Tuesday, 6 May 2025
WeeklyColumnist

‘Picostim’ ก้าวสำคัญแห่งความสำเร็จในการรักษา ‘โรคลมบ้าหมู’ ด้วยเครื่องกระตุ้นประสาทขนาดจิ๋ว ชาร์จไฟผ่านหูฟังไร้สาย


‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ (Epilepsy) เกิดจากเซลล์สมองที่ทำงานเชื่อมโยงกันเหมือนวงจรไฟฟ้าและปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาผิดปกติพร้อมกันอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้ระบบประสาทเกิดความผิดปกติจนไม่สามารถควบคุมตนเองหรือเกิดอาการชักซ้ำ ๆ โดยอาการแสดงที่เกิดขึ้นนั้น ขึ้นกับว่าเป็นส่วนใดของสมองที่ได้รับการกระตุ้น และอาการจะเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ ในระยะเวลาไม่นาน มักเกิดขึ้นทันทีและหยุดเอง แต่ส่วนใหญ่อาการมักเกิดขึ้นซ้ำเรื่อย ๆ ถือเป็นโรคทางระบบประสาทซึ่งพบได้ 70 คนจาก 1,000 คน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงมาก แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต โดยพบได้ในทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะในเด็กเล็ก 4 - 6 ขวบ หรือกระทั่งผู้สูงอายุที่มีอาการของสมองเสื่อม


สาเหตุที่ทำให้เกิด ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ นอกเหนือจากความผิดปกติของสมองแล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคลมชักได้ อาทิ กรรมพันธุ์ที่มักมีอาการชักร่วมด้วย การติดเชื้อทางสมอง การเกิดสภาวะสมองขาดออกซิเจน การได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนจนทำให้เกิดแผลเป็นในสมอง ภาวะสมองพิการแต่กำเนิดซึ่งเกิดตั้งแต่เมื่อทารกยังอยู่ในครรภ์ เนื้องอกในสมอง หรือมะเร็งที่กระจายจากอวัยวะอื่น ๆ มาสู่สมอง หลอดเลือดในสมองแตกหรือตีบอุดตันเฉียบพลัน โรคไต การรับยาเกินขนาด การติดเชื้อในสมอง เช่น ไข้สมองอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย การติดเชื้อโปรโตซัว หรือพยาธิในสมอง รวมไปถึงผู้ที่ป่วยด้วยอาการพิษสุราเรื้อรัง กระทั่งไม่ทราบสาเหตุด้วยเมื่อทำการตรวจแล้วแต่กลับไม่พบร่องรอยของโรคในสมอง


อาการของ ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ มีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าในสมองผิดปกติตรงส่วนใดของสมองและมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน บางอาการสังเกตได้ยากว่ามีอาการชักอยู่ โดยอาการชักมี 2 ลักษณะ ดังนี้

อาการชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว จากการส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าจากส่วนลึกของสมองผิดปกติกระจายไปทั่วสมอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการชักเกร็ง กระตุก หมดสติทันทีทันใด กล้ามเนื้อลำตัวและแขนขาเกร็ง หยุดหายใจชั่วขณะ หน้าเขียว กัดลิ้น ปัสสาวะราด และหลับไป เมื่อตื่นรู้ตัวจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เพลีย ปวดศีรษะ บางรายยังไม่ทันตื่นก็เกิดอาการชักซ้ำ
อาการชักเฉพาะที่ โดยกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติอาจรบกวนสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานแห่งใดแห่งหนึ่งในร่างกาย อาการชักที่เกิดจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสัญญาณคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติบนผิวสมอง เช่น อาการกระตุกใบหน้า มุมปาก แขนหรือขา มีอาการชานอกจากนี้อาจมีอาการ เห็นแสงสว่างหรือเห็นเป็นรูปร่าง เห็นภาพหลอน คลื่นไส้ ปวดท้อง ความรู้สึกเหมือนฝัน หูแว่ว หรือใจสั่น ใจหวิว หรือบางครั้งมีอาการเหม่อและนิ่ง เรียกแล้วไม่รู้สึกตัว พร้อมกับอาการเคี้ยวปาก มีการใช้มือคลำไปมาโดยไม่มีสาเหตุที่ต้องคลำ


อันตรายของ ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ หากผู้ป่วยแสดงอาการอยู่บ่อยๆ และไม่ได้รับการรักษา กระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติในสมองจะทำให้เกิดการหลั่งสารออกมาแล้วทำลายเซลล์สมอง นาน ๆ เข้าอาจทำให้เนื้อสมองตาย จนทำให้ความจำมีปัญหา หากทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ขับรถหรือว่ายน้ำ ก็จะเป็นอันตราย และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดังนั้นผู้ป่วย ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ จึงไม่ควรที่จะขับรถหรือทำกิจกรรมหนัก ๆ 


แนวทางในการรักษา ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ซึ่งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการรักษาแพทย์จะต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ป่วย ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ป่วยจากสาเหตุใด เพื่อทำการรักษาได้ถูกต้อง ด้วยการ...

การใช้ยากันชัก เพื่อช่วยกดสมองส่วนที่มีการปล่อยคลื่นลมชักออกมา ทำให้ไม่ชัก โดยปัจจุบันมียากันชักหลากหลายชนิด ซึ่งการเลือกใช้ยากันชัก แพทย์ก็จะเลือกตามความเหมาะสมของชนิดการชัก และผลข้างเคียงของยา เป็นต้น
การใช้อาหารสูตรพิเศษ แบบคีโตเจนิค ไดเอท (Ketogenic Diet) คือ อาหารที่มีสัดส่วนของไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ และโปรตีนที่เพียงพอเหมาะสม
การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ในกรณีที่พบเนื้องอกในสมองหรือหลอดเลือดผิดปกติ หรืออาการชักที่ควบคุมไม่ได้ด้วยยากันชัก และตรวจเพิ่มเติมพบว่ามีจุดกำเนิดชัก ที่สามารถผ่าตัดออกได้

และขณะนี้ โลกกำลังก้าวสู่ความสำเร็จในรักษา ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ด้วยความร่วมมือ 4 ฝ่าย ระหว่างโรงพยาบาล Great Ormond Street, โรงพยาบาล King's College, UC London และ U of Oxford ช่วยกันทำให้ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้น ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า ‘Picostim’ ซึ่งเป็นเครื่องกระตุ้นประสาทที่มีขนาดเล็กมาก ผลิตโดยบริษัท Amber Therapeutics แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งจะถูกใส่เข้าไปในช่องว่างของกะโหลกศีรษะของผู้ป่วยในบริเวณที่เนื้อกระดูกของกะโหลกนั้นได้ถูกผ่าตัดเอาออกแล้ว โดย ‘Picostim’ เป็นอุปกรณ์รักษา ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ เครื่องแรกของโลกถูกติดตั้งในกะโหลกศีรษะของ Oran Knowlson เด็กชายชาวอังกฤษ ผู้ป่วย ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ขั้นรุนแรง เพื่อควบคุมอาการชัก


‘Picostim’ เครื่องกระตุ้นประสาททำหน้าที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าลึกเข้าไปในสมองของผู้ป่วย สามารถลดอาการลมชักในเวลากลางวันของ Oran Knowlson ได้ถึง 80% โดย Justine มารดาของเขาเล่าว่า เขามีความสุขมากขึ้น และมี ‘คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาก’ การผ่าตัดใส่ ‘Picostim’ นี้ ได้ดำเนินการครั้เป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2023 โดยเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองที่โรงพยาบาล Great Ormond Street ในกรุงลอนดอน เมื่อ Oran Knowlson ขณะที่รับการผ่าตัดอายุ 12 ปี เขามีอาการ Lennox-Gastaut syndrome ซึ่งเป็นโรคลมบ้าหมูที่ดื้อต่อการรักษา เขาเริ่มมีอาการเมื่ออายุได้ 3 ขวบ ตั้งแต่นั้นมา Oran มีอาการชักหลายครั้งในแต่ละวันตั้งแต่ 24 ครั้งไปจนถึงหลายร้อยครั้ง


(Oran (ขวา) อยู่กับมารดา น้องชาย และน้องสาว)

ทั้งนี้ Justine มารดาของเขาเล่าว่า ก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดนั้น ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ของ Oran Knowlson ได้พรากเอาชีวิตวัยเด็กของเขาไปจนหมด เขามีอาการชักหลายอย่าง รวมถึงการที่เขาล้มลงกับพื้นแล้วมีอาการสั่นอย่างรุนแรงจนหมดสติ เธอกล่าวว่าบางครั้งเขาจะหยุดหายใจและต้องใช้ยาฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิตเขา Oran Knowlson ยังเป็นโรคออทิสติกและสมาธิสั้น แต่มารดาของ Oran กล่าวว่า  ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ของเขาคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด “เด็กอายุ 3 ขวบที่สดใส แต่ภายในไม่กี่เดือนต่อมาเขาเริ่มมีอาการชัก แล้วก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว จนสูญเสียทักษะต่าง ๆ ไปมากมาย” ทั้งนี้ Oran Knowlson เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ CADET ซึ่งเป็นชุดการทดลองที่ประเมินความปลอดภัยและประสิทธิผลของการกระตุ้นสมองส่วนลึกสำหรับ ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ขั้นรุนแรง ทั้งนี้ ‘Picostim’ ผลิตโดยบริษัท Amber Therapeutics ในสหราชอาณาจักร


อย่างไรก็ตาม สำหรับอาการชักจาก ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ เกิดขึ้นจากการกระตุ้นของกิจกรรมทางไฟฟ้าในสมองที่มีความผิดปกติ เครื่องกระตุ้น ‘Picostim’ ซึ่งปล่อยกระแสพัลส์ (Pulse คือสัญญาณทางไฟฟ้าที่มีรูปร่างหรือลักษณะเป็นคลื่นรูปสี่เหลี่ยม (Square wave) ที่) คงที่เพื่อป้องกันหรือรบกวนสัญญาณที่ผิดปกติ ก่อนการผ่าตัด Justine บอกว่า เธอต้องการให้ Oran Knowlson ค้นพบตัวเองอีกครั้งท่ามกลางปัญหาจากอาการชัก และเธอก็อยากได้ลูกชายของเธอกลับมามีชีวิตเช่นเด็กปกติทั่วไป การผ่าตัดติดตั้ง ‘Picostim’ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2023 ทีมงานนำโดย นายแพทย์ Martin Tisdall ศัลยแพทย์ที่ปรึกษาระบบประสาทเด็กได้ทำการสอดขั้วไฟฟ้าสองอันเข้าไปในสมองของ Oran จนกระทั่งไปถึงฐานซึ่งเป็นสถานีถ่ายทอดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเส้นประสาท โดยระยะขอบของความผิดพลาดสำหรับตำแหน่งเป้าหมายต้องน้อยกว่าหนึ่งมิลลิเมตร ปลายสายเชื่อมต่อกับเครื่องกระตุ้นประสาทซึ่งเป็นอุปกรณ์สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 3.5 ซม. และหนา 0.6 ซม. วางอยู่ในช่องว่างของกะโหลกศีรษะของ Oran ซึ่งเป็นบริเวณที่เนื้อกระดูกส่วนนั้นได้ถูกนำเอาออกแล้ว จากนั้นจึงยึด ‘Picostim’ เครื่องกระตุ้นประสาทให้เข้าที่กับกะโหลกศีรษะ


(Oran Knowlson สามารถชาร์จอุปกรณ์ได้ทุกวันผ่านหูฟังไร้สาย 
ขณะเดียวกันก็ยังทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้ เช่น ดูทีวี)

แต่ก่อนการใช้เครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึกสำหรับ ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ในเด็ก ด้วยการวางเครื่องกระตุ้นประสาทไว้ที่บริเวณหน้าอก มีสายไฟวิ่งไปถึงสมอง นพ. Martin Tisdall กล่าวว่า “การศึกษานี้หวังว่าจะช่วยให้เราระบุได้ว่าการกระตุ้นสมองส่วนลึกเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับโรคลมบ้าหมูชนิดรุนแรงนี้หรือไม่ และยังพิจารณาถึงอุปกรณ์ประเภทใหม่ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในเด็กด้วย เพราะ ‘Picostim’ เครื่องกระตุ้นประสาทอยู่ในกะโหลกศีรษะเลย ไม่ใช่บริเวณหน้าอกเช่นที่ใช้กันอยู่ เราหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้” รวมถึงการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังการผ่าตัดและจากอุปกรณ์ซึ่งอาจทำงานล้มเหลว Oran Knowlson มีเวลา 1 เดือนในการฟื้นตัวจากการผ่าตัด ก่อนที่จะเปิดเครื่องกระตุ้นประสาท และเมื่อเปิดเครื่องแล้วเขาจะไม่รู้สึกผิดปกติเลย และสามารถชาร์จอุปกรณ์ได้ทุกวันผ่านหูฟังไร้สาย ขณะเดียวกันก็ยังทำกิจกรรมที่เขาชื่นชอบได้ เช่น ดูทีวี 


หลังจาก Oran Knowlson และครอบครัวของเขารับการผ่าตัดเป็นเวลา 7 เดือน Justine บอกว่า  ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ของ Oran ดีขึ้นมาก เขามีอาการตื่นตัวมากขึ้น ทั้งยังไม่มีอาการชักระหว่างวัน แต่ยังคงมีอาการชักในตอนกลางคืนอยู่ ซึ่งสั้นและรุนแรงน้อยลง โดยมารดาของเขากล่าวว่า “ฉันจะพาเขาให้ค่อย ๆ กลับมาเป็นเด็กปกติได้อย่างแน่นอน”


(นพ. Martin Tisdall ศัลยแพทย์ที่ปรึกษาระบบประสาทเด็ก โรงพยาบาล Great Ormond Street)

ด้าน นพ. Martin Tisdall กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ Oran Knowlson และครอบครัวของเขาได้เห็นประโยชน์มหาศาลจากการรักษานี้ และช่วยให้อาการลมชักและคุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้นอย่างมาก” ตอนนี้ Oran Knowlson กำลังเรียนขี่ม้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาชอบ แม้ว่าจะมีพยาบาลถือออกซิเจนอยู่ในมือ และครูคนหนึ่งของเขาคอยอยู่ใกล้ ๆ เสมอ ซึ่งเผื่อแม้จะยังไม่มีความจำเป็นใด ๆ เลย


(‘Picostim’ เครื่องกระตุ้นประสาทผลิตโดย Amber Therapeutics)

ในการทดลองนี้ เด็ก ๆ อีก 3 คนที่มีอาการ Lennox-Gastaut จะได้รับการติดตั้งเครื่องกระตุ้นประสาทสมองส่วนลึก ปัจจุบัน Oran Knowlson ได้รับการกระตุ้นทางไฟฟ้าจากอุปกรณ์ของเขาอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตทางทีมงานมีแผนที่จะทำให้เครื่องกระตุ้นระบบประสาทตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของสมองแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันอาการชักที่กำลังจะเกิดขึ้น 


มารดาของ Oran Knowlson กล่าวว่า เธอรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดกับการทดลองในระยะต่อไป “ทีมงานของโรงพยาบาล Great Ormond Street ให้ความหวังกับเราอีกครั้ง…ทำให้อนาคตในตอนนี้ดูสดใสยิ่งขึ้น” โดยครอบครัวรู้ว่า แม้การรักษาของเขาในขณะนี้อาจไม่ใช่วิธีรักษาที่ทำให้หายขาด แต่พวกเขายังมองโลกในแง่ดีที่ว่า Oran Knowlson จะสามารถหลุดพ้นจากเงามืดที่เกิดจาก ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ของเขาได้ต่อไปในอนาคต เครื่องกระตุ้นประสาท ‘Picostim’ ซึ่งผลิตโดย Amber Therapeutics ยังสามารถใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันได้อีกด้วย ดังนั้น ‘Picostim’ เครื่องกระตุ้นประสาทจึงเป็นสุดยอดความหวังของผู้ป่วย ‘โรคลมบ้าหมู’ หรือ ‘โรคลมชัก’ ซึ่งเมื่อได้รับการผ่าตัดติดตั้ง ‘Picostim’ แล้ว ในที่สุดอาการป่วยของพวกเขาจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอน

เปิดเรื่องราว ‘ทหารเด็ก’ เครื่องมือจักรกลสงคราม ของพวกไร้จิตสำนึก ‘บังคับ-หลอกใช้’ ให้กระทำความผิด ไม่คำนึงผลที่จะตามมาในอนาคต

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก นอกจากการใช้นักรบวัยฉกรรจ์กระทั่งวัยชราแล้ว ยังมีพวกชั่วช้าสามานย์บังคับใช้เด็กให้มาเป็นนักรบอีกด้วย วันนี้จึงขอนำเรื่องของการใช้เด็กเป็นทหารมาเล่าให้ฟัง…

การนำเด็กมากระทำความผิดเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานมาก แม้แต่ในบ้านเรามีการบังคับเด็กให้เป็นขอทาน หลอกล่อเด็กให้กระทำความผิดต่าง ๆ ปล้น ชิง วิ่งราว ล้วงกระเป๋า ขายของ กระทั่งขนและขายยาเสพติด ตลอดจนสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ ฯลฯ โดยไม่สนใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม หรือลักษณะนิสัยที่เปลี่ยนไป ผลกระทบด้านจิตใจ ตลอดจนการถูกดำเนินคดี ซึ่งเด็ก ๆ และครอบครัวต้องเผชิญชะตากรรมที่ถูกล่อลวงให้กระทำความผิดตามลำพัง และโดดเดี่ยว ผู้ที่หลอกลวงและอยู่เบื้องหลังจึงเป็นพวกที่เลวและชั่วช้ามาก ๆ เช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

การบังคับเด็กมาเป็นทหารก็เฉกเช่นเดียวกัน ทหารเด็กนับเอาเด็กในกองกำลังติดอาวุธที่อายุต่ำกว่า 18 ปีลงมา 

อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child : CRC) ห้ามการใช้เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าร่วมในปัญหาซึ่งมีความขัดแย้งกันและมีการใช้กำลังอาวุธ นอกจากนั้นการใช้เด็กต่ำกว่า 15 ปีเป็นทหารถือเป็นการก่ออาชญากรรมสงครามอีกด้วย โดยประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ต่างเห็นด้วยกับการห้ามใช้ทหารเด็กทั้งที่อยู่ในกองกำลังฝ่ายรัฐบาล หรือของกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ 

น้อยคนในโลกนี้ที่จะทราบว่า นักรบที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีความเหี้ยมโหดที่สุดในโลกกลุ่มหนึ่งเป็น ‘ทหารเด็ก’ ซึ่งเป็นเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 7-18 ปี หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกนับแสนคน ทั้งนี้เพราะ ‘ทหารเด็ก’ หรือ ‘นักฆ่ารุ่นเยาว์’ เหล่านี้ ได้รับการวิเคราะห์จากโลกตะวันตกแล้วว่า เป็นนักฆ่าที่สามารถสังหารผู้คนได้เพียงเพราะต้องการฆ่า หรือเพียงเพราะได้รับคำสั่งให้ฆ่า เป็นการฆ่าด้วยจิตใต้สำนึก ไม่ใช่การฆ่าด้วยอุดมการณ์ เป็นการฆ่าที่ปราศจากความยั้งคิดใด ๆ ทั้งสิ้น อันเนื่องมาจากความด้อยประสบการณ์ ความไร้เดียงสา และการขาดความรู้ที่เพียงพอ ‘ทหารเด็ก’ บางคนเริ่มสังหารผู้คนตั้งแต่ยังไม่สามารถจำอายุของตนได้เลย 

ทั้งนี้ ‘Mike Wessells’ นิตยสาร The Atomic Scientists ของสหรัฐฯ ได้วิเคราะห์ถึงการใช้ ‘ทหารเด็ก’ เป็นเครื่องมือ ‘จักรกลสงคราม’ ในการทำสงครามกลางเมืองของประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในทวีปแอฟริกา เช่น ประเทศเซียร่า ลีโอน, ชาด, บุรุนดี, โซมาเลีย, เอธิโอเปีย เป็นต้น และในทวีปเอเชีย เช่น พม่า, จีน ในอเมริกากลาง เช่น ชิลี, เอล ซัลวาดอร์, ปารากวัย เป็นต้น หรือแม้กระทั่งในยุโรป เช่น เซอร์เบีย และบอสเนีย เป็นต้น

โดย Wessells ระบุว่า เหล่านักรบรุ่นเยาว์เหล่านี้บางคนก้าวเข้าสู่สงครามตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ทั้ง ๆ ที่ในช่วงอายุดังกล่าวควรเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาควรได้รับโอกาสทางการ ‘ศึกษา’ มากกว่าได้รับโอกาสในการ ‘เข่นฆ่าประหัตประหาร’ สงครามที่เหล่านักรบรุ่นเยาว์เข้าไปมีส่วนด้วย มักเป็นสงครามที่มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติ และเป็นสงครามกลางเมืองที่มีรูปแบบของการรบแบบกองโจรเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่สงครามตามแบบแผนที่มีแนวรบแน่นอนตายตัวเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

เด็ก ๆ เหล่านี้เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยในครัวสนาม เป็นยามรักษาการณ์ เป็นหน่วยสอดแนม เป็นสายลับในการรวบรวมข่าวสาร แล้วได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นกลุ่มที่คอยก่อการจลาจล ด้วยการขว้างปาก้อนหิน เผาอาคารสถานที่ ลักลอบส่งอาวุธให้กับกลุ่มทหารของตน จนถึงขั้นสุดท้ายของการพัฒนาคือ เข้าสวมเครื่องแบบ จับอาวุธสงคราม มีการฝึกฝนการใช้อาวุธประจำกายและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ

โดย UNICEF ได้มีการเปิดเผยว่า กองทัพฝ่ายรัฐบาลที่เกณฑ์ทหารเด็กแบบใช้กำลังบังคับ อาทิ เอล ซัลวาดอร์ เอธิโอเปีย กัวเตมาลา และพม่า ส่วนกลุ่มติดอาวุธอื่นที่บังคับเด็กมาเป็นทหาร เช่น แองโกลา โมซัมบิก ศรีลังกา และซูดาน ส่วนที่พบว่าส่วนใหญ่เด็กสมัครใจมาเอง ได้แก่ ไลบีเรีย 

นอกจากนั้น องค์การนิรโทษกรรมสากล ยังระบุด้วยว่า ทหารเด็กส่วนใหญ่ถูกฆ่า หากรอดชีวิตก็มีที่พิการ เป็นเหยื่อของการถูกข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศอื่น ๆ มีบาดแผลในด้านจิตใจติดตัวไปจนตลอดชีวิต

การเคลื่อนไหวเพื่อยุติการใช้ทหารเด็ก การใช้ทหารเด็กเป็นเรื่องปกติตลอดประวัติศาสตร์ ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมามีการปฏิบัติตามคำวิจารณ์ที่มีข้อมูล และความพยายามร่วมกันเพื่อยุติปัญหานี้ ความคืบหน้าเป็นไปอย่างเชื่องช้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีกองกำลังติดอาวุธจำนวนมากต้องพึ่งพาเด็ก ๆ เพื่อเติมเต็มจำนวนทหารของพวกเขา และส่วนหนึ่งเป็นเพราะพฤติกรรมของกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลนั้นยากที่จะตรวจสอบและจัดการ

ช่วงทศวรรษ 1970-1980 มีความพยายามระหว่างประเทศในการจำกัดการมีส่วนร่วมของเด็ก ๆ ในความขัดแย้งด้วยอาวุธเริ่มต้นจากพิธีสารเพิ่มเติมของอนุสัญญาเจนีวาปี 1949 ซึ่งรับรองในปี 1977 (มาตรา 77.2) พิธีสารใหม่ห้ามการเกณฑ์ทหารจากเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ยังคงอนุญาตให้กองกำลังของรัฐและกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐรับสมัครเด็กตั้งแต่อายุ 15 ปี และใช้ในการทำสงคราม มีความพยายามในระหว่างการเจรจาเกี่ยวกับการต่ออายุอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) เมื่อองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ต่าง ๆ รณรงค์ให้สนธิสัญญาฉบับใหม่ว่าด้วยการจัดหาเด็กผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง ในบางประเทศซึ่งมีกองกำลังด้วยอาศัยการเกณฑ์ทหารที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ได้ต่อต้านเรื่องนี้ ดังนั้นข้อความสนธิสัญญาฉบับสุดท้ายของปี 1989 จึงสะท้อนให้เห็นเพียงมาตรฐานทางกฎหมายที่มีอยู่เท่านั้น : การห้ามไม่ให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้ามีส่วนร่วมในการรบโดยตรงในสงคราม 

ในช่วงทศวรรษ 1990 องค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ ได้จัดตั้งแนวร่วมเพื่อหยุดการใช้ทหารเด็ก (ปัจจุบันคือ Child Soldiers International) เพื่อทำงานร่วมกับรัฐบาลที่เข้าใจและเห็นด้วยในการรณรงค์เพื่อทำสนธิสัญญาฉบับใหม่สำหรับแก้ไขข้อบกพร่องที่พบเห็นใน CRC หลังจากการรณรงค์ทั่วโลกเป็นเวลาหกปีสนธิสัญญาดังกล่าวก็ได้รับการรับรองในปี 2000 เป็นพิธีสารเลือกรับว่าด้วยการมีส่วนร่วมของเด็กในความขัดแย้ง (OPAC) สนธิสัญญาห้ามการเกณฑ์เด็ก ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเกณฑ์ทหารต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปี และห้ามใช้การเกณฑ์เด็กเข้าร่วมในการสู้รบ สนธิสัญญาดังกล่าวยังห้ามไม่ให้กลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐจัดหาบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ แม้ว่าประเทศส่วนใหญ่ที่ร่วมเจรจากับ OPAC จะสนับสนุนการห้ามคัดเลือกเด็กเพื่อเป็นทหาร แต่บางประเทศนำโดยสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหราชอาณาจักรคัดค้านเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้สนธิสัญญาจึงไม่ห้ามการจัดหาเด็กอายุ 16 หรือ 17 ปี แม้ว่าจะอนุญาตให้ชาติต่าง ๆ ผูกมัดตัวเองกับมาตรฐานที่สูงกว่าที่กำหนดในกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ยุค 2000 - ปัจจุบัน ‘Red Hand Day’ ซึ่งเป็นวันต่อต้านการใช้ทหารเด็กสากล มีเครื่องหมายแสดงรอยมือสีแดง

หลังจากการรับรองพิธีสารเลือกรับว่าด้วยการมีส่วนร่วมของเด็กในความขัดแย้ง การรณรงค์เพื่อการให้สัตยาบันทั่วโลกได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ในปี 2018 OPAC ได้รับการรับรองสัตยาบันโดย 167 ประเทศ การรณรงค์ดังกล่าวยังสนับสนุนให้หลาย ๆ ประเทศไม่รับสมัครเด็กเป็นทหารเลย ในปี 2001 มี 83 ประเทศเกณฑ์ทหารเฉพาะผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) เท่านั้น ภายในปี 2016 จำนวนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 126 ประเทศซึ่งเป็น 71% ของประเทศที่มีกองกำลังติดอาวุธ กลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐประมาณ 60 กลุ่มได้ทำข้อตกลงเพื่อหยุดยั้ง หรือลดขนาดการใช้ประโยชน์จากเด็ก ซึ่งมักจะดำเนินการโดย UN หรือองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น Geneva Call

Child Soldiers International รายงานว่าความสำเร็จของสนธิสัญญา OPAC บวกกับการลดลงทีละน้อยในการเกณฑ์เด็กโดยกองกำลังของรัฐบาล ทำให้เด็กในกองกำลังทางทหารทั่วโลกลดลง ในปี 2018 การเกณฑ์และการใช้ทหารเด็กยังคงมีอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ISIS และ Boko Haram ตลอดจนกลุ่มติดอาวุธที่ยังคงต่อสู้อยู่ ซึ่งใช้นักรบเด็กอย่างมากมาย นอกจากนี้สามประเทศที่มีประชากรมากที่สุด ได้แก่ จีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ยังอนุญาตให้กองกำลังติดอาวุธเกณฑ์เด็กอายุ 16 หรือ 17 ปี เช่นเดียวกับห้าประเทศในกลุ่ม G-7 : แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักรและ สหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันมีถึง 195 ประเทศในโลกที่ลงนามร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งมีการประกาศใช้ในปี 1989 และมีผลบังคับใช้เมื่อปี 1990 ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกตั้งแต่ปี 1992 และยังเข้าเป็นภาคีสมาชิกพิธีสารต่อท้ายอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กอีก 3 ฉบับ คือ พิธีสารเลือกรับฯ เรื่องการขายเด็ก การค้าประเวณี และสื่อลามกที่เกี่ยวกับเด็ก (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child on the sale of children, child prostitution and child pornography) พิธีสารเลือกรับฯ เรื่องความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child on the involvement of children in armed conflict) ซึ่ง 2 ฉบับดังกล่าว ไทยเข้าเป็นภาคีเมื่อปี 2006 และฉบับที่ 3 เป็นพิธีสารเลือกรับฯ เรื่องกระบวนการติดต่อร้องเรียน (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child on a communications procedure) ไทยเข้าเป็นภาคีเป็นประเทศแรกในโลกเมื่อ 25 กันยายน 2012

หลักการสำคัญของสิทธิเด็กที่ต้องเข้าใจก่อน คือ สิทธิของเด็ก ไม่ใช่เรื่องที่รัฐหรือใครให้กับเด็ก แต่เป็นสิทธิของเด็กทุกคนที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด โดยไม่มีผู้ใดสามารถไปตัดทอน หรือจำกัดการใช้สิทธิอันชอบธรรมของเด็ก หรือละเมิดสิทธิของเด็กได้ และการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก ต้องคำนึงถึงสิทธิเด็ก และยึดถือหลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก อนุสัญญานี้ยังกำหนดสิทธิเด็กขั้นพื้นฐานไว้ 4 ด้าน ดังนี้

1. สิทธิในชีวิตและการอยู่รอด : สิทธิมีชีวิตและความต้องการขั้นพื้นฐานที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ได้รับการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน และมีความปลอดภัย

2. สิทธิในการได้รับการปกป้องคุ้มครอง : ให้รอดพ้นจากการทำร้าย การล่วงละเมิด การละเลย การนำไปขาย การใช้แรงงานเด็ก การเลือกปฏิบัติ และการแสวงประโยชน์โดยมิชอบในรูปแบบอื่น ๆ 

3. สิทธิในการพัฒนา : สิ่งที่เด็กต้องการเพื่อจะไปถึงศักยภาพอย่างสมบูรณ์ การพัฒนาทางด้านจิตใจ สิทธิที่จะได้เล่นและพักผ่อน และอื่น ๆ 

4. สิทธิในการมีส่วนร่วม : เปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิแสดงความคิดเห็น แสดงออก มีผู้รับฟัง และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องที่มีผลกระทบต่อตนเอง

หลังจากได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกในปี 1992 บ้านเราโดยกระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการในตามภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก การรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุเป็นหน่วยรบมีการกำหนดชัดเจนโดยจำกัดอายุขั้นต่ำในการสมัครเข้าโรงเรียนทหาร โดยให้มีความสัมพันธ์ในเรื่องของอายุถูกต้องเมื่อจบการฝึกฝนอบรม และประจำการด้วยอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ส่วนการเกณฑ์ทหารกำหนดที่ 21 ปีตลอดมาตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับนักศึกษาวิชาทหารจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นกำลังสำรองเมื่ออายุครบ 18 ปีเช่นกัน บ้านเราจึงไม่มีปัญหาในเรื่องของทหารเด็ก เว้นแต่ในคราวที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในหลาย ๆ จุด โดยสมรภูมิที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและชุมพร มียุวชนทหารจำนวนหนึ่งได้เข้าร่วมกับทหารและตำรวจในการรบกับกองทัพญี่ปุ่นเพื่อปกป้องชาติบ้านเมืองอย่างกล้าหาญ และได้รับพระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิ (เอเชียบูรพา) อย่างสมเกียรติ

การบังคับหรือล่อลวงเด็กให้กระทำผิดนั้น เป็นเรื่องที่เหี้ยมโหดและชั่วช้าสามานย์ยิ่ง มีแต่คนที่อุบาทว์ชาติชั่วเลวทรามจริง ๆ เท่านั้นถึงทำได้ เพราะเด็ก ๆ ทั้งไร้เดียงสา ขาดความเข้าใจ จึงไม่มีวุฒิภาวะพอ เมื่อถูกหลอกลวงด้วยคำพูด ถ้อยคำ โฆษณาชวนเชื่อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงหลงเชื่อ แต่เมื่อได้กระทำการจนกลายเป็นความผิดสำเร็จไปแล้ว จึงต้องรับโทษตามกฎหมายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่นเดียวกับการเกณฑ์และบังคับใช้ทหารเด็ก ซึ่งสมควรต้องประนามหยามเหยียดคนเหล่านี้อย่างเต็มที่จนถึงที่สุด

‘อุดรธานี’ (ว่าที่) เมืองแห่งสองมรดกโลก หลัง ‘ภูพระบาท’ มีลุ้น!! ปลายกรกฎาคมนี้

แหล่งมรดกโลกเป็นสถานที่สำคัญและพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายโดยอนุสัญญาระหว่างประเทศที่บริหารงานโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ว่ามีความสำคัญทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ สถานที่เหล่านี้ได้รับการตัดสินว่ามี ‘มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติทั่วโลกที่ถือว่ามีคุณค่าโดดเด่นต่อมนุษยชาติ’ โดย UNESCO จะเป็นผู้พิจารณาในการกำหนดแหล่งมรดกโลก (World Heritage Sites) ที่มีคุณค่าสากลอันโดดเด่นใน 2 ด้าน คือ (1) มรดกทางวัฒนธรรม และ (2) มรดกทางธรรมชาติ ซึ่งแหล่งมรดกโลกดังกล่าวเหล่านั้นได้รับการเสนอชื่อโดยประเทศผู้ลงนามในอนุสัญญามรดกโลกของยูเนสโก ปี 1975 (พ.ศ. 2518)

โดย ‘มรดกทางวัฒนธรรม’ ประกอบด้วยอนุสรณ์สถาน เช่น งานสถาปัตยกรรม ประติมากรรมขนาดใหญ่ หรือจารึก กลุ่มอาคาร และสถานที่ รวมถึงแหล่งโบราณคดี ส่วน ‘มรดกทางธรรมชาติ’ ประกอบด้วยการก่อตัวทางกายภาพและชีวภาพ การก่อตัวทางธรณีวิทยาและทางกายภาพ ซึ่งรวมถึงแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชที่ถูกคุกคาม และแหล่งธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญจากมุมมองของวิทยาศาสตร์ การอนุรักษ์ หรือความงามตามธรรมชาติ ให้คำจำกัดความว่าเป็นธรรมชาติ มรดก ประเทศไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1987 (พ.ศ. 2530)

อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 (พ.ศ. 2566) ประเทศไทยมีแหล่งมรดกโลกอยู่ในรายการบัญชีทะเบียนแหล่งมรดกโลกอยู่ของ UNESCO อยู่ 7 แห่ง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม 4 แห่ง และอีก 3 แห่งเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยแหล่งมรดกโลกของไทย 3 แห่งแรก ถูกประกาศในปี 1991  (พ.ศ. 2534) ได้แก่ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เมืองประวัติศาสตร์อยุธยา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ปี 1992 (พ.ศ. 2535) ต่อมา แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ปี 2005 (พ.ศ. 2548) กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ปี 2021 (พ.ศ. 2564) กลุ่มป่าแก่งกระจาน และแหล่งมรดกโลกของไทยที่ได้การประกาศขึ้นทะเบียนล่าสุดคือ เมืองโบราณศรีเทพเมืองโบราณศรีเทพและโบราณสถานสมัยทวารวดีที่เกี่ยวข้องในปี 2023  (พ.ศ. 2566)

ทั้งนี้ ที่ตั้งแหล่งมรดกโลกในประเทศไทยตามรูปประกอบ ‘จุดสีทอง’ บ่งบอกถึงแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม และ ‘จุดสีเขียว’ เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ หมายเลข 1-5 ที่ตั้งเขตป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ : 1. เขาใหญ่, 2. ทับลาน, 3. ปางสีดา, 4. ตาพระยา, 5. ดงใหญ่ และหมายเลข 6-9 แสดงถึงที่ตั้งของป่าแก่งกระจาน 6. เฉลิมพระเกียรติไทยประจัน, 7. แม่น้ำภาชี, 8. แก่งกระจาน และ  9. กุยบุรี

 

นอกเหนือจากแหล่งที่ถูกประกาศขึ้นทะเบียนไว้ในรายการแหล่งมรดกโลกแล้ว ประเทศสมาชิกยังสามารถเสนอรายชื่อสถานที่เบื้องต้น (Tentative list) ที่อาจพิจารณาเสนอชื่อเป็นแหล่งมรดกโลกได้ การเสนอชื่อเข้าชิงรายชื่อมรดกโลกจะได้รับการยอมรับก็ต่อเมื่อสถานที่นั้นเคยอยู่ในรายการเบื้องต้นเท่านั้น ณ ปี 2024  (พ.ศ. 2567) ไทยยังมีสถานที่อีก 7 แห่งอยู่ในรายการเบื้องต้นของแหล่งมรดกโลกได้แก่ (1) อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท (2) วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช (3) อนุสรณ์สถานแหล่งต่าง ๆ และภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเชียงใหม่ นครหลวงล้านนา (4) พระธาตุพนม และสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์และภูมิทัศน์ที่เกี่ยวข้อง (5) กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด (6) แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน และ (7) สงขลาและชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา

หากนอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้ว ถ้าพูดถึง ‘จังหวัดอุดรธานี’ แหล่งมรดกโลกแห่งแรกคือ ‘แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง’ เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเชียง (ในเขตเทศบาลตำบลบ้านเชียง) อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่ทำให้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่า 5,000 ปี แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลกเมื่อปี 1992 (พ.ศ. 2535) ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 16 ที่เมืองแซนตาเฟ มลรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา โดยผ่านข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลกว่า “เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว”

นอกจากนี้ ‘จังหวัดอุดรธานี’ ยังมี ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทยภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ครอบคลุมพื้นที่ 3,430 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่มีชื่อว่า ‘ป่าเขือน้ำ’ บ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดระยะทางประมาณ 67 กม.

โดยอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทแห่งนี้ ปรากฏร่องรอยของกิจกรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อราว 2,000 - 3,000 ปีมาแล้ว มีการพบภาพเขียนสีมากกว่า 30 แห่ง ยังพบการดัดแปลงโขดหินและเพิงผาธรรมชาติให้กลายเป็นศาสนสถานของผู้คนในวัฒนธรรมทวารวดี ลพบุรี สืบต่อกันมาจนถึงวัฒนธรรมล้านช้างตามลำดับ ซึ่งร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี โดยพื้นที่ภูพระบาทนับเป็นแหล่งสีมาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในการทำหน้าที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา และแสดงให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพทางธรณีวิทยาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมา ในฐานะของการเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และพื้นที่ประกอบพิธีกรรม

ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 44 ปี 2024 (พ.ศ. 2567) ซึ่งจะจัดขึ้น ณ กรุงนิวเดลี อินเดีย ระหว่างวันที่ 21 - 30 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ ได้รับการบรรจุเป็นวาระในการพิจารณาเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในครั้งนี้ด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่า ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก โดยเมื่อ 1 เมษายน 2003 (พ.ศ. 2547) UNESCO ได้ขึ้น ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ เป็นสถานที่ที่ได้รับขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นเพื่อพิจารณาขึ้นเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมไว้แล้ว

แต่กระนั้น ปี 2016 (พ.ศ. 2559) สภานานาชาติว่าด้วยการดูแลอนุสรณ์สถานและแหล่งโบราณคดี (ICOMOS) ได้แจ้งให้ทางการไทยทราบเกี่ยวกับการเสนอ ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของทางการไทย โดยมีข้อเสนอแนะให้ดำเนินการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของวัฒนธรรมของเสมาหินกับพุทธศาสนา เพื่อนำไปสู่ศักยภาพที่โดดเด่นของอุทยานฯ รวมทั้งหากเป็นไปได้ เสนอให้พิจารณาเกณฑ์และขอบเขตการขึ้นทะเบียนอุทยานฯ ตามที่ทางการไทยเสนอ โดยมีข้อมติเสนอให้ขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นแหล่งมรดกโลก ประเภทภูมิทัศน์วัฒนธรรม และเสนอให้เปลี่ยนชื่อแหล่งเป็น ‘Phu Phrabat, a testimony to the Sima stone tradition of the Dvaravati period’ หรือ ‘ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดี’ รวมทั้งขอให้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ภายหลังจากการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกด้วยคุณค่าความโดดเด่นของการที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมสีมาในสมัยทวารวดี

ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและภาคภูมิใจที่ราชอาณาจักรไทยของเราจะได้มีแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงความเก่าแก่และมีอยู่ของอารยธรรมของมนุษยชาติที่เกิดในอนุภูมิภาคนี้ ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนชาวอุดรธานีที่จะมีเรื่องที่ดีงามและน่าภาคภูมิใจเกิดขึ้นในจังหวัดนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจาก ‘แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมไปแล้วเมื่อ 35 ปีก่อน และขอเรียนฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวอุดรธานีและคนไทยทุกคนว่า “การเป็น ‘แหล่งมรดกโลก’ นั้น แม้จะเป็นความยากลำบากและต้องทุ่มเททรัพยากรอย่างมากมายแล้ว แต่ภารกิจที่ยากยิ่งกว่าและต้องเผชิญต่อไปไม่สิ้นสุดคือ การรักษาไว้ซึ่งความเป็น ‘แหล่งมรดกโลก’ ให้ดำรงคงอยู่ได้อย่างยั่งยืนตลอดไป” 

‘Secret Service’ ผู้พิทักษ์ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา  ความอุ่นใจของ 'อดีตปธน.' ที่จะได้รับการอารักขาไปตลอดชีวิต

The United States Secret Service (USSS or Secret Service) เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางภายใต้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (The Department of Homeland Security) ซึ่งมีภารกิจในการสอบสวนทางอาญาและปกป้องผู้นำของสหรัฐฯ และครอบครัว ตลอดจนประมุขแห่งรัฐหรือผู้นำรัฐบาลที่มาเยือนสหรัฐฯ 

ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2408 จนถึงปี พ.ศ. 2546 Secret Service เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง (The Department of the Treasury) สืบเนื่องจากหน่วยงานก่อตั้งเพื่อต่อสู้กับการปลอมแปลงเงินสหรัฐฯ ที่แพร่หลายในขณะนั้น (พ.ศ. 2408 หรือค.ศ. 1865)

The United States Secret Service จัดตั้งตามความเห็นชอบของรัฐสภาแห่งสหรัฐฯ เพื่อปฏิบัติภารกิจในด้านความมั่นคงแห่งชาติที่แตกต่างกันสองภารกิจ ได้แก่ 1. การปกป้องผู้นำของประเทศ และ 2. การปกป้องโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา 

ในระยะแรก ๆ มีหน้าที่สอบสวนกรณีเกี่ยวกับเงินปลอม หรืออาชญากรรมอื่น ๆ จากรายงานการหมุนเวียนของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในสมัยนั้น ปรากฏว่า ปริมาณเงินที่หมุนเวียนหนึ่งในสามเป็นเงินปลอม 

ด้าย Abraham Lincoln ประธานาธิบดีในขณะนั้นได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นเพื่อศึกษาและให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหา The United States Secret Service จึงถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2408 ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อปราบปรามเงินดอลลาร์ปลอม

โดย William P. Wood หัวหน้าหน่วยคนแรก ได้ทำการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งต่อ Hugh McCulloch รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เข้ารับตำแหน่งในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในฐานะ ‘Secret Service Division’ ของกระทรวงการคลัง โดยมีภารกิจหลักในการปราบปรามการปลอมแปลงเงินดอลลาร์ปลอม

แต่ต่อมาหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกลอบสังหารขณะอยู่ในตำแหน่งไปแล้ว 3 คน คือ  Abraham Lincoln (14 เมษายน พ.ศ. 2408 หรือค.ศ. 1865) , James A. Garfield (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2424 หรือค.ศ. 1881) และ William McKinley (6 กันยายน พ.ศ. 2444 หรือค.ศ. 1901) และคนที่ 4 คือ John F. Kennedy (22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 หรือค.ศ. 1963)
หลังจากการลอบสังหารประธานาธิบดี William McKinley ในปี พ.ศ. 2444 รัฐสภาแห่งสหรัฐฯ จึงได้มอบภารกิจในการปกป้องประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ให้กับ The United States Secret Service รับผิดชอบจนทุกวันนี้

ปัจจุบันภารกิจของ The United States Secret Service ประกอบด้วย… 

1. ภารกิจในการคุ้มกันอารักขา Secret Service ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี ของสหรัฐอเมริกา ว่าที่ประธานาธิบดี ว่าที่รองประธานาธิบดี ที่ได้รับเลือกของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนครอบครัวใกล้ชิดของพวกเขา อดีตประธานาธิบดี คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 16 ปี ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนสำคัญและคู่สมรส และการเยี่ยมเยือนของประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลต่างประเทศ 

ตามธรรมเนียมแล้ว ยังให้การคุ้มครองแก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ตลอดจนบุคคลอื่น ๆ ตามคำสั่งของประธานาธิบดี (โดยปกติคือ หัวหน้าเสนาธิการประจำประธานาธิบดี และที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น) ตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ต้องไม่ปฏิเสธการคุ้มกันนี้  

นอกจากนี้ Secret Service ยังต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทางกายภาพสำหรับทำเนียบขาว อาคารกระทรวงการคลังที่อยู่ใกล้เคียง บ้านพักรองประธานาธิบดี บ้านพักส่วนตัวหลักของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี และอดีตประธานาธิบดี รวมถึงเจ้าหน้าที่การทูตต่างประเทศทั้งหมดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีภารกิจสนับสนุนการคุ้มกันอารักขา อาทิ การปฏิบัติการเพื่อประสานงานกำลังคนและการขนส่งกับการบังคับใช้กฎหมายของรัฐและท้องถิ่น ความก้าวหน้าในการป้องกันเพื่อดำเนินการประเมินสถานที่สำหรับผู้ได้รับการคุ้มกันอารักขา Secret Service เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการวางแผน การประสานงาน และการดำเนินการด้านความปลอดภัยสำหรับกิจกรรมที่กำหนดให้เป็นเหตุการณ์ความมั่นคงพิเศษแห่งชาติ (NSSE) ตามภารกิจของหน่วยในการป้องกันเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดขึ้น หน่วยงานอาศัยการทำงานล่วงหน้าอย่างพิถีพิถันและการประเมินภัยคุกคามที่พัฒนาโดยแผนกข่าวกรอง เพื่อระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ซึ่งได้รับการคุ้มกันอารักขา

2. ภารกิจสืบสวนสอบสวน Secret Service ยังมีภารกิจในการปกป้องระบบการชำระเงินและการเงินของสหรัฐอเมริกาจากอาชญากรรมทางการเงินและทางไซเบอร์ที่หลากหลาย การตรวจสอบทางการเงินรวมถึงการปลอมแปลงสกุลเงินของสหรัฐฯ การฉ้อโกงธนาคารและสถาบันการเงิน การฉ้อโกงทางไปรษณีย์ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์ การดำเนินการด้านการเงินที่ผิดกฎหมาย และการสมคบคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการเงิน การสืบสวนทางไซเบอร์รวมถึงอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต การบุกรุกเครือข่าย การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การฉ้อโกงอุปกรณ์การเข้าถึง การฉ้อโกงบัตรเครดิต และอาชญากรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา 

Secret Service เป็นสมาชิกของกองกำลังเฉพาะกิจก่อการร้ายร่วมของ FBI (JTTF) ซึ่งสืบสวนและต่อสู้กับการก่อการร้ายทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ นอกจากนี้ Secret Service ยังสืบสวนหาเด็กที่หายตัวไปและถูกทารุณ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ National Center for Missing & Exploited Children (NCMEC)

ความรับผิดชอบเบื้องต้นตามภารกิจสืบสวนของ Secret Service คือ การสืบสวนการปลอมแปลงสกุลเงินของสหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา หน่วยงานดังกล่าวต่อมาจึงกลายเป็นหน่วยข่าวกรองในประเทศแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา 

ภารกิจเดิมของหน่วยงานหลายอย่างถูกถ่ายโอนไปยังหน่วยงานที่จัดตั้งในภายหลังต่อมา เช่น สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI), สำนักงานข่าวกรองกลาง (CIA), สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA), สำนักงาน แอลกอฮอล์, ยาสูบ, อาวุธปืน และวัตถุระเบิด (ATF) และหน่วยสืบสวนคดีอาญาของกรมสรรพากร (IRS-CI)

3. ภารกิจอื่น ๆ Secret Service รวมความรับผิดชอบทั้งสองเป็นสองวัตถุประสงค์ที่ไม่ซ้ำกันภารกิจหลักสองประการในการปกป้องและการสืบสวนประสานกับภารกิจอื่น โดยให้ประโยชน์ที่สำคัญแก่เจ้าหน้าที่พิเศษในระหว่างการทำงาน ทักษะที่พัฒนาขึ้นในระหว่างการสืบสวนซึ่งยังใช้ในหน้าที่ปกป้องเจ้าหน้าที่พิเศษแต่ไม่จำกัดเพียงแต่…

- ความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างสำนักงานภาคสนามและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในแต่ละท้องถิ่นระหว่างการสืบสวนสอบสวน ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขาและประสานงานเพื่อการคุ้มกันอารักขา

- ทักษะในการปฏิบัติการทางยุทธวิธี (เช่น การสอดส่อง การจับกุม และตรวจค้น) และทักษะการเขียนของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (เช่น คำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร หลังรายงานการดำเนินการ และแผนปฏิบัติการ) ถูกนำไปใช้กับทั้งหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนและภารกิจการคุ้มกันอารักขา

- ความชำนาญในการวิเคราะห์เทคนิคการเขียนด้วยลายมือ หรือลายเซ็น และการปลอมแปลง จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และภัยคุกคามจากบรรจุภัณฑ์ที่ต้องสงสัย เพื่อใช้ในการตรวจสอบสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขา

- ความเชี่ยวชาญในการสืบสวนอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และการเงิน ถูกนำมาใช้ในการสืบสวนสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขา และภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นกับผู้นำของประเทศ

โดยงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service มีการแข่งขันที่สูงมาก ๆ ในปี พ.ศ. 2554 มีผู้สมัครในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษ ผ่านการคัดเลือกของ Secret Service น้อยกว่า 1% จากจำนวนผู้สมัคร 15,600 คน 

ผู้สมัครเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service จะต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา มีใบขับขี่ มีสุขภาพและสภาพร่างกายที่ดีเยี่ยม สายตาผิดปกติไม่เกิน 20/100 และจะต้องมีระหว่างอายุ 21-37 ในขณะนั้น เว้นแต่ทหารผ่านศึกที่มีสิทธิ์ยื่นสมัครเมื่ออายุเกิน 37 ปี ผู้สมัครจะต้องมีคุณสมบัติที่ได้รับการตรวจสอบ TS/SCI (ข้อมูลที่มีความลับสุดยอด / ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน) และได้รับการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด รวมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก การคัดกรองสารเสพติด และการวินิจฉัยทางการแพทย์

ผู้ที่ผ่านเข้าการคัดเลือกจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service สองหลักสูตร รวมประมาณ 31 สัปดาห์ 
หลักสูตรแรก โครงการฝึกอบรมผู้สืบสวนคดีอาญา (CITP) ดำเนินการที่ศูนย์ฝึกอบรมการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FLETC) ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 13 สัปดาห์ 

หลักสูตรที่สอง หลักสูตรการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่พิเศษ (SATC) ดำเนินการที่สถาบัน The United States Secret Service ศูนย์ฝึกอบรม James J. Rowley (JJRTC) นอกกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในเมืองลอเรล มลรัฐแมรี่แลนด์ ใช้เวลาประมาณ 18 สัปดาห์

เส้นทางอาชีพเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ขึ้นอยู่กับผลงานและการเลื่อนตำแหน่งที่จะส่งผลต่อการมอบหมายงานในแต่ละภารกิจ เริ่มต้นด้วยหกถึงแปดปีแรกจะได้รับมอบหมายให้ประจำสำนักงานภาคสนาม ซึ่งจะได้รับคำแนะนำให้ระบุตำแหน่งและพื้นที่ของสำนักงานที่ต้องการในระหว่างขั้นตอนการสมัคร และเมื่อได้รับข้อเสนองานในขั้นสุดท้ายแล้ว มักจะมีสำนักงานหลายแห่งให้เลือก หลังจากมีประสบการณ์ในสำนักงานภาคสนามแล้ว เจ้าหน้าที่พิเศษมักจะถูกย้ายไปยังงานเฉพาะที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเป็นเวลาสามถึงห้าปี 

หลังจากที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานด้านการคุ้มกันอารักขา เจ้าหน้าที่พิเศษหลายคนก็กลับไปประจำที่สำนักงานภาคสนามตลอดเวลาอายุที่เหลือจนเกษียณ หรือเลือกรับมอบหมายงานจากสำนักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 

ในระหว่างการทำงาน เจ้าหน้าที่ยังมีโอกาสได้ทำงานตามสาขาของหน่วยงานในต่างประเทศอีกด้วย โดยปกติแล้วจะต้องมีการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศเพื่อให้แน่ใจว่ามีความสามารถทางภาษาเมื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศ

เจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ได้รับเงินจัดสรรสำหรับการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement Availability Pay : LEAP) ซึ่งเป็นค่าล่วงเวลาแบบพิเศษซึ่งให้โบนัสเพิ่มเติม 25% แก่พวกเขานอกเหนือจากเงินเดือน 

เนื่องจากเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ต้องทำงานโดยเฉลี่ย 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับปกติทั่วไป 40 ชั่วโมง เงินเดือนรายปีจะอยู่ที่ $73,666 จนถึง $176,300 เนื่องจากลักษณะงานและลักษณะเฉพาะของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลาง (เช่น FBI, DEA, ATF, ICE) เจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service จึงมีสิทธิ์ได้รับค่าล่วงเวลาตามกำหนด (นอกเหนือจาก LEAP) เป็นประจำ และได้รับค่าจ้างสูงสุดตามกฎหมาย $203,700 ต่อปี 

ตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษที่ Secret Service รับภารกิจคุ้มกันอารักขา มีเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจคุ้มกันอารักขาประธานาธิบดี คือ Leslie W. Coffelt ซึ่งปฏิบัติภารกิจคุ้มกันอารักขา ประธานาธิบดี Harry S. Truman 

ในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 หรือค.ศ.1950 เกิดเหตุชาย 2 คนพยายามบุกเข้าไปทำร้ายประธานาธิบดี Truman แต่ Leslie มาเจอก่อนจึงเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น กระสุนจากผู้ร้ายพุ่งทะลุร่างของ Leslie ถึง 3 นัด แต่ Leslie ก็ยังกัดฟันยิงตอบโต้ โดนคนร้ายเสียชีวิตไป 1 ศพ ส่วนอีกรายบาดเจ็บ และถูกจับ แต่โชคร้ายที่ Leslie ไม่รอด จนถึงปัจจุบันเขาเป็นจึงเจ้าหน้าที่ Secret Service รายแรกและรายเดียวที่เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่

เจ้าหน้าที่ Secret Service อีกรายที่ถือว่า รอดอย่างฉิวเฉียด คือ เจ้าหน้าที่พิเศษ Tim McCarthy ผู้ได้ชื่อว่าเป็น วีรบุรุษของสหรัฐอเมริกา และถูกจดจำในฐานะคนที่รับกระสุนแทนประธานาธิบดี Ronald Reagan ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2524 หรือค.ศ.1981 ขณะนั้นประธานาธิบดี Reagan เพิ่งจะรับตำแหน่งผู้นำประเทศได้เพียง 2 เดือน ถูก John Hinckley Jr. หนุ่มสติไม่สมประกอบบุกยิงด้วยปืนพกขนาด .22 ไป 6 นัด ระหว่างชุลมุนนั้น เจ้าหน้าที่พิเศษ Tim ได้กระโดดเข้าไปเพื่อบังกระสุนให้ประธานาธิบดี ซึ่งตอนนั้นถูกกระสุนเข้าไปแล้ว 1 นัด ทำให้เจ้าหน้าที่พิเศษ Tim ถูกกระสุนอีก 1 นัด เข้าที่อกขวา แต่โชคดีที่ทั้งประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่พิเศษ Tim แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ปลอดภัยในเวลาต่อมา

เจ้าหน้าที่ Secret Service อีกนายหนึ่งที่ชาวอเมริกันรู้จักกันดี คือ เจ้าหน้าที่พิเศษ Clinton J. Hill ผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์สังหารประธานาธิบดีที่โด่งดังที่สุดในโลก John F. Kennedy ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ในวัย 90 ปี ในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 หรือค.ศ.1963 เมื่อกระสุนซึ่งในขณะนั้นยังไม่รู้ว่ามาจากทิศทางไหน พุ่งเข้าใส่ร่างประธานาธิบดี Kennedy เจ้าหน้าที่พิเศษ Hill รีบปีนขึ้นไปบนรถของประธานาธิบดี Kennedy เพื่ออารักขาผู้นำและภรรยาที่กำลังตื่นตระหนก แล้วคุ้มกันทั้งคู่ไปจนถึงโรงพยาบาล แต่ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถรักษาชีวิตของประธานาธิบดี Kennedy ไว้ได้

เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ เมื่อมีเรื่องดีย่อมมีเรื่องไม่มี หน่วยงาน The United States Secret Service ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน เรื่องอื้อฉาวล่าสุดของเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service มีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ว่า สมาชิก 2 นายของ Secret Service ของสหรัฐฯ ถูกส่งกลับบ้านก่อนการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียของประธานาธิบดี Jo Biden ซึ่งพวกเขาควรจะปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างการเยือนประเทศเกาหลีใต้ของประธานาธิบดี Biden แต่กลับต้องถูกส่งตัวกลับบ้านด้วยข้อกล่าวหาว่า ‘เมาแล้วอาละวาด’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องอื้อฉาวครั้งแรก 

ในปี พ.ศ. 2555 หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า สมาชิกของ Secret Service ของสหรัฐฯ ถูกส่งกลับบ้านจากการเดินทางไปเยือนประเทศโคลอมเบียของประธานาธิบดี Barack Obama เนื่องจากประพฤติตัวไม่เหมาะสม ดื่มสุราจนมึนเมาแล้วอาละวาด รวมถึงการใช้บริการโสเภณี 

ในปี พ.ศ. 2557 สมาชิก 3 นายของ Secret Service ของสหรัฐฯ ถูกส่งกลับจากเนเธอร์แลนด์ หลังจากพบว่า หนึ่งในนั้นเมาจนหมดสติในกรุงอัมสเตอร์ดัม

ปัจจุบัน The United States Secret Service มีเจ้าหน้าที่ราว 7,000 นาย ปฏิบัติภารกิจด้านการคุ้มกันอารักขาอยู่ราว ๆ 3,000 นาย เจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ได้รับการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีและทันสมัยที่สุดสำหรับใช้งาน

งบประมาณของ The United States Secret Service อยู่ที่มากกว่า ๒.๒๓ พันล้านดอลลาร์ต่อปี (ราว 76,220 ล้านบาท) แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่า ชีวิตของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาจะปลอดภัยไร้กังวล เพราะอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอบนโลกที่สุดแสนร้อนระอุใบนี้

***หมายเหตุ : หน่วยอารักขาส่วนตัวตลอดชีพ

แรกเริ่มเดิมทีหน่วยรักษาความปลอดภัยแก่อดีตประธานาธิบดี หรือ Secret Service จะมีระยะเวลาแค่ 10 ปี ทว่าในปี 2013 ประธานาธิบดีโอบาม่าแก้กฎหมายส่วนนี้ใหม่เป็นได้รับสวัสดิการหน่วยอารักขาส่วนตัวตลอดชีพ หน่วย Secret Service จะทำหน้าที่ครอบคลุมหลายอย่าง อาทิ สอดส่องความเรียบร้อย ดูแลความปลอดภัย ไปจนถึงเปิด-ปิด ประตูรถ หรือขับรถให้อดีตประธานาธิบดี

นอกจากนี้ หน่วยรักษาความปลอดภัยจำเป็นต้องขับรถให้อดีตผู้นำ เนื่องจากกฎหมายด้านความปลอดภัยระบุไว้ชัดเจนว่า ประธานาธิบดีและอดีตประธานาธิบดีไม่สามารถขับรถบนท้องถนนได้ แต่ถึงอย่างนั้นกฎหมายยังพอเปิดช่องว่างให้กับอดีตผู้นำที่ชื่นชอบการขับขี่ สำนักข่าวต่างประเทศเคยตีข่าวว่าอดีตประธานาธิบดีคนที่ 40 โรนัลด์ เรแกน และ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 43 จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ใช้เวลาหลังเกษียณขับรถเล่นอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองอยู่บ่อย ๆ

‘ญี่ปุ่น’ แม้เจริญสุดขีด แต่ก็ประสบปัญหา ‘คนไร้บ้าน’ เรื้อรัง หลังพวกเขาพ่ายแพ้ต่อเศรษฐกิจแปรปรวน กลายเป็นคนว่างงาน

ปัญหาคนไร้บ้านนั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะบ้านเรา แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในแทบทุก ๆ ประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ ‘ญี่ปุ่น’ ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในทวีปเอเชีย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวญี่ปุ่นหลายคนกลายเป็นคนไร้บ้าน เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกทิ้งระเบิดและพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ในช่วงทศวรรษ 1960 จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกกันว่า ‘ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น’ ทำให้จำนวนคนไร้บ้านลดลงอย่างรวดเร็ว แต่กลับมาเพิ่มจำนวนอย่างเห็นได้ชัดในสังคมญี่ปุ่นอีกครั้ง จากการล่มสลายของฟองสบู่ราคาทรัพย์สินของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1990 และส่งผลให้เกิด ‘ทศวรรษที่หายไป’ จากภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะไร้ที่อยู่อาศัย จำนวนคนไร้บ้านสูงมากจนถึงจุดสูงสุด

ปัญหาคนไร้บ้านในญี่ปุ่นเป็นปัญหาทางสังคมที่มักเกิดขึ้นกับชายวัยกลางคนและผู้สูงอายุเป็นหลัก เชื่อกันว่า ในทศวรรษที่ 1990 อันเป็นผลมาจากการแตกของฟองสบู่ที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ของญี่ปุ่นลดลงเป็นอันมากนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตาม ‘พระราชบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับการสนับสนุนการพึ่งตนเองของคนไร้บ้าน’ ให้นิยามของคำว่า ‘คนจรจัดหรือคนไร้บ้าน’ หมายถึง ‘ผู้ที่ใช้สวนสาธารณะในเมือง ริมฝั่งแม่น้ำ ถนน สถานีรถไฟ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา’

ทั้งนี้ ลักษณะเฉพาะบางประการของคนไร้บ้านชาวญี่ปุ่นนั้น มีสาเหตุมาจากโครงสร้างทางสังคมของสังคมญี่ปุ่น ในอดีตซึ่งฝ่ายชายเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว บรรดาบริษัทญี่ปุ่นต่างเชื่อกันว่า ชายที่แต่งงานแล้วจะทำงานได้ดีกว่าชายโสดที่ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะชายที่แต่งงานแล้วจะรู้สึกว่า มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อครอบครัวมากกว่า ดังนั้นไม่เพียงแต่ชายสูงอายุเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับภาวะสูงอายุและไม่สามารถหางานทำได้ แต่ชายโสดที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ก็มีปัญหาในการหางานเช่นกัน ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดจำนวนชายที่ยากจนโดยเฉลี่ย แต่กลับมีความแปรปรวนมากกว่า โดยมีทั้งจำนวนชายที่ร่ำรวยและยากจนเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้มีชายไร้บ้านจำนวนมากกว่าหญิงไร้บ้านในญี่ปุ่น นอกจากนี้แล้ว ครอบครัวญี่ปุ่นมักจะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือสมาชิกที่เป็นหญิงมากกว่าชาย

ในปี 1997 เทศบาลกรุงโตเกียวยอมรับการมีอยู่ของตัวแทนกลุ่มคนไร้บ้าน และเริ่มรับฟังปัญหาของพวกเขา ในปี 1998 ทางการระบุว่า มีคนไร้บ้านในกรุงโตเกียวเพียงแห่งเดียวประมาณ 3,700 คน แต่กลุ่มที่ช่วยเหลือคนไร้บ้านประเมินไว้ว่า มีคนไร้บ้านราว 5,000 คน ในกรุงโตเกียว และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ในญี่ปุ่นมีการจ้างงานนอกเวลาและการจ้างงานชั่วคราวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีกว่า 20 ล้านตำแหน่งงาน ค่าจ้างนอกเวลาและการจ้างงานชั่วคราวมักจะเท่ากับค่าจ้างขั้นต่ำ ทั้งการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในปี 1986 และ 1999 โดยการเช่าที่พักในญี่ปุ่นมักจะต้องวางเงินมัดจำและค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน แฟลตแบบหนึ่งห้องนอนในกรุงโตเกียว ค่าเช่ารายเดือนมากกว่า 50,000 เยน (ราว 11,488 บาท) ทำให้ผู้ที่ไม่มีงานประจำเข้าถึงได้ยากมากขึ้น ปัญหาคนไร้บ้านจึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ตามข้อมูลของกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นระบุว่า มีคนไร้บ้านในญี่ปุ่นไม่ถึง 1 หมื่นคน โดยจำนวนคนไร้บ้านมากที่สุดอยู่ในเขตมหานครโตเกียว ราว 2,700 คน รองลงเป็นอันดับสองคือ นครโอซาก้า ราว 2,500 คน และอันดับสามคือจังหวัดคานากาว่า ราว 1,814 คน ในเดือนสิงหาคม 2002 ได้มีการประกาศใช้ ‘พระราชบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับการสนับสนุนการพึ่งตนเองของคนไร้บ้าน’ คนไร้บ้านในญี่ปุ่นจึงเริ่มได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากทางการ รวมทั้งมีการสำรวจคนไร้บ้านทั่วประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 และมีการสำรวจอีกครั้งในเดือนเมษายน 2007 ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่ไม่มีรายได้ เงินออม หรือทรัพย์สินเพียงพอต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐานสามารถรับความคุ้มครองเพื่อการดำรงชีพได้ หญิงที่หลบหนีจากความรุนแรงในครอบครัวหรือจากอดีตคู่รักที่ต้องการเริ่มต้นความสัมพันธ์ในอดีตอีกครั้งสามารถรับการสนับสนุนจากสถาบันดูแลสตรี ศูนย์หลบภัย และสถานสงเคราะห์ได้ ในกรณีของผู้เยาว์ มีการจัดรูปแบบความช่วยเหลือ เช่น สถาบันสวัสดิภาพเด็ก 

โดยที่ญี่ปุ่นยังคงประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอยอย่างต่อเนื่อง ในปี 2011 เป็นต้นมา จึงมีการเปิดกิจการร้านไซเบอร์คาเฟ่ (หรือโรงแรมแคปซูล) โดยคนไร้บ้านสามารถเข้าพักได้ ไซเบอร์คาเฟ่ ให้บริการห้องพักซึ่งมีพื้นที่ส่วนตัวเล็ก ๆ และห้องอาบน้ำ พร้อม โทรทัศน์ น้ำอัดลม และอินเทอร์เน็ต ในราคา 1,500 ถึง 2,000 เยน (ราว 344 ถึง 460 บาท) ต่อคืน ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา มีการประเมินกันว่า ในกรุวโตเกียวเพียงเมืองเดียวมีชาวญี่ปุ่นอย่างน้อย 15,000 คน อาศัยอยู่ในร้านไซเบอร์คาเฟ่ ซึ่งมากกว่าจำนวนคนไร้บ้านอย่างเป็นทางการถึง 5 เท่า แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นจะมีอัตราการไร้ที่อยู่อย่างเป็นทางการต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แต่สัดส่วนของคนญี่ปุ่นที่ยากจนในญี่ปุ่นนั้นกลับสูงกว่าในสหรัฐฯ แม้ว่าบางคนจะกลายเป็นคนไร้บ้าน แต่หลายคนในจำนวนนี้รเลือกอาศัยอยู่ในไซเบอร์คาเฟ่ อันเนื่องมาจากแรงกดดันทางสังคม พวกเขาชอบที่จะรักษาเรื่องราวส่วนตัวของตนไว้เป็นความลับ และสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นและประชาชนชาวญี่ปุ่นทั่วไปต่างก็ต้องการให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นไปเช่นนั้นด้วย

เปิดเรื่องราว ‘ชาวฮ่องกง’ ผู้ถือ ‘พาสปอร์ต BNO’ หวังหนี ‘จีน’ ซบ ‘อังกฤษ’ ไร้สิทธิประโยชน์-อยู่ต่ำกว่าพลเมืองในประเทศ สุดท้ายมีคนจบชีวิตประท้วง

ก่อนและหลัง...สหราชอาณาจักรส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน สิ่งที่ชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่งถึงทำก็คือ ‘การอพยพ’ ไปอยู่ประเทศอื่น ๆ อาทิ แคนาดา ออสเตรเลีย หรืออังกฤษ ประเทศเจ้าอาณานิคมเดิม โดยการอพยพไปอยู่อังกฤษนั้น ชาวฮ่องกงใช้สถานะความเป็น ‘พลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล)’ หรือ British National (Overseas) ซึ่งจะได้หนังสือเดินที่เรียกว่า ‘British National (Overseas) passport หรือ BN(O) passport’

โดยสถานะดังกล่าวได้มาจากการลงทะเบียนโดยสมัครใจของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับดินแดนอดีตอาณานิคมฮ่องกง ซึ่งเคยเป็นพลเมืองในดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ (British Overseas Territories citizen : BDTC) ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1997 การลงทะเบียนสถานะ BN(O) จำกัดเฉพาะช่วงเวลา 10 ปีก่อนการโอน โดยถือเป็นการจัดเตรียมชั่วคราวสำหรับอดีต BDTC ผู้ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน (หลังปี 1997) ไม่สามารถได้รับสถานะนี้ได้

BN(O) ถือเป็นพลเมืองของเครือจักรภพ จึงไม่ใช่พลเมืองอังกฤษ ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเมื่อเข้าสู่สหราชอาณาจักรเหมือนชาวต่างชาติอื่น ๆ ทั้งยังไม่มีสิทธิ์ในการพำนักในอังกฤษโดยอัตโนมัติ และชาวฮ่องกงที่เลือกเป็น BN(O) แล้ว ทุกคนจะต้องสละสัญชาติจีน(ฮ่องกง) โดยมีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรในฮ่องกงหลังจากที่รัฐบาลจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (ซึ่งก่อให้เกิดการจลาจลในฮ่องกงในปี 2019-2020) สหราชอาณาจักรได้อนุญาตให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) และสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในความอุปการะของพวกเขาสามารถสมัครวีซ่าถิ่นที่อยู่แบบต่ออายุทุก 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2021

BN(O) ทำให้ผู้ถือได้รับสถานะพิเศษเมื่ออาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งจะช่วยให้มีสิทธิลงคะแนนเสียง ได้รับสัญชาติอังกฤษภายใต้กระบวนการที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถดำรงตำแหน่งสาธารณะหรือตำแหน่งในรัฐบาล มีผู้ถือ BN(O) ประมาณ 2.9 ล้านคน โดยประมาณ 720,000 คนในจำนวนนี้ถือหนังสือเดินทางอังกฤษที่ถูกต้อง และได้รับความคุ้มครองจากกงสุลเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนไม่รับรองหนังสือเดินทางประเภทนี้ว่าเป็นเอกสารการเดินทางที่ถูกต้อง และจำกัดไม่ให้ผู้ถือ BN(O) เข้าถึงการคุ้มครองจากกงสุลอังกฤษหรือจากคณะผู้แทนทางการทูตของสหราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงและสาธารณรัฐประชาชนจีน

หนังสือเดินทาง BN(O) ยุคแรกจนถึงปี 1990

สำหรับชาวฮ่องกงผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้มีการจัดทำโครงสร้างโครงการปลอดวีซ่าอย่างชาญฉลาด ซึ่งปัจจุบันปี 2024 ผู้ที่ต้องการอพยพออกจากฮ่องกงส่วนใหญ่เพื่อค้นหา 'ประชาธิปไตย' และ 'เสรีภาพ' และที่มากกว่านั้นคือ กลุ่มหัวรุนแรงรุ่นใหม่ที่เคยเป็นแกนกลางของการประท้วงต่อต้านรัฐบาล/การจลาจล/การก่อการร้ายในปี 2019 แต่กลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์ย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักร เนื่องจากเกิดหลังจากการส่งมอบในปี 1997 และ BN(O) ของผู้ปกครองไม่สามารถส่งต่อไปยังพวกเขาได้ ดังนั้น สหราชอาณาจักรจึงสามารถหลีกเลี่ยงการอพยพเข้ามาของเยาวชนที่ปัญหาเหล่านี้ได้

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1990-1997

นอกจากนี้ สำหรับพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่เกิดหลังปี 1997 มีน้อยมาก ๆ ที่จะยอมต้องทิ้งลูก ๆ ไว้ข้างหลังหรือจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ลูก ๆ ได้รับการศึกษาในสหราชอาณาจักรในฐานะนักเรียนต่างชาติ ส่วนผู้ประกอบการอิสระส่วนใหญ่มักจะไม่ยินยอมอพยพแบบถอนรากถอนโคนและเริ่มต้นชีวิตใหม่ตั้งแต่ต้นในประเทศใหม่ที่ต่างไปกว่าเดิม เว้นแต่พวกเขาจะถูกบังคับให้ทำ สื่อตะวันตกอาจนำเสนอภาพที่ชาวฮ่องกงถูกกดขี่ ข่มเห่ง แต่ความเป็นจริงแล้ว ฮ่องกงคือแหล่งทำมาหาเงินของพวกเขา

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1997-2020

ชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) เมื่อย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักรจะไม่สามารถรับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ได้จนกว่าจะได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ ดังนั้นพวกเขาจะต้องดำรงชีวิตด้วยเงินออมที่พวกเขานำติดตัวมาด้วย ด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ย่ำแย่ จะมีชาวฮ่องกงสักกี่คนที่หางานได้ดีกว่างานที่ใช้ทักษะธรรมดา สำหรับงานระดับบริหารในสหราชอาณาจักรปิดโอกาสสำหรับผู้ถือ BN(O) แทบจะโดยสิ้นเชิง ผู้ที่ไม่สามารถหางานประจำได้ก่อนที่เงินออมจะหมดจะถูกบังคับให้หาทางออกต่าง ๆ ผู้ที่มีทรัพยากรมากกว่าสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตนเองได้ แต่ต้องหาเขตที่คนท้องถิ่นมีอัธยาศัยดีต่อผู้อพยพมาก ๆ 

หนังสือเดินทาง BN(O) ปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2020

เมื่อวีซ่า 5 ปีหมดอายุ และภายใน 1 ปีหลังวีซ่าหมดอายุจะไม่มีการรับประกันการได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหางานได้ค่าตอบแทนดี รัฐบาลอังกฤษอาจแค่บอกว่า “คุณอยู่มานานมากแล้วและขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา” หลังจากแยกผู้ที่มีศักยภาพที่จะอยู่ต่อออกจากมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งไม่มีภาระผูกพันด้านสวัสดิการระยะยาว ในขณะเดียวกันสหราชอาณาจักรได้รับการสนับสนุนทางการเมืองบางส่วนจากพันธมิตรตะวันตก เนื่องจากความมีมนุษยธรรมที่ชัดเจนในการช่วยเหลือชาวฮ่องกง 'หลายล้านคน' ให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของ 'จีน(ที่ชั่วร้าย)' ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรัฐบาลไม่ขัดแย้งกับรายงานของสื่อที่บอกเป็นนัยว่าประชากรฮ่องกงทั้งหมดมีสิทธิ์ในการต่อต้านจีน 

ท้ายที่สุด จำนวนผู้ที่ไปนับหมื่นครอบครัวและผู้ที่อยู่ระยะยาวจะยิ่งลดน้อยลงไปอีก ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ‘Ho Yik-king’ นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชฮ่องกง ฆ่าตัวตายในอังกฤษ หลังชีวิตในสหราชอาณาจักรแทบไม่มีอะไรดั่งที่เธอฝัน เพราะชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) ถูกจัดให้อยู่ในระดับที่ ‘ต่ำชั้นกว่าพลเมืองในประเทศ’ เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจอันเป็นชีวิตจริงของหญิงสาวนักเคลื่อนไหว ผู้เรียกร้องเอกราชฮ่องกงจากจีน ‘Ho Yik-king’ (โฮ ยิก-คิง) ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยและระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัยฮ่องกง เธอประพฤติตัวดีเสมอมา หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเอเชียศึกษาและนานาชาติ ด้วยความชื่นชอบในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เธอจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมในมหาวิทยาลัยเจนีวาจนสำเร็จปริญญาโท

ในปี 2018 ฮ่องกงต้องประสบกับการประท้วงอันความสับสนอลหม่านภายใน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเสนอให้แก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลหัวรุนแรงในฮ่องกง ซึ่งต่อต้านรัฐบาลจีน และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการคัดค้านการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กลุ่มบุคคลหัวรุนแรงเหล่านี้ จึงได้จัดการประท้วงอย่างต่อเนื่องบนท้องถนนย่านใจกลางเมืองฮ่องกง และเมื่อไม่มีการตอบโต้จากรัฐบาลฮ่องกง กลุ่มผู้ประท้วงจึงได้เพิ่มความรุนแรงในการประท้วงของพวกเขา โดยหันไปใช้วิธีทำลายล้าง หรือแม้แต่โจมตีต่อประชาชนชาวฮ่องกงทั่วไป ในช่วงเวลานี้ ภายใต้อิทธิพลของบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอ ‘Ho Yik-king’ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการเรียกร้องเอกราชของฮ่องกงโดยสมบูรณ์ และได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างแข็งขัน ที่สุดเธอจึงกลายเป็นบุคคลสำคัญในหมู่คนหัวรุนแรงเหล่านี้ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแสดงมุมมองที่รุนแรง และมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับรัฐบาลฮ่องกง เชื่อกันว่า เธอได้การสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษในการเรียกร้องเอกราชให้ฮ่องกง และเธอถูกรัฐบาลฮ่องกงพยายามจับกุม

หลังจากเธอขายทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองในฮ่องกงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลอังกฤษ โดยเธอได้รับหนังสือเดินทาง ‘BNO’ (British National Overseas) อย่างไรก็ตาม หลังจากเธอเดินทางไปอยู่ในอังกฤษแล้ว เธอแทบไม่ได้รับการดูแลอะไรจากรัฐบาลอังกฤษเลย จะหางานทำ หรือเปิดบัญชีธนาคารก็ทำไม่ได้ เพราะพาสปอร์ต BNO ไม่สามารถทำให้เธอมีสิทธิเช่นเดียวกับพลเมืองอังกฤษ และสิ่งที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจที่สุด คือ เธอไม่สามารถจ่ายค่าเช่าห้องอันแสนแพงได้ ทั้งยังต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทานอาหารเพียงวันละมื้อเดียว ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ ชีวิตของ Ho Yik-king จึงเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่รัฐบาลอังกฤษไม่ได้ให้ค่า ครั้นเธอจะกลับฮ่องกงก็จะต้องติดคุก ปริญญา 2 ใบของเธอ ไม่ได้ช่วยให้เธอได้ตาสว่างแต่อย่างใด ด้วยเพราะตำราที่เธอเรียนจนได้ปริญญา 2 ใบนั้น เขียนโดยชาติตะวันตกทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับบุคคลที่มีภูมิทางการศึกษาดี แต่เลือกเส้นทางและความเชื่อในทางที่ผิด และเมื่อสืบค้นเรื่องราวของเธอใน Google แล้วจะพบเพียงหนึ่งเรื่องใน YouTube คือ https://www.youtube.com/watch?v=vFbjcZEfxFY และใน X มีผู้ใช้ชื่อว่า Richard Seeto @richseeto ได้นำเรื่องราวของเธอใน YouTube ไปลง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นราวกับว่า เธอไม่เคยมีตัวตนปรากฏอยู่เลย

นี่คือเรื่องราวของชาวฮ่องกง ที่แต่แรกเริ่มเดิมทีต่างพากันเห็นว่า หนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล) หรือ British National (Overseas) passport (BN(O) passport คือ หนังสือเดินทางที่จะนำพาพวกตนและครอบครัวไปสู่แดนสวรรค์ในสหราชอาณาจักร แต่พอได้ไปใช้ชีวิตอยู่จริงแล้ว กลับกลายเป็นเหมือนกับการตกอยู่ในนรกทั้งเป็น ถือเป็นบทเรียนและอุทาหรณ์ของบรรดาผู้ที่ชังชาติ อยากย้ายประเทศจนตัวซีดตัวสั่นทั้งหลาย ว่า “ไม่เจอ...ก็ไม่รู้ ไม่เจ็บ...ก็ไม่จำ”

วัฒนธรรม ‘ญี่ปุ่น’ ในมุมที่ชาวต่างชาติไม่เคยรู้!! เผยให้เห็นหลากเรื่องราว 'แปลกๆ' ที่ทำให้ต้องรู้สึก ‘ทึ่ง’

ชาวต่างชาติมักไม่ค่อยเชื่อข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งพวกเขาได้เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นเอง หลังจากที่ได้ไปญี่ปุ่นหลายครั้ง ก็ได้สรุปข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับประเทศนี้ที่ชาวต่างชาติไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ มักจะทำให้ผู้มาเยือนต้องประหลาดใจอยู่เสมอ

รอยสักที่เป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น เรื่องราวของรอยในญี่ปุ่นสักมักจะเกี่ยวข้องกับยากูซ่า ดังนั้นสถานที่สาธารณะหลายแห่ง เช่น บ่อน้ำพุร้อน (ออนเซ็น) ยิม และสระว่ายน้ำ จึงไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีรอยสักที่มองเห็นได้ชัดใช้บริการ ซึ่งสถานการณ์นี้กำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป เพราะปัจจุบันผู้คนในทุกประเทศต่างนิยมการสัก แต่รอยสักก็ยังเป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับชาวต่างชาติผู้มาเยือนจำนวนมาก

ห้องน้ำสาธารณะที่สุดแปลกและน่าทึ่ง นอกเหนือจากห้องน้ำของญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีที่สุดล้ำแล้ว ห้องน้ำสาธารณะของญี่ปุ่นมักจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิ เครื่องใช้ในห้องน้ำฟรี ที่นั่งชักโครกที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ และแม้แต่ที่นั่งสำหรับเด็กที่มีการติดตั้งไว้ภายในห้องน้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ห้องน้ำหลายแห่งยังเปิดเพลงหรือเสียงธรรมชาติเพื่อกลบเสียงระบายของเสียที่น่าอับอายอีกด้วย

ขนม KitKat ตามแต่ฤดูกาล ในญี่ปุ่นมีขนม KitKat รสชาติต่าง ๆ มากมายที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่รส ชาเขียว สาเก ไปจนถึงรส วาซาบิ และมันเทศ

การนอนในที่สาธารณะ การเห็นคนงีบหลับในที่สาธารณะ เช่น ร้านกาแฟ บนรถไฟ หรือแม้กระทั่งที่โต๊ะทำงานนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการขี้เกียจ แต่กลับเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า คน ๆ นั้นได้ทำงานอย่างหนักและทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่

ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่ไม่เหมือนใคร ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติของญี่ปุ่นไม่ได้ขายแค่เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวเท่านั้น ยังสามารถซื้อ ไข่สด ผัก แบตเตอรี่ ร่ม หรือแม้แต่อาหารร้อน ๆ จากตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเหล่านี้ได้

วัฒนธรรมการไม่ให้ทิป ในญี่ปุ่นไม่มีการให้ทิป และอาจถือเป็นความหยาบคายด้วยซ้ำ หากมีการให้ทิป เพราะบริการที่ดีเยี่ยมเป็นสิ่งที่ทั้งผู้ให้และรับบริการต่างก็คาดหวังเอาไว้ และการให้บริการที่ดี ถือเป็นมาตรฐานของสังคมญี่ปุ่น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องมีการจ่ายเงินเพิ่มแต่อย่างใด

ระบบเลขที่อยู่ที่มีความซับซ้อน ระบบเลขที่อยู่ของญี่ปุ่นแตกต่างจากประเทศตะวันตกหลาย ๆ ประเทศ โดยเลขที่อยู่จะอิงตามพื้นที่และหมายเลขบล็อกแทนที่จะใช้ชื่อถนน ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับชาวต่างชาติผู้มาเยือนได้

การซดบะหมี่ไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาท ประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับมารยาทที่ดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทานบะหมี่จนหมดชาม มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นในการทาน นั่นก็คือการซดบะหมี่ด้วยเสียงอันดัง การซดบะหมี่เป็นการแสดงความสุข และยังช่วยทำให้บะหมี่เย็นลงขณะที่ทานอีกด้วย ด้วยการจับตะเกียบไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วโน้มตัวไปเหนือชาม บางครั้งจะมีผ้ากันเปื้อนให้ชาวต่างชาติ แต่ก่อนออกจากร้าน ควรจะเช็ดชามที่มีฝาสีขาวจนสะอาดเสียก่อน

อาหารคริสต์มาสอีฟแบบดั้งเดิมคือ KFC มีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่ร่วมการเฉลิมฉลองคริสต์มาส แต่รสชาติของอาหารในเทศกาลนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังในญี่ปุ่น ดังนั้นการไปทานมื้อค่ำที่ร้าน KFC สาขาใกล้บ้านในวันคริสต์มาสอีฟจึงถือเป็นประเพณี คาดว่า ชาวญี่ปุ่นประมาณ 3.6 ล้านคนจะออกมาทานอาหารค่ำในวันคริสต์มาสอีฟที่ร้าน KFC ซึ่งต้องรอคิวยาวและต้องสั่งจองอาหารล่วงหน้าหลายสัปดาห์ หลายคนบอกว่า ไก่งวงไม่ค่อยมีขาย ดังนั้นพันเอก Sanders จึงต้องมาญี่ปุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการนี้

ญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่เมือง เมืองที่มีประชากรหนาแน่นถือเป็นจุดเด่นของญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศที่มีป่าเขาน้อย เพราะพื้นที่ประมาณ 70% ของญี่ปุ่นประกอบด้วยป่าและภูเขา ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเกษตรหรืออยู่อาศัย มีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่มากกว่า 100 ลูก และภูเขาที่สูงที่สุดคือภูเขาไฟฟูจิอันโด่งดังซึ่งมีความสูง 3,776 เมตร

เกาะกระต่ายในญี่ปุ่น แม้ว่าญี่ปุ่นประกอบด้วยเกาะเกือบ 7,000 เกาะ เกาะโอคุโนะชิมะ (Okunoshima) ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ นั้นมีชื่อเสียงที่สุดจากประชากรกระต่ายที่อยากรู้อยากเห็นและมีหูโต เกาะแห่งนี้เคยถูกใช้เพื่อทดสอบอาวุธเคมีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และว่ากันว่า หลังสงครามสัตว์ทดลองเหล่านี้สามารถเดินเตร่ไปมาบนเกาะอย่างอิสระ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม จำนวนสัตว์ทดลองก็เพิ่มจำนวนขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากสัตว์นักล่า (ห้ามสุนัขและแมวเข้ามาในพื้นที่) และปัจจุบันเกาะโอคุโนะชิมะก็กลายเป็นจุดยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกระต่าย

เลข 4 เป็นเลขอับโชคอย่างมาก ชาวญี่ปุ่นมักหลีกเลี่ยงเลข 4 (‘Shi’) เนื่องจากออกเสียงคล้ายกับคำว่าความตายในภาษาญี่ปุ่นมากเกินไป หากสังเกตให้ดีในญี่ปุ่น จะเห็นว่า อาคารต่าง ๆ ไม่มีชั้นที่สี่ สินค้าต่าง ๆ จะขายเป็นชุดละ 3 หรือ 5 ชิ้น และมีการระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอเลขนี้ในชีวิตประจำวัน

เทศกาลเปลือยกาย ฮาดากะมัตสึริ ญี่ปุ่นมีชื่อเสียงในเรื่องเทศกาลมากมายไม่หยุดหย่อน แต่เทศกาลฮาดากะมัตสึริ (Hadaka Matsuri) อาจเป็นหนึ่งในเทศกาลที่แปลกประหลาดที่สุด เมื่อชายชาวญี่ปุ่นหลายพันคนเปลือยกายในที่สาธารณะเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ โดยเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดจัดขึ้นที่เมืองโอกายามะ โดยมีชายชาวญี่ปุ่นประมาณ 9,000 คนออกมาเดินขบวนที่เรียกว่า ‘ฟุนโดชิ’

รถไฟญี่ปุ่นเป็นรถไฟที่ตรงเวลาที่สุดในโลก รถไฟญี่ปุ่นล่าช้าเฉลี่ยเพียง 18 วินาที อะไรทำให้รถไฟญี่ปุ่นตรงเวลาได้ขนาดนี้? เพราะ...พนักงานขับรถไฟได้รับการฝึกฝนในเครื่องฝึกจำลองที่สมจริงสุด ๆ และขับรถไฟเพียงสายเดียวเท่านั้น หลายคนไม่จำเป็นต้องใช้มาตรวัดความเร็วเพื่อให้รู้ว่ารถไฟวิ่งเร็วแค่ไหนเสียด้วยซ้ำ การแข่งขันระหว่างบริษัทรถไฟก็ดุเดือดเช่นกัน ดังนั้นการตามหลังจึงไม่ช่วยอะไร พวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาจำนวนผู้โดยสารรถไฟของญี่ปุ่นที่แม้ว่าจะมีจำนวนมากเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม (แม้ว่าจะต้องสร้างห้างสรรพสินค้าสุดหรูหราในสถานีรถไฟก็ตาม)

ชาวญี่ปุ่นทุกคนมีตราประทับเป็นของตัวเอง ในญี่ปุ่นไม่มีลายเซ็น แต่พวกเขามีตราประทับเป็นของตัวเอง ตราประทับที่เรียกว่า ‘ฮังโกะ (Hanko)’ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นชื่อของคนญี่ปุ่นที่แปลเป็นอักษรคันจิ และทำจากไหมหรือแป้งพืช ผู้ใหญ่จะมีตราประทับนี้สามอัน อันหนึ่งไว้สำหรับเซ็นชื่อในจดหมายและเรื่องส่วนตัว อันหนึ่งไว้สำหรับประทับตราธนาคาร และอีกอันไว้สำหรับแสดงตัวตน ตราประทับเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นสามารถหาซื้อตราประทับนี้เองได้จากร้านค้าเล็ก ๆ ทั่วไปในท้องถิ่น

พื้นป้องกันนินจามีอยู่จริง ในช่วงยุคศักดินา ขุนนางญี่ปุ่นผู้มั่งคั่งจะสร้างบ้านที่มีพื้นที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด (เรียกว่า พื้นไนติงเกล) เพื่อป้องกันนินจา นักรบรับจ้างในตำนานของญี่ปุ่นในยุคศักดินาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีนั้น มีตำนานและนิทานพื้นบ้านกล่าวกันว่า นินจาสามารถ เดินบนน้ำ ล่องหน และควบคุมธาตุต่าง ๆ ตามธรรมชาติได้ นั่นคงเป็นแรงบันดาลใจให้ทำพื้นใหม่

การเดินทางไปญี่ปุ่นแต่ละครั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็จะ พบเห็น เจอะเจอ วัฒนธรรมที่มีความเป็นเอกลักษณ์และมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสุขมากมาย และมีการค้นพบเรื่องราวต่าง ๆ ในแบบที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนเลย

รู้จัก ‘Colin Huang Zheng’ ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ แพลตฟอร์ม E-commerce เขย่าโลก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันทุกวันนี้นี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะจับจ่ายซื้อขายผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Platform E-commerce ชื่อดังในบ้านเราอย่าง LAZADA และ SHOPEE แต่ไม่นานมานี้มีน้องใหม่เข้ามาในตลาด E-commerce เพิ่มขึ้นอีกหลายราย อาทิ SHIEN และที่มาแรงที่สุดคือ ‘TEMU’

‘TEMU’ เป็น Platform E-commerce ที่ดำเนินการโดย PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซจีน แต่จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน และยังระบุว่าเป็นสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงดับลิน (ซึ่งทั้งสองแห่งมีมาตรการทางภาษีที่เอื้อต่อเจ้าของกิจการที่จดทะเบียนในแต่ละแห่งอย่างมากมาย) โดยจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ตั้งราคาลดพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่จัดส่งจากจีนถึงผู้บริโภคโดยตรง รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ช่วยให้บริษัทได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แรงงานบังคับ ทรัพย์สินทางปัญญา และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด บริษัทมีข้อพิพาททางกฎหมายกับคู่แข่งอย่าง SHEIN

นอกจากนี้แล้ว PDD Holdings ยังเป็นเจ้าของ Pinduoduo ซึ่งเป็น Platform E-commerce ยอดนิยมในประเทศจีนอีกด้วย โดย ‘TEMU’ เริ่มใช้งานในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2022 ในเดือนมีนาคม 2023 เปิดตัวในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และเดือนต่อมาได้เปิดตัวในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และสหราชอาณาจักร ในที่สุด ‘TEMU’ ก็ขยายเข้าสู่ตลาดละตินอเมริกา และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2024 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ 49 เดือนกุมภาพันธ์ 2024 ‘TEMU’ ได้ลงโฆษณา Super Bowl หลายรายการ เป็นมูลค่าราว 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีการค้นหาชื่อและการเข้าชม ‘TEMU’ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ใช้งานจริงในสหรัฐอเมริกากว่า 100 ล้านคน มีดาวน์โหลด Application มากกว่า 130 ล้านครั้งทั่วโลก และมีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ประมาณ 420 ล้านครั้งต่อเดือน ตามข้อมูลของ Semrush 

รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ยินยอมให้ผู้ขายในประเทศจีนขายและจัดส่งโดยตรงถึงลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้จัดจำหน่ายคนกลางในประเทศปลายทาง ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง แต่ผู้ขายหลายรายระบุว่า ‘TEMU’ ขอให้พวกเขาลดราคาลงจนกระทั่งถึงจุดที่ขายสินค้าขาดทุน นอกจากนั้น ‘TEMU’ เสนอสินค้าฟรีให้กับผู้ใช้รายที่แนะนำผู้ใช้ใหม่ผ่านรหัสพันธมิตรโซเชียลมีเดีย และเกมมิฟิเคชัน การซื้อออนไลน์บน ‘TEMU’ สามารถทำได้โดยใช้เบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ตหรือผ่านแอปมือถือเฉพาะ และ ‘TEMU’ ยังใช้แคมเปญโฆษณาออนไลน์ขนาดใหญ่บน Facebook และ Instagram

นอกจากนี้แล้ว ‘TEMU’ ยังกำหนดให้ผู้ขายต้องเสนอผลิตภัณฑ์ของตนในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่พบใน AliExpress เมื่อผู้ขายหลายรายเสนอขายผลิตภัณฑ์เดียวกัน ‘TEMU’ จะอนุญาตเฉพาะผู้ขายที่เสนอราคาต่ำที่สุดเท่านั้น สินค้าที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดการขายขั้นต่ำของ ‘TEMU’ (30 ชิ้นและ 90 ดอลลาร์ใน 14 วัน) จะถูกลบออกจากแพลตฟอร์ม การโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนักในแอปมือถือ และลงโฆษณาทางทีวีในรายการ Super Bowl ส่งผลให้ ‘TEMU’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากผลการวิจัยของ Sensor Tower เปิดเผยว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ผู้ใช้ ‘TEMU’ ใช้เวลาเฉลี่ย 23 นาทีต่อสัปดาห์บนแอป เมื่อเทียบกับ 18 นาทีบน Amazon และ 22 นาทีบน eBay 

‘Colin Huang Zheng’ เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1980 ในเขตชานเมืองหางโจวเจ้อเจียง พ่อแม่ของเขาเป็นพนักงานระดับกลางในโรงงาน เข้าเรียนที่โรงเรียนภาษาต่างประเทศหางโจว เป็นนักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของบริษัท Pinduoduo ซึ่งปัจจุบันเป็นแพลตฟอร์มการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในจีน หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เขาได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison หลังจากนั้นได้เข้าทำงานกับ Google ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2004 เวลานั้น Microsoft มีมูลค่าตลาดมากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ Google ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ Huang ก็เลือกเดินทางไปกับ Google

ในปี 2006 Huang กลับสู่มาตุภูมิในฐานะส่วนหนึ่งของทีมเปิดตลาดเมืองจีนให้กับ Google อย่างไรก็ตาม 1 ปีต่อมา Huang ก็ตัดสินใจตามสัญชาตญาณตัวเองอีกครั้ง เขาเลือกลาออกจาก Google โดยไม่แม้กระทั่งจะรอให้ตัวเองมีความพร้อมเสียก่อนด้วยซ้ำ นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิถีผู้ประกอบการของเขา ในปี 2015 Huang ได้ตั้งบริษัท Pinduoduo ขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ มีรายได้ 1.4 พันล้านหยวน (280 ล้านดอลลาร์) ในปี 2017 และในปี 2019 บริษัทสร้างรายได้ 4.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (30.14 พันล้านหยวน) ธุรกิจเติบโต และบริษัทเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลังการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในเดือนกรกฎาคม 2018 ในชื่อหลักทรัพย์ว่า ‘PDD’ เปิดขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) ด้วยมูลค่ามากถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มสูงขึ้นในเวลาต่อมา Huang ซึ่งมีหุ้นอยู่ในบริษัท 47% มีมูลค่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 13 ของจีนในปี 2018

วันที่ 1 กรกฎาคม 2020 Huang ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Pinduoduo แต่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเช่นเดิม ต่อมาเมื่อ 17 มีนาคม 2021 Huang ได้ทำการสละตำแหน่งประธาน และมอบสิทธิในการออกเสียงของหุ้นของเขาให้กับคณะกรรมการบริหาร โดยบริษัท Pinduoduo ระบุว่า Huang ต้องการที่จะแสวงหา ‘โอกาสใหม่ในระยะยาว’ ต่อไป ในเดือนมิถุนายน 2020 หลังจาก Huang ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น Pinduoduo ของเขาลงเหลือ 29.4% โดยบริจาค 2.37% ให้กับมูลนิธิการกุศล และ 7.74% ให้กับบรรดาหุ้นส่วนของ Pinduoduo

หุ้น 2.37% ที่เขาบริจาคให้กับองค์กรการกุศลเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาความรับผิดชอบต่อสังคม และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ใจบุญชั้นนำในรายชื่อ Hurun China Philanthropy List ในปี 2021 หลังจากที่เขาให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงิน 1.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่า Huang และทีมผู้ก่อตั้ง Pinduoduo ได้บริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.37% ของหุ้น Pinduoduo) ให้กับ Starry Night Charitable Trust เพื่อ “สนับสนุนการวิจัยพื้นฐานในวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ เกษตรกรรม และอาหาร”

“การตัดสินใจที่ถูกต้องนั้นสำคัญกว่าการทำงานหนัก การมีสามัญสำนึกนั้นสำคัญกว่าการมีความรู้”  ‘Colin Huang Zheng’

ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ‘คุกนรกแอตติกา’ ปี 1971 ในสหรัฐอเมริกา นักโทษนับพันก่อจลาจล เพียงเพราะต้องการสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เมื่อ 53 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นในเรือนจำแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ประเทศสุดยอดประชาธิปไตยของเหล่าบรรดาที่หลงไหลคลั่งไคล้ในอิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียม ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงเลยบนโลกใบนี้ แม้แต่ประเทศสหรัฐฯ เองก็ตามที ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เรือนจำแอตติกา (Attica) ในปี 1971

เรือนจำแอตติกาเป็นเรือนจำของมลรัฐในเมืองแอตติกา เทศมณฑลไวโอมิ่ง มลรัฐนิวยอร์ก แอตติกาเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรราว 8,000 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้ต้องขังของเรือนจำความมั่นคงสูงแอตติกา และทัณฑสถานความมั่นคงระดับกลางไวโอมิง เจ้าหน้าที่ประจำเรือนจำและครอบครัว เรือนจำแอตติกาเป็นเรือนจำที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งดำเนินการโดยกรมราชทัณฑ์และการควบคุมของมลรัฐนิวยอร์ก เรือนจำแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษปี 1930 เป็นเรือนำที่มีการติดตั้งระบบแก๊สน้ำตา (ก๊าซ CS : chlorobenzylidine malononitrile) อยู่ในโรงอาหารและพื้นที่อุตสาหกรรม ซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อระงับความขัดแย้งในพื้นที่เหล่านี้ ปัจจุบันเรือนจำแห่งนี้คุมขังผู้ต้องขังจำนวนมากที่รับโทษหลายประเภท (ตั้งแต่ระยะสั้นจนถึงตลอดชีวิต) โดยมากผู้ต้องขังที่ถูกส่งมาที่เรือนจำแห่งนี้เนื่องจากมีปัญหาทางวินัยในเรือนจำอื่น ๆ โดยเรือนจำแห่งนี้เป็นเรือนจำที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด

เหตุการณ์จลาจลในเรือนจำแอตติกาเกิดขึ้นภายใต้บริบทของการเคลื่อนไหวของกลุ่ม Black Power และ การเคลื่อนไหว New Left ในสหรัฐฯ และการปราบปรามการเคลื่อนไหวเหล่านี้โดยรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐต่าง ๆ ที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงผู้ต้องขังที่เป็นอดีตทหารผ่านศึก  ผู้ต้องขังในเรือนจำแอตติกาส่วนหนึ่งเข้าร่วมการจลาจล เพราะพวกเขาต้องการสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำแอตติกา ก่อนการจลาจลมีสภาพดังนี้ “นักโทษต้องใช้เวลา 14 ถึง 16 ชั่วโมงต่อวันในห้องขัง จดหมายของพวกเขาถูกอ่าน สื่อสิ่งพิมพ์ถูกจำกัด ญาติ ๆ ต้องเข้าเยี่ยมผ่านตะแกรงตาข่าย การดูแลรักษาทางการแพทย์ที่เลวร้าย ระบบทัณฑ์บนที่ไม่มีความเท่าเทียม มีการเหยียดเชื้อชาติทุกหนทุกแห่ง การแออัดยัดเยียดทำให้เกิดสภาพที่ย่ำแย่ เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำเพิ่มขึ้นจาก 1,200 คน (ตามการออกแบบ) เป็น 2,243 คน”

นอกจากนี้ เช่นเดียวกับในเรือนจำของอเมริกาหลายแห่ง ความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติยังมีอยู่ในเรือนจำแอตติกาอีกด้วย ในจำนวนประชากรในเรือนจำที่ถูกคุมขัง 54% เป็นคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน 9% เป็นชาวเปอร์โตริโก และ 37% เป็นคนผิวขาว เจ้าหน้าที่คุมขังทั้งหมดเป็นคนผิวขาว (มีเจ้าหน้าที่ควบคุมผิวสีเพียง 1 คน) เจ้าหน้าที่คุมขังมักจะทิ้งจดหมายที่เขียนเป็นภาษาสเปนที่ส่งถึงหรือมาจากนักโทษชาวเปอร์โตริโก และกักขังนักโทษผิวสีให้ทำงานที่มีรายได้ต่ำที่สุด และถูกคุกคามทางเชื้อชาติอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์อีกด้วย โดยผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังส่วนใหญ่มาจากเขตเมือง รวมถึงเขตมหานครนิวยอร์ก ในขณะที่เจ้าหน้าที่คุมขังส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคท้องถิ่น

ในวันที่ 9 กันยายน 1971 ผู้ต้องขัง 1,281 คน จากทั้งหมดประมาณ 2,200 คน ที่ถูกคุมขังในเรือนจำแอตติกาได้ก่อจลาจลและเข้ายึดเรือนจำ โดยจับเจ้าหน้าที่ 42 นายไว้เป็นตัวประกัน โดยเจ้าหน้าที่นายหนึ่งถูกทุบตีจนเสียชีวิต ในเวลาต่อมาของวันเดียวกัน ตำรวจของมลรัฐนิวยอร์กได้ยึดเรือนจำคืนได้เกือบทั้งหมด แต่ผู้ต้องขัง 1,281 คน ได้เข้ายึดลานออกกำลังกายที่เรียกว่า D Yard ซึ่งพวกเขาจับเจ้าหน้าที่ 39 นายเป็นตัวประกันเป็นเวลา 4 วัน หลังจากการเจรจาหยุดชะงักลง Nelson Rockefeller ผู้ว่าการมลรัฐนิวยอร์กในขณะนั้น (หลังจากหารือกับประธานาธิบดี Richard M. Nixon แล้ว) ได้สั่งให้ตำรวจมลรัฐนิวยอร์กปฏิบัติการด้วยอาวุธเพื่อยึดเรือนจำคืน

ตอนเช้าขณะที่ฝนตกของวันจันทร์ที่ 13 กันยายน มีการยื่นคำขาดให้ผู้ต้องขัง โดยสั่งให้พวกเขามอบตัว ผู้ต้องขังได้ตอบโต้ด้วยการเอามีดจ่อคอตัวประกันเอาไว้ จนกระทั่งเวลา 9.46 น. เฮลิคอปเตอร์ได้บินผ่านลาน D Yard และเปิดฉากยิงแก๊สน้ำตา ขณะที่ตำรวจมลรัฐและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บุกเข้ามาพร้อมด้วยการยิงกระสุนจริงกว่า 3,000 นัดท่ามกลางหมอกควันแก๊สน้ำตา ทำให้ผู้ต้องขังเสียชีวิตไป 29 ราย และตัวประกันอีก 10 ราย มีผู้บาดเจ็บอีก 89 ราย ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ถูกยิงจากการเปิดฉากยิงถล่มแบบไม่เลือกหน้าในตอนแรก แต่มีผู้ต้องขังอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งถูกยิงหรือเสียชีวิตหลังจากที่พวกเขายอมมอบตัวแล้ว ภายหลังการบุกจู่โจมจนกลายเป็นการนองเลือด เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ต้องขังได้สังหารตัวประกันที่เสียชีวิตด้วยการเชือดคอ ตัวประกันคนหนึ่งถูกตัดอวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม ผลการชันสูตรพลิกศพแสดงให้เห็นว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นเท็จ และตัวประกันทั้ง 10 คนล้วนแล้วแต่ถูกตำรวจที่บุกเข้าไปยิงเสียชีวิต ความพยายามปกปิดดังกล่าวทำให้ประชาชนชาวอเมริกันต่างพากันประณามการบุกจู่โจมครั้งนี้มากขึ้น และกระตุ้นให้รัฐสภาดำเนินการสอบสวน

เหตุการณ์จลาจลที่แอตติกาถือเป็นเหตุการณ์จลาจลในเรือนจำที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 43 ราย โดยมีผู้เสียชีวิต 39 รายจากการบุกของฝ่ายรัฐ และผู้ต้องขังอีก 3 รายถูกสังหารโดยนักโทษด้วยกันในช่วงต้นของการจลาจล และเจ้าหน้าที่ 1 รายเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากการบาดเจ็บที่ได้รับระหว่างการจลาจลครั้งแรก ในสัปดาห์แรกหลังจากเหตุการณ์สิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่เรือนจำได้ใช้กำลังปราบปรามนักโทษอย่างรุนแรง โดยบังคับให้พวกเขาด้วยกระบองยาวและให้เปลือยกายคลานบนเศษกระจกแตก นอกจากนี้ ยังมีการทรมานนักโทษอีกหลายรายที่ได้รับบาดเจ็บ และให้การรักษาทางการแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานแก่นักโทษเหล่านั้น

ในเดือนมกราคม 2000 มลรัฐนิวยอร์กได้ยอมความในคดีความที่ผู้ต้องขังในเรือนจำแอตติกาฟ้องร้องเจ้าหน้าที่เรือนจำและมลรัฐนิวยอร์กในคดีนี้ ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลา 26 ปี โดยผู้ต้องขังทั้งในอดีตและปัจจุบันต้องทนทุกข์ทรมานจากการบุกเข้าตรวจค้นต่อมาอีกหลายสัปดาห์ โดยพวกเขายอมรับเงิน 8 ล้านดอลลาร์ (12 ล้านดอลลาร์หักค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย) เพื่อยุติคดี เพื่อชดเชยความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นและยุติคดี ในปี 2005 รัฐบาลมลรัฐนิวยอร์กได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่เรือนจำที่รอดชีวิตและครอบครัวของเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ถูกสังหารเป็นเงิน 12 ล้านเหรียญ

ผลกระทบต่อระบบเรือนจำของรัฐนิวยอร์ก ส่วนหนึ่งเพื่อตอบสนองต่อการจลาจลในเรือนจำแอตติกา กรมราชทัณฑ์ของมลรัฐนิวยอร์กได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ รวมถึง :

-จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานมากขึ้น เช่น ห้องอาบน้ำ สบู่ การดูแลทางการแพทย์ และการเยี่ยมครอบครัวมากขึ้น
-แนะนำขั้นตอนการร้องเรียนซึ่งผู้ต้องขังสามารถรายงานการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดนโยบายที่เผยแพร่
-จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานซึ่งผู้ต้องขังเลือกตัวแทนเพื่อพูดแทนพวกเขาในการประชุมกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ
-จัดสรรเงินทุนให้กับ Prisoners Legal Services ซึ่งเป็นเครือข่ายทนายความทั่วทั้งมลรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขัง
-จัดให้มีการเข้าถึงการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
-ให้เสรีภาพทางศาสนาแก่ผู้ต้องขังมากขึ้น

แม้ว่าจะมีการปรับปรุงสภาพในเรือนจำในช่วงหลายปีหลังจากการลุกฮือทันที แต่ในช่วงยุค ‘การปราบปรามอาชญากรรมอย่างโหดร้าย’ ในทศวรรษ 1980 และ 1990 การปรับปรุงเหล่านี้หลายอย่างกลับถูกพลิกกลับ อาทิ ร่างกฎหมายอาชญากรรมปี 1994 ได้ยกเลิกเงินช่วยเหลือสำหรับนักโทษทั้งหมด ส่งผลให้มีการระงับการให้ทุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยภายในเรือนจำ ส่งผลให้โปรแกรมการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยทั้งหมดในเรือนจำสิ้นสุดลงโดยไม่มีทางเลือกด้านการศึกษาอื่นสำหรับผู้ต้องขัง ปัญหาความแออัดยัดเยียดเลวร้ายลง โดยประชากรในเรือนจำของนิวยอร์กเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 12,500 คนในช่วงที่เกิดการจลาจลแอตติกาในปี 1971 เป็น 72,600 คนในปี 1999

และในปี 2011 หลังจากชายคนหนึ่งที่ถูกคุมขังในเรือนจำแอตติกาถูกเจ้าหน้าที่คุมขังทุบตีอย่างโหดร้าย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมลรัฐนิวยอร์ก เจ้าหน้าที่คุมขังถูกตั้งข้อหาทางอาญาในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่คุมขังรับสารภาพผิดในข้อหาประพฤติมิชอบในปี 2015 เพื่อหลีกเลี่ยงโทษจำคุก ในข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ต้องขังทั้งในปัจจุบันและอดีตของเรือนจำแอตติกาได้รายงานว่าเรือนจำแห่งนี้ได้รับชื่อเสียงในฐานะ ‘สถานที่ที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กลุ่มเล็ก ๆ ลงโทษผู้ต้องขังอย่างรุนแรงโดยที่ไม่ต้องรับโทษใด ๆ’ และผู้ต้องขังยังได้เล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่และการปฏิบัติที่รุนแรงของผู้คุม

จะเห็นได้ว่าแม้แต่ระบบยุติธรรมในมลรัฐที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจสูงสุดของสหรัฐฯ เอง ก็ยังมีปัญหาในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างมากมาย โดยชาวอเมริกัน 91% ระบุว่า กระบวนการยุติธรรมมีปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข สหรัฐฯ จึงสมควรที่จะดำเนินการปรับปรุง แก้ไข จัดการในปัญหาที่เกิดขี้นภายในประเทศของตนเองให้เรียบร้อย ถูกต้อง และเป็นธรรม ก่อนที่จะไปการก้าวก่าย แทรกแซง ในเรื่อง สิทธิมนุษยชน อิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียม ฯลฯ ของประเทศอื่น ๆ
 

เปิดเรื่องราว ‘Leo Tolstoy’ นักประพันธ์เอกของโลกชาวรัสเซีย เจ้าของผลงานชิ้นเอก ‘สงครามและสันติภาพ’ และ ‘แอนนา คาเรนินา’

ผู้เขียนมีโอกาสไปรัสเซียเพื่อชมงานนิทรรศการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ Army-2024 ตามคำเชิญของบริษัท Rosoboronexport หลังจากเสร็จภารกิจชมงานนิทรรศการฯ แล้ว บริษัทฯ ได้จัดโปรแกรมวัฒนธรรม โดยจัดทริปเดินทางจากกรุงมอสโคว์ไปยังเมืองทูลา (Tula) ซึ่งอยู่ทางใต้ราว 200 กิโลเมตร (120 ไมล์) ใช้เวลา 3 ชม. เพื่อเยี่ยมชมบ้านพักของ ‘Leo Tolstoy’ นักประพันธ์เอกชาวรัสเซีย ณ พิพิธภัณฑ์ Yasnaya Polyana ซึ่งเป็นบ้านพิพิธภัณฑ์ของนักเขียนผู้นี้ และอยู่ห่างจากตัวเมือง Tula ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 12 กิโลเมตร (7.5 ไมล์)

Leo Tolstoy (9 กันยายน 1828 - 7 พฤศจิกายน 1910) นักประพันธ์เอกชาวรัสเซีย เกิดในครอบครัวขุนนางชั้นสูงของจักรวรรดิรัสเซีย ในเมือง Tula ทางตอนกลางของรัสเซีย โดยเขาเป็นบุตรคนที่ 4 จากพี่น้อง 5 คนของท่านเคาท์ Nikolai Ilyich Tolstoy ทหารผ่านศึกในสงครามรักชาติในปี 1812 และเจ้าหญิง Mariya Tolstaya มารดาเสียชีวิตตอนที่เขามีอายุเพียง 2 ขวบ ส่วนบิดาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้ 9 ขวบ หลังจากบิดาเสียชีวิต ป้าของเขาได้ทำหน้าที่เลี้ยงดูแทน เขาถูกส่งไปเรียนที่มหาวิทยาลัยคาซาน (Kazan University) ด้านกฎหมายและภาษาตะวันออก (Laws & Turco-Arabic Literature) เมื่ออายุ 16 ปี แต่เรียนไม่จบ โดยอาจารย์ผู้สอนบรรยายว่า Tolstoy ‘ทั้งไม่สามารถและไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้’ เขากลับไปที่บ้านเกิด Yasnaya Polyana จากนั้นใช้เวลาส่วนใหญ่วนเวียนในกรุงมอสโก เมืองตูลา และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยมีวิถีชีวิตที่สบาย ๆ และเขาได้เริ่มเขียนในช่วงเวลานี้ อันได้แก่นวนิยายเรื่องแรกของเขาเรื่อง Childhood ซึ่งเป็นเรื่องราวสมมติเกี่ยวกับชีวิตวัยเยาว์ของตัวเขาเอง และตีพิมพ์ในปี 1852

Leo Tolstoy ขณะเป็นทหาร

ในปี 1851 นั้นเอง Tolstoy ก็เข้าเป็นนายทหารของกองทัพรัสเซียในช่วงสงครามไครเมียจนได้รับยศเป็นร้อยโท ภายหลังออกจากกองทัพแล้ว Tolstoy ได้เดินทางท่องยุโรปสองครั้งในปี 1857 และ 1860-61 ระหว่างการเยือนยุโรปของเขาในปี 1857 เขาได้เห็นการประหารชีวิตในที่สาธารณะกลางกรุงปารีส ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจจนตลอดช่วงเวลาที่เหลือของชีวิตของเขา ในจดหมายถึง Vasily Botkin เพื่อนของเขา เขาได้เขียนว่า “ความจริงก็คือรัฐเป็นการสมรู้ร่วมคิดที่ออกแบบมาไม่เพียงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการทุจริตต่อพลเมืองของตน ... ต่อจากนี้ไป ฉันจะไม่รับใช้รัฐบาลใด ๆ อีกเลย” 

แนวคิดของการไม่ใช้ความรุนแรง หรือ ‘อหิงสา’ (Ahimsa) ของ Tolstoy ได้รับอิทธิพลจากการอ่าน ‘ติรุวัฬฬุวรร’ (Tirukkuṟaḷ) ซึ่งเป็นหนังสือรวมงานเขียนด้วยประโยคคู่ (Couplets) เกี่ยวกับจริยศาสตร์, การเมือง, เศรษฐกิจ และความรัก ฉบับภาษาเยอรมัน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่างานเขียนชุดนี้โดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบมากในบรรดาวรรณกรรมทมิฬ (ของอินเดีย) และต่อมาเขาได้ปลูกฝังแนวคิดนี้ให้กับ ‘มหาตมะ คานธี’ (Mahatma Gandhi) ผ่านงานเขียนที่ชื่อว่า ‘จดหมายถึงชาวฮินดู’ (A Letter to a Hindu) เมื่อ ‘มหาตมะ คานธี’ ในวัยหนุ่มได้ติดต่อกับเขาเพื่อขอคำแนะนำต่าง ๆ

ปี 1862 Tolstoy แต่งงานกับ Sonya Andreyevna Behrs ซึ่งอายุน้อยกว่าเขา 13 ปี พวกเขามีลูกชายหญิงด้วยกัน 13 คน โดย 8 คนรอดชีวิตจากวัยเด็ก ภรรยาของเขาได้ทำหน้าที่ช่วยเหลืองานของ Tolstoy ตลอดมา และปี 1865 Tolstoy เขาก็ตีพิมพ์ผลงานชิ้นเอกของเขา ‘War and Peace’ มหากาพย์ของสงครามรัสเซียช่วงก่อนและภายหลังการบุกของนโปเลียน ต่อมาปี 1877 เขาก็ได้ตีพิมพ์งานชิ้นเอกอีกเล่ม คือ ‘Anna Karenina’ ซึ่งเป็นนวนิยายแนวโศกนาฏกรรมโรแมนติกของหญิงสาวผู้หนึ่ง นิยายชิ้นเอกของเขาได้แก่ สงครามและสันติภาพ (War & Peace), แอนนา คาเรนินา (Anna Karenina), คนกับนาย (Master And Man), ความตายของอีวาน อิลลิช (The Death of Ivan Ilyich) และ ศิลปะคืออะไร? (What is art?) เป็นต้น Tolstoy เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 1910 ขณะอายุได้ 82 ปี (ข้อมูลส่วนใหญ่ระบุว่า Tolstoy เสียชีวิตในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1910 แต่ผู้นำชมบ้านพิพิธภัณฑ์ของนักเขียนผู้นี้ยืนยันว่าเป็นวันที่ 7 พฤศจิกายน เวลา 06.05 น.) ศพของเขาได้รับการฝังอย่างเรียบง่ายภายในอาณาบริเวณที่ดินของครอบครัว Tolstoy นั่นเอง

ทางเข้าอาณาบริเวณ Yasnaya Polyana

บ้านพักของ Leo Tolstoy ที่เขาพักอาศัยจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ด้านหลังบ้านพักของ Leo Tolstoy

สวนไม้ดอกไม้ประดับรายทางในอาณาบริเวณ Yasnaya Polyana

สวนไม้ดอกไม้ประดับรายทาง

สวนไม้ดอกไม้ประดับรายทาง

Log cabin ในอาณาบริเวณ Yasnaya Polyana

คฤหาสน์หลักของตระกูล Tolstoy

บึงน้ำในอาณาบริเวณ Yasnaya Polyana

ทางเดินซึ่งมีต้นไม้สองข้างทางอันร่มรื่นในอาณาบริเวณ Yasnaya Polyana

อย่างไรก็ตาม บ้านพิพิธภัณฑ์ Yasnaya Polyana เป็นบ้านเดิมและบ้านเกิดของ Leo Tolstoy ซึ่งเขาได้พักอาศัยระหว่างการเขียนยอดนิยายชิ้นเอกของเขาทั้ง ‘สงครามและสันติภาพ’ และ ‘แอนนาคาเรนินา’ Tolstoy เรียก Yasnaya Polyana ว่าเป็น ‘ฐานที่มั่นทางวรรณกรรมที่ไม่สามารถเข้าถึงได้’ ในเดือนมิถุนายน 1911 ที่ดินดังกล่าวถูกโอนเป็นของรัฐ และกลายเป็นอนุสรณ์แห่งรัฐและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างเป็นทางการ ภายในบ้านพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วยของใช้ส่วนตัวของ Tolstoy อาณาบริเวณที่ดินของครอบครัว Tolstoy มีห้องสมุดซึ่งมีหนังสือจำนวน 22,000 เล่ม อาคารซึ่งเคยเป็นโรงเรียนที่เขาก่อตั้งเพื่อเด็ก ๆ ลูกชาวนา โรงเลี้ยงม้า สวนดอกไม้ หมู่ต้นไม้ที่ร่มรื่น และบึงน้ำ

หลุมศพที่สุดแสนจะเรียบง่ายของ Leo Tolstoy

ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต Tolstoy ได้ประกาศถึงสถานที่ซึ่งเขาต้องการให้ฝังศพของเขา ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ‘สถานที่แห่งไม้กายสิทธิ์สีเขียว’ อันเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ป่าแห่งระเบียบเก่า’ ด้วยการตัดต้นไม้ในพื้นที่นั่นเป็นสิ่งต้องห้ามมาตั้งแต่สมัยปู่ของ Tolstoy และต้นไม้หลายต้นที่นั่นมีอายุมากกว่าร้อยปี โดย Nikolai และ Tolstoy น้องชายมักจะมาพูดคุยกันตรงนี้เสมอ Nikolai พี่ชายของเขาเป็นผู้ตั้งชื่อ 'สถานที่แห่งไม้กายสิทธิ์สีเขียว' ซึ่งหมายความว่า ‘บุคคลที่พบไม้กายสิทธิ์ที่นั่นจะไม่มีวันตายหรือเจ็บป่วย’

บ้านพิพิธภัณฑ์ Ernest Hemingway เมือง Key Wes มลรัฐ Florida สหรัฐอเมริกา

ประเทศต่าง ๆ มักจะมีการนำเอาบ้านพักหรือสถานที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือมีความสำคัญในอดีตมาจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชม ถือเป็นการส่งเสริมพลังละมุน (Soft power) ของชาติที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้ชื่อเสียงเรื่องราวของบุคคลสำคัญผู้นั้นไม่สูญหายจากไปตามกาลเวลา แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็มีบ้านพิพิธภัณฑ์เช่นนี้หลายแห่ง ซึ่งแห่งหนึ่งที่ผู้เขียนเคยไปเยี่ยมชมคือ บ้านพิพิธภัณฑ์ Ernest Hemingway เมือง Key West มลรัฐ Florida สหรัฐอเมริกา Ernest Hemingway นักประพันธ์ นักเขียนเรื่องสั้น และนักข่าวชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งได้รับรางวัล Noble สาขาวรรณกรรมในปี 1954 จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายกรัฐมนตรีหญิงท่านนี้ซึ่งพยายามขับเคลื่อนพลังละมุน (Soft power) ของประเทศจะได้มีวิธีคิดในการส่งเสริมและขับเคลื่อนกิจกรรมด้านนี้อย่างมีทิศทางและเป้าหมายที่ถูกต้องและชัดเจนต่อไป
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top