องตามลายแคนเดิม ลายแคนต้องชัดแจ้ง ชัดเจน ม่วน สนุกสนานและถูกจังหวะ ...ซึ่งผลการแข่งขัน

ผู้ชนะเลิศรุ่นอายุ 7-14 ปี

ฝ่ายชายได้แก่ ท้าววิสะนุ สะแหวงชน ฝ่ายหญิงได้แก่ นางสินสุดา เทบสุวัน

รุ่นอายุ 15-18 ปี

ฝ่ายชายได้แก่ ท้าวสุวัน ไชพงสีดา ฝ่ายหญิงได้แก่ นางนู่นี่ จันทะวง

ทั้งหมดจะได้รับรางวัลเป็นเงินสด 2 ล้านกีบ (6,250 บาท) และของที่ระลึกอีกจำนวนหนึ่ง

บรรยากาศการแข่งขัน คึกคัก ม่วนหลาย ๆ เด้อ ...


ข่าวจาก Lao nation radio 

หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชน​และภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนํา​ภาคเอกชนไทย​ บุกตลาดอินโดจีน

มหาวิทยาลัยในมาเลเซียไม่ธรรมดา! QS! เจ้าพ่อแห่งการจัดอันดับมหาวิทยาลัย!

คอลัมน์ "สายตรงจากเคแอล"

 

มหาวิทยาลัยในมาเลเซียไม่ธรรมดา! QS! เจ้าพ่อแห่งการจัดอันดับมหาวิทยาลัย!

รายงานจาก Quacquarelli Symonds (QS) World University Rankings: Asia 2021 เผยผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในเอเชียประจำปี 2021 จำนวน 110 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของเอเชีย (จาก 650 แห่ง)

โดยมหาวิทยาลัยในมาเลเซีย 10 แห่ง (เป็นของรัฐ 7 แห่งและเอกชนอีก 3 แห่ง) ปรากฎในรายชื่อ! ติดอันดับ 1 ใน 10 ได้แก่ มหาวิทยาลัยมาลายา (UM) อยู่ในอันดับที่ 9 ซึ่งขยับขึ้นมาจากอันดับที่ 13 เมื่อปีที่แล้ว ถือว่าเป็นปีแรกของ UM ที่ติดอันดับ Top 10 อีกด้วย

ตามมาด้วย Universiti Putra Malaysia อันดับที่ 28, Universiti Sains Malaysia อันดับที่ 34 และ Universiti Kebangsaan Malaysia อันดับที่ 35

ในขณะเดียวกัน Universiti Teknologi Malaysia ก็เข้ามาในลำดับที่ 39 , Universiti Teknologi Petronas มาที่อันดับที่ 70, Taylor’s University อยู่อันดับที่ 89, UCSI University อันดับที่ 105, Universiti Utara Malaysia อันดับที่ 107 และสุดท้าย Universiti Teknologi Mara ติดอันดับที่ 108

ด้าน National University of Singapore ยังคงรั้งตำแหน่งมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเอเชีย ส่วนมหาวิทยาลัยของประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดอยู่ในอันดับที่ 43 และมหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 44

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

News Link: https://en.syok.my/news/10-malaysian-unis-make-qs-2021-world-university-r

https://www.topuniversities.com/asia-rankings/methodology

https://www.topuniversities.com/qs-world-university-rankings

 


เรื่องโดย: "ผิงกั่ว" 

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

ไต้หวันประท้วงเดือด! ปาไส้หมูเละเต็มสภา

กลายเป็นข่าวดัง เจือกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วโลก เมื่อสส. ฝ่ายค้านประท้วงเดือด ด้วยการสาดถังไส้หมูใส่นายกรัฐมนตรีไต้หวันขณะที่กำลังแถลงนโยบายอยู่กลางสภา

สาเหตุของการประท้วงด้วยวิธีชวนแหวะนี้ เกิดจากนโยบายใหม่ของประธานาธิบดี "ไช่ อิงเหวิน" ที่ต้องการผ่อนปรนมาตรการการนำเข้าเนื้อหมู และเนื้อวัวจากประเทศสหรัฐอเมริกา

จากที่เคยแบนการนำเข้าเพราะมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงประเภท Ractopamine ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ของสหรัฐ

ซึ่งการใช้สารเร่งเนื้อแดง Ractopamine นี้ถูกแบนจากจีน และยุโรปเช่นเดียวกัน แต่เป็นสารที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้ในสหรัฐ

และการที่ประธานาธิบดี ไช่ อิงเหวิน และพรรค DPP ที่เป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลเห็นชอบที่จะอนุญาตให้เปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงชนิดนี้จากสหรัฐอเมริกาได้ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของข้อแลกเปลี่ยนในการเจรจาข้อตกลงทวิภาคีด้านการค้าร่วมกันนั่นเอง

เมื่อฝ่ายรัฐบาลพยายามดันนโยบายนี้ให้ผ่านสภา ทีมพรรคฝ่ายค้านที่นำโดนพรรคก๊กมินตั๋งก็ตั้งใจที่จะมาประท้วง และเมื่อนายซู เจินชาง นายกรัฐมนตรีไต้หวันกำลังอ่านแถลงนโยบายเรื่องนี้ในสภา สส.ฝ่ายค้านคนหนึ่งก็คว้าถังใส่ไส้หมูเข้ามาสาดโครมใส่นายกรัฐมนตรี

แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นความชุลมุนเมื่อสส.ทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลก็กรูกันออกมาตะลุมบอน จิกต่อย ขว้างปา ไส้หมู เครื่องใน กันให้เละเทะ เหม็นคละคลุ้งไปทั้งสภา

ถึงแม้ว่าการชกต่อยกลางสภาไต้หวันจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรในประเทศนี้ แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นปาไส้หมูในสภามาก่อน ที่พรรคฝ่ายรัฐบาลก็ออกมาประณามว่า ช่างเป็นวิธีการที่น่าขยะแขยง คลื่นไส้แล้วยังเสียของ ที่เอาของกินมาขว้างปาอย่างไร้ค่า จนเหม็นไปทั้งสภา ต้องเสียเวลามากวาดล้าง ก่อนที่ต้องมาประชุมกันต่อในประเด็นถัดไป

ส่วนประชาชนชาวไต้หวันบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะอนุญาตให้นำเข้าเนื้อที่อาจปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐ ก็ออกมาเดินขบวนประท้วงกันเป็นจำนวนมากเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ซึ่งทางพรรคฝ่ายค้านก็ออกมาร่วมโหนกระแส และวิจารณ์นโยบายเนื้อหมูของพรรค DPP ว่าเมื่อคราวที่เป็นฝ่ายค้านก็บอกว่าจะต่อต้านการนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สารเร่ง แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลก็กลับข้างมาเอาใจสหรัฐ โดยไม่คำนึงถึงผลข้างเคียงต่อประชาชน

แต่อย่างไรก็ตาม การประท้วงด้วยการปาไส้หมูกันเละเทะในสภาก็คลื่นไส้สุดจะทนจริง ๆ เอาเป็นว่าดูได้พอเป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่างจะดีกว่า


แหล่งข่าว

CBC

https://www.cbc.ca/news/world/taiwan-parliament-pork-brawl-1.5819250

CNN

https://edition.cnn.com/2020/11/28/asia/taiwan-pig-intestines-lawmakers-intl-hnk/index.html

The Guardian

https://www.theguardian.com/world/2020/nov/27/taiwan-politicians-throw-pig-guts-meat-row

ไต้หวันกับผลโหวตชุดนักเรียนสุด Cute!

ผลโหวตกว่า 4 แสนคน โรงเรียนพาณิชย์หย่งผิง ชนะเลิศชุดนักเรียนน่ารักที่สุด 102,221 คะแนน  โรงเรียนจากเมืองเถาหยวน กวาดตำแหน่งแชมป์ชุดนักเรียนที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรก

บล็อกเกอร์ชาวเมืองไถจงคนหนึ่ง เปิดเว็บไซต์จำหน่ายชุดนักเรียนมัธยมของโรงเรียน 160 แห่งทั่วเกาะไต้หวัน สร้างรายได้เดือนละ 2 - 4 หมื่นบาท เครื่องแบบนักเรียนนอกจากจำหน่ายให้กับเหล่านักเรียนในช่วงเปิดเทอมแล้ว เนื่องจากไต้หวันได้รับอิทธิพล “คอสเพลย์” ของญี่ปุ่นมาก ทำให้มีผู้ซื้อหาชุดนักเรียนไปสวมใส่ในเทศกาล เช่น วันคริสต์มาส วันวาเลนไทน์และ งานเลี้ยงของบริษัทต่าง ๆ


เครดิต เพจบูรพาไม่แพ้

พลิกปูมตำนานชุดนักเรียนญี่ปุ่น เบื้องหลังแฟชั่นสุดคาวาอี้ ที่นักเรียนทั่วโลกใฝ่ฝัน

หากจะนึกถึงชุดนักเรียน ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ ชุดนักเรียนญี่ปุ่นต้องติดโผเป็นต้นแบบชุดนักเรียนในฝันของใครหลาย ๆ คน เนื่องจากมีความน่ารัก มุ้งมิ้ง คิขุ คาวาอี้ ที่แม้แต่คนวัยเกินเกณฑ์รั้วโรงเรียนเห็นแล้วยังอยากลองใส่ดูมั่ง ถ้าไม่เกรงใจโลก

แต่ทราบหรือไม่ว่า เบื้องหลังเรื่องราวของชุดนักเรียนญี่ปุ่น กว่าที่จะมาเป็นรูปแบบในปัจจุบันได้ ผ่านช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยในญี่ปุ่นมาแล้วมากมาย

ตั้งแต่การปฏิรูปประเทศ ปฏิวัติอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม สงครามโลก ขบถความคิดของเหล่าบุปผาชน ที่สะท้อนผ่านรูปแบบของชุดนักเรียนญี่ปุ่น จากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างน่าทึ่ง และวันนี้ เรามาพลิกปูมตำนานกว่า 150 ปี ของชุดนักเรียนญี่ปุ่นกันดีกว่า

ประวัติความเป็นมาของต้นกำเนิดชุดนักเรียนญี่ปุ่น สามารถย้อนไกลได้ถึงสมัยเมจิ (ค.ศ. 1868 - 1912)  เป็นช่วงที่คนญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกอย่างมาก จนกลายเป็นกระแสนิยม หลังจากที่ญี่ปุ่นปิดประเทศนานถึง 220 ในสมัยเอโดะ ภายใต้การปกครองในระบอบโชกุนตระกูลโทกุกาวะ

ก่อนสมัยเมจิ ญี่ปุ่นไม่เคยมีกำหนดชุดเครื่องแบบนักเรียนมาก่อน และโอกาสด้านการศึกษาก็จะจำกัดอยู่แต่ในกลุ่มราชสำนัก ขุนนางชั้นปกครอง ซามุไร ซึ่งในสมัยนั้น นักเรียนชายจะสวมชุดแบบญี่ปุ่น สวมกางเกงฮากามะ ที่เป็นเหมือนชุดจำลองของชนชั้นซามุไร ส่วนนักเรียนหญิงจะสวมกิโมโนไปโรงเรียน

แต่รูปแบบการแต่งกายของชนชั้นปกครองญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนไป ตั้งแต่การมาถึงของเรือดำ ของกองทัพเรือสหรัฐที่นำโดย พลเรือจัตวา แมทธิว แพร์รี่ ในปี ค.ศ. 1854 ที่บังคับให้ญี่ปุ่นต้องยอมเปิดประเทศเพื่อติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตก และนำไปสู่การปฏิรูปเมจิ รื้อถอนระบอบโชกุน ฟื้นฟูพระราชอำนาจให้แก่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิในปีค.ศ. 1868 ในเวลาต่อมา

.

และในยุคสมัยเมจินี่เอง ที่วัฒนธรรมของชาติตะวันตก หลั่งไหลเข้าไปในญี่ปุ่นอย่างมากมายราวทำนบแตก ที่สะท้อนผ่านเครื่องแต่งกายของข้าราชสำนัก และผู้นำชั้นปกครอง ที่เริ่มเปลี่ยนเครื่องแบบจากแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมกลายเป็นสไตล์ตะวันตก และยังส่งผลต่อแนวคิดการออกแบบชุดนักเรียนของญี่ปุ่น ที่เริ่มมีการกำหนดมาตรฐานของชุดนักเรียนเป็นครั้งแรกในสมัยนี้เช่นกัน

ซึ่งโรงเรียนนำร่องแห่งแรกที่มีข้อกำหนดให้ใช้ชุดนักเรียนแบบมาตรฐานคือ โรงเรียนกักคุชูอิน ที่เป็นโรงเรียนชั้นสูงสำหรับลูกหลานชาววัง และข้าราชการระดับสูง ในปี 1879

ชุดนักเรียนญี่ปุ่นในยุคแรก มีต้นแบบมาจากเครื่องแบบทหารตะวันตก ชุดนักเรียนชายจะเป็นเสื้อแขนยาวสีดำ ปกตั้ง ติดกระดุมหน้าทำด้วยโลหะ กางเกงขายาวสีดำ สวมหมวกแก๊บ ที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า กะคุรัน  (学ラン) ที่แปลว่าชุดนักเรียนแบบตะวันตก

ซึ่งชุดกะคุรัน เป็นชุดนักเรียนที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่น และยังมีใช้ในบางโรงเรียนที่จีน และ เกาหลีใต้อีกด้วย

ส่วนนักเรียนหญิง ไม่ได้ใส่กะคุรัน แต่จะสวมเสื้อแบบกิโมโน แต่ทับด้วยกางเกงฮากามะ แบบผู้ชายแต่ปรับรูปแบบสีสันให้สวยงาม และสวมรองเท้าบูทหนัง ทั้งนี้เพราะมีการบรรจุวิชาพลศึกษา เป็นวิชาภาคบังคับทั้งชาย-หญิง และการสวมกางเกงก็ช่วยให้นักเรียนหญิงสามารถเรียนวิชาพละได้อย่างคล่องตัวกว่าชุดกิโมโนแบบเก่า

แต่ชุดนักเรียนสมัยแรกมีราคาแพงมาก ที่ครอบครัวชั้นสูง ที่มีฐานะดีเท่านั้น ถึงสามารถซื้อเครื่องแบบเหล่านี้ให้บุตรหลานได้โดยไม่เดือดร้อน

หลังจากสิ้นสุดยุคเมจิ เข้าสู่ยุคไทโช (ค.ศ.1912 - ค.ศ.1926) เป็นช่วงที่โลกเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 รูปแบบชุดนักเรียนญี่ปุ่นก็ยังคงได้รับอิทธิพลมาจากชุดทหารตะวันตก และเริ่มมีหลักสูตรฝึกทหารสำหรับสตรีชาวญี่ปุ่น จึงมีการปรับเครื่องแบบนักเรียนหญิงให้เข้ากับยุคสมัยโดยใช้รูปแบบของชุดของทหารเรือมาใช้ ที่เรียกว่า "เซย์ฟุคุ" (制服)

.

และโรงเรียนที่ใช้ชุดนักเรียนทรงทหารเรือเป็นที่แรกของญี่ปุ่นคือ วิทยาลัยสตรีฟุกุโอกะ ต้นกำเนิดไอเดียเป็นของอลิซเบธ ลี ครูใหญ่ของโรงเรียน ที่เห็นว่าชุดนักเรียนหญิงแบบเก่าที่สวมกางเกงฮากามะทับกิโมโน ร้อนเกินไปสำหรับช่วงหน้าร้อน จึงออกแบบชุดใหม่ให้กับนักเรียนโดยใช้เครื่องแบบทหารเรือของราชนาวีอังกฤษเป็นต้นแบบ กับกระโปรงแบบตะวันตกเข้าชุดกัน

และก็ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก เนื่องจากชุดทรงทหารเรือ มีความน่ารัก เรียบร้อย ภูมิฐาน และตัดเย็บง่าย ราคาถูกกว่าชุดแบบดั้งเดิม เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมสิ่งทอของญี่ปุ่นในยุคนี้ ที่ทำให้เครื่องแต่งกายมีราคาถูกลง ผู้คนจับต้องง่ายขึ้น

จนมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะสงคราม ข้าวยากหมากแพง นักเรียนจำนวนมากต้องออกจากโรงเรียนมาทำงานช่วยครอบครัว โดยเฉพาะนักเรียนหญิงที่ต้องรับหน้าที่มากขึ้น เครื่องแบบนักเรียนยุคนี้จึงต้องปรับเปลี่ยน อนุญาตให้นักเรียนหญิงสวมกางเกงขายาวแทนกระโปรงมาเรียนได้ ความน่ารักสดใสในเครื่องแบบอาจหายไป แต่ก็สะท้อนความยากเข็ญของสังคมในยุคสงครามได้เป็นอย่างดี

.

เมื่อหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านพ้นไปหลายสิบปี และเข้าสู่ยุคเสรีนิยมแบบตะวันตก ตามรูปแบบการปกครองแบบใหม่ที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาวางกรอบให้ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวบนพื้นฐานการแข่งขันแบบทุนนิยม ที่เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นในเชิงเศรษฐกิจมากขึ้น จึงเกิดการแพร่หลายของแนวคิดเสรีชน ต่อต้านกรอบสังคมแบบเก่าของกลุ่มบุปผาชนสายขบถในญี่ปุ่น ที่เรียกว่ากลุ่มสุเคบัน แยงกี้ ที่เป็นการรวมกลุ่มนักเรียนต่อต้านสังคม และแสดงออกด้วยการเอาชุดนักเรียนมาดัดแปลงตามใจฉัน สวมเสื้อสั้นเต่อ กระโปรงยาวลากพื้น หรือกางเกงทรงสุ่ม ย้อมสีผม  เป็นเชิงสัญลักษณ์ของการแหกจารีตของสังคม

.

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประเทศญี่ปุ่นพัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในประเทศแถวหน้าของโลก และมีมาตรฐานการศึกษาที่ดีเยี่ยม เข้าถึงทุกพื้นที่ ดังนั้นการแข่งขันจึงกลายเป็นระดับโรงเรียนด้วยกัน โดยการออกแบบชุดให้มีความทันสมัย จากชุดเสื้อกะลาสี ผูกโบว์แดง หรือกะคุรันแบบเก่า ก็เริ่มเป็นชุดเสื้อเชิ้ต ผูกเนคไทด์ สวมทับด้วยสูทแบบตะวันตก หรือชุดเอี๊ยมผูกโบว์ เพื่อดึงดูดนักเรียนให้เข้ามาสมัครเรียน เพราะชอบชุดก็มีไม่น้อย

.

จึงทำให้เกิดเป็นแฟชั่นชุดนักเรียน หลากหลายรูปแบบ สดใส คาวาอี้ ที่ทำให้เด็กนักเรียนทั่วโลกชื่นชอบในวัฒนธรรมชุดนักเรียนของญี่ปุ่น และนำมาแต่งเล่นเป็นชุดคอสเพลย์กันอย่างสนุกสนาน

และนี่ก็คือความเป็นมาของชุดนักเรียนญี่ปุ่น ที่อยู่คู่กับนักเรียนญี่ปุ่นมานานกว่า 150 ปี และยังคงอยู่ตลอดไป อย่างไม่จำกัดรูปแบบ และพร้อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ


แหล่งข้อมูล

https://www.nippon.com/en/column/g00554/

https://learnjapanese123.com/japanese-school-uniforms/

https://seifuku.neocities.org/index_e.html

https://medium.com/@katier.jiang/development-and-evolution-of-japanese-school-uniform-12bf9c7856af

https://jpninfo.com/64959

https://medium.com/@katier.jiang/development-and-evolution-of-japanese-school-uniform-12bf9c7856af


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top