Wednesday, 7 May 2025
WeeklyColumnist

จับตา!! ‘Doomsday Clock’ เมื่อนาฬิกาวันสิ้นโลก เดินมาถึงจุด ‘100 วินาที’ ก่อนเที่ยงคืนแล้ว!!

นาฬิกาเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้วัดและกำหนดสิ่งต่างต่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาในยุคเริ่มแรกตั้งแต่ นาฬิกาแดด นาฬิกาทราย นาฬิกาไขลาน นาฬิกาออโตเมติก จนกระทั่งนาฬิกาไขดิจิตอล ไปจนถึงนาฬิกาชีวภาพในวิชาชีววิทยา ฯลฯ 

จากหลักการทำงานของนาฬิกาดังกล่าวข้างต้น ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเพื่อจัดทำนาฬิกาสำหรับทำหน้าที่พยากรณ์จุดจบของโลกขึ้นมา 

Doomsday Clock (นาฬิกาวันสิ้นโลก) จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) โดยสมาชิกคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และความมั่นคงในคณะผู้จัดทำหนังสือจดหมายเหตุของนักวิทยาศาสตร์ปรมาณู (Bulletin of the Atomic Scientists) ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการด้านต่าง ๆ ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล ๑๘ คนร่วมอยู่ด้วย 

Doomsday Clock ไม่ได้เป็นนาฬิกาที่เป็นตัวเรือน แต่เป็นเพียงแผ่นหน้าปัดนาฬิกาที่ถูกจัดทำขึ้น มีลักษณะเป็นเชิงสัญลักษณ์ โดยเปรียบการนับถอยหลังจากเกิดมหันตภัยต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น สงครามนิวเคลียร์ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งนาฬิกาถูกปรับให้เข้าใกล้เที่ยงคืนมากเท่าใด บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างก็เชื่อว่าโลกของเราก็ยิ่งเข้าใกล้การเกิดภัยพิบัติมากขึ้นเท่านั้น

ประวัติของ Doomsday Clock นาฬิกาที่แสนจะแปลกประหลาดและไม่เป็นมงคลเรือนนี้ เริ่มขึ้นภายหลังการสิ้นสุดของมหาสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยนั้นประชาชนพลโลกทั่วไปยังไม่มีความรู้ถึงภัยร้ายแรงจากอาวุธนิวเคลียร์ รู้อย่างมากแค่ว่า อาวุธนิวเคลียร์เป็นอาวุธที่มีอานุภาพรุนแรงจนสามารถบีบให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้สำเร็จ กลุ่มคนที่เล็งเห็นและตื่นตัวถึงภัยคุกคามนี้เป็นพวกแรก ๆ ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่ก็คือ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่ประดิษฐ์ระเบิดปรมาณูขึ้นมานั่นเอง

Eugene Rabinowitch ผู้ร่วมกันก่อตั้ง Bulletin of the Atomic Scientists

จากความกังวลเรื่องนี้เองทำให้ Eugene Rabinowitch นักชีวะ-ฟิสิกส์ กับ Hyman Goldsmith นักฟิสิกส์ ชาวอเมริกัน จึงได้ร่วมกันก่อตั้งนิตยสารชื่อ Bulletin of the Atomic Scientists ขึ้นมา แปลเป็นภาษาไทยว่า จดหมายเหตุจากนักวิทยาศาสตร์ปรมาณู ซึ่งเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ. 1945) โดยมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากมายในยุคนั้นให้การสนับสนุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Morton Grodzins, Hans Bethe, Anatoli Blagonravov, Max Born, Harrison Brown, Stuart Chase, Brock Chisholm, E.U. Condon, Albert Einstein, E.K. Fedorov, Bernard T. Feld, James Franck, Ralph E. Lapp, Richard S. Leghorn, J. Robert Oppenheimer, Lord Boyd Orr, Michael Polanyi, Louis Ridenour, Bertrand Russell, Nikolay Semyonov, Leó Szilárd, Edward Teller, A.V. Topchiev, Harold C. Urey, Paul Weiss, James L. Tuck ฯลฯ

Hyman Goldsmith ผู้ร่วมกันก่อตั้ง Bulletin of the Atomic Scientists

จุดประสงค์ของนิตยสารก็คือ เป็นแหล่งความรู้สำหรับผู้ที่มีความสนใจในวิทยาศาสตร์ และ ให้ความรู้แก่ประชาชนชาวอเมริกันในเรื่องของอันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์ และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) จึงได้เพิ่ม Doomsday Clock (นาฬิกาวันสิ้นโลก) เข้าไป อันเป็นการเริ่มต้นการเดินของนาฬิกาเรือนนี้ วิธีการอ่านค่าเวลาจากนาฬิกาวันสิ้นโลกนั้นไม่ยากเลย โดยส่วนประกอบและลักษณะรูปลักษณ์ของจะไม่ต่างจากนาฬิกาทั่วไป ประกอบด้วย เข็มยาว เข็มสั้น จุดบอกเวลา ฯลฯ แต่จุดกำหนดเวลาบนหน้าปัดจะมีเพียงเลข ๙ ไปจนถึงเลข ๑๒ คือ มีแต่ส่วนบนซ้ายของหน้าปัทม์นาฬิกา ซึ่งเมื่อเวลาเที่ยงคืนมาถึงจะหมายถึงว่า โลกได้เข้าถึงขีดสุดแห่งความหายนะแล้ว และเป็นการเข้าสู่วันสิ้นโลก แต่เมื่อ ภยันตราย ความรุนแรง และเหตุวิกฤต ลดลงเมื่อใด เข็มเวลาก็จะยิ่งออกห่างจากเวลาเที่ยงคืนมากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เวลา 23:55 น. จะวิกฤตน้อยกว่าเวลา 23:58 น. 

การบ่งบอกว่า โลกเข้าใกล้จุดหายนะที่เป็นการสิ้นสุดของโลกมากน้อยขนาดไหน จะใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกเป็นตัวแปร ตัวกำหนด เช่น สงคราม ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ภัยคุกคามของระเบิดนิวเคลียร์ สภาวะโลกร้อน ฯลฯ เดิมทีนาฬิกาเรือนนี้ถูกแขวนบนกำแพงในสำนักงานของจดหมายเหตุฯ ภายในมหาวิทยาลัยชิคาโก และกลายเป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ของภัยคุกคามสงครามนิวเคลียร์ที่ชาติต่าง ๆ ต่างพากันสะสมไปจนทั่วโลก ทว่า หลัง พ.ศ. ๒๕๕๐ มีการนำเอาผลสะท้อนอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงพัฒนาการใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้เกิดภัยต่อมนุษยชาติอย่างร้ายแรงจนไม่อาจกู้คืนหรือแก้ไขได้

RDS-1 ระเบิดปรมาณูลูกแรกของสหภาพโซเวียต

เวลา 23:53 น. หรือ ๗ นาทีก่อนเที่ยงคืน ถูกตั้งให้เป็นเวลาตอนที่ Doomsday Clock (นาฬิกาวันสิ้นโลก) เริ่มเดินเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947)  โดยสมัยนั้นเป็นช่วงที่โลกเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาได้ไม่นาน และกำลังก้าวเข้าสู่ยุคนิวเคลียร์ พร้อมกับการก่อตัวขึ้นของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตหรือที่รู้จักกันในชื่อของ “สงครามเย็น (Cold war)” สองปีต่อมา นาฬิกาถูกปรับให้เป็นเวลา 23:57 น. โดยเกิดจากการที่สหภาพโซเวียตทดลอง RDS-1 ระเบิดปรมาณูลูกแรกเป็นผลสำเร็จ จึงนับเป็นประเทศที่สองของโลกที่ครอบครองอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ ภายหลังสหรัฐอเมริกาเพียง 4 ปี และเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย 

การทดลองระเบิดไฮโดรเจน ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำลายล้างสูงกว่าระเบิดปรมาณูหลายเท่าตัว

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) นาฬิกาถูกปรับให้เหลือเวลา ๒ นาทีก่อนเที่ยงคืน อันเป็นผลมาจากสหรัฐฯ กับโซเวียตตัดสินใจทดลองระเบิดไฮโดรเจน ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำลายล้างสูงกว่าระเบิดปรมาณูหลายเท่าตัว หลังจากที่นาฬิกาถูกปรับให้ใกล้เที่ยงคืนไปหลายครั้ง ในที่สุดเวลาก็ได้ถูกเลื่อนให้ออกห่างจากเวลาเที่ยงคืนเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ (ค.ศ. 1960) สาเหตุจากท่าทีประนีประนอมของทั้งสองขั้วอำนาจต่อวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เช่น วิกฤตสุเอซ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) และมีความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายผ่านการประชุมต่าง ๆ 

วิกฤตสุเอซ

ประวัติการปรับเวลาของ Doomsday Clock ตั้งแต่ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) จนถึง พ.ศ. ๒๕๖๐ (ค.ศ. 2017)   

สามปีให้หลังต่อมา เวลาของ Doomsday Clock ถูกปรับเป็น 23:48 น. หรือ ๑๒ นาทีก่อนเที่ยงคืน อันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์บนพื้นดิน แต่ยังคงอนุญาตมีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ที่ใต้ดินอยู่ สนธิสัญญานี้แสดงให้เห็นว่า มีความพยายามจากทั้งสองฝ่ายที่จะลดอัตราการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ลง และร่วมกันปกป้องสภาพอากาศที่เสียหายจากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์

‘LGBTQ+’ ตรวจสุขภาพเฉพาะทางได้ที่ไหนบ้าง มาดูกัน!!

เนื่องจากเดือนมิถุนายนของทุกปีถือเป็น Pride Month สำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ+ ซึ่งปัจจุบันมีการรณรงค์สนับสนุนความเท่าเทียมและความภาคภูมิใจในตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพนับเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกคนรวมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
การตรวจสุขภาพ คือ การตรวจร่างกายในภาวะที่ร่างกายเป็นปกติดี ไม่มีอาการเจ็บป่วย โดยมีวัตถุประสงค์ในการค้นหาปัจจัยเสี่ยงและภาวะผิดปกติ เพื่อให้ทราบแนวทางป้องกันการเกิดโรคร้ายแรง ในทุกช่วงอายุควรเข้ารับการตรวจสุขภาพ ซึ่งสามารถเลือกตรวจสุขภาพประจำปีกับโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนก็ได้

>> การตรวจสุขภาพในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น
มุ่งเน้นไปที่การตรวจร่างกายทั่วไป (ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง) เพื่อค้นหาความผิดปกติ ประเมิน การเจริญเติบโตตามวัย และเฝ้าระวังด้านพัฒนาการ รวมไปถึงการรับวัคซีนต่าง ๆ ตามกำหนดเวลา เพื่อป้องกันการเกิดโรค



>> การตรวจสุขภาพในกลุ่มวัยทำงาน
สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 - 60 ปี โดยการซักประวัติเพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรค โดยเฉพาะในกลุ่มที่ครอบครัวเคยมีประวัติป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เบาหวาน ประกอบกับการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต เพื่อช่วยในการคัดกรองภาวะเสี่ยงของโรค ซึ่งควรตรวจร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง


 

- ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง
- ตรวจการได้ยินปีละ 1 ครั้ง
- แบบประเมินสภาวะสุขภาพ เช่น ภาวะซึมเศร้า การใช้ยาและสารเสพติด การดื่มแอลกอฮอล์ การติดนิโคตินในผู้สูบบุหรี่ เป็นต้น
- การตรวจตา สำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจวัดสายตาและตรวจคัดกรองโรคต้อหิน ภาวะความดันลูกตาสูง และความผิดปกติอื่นๆ โดยทีมจักษุแพทย์ อย่างน้อย 1 ครั้ง
- การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Chest x-ray) โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก หรือมีอาการสงสัยว่าเป็นวัณโรคและมะเร็งปอด
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) ช่วยคัดกรองภาวะโลหิตจางหรือความผิดปกติอื่นของเม็ดเลือดหรือเกล็ดเลือด

รู้จัก THE RED CARBON จุดแข็งใหม่ด้านครีเอทีฟของ CJ WORX ภายใต้ Data + Creative ที่ผสมผสานอย่างลงตัว

ปี 2022 Creative Agency หลายๆ ที่ อาจจะเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘โลกใหม่’ หรือโลกที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป มันคืออะไร? แล้วจะมีวิธีไหนไหม? ที่ทำให้จักรวาลของเอเจนซี่โฆษณา พุ่งตัวไปยังโลกนั้น แล้วรังสรรค์งานสร้างสรรค์ให้ลูกค้าได้อย่างทันท่วงที

‘ขี่จรวดไป…จะได้เร็ว’ นั่นคือ คำตอบที่ง่ายที่สุด!! 

แต่ ‘จรวด’ ที่ว่ามันคืออะไรกันล่ะ? แล้วใครจะเป็นคนสร้าง?

ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปี CJ WORX ถือเป็นอีกเอเจนซี่ที่โดดเด่นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ และยังคงเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับ Creative Agency คือ ความสามารถที่จะ ‘คิดสร้างสรรค์’ สิ่งใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ซึ่งรวมไปถึงการ ‘สรรค์สร้าง’ ให้ Data เข้ามาทำงานร่วมกับ Creative ได้อย่าง ‘สร้างสรรค์’ 

นั่นจึงทำให้ CJ WORX ไม่เคยคิดว่า จะถูก Disrupt จากยุคของ Data แม้แต่น้อย!!

เพียงแต่จะต้องตั้งคำถามว่า Data จะมอบ ‘พลัง’ ในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ให้แก่ CJ WORX ได้อย่างไร และในขณะเดียวกัน ความคิดสร้างสรรค์ของ CJ WORX จะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็น Data ได้อย่างไรด้วย 

เมื่อเข้าใจเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงให้คำตอบกับตัวเองว่า “จรวดที่จะนำพาให้เราไปยังโลกใหม่...ก็คือ Data” แต่ด้วยความครีเอทีฟในแบบของ CJ WORX การนำ Data มาสร้างเป็นจรวด ก็ต้องไม่ใช่จรวดธรรมดา!!

CJ WORX ใช้เวลาตามหาผู้ที่จะช่วยเราสร้างจรวดลำนี้ ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก ก็เจอ!! 

จรวดลำนี้ มีชื่อว่า Data-Driven Creativity เป็นจรวดที่จะทำให้พุ่งทะยาน ไปยังโลกใหม่ได้เร็ว และสร้างความสนุกสนานใหม่ๆ ให้กับลูกค้าของ CJ WORX ภายใต้บริษัทใหม่ที่ชื่อว่า ‘THE RED CARBON’ ซึ่งเกิดขึ้นบนความเชื่อที่ว่า Data คือ จรวดที่จะพาพวกเขาออกสู่อวกาศอย่างรวดเร็ว และจะช่วยให้ลูกค้าไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการอย่างแม่นยำ 

โดย ‘RED’ ย่อมาจาก RICH ENGAGEMENT DATA เกิดจากความเชื่อที่ว่า Data ที่ Rich จะต้องมาจาก Engagement ที่แข็งแรง ซึ่ง CJ WORX เองมีความสามารถในการผลิตเนื้อหาที่สร้าง ENGAGEMENT ได้อย่างแข็งแรงจาก Campaign ต่างๆ ที่ปล่อยออกมา ส่งผลให้ Data ที่ได้นั้น ‘มีความหมาย’ ในขณะเดียวกัน THE RED CARBON จะเป็นผู้ที่นำ Data เหล่านั้นไปต่อยอดให้มีความหมายที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ทั้งในเชิงของ Campaign, Performance และ Business Result

หนึ่งใน Founder ของ THE RED CARBON ที่ CJ WORX ตามหามานาน คือ ‘ดร.พัชรสุทธิ์ สุจริตตานนท์’ หรือที่หลายคนเรียกว่า ‘อาจารย์ป๊อป’ อดีตอาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ที่ขลุกอยู่กับ Data มากว่า 15 ปี และมีประสบการณ์มากมายทางด้าน Data Science และ Behavioral Economics โดยอาจารย์ป๊อบเชื่อว่า Creativity มีความสำคัญมากในงาน Data Science 

“หลายคนอาจจะคิดว่า Data Science กับ Creativity มันอยู่คนละโลก แต่ในความเป็นจริง เวลาที่เราต้องทำงานกับข้อมูลต่างๆ มันคือกระบวนการคิดสร้างสรรค์ มันคือการตอบคำถามแบบ Out of the box ดังนั้นเรามักจะเห็นว่า บริษัทที่ Innovative มากๆ จะมีการผสมผสาน Data กับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์อย่างลงตัว” อาจารย์ป๊อบกล่าวพร้อมเสริมว่า “จริงๆ แล้วเราใช้ความคิดสร้างสรรค์เยอะมาก ในการวิเคราะห์ข้อมูล การแปลผล หรือแม้กระทั่งการสร้างแบบจำลองต่างๆ ล้วนแล้วใช้ความคิดสร้างสรรค์ทั้งสิ้น ดังนั้น เส้นแบ่งระหว่างงานด้าน Data Science กับ Creativity จึงเริ่มจางหายไป และเกิดเป็น Data-Driven Creativity ขึ้นมา”

‘Lord West’ แห่ง Spithead ส่งคำเตือนถึงกองทัพอังกฤษว่า ‘อ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องประเทศจากผู้รุกรานได้’

 

ปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งมักเอ่ยอ้างว่า การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับการรักษาอธิปไตยของชาติไม่จำเป็นแล้ว ด้วยสมัยนี้ไม่มีใครรบกันแล้ว แต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนจนกลายเป็นสงคราม ทำให้สังคมต้องกลับมาคิดทบทวนถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อม ทั้งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ สำหรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ดังที่อดีตผู้บัญชาการทหารเรืออังกฤษได้กล่าวเตือนรัฐบาลอังกฤษในรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร

Lord West แห่ง Spithead (พลเรือเอก Sir Alan William John West) อดีตผู้บัญชาการกองทัพเรืออังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙

Lord West แห่ง Spithead (พลเรือเอก Sir Alan William John West) ได้กล่าวเตือนว่า กองทัพของสหราชอาณาจักรอ่อนแอเกินกว่าที่จะป้องกันประเทศในกรณีที่เกิดความขัดแย้งที่ต้องมีการใช้กองกำลังติดอาวุธ จากการประเมินของ Lord West แห่ง Spithead ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรืออังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙ ได้เน้นย้ำถึงการเพิ่มงบประมาณทางทหารที่ไม่เพียงพอ อันเป็นปัญหาที่สะสมเรื้อรังมานาน โดยเขาบอกว่า งบประมาณในปัจจุบันนั้น "น้อยเกินไป"

Lord West แห่ง Spithead (พลเรือเอก Sir Alan William John West) อดีตผู้บัญชาการกองทัพเรืออังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙

Lord West กล่าวว่า 'อาจจะ' เกิดสงครามขึ้นได้ในอนาคต แต่กองทัพอังกฤษ 'ขาดอุปกรณ์และกำลังพลในระดับที่จะทำให้ประเทศมีความมั่นคง' เขากล่าวในฐานะสมาชิกสภาขุนนาง (House of Lords) ในรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร (UK Parliament) ณ พระราชวัง Westminster ในขณะที่มีการถกเถียงกันในรัฐสภาถึงผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครนหลังจากการบุกของรัสเซีย ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น


Ben Wallace รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม อดีตร้อยเอกแห่งกองทัพบกสหราชอาณาจักร ผู้ซึ่งจบจากราชวิทยาลัยการทหาร Sandhurst

เดือนมีนาคมที่ผ่านมา Ben Wallace รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม อดีตร้อยเอกแห่งกองทัพบกสหราชอาณาจักร ผู้ซึ่งจบจากราชวิทยาลัยการทหาร Sandhurst ได้ประกาศว่า กองทัพอังกฤษจะมีการลดกำลังทหารลง ๑๐,๐๐๐ นาย โดยอ้างว่า เทคโนโลยีใหม่มี 'ผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยเพราะกำลังพลเพียงไม่กี่นายก็สามารถควบคุมปฏิบัติการทางทหารได้แล้ว' ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการสั่นคลอนครั้งใหญ่ต่อกองทัพอังกฤษ รัฐมนตรีกลาโหม Wallace ยังกล่าวด้วยว่า กำลังทหารของกองทัพบกอังกฤษโดยรวมจะลดลงเหลือ ๗๒,๕๐๐ นาย ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว

Lord West ขณะแถลงในรัฐสภา ด้วยฐานะสมาชิกแห่งสภาขุนนาง (House of Lords)

Lord West แถลงในรัฐสภาว่า “แม้จะมีความตั้งใจในทุกรูปแบบ แต่งบประมาณในการป้องกันประเทศก็ยังขาดแคลนซึ่งเป็นมาหลายปีแล้ว และเมื่อมองต่อไปยังอนาคต การขาดแคลนงบประมาณก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยสมมติฐานที่ว่า ‘เป็นการประหยัดที่มีประสิทธิภาพ’ ซึ่งเป็นเรื่องที่โกหกหลอกลวง เพราะการประหยัดที่มีประสิทธิภาพไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และไม่มีจริง การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการป้องกันประเทศอย่างชัดเจนเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับรัฐบาลในสังคมของเราที่อบอุ่นและมั่นคง แต่เหตุผลที่เราสามารถอยู่ในสังคมที่อบอุ่นและมั่นคงได้ ก็เพราะว่าเราใช้จ่ายงบประมาณในการป้องกันประเทศ” 

“คำกล่าวที่ว่า สงครามไม่ได้แพ้ชนะกันในสนามรบ แต่แพ้ชนะกันด้วยการสร้างขีดความสามารถทางการทหารไว้ล่วงหน้า นั้นเป็นความจริง โดยเฉพาะเมื่อศัตรูสังเกตเห็น ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมไม่ให้เกิดสงคราม ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและงบประมาณ”


“พวกเราหลายคนได้เคยเตือนถึงการขาดแคลนงบประมาณที่เรื้อรังต่อเนื่องมายาวนาน แต่เราได้รับการบอกตอบครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ‘เราคิดผิด’ ซึ่งความจริงก็คือกองกำลังติดอาวุธของเราอ่อนแอเกินกว่าที่จะป้องกันประเทศจากสงครามได้...และหากมีสงคราม เกรงว่า สักวันพวกเขาอาจจะขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพลในระดับที่จะให้ประเทศของเราปลอดภัย และกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศในปัจจุบันของเรามีขนาดเล็กเกินไป พวกเขาขาดแคลนทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อให้เพียงพอสำหรับอัตราการใช้ในสงครามที่จะสูงอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การลดขนาดของกองทัพเป็น ‘ขั้นตอนที่เร็วเกินไป’ ” Lord West กล่าวในรัฐสภา

รู้เท่าทัน ‘คุณและโทษ’ หลังปลดล็อกกัญชา ความท้าทายใหม่ของสังคมไทย

หลังจากที่เป็นมหากาพย์มาค่อนข้างจะยาวนาน จากนโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง สู่การนำมาใช้ปฏิบัติจริง จนกระทั่งกลายเป็นความขัดแย้งของหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 

สุดท้ายแล้ว เมื่อวันที่ (9 มิถุนายน 2565) ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องมีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทย หลังประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุยาเสพติดประเภทที่ 5 พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ส่วนประกอบของกัญชาทุกอย่าง ยกเว้นสารสกัดจากกัญชาที่มีค่า THC (Tetrahydrocannabinol) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์เกิน 0.2 % มีสถานภาพที่ไม่ใช่สารเสพติดต่อไปอีกแล้ว



สำหรับกัญชานั้นเป็นพืชล้มลุกจำพวกหญ้าชนิดหนึ่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. เป็น mono specific มีชื่อสามัญหลากหลาย เช่น hemp, marijuana, pot, gandia เป็นต้น กัญชามักจะเป็นที่นิยมเรียกกันในกลุ่มผู้เสพว่าเนื้อ 

ก่อนที่จะถูกปลดล็อก กัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ลักษณะใบกัญชา จะเรียวยาวแตกเป็นแฉกคล้ายใบละหุ่งหรือมันสำปะหลัง ส่วนที่นำมาใช้เสพก็คือ ใบและยอดช่อดอกตัวเมีย โดยการนำมาตากหรืออบแห้งแล้วบดหรือหั่นเป็นผงหยาบๆ นำมามวนบุหรี่สูบ หรืออาจสูบด้วยกล้อง หรือมีวัสดุสำหรับสูบ ทำจากไม้ไผ่เรียกว่าบ้องกัญชา บางครั้งอาจใช้วิธีเคี้ยวทาน หรือใช้เป็นส่วนประกอบกับอาหารรับประทานก็ได้ 

เมื่อเสพกัญชาเข้าไปในระยะแรกของการเสพ สาร THC ที่เป็นสารออกฤทธิ์ของกัญชาจะกระตุ้นประสาททำให้ผู้เสพมีอาการร่างเริง ช่างพูด หัวเราะง่าย หัวใจเต้นเร็ว ตื่นเต้นง่าย ต่อมาจะมีอาการคล้ายคนเมาเหล้าอย่างอ่อน เนื่องจากกัญชาออกฤทธิ์กดประสาท ผู้เสพจะมีอาการง่วงนอน ซึม หายใจถี่ เห็นภาพลวงตา ภาพหลอนต่าง ๆ เกิดอาการหู่แว่ว ตกใจง่าย วิตกกังวล หวาดระแวง บางรายคลื่นไส้อาเจียน ความจำเสื่อม ความคิดสับสน เพ้อคลั่ง ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มีอาการทางจิต 

การปลดล็อกกัญชาให้ออกจากการเป็นสารเสพติด โดยใช้เหตุผลหลักเพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์จากกัญชาอย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของการเป็นยารักษาโรค และใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร ซึ่งจะส่งผลให้กัญชากลายเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ปลูกได้ 
 


แต่อย่างไรก็ตามหลังจากการปลดล็อกกัญชาให้พ้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 แล้วนั้น มีประเด็นที่ท้าทายสังคมไทยมากที่สุด คือการสร้างให้เกิดความสมดุลระหว่างประโยชน์และโทษของกัญชา 

ทั้งนี้การปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดนั้น จะต้องมีกระบวนการหรือมาตรการให้เกิดการนำเฉพาะส่วนที่เป็นข้อดีของกัญชาออกมาใช้ เพราะถึงแม้กัญชาจะมีประโยชน์มากมาย แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี หรือใช้เกินขนาดก็จะส่งผลให้เกิดโทษตามมาเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของสารออกฤทธิ์ THC ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าการใช้กัญชานั้นจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ  

โดยลักษณะการออกฤทธิ์ของสาร THC จะมีลักษณะเด่น ๆ คือ ถ้าได้รับในปริมาณที่เหมาะสม คือไม่สูงจนเกินไปจะมีผลในการลดอาการปวด ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดอาการคลื่นไส้ ทำให้เกิดการผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับได้ดี 

ทั้งนี้ทางการแพทย์ได้มีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคต่าง ๆ เช่น บรรเทาอาการข้างเคียงของการได้รับเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง บรรเทาอาการภูมิแพ้ บรรเทาอาการที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี บรรเทาอาการที่ทำให้เจ็บปวดเรื้อรัง บรรเทาอาการการติดเชื้อ หรืออักเสบของอวัยวะต่างในร่างกาย เป็นต้น 

Data is Creative!! ความตื่นเต้นของชาวครีเอทีฟ หลัง DATA กลายเป็นส่วนผสมสุดลงตัว

ในวันที่ครีเอทีฟเริ่มเห็นประสิทธิผลของ ‘ดาต้า’ (DATA) ในการนำมาต่อยอดการสร้างสรรค์งานครีเอทีฟใหม่ๆ ได้

บรรดาครีเอทีฟ ‘ตื่นเต้น’ กับมันแค่ไหน / ยังไง?

ในมุมครีเอทีฟ เรามักทำงานอยู่บนเรื่องราวของข้อมูลตั้งแต่เริ่มอาชีพนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ข้อมูลส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของ ‘บรีฟ’ และก็เริ่มคิดงานจากข้อมูลบรีฟนั้น ๆ เป็นการตั้งต้น 

จนกระทั่งเราเริ่มได้สัมผัสกับ ดาต้า ได้มองเห็นข้อมูลเชิงลึกที่ผ่านการเก็บสถิติในสังคมโลกใต้บริบทต่าง ๆมากขึ้น จึงเกิดเหลี่ยมมุมที่หลากหลาย ให้เราได้ขยายพื้นที่การวิ่งเล่นของคนครีเอทีฟที่สามารถสร้าง ‘ทริกเกอร์’ ในมุมของความสร้างสรรค์ได้อีกเยอะขึ้นมาก ๆ นี่สินะที่เราเรียกว่า Data driven creativity!!

ความน่าสนใจของดาต้าต่อการทำงานของคนครีเอทิฟนั้น จะว่าไปแล้วก็คงเหมือน ‘ไก่’ กับ ‘ไข่’ หรือเป็นเหมือนพาร์ตเนอร์เสียมากกว่า เพราะมันมีมุมที่ครีเอทีฟคิดขึ้นมาว่า บางส่วนสามารถใช้ดาต้ากับงานตรงนี้ก็ได้ ยิ่งดาต้าที่ได้กรองมาแล้ว ก็จะยิ่งทำให้ไอเดียแหลมขึ้น พิเศษขึ้น พัฒนาโจทย์ที่ถูกบรีฟมาให้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกได้ไม่ยาก

ยกตัวอย่าง งานใหม่ชิ้นโบว์แดงของเราอย่าง ‘น้องอิงมา’ (ชื่อที่ได้มาจากการทำงานของครีเอทีฟที่อิงมาจากสถิติ) (DATA)

ที่มาที่ไปของโจทย์ที่ CJ WORX ได้รับจากลูกค้า คือ ความต้องการโปรโมตให้คนไทยตระหนักถึงเรื่องโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นโรคที่เกิดมานานมากแล้ว แต่ต้องหามุมในการนำเสนอที่คริเอทิฟเพื่อให้คนสนใจให้ได้ (อันที่จริงก็ไม่มีทริกเกอร์อะไรจะเล่นกับมันสักเท่าไรแล้วล่ะ) 

DATA มีผลกับมุมมองที่เหมือนจะตัน!! โดยทางทีมครีเอทีฟได้ไปค้นพบว่า “เฮ้ย!! มันยังมีมุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นะ” หลังจากที่มีคนตายจากโรคนี้อยู่เยอะ ขณะที่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้ หรือรู้ แต่นิ่งเฉย!!

เมื่อตกผลึกความคิดจากจุดนั้น เราหยิบมาเขย่าและคุยกันว่า ทำยังไงคนถึงจะกลับมาสนใจโรคนี้อีกครั้ง? 

‘Danuta Danielsson’ หญิงกับกระเป๋าถือ ตำนานการต่อต้าน ‘Neo-Nazi’ สุดบันลือโลก


สติกเกอร์ซึ่งทำขึ้นโดย Civil Woke ศิลปินล้อเลียนการเมือง ราคาชิ้นละ $4.28

เมื่อหญิงคนหนึ่งก้าวออกจากฝูงชนในเมือง Växjö ของสวีเดน ในวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ (ค.ศ. 1985) แล้วใช้กระเป๋าถือของเธอฟาดเข้าที่ศีรษะของสมาชิก Neo-Nazi ที่โบกธงของพรรค Nordic Reich ซึ่ง Hans Runnesson ช่างภาพ สามารถจับภาพได้ทันที ทำให้ภาพถ่ายดังกล่าวโด่งดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งทุกวันนี้ ภาพนี้ก็ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในภาพสัญลักษณ์ของการต่อต้านลัทธิ Neo-Nazi

 

ธงของพรรค The Nordic Realm (พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๕๒)

ภาพถ่ายถูกถ่ายระหว่างการชุมนุมวงเล็ก ๆ ของกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค The Nordic Realm (ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวา นิยมลัทธิ Neo-Nazi และหมดสภาพไปตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒) เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งได้รับการอนุมัติของทางการแล้ว ผู้จัดการชุมนุมได้วางแผนที่จะจัดขึ้นหลังจากสิ้นสุดการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะโดยนาย Lars Werner หัวหน้าพรรคซ้าย-คอมมิวนิสต์ ใจกลางเมือง Växjö จนเกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างผู้สนับสนุนพรรคซ้าย-คอมมิวนิสต์ กับพวก Neo-Nazi เริ่มต้นขึ้นก่อนเริ่มการชุมนุม




Hans Runnesson ช่างภาพผู้ถ่ายภาพนี้

ภาพถ่ายของ Runnesson ภาพนี้ถูกตีพิมพ์ในวันรุ่งขึ้นบนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ Dagens Nyheter ของสวีเดน และในวันที่ ๑๕ เมษายนโดยหนังสือพิมพ์อังกฤษสองฉบับ คือ The Times และ The Daily Express ยังมีภาพถ่ายภาพอื่น ๆ ที่ถ่ายโดย Runnesson แสดงให้เห็นถึงสมาชิก Neo-Nazi 10 คน ซึ่งถูกไล่ล่า ขว้างปาด้วยไข่ และการเผชิญหน้าอย่างดุเดือดโดยฝูงชน ที่ประกอบด้วยผู้เข้าร่วมหลายร้อยคนในการชุมนุมพรรคซ้าย-คอมมิวนิสต์ ซึ่งเข้าร่วมโดยชาวเมือง Växjö ในท้องถิ่น หนึ่งในพวก Neo-Nazi ถูกเตะจนหมดสติล้มลงกับพื้น จากนั้นผู้ประท้วงคนหนึ่งก็ช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ในที่สุดนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัดก็ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำของสถานีรถไฟ ๒-๓ ชั่วโมง จนกระทั่งตำรวจเข้ามาพาพวกเขาออกไป

ภาพนี้ได้รับเลือกให้เป็นภาพแห่งปีของสวีเดน (Årets bild) พ.ศ. ๒๕๒๘ (ค.ศ. 1985) และต่อมาเป็นภาพแห่งศตวรรษโดยนิตยสาร Vi และสมาคมประวัติศาสตร์การถ่ายภาพแห่งสวีเดน ภาพถ่ายถูกจัดพิมพ์โดยแกลเลอรีภาพ Pelle Unger AP สามชุด และ PP สามชุด ในขนาด ๕๘ x ๘๐ เซนติเมตร (๒๓ นิ้ว × ๓๑ นิ้ว) และมีราคาอยู่ระหว่าง ๒,๐๐๐ ถึง ๓,๘๐๐ ยูโร (ราคา ณ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓)

‘Hachiko & Capitan’ สุนัขยอดกตัญญู เพื่อนแท้ของมนุษย์ ตราบสิ้นลมหายใจ



Harry S. Truman อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณต้องการเพื่อนแท้ใน Washington D.C. ให้หาสุนัขมาเลี้ยง” 

ซึ่ง ‘ฮาจิโกะ’ สุนับสายพันธุ์อากิตะ อินุ ในญี่ปุ่น และ ‘Capitan’ (หรือ Captain ในภาษาอังกฤษ) สุนัขสายพันธุ์ German shepherd ในอาร์เจนตินา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “สุนัขเป็นเพื่อนแท้ของมนุษย์ แม้กระทั่งภายหลังความตาย” 

รูปปั้นของฮาจิโกะกับศาสตราจารย์อูเอโนะ ผู้เป็นเจ้าของ 

ในประเทศญี่ปุ่นมีเรื่องของ ‘ฮาจิโกะ (Hachiko)’ สุนัขซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของ ‘ฮาจิโกะ สุนัขยอดกตัญญู’ โดยเป็นสุนัขสายพันธุ์อากิตะ อินุ (Akita Inu) 

สุนัขสายพันธุ์อากิตะ อินุ มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแต่เดิมถูกใช้เป็นสุนัขอารักขาให้กับโชกุน และใช้เป็นสุนัขสำหรับการล่าสัตว์ มีทักษะในการดมกลิ่น การมองเห็น และการได้ยินในระดับสูง 

 

 

ภาพถ่ายของฮาจิโกะ

สำหรับเจ้า ‘ฮาจิโกะ’ นั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ถึงความจงรักภักดีอันน่าทึ่ง จากการที่มันเฝ้ารอการกลับมาของศาสตราจารย์อูเอโนะ ภาควิชาการเกษตรกรรมแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ผู้เป็นเจ้าของ ณ สถานีรถไฟชิบูยะ หลังจากที่ ศ.อูเอโนะเสียชีวิตทุกวันเป็นเวลากว่า ๙ ปี จนกระทั่งมันตาย 

รูปปั้นของฮาจิโกะ ที่ ชิบูยะ กรุงโตเกียว

‘ฮาจิโกะ’ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสัตย์ซื่อ หนุ่มสาวญี่ปุ่นจะไปสัญญารักต่อกันหน้ารูปหล่อของฮาจิโกะที่สถานีรถไฟดังกล่าว

DATA + CREATIVITY ความ ‘เซ็กซี่’ ของ ‘ไอเดียสร้างสรรค์สายพันธุ์ใหม่’ ‘EMPOWER - BEAUTIFY - EXPERIMENT’

ไม่ใช่แค่ อยากจะเปิดบริษัท Data แต่ อยากจะ Empower ทุกคนใน CJWORX ให้คิดแบบใหม่ อยากจะทำให้การ Experiment เป็นเรื่องที่ทุกคนตื่นเต้น และอยากให้ทุกคนกล้าที่จะได้ทดลอง 

เราคิดว่า คงไม่ใช่แค่ ลักษณะของ Device ที่เราจะสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ได้เท่านั้น แต่เราคิดว่า Data-driven Creativity Agency จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรด้วยเช่นกัน 

CJWORX เอง จากแต่ก่อนที่ทีมกลยุทธ์ มักตามหา Insights ด้วยการทำ Research ต่างๆ บนโลกออนไลน์ รวมไปถึงการทำ Desk Research ควบคู่ แต่พอมีทีม Data Scientist Insights การทำงานนั้นก็สนุกขึ้นมาก เพราะทีม Data Science มักหา Data ใหม่ๆ จาก Source สนุกๆ มาให้ Creative ได้นำไปต่อยอดไอเดียสร้างสรรค์ได้มากมาย

นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำไมเราจึงเชื่อว่า THE RED CARBON ภายใต้ CJWORX จะมาเป็นผู้ Disrupt ทั้งวงการ Agency เอง และรวมถึงตัวพวกเรา ให้มีบทบาทในการสร้างทศวรรษใหม่ไปพร้อมๆ กัน (อ่านเพิ่มเติม https://thestatestimes.com/post/2022061904 )

ปัจจุบัน CJWORX ได้ปรับยุทธศาสตร์การทำงาน ตั้งแต่การ Empower ทุกๆ Business Units ของเราให้คิดแบบ Data-Led (การใช้ข้อมูลผู้บริโภคมาประยุกต์ใช้กับข้อมูลแบบเรียลไทม์) เพื่อต่อยอดไปสู่ Creativity ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

ผลลัพธ์ คือ ทีม Creative สนุกสนานไปกับการเอา Data ที่มีอยู่มาแปลเป็น Campaign Idea ใหม่  หรือฝ่ายกลยุทธ์ ที่ Insights จาก Data มาแปลงเป็นแผนเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจให้มากขึ้น 

แม้แต่แผนก Media Planner หรือ Performance Marketing เอง ตอนนี้ก็ได้หยิบเอา Data มา Activate เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มคนที่ตรงมากขึ้นด้วย Message ที่โดนใจมากขึ้น (เดี๋ยวครั้งหน้าจะเล่าให้ฟังมากขึ้นว่า Data ทำให้ Performance Media ดีขึ้นอย่างไร) 

ระยะเวลาหลังผ่านไป 1 ปีกับการนำ Data มาผสมผสานกับการทำงานของ CJWORX ทำให้เราเห็นความดีงามอีกอย่าง ซึ่งเราพบว่า Data ไม่ได้แค่ Empower Creativity แต่เราเริ่มเห็น ‘Data Beautifies Creativity’ 

The mustang blu 'โคโลเนียลโฮเทล' สุดคูลกลางกรุง!! ที่สายวินเทจต้องมุ่งมาพักกาย

ใครสายวินเทจยกมือขึ้น! วันนี้บอสจะพาไปพักโรงแรมแนวใหม่ที่ใครจะเชื่อว่าที่นี่อยู่กรุงเทพ แค่ก้าวผ่านประตูไม้ก็เหมือนเข้าไปอยู่ในเรื่อง Night at the Museum เลยกับโรงแรมภายใต้อาคารเก่า ที่บอกได้เลยว่าจะสร้างความประทับใจแนวใหม่ เอาใจสายวินเทจอย่างแน่นอน

กับโรงแรม The mustang blu โรงแรมริมถนนไมตรีจิตต์ ตั้งใกล้หัวลำโพง มีรากฐานจากอาคารยุคสมัยโคโลเนียล ที่มีอายุร่วม 100 ปี ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ผ่านการใช้งานหลากหน้าที่ ทั้งเคย เป็นธนาคาร กระทั่งเป็นสถานอาบอบจนปรับเปลี่ยนอาคารนี้เป็นที่โรงแรม เปิดเผยร่องรอยเดิม แล้วเติมเรื่องราวเข้าไปใหม่ โดย ‘เป็นความเจ็บปวดที่งดงาม’ คือคำนิยามของที่นี่
 

ที่ตั้ง : ถนน ไมตรีจิตต์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ (ใกล้ MRT สถานีหัวลำโพง ประมาณ 300 เมตร)
ที่จอดรถ : แขกที่เข้าพัก รร. ไม่มีที่จอดรถ ต้องเอารถไปจอดได้ที่ The Quarter Hualamphong (ฟรี 24 ชม.) เท่านั้น โดยอาคารจอดรถอยู่ห่างจากโรงแรม 5 นาที หลังจากการเช็กเอาท์จะได้รับคูปอง 1 ใบ/1 ห้อง เพื่อรับรถ
คะแนนสำหรับที่นี่ : ราคา 9.5/10 (เทียบราคากับบรรยากาศแล้วคุ้มค่าจริงๆ) 
บรรยากาศ 10/10 
การบริการ 9.5/10
 

ที่นี่ได้ใช้ความคลาสสิกอายุกว่าร้อยปีให้ออกมาได้อลังการและสวยน่าถ่ายรูปทุกมุมในแบบ ‘วินเทจรีมิกซ์’ ที่รวมความวินเทจทั้งของวินเทจจริง ๆ และของใหม่ที่ออกแบบให้ดูเป็นวินเทจเอาไว้ได้อย่างลงตัวกันเลยทีเดียว 
 

ที่นี่มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นล่างเป็น ล็อบบี้ และห้องอาหารเช้าของแขกที่เข้าพัก ส่วนชั้น 2-3 จะเป็นพื้นที่ของห้องพัก 
 

เริ่มกันที่ล็อบบี้ เมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว ตึกนี้เคยเป็นที่ตั้งของธนาคาร Bank of China จึงทำให้มีตู้และเฟอร์นิเจอร์สำหรับงานธนาคารบางชิ้นที่เป็นเหมือนร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของตึกนี้หลงเหลือไว้อยู่ 
 

บริเวณชั้นล่าง
 

บริเวณชั้นล่าง
 

ที่นี่เป็นบันไดหมดเลยไม่มีลิฟต์ 
 

มองลงไปด้านล่าง
 

มองไปด้านบนหลังคาของของโรงแรม จะออกแบบให้เป็นเหมือนโดม

 

มากันที่ในห้องทุกห้องที่นี่ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก จะถูกออกแบบให้อยู่ในธีมเดียวกันทั้งอาคาร แตกต่างที่การตกแต่ง ทำให้แต่ละห้องให้ความรู้สึกที่ชวนมองแตกต่างกันไป

มุมต่างๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top