Saturday, 27 April 2024
World

กงสุลใหญ่ฯ และทีมประเทศไทย ณ เมืองมุมไบ ร่วมแสดงความยินดีกับ บ. ITD Cementation India กับความสำเร็จในการเจาะ breakthrough อุโมงค์สุดท้าย Mumbai Metro Line 3 Krishna -1

เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย วิศวกรไทย และบริษัทไทย ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาวมุมไบ ประเทศอินเดีย


Credit : Facebook Page : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ Royal Thai Consulate-General, Mumbai

ไม่ไหวอย่าฝืน! เปิดภาพโรงแรมสี่ดาว ย่านธุรกิจใจกลางเมืองกัวลาลัมเปอร์ ต้องปิดตัวลง เหตุนักท่องเที่ยวหดหายเพราะโควิด-19

คอลัมน์ "สายตรงจากเคแอล"

ขายโรงแรมถูก ๆ เมื่อท่องเที่ยวแดนเสือเหลืองอาการโคม่า โควิด -19 ยังพุ่งไม่หยุด

ไม่ไหวอย่าฝืน! ภาพโรงแรมสี่ดาว ขนาด 20 ชั้นที่ตั้งอยู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองกัวลาลัมเปอร์ (KL) ประเทศมาเลเซียต้องปิดตัวลงอย่างเงียบๆ เหตุนักท่องเที่ยวหดหาย มีการสั่งปิดประเทศและล็อคดาวน์เข้มงวดทั่วทั้งประเทศจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2020

ในส่วนของโรงแรมนี้เป็นบริษัททุนจากฮ่องกง ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮแอนด์และมีโรงแรมบูติกระดับ 4 - 5 ดาว อยู่ในฮ่องกง ประเทศจีน เซียงไฮ้ ปักกิ่ง สิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์ ภายใต้แบรนด์ Lanson Place และนี่ไม่ใช่ธุรกิจโรงแรมรายแรกและรายสุดท้ายที่ต้องปิดตัวลงเพราะภาวะเศรษฐกิจขาลงจากฤทธิ์โควิดพ่นพิษในมาเลเซีย

แต่ก็มีข่าวดีสำหรับผู้ที่กำลังเดินทางเข้ามาเลเซียเพราะเมื่อวันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา อธิบดีสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข Dr. Noor Hisham ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ทางรัฐบาลลงมติลดจำนวนวันกักตัวในมาเลเซีย จากเดิม 14 วัน เหลือแค่ 10 วัน ยกเว้นรัฐ Sarawak โดยการตัดสินใจเชิงนโยบายนี้เกิดขึ้นหลังจากตรวจสอบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนค่ากักตัวที่ผู้เดินทางจะต้องเป็นคนเสียค่าใช้จ่ายเองนั้นจะลดลงไปจากเดิม 4 วัน ค่ากักตัวเฉลี่ย $1,550 หรือ 4,700 ริงกิต หรือราวๆ 35,000 บาทต่อคน ส่วนค่าตรวจ Covid-19 ยังคงเท่าเดิมคือ 250 ริงกิต

ทั้งนี้ผู้ที่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้นั้นจะต้องมีประเภทวีซ่าหรือสถานะที่อยู่ในกลุ่มที่ได้รับอนุญาตเข้าประเทศเท่านั้น


"ผิงกั่ว"

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

Huawei บริษัทเทเลคอมส์ อภิมหายักษ์ใหญ่ของจีน ตัดสินใจทุกกระปุก สร้างโรงงานเต็มรูปแบบนอกบ้านตัวเองเป็นแห่งแรกของโลก

โดยเลือกเมืองบรูแมธ ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของฝรั่งเศส ใกล้กับรอยต่อพรมแดนของประเทศเยอรมันเป็นฐานการผลิต

ซึ่งการเปิดโรงงานในยุโรปครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นๆ เหริน เจิ้งเฟย ประธานบริษัท Huawei ทุ่มเม็ดเงินลงทุนถึง 200 ล้านยูโร (ประมาณ 7.3 พันล้านบาท) สร้างโรงงาน Huawei เป็นฐานการผลิตของบริษัท และสร้างตลาดผลิตภัณฑ์ 5G เพื่อป้อนสู่ตลาดทั่วทั้งยุโรป คาดว่าสามารถสร้างงานให้คนในท้องถิ่นได้ไม่น้อยกว่า 300 อัตรา

นอกจากนี้ ยังทำงานร่วมกับศูนย์วิจัยพัฒนา 23 แห่ง และมหาวิทยาลัยในยุโรปอีกกว่า 100 แห่ง เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึง ซัพพลายเออร์อีกกว่า 3,100 เจ้า โดยตั้งเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้า 5G ในยุโรป ที่อาจมีมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านยูโรต่อปี

นายฌอง ร็อตเนอร์ ประธานแคว้นกร็องแต็สต์ ทางภาคตะวันออกของฝรั่งเศสให้ความเห็นว่า การลงทุนของ Huawei ถือเป็นข่าวที่วิเศษมาก ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่าการลงทุนในครั้งนี้จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจข้ามพรมแดนได้เลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าการรุกตลาดยุโรปในครั้งนี้ มีความเสี่ยงจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ที่ยังคงคุกรุ่นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมพ์ ที่บีบให้ประเทศพันธมิตรให้ร่วมกันคว่ำบาตร Huawei โดยการยกเลิกสัญญาการใช้ระบบ 5G ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของข้อมูลด้านความมั่นคง และมีบางประเทศในยุโรปที่แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าจะไม่ใช้ระบบเทคโนโลยีของ Huawei อย่างแน่นอน เช่น อังกฤษ และ สวีเดน

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ตลาดยุโรปถือเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ Huawei และหลายประเทศยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาสัญญา 5G ของบริษัท รวมทั้งรัฐบาลฝรั่งเศสยังไม่ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะร่วมแบน Huawei กับสหรัฐอเมริกาหรือไม่

การแถลงข่าวเปิดโรงงานใหม่นอกประเทศครั้งแรกของ Huawei จึงเป็นการรุกตลาดยุโรปอย่างเต็มตัว ซึ่งทาง Huawei มั่นใจว่าน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่ต้องแบกรับความเสี่ยงที่ยังคาดเดาไม่ได้ หลังจากที่สหรัฐอเมริกากำลังจะเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ในปีหน้า ว่าจะมีมาตรการกดดันจีนอย่างไร เพื่อไม่ให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าตลาดด้านเทคโนโลยี 5G เบอร์ 1 ของโลก


แหล่งข่าว

https://www.france24.news/en/2020/12/huawei-to-set-up-its-first-factory-outside-china-in-eastern-france-2.html

https://today.rtl.lu/news/business-and-tech/a/1631954.html

http://www.xinhuanet.com/english/2020-12/18/c_139598602.htm

สื่อพม่ารายงานสถานการณ์แรงงานพม่าที่ลำบากหนัก หลังจากที่รัฐบาลไทยทั้งปิดชายแดนพม่าสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่กำลังเป็นปัญหาอย่างหนักในพม่า

เนื่องจากมีแรงงานพม่าที่กำลังรอเข้ามาทำงานในไทยตกค้างอยู่มากถึง 60,000 คน

นายอู เซียน เทห์ ผู้อำนวยการเครือข่ายภาคแรงงานพม่าซึ่งมีสำนักงานทั้งในไทย และพม่า กล่าวกับสื่อของพม่าว่า ทางหน่วยงานไม่สามารถประสานงานให้ทางการไทยเปิดด่านสำหรับแรงงานที่ตกค้างในช่วงนี้ได้ เพราะประเทศไทยกำลังตื่นตัวเรื่องการระบาด Covid-19 ระลอกใหม่ในประเทศ

ปัญหาจึงตกอยู่กับกลุ่มคนงานเหล่านี้ ที่สมัครงานผ่านทางเอเจนซี ต้องจ่ายค่านายหน้า ค่าบริการ และค่าเอกสารเป็นเงินก้อนโตเพื่อจะได้เข้ามาทำงานในไทย และหลายคนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา จนเป็นหนี้ก้อนโตที่ยังต้องผ่อนชำระค่าดอกเบี้ยทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้งานทำ

ฝ่ายภาคีภาคแรงงานชาวพม่าจึงต้องการให้รัฐบาลพม่าเข้ามาดูแล โดยออกมาตรการให้บริษัทจัดหางานในพม่าคืนเงินค่ามัดจำ และค่าดำเนินการให้แก่แรงงานพม่าก่อนจนกว่าด่านชายแดนไทยจะเปิด

วิกฤติ Covid-19 นี้นอกจากจะกระทบกับแรงงานที่ตกค้างในพม่าแล้ว แรงงานพม่าในไทยก็กำลังจะเจอปัญหาใหญ่ เมื่อพบการระบาดที่ตลาดค้าส่งกุ้งที่ตลาดมหาชัย สมุทรสงคราม ที่มีแรงงานต่างด้าวอยู่เป็นจำนวนมาก

และหากการแพร่ระบาดบานปลาย อาจต้องปิดตลาดสดในมหาชัยในระยะยาว ที่จะส่งผลให้แรงงานต่างด้าวจำนวนมากต้องขาดรายได้

สื่อพม่าให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีแรงงานพม่ามากถึง 4 ล้านคนเดินทางไปทำงานเป็นแรงงานต่างด้าวในหลายประเทศ และมากกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในประเทศไทย การทำงานใช้แรงงานในต่างแดนยังคงเป็นที่นิยมของชาวพม่า เนื่องจากได้ค่าแรง และสวัสดิการที่ดีกว่าทำงานในพม่า

แต่เนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 ทั้งในพม่าเอง และประเทศเพื่อนบ้านในย่านอาเซียน ที่เป็นตลาดแรงงานที่สำคัญของชาวพม่ายังคงไม่น่าไว้ใจ จึงทำให้แรงงานจำนวนมากถูกเลิกจ้าง หรือพักงานโดยไม่มีกำหนด และด้วยข้อบังคับในกฏหมายแรงงานต่างด้าว รวมถึงสัญญาการจ้างงานที่ทำผ่านนายหน้า ทำให้แรงงานพม่าไม่สามารถเปลี่ยนนายจ้าง หรือย้ายสถานที่ทำงานได้อย่างอิสระ

จึงกลายมาเป็นฝันร้ายของแรงงานพม่าหลายร้อย หลายพันครอบครัวที่ยังคงดิ้นรน หาเงินเลี้ยงชีพให้รอดในยุค Covid-19 ครองโลก ที่ยังไม่รู้จะผ่านพ้นไปเมื่อไหร่


แหล่งข่าว

https://www.mmtimes.com/news/myanmar-govt-urged-ask-thailand-allow-entry-60000-workers.html

สปป.ลาวมอบของขวัญส่งท้ายปี เปิดแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ให้ประชาชนใช้พักผ่อนหย่อนใจ

คอลัมน์ เบิ่งข้ามโขง

ส่งมอบเป็นทางการ ...

แลนด์มาร์คแห่งใหม่แคมโขงของสะหวันนะเขต..

ภายใต้ " โครงการป้องกันดินเคลื่อนตัวริมฝั่งแม่น้ำโขง "

หนึ่งในเจ็ด กิจกรรม ของโครงการ GMS

ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2019 แล้วเสร็จเร็วกว่ากำหนด ได้จัดทำพิธีส่งมอบ ในวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา

มีสองส่วนโครงการ

ส่วนแรก : เป็นงานก่อสร้างริมฝั่งแม่น้ำโขง ความยาวรวม 980 เมตร

เริ่มจากท่าเรือเก่าริม ทำเขื่อนหินเรียบลงไปในแม่น้ำโขง

โดยมีการถมทราย ออกไปจากขอบถนนอีก 50 เมตรและ เรียงหินตามริมฝั่งแม่น้ำโขงปริมาณรวม 246,717 ลูกบาศก์เมตร และ งานตกแต่งพื้นสนามคอนกรีตพิมพ์ลายและสวนดอกไม้ จุดนั่งเล่น จุดชมวิว ที่ขายเครื่องดื่มและอาหาร ที่นั่งชมการแข่งขันเรือประจำปี

ส่วนที่สอง : การก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว 980 เมตร ตามแนวยาวของเขื่อนกันดิน มีหน้ากว้าง 7 เมตร มีทางเดินสองข้างและที่จอดรถ ตกแต่งประดับประดา ปลูกหญ้าสวยงาม

โครงการนี้ยังรวมงานก่อสร้างระบบระบายน้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย ห้วยหลงกง เมืองไกรสอน พมวิหาน

ถือได้ว่า เป็นของขวัญส่งท้ายปีที่แสนลำบากให้ชาวสะหวันนะเขต

โครงการนี้ เสร็จเร็วก่อนกำหนด เดิมว่าจะเสร็จในปี 2021

โดยใช้เงินทุนกู้และเงินช่วยเหลือจาก ADB และการร่วมทุนจากรัฐบาล สปป. ลาว ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการประมาณ 8 ล้านกว่าเหรียญสหรัฐ

คิดถึงสะหวัน ใจจะขาด ..

ภาพจาก Sengthong Vangkeomany

เรื่องโดย:

หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

ทั่วโลกพร้อมใจ จับตาการระบาด Covid-19 ครั้งใหม่ในไทยอย่างใกล้ชิด

ต้องยอมรับว่าข่าวการตรวจพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 ที่ตลาดค้าส่งกุ้งที่ตลาดมหาชัยทะลุ 500 คนภายในวันเดียวเมื่อช่วงหัวค่ำของคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นข่าวที่ช็อคคนไทยทั้งประเทศ

และอาจทำให้หลายคนกังวลถึงขั้นนอนไม่หลับ เพราะถือเป็นการระบาดระดับ Super spreader ในพื้นที่ปริมณฑล ในตลาดสดที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการขนส่งวัตถุดิบสู่ภาคครัวเรือนให้กับชาวกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัด

ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่ติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิด ต่างประเทศก็จับตาสถานการณ์ครั้งนี้เช่นเดียวกัน เพราะไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่เคยควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างดีเยี่ยม แต่นี้เป็นครั้งแรกที่เราเจอการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มใหญ่มาก จึงเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายกว่าการระบาดรอบแรกหลายเท่า

สำนักข่าว Channel News Asia รายงานสถานการณ์ Covid-19 ที่แพกุ้งจังหวัดสมุทรสงคราม ด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกกุ้งที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ดังนั้นกลุ่มเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาด และการขนส่งกุ้งสดน่าจะมีเป็นจำนวนมาก

สำนักข่าว The Straits Times ของสิงคโปร์ และ Nikkei Asia ของญี่ปุ่น มองว่าผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่นี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เป็นความหวังของไทย ซึ่งตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวให้ได้ถึง 8 ล้านคนในปี พ.ศ. 2564

สำนักข่าว Aljazeera ติดตามสถานการณ์ Covid-19 ในบ้านเราเช่นเดียวกัน โดยชี้ประเด็นไปที่แรงงานพม่าในไทย ที่เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ติดเชื้อครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานพม่าในไทยเกือบ 2 ล้านคน และมีจำนวนมากที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย จึงเป็นอุปสรรคในการติดตามผู้ที่ติดเชื้อ

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวสถานการณ์ Covid-19 ในบ้านเราเช่นกัน ซึ่งวันนี้ ยอดผู้ติดเชื้อCovid-19 จากทั่วโลกทะลุ 76 ล้านราย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกายังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า 250,000 ราย ตัวเลขทั่วโลกยังคงน่าเป็นห่วง

แม้จะเริ่มมีวัคซีน Covid-19 ฉีดให้กับประชาชนในบางประเทศแล้ว และสำหรับประเทศไทยคาดว่าจะได้รับวัคซีน Covid-19 ในปีหน้า แต่ก่อนจะถึงวันที่วัคซีนมา สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ตั้งการ์ดให้สูงกว่าเดิม และติดตามข่าวสารจาก ศบค. อย่างใกล้ชิด เพื่อสกัดการแพร่กระจายให้มากที่สุดนั่นเอง

แหล่งข่าว

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/covid-19-thailand-cases-shrimp-market-samut-sakhon-13807452

https://asia.nikkei.com/Spotlight/Coronavirus/Thailand-reports-biggest-coronavirus-surge-of-500-plus-cases

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/thailand-reports-jump-in-local-coronavirus-infections-linked-to-shrimp-market

https://www.aljazeera.com/news/2020/12/19/thailand-reports-daily-covid-record-of-more-than-500-cases

https://www.reuters.com/article/health-coronavirus-thailand/thailand-reports-record-surge-in-daily-coronavirus-cases-to-over-500-idUKKBN28T0CN

วันนี้ 20 ธันวาคม พิธีเปิดอย่างเป็นทางการ มอเตอร์เวย์สายแรกของสปป.ลาว

คอลัมน์ “เบิ่งข้ามโขง”

วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2563 พิธีเปิดอย่างเป็นทางการ มอเตอร์เวย์สายแรกของสปป.ลาว

" นครหลวงเวียงจันทน์ - วังเวียง "

โดย นายบุนยัง วอละจิต ประธานประเทศ เข้าร่วมพิธี เป็นประธานในการเปิดมอเตอร์เวย์สายแรก อย่างเป็นทางการ

มูลค่าการก่อสร้าง 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลงทุนในแบบ BOT

โดยบริษัทก่อสร้าง - ลงทุนมณฑลยูนนาน ถือหุ้น 95% รัฐบาลลาว 5% ในนามบริษัทร่วมทุนพัฒนาลาว - จีน อายุสัมปทาน 50 ปี


หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

เจ้าหน้าที่จากสำนักงานป้องกัน และควบคุมโควิด-19 ของมณฑลเจียงซู ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบตลาดปลาและร้านอาหาร โดยผลปรากฎพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ ‘ปลาดาบเงินแช่แข็ง’ จากร้านอาหารท้องถิ่นใน ‘อู๋ซี’

หลังนำไปตรวจสอบ ก็พบว่ามีการปนเปื้อนโควิด-19 จริง และมีผลเป็นบวก ซึ่งจากรายงานได้ระบุว่า ‘ปลาดาบเงินแช่แข็ง’ ดังกล่าวอยู่ในกลุ่มปลาแช่แข็งที่นำเข้าจาก ‘ประเทศเมียนมา’ และหลังจากทราบผลดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่จึงดำเนินการสั่งเก็บผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยด่วน รวมถึงปูพรมฆ่าเชื้ออุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งทั้งหมด

จากการสอบสวนพบว่า มีผู้ที่สัมผัสกับบรรจุภัณฑ์ที่ปนเปื้อนทั้งหมด 17 ราย โดยผลการทดสอบโควิด-19 ยังเป็นลบ ซึ่งทั้งหมดกำลังอยู่ระหว่างการแยกกักตัว และเฝ้าสังเกตอาการ

แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนพบเชื้อโควิด-19 ที่ติดมากับอาหารแช่แข็ง ทางการจีนจึงได้มีมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด โดยทางการจีนได้ยกระดับความพยายามที่จะสะกัดกั้นเชื้อไวรัสดังกล่าว ผ่านอาหารนำเข้า ซึ่งให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้รับไม้ต่อ เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ผ่านการตรวจสอบในทุกช่องทางที่จะเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม การพบเชื้อไวรัสในอาหารแช่แข็งที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เป็นการติดเชื้อในตัวอาหาร หรือเนื้อสัตว์เอง แต่เป็นการติดเชื้อระหว่างการลำเลียง ขนส่ง การถือ สัมผัสอาหารเหล่านั้น จากพนักงาน หรือคนที่ติดเชื้อไวรัส


ที่มา: xinhuanet

เคาะเรียบร้อยแล้ว ! สำหรับงบประมาณก้อนล่าสุดที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ และเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วง Covid-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกา

หลังจากที่ถกเถียงกันมานานระหว่าง 2 พรรคใหญ่ เดโมแครต และ รีพับลิกัน กว่าจะได้ข้อสรุปลงตัวที่งบประมาณ 9 แสนล้านเหรียญ หรือราวๆ 27 ล้านล้านบาท เคาะผ่านสภาเรียบร้อยเมื่อช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา

งบประมาณก้อนใหญ่นี้ ทางรัฐบาลกลางสหรัฐต้องการที่จะใช้เยียวยาครอบครัวชาวอเมริกัน เพื่อมีเงินไว้จับจ่ายซื้อของกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือผู้ที่ตกงาน ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ เป็นสวัสดิการให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเร่งการขนส่งวัคซีนไปยังเมืองต่าง ๆ

แนนซี่ เปอโรซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวถึงการผ่านงบเยียวยาระดับชาตินี้ว่า "เราจะไล่ขยี้เจ้าไวรัสและเติมเงินให้กระเป๋าชาวอเมริกันให้อุ่นใจ"

รายละเอียดคร่าวๆของงบเยียวยา Covid-19 ที่จะเป็นของขวัญปีใหม่ของชาวอเมริกันในปีหน้าได้แก่

- จ่ายเบี้ยยังชีพจำนวน 600 เหรียญ ให้ชาวอเมริกันทั้งเด็ก และผู้ใหญ่

- เพิ่มเงินเยียวยาการว่างงานให้อีกสัปดาห์ละ 300 เหรียญเป็นเวลา 11 สัปดาห์

- เพิ่มงบประมาณอีก 2.84 แสนล้านเหรียญใน กองทุนสินเชื่อเพื่อคุ้มครองธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือ และปลดหนี้สินบางส่วนให้กับเจ้าของธุรกิจรายย่อยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาทิ ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และอื่นๆ

- จัดสรรงบประมาณ 82,000 พันล้านให้กับสถาบันการศึกษาให้ปรับปรุงห้องเรียนให้เข้ากับมาตรการเว้นระยะห่าง หรือพัฒนาระบบออนไลน์

- 2 หมื่นล้านแบ่งไปซัพพอร์ทศูนย์รับเลี้ยงเด็ก และโครงการอาหาร

- บางส่วนจัดสรรไปช่วยเรื่องการกระจายวัคซีน และศูนย์บริการเกี่ยวกับ Covid-19

นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องการลดหย่อนภาษี ช่วยเหลือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ทั้งเจ้าของสินทรัพย์ และผู้เช่า ที่ต่างขาดรายได้ ช่วยแบ่งเบาภาระสวัสดิการของนายจ้าง ลูกจ้าง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือได้รับผลกระทบจากวิกฤติ Covid-19

อันที่จริง งบประมาณแจกเงินเยียวยาให้ชาวอเมริกันจากวิกฤติ Covid-19 นี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่น่าจะเป็นเฟสขยายของโครงการที่ชื่อว่า CARES Act (Coronavirus Aid, Relief, and Economic Security Act) ที่โดนัลด์ ทรัมพ์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะกลายเป็นอดีตผลักดันออกมาสำเร็จ

ช่วงเดือนมีนาคม 2020 ด้วยงบประมาณสูงถึง 2.2 ล้านล้านเหรียญ นับเป็นการผ่านงบประมาณก้อนใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา

และได้แจกเงินให้ชาวอเมริกันคนละ 600 เหรียญไปแล้วรอบหนึ่งแล้ว แต่งบประมาณที่จะช่วยเหลือผู้ตกงาน และสนับสนุนสวัสดิการอื่น ๆ จะสิ้นสุดลงภายในสิ้นปี ดังนั้นสภาคองเกรซต้องประชุมกันเพื่อเคาะงบประมาณในปีหน้า

และได้ลงมติเพิ่มงบเยียวยา Covid-19 เพิ่มอีก 9 แสนล้าน ที่คนอเมริกันจะได้เงินขวัญถุงอีกคนละ 600 เหรียญเพื่อเอาไปจับจ่ายใช้สอยกระตุ้นเศรษฐกิจ

และแน่นอนว่าโดนัลด์ ทรัมพ์ ก็ออกมาเคลมเครดิตเรื่องโครงการ "อเมริกาไม่ทิ้งกัน" เพราะการพิจารณางบประมาณยังอยู่ในสมัยของเขา และเขาก็ต้องเป็นคนเซ็นผ่าน

ก็ถือเป็นเงินของขวัญปลอบใจชาวอเมริกันที่บอบช้ำมาตลอดทั้งปี เพราะ Covid-19 ซึ่งจนถึงปีหน้าก็ยังไม่รู้ว่าจะคลี่คลายได้เมื่อใด แต่อย่างน้อยมีเงินติดกระเป๋าไว้หน่อยก็อุ่นใจกว่าไม่มีนะ


แหล่งข้อมูล

https://edition.cnn.com/2020/12/20/politics/stimulus-latest-shutdown-deadline/index.html

https://www.cnet.com/personal-finance/congress-reaches-a-deal-on-new-stimulus-bill-600-checks-300-unemployment-money-more/

https://thehill.com/homenews/administration/531030-trump-pushes-congress-on-coronavirus-aid-get-it-done

https://www.businessinsider.com/trump-reportedly-will-sign-900-billion-coronavirus-stimulus-package-2020-12

https://en.m.wikipedia.org/wiki/CARES_Act

KPL สำนักข่าวสารประเทศลาว รายงานว่า แผนกทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นครหลวงเวียงจันทน์ ในนามของรองคณะกรรมการปรับปรุงที่ดินของเขตสงวนสองทางถนนเวียงจันทน์ 450 ปี ได้ประกาศขายสิทธิครอบครองที่ดินในเขตสงวน

ตลอดแนว 2 ฝั่งถนนสาย 450 ปี ลึกฝั่งละ 50 เมตร จำนวน 93 แปลง พื้นที่ 283,500 ตารางเมตร ให้แก่บุคคลหรือนิติบุคคลที่สนใจ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแห่งสปป.ลาวและค่าก่อสร้างถนน ผู้ที่สนใจซื้อสิทธิการใช้ที่ดินกรุณาติดต่อสำนักเลขาธิการและสำนักวิชาการที่สำนักงาน 450 ปี ตั้งอยู่ บ้านโพนทอง เมืองไชเสดถา นครหลวงเวียงจันทน์ ติดต่อ 020 22239972 020 55539992 และ 020 22205384

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนตุลาคม องค์กรปกครองนครหลวงเวียงจันทน์และธนาคารแห่ง สปป.ลาว ได้เซ็นสัญญาโอนบสิทธิครอบครองที่ดินให้แก่กลุ่มบริษัทดวงจะเลิน พัดทะนาก่อส้าง จำกัด เพื่อให้บริษัทดวงจะเลิน จ่ายทั้งค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ย ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแห่ง สปป.ลาว ที่องค์การปกครองนครหลวงเวียงจันทน์ได้กู้มาเพื่อใช้เป็นค่าก่อสร้างถนนสายนี้ตั้งแต่ พ.ศ.2551

.

ตามสัญญา บริษัทดวงจะเลินฯ หลังได้รับมอบที่ดินแล้ว  บริษัทมีหน้าที่ลงทุนพัฒนาต่อ เช่น ถมที่ดิน น้ำประปา ไฟฟ้า ถนนเข้าถึงในแต่ละพื้นที่โดยใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมมากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับนักลงทุนและสามารถขายที่ดินได้ในระยะเวลา 5 ปีต่อมา เพื่อเป็นทุนในการจ่ายเงินให้กับธนาคารแห่ง สปป.ลาว ให้เสร็จสมบูรณ์โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐ

.

นายคำไพ ศิลาสา ประธานกรรมการบริษัทดวงจะเลินฯ กล่าวว่า แม้ถนนได้สร้างเสร็จและเปิดใช้งานแล้ว แต่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

ที่ดิน 2 ฝั่งถนนสายนี้สามารถขายออกไปได้เพียง 20% โดยขายได้เฉพาะที่ดินแปลงที่สวย กับแปลงที่อยู่ติดกับตัวเมือง

ที่ดินส่วนที่เหลือ ซึ่งขายไม่ออกเป็นแปลงที่ไกลจากตัวเมือง รูปที่ดินไม่สวย เป็นท้องทุ่ง หรือหนองน้ำ ไฟฟ้าและประปายังเข้าไปไม่ถึง

.

ที่สำคัญคือ ราคาที่กำหนดไว้เพื่อขายสูงกว่าราคาตลาด ด้วยเหตุนี้ จึงได้หารือร่วมกันกับองค์กรปกครองนครหลวงเวียงจันทน์และธนาคารแห่ง สปป.ลาว เพื่อแก้ไขหนี้และตกลงที่จะชำระหนี้ที่ค้างกับแบงค์ชาติลาว  ตกลงเห็นว่า จะโอนสิทธิการครอบครองใช้ที่ดินส่วนที่ยังขายไม่ได้ให้กลุ่มบริษัทดวงจะเลินฯ นำไปพัฒนา เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่แบงก์ชาติลาวให้สำเร็จเร็วที่สุด

.

กลุ่มบริษัทดวงจะเลินฯ เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่เติบโตขึ้นจากการได้รับสัมปทานจากรัฐ โดยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2562 ที่ผ่านมา บริษัทดวงจะเลิน พัดทะนา กะสิกำ ในเครือกลุ่มดวงจะเลินฯ ได้รับสัมปทานทำสวนกล้วยจากแขวงบ่อลิคำไซ บนเนื้อที่ 150 เฮกตาร์ (937 ไร่) ในเมืองบ่อลิคัน รวมทั้งเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2561 กระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สปป.ลาว ได้เซ็น MOU ให้บริษัทดวงจะเลิน พัดทะนาก่อสร้าง เป็นผู้ศึกษาความเป็นไปได้ โครงการสร้างทางด่วนสายใต้ (เวียงจัน-จำปาสัก) ช่วงจากเมืองท่าแขก (แขวงคำม่วน) ไปยังแขวงสะหวันนะเขต ระยะทาง 117 กิโลเมตร.


เรื่องโดย : หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top