Tuesday, 6 May 2025
WeeklyColumnist

‘Nieves Fernandez’ ผู้นำกองโจรต้านทัพญี่ปุ่น ผู้สังหารทหารญี่ปุ่นกว่า 200 นาย ในสงครามโลกครั้งที่ 2

รู้จักคุณครู Nieves Fernandez วีรสตรีแห่งฟิลิปปินส์ ผู้นำกองกำลังต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้สังหารทหารญี่ปุ่นมากกว่า 200 นาย

ในช่วงทศวรรษที่ 1930 จักรวรรดิญี่ปุ่น ได้เริ่มบุกรุกขยายดินแดนในทวีปเอเชียเพื่อเพิ่มพลังอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศตะวันตกและเอเชียหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาซึ่งมีดินแดนอาณานิคมขนาดใหญ่ในทวีปนี้ ต่อมาเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเหตุให้มีเริ่มสงครามระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่น เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพสหรัฐฯในภูมิภาคแปซิฟิกที่อ่าวเพิร์ลในปี 1941 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแปซิฟิกซึ่งเป็นพื้นที่ของความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าและรู้จักกันในชื่อสงครามโลกครั้งที่สอง

ในช่วงเวลานั้น ฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลเครือจักรภพแห่งฟิลิปปินส์ (ภายใต้สหรัฐฯ) พึ่งจัดตั้งขึ้น แต่เนื่องจากการที่ยุทธศาสตร์ทางการทหารของสหรัฐฯเน้นไปที่พื้นที่สงครามในยุโรปมากกว่า ทำให้กำลังทางทหารของสหรัฐฯและรัฐบาลเครือจักรภพแห่งฟิลิปปินส์จึงที่ด้อยกว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น จึงทำให้กองทัพญี่ปุ่นสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศฟิลิปปินส์ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีการต่อต้านอย่างหนักจากกองกำลังของสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์แล้วก็ตาม

คุณครู Nieves Fernandez น่าจะแต่งงานแล้วเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่คาดว่าเป็นของเธอ

พื้นที่แห่งหนึ่งที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครองก็คือเมือง Tacloban ที่ซึ่งคุณครู Nieves Fernandez อาศัยอยู่ ก่อนสงคราม เธอทำงานเป็นคุณครูของโรงเรียนในพื้นที่ มีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของเธอ นอกเหนือไปจากการเกิดในราวปี 1906 ซึ่งอาจเป็นเชื้อสาย Waray (ชนพื้นเมืองชาติพันธุ์หนึ่งในฟิลิปปินส์) และน่าจะแต่งงานแล้วเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่คาดว่าเป็นของเธอ ‘Nieves’ ชื่อของเธอเป็นภาษาสเปนแปลว่า ‘หิมะ’ และเธอเป็นที่รู้จักในฐานะ “ผู้หญิงผิวขาวกว่าผู้หญิงพื้นเมืองส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้” นักเรียนของเธอมักเรียกเธอว่า ‘Miss Fernandez’ ซึ่งเป็นชื่อที่เธอใช้ต่อไปหลังสงครามสิ้นสุดลง

ปืน 'Paltik'

ในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครอง ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และเขตเมืองโดยรอบของเกาะ Leyte ได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายจากทหารญี่ปุ่น รวมถึงการกดขี่ ขูดรีด ปล้น ฆ่า และข่มขืน คุณครู Fernandez กล่าวด้วยคำพูดของเธอเองว่า “ไม่มีใครสามารถเก็บอะไรไว้ได้ พวกเขาเอาทุกอย่างที่พวกเขาต้องการไป” คุณครู Fernandez เป็นหนึ่งในอีกหลาย ๆ คนที่ต่อสู้กับการยึดครองของญี่ปุ่นในฟิลิปปินส์ เธอเดินเท้าเปล่าและสวมชุดคลุม เธอเริ่มคัดเลือกชาวพื้นเมืองที่มีจำนวน 110 คน ในตอนแรกกลุ่มของเธอมีปืนเล็กยาวอเมริกันเพียงสามกระบอก โดยส่วนใหญ่ใช้ ปืน 'Paltik' (ปืนลูกซองทำเองจากแป๊บน้ำ) ระเบิดแสวงเครื่อง (จากปลอกกระสุนที่บรรจุตะปูเก่า ๆ ) และมีด Bolo ต่อมาพวกเขาได้หาซื้ออาวุธปืนของญี่ปุ่นและอเมริกันเพิ่มเติม แล้วทางใต้ของเมือง Tacloban ก็กลายเป็นสมรภูมิของคุณครู Fernandez และกองโจรของเธอกับกองทัพญี่ปุ่น

มีด Bolo

เธอได้รับฉายาว่า 'ผู้กอง Fernandez' และ 'ฆาตกรเงียบ (Silent killer)' ด้วยผลงานของเธอ โดยเธอได้ทำการฝึกฝนลูกน้องของเธออย่างแข็งขันทั้งในการผลิต-ดัดแปลงอาวุธ และการซุ่มโจมตี ตัวเธอเองมีความรู้ในการใช้มีด Bolo ระหว่างการซ่อนเร้นทั้งยังได้สาธิตให้ทหารอเมริกันที่พบเธอดูด้วย ปฏิบัติการของเธอทำให้กองทัพญี่ปุ่นต้องสูญเสียทหารไปกว่า 200 นาย และบังคับให้กองทัพญี่ปุ่นตั้งค่าหัวของเธอเป็นเงิน 10,000 เปโซ เธอได้รับบาดเจ็บสามครั้ง และได้ทิ้งรอยแผลเป็นบนหน้าผากอีกด้วย

ภาพประวัติศาสตร์ คุณครู Fernandez สาธิตการใช้มีด Bolo สังหารทหารญี่ปุ่น
ให้พลทหาร Andrew Lupiba ดู

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฟิลิปปินส์ก็ได้รับการปลดปล่อยจากการยึดครองของญี่ปุ่นในปี 1945 แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณครู Fernandez ในช่วงหลายปีหลังจากนั้น แม้ว่าจะมีข่าวว่า เธออาศัยอยู่ที่เมือง Tacloban จนอายุ 90 ปีกับลูกชายและหลาน ๆ ของเธอ 

ประวัติการต่อสู้ของคุณครู Fernandez ได้รับการบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ The Lewiston Daily Sun และ Associated Press ในปี 1944 เมื่อทหารอเมริกันมาเยี่ยมเธอหลังสงคราม Stanley Troutman หนึ่งในนั้น ได้ถ่ายรูปเธอขณะสอนพลทหารอเมริกัน Andrew Lupiba ฆ่าคนด้วยมีด Bolo ปัจจุบันภาพถ่ายประวัติศาสตร์นี้ถูกจัดเก็บโดยองค์กร Rare Historical Photos และ Dustin Koski จาก Top Tenz จัดให้คุณครู Fernandez อยู่ในอันดับที่ 8 ในรายชื่อ '10 สตรีที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์'

มิติพิศวง!! เที่ยวบิน ‘AVIACO 502’ วาร์ปไปไหน 24 นาที ก่อนกลับมาโผล่ ณ จุดเดิม

เครื่องบินโดยสารไอพ่นแบบ Caravelle 10-R แบบเดียวกับเที่ยวบิน AVIACO 502

เที่ยวบิน AVIACO 502 เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่สุดที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การบินของสเปน AVIACO เป็นสายการบินท้องถิ่นของสเปนที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงมาดริด โดยอยู่ในเครือของ IBERIA สายการบินแห่งชาติของสเปน ก่อตั้งเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 1948 และยุติการดำเนินงานเมื่อ 1 กันยายน 1999

ปกติแล้ว เราท่านต่างทราบกันดีว่า เหตุการณ์ทำนองนี้ ที่ส่งผลให้อากาศยานและเรือสูญหายมักเกิดขึ้นในบริเวณสามเหลี่ยม Bermuda พื้นที่สมมติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่าอากาศยานและเรือผิวน้ำจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ในบริเวณดังกล่าว โดยมักอ้างเหตุผลในการหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือฐานทัพของสิ่งมีชีวิตนอกโลกในพื้นที่ดังกล่าว

สำหรับกรณีของเที่ยวบิน AVIACO 502 นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนน่านฟ้าของทวีปยุโรป ในวันที่ 31 มกราคม 1978 ผู้โดยสารของเที่ยวบิน 502 ของสายการบิน Aviaco จะเดินทางโดยเครื่องบินโดยสารไอพ่นแบบ Caravelle 10R จากสนามบิน Manises เมืองบาเลนเซียในแคว้นบาเลนเซียไปยังสนามบิน Sondika ในเมืองบิลเบา แคว้นบาสก์ ซึ่งเป็นเมืองทางตอนเหนือของสเปน ขั้นตอนการขึ้นเครื่อง การโหลดสัมภาระ และการบินขึ้นดำเนินไปโดยไม่มีปัญหาใด ๆ 

ในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือท้องฟ้าของเมืองยูสกาดี และใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว กัปตัน Carlos García Bermúdez ได้สังเกตเห็นเมฆดำปกคลุมอยู่เหนือพื้นดินห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร จึงตัดสินใจที่จะรักษาระดับความสูงไว้ที่ 12,000 ฟุต และยังไม่ลงจอด ทั้งนี้เนื่องจากหอบังคับการบิน Sondika แจ้งว่า สนามบินกำลังดำเนินการภายใต้สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย จึงไม่อนุญาตให้ AVIACO 502 ลงจอด 

เมฆ ‘Lenticular’

โดยหอบังคับการบิน Sondika ได้แจ้งให้ AVIACO 502 เปลี่ยนเส้นทางไปยังสนามบิน Santander ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 100 กม. เนื่องจากสภาพอากาศที่สนามบินแห่งนั้นยังเปิดและสามารถลงจอดได้ กัปตัน Bermúdez ปฏิบัติตามคำสั่งและกำหนดเส้นทางไปยังสนามบิน Santander ซึ่งการบินจะใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 15 นาที ทุกอย่างเรียบร้อยดี ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน จนกระทั่งนักบินสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าเครื่องบิน เนื่องจากพวกเขามองไม่เห็น จึงบินโดยใช้ IFR ในกลุ่มเมฆ โดยบินภายใต้กฎการบินด้วยเครื่องมืออย่างเคร่งครัด 

บริเวณที่มีแนวเทือกเขา กระแสอากาศที่ไหลมาปะทะแนวเทือกเขานี้จะถูกบังคับให้ยกตัวสูงขึ้น แต่เมื่อผ่านแนวเทือกเขาไปแล้ว กระแสอากาศก็จะไหลกระเพื่อมเป็นคลื่น

นักบินสังเกตเห็นว่าชั้นเมฆหนาแน่นขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นรอบ ๆ เครื่องบิน ชั้นเมฆดังกล่าวมีลักษณะที่เรียกว่า ‘เมฆจานบิน (Lenticular) ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสภาวะปั่นป่วนของอากาศ เมฆก้อนนี้หนาแน่นและสว่างมากจนทำให้กัปตันและนักบินที่สองต้องใส่แว่นกันแดดเพื่อให้สามารถมองเห็นได้ตามปกติ พวกเขาบินไต่ระดับ 33,000 ฟุตเพื่อข้ามชั้นเมฆหนาดังกล่าว เมื่อบินห่างออกจากสนามบิน Sondika ราว 22 ไมล์ทะเล ภายในไม่กี่วินาที อุปกรณ์การบินและเครื่องมือสื่อสารของเครื่องบินก็ขัดข้อง ความถี่ทั้งหมดที่ใช้ติดต่อกับพื้นดินสูญหายไปโดยสิ้นเชิง และความพยายามของนักบินในการติดต่อกับหอบังคับการบินอีกครั้งก็ไร้ผล ขอบฟ้าเทียมของเครื่องบินซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักบินใช้ดูว่าเครื่องบินกำลังบินตรงและอยู่ในระดับใด แสดงให้เห็นว่าเครื่องบินกำลังบินคว่ำหรือกลับหัว และทิศทางการบินนั้นตรงกันข้ามกับเส้นทางที่ควรบินไปยังสนามบิน Santander โดยสิ้นเชิง เพราะบินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวได้ระบุอย่างถูกต้องก่อนที่เครื่องบินจะเข้าสู่กลุ่มเมฆ 

ในขณะเดียวกัน นักบินก็ยืนยันว่าเครื่องบินไม่ได้บินไปข้างหน้า เนื่องจากมาตรวัดระยะทางทะเลของเครื่องบินระบุว่าตลอดระยะเวลาดังกล่าว ซึ่งผ่านไปแล้วระหว่าง 6 ถึง 7 นาที เครื่องบินไม่ได้บินไปข้างหน้า เนื่องจากมาตรวัดได้ระบุตำแหน่งของเครื่องบินในตำแหน่งเดียวกับที่เครื่องบินบินผ่านกลุ่มเมฆ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดูเหมือนว่าแทนที่จะบินไปข้างหน้า แต่กลับบินถอยหลัง เครื่องมืออื่น ๆ เช่น เข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์หรือเข็มทิศแบบดั้งเดิม มีอาการผิดปกติโดยสิ้นเชิง เนื่องจากหมุนไม่หยุดเป็นเวลา 7 นาที ทั้งยังหนุนถอยหลัง ราวกับว่าเครื่องบินเริ่มบินถอยหลัง

สถานการณ์นี้ถือเป็นวิกฤตสำหรับกัปตันเบอร์มูเดซ ผู้มีชั่วโมงบินมากกว่า 11,500 ชั่วโมง และตลอดอาชีพการงานของเขาไม่เคยพบประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาสิ้นหวังเมื่อเห็นว่าเครื่องบินหายไปโดยสิ้นเชิง โดยไม่รู้ว่าทิศทางหรือตำแหน่งอยู่ตรงไหน และที่เลวร้ายที่สุดคือ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดขึ้น ในที่สุดเครื่องบินก็ออกจากกลุ่มเมฆ และทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง และอุปกรณ์การบินต่าง ๆ ก็เริ่มทำงานเป็นปกติ ทุกอย่างยกเว้นตัวบ่งชี้ระยะทางการบิน ซึ่งน่าแปลกที่ระยะทางที่เดินทางยังคงเท่าเดิมกับตอนที่เข้าสู่กลุ่มเมฆ ตามตัวบ่งชี้ ในช่วงเวลาประมาณ 7 นาทีนั้น เครื่องบินไม่ได้เคลื่อนที่เลย ราวกับลอยนิ่งอยู่ในอากาศโดยไม่เคลื่อนที่เลยแม้แต่เมตรเดียว

เครื่องบินโดยสารไอพ่นแบบ Caravelle 10-R แบบเดียวกับเที่ยวบิน AVIACO 502 
ติดคำว่า IBERIA ซึ่งเป็นบริษัทแม่ไว้บนเครื่องยนต์

AVIACO 502 ก็ลงจอดที่สนามบิน Santander ในเวลาต่อมาโดยไม่มีปัญหาใด ๆ และเมื่อลงจอดบนพื้นดินแล้ว กัปตันก็รายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเที่ยวบินอย่างเป็นทางการ แต่ความประหลาดใจไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะเมื่อเปรียบเทียบข้อมูลการบินของเครื่องบินกับหอควบคุม เจ้าหน้าที่ประจำหอควบคุมการบิน Santander และนักบินต่างก็ตกตะลึงเมื่อพบว่าหอควบคุมการบิน Santander สูญเสียการติดต่อกับเครื่องบินเป็นเวลา 24 นาที ไม่ใช่ 7 นาที ตามที่นาฬิกาบนเครื่องบินบันทึกไว้ ทุกคนบนเที่ยวบิน AVIACO 502 สูญเสียเวลาไป 17 นาทีอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ จนทุกวันนี้เอกสารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ยังคงไม่ได้ปิด แต่ยังคงไม่มีข้อสรุป แม้จะมีการสืบสวนสอบสวนทางเทคนิคหลายครั้งหลายหน และขอรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทั่วโลกมากมายแล้วก็ตาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top