Wednesday, 8 May 2024
World

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ในวันจันทร์ ขู่คว่ำบาตรพม่ารอบใหม่ หลังกองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจและจับกุมเหล่าผู้นำรัฐบาลพลเรือน ในนั้นรวมถึงนางอองซานซูจี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

ไบเดน กล่าวโจมตีกองทัพพม่าต่อการทำรัฐประหาร เรียกมันว่าเป็นการจู่โจมโดยตรงต่อกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย และหลักนิติรัฐของประเทศ หลังจากก่อนหน้านี้เหตุรัฐประหารในเมียนมาเรียกเสียงประณามดังกึกก้องในระดับสากล

“สหรัฐฯ ปลดมาตรการคว่ำบาตรพม่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บนพื้นฐานของความคืบหน้าสู่ประชาธิปไตย” ไบเดนระบุในถ้อยแถลง “การก้าวถอยหลังของกระบวนการดังกล่าวทำให้เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องทบทวนกฎหมายและอำนาจคว่ำบาตรของเราในทันที ตามด้วยการดำเนินการอย่างเหมาะสม สหรัฐฯ จะยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตย เมื่อว่าที่ไหนก็ตามที่มันถูกโจมตี”

ขณะเดียวกัน ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภสหรัฐฯ เปิดเผยในวันจันทร์ (1 ก.พ.) ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดน เตรียมให้ข้อมูลสรุปแก่สภาคองเกรส ตามหลังข่าวคราวอันปั่นป่วนอย่างมากเกี่ยวกับเหตุรัฐประหารในพม่า และบอกว่าสภาคองเกรสพร้อมทำงานกับรัฐบาลในการคลี่คลายสถานการณ์

“ผมหวังว่าเราสามารถทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ในแบบร่วมมือกันทั้งสองพรรค เพื่อสรุปมาตรการที่ดีที่สุดสำหรับผลประโยชน์ของอเมริกาและเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวพม่า” ชูเมอร์กล่าวระหว่างเปิดประชุมวุฒิสภา

พม่าอยู่ภายใต้โครงการส่งเสริมประชาธิปไตยของตะวันตกมานานหลายทศวรรษและเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จบางประการ อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมามีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการก้าวถอยหลังสู่ระบอบเผด็จการ ขณะเดียวกันก็มีความผิดหวังใหญ่หลวงต่อตัวของนางอองซานซูจี อดีตผู้นำฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เธอไม่ยอมขัดขวางห้ามปรามกองทัพปราบปรามชาวมุสลิมโรฮิงญาทางตะวันตกของประเทศ

ทั้งนี้ พม่ากำลังหลุดพ้นการปกครองโดยทหารที่เข้มงวดนานหลายทศวรรษ และถูกนานาชาติโดดเดี่ยวที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 1962 แต่เหตุการณ์เมื่อวันจันทร์ (1 ก.พ.) ถือเป็นการร่วงจากอำนาจอันสุดช็อกของอองซานซูจี ที่เคยคว้ารางวัลโนเบลสันติภาพในปี 1991 ต่อกรณีที่เธออุทิศตัวส่งเสริมประชาธิปไตยและมนุษยชน

อองซานซูจี อยู่ภายใต้คำสั่งกักบริเวณอยู่แต่ในบ้านพักมานานหลายปี ในขณะที่เธอพยายามผลักดันประเทศของเธอมุ่งหน้าสู่ประชาธิปไตย จากนั้นก็กลายเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของพม่า หลังจากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งปี 2015

สำหรับการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือเป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยครั้งที่ 2 ของพม่า นับจากที่ประเทศนี้หลุดพ้นจากการปกครองของทหารอย่างยาวนานถึง 49 ปีในปี 2011

เอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดด้วยคะแนนเสียงกว่า 80% มากกว่าการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อสิบปีที่แล้ว

ทว่า ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านา กองทัพออกมาโวยว่ามีความผิดปกติหลายอย่างในการเลือกตั้ง รวมทั้งยังอ้างว่ามีการโกงคะแนนกว่า 10 ล้านคะแนน


ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000010262

คนจะซวย ช่วยไม่ได้จริง ๆ เมื่อหนุ่มไต้หวัน ที่ขอเปิดเผยแค่ว่าชื่อนายเฉิน ถูกทางการไต้หวันปรับเงินถึง 1 ล้านเหรียญไต้หวัน เนื่องจากฝ่าฝืนมาตรการกักตัว 14 วัน หลังจากที่เขาเพิ่งกลับจากฮ่องกงในวันที่ 30 ตุลาคมปีที่แล้ว

แต่ทว่า เรื่องราวนี้คดีพลิก เพราะนายเฉินอ้างว่าตัวเขาคือเหยื่อ ไม่ใช่จำเลยสังคมที่อยู่ดีๆก็ออกมาเดินเพ่นพ่านทั้ง ๆ ที่อยู่ในช่วงกักตัว

นายเฉินเล่าว่า ตัวเขาเพิ่งเดินทางกลับจากฮ่องกง และทำเรื่องว่าจะไปกักตัวเอง 14 วันที่บ้านเพื่อนในเมืองหนานโถว

แต่ระหว่างที่อยู่บ้านเพื่อน กลับพบนักทวงหนี้ จึงรู้ว่าเพื่อนของเขากำลังหนีเจ้าหนี้นอกระบบ แล้วนักทวงหนี้ก็เข้าใจว่าตัวเขาคือลูกหนี้ จึงเข้ามาข่มขู่รีดไถเอาเงิน และก็ยังทำร้ายร่างกายเขาอีก บังคับให้เขาจ่ายเงินให้ได้

นายเฉิน บอกว่านักทวงหนี้บีบให้เขาต้องรีบเดินทางกลับบ้านตัวเองเพื่อไปเอาเงิน และยังประกบติดตามตัวเขาตลอดเวลา หลังจากที่จ่ายเงินบางส่วนไป ก็เขารีบไปหาตำรวจ แต่กลับถูกจับ ปรับเงิน 1 ล้านเหรียญข้อหาฝ่าฝืนมาตรการกักตัว

สำหรับกฎระเบียบเรื่องการกักตัว 14 วันในไต้หวันถือเป็นกฎเหล็กสุดเข้ม หากใครฝ่าฝืนมีโทษปรับ 1 ล้านเหรียญไต้หวันทุกกรณี โดยไม่มีข้ออ้างว่าจะออกจากสถานที่กักตัวนานแค่ไหน และเพื่ออะไร

ดังตัวอย่างเช่น คนงานฟิลิปปินส์ที่ถูกกักตัวในโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองเกาสง แค่เดินออกจากห้องแต่ 8 วินาที ก็โดนปรับ 1 ล้านทันทีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

แต่สำหรับเคสของนายเฉิน ทางการไต้หวันยังพอปรานีอยู่บ้าง ที่จะยกเว้นโทษปรับให้ จากคำให้การว่าเขาถูกบีบบังคับ และลักพาตัวให้ออกจากสถานที่กักตัว และกลายเป็นครั้งแรกที่ไต้หวันจะละเว้นโทษปรับนับล้านจากการฝ่าฝืนมาตรกสรกักตัวให้

แต่ทั้งนี้ ข้ออ้างเรื่องการถูกนักทวงหนี้ข่มขู่ทำร้ายร่างกาย และรีดไถเงิน จะยังคงสืบสวนต่อว่าเป็นความจริงหรือไม่

หากไม่มีหลักฐานยืนยันว่าคำบอกเล่าของนายเฉินเป็นเรื่องจริงหล่ะก็ คงได้คดีพลิกอีกรอบ และนายเฉิน ก็เปิดบ้านรองานเข้าได้เลย เพราะนอกจากต้องจ่ายเงินล้านแล้ว ยังมีสิทธิ์คิดคุกข้อหาแจ้งความเท็จอีกกระทงด้วย


อ้างอิง

https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4113852

https://edition.cnn.com/travel/article/taiwan-quarantine-kidnap-intl-hnk-scli/index.html

ทำเสียชื่อกันสุด ๆ เมื่อพบแก๊งมิจฉาชีพชาวจีนแอบผลิตวัคซีน Covid-19 ปลอม โดยใส่น้ำเกลือธรรมดา อ้างสรรพคุณเป็นวัคซีน Covid-19 เตรียมจำหน่ายทั้งในจีน และต่างประเทศ

หลังจากที่มีการพบวัคซีนปลอม กระจายเกลื่อนในหลายเมืองของจีน ตำรวจจากมณฑลเจียงซู ปักกิ่ง และ ซานตง ได้ร่วมสรรพกำลังสืบสาวจนถึงต้นตอ เพื่อทลายแก๊งวัคซีนปลอมให้ได้ ล่าสุดพบตัวแล้ว สามารถจับกุมตัวได้มากกว่า 80 พร้อมของกลางที่ยึดได้พร้อมส่งอีกกว่า 3,000 โดส

แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ แก๊งวัคซีนปลอม มาจากโรงงานผลิตวัคซีนแห่งหนึ่ง ที่แหล่งข่าวจีนไม่ได้ระบุชื่อ และเริ่มทำธุรกิจหลอกขายวัคซีนปลอมมาตั้งแต่กันยายน 2020 ที่ผ่านมาแล้ว โดยใช้น้ำเกลือแทนตัวยาที่เป็นวัคซีนจริงๆ และจัดส่งไปขายแล้วหลายเมือง ในราคาสูง แถมเตรียมที่จะผลิต ล็อตใหญ่ส่งออกต่างประเทศด้วย โดยมีเป้าหมายที่จะแอบลักลอบส่งวัคซีนปลอมไปขายในทวีปแอฟริกา

ซึ่งยังโชคดีที่ช่วงนี้ทางการจีนยังเข้มงวดเรื่องการเดินทางเข้า-ออก นอกประเทศ จึงเชื่อว่ายังไม่น่ามีวัคซีนปลอมกระจายออกไปยังตลาดต่างประเทศ

ส่วนวัคซีนปลอมที่กระจายส่งภายในจีน ทางการจีนยืนยันว่าติดตามได้หมดแล้ว และหากแก๊งวัคซีนปลอมใช้น้ำเกลือในการผลิตทั้งหมด ก็จะไม่มีอันตรายกับผู้ที่รับวัคซีนปลอมไปแล้ว แต่ก็เป็นข่าวที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นไม่น้อยทีเดียว

เนื่องจากก่อนหน้าที่แก๊งวัคซีนปลอมจะถูกจับ ได้ส่งขายวัคซีนปลอมออกขายไปแล้วไม่ทราบจำนวน รวมๆไปกับวัคซีนแท้ ที่อาจเล็ดลอดการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ เนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วงที่วัคซีน Covid-19 มีความต้องการสูงมากในท้องตลาด ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่า มีชาวญี่ปุ่นออกมาร้องเรียนว่าได้วัคซีน Covid-19 ที่เชื่อได้ว่าเป็นของปลอมจากจีน ที่เคยมีเรื่องมีราวกับทางสถานทูตจีนมาแล้ว ที่ออกมาตอบโต้ว่าไม่เป็นความจริง

แต่ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันว่าจะมีบทลงโทษอย่างไรกับผู้ต้องหาคดีวัคซีนปลอมในครั้งนี้ แต่หากอ้างอิงจากฎหมายว่าด้วยเรื่องยา และวัคซีนฉบับใหม่ของจีนระบุโทษไว้ว่า ผู้ที่ผลิตและจำหน่ายยา หรือวัคซีนปลอมมีโทษปรับสูงตั้งแต่ 15 - 50 เท่าของมูลค่าสินค้า ที่ต้องมาพิสูจน์กันอีกทีว่าจำหน่ายไปแล้วกี่ชุด

ซึ่งก็เคยมีคดีศึกษาของการผลิตยา หรือซีนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ที่เกิดขึ้นในบริษัทยาฉางชุน ฉางเฉอ ในมณฑลซานตง ในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคคอตีบจำนวน 250,000 ชุด ก็โดนโทษปรับไป 3.4 ล้านหยวน ซึ่งถือว่าเล็กน้อยมากหากเทียบกับผลกำไรของบริษัทต่อปีที่สูงถึง 566 ล้านหยวน

ดังนั้นรัฐบาลจีนจึงมีการปรับแก้กฎหมายใหม่เพิ่มโทษปรับให้สูงขึ้น แล้วก็โดนกับบริษัทยาเจ้าเดิม ที่ผลิตวัคซีนพิษสุนัขบ้าไม่ได้มาตรฐาน คราวนี้เจอโทษปรับไปถึง 9 พันล้านหยวน ซึ่งผู้บริหารก็ถูกจับกุม ดำเนินคดีด้วย

ก็หวังว่าจีนจะเอาจริง ตามจับแก๊งวัคซีน Covid ปลอมได้หมดจดจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเสียชื่อสถาบันจีนหมด


อ้างอิง

https://www.globaltimes.cn/page/202102/1214637.shtml

https://www.scmp.com/news/china/politics/article/3120083/chinese-police-detain-80-selling-fake-covid-19-vaccines

https://edition.cnn.com/2021/02/01/asia/china-fake-covid-vaccines-intl/index.html

‘บรูไน’ ค่าครองชีพแพงแซงหน้า ‘ไทย’ ในอาเซียนเป็นรองแค่ ‘สิงคโปร์’ ที่ยังยืนหนึ่ง

คอลัมน์ เสียงจากเกาะบอร์เนียวตอนเหนือ บรูไน

ถ้าหากพูดถึงความหรูหรา ฟู่ฟ่า และประเทศแห่งเจ้าชายหนุ่มหล่อหลายพระองค์ ในอาเซียน คงหนีไม่พ้นประเทศบรูไน หรือที่ชื่อทางการว่า เนอการาบรูไนดารุซซาลาม ประเทศที่เดินไปไหนก็กระทบไหล่กับเจ้าชายได้ง่ายๆ เพราะยังใช้ระบอบการปกครองแบบสมบูรณายาสิทธิราชย์

และด้วยความหรูหรา จากภาพในโลก Social Media ของเหล่าเจ้าหญิงเจ้าชาย และข้อเท็จจริงทางด้านเศรษฐกิจ

ล่าสุดประเทศบรูไน  ได้รับการจัดอันดับจากเว็บไซท์ Numbeo ว่าเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพโดยเฉลี่ยแพงเป็นอันดับ 63 ของโลก จากจำนวนประเทศที่สำรวจ +139 ประเทศ แซงหน้าประเทศไทยไปเรียบร้อย ซึ่งไทยเราที่อยู่ในอันดับที่ 65

และในกลุ่มประเทศภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค ก็ได้รับการจัดอันดับเป็นลำดับที่ 19 แต่หากมองเฉพาะกลุ่มประเทศย่านอาเซียนจะกลายเป็นที่สอง รองจากสิงคโปร์เท่านั้น อู้หูวววว ใครคิดจะย้ายไปอยู่บรูไนละก็ ต้องหาเงินถุงเงินถังไปไม่น้อยเลย

ซึ่งการจัดอันดับนี้ วัดจากค่าเฉลี่ยของราคาสินค้า และบริการในแต่ละประเทศทั่วโลก อันดับล่าสุดของปี 2021 ชี้ว่าค่าครองชีพโดยเฉลี่ยของบรูไนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในย่านอาเซียน แต่ยังถูกกว่าค่าครองชีพของสิงคโปร์ สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่ค่าครองชีพที่ถูกนะ แต่บริการด้านเศรษฐกิจของเขา ก็มีมาตรฐานเกือบจะเท่าสิงคโปร์เลยทีเดียว

จะว่าไปนอกจากเจ้าชายและภาพแห่งความหรูหราฟู่ฟ่า  จากประเทศบรูไนแล้ว ผู้เขียนและเชื่อว่าอีกหลายคนก็ไม่ค่อยได้เห็นว่าวิถีของชาวบรูไนเป็นอย่างไร อาจจะด้วยระบอบการปกครอง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อโลกใบนี้ มีเครื่องมือสื่อสาร การเดินทางที่สะดวกสบาย สายสัมพันธ์ของผู้คนและวัฒนธรรม ก็เชื่อได้ว่า  การที่เราจะรู้จัก เข้าอกเข้าใจกัน ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


อะมีนะห์

สาวไทยมุสลิม เกิดใจกลางกรุงเทพ ชีวิตผกผันแต่งงานกับหนุ่มบรูไน ตั้งรกรากปากกัดตีนถีบแต่มีความสุขดี ยังชีพกับการเผยแพร่อาหารไทย มีความรักผูกพันบ้านเกิดทุกลมหายใจ เลี้ยงลูกสองคน วันนึงจะพาลูกมารู้จักแผ่นดินที่เเม่เกิดให้มากขึ้น แนะนำเพื่อนบ้านบรูไนจากกรุงเสรีเบการ์วันให้คนไทยรู้จักมากขึ้น

แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งธุรกิจ อี-คอมเมิร์ชยักษ์ใหญ่ อาลีบาบา และเคยได้ชื่อว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีน ถูกถอดชื่ออกจากทำเนียบรายชื่อผู้ประกอบการชั้นนำของจีน ที่ตีพิมพ์ใน Shanghai Securities News ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในแวดวงนักธุรกิ

นอกจากจะไม่ปรากฏชื่อของ หม่า หยุน หรือ แจ็ค หม่า แล้ว ยังไม่ลงตัวเลขรายได้ของเครือบริษัทอาลีบาบา อีกด้วย ทั้งๆที่ยังปรากฏชื่อผู้ประกอบการรายใหญ่แถวหน้าของจีนยังอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นโทนี่ หม่า ผู้ก่อตั้งบริษัท Tencent คู่แข่งของแจ็ค หม่า เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง Huawei หรือ เหลย จุน ผู้ก่อตั้ง Xiaomi

ทางสำนักข่าว Shanghai Securities News ลงความเห็นไว้ว่า ผู้ประกอบการบางคนที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ฮีโร่ ที่กล้าเดินออกจากกรอบระบบเศรษฐกิจเก่าๆ แต่วันนี้เขาก็ยังคงต้องเป็นผู้นำในองค์กร ที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด

ซึ่งก็อาจเป็นการส่งสัญญาณให้กับแจ็ค หม่า ที่ตอนนี้ไม่ใช่ลูกรักของรัฐบาลจีนอีกต่อไป และกับผู้ประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าอื่นของจีน อย่าง Tencent หรือ Pinduoduo ที่กำลังจะดำเนินตามรอยแจ็ค หม่า ขึ้นท้าทายระบบเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมโลกการเงิน ที่รัฐบาลจีนยังถืออำนาจควบคุมอยู่

ทางฝ่าย อาลีบาบา ก็ไม่ได้ออกมาให้ความเห็นว่าทำไมถึงไม่มีข้อมูลบริษัท และชื่อของ แจ็ค หม่า ตีพิมพ์ในสื่อของรัฐบาลเหมือนอย่างเคย แม้ว่าจะได้ส่งรายงานตัวเลขรายได้ของบริษัทไปให้แล้วก็ตาม

และก็ยังคงไม่อาจคาดเดาได้ถึงอนาคตของแจ็ค หม่า ซึ่งยังคงเก็บตัวเงียบ และ อาลีบาบา ที่กำลังโดน รัฐบาลจีนสั่งตรวจสอบทั้งเครือว่าเข้าข่ายผิด กฏหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดหรือไม่

แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนมีแผนที่จะหั่นซอย อาลิบาบา ออกมาเป็นบริษัทเล็กๆ ที่จะมีอำนาจในการกำหนดทิศทางตลาดในจีนน้อยลง และก็อาจสร้างปรากฏการณ์ อาลีบาบา เอฟเฟค ที่กระทบไปยังอีกหลายเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนได้ในอนาคตเช่นกัน


อ้างอิง

https://www.reuters.com/article/us-china-alibaba-jack-ma-idUSKBN2A20E1

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-02-02/china-state-media-celebrate-top-entrepreneurs-except-jack-ma

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/jack-ma-omitted-from-china-state-medias-top-entrepreneurs-list

Jeff Bezos มหาเศรษฐีระดับท็อปของโลก ประกาศลาออกจากซีอีโอ Amazon หลังจากบริหารงาน Amazon จากเว็บไซต์ขายหนังสือในปี 1995 จนกลายมาเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน

ล่าสุดทาง Jeff Bezos ซึ่งเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและซีอีโอในปัจจุบัน ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้ว เขาจะยังคงบริหารงานต่อไป เพื่อเตรียมการเปลี่ยนผ่านสู่ซีอีโอคนใหม่ในช่วงกลางถึงปลายปี 2021 นี้

หลังจากลาออก ถึงแม้จะยังคงตำแหน่งประธานบริษัทอยู่ แต่งานบริหารทั้งหมดนั้นจะถูกส่งต่อไปยัง Andy Jassy ผู้บริหารซึ่งเข้าไว้ใจที่สุดให้มารับช่วงต่อ

Andy Jassy ปัจจุบันเป็นผู้บริหารของ Amazon Web Services ซึ่งถือเป็นธุรกิจคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน และเป็นธุรกิจของ Amazon ที่เติบโตเร็วมาก ๆ ในช่วงหลัง

ซึ่งการบริหารงานที่ดีในธุรกิจคลาวด์ น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ Jeff เลือกเขามารับตำแหน่งแทน

หลังจากลาออกจากซีอีโอแล้ว Jeff ระบุว่าตัวเขาจะได้เอาเวลาและพลังงานของตัวเอง ไปโฟกัสไปที่อีก 4 งาน นั่นก็คือ

- ธุรกิจสื่อ The Washington Post

- ธุรกิจด้านอวกาศ Blue Origin

- กองทุนช่วยเหลือคนไร้บ้านและการศึกษา Day 1 Fund

- กองทุนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Bezos Earth Fund

ภายใต้การบริหารงานของ Jeff ตลอด 25 ปีที่ผ่านมานั้น ทำให้ Amazon พัฒนาจากเว็บไซต์เล็กๆ กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 50 ล้านล้านบาท

และส่งผลให้ผู้ก่อตั้งอย่าง Jeff เป็นมหาเศรษฐีด้วยทรัพย์สิน 5.8 ล้านล้านบาทอีกด้วย


ที่มา: Billion Mindset

https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1148298742278531/

โควิด ระลอกใหม่ ที่เวียดนาม สายพันธุ์อังกฤษ มาเร็วและแรงกว่าเดิม .. ส่งผล ทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้ว 301 คน และ แพร่กระจายลามไปยัง 10 จังหวัด

หวู ดึ๊ก ดาม รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะทำงานเฉพาะกิจด้านโควิด-19 กล่าวในที่ประชุมรัฐบาลว่า..

"สายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และเราต้องเร็วกว่า"

"เราไม่ควรกังวลเรื่องตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อที่พุ่งสูง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการติดตามผู้สัมผัส เราต้องเฝ้าระวัง แต่ไม่ต้องตื่นตระหนก"

ผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 12 ใน 276 คน เป็นเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์อังกฤษ แต่อย่างไรก็ตามยังคงไม่ทราบแหล่งที่มาของการระบาดครั้งนี้

"ฮานอยต้องเพิ่มมาตรการสกัดกั้นเชื้อไวรัส กระทรวงสาธารณสุขจะสนับสนุนฮานอยในการยกระดับขีดความสามารถในการตรวจหาเชื้อเป็น 40,000 ครั้งต่อวัน"

เวียดนามอนุมัติรับรองวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกา เมื่อวันเสาร์ที่ 30 มกราคม ..

หลังนายกรัฐมนตรีเหวียน ซวน ฟุ้ก กล่าวว่า ประเทศต้องมีวัคซีนภายในไตรมาสแรก และก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้กล่าวว่ากำลังการเจรจาจัดหาวัคซีนจำนวน 30 ล้านโดส โดย วัคซีนชุดแรกจำนวน 50,000 โดส จะมาถึงในเดือน มี.ค. และส่วนที่เหลือจะส่งมอบภายในเดือน มิ.ย.

ขณะที่ เด็กนักเรียนในกรุงฮานอย กว่า 2 ล้านคน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษา ได้หยุดเทศกาลวันตรุษญวนเร็วขึ้น 1 สัปดาห์ ในมาตรการป้องกันโควิด-19 ท่ามกลางการระบาดครั้งใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. ไปจนถึงวันที่ 16 ก.พ. จากเดิมที่มีกำหนดเริ่มหยุดตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.


หนุ่มโคราช รายงาน

เหตุการณ์รัฐประหารครั้งล่าสุดของพม่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อกองทัพพม่ายกพลเข้ากรุงเนปิดอว์ และเข้าควบคุมตัวผู้นำคณะรัฐบาลพลเรือน รวมถึง นาง อองซาน ซูจี

ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และ นาย วิน มินท์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน กลายเป็นจุดสนใจของชาวโลก ว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนฤาษีแห่งอาเซียนแห่งนี้กันแน่

โดยหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น บรรดาชาติตะวันตกหลายชาติ ก็เริ่มออกมาประณามการตัดสินใจของกองทัพพม่า และกดดันไปทางองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้ออกมาเคลื่อนไหวแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์ในพม่า

ล่าสุด สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้เปิดประชุมด่วน เมื่อวันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ เพื่อประเมินสถานการณ์ในพม่า และหามติร่วมในการแถลงจุดยืนในนามองค์กร

ที่ประชุมประกอบด้วยตัวแทนสมาชิก 15 ชาติ ที่เป็นสมาชิกถาวร 5 ชาติ คือ สหรัฐ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, จีน และ รัสเซีย ได้หารือที่จะร่วมออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์รัฐประหารในพม่า และอาจนำไปสู่มาตรการกดดันจากองค์การสหประชาชาติในขั้นตอนต่อไป

แต่ประเทศจีน และ รัสเซีย ได้ใช้สิทธิ์สมาชิกภาพถาวร คัดค้านคำแถลงการณ์ประณามของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประเด็นจึงถูกตีตกไป

โดยทางจีนได้ให้เหตุผลที่ไม่สนับสนุนให้สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังออกมาร่วมแถลงการณ์ประณาม และคัดค้านกิจกรรมใดๆ ที่เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของพม่าว่า จีนมิได้หมายถึงรัฐบาลปักกิ่งสนับสนุนการรัฐประหารในพม่า แต่เห็นว่าการที่องค์กรนานาชาติเข้าไปกดดัน หรือเข้าแทรกแซงด้วยมาตรการคว่ำบาตร อาจทำให้สถานการณ์ภายในพม่าเลวร้ายลงกว่าเดิม

นอกจากนี้ ยังตอบโต้ข้อครหาที่ว่ารัฐบาลปักกิ่ง อาจมีผลประโยชน์แอบแฝงร่วมกับกองทัพพม่าว่า ทางรัฐบาลจีนมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลพม่า ภายใต้การนำของพรรค NLD ของนางอองซาน ซูจี เป็นอย่างดี และเข้าไปร่วมลงทุนในพม่าจากการสนับสนุนของรัฐบาลพลเรือนของพม่ามาโดยตลอด

แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่า จีนก็ต้องเข้าไปเจรจาข้อตกลงกันใหม่ ซึ่งจะดำเนินโครงการร่วมกันต่อหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการพูดคุยในอนาคต แต่ทางจีนจะไม่เข้าไปวุ่นวายเรื่องภายในรัฐบาลของพม่า เช่นเดียวกันกับรัสเซีย ที่มีจุดยืนไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของพม่า เหมือนเมื่อกรณีการกวาดล้างชน กลุ่มน้อยชาวโรฮิงญานับล้านที่เคยเกิดขึ้นในปี 2017

ทว่า กลุ่มประเทศผู้นำเศรษฐกิจ G7 อันประกอบด้วย อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี และญี่ปุ่นนั้น มีความเห็นที่แตกต่างออกไป และได้ออกแถลงการณ์ให้กองทัพพม่าคืนอำนาจให้กับรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งโดยทันที พร้อมกดดันให้ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงปล่อยตัวคณะรัฐมนตรีที่ถูกจับกุมตัว เพื่อเป็นการเคารพต่อหลักกฏหมาย และสิทธิมนุษยชน

ฉะนั้นในเมื่อทางองค์การสหประชาชาติได้ประกาศว่าเหตุการณ์ทางการเมืองในพม่า เป็นการรัฐประหารอย่างเป็นทางการ ก็เท่ากับว่า สหรัฐอเมริกาจะตัดความช่วยเหลือทุกทางไม่ว่าจะผ่านทางหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนของประเทศพม่านับจากนี้ไป รวมถึงทางสหภาพยุโรป อังกฤษ และออสเตรเลีย ก็ได้ออกแถลงการณ์ประณามแล้วเช่นกันด้วย


อ้างอิง

https://www.businessinsider.com/china-russia-block-un-security-council-condemn-myanmar-coup-2021-2

https://www.france24.com/en/americas/20210203-china-russia-block-un-security-council-condemnation-of-myanmar-coup

https://www.bbc.com/news/world-asia-55913947

หลังจากที่มีข่าวว่า Alibaba เตรียมที่จะออกพันธบัตรตราสารหนี้ในตลาดต่างประเทศมากถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ แม้ว่าจะมีข่าวไม่ค่อยดีว่ารัฐบาลจีนอาจบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกตลาดกับกลุ่มธุรกิจในเครือ Alibaba

และก็เป็นดังคาด ทันทีที่ Alibaba ประกาศเปิดจองหุ้นกู้ ก็มียอดจองเข้ามาอย่างถล่มทลายกว่า 3.8 หมื่นล้านเหรียญจากนักลงทุนรายใหญ่หน้าเดิม ๆ ในตลาด เช่น ผู้บริหารกองทุนความมั่งคั่งของรัฐบาล กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนสินทรัพย์ต่างประเทศจากสหรัฐอเมริกา และยุโรป ที่มักสนใจลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่มีอนาคตอยู่แล้ว อาทิ Amazon Google หรือ Tencent

จึงกลายเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า นักลงทุนไม่ค่อยวิตกกับคดีความที่ Alibaba หรือแจ็ค หม่า อาจต้องเจอในอนาคต แต่ยังเชื่อมั่นว่าธุรกิจ E-commerce ของ Alibaba ยังสดใส และไปต่อได้อีกไกล

และในเมื่อหุ้นกู้ของ Alibaba ยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนรายใหญ่อย่างมาก ก็ทำให้ Alibaba สามารถกำหนดราคาหุ้นกู้ได้ดีกว่าที่คิด โดย Alibaba ได้เสนอขายหุ้นกู้ 4 ประเภทตามระยะเวลาของสัญญา เริ่มต้นตั้งแต่ 10 ปี 20 ปี 30 ปี และ 40 ปี

ตามข้อมูลล่าสุดหุ้นกู้ระยะเวลา 30 ปีจะได้ดอกเบี้ย 3.15% 40 ปี จะได้ 3.25% ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่น้อยกว่าตอนที่ Alibaba เคยออกหุ้นกู้ในปี 2017 ที่ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนถึง 4.2% - 4.4% กับหุ้นกู้ระยะเวลา 30 ปี และ 40 ปี ตามลำดับ

ส่วนการจัดระดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ Alibaba ในครั้งนี้ สถาบัน Moody ให้ที่เกรด A1 ส่วน S&P และ Fitch ให้ที่เกรด A+

และสิ่งที่ทำให้ Alibaba เสนอขายหุ้นกู้ได้ในราคาดีกว่าเมื่อปี 2017 มาจากรายได้ที่โตขึ้นถึง 37% ในไตรมาศสุดท้ายของปีที่ผ่านมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลพวงจากยอดขายในวันเทศกาลคนโสด 11.11 ที่มีการขยายช่วงเวลานาทีทองลดราคานั่นเอง

นักวิเคราะห์การตลาดยังมองว่า อนาคตธุรกิจชอปปิ้งออนไลน์ในจีนยังสามารถโตได้ถึงปีละ 12% และธุรกิจ Cloud service อาจเพิ่มได้มากถึง 23% จนถึงปี 2023 ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ Alibaba ยังคงได้รับผลประโยชน์จากกระแส E-Commerce ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง

จึงทำให้นักลงทุนไม่ค่อยตื่นตระหนกกับข่าวการที่รัฐบาลจีนจะใช้มาตรการทุบ Alibaba ด้วยกฎหมายต่อต้านการผูกขาด หรือ แจ็ค หม่า อาจไม่ใช่หน้าตาของ Alibaba อีกต่อไป

ตราบใดที่แมวยักษ์ Alibaba ยังไล่ล่าจับหนูเก่ง นักลงทุนก็ไม่เกี่ยงว่าเจ้าของแมวจะเป็นใคร ขอให้จับหนูได้ก็แล้วกัน - ท่านประธานเหมา ไม่ได้กล่าว


อ้างอิง

https://www.scmp.com/business/banking-finance/article/3120368/alibaba-sell-us5-billion-dollar-bonds-analysts-say-risk

https://www.reuters.com/article/us-alibaba-fundraising-idUSKBN2A4083

อย่าเล่นกับกับมังกรผยอง!! ปักกิ่งเตรียมฟาด BBC อังกฤษ >> หลังเดือด​จัด!! เหตุ BBC เล่นข่าวจีนแบบมีอคติ​ พร้อมเปิดศึกสงครามสื่อแบบดุเดือดชนิดเกลือจิ้มเกลือ 

รัฐบาลจีนออกโรง เปิดหน้าท้าชนสื่อยักษ์ใหญ่จากฝั่งอังกฤษอย่าง BBC หลังนำเสนอข่าวบิดเบือนโจมตีรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่องมานาน และอาจถึงขั้นพิจารณาถอนใบอนุญาตเผยแพร่ข่าวในประเทศจีนด้วย

กลายเป็นประเด็นที่โต้เถียงกันอย่างดุเดือดมาก  เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาประนามสื่อ BBC ว่า​ จงใจเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่เป็นกลาง และเป็นอคติต่อรัฐบาลจีน ไม่ว่าจะด้วยภาพ วิดีโอ เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอในมุมของสำนักข่าวที่เชื่อได้ว่าเป็นการครอบงำความคิดของผู้ชมอย่างเป็นระบบ​ โดยมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง 

นอกจากนี้ทางจีนยังกล่าวหาว่า BBC ปักกิ่งนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Covid-19 ที่เข้าข่าย "Fake News" โหมกระแสว่าจีนมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริง ซึ่งทางการจีนเรียกร้องให้สำนักข่าว BBC ออกแถลงการขอโทษอย่างเป็นทางการด้วย 

เมื่อทางรัฐบาลจีนแถลงข่าวออกมาเช่นนี้ ทาง BBC ก็ไม่รอช้า สวนกลับทันทีว่าไม่เป็นความจริง และยืนยันว่านำเสนอข่าวตามความจริง อย่างไม่มีอคติมาโดยตลอด

แต่ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า ท่าทีที่แข็งกร้าวของรัฐบาลจีนที่มีต่อสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของอังกฤษนี้ เป็นการตอบโต้รัฐบาลอังกฤษโดยตรง หลังจากที่ได้ถอนใบอนุญาตการเผยแพร่ข่าวจากสำนักข่าว CGTN ข่าวภาคภาษาอังกฤษของจีนที่มีสำนักงานอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เบื้องหลังของการถอนใบอนุญาตของ CGTN เริ่มมีประเด็นมาตั้งแต่รัฐบาลจีน และ อังกฤษ ตอบโต้กันในประเด็นการประท้วงในฮ่องกง หลังจากที่จีนได้ผ่านร่างกฏหมายความมั่นคงใหม่ที่บังคับใช้ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง 

ทางรัฐบาลอังกฤษ​ ก็ได้ออกกฏหมายการเข้าเมืองให้สิทธิ์ชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง British National (Overseas) สามารถลี้ภัยไปอยู่ที่อังกฤษได้ถึง 3 ล้านสิทธิ์ ซึ่งทางการจีนก็ได้ตอบโต้อังกฤษ​ ด้วยการยกเลิกการรับรองสถานะของหนังสือเดินทาง BN(O) ของชาวฮ่องกง ไม่นับเป็นเอกสารราชการของจีนอีกต่อไป จะใช้เป็นพาสปอร์ตเดินทางออกจากต่างประเทศก็ไม่ได้ด้วย 

หลังจากที่แลกหมัดกันมานานในเรื่องกฏหมายสิทธิพลเมือง ก็ย้ายมาฟาดกันต่อที่สนามสื่อ เมื่อ Ofcom หรือ กสทช ของอังกฤษ​ ได้เพิกถอนใบอนุญาตการแพร่ภาพของสำนักข่าวภาคภาษาอังกฤษของจีน CGTN เมื่อไม่นานมานี้ โดยอ้างว่า CGTN ทำผิดกฏหมายด้านสื่อมวลชนในอังกฤษ ที่ไม่อนุญาตให้สื่อได้รับการสนับสนุนทั้งทางตรง และทางอ้อมจากคนของฝ่ายการเมือง

ซึ่ง CGTN เป็นสำนักข่าวลูกของ CCTV หรือ China Central Television ที่มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงปักกิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ส่วนสำนักงานของ CGTN ในอังกฤษเพิ่งเปิดเมื่อปี 2019 และถือใบอนุญาตในนามบริษัทเอกชนชื่อ Star China Media 

แต่ทั้งนี้ ทางอังกฤษมองว่าผู้ประกอบการปัจจุบันเป็นเพียงบริษัทบังหน้า ที่เบื้องหลังของ CGTN ก็ยังถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน และใช้เป็นช่องทางกระจายข่าวสารของรัฐบาลจีน เล็งๆมานานแล้ว มามาได้จังหวะในช่วงนี้ อังกฤษจึงจัดการถอนใบอนุญาตสื่อจีนเสียเลย 

แล้วรัฐบาลจีนก็ยอมเสียที่ไหน เตรียมจัดการเล่นงานสำนักข่าว BBC สื่ออังกฤษเป็นการตอบโต้ ที่ทางจีนเชื่อว่ารายงานข่าวตามใบสั่งรัฐบาลอังกฤษเช่นกัน และหากบานปลายก็มีสิทธิ์ที่ BBC ปักกิ่งจะจอดำได้

ส่วนชาวโซเชียลจีน​ ก็ฟาดแรงไม่แพ้กัน ต่างวิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารจาก BBC อย่างเผ็ดร้อน บางคนก็ตั้งชื่อให้สำนักข่าว BBC ว่าเป็น Biased Broadcasting Corporation และโจมตีสำนักข่าวดังของตะวันตกว่า "อย่าเป็นมนุษย์ CNN อย่ารายงานข่าวอย่าง BBC" 

ก็กลายเป็นการฟาดมา ฟาดกลับไม่โกง ระหว่าง  'มังกรผยอง'​ และ 'สิงโตคำราม'​ ที่พร้อมไล่บี้กันทุกสนาม แบบไม่มีใครกลัวใครทีเดียว


อ้างอิง:
https://www.globaltimes.cn/page/202102/1215082.shtml

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/china-takes-aim-at-bbc-as-dispute-with-britain-intensifies

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top